เมื่อไปเยี่ยมคนไข้หนัก จะพูดอะไร จะทำอย่างไร
(ภาพวันนี้ / เตรียมการมื้อเช้า จากซ้ายไปขวา แยมส้มทั้งเปลือก, (สีม่วง) ผักดอง, แยมมะม่วง, เนยถั่วลิสง, โยเกิร์ตถั่วเหลือง, นัทอบ ทั้งหมดเป็นโฮมเมดฝีมือหมอสมวงศ์)
กรณีอ่านจากเฟซบุ้ค กรุณาคลิกภาพ)
เรียน คุณหมอสันต์ที่เคารพ
ญาติท่านหนึ่งป่วยหนัก ติดเตียงอยู่ในโรงพยาบาล ร่อแร่ ท่าจะไม่รอด เวลาไปเยี่ยม ทั้งๆที่ผมสนิทกับท่าน แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร จะพูดตลกให้ท่านมีกำลังใจก็กลัวผิดกาละเทศะ จะปลอบท่านว่าคนเราทุกคนเกิดมาต้องตายก็กลัวท่านจะแหวเอาว่าเอ็งลองมาตายให้ข้าดูบ้างสิ จะใช้คำพูดมาตรฐานว่า “สูู้ๆนะ” ผมก็เห็นตำตาอยู่แล้วว่าท่านจะเอาอะไรไปสู้ เพราะท่านไม่ไหวแล้ว จึงได้แต่เงียบ แต่เป็นความเงียบที่อึดอัด ผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรจะพูดแต่ไม่รู้ว่าอะไร ตัวท่านก็ดูเหมือนท่านมีอะไรจะพูดแต่ท่านเลือกที่จะเงียบเช่นกัน
รบกวนคุณหมอช่วยชี้แนะครับ
…………………………………………………….
ตอบครับ
1.. ถามว่าคนที่เยี่ยมไข้มีหลายแบบทั้งที่มาดีมาร้าย แต่แบบที่มีมากจนเป็นพิมพ์นิยมคือไปเยี่ยมเพื่อให้กำลังใจ
2.. ถามว่ากำลังใจนี้มันคืออะไร ตอบว่ามันก็คือพลังชีวิต แล้วพลังชีวิตนี้มันให้กันได้ไหม ตอบว่าให้กันได้แน่นอน แต่ว่าเขาให้กันอย่างไร ก่อนอื่นเราจะให้อะไรใครเราต้องมีสิ่งนั้นก่อน หมายความว่าก่อนจะไปเยี่ยมไข้เราต้องมีพลังชีวิตอยู่ในระดับสูงก่อน คนมีพลังชีวิตอยู่ในระดับสูงเป็นอย่างไร เขาจะเป็นคนผ่อนคลาย ยิ้มง่าย เผื่อแผ่ความเบิกบานให้คนอื่นทางสายตาและทางสีหน้า เราควรทำตัวให้ได้อย่างนั้นก่อน ถ้ายังทำตัวไม่ได้ ไม่ต้องไปเยี่ยมไข้ ถ้ามีเหตุอื่นเช่นต้องไปเยี่ยมเพราะกลัวคนอื่นว่าเอาว่าเป็นคนไม่มีน้ำใจ ก็ยิ่งไม่ต้องไปเยี่ยม เพราะการไปเยี่ยมไข้เพื่อเสริมอัตตาของตัวเราเองนั้น ยิ่งจะไปทำให้คนไข้เขาอาการหนักขึ้น
3.. ถามว่าแล้วถ้าไม่มีพลังชีวิต จะทำอย่างไรให้ตัวเราเองมีพลังชีวิตขึ้นมา ตอบว่าก็ทำอะไรง่ายๆแบบคิดเอาตามสามัญสำนึกก็ได้ เช่น
(1) หายใจเข้าออกลึกๆ เพราะลมหายใจคือจุดกำเนิดของพลังชีวิต
(2) ปรับท่าร่างให้ตั้งตรงไม่งองุ้ม เพราะในทางไสยศาสตร์ถือว่ากระดูกสันหลังเป็นทางวิ่งของพลังชีวิต หลังค่อมก็คือไร้พลัง
(3) ปรับการเคลื่อนไหวให้กระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว ว่องไว มีสติ
(4) ผ่อนคลายร่างกาย ยิ้มเป็นนิจ เพราะการเกร็งกล้ามเนื้อร่างกายคือการสูญเสียพลัง
(5) อยู่กับเดี๋ยวนี้ สังเกตรับรู้ทุกอย่างที่เดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังเกตความคิด มองมันจากข้างนอกโดยไม่เข้าไปขลุกในความคิด เพราะในบรรดาตัวดูดพลังชีวิตทั้งหลาย “ความคิด” โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดลบเป็นตัวดูดพลังชีวิตที่แรงที่สุด
(6) กินอาหารให้พลังชีวิต คืออาหารพืชผักผลไม้ที่หลากหลายใหม่ๆสดๆ
(7) นอนหลับให้พอ
(8) อยู่กับน้ำ ขยันดื่มน้ำ ขยันอาบน้ำ เพราะน้ำเป็นตัวขับเคลื่อนพลังชีวิตในร่างกายเรา และน้ำข้างนอกน้ำข้างในมันเสริมพลังกันได้ นี่เป็นอีกหนึ่งหลักไสยศาสตร์ หิ หิ
(9) อยู่กับธรรมชาติ สายลม แสงแดด ต้นไม้ อากาศดีๆ
(10) นั่งสมาธิวางความคิดเข้าสู่ความรู้ตัวที่ปลอดความคิดเป็นอาจิณ เพราะ ณ ที่ที่หมดความคิด คือที่ที่พลังชีวิตท็อปฟอร์มสูงสุด
4.. ถามว่าเมื่อมีพลังชีวิตแล้วเราจะให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างไร ตอบว่าก็ใช้วิธีง่ายๆที่คิดเอาได้จากสามัญสำนึกเช่นกัน เช่น
(1) แค่ไปยืนใกล้ ยิ้มให้ ส่งผ่านความเบิกบานทางสีหน้าและสายตา แค่นี้ก็เวอร์คแล้ว
(2) ถ้าขยันพูดหน่อยก็อาจจะพูดว่า..ผมมาเยี่ยมนะ หรือ ผมลากลับแล้วนะ แค่นี้ก็เยอะแล้ว ส่วนคำพูดมาตรฐานเช่น ..สู้ๆนะ ..หายไวๆนะ ทั้งๆที่เรารู้ว่าเขาจะไม่หายแล้ว ถ้าอยากพูดก็พูดได้ มันไม่ถึงกับเสียหายอะไร แต่มันไม่มีพลังเท่ากับการส่งผ่านความผ่อนคลายและเบิกบานผ่านรอยยิ้ม สีหน้า และสายตา
ส่วนที่ไม่ควรพูดเลยคือการอบรมสั่งสอนหลักธรรมะอนิจจังทุกขังอนัตตาให้ผู้ป่วย หรือสอนให้ผู้ป่วยรีบแบ่งสมบัติ เพราะถ้าผู้ป่วยแรงดีอยู่ตัวคนพูดอาจได้รับพลังงานจากอวัยวะเบื้องต่ำได้ ประเด็นก็คือคนที่อยู่ใกล้ความตายย่อมจะรู้จักความตายดีกว่าคนที่อยู่ไกล ดังนั้นคุณไม่ต้องไปอบรมสั่งสอนเขาในเรื่องนี้
(3) ถ้าสนิทกันก็เสนอให้ความช่วยเหลือ เช่น..พูดด้วยความรู้สึกจริงใจว่าท่านมีอะไรจะให้ผมช่วยก็บอกได้เลยนะ หรือเสนอสิ่งที่คาดหมายว่าผู้ป่วยอยากได้ เช่น ให้ผมไปรับหลานที่โรงเรียนแทนไหม เป็นต้น
(4) ถ้าสนิทกันยิ่งขึ้นไปอีก ก็อาจจะนั่งด้วยกันเงียบๆนานๆแล้วค่อยๆเริ่มการสนทนาเช่น..พี่มีอะไรที่อยากจะเล่าอยากจะคุยไหม แล้วก็ทำท่าตั้งใจรับฟัง พูดตอบสนองแต่น้อย ฟังให้มากๆ
(5) ถ้าสนิทกันมากยิ่งขึ้นไปอีก และมั่นใจว่าตนเองมีพลังชีวิตดี ก็อาจสัมผัส จับมือ ใช้จินตนภาพส่งพลังชีวิตหรือเมตตาธรรม ผ่านการสัมผัส
(6) ก่อนกลับต้องไม่ลืมให้การพยุงทางจิตวิทยา (psycho support) แก่ญาติหรือคนเฝ้าไข้ พูดดีๆด้วย ซื้ออาหารดีๆไปฝาก และเสนอตัวช่วยเหลือต่างๆเท่าที่ตนทำได้และอยากทำให้อย่างจริงใจ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์