30 พฤศจิกายน 2562

(เรื่องไร้สาระ3) Warehouse Conversion


   ก่อนจะขึ้นเรื่องไร้สาระเรื่องใหม่ขอรายงานโครงการเกษตรหลังตรงว่าได้ดำเนินมาจนผักโตกินได้มาหลายวันแล้ว แม้ว่าจะเสียค่าโง่บ้างไปในบางประเด็นเช่น (1) ไม่รู้หรือว่าอากาศกรุงเทพมันร้อนตับแล่บจนผักทนแดดไม่ได้ชนิดที่เหี่ยวเป็นผ้าขี้ริ้วตากแห้งไปเลย ต้องไปหาซาแลนท์มาคลุมจึงจะพอรอดชีวิตมาได้บางส่วน แต่ก็ไม่วายไหม้ตามขอบใบเพราะความร้อน (2) ผักแต่ละชนิดแก่ไม่เท่ากัน เมื่อเก็บกินพร้อมกัน ชนิดหนึ่งหวานพอดี อีกชนิดหนึ่งแก่ขมปี๋ไปแล้ว (3) ปุ๋ยอินทรีย์ที่เอามาใส่ผักรุ่นแรกนี้ดูสีหน้าผักแล้วมันบอกว่า ฮึ..ฮึ ไม่ชอบ แฟนบล็อกท่านใดมีโนว์ฮาวเรื่องปุ๋ยอินทรีย์ (หมักแล้ว) ที่ควรใช้ปลูกผักช่วยบอกหมอสันต์เอาบุญด้วย

     กล่าวโดยสรุปโครงการเกษตรหลังตรงได้ผักรุ่นแรกสำเร็จ 70% แม้ผักบางส่วนจะขมแต่หมอสันต์ก็ไม่เดือดร้อนมากนักเพราะไม่ต้องทนกินคนเดียว หิ หิ ใช้วิธีแจกจ่ายให้เพื่อนบ้านและญาติมิตรช่วยกันหารเอาความขมขื่นไปกินคนละนิดคนละหน่อย

     เอาละ คราวนี้มาคุยกันเรื่องโครงการไร้สาระโครงการใหม่ ความเป็นมามีอยู่ว่าผมมีคนไข้เป็นคนมีอันจะกินอยู่ตามเมืองใหญ่ต่างๆทั่วเมืองไทย ถ้าเห็นว่าวัยของเขาหรือเธอยังไม่มาก ยังมีเรี่ยวมีแรง ผมก็มักจะยุให้สร้างยิมหรือสถานที่ออกกำลังกายหรือทำร้านอาหารสุขภาพขายในเมืองของตน บ้างก็ทำตามผมแนะนำ ซึ่งก็ได้เงินบ้าง เจ๊งบ้าง แต่ผมรู้ว่าไม่มีใครเดือดร้อนหรอก เพราะคนที่ผมแนะนำล้วนเป็นคนมีเงินเหลือใช้กันทั้งนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งผมแนะนำให้ผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งอยู่ทางหนองคายว่าให้ตั้งยิมออกกำลังกายคนแก่ขึ้นในอำเภอของเขาเอง เขาย้อนถามผมว่ามวกเหล็กก็ไม่มีที่ออกกำลังกาย ทำไมหมอสันต์ไม่ตั้งบ้างละครับ หิ หิ โดนย้อนแบบนี้หมอสันต์ก็เลยม้วนเงียบ

สิริโฉมของโกดังเก่าโกโรโกโส เหมาะที่จะรื้อทิ้งอย่างเดียว
     ต่อมาวันหนึ่งผมขับรถผ่านไปทางถนนสนิทไชย ซอย 4 ซึ่งเป็นชายขอบของเขตเทศบาลเพื่อไปเดินริมคลองมวกเหล็ก ดูป่าดิบชื้นที่ผมปลูกต้นไม้เสริมไว้ และดูกิ้งก่า ดูตัวเงินตัวทอง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผมชอบเมื่อมึนจากงาน ก็ได้เห็นว่าโรงถลกหนังไก่เก่าโกโรโกโสตรงหัวโค้งซอยได้เลิกกิจการและขึ้นป้ายขายในราคาสองล้านหกแสนบาท (120 วา) มีโกดังเก่าอยู่หลังหนึ่ง เหลือบดูตัวโกดังโกโรโกโสนั้นแว่บเดียวแล้วก็รู้ว่าต้องเผื่องบประมาณรื้อทิ้งไว้อีกสามสี่หมื่นบาท แต่ข้อดีของที่แปลงนี้ก็คือมันอยู่ติดโรงเรียนผู้สูงอายุของเทศบาลซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จ คิดสะระตะโหลงโจ้งแล้วผมจึงตัดสินใจซื้อที่นั้นไว้ ตั้งใจจะรื้อโกดังเก่าโกโรโกโสนั้นทิ้งเพื่อปลูกหญ้าให้สบายตาแก่ผู้ผ่านไปมา รอจนกว่าผมเองจะมีเวลาว่างจึงค่อยมาคิดอ่านว่าจะเอาที่นั้นทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคนมวกเหล็กได้บ้าง คิดแล้วจึงเรียกผู้รับเหมามาถามว่าคุณรื้อโกดังออกให้หมดปรับเป็นสนามปลูกหญ้าเรียบให้เขียวขจีต้องเสียเงินเท่าไหร่ ของที่รื้อออกมาได้ผมยกให้คุณหมด ผู้รับเหมาเดินสำรวจอยู่หลายอึดใจแล้วก็บอกว่า "สองแสนห้าครับ" ผมตลึง ตลึ่ง ตะลึ่ง อ้าปาก

     "โอ๋ว..ว แค่รื้อโรงสังกะสีเนี่ยนะ แล้วข้าวของที่รื้อได้ผมก็ยกให้คุณหมด" ผู้รับเหมาแจงสี่เบี้ยว่า

     "ไม่มีอะไรใช้ได้หรอกครับ มีแต่พื้นปูน เหล็กก็เป็นสนิมหมดแล้ว หลังคาเมทัลชีทแบบนี้ถอดเมื่อไหร่ก็พังเมื่อนั้น ผมต้องเสียเงินค่าขนไปทิ้งอีก แถมพื้นมีบ่อมีหลุมซิเมนต์อยู่แยะผมต้องเอาบัคโฮข่วนออกหมดก่อนจึงจะเอาดินเข้ามาปรับปลูกหญ้าได้"

     ผมไม่ได้นำโครงการรื้อโกดังนี้เสนอขออนุมัติงบจาก ม. หรอก เพราะตอนจะซื้อที่เธอก็ห้ามแล้วห้ามอีกว่าจะซื้อมาทำไม เสนอไปโครงการก็ไม่ผ่านแหงๆ

     ผมเกิดความคิดปิ้งแว้บขึ้นมาว่า..สองแสนห้า น่าจะพอเอามาทำโปรเจ็คไร้สาระอีกสักโปรเจ็คหนึ่งได้นะ แบบที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า Warehouse Conversion คือปรับโกดังเก่านี้ให้เป็นอาคารที่ใช้ประโยชน์ได้ คิดได้แล้วก็ทำเลย จ้างคนงานมาคนหนึ่งเลือกคนที่ฝีมือเป็นสาระพัดช่างได้ด้วย แล้วก็มอบหมายให้ค่อยๆทำงานนี้ไปต๊อกแต๊ก ต๊อกแต๊ก แบบหวานเย็น

     เริ่มด้วยฉีดน้ำล้างผิวด้านในของแผ่นเมทัลชีทที่มุงหลังคา ขูดสนิมแล้วทาสีโครงหลังคาใหม่ แล้วก็ขูดทำความสะอาดพื้น ทีนี้ก็มาผนัง จะเอาไงกับมันดี เพราะโกดังนี้มีผนังทึบสนิทแบบไม่ต้องคิดมากโดยท่อนบนเปิดโล่งโจ้งไว้ซึ่งจะทำให้โกดังใช้การไม่ได้ เพราะหากเอาของมาเก็บบรรดาขี้ยาหรือขโมยซึ่งชุกชุมในแถบนี้ของเมืองก็จะมาขนออกไปโดยง่าย จำเป็นต้องทำผนังให้ครบทุกด้าน จะทำผนังทั้งทีก็ต้องคิดซะหน่อยว่าจะทำแบบไหน รู้ๆอยู่ว่าแบบไหนก็ไม่สวยไม่เนี้ยบทั้งนั้นแหละเพราะมันเป็นแค่โกดังเก่าๆสร้างมาโดยช่างปถส. (ประถมสี่) ที่ไม่ได้ฉากได้มุมได้ระดับอะไร อย่ากระนั้นเลย ทำผนังแบบทำทีให้เป็นบ้านเก่าๆซอมซ่อๆซะเลยจะได้สมจริง แต่บ้านไทยเก่าๆก็ไม่เข้ากับทรงโกดังหลังคาเตี้ยไร้หน้าต่างแบบนี้ น่าจะต้องเป็นบ้านเก่าแบบยุโรป เอาเป็นแบบเรือนเก่าๆของเด็นมาร์คก็แล้วกันเพราะมวกเหล็กนี้มีปูมหลังสัมพันธ์แนบแน่นอยู่กับเด็นมาร์ค ผมนึกถึงบ้านโบราณสร้างด้วยโครงไม้ซุงผนังอัดด้วยปูนผสมหญ้าในอดีต ซึ่งทุกวันนี้ยังพอมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างที่ตำบลอาร์ฮัส (Aarhus) ที่ประเทศเด็นมาร์ค จึงจะเลียนแบบบ้านโบราณที่นั่นหลังหนึ่ง ตั้งชื่อล่วงหน้าให้เสร็จว่า "บ้านเด็นมาร์ค" แล้วก็เขียนแบบแนวคิดหรือ conceptual design ด้วยปากกาลูกลื่นลงบนฝาลังกระดาษแล้วฉีกยื่นให้ผู้ซึ่งจะเป็นทั้งวิศวะเกิน ช่างเทคนิค และกรรมกร แบบออลอินวัน ใช้ยึดถือเป็นแบบก่อสร้าง หิ..หิ ใครจะไปรู้ วันหนึ่งมันอาจกลายเป็นบ้านที่ทำให้ผู้คนทึ่งและมีความสุขขึ้นมาก็ได้

     "...นี่คือสถาน แห่งบ้านทรายทอง ที่ฉันปองมาสู่
ฉันยังไม่รู้ เขาจะต้อนรับ ขับสู้เพียงไหน
อาจมียิ้มอาบ ฉาบบนสีหน้า ว่ามีน้ำใจ
แต่สิ่งซ่อนไว้ ใน ดวงจิต คือความริษยา

     ..เขตรั้วไพศาล โอบบ้านทรายทอง
คือแขนของ พระเจ้า
ขอจงเอื้อมมือ และโอบกอดเรา ผู้ผ่านเข้ามา..."

    เพื่อแก้ความเลี่ยนของผนังโกดังอันเวิ้งว้าง ผมเอาไม้ปลอมมาคาดไขว้กันไปมาแบบบ้านโครงไม้ซุง ตัวผนังก็พอกปูนให้ดูเหมือนผนังสมัยเก่าที่ยังใช้มือเปล่าก่อปั้นปูน ในระหว่างนั้นวันหนึ่งผมไปคุยธุระกับคุณลุงคนหนึ่ง ได้ไปเห็นประตูกระจกเก่ากรอบไม้สักอย่างหนาที่โรงไม้เก่าของแก เป็นประตูเก่ารื้อออกมาจากสถานีรถไฟที่ไหนสักแห่งเพราะยังมีตรารฟท.ติดอยู่หราบนกระจก ดูคลาสสิกถูกใจมากจึงขอซื้อมาใส่เป็นบานประตูทางเข้าโกดัง มีรวมกันทั้งสิ้น 6 ประตู ท่านผู้อ่านคงคุ้นกับประตูกระจกทั่วโลกที่บานสูงใหญ่สวิงเข้าออกสะดวกสบาย กรอบเป็นเหล็กหุ้มพีวีซี.สีขาวบ้าง อลูมิเนียมอบขาวบ้าง แต่ลองจินตนาการประตูแบบเดียวกัน แต่กรอบเป็นไม้สักที่หน้ากว้างเป็นคืบวิ่งตามขอบโดยไม่มีอะไรยึดโยงรบกวนพื้นที่บานกระจกเลย นึกภาพถ้าทากรอบให้มันนิดๆแต่เห็นลายไม้สัก โอ้..ของเท่ๆอย่างนี้ในอนาคตจะหาได้จากที่ไหนอีกเนี่ย หนึ่งในหกของบานประตูเก่าที่ได้มาเป็นบานประตูไม้สักสลักลายลิเกนิดๆ ผมกะว่าจะเอามาเปลี่ยนเป็นประตูบ้านแบบยุโรปด้วยการย้อมสีดำ โห..ในเมืองไทยนี้ถ้าไม่นับศิลปินรุ่นพี่ของผมคนหนึ่งผู้ล่วงลับไปแล้วซึ่งสร้างบ้านทั้งหลังเป็นสีดำสนิททั้งประตูหน้าต่าง คิดหรือว่าสมัยนี้จะมีใครบ้าทำประตูบ้านสีดำอีก แต่ตอนนี้จะมีแล้ว..หิ หิ ตัวหมอสันต์นี่ไง

     จากตัวโกดังก็มาซ่อมรั้วซึ่งเดิมเป็นกำแพงอิฐบล็อกทึบ เจาะรูรั้วทางด้านสวนริมน้ำให้เป็นรูปอาร์คโค้งให้ลมผ่านได้และมองเห็นวิวสวนซึ่งอยู่อีกฝังของถนน เอาต้นตีนตุ๊กแกมาปลูกให้เลื้อยขึ้นเพื่อลดงบประมาณโบกปูนทาสี แถมช่วยสร้างความเป็นธรรมชาติด้วย ระหว่างทำงานมีต้นตะขบขึ้นเองริมกำแพงสองต้น คนงานกำลังเงื้อง่าจะขุดทิ้ง ผมบอกว่าทิ้งมันไว้งั้นแหละ ประหยัดค่าหาต้นไม้ให้ร่มเงามาปลูก และลูกตะขบก็กินได้

     คราวนี้ก่อนจะทำภายในก็ต้องมาคิดก่อนว่าจะใช้โกดังนี้ทำอะไร ผมลองจินตนาการว่าถ้าผมเป็นคนมวกเหล็กซึ่งมีพิมพ์นิยมว่ารูปร่างท้วม ชอบกินหวาน และเป็นเบาหวาน (เพราะรพ.มวกเหล็กนี้มีคนไข้เบาหวานถึง 1500 คน) ผมควรมีโอกาสได้ทำอะไรเพื่อให้ชีวิตของผมดีขึ้นบ้าง คำตอบคือผมก็ควรจะมีโอกาสได้ลองกินอาหารแบบใหม่ที่ช่วยลดน้ำหนักได้ รักษาเบาหวานได้ ได้ทดลองออกกำลังกายเป็นวิถีชีวิตใหม่ ดังนั้นถ้าเปลี่ยนกุดังนี้เป็นสตูดิโอออกกำลังกายที่มีอาหารสุขภาพง่ายๆเช่นสลัด น้ำปั่น ขนมปังโฮลวีท วีแกนโปรตีนบาร์ วีแกนเบอร์เกอร์ แซนด์วิช ปิซซ่า ทาโค เบอริโต้ ที่ทำจากพืชล้วนๆ เค้ก คุ้กกี้ ที่ทำจากแฟล็กซีดและแป้งโฮลวีทใส่ถั่วและนัทแยะๆด้วย น้ำปั่นจากผักผลไม้ น่าจะเป็นการให้ทางเลือกที่ดีแก่ชาวมวกเหล็กได้ ตรงกลางนี้ทิ้งไว้เป็นลานโล่งๆเผื่อติดตั้งเครื่องออกกำลังกาย เน้นสไตล์ personal training สอนเล่นกล้าม แปลงร่างลดพุง ปรับบุคลิก ฝึกการทรงตัวให้ผู้สูงวัย ทำเคาน์เตอร์ชงกาแฟและทำสลัดเป็นเคาน์เตอร์แบบมีโคมห้อยลงมาเป็นแถวเป็นแนว สไตล์ร้านกาแฟที่ดัดแปลงมาจากโกดังเก่า ดังตัวอย่างเช่นร้านกาแฟสตาร์บัคร้านแรกที่เมืองซีแอตเติล มุมหนึ่งของโกดังก็ติดม่านสร้างความเป็นส่วนตัวเอาไว้รับลูกค้าสูงวัยเผื่อต้องมีการนวดบำบัด จัดกระดูก ปรับท่าร่างบุคลิก ฝึกการทรงตัว ถ้ากิจการดังกล่าวไปไม่รอดก็เปลี่ยนมุมนี้เป็นห้องทำผมแต่งหน้าสตรีไปซะเลยก็ยังได้ หิ..หิ
จ๊ะเอ๋ หนูชื่อบ้านเด็นมาร์ค พี่จำหนูได้หรือเปล่า?

     โอเค.คราวนี้ถึงเวลาทาสี ผนังโกดังส่วนที่เป็นปูนผมตั้งใจจะทาสีแดงช้ำเลือดช้ำหนองแบบผงแร่ออร์ค (ochre) ที่ทากันในยุโรปเหนือ แต่วันหนึ่งหมอสมวงศ์ชวนไปออกกำลังกายด้วยการเดินชมงานบ้านและสวน ไปเห็นเขาขายสีเลหลังรุสต๊อค เป็นสีส้มแจ๊ด..ด....ด น่าเกลียดจนไม่มีใครซื้อแต่ราคาถูกเหลือเชื่อ คิดถึงคำพูดของเพื่อนชาวอังกฤษคนหนึ่งซึ่งเวลาเห็นใครทาสีบ้านแบบสะเหร่อๆก็จะวิจารณ์ค่อนแคะว่าคงซื้อสีตอนเขารุสต๊อค แต่ราคาขนาดนี้เนี่ยมันเหมาะกับโครงการโกดังเก่ามากเลย เอาละวะ แจ๊ดก็แจ๊ด จึงได้สีส้มมาแทนสีแดงออร์คเพราะราคาดลใจ วิธีทาสีของผมก็ไม่ให้ใช้แปรงทาแบบธรรมดา แต่ให้ผสมสีกับปูนให้ข้นแล้วใช้เกรียงปาดสีแทนโดยไม่ต้องปรับเรียบหรือขัดผิวหลังจากสีแห้ง ทิ้งมันไว้เป็นก้อนๆขรุขระอย่างนั้นแหละ ส่วนโครงเคร่าไม้ซุงปลอมก็นั้นผมทาสีดำแบบเข้มปึ๊ด ทาแบบใช้แปรงขนหยาบลากยาวเพื่อให้เห็นลายขนแปรงแทนลายไม้ ผมทาเป็นตัวอย่างให้ช่างดู นี่ ทาอย่างนี้นะ แล้วเราสองคนก็ช่วยกันทา ช่างทาได้เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ผมทาได้ห้าเปอร์เซ็นต์

     ในที่สุด ก็ ฮ้า..ทาสีภายนอกเกือบเสร็จแล้ว จ๊าบมาก ไม่เชื่อดูรูปถ่าย

     มาถึงตอนนี้ งานอดิเรกที่หมอสันต์ถนัดคือทำเรื่องไร้สาระใกล้จะจบลงแล้ว งบประมาณสองแสนห้าก็ใกล้จะหมดแล้ว เหลือขั้นตอนเอามันไปทำให้เกิดประโยชน์จริงๆซึ่งหมอสันต์ไม่ถนัดต้องหาคนอื่นมาทำ หันไปหันมาไม่เห็นใคร เห็นก็แต่ลูกสาวของตัวเองนี่แหละ ตัวเล็กๆใช้ง่าย เอ้า ลูกเอาร้านนี้ไปทำต่อ รายละเอียดเธอจะทำอะไร ทำเมื่อไหร่ ทำยังไง จะทำได้ไหม จะกำไรหรือขาดทุน ช่างเธอเถอะ เพราะนั่นเป็นเรื่องของเธอ แต่เมื่อเธอเปิดร้านเมื่อไหร่ท่านผู้อ่านที่ผ่านไปทางตลาดมวกเหล็กช่วยไปอุดหนุนเธอหน่อยนะ แถ่น แทน แท้น..

      "บ้านเด็นมาร์ค..เพื่อสุขภาพชาวมวกเหล็ก"

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

29 พฤศจิกายน 2562

ถามหมอสันต์ถึงการเข้าทรง (channelling) และตั้งตนเป็นผู้ตรัสรู้ (ascended master)

สวัสดีค่ะอ.สันต์
ดิฉันและสามี(ต่างชาติ)เป็นคู่หนึ่งที่แสวงหาชีวิตด้านจิตวิญญาณ เรามีความเหมือนกันในด้านการดูแลสุขภาพที่จะเน้นธรรมชาติบำบัด ทานมังสวิรัติ แต่ทางด้านจิตวิญญาณนี่สิคะ เป็นอะไรที่คับข้องใจจนเกิดความสับสนว่าใครไปถูกทางหรือหลงทางกันแน่ ดิฉันไม่ได้เข้าคอร์สสำนักใดๆ อาศัยหาความรู้ทางอินเตอร์เนต และฟังธรรมะทั้งพุทธและคริสต์ รวมทั้งการถ่ายทอดชีวิตด้านจิตวิญญาณของอ.สันต์ ก็ทำให้อยู่กับปัจจุบัน มีความสุขและพอใจกับความเป็นอยู่ ที่เน้นความสมถะ เรียบง่ายและพอเพียง เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นนั่งสมาธิจนเกิดปัญญาญาณ แต่คุณสามีไปมาทัวร์มาหลายคอร์ส ทั้ง channelling , healing , meditation ฯลฯ แต่ดูๆแล้วยังเอาตัวเองไม่รอด เวลาเกิดปัญหาเช่นเครียดจากงาน หรือเกิดอาการแพ้แบบ Asthma จากโรคภูมิแพ้ที่เป็นอยู่บ่อยๆก็ยังไม่สามารถจัดการได้อย่างคนรู้ตัวหรือมีสติ เลยไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาฝึกมาเป็นความรู้ตัวแบบหลงหรือเปล่า ส่วนหนี่งที่เขาเข้าคอร์สเหล่านี้ก็เพื่อรักษาตัวเองด้วย ที่ดิฉันไม่เข้าคอร์สด้วยเพราะไม่ศร้ทธา และเห็นว่ายังเป็นวัตถุนิยม ยึดติดในสิ่งที่มองไม่เห็น แทนที่จะเป็นความหลุดพ้น จากประสบการณ์ของอาจารย์ คนเราสามารถติดต่อกับเทวดาหรือAscended masters ใดๆได้จริงหรือคะ และอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรกับคอร์สทางด้านจิตวิญญาณของตะวันตก
ส่วนตัวดิฉันก็คงได้แต่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นจากอาการผิดปกติของเขาที่เกิดขึ่นคล้ายๆ psychosomatic syndrome เพราะบางครั้งเป็นมาก แทบหายใจไม่ออก พอไปหาหมอก็ครวจไม่พบความผิดปกติใดๆ
ขอบคุณค่ะ

........................................................

ตอบครับ

ก่อนตอบคำถามขออนุญาตนิยามศัพท์เพื่อให้ท่านผู้อื่นตามทัน

channelling คือการเข้าทรง

(faith) healing คือการรักษาโรคโดยอาศัยความศรัทธา

ascended master คือผู้บรรลุธรรมที่ขยันสอนคนอื่น ทั้งประเภทที่ยังมีอยู่ตัวเป็นๆอยู่ และทั้งประเภทที่ตายไปแล้วแต่ (ว่ากันว่า) ยังขยันสอนคนอื่นอยู่

psychosomatic syndrome คือกลุ่มอาการผิดปกติทางร่างกายที่เกิดจากสาเหตุทางด้านจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากความคิดวิตกกังวล

เอาละ คราวนี้มาตอบคำถาม

     1. ถามว่าหมอสันต์เชื่อเรื่องคนทรงและการเข้าทรงเจ้าเข้าผีไหม ตอบว่า หิ..หิ ไม่รู้ครับ ไม่รู้แปลว่า "ไม่เชื่อ" และไม่ "ไม่เชื่อ" ฟังให้ดีนะคำหลังนี้ มี "ไม่" อยู่สองคำซ้อนกัน โดยสรุป "ไม่รู้" แปลว่ายังเปิดรับการเรียนรู้ แต่ "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ" แปลว่าปิดการเรียนรู้ในเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

     ผมแนะนำว่ากับเรื่องใดๆที่มาสู่การเรียนรู้ของคุณ อย่าไปโฟกัสที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อนิทานที่คนเล่าใช้ประกอบเรื่อง แต่ให้โฟกัสที่ทั้งหมดนั้นคุณจะหยิบอะไรไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง ผมเคยดูการเข้าทรงของคนทรงคนหนึ่ง ถ้าผมเขียนชื่อท่านไม่ผิด ชื่อ Darryl Anka เขาบอกใครๆว่าเขาเข้าทรงมนุษย์ต่างดาวชื่อ Bashar แต่สิ่งที่ผมเห็นคือวิธีสอนระดับอัจฉริยะ คือครู (หมายถึงคนทรงที่กำลังถูกเข้าทรงโดยมนุษย์ต่างดาว) จะจี้ตอบคำถามผู้ถามทันทีแบบสวนกลับเจาะเข้าประเด็นโครมทันทีที่คำถามจบลงโดยให้คนฟังเก็ทแล้วขำด้วย แล้วว่าก็ว่าเถอะ เขาเป็นคนเดียวที่ผมเห็นว่าอธิบายสาระของเวลาในใจคน (psychological time) ได้อย่างกระจ่างแจ้งและเข้าใจง่าย ผมไม่รู้และไม่สนใจด้วยว่าการเข้าทรงเป็นเรื่องจริงไหม มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม แต่สิ่งที่ผมเอาไปใช้ประโยชน์ได้คือคำสอนคำอธิบายนั้นเอามาใช้ในชีวิตจริงได้เลยทันที

     2. ถามว่าหมอสันต์เชื่อเรื่อง ascended master หรือคนที่บอกว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้วมาสอนคนอื่นไหม รวมทั้งที่ตายไปแล้วก็ยังมาสอนได้อยู่มีจริงไหม ตอบเหมือนข้อ 1. ครับ ว่า..ผมไม่รู้ เพราะผมเองไม่ได้เป็น ascended master ทั้งประเภทที่ตายแล้วและประเภทยังไม่ตาย เพราะอย่าว่าแต่ระลึกชาติไม่ได้เล้ย..ย เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้นในชีวิตบ้างผมก็ชักจะจำไม่ได้เสียแล้ว และผมแนะนำคุณเหมือนข้อ 1 คือ คุณหยิบเอาส่วนที่ใช้ได้มาใช้ ส่วนไหนคุณใช้ไม่ได้ก็ทิ้งไป ไม่ต้องไปสนใจที่ส่วนประกอบปลีกย่อยที่เป็น gimmick ประกอบการขาย เพราะส่วนนั้นมีแต่จะก่อความคิดในหัวคุณมากขึ้นในรูปของการเชื่อหรือไม่เชื่อ

     ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้มีคนหนุ่มๆตัวเป็นๆคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงว่าเป็น ascended master ชื่อดัง ชื่อจริงท่านชื่ออะไรไม่รู้ ผมขอเรียกย่อๆว่า Master M. ก็แล้วกันนะ ท่านจะมีหน้าตาคล้ายๆจีซัสและไว้ผมไว้หนวดทรงเดียวกับจีซัส

     เดี๋ยวก่อนนะ เขียนมาถึงตอนนี้ขอนอกเรื่องหน่อย เพิ่งนึกได้ พูดถึงการทำหน้าตาไว้หนวดไว้เคราให้เหมือนจีซัส นานหลายสิบปีมาแล้ว ผมขับรถผ่านไปทางชายขอบของประเทศเยอรมันส่วนที่ต่อกับชายแดนออสเตรีย จะมีตำบลหนึ่งชื่อโอเบอรามเมอร์เกา (Oberammergau) ซึ่งตลอด 420 ปีที่ผ่านมานี้ ทุกสิบปีชาวบ้านที่นั่นจะเล่นละครกลางแจ้งเรื่องเกี่ยวกับจีซัสและพระนางแมรี ชื่อละคร Passion Play เป็นละครที่คนทั่วโลกตีตั๋วจองล่วงหน้าหลายปีกว่าจะได้มานั่งดูเพราะเล่นกันมาทุกสิบปีนานสี่ร้อยปีโดยไม่เคยขาด คนแสดงก็เป็นชาวบ้านนั่นแหละ ต้องซ้อมกันล่วงหน้าเป็นปี แค่ขายตั๋วให้นักท่องเที่ยวไปนั่งดูการซ้อม อบต.ที่นั่นก็รับทรัพย์อื้อแล้ว พอปีที่ใกล้ๆจะครบรอบคัดเลือกตัวผู้เล่นละคร คุณไปเที่ยวที่นั่นจะเห็นคนหนุ่มๆเมืองนี้มีหน้าตาทรงผมและหนวดเคราแบบจีซัสและเดินเหินด้วยท่าทางแบบจีซัสกันหมด อะเมซซิ่งทิงนองนอยมาก สาเหตุไม่มีอะไร เป็นเพราะคนหนุ่มทุกคนต่างก็อยากได้รับคัดเลือกจากแมวมองให้ไปเล่นเป็นพระเอกในละครกลางแจ้งบันลือโลกนี้

     กลับมาเรื่อง Master M. ต่อ ถ้าคุณทิ้งส่วนที่เป็นเปลือกนอกและเรื่องเล่าประกอบต่างๆรวมทั้งการระลึกชาติและเรื่องพิศดารอื่นๆไปเสียนะ คุณลองนั่งฟังการสอนของเขาสักหนึ่งคลิปวิดิโอสิ หลายปีมาแล้วผมมีโอกาสได้ฟังการสอนเรื่อง "The Eternal Now" โอ้..เจ๋งนะ เอามาใช้การจริงได้เลย ดังนั้นคุณอย่าไปสนใจเรื่องราวพิศดารประกอบ ไม่ว่าจะเป็น faith healing การใช้ลูกแก้ว การใช้หินหรือหยกให้พลัง หรืออะไรก็ตาม ทิ้งเรื่องราวประกอบไปเสีย แล้วลองเลือกหยิบส่วนที่น่าจะมีประโยชน์มาทดลองใช้ ถ้าใช้ได้ก็ใช้ต่อ ถ้าใช้ไม่ได้ก็ทิ้งไป

      3. ถามว่าคุณสามีไปมาทัวร์มาหลายคอร์ส ทั้ง channelling , healing ฯลฯ แต่ยังเอาตัวเองไม่รอด เวลาเครียดจากงานก็ยังสติแตก อย่างนี้มันเป็นความหลงหรือเปล่า ตอบว่าเวลาคุณมุ่งแสวงหาความหลุดพ้น การจะบอกว่ามาถูกทางหรือผิดทาง เป็นการปล่อยวางหรือเป็นความหลง คุณใช้ตัวชี้วัดสองตัวเท่านั้น คือ (1) ถ้าคุณมีความคิดน้อยลง คุณมาถูกทางแล้ว (2) ถ้าคุณมีความเบิกบานในใจมากขึ้น คุณมาถูกทางแล้ว

     4. ถามว่าหมอสันต์มีความคิดเห็นอย่างไรกับคอร์สทางด้านจิตวิญญาณของตะวันตก ตอบว่าอ้าวถาม อย่างนี้จะมายุให้หมอสันต์แขวะครูของตัวเองเสียแล้วสิ เพราะผมเองก็มีครูหลายคน บางคนก็เป็น spiritual teacher ในโลกตะวันตก บางคนเป็นโยคีเล่นกับงูเห่าก็จริง แต่ก็เป็นโยคีแบบขี่มอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์เดวิดสันและตีกอลฟ์ด้วย หิ หิ ถามว่าผมมีความคิดเห็นอย่างไรกับครูเหล่านี้หรือ ตอบว่าทุกคนก็มีส่วนช่วยชี้ทางสว่างให้ผมคนละนิดคนละหน่อย เพราะผมใช้หลักของบรู้ซลี ซึ่งผมถือว่าเป็นครูอีกคนหนึ่งของผม ว่าขี้ปากใครว่าอะไรดีให้เอามาลองปฏิบัติดูให้หมด อันไหนใช้ได้ก็เก็บเอาไว้ใช้ อันไหนใช้ไม่ได้ก็ทิ้งไป ถ้าปะเหมาะก็เหยาะของตัวเองเสริมเข้าไปบ้าง ดังนั้นกล่าวโดยสรุป ผู้สอนทางจิตวิญญาณแบบฝรั่งทุกคนดีหมดครับ ขอให้เรารู้จักเลือกหยิบส่วนที่ใช้การได้มาใช้ อย่าไปเกี่ยงตรงนิทานประกอบการขายเลย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

26 พฤศจิกายน 2562

หนูทำดีทุกอย่าง แต่ทำไมเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจได้ (cardiomyopathy)

ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับความรู้ของโรคหัวใจ
รบกวนสอบถามคุณหมอสันต์นะคะ ดิฉันไม่มีความเสี่ยงของโรคหัวใจ ไม่อ้วน ไม่เป็นความดัน ไม่เป็นเบาหวาน ไม่มีความด้น ไม่สูบบุหรี่ และกินมังสะวิรัติครบ 3 เดือนต่อด้วยกินเจอีก 10 วัน ทำไมเป็นโรคหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง ได้คะ

......................................................

ตอบครับ

     ข้องใจว่าตัวเองดูแลปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจเสียดิบดี ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ ไขมัน ความดัน เบาหวาน แต่ทำไมเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงได้ ผมเข้าใจว่าคุณคงหมายถึงโรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy) ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ มันคนละโรคกัน โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการนี้เป็นโรคที่วงการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุ รู้แต่ว่าผู้ป่วยจำนวนหนึ่งเป็นมาตั้งแต่กำเนิด อีกส่วนหนึ่งเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมาก่อน แต่ส่วนใหญ่ไม่มีสาเหตุใดๆทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหรือโรคหัวใจขาดเลือดด้วย เขียนมาถึงตรงไม่เกี่ยวอะไรกันนี้ นึกขึ้นได้ขอนอกเรื่องหน่อยนะ   

     หลายสิบปีมาแล้ว ผมไปเยี่ยมแม่ยาย สมัยโน้นพี่คนหนึ่งของภรรยาผมท่านยังรับราชการเป็นครูอยู่ แล้วหลานชายของผมคนหนึ่งเพิ่งอายุราวเก้าขวบสิบขวบร้องเพลงดังลั่นตามประสาเด็ก ว่า

     "...ดูตำราตั้งตีห้าตีหก

     มันก็ยังสอบตก เป็นเพราะเหตุอะไร.."

     แล้วก็ได้ยินเสียงพี่สาวที่เป็นครูตะโกนออกมาจากก้นครัวว่า

     "..ก็เพราะมันโง่นะสิ"

     ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

     แล้วก็เกิดเป็นปากเสียงระหว่างป้ากับหลาน ข้างป้าก็ยืนยันว่าเพราะมันโง่ ข้างหลานก็พยายามจะอธิบายให้ป้าฟังว่าไม่ใช่ เพราะตอนท้ายของเพลง หลานร้องเพลงเฉลยว่า

     "....ก็ดูหนังสือลามก มันจะไม่ตกได้ยังไง
     (มันจะไม่ตกได้ยังไง)
     มันจะไม่ตกได้ยังไง..."

    ฮะ ฮะ ฮ่า แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

     ไหนๆคุณถามเข้ามาแล้ว วันนี้ขอถือโอกาสพูดถึงโรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการเสียเลย

     นิยามและการวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ

     มันคือโรคที่จะด้วยสาเหตุใดก็ตามแล้วยังผลให้กล้ามเนื้อหัวใจมีอันไม่สามารถบีบตัวส่งเลือดออกไปเลี้ยงร่างกายได้พอเพียงแก่ความต้องการ ถึงแม้ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แต่วงการแพทย์นี้ชอบแยกแยะจัดหมวดหมู่ จึงได้จัดหมวดหมู่โรคนี้ในผู้ใหญ่ออกเป็นเจ็ดพวก คือ

     1. พวกหัวใจพองโต (Dilated cardiomyopathy - DCM) บางครั้งเป่งเท่ากับลูกมะพร้าวห้าว แต่ข้างในกลวง ตัวหัวใจนั้นพองเอา พองเอา ยิ่งพองมาก ผนังหัวใจที่เป็นกล้ามเนื้อก็ยิ่งบางลงๆ จนบางเท่ากับกระดาษสมุดเด็กนักเรียน เวลาผ่าตัดคนไข้แบบนี้ผมกลัวมากว่าจะเผลอเอาใบมีดไปโดนกระดาษที่บางเฉียบนั้นเข้าเพราะโดนแล้วเย็บไม่ได้ ยิ่งเย็บยิ่งฉีก ยิ่งเนื้อหัวใจบางลง การบีบตัวก็ยิ่งแย่ลงๆ จนเกิดหัวใจล้มเหลว คนไข้บางคนไม่พบเหตุร่วมใดๆ (primary DCM) บางคนก็มีเหตุร่วม เช่นดื่มแอลกอฮอล เป็นเบาหวาน เป็นโรคหัวใจขาดเลือดมาก่อน หรือบางคนแค่ตั้งท้องคลอดลูกก็เป็นแล้ว (peripartum DCM) บางคนก็เป็นเพราะโคเคน ยาบ้า และยาเคมีบำบัด

     2. พวกกล้ามเนื้อหัวใจหนาตึ๊ก (Hypertrophic cardiomyopathy - HCM) หัวใจโตนิดหน่อย แต่ตัวกล้ามเนื้อนั้นหนาผิดสังเกต พอหนามากก็ทำให้พื้นที่ห้องหัวใจตีบแคบลงจนส่งเลือดออกมาได้น้อย สาเหตุส่วนใหญ่เป็นพันธุกรรม ที่ไม่มีพันธุกรรมก็พบในคนความดันเลือดสูงนานๆ มีบ้างที่พบในคนเป็นเบาหวานและเป็นโรคของต่อมไทรอยด์ นักกีฬาที่หล่อล่ำบึ๊กแล้วตายกะทันหันในสนามกีฬามักเป็นกล้ามเนื้อหัวใจพิการในกลุ่มนี้

     3. พวกกล้ามเนื้อหัวใจหดรัด (Restrictive cardiomyopathy) พวกนี้หัวใจไม่โต บางทีเล็กด้วยซ้ำ แต่ว่าเล็กแบบบีบอัดตัวเองจนคลายตัวไม่ได้ พอคลายตัวไม่ได้เลือดก็เข้าไปในหัวใจไม่ได้ บีบตัวแต่ละทีก็มีเลือดออกมาน้อยเกินไป สาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหดตัวมักเป็นเพราะมีพังผืดแทรกกล้ามเนื้อ เช่นในคนที่มีเหล็กค้างในร่างกายมาก (hemochromatosis) ในคนที่เป็นโรคหัวใจอักเสบเรื้อรัง ในคนเป็นโรคของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทุกชนิดเช่นโรคพุ่มพวงโรครูมาตอยด์ และในคนที่ได้รับการฉายแสงหรือเคมีบำบัดรักษามะเร็ง

     4. พวกกล้ามเนื้อพิการแบบหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmogenic right ventricular dysplasia) พวกนี้อาการเด่นคือหัวใจห้องขวาโตแล้วทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ มักมีอาการเป็นลมเป็นอาการนำ เคราะหามยามร้ายก็ตายกะทันหันได้เลย มักเป็นในคนหนุ่มคนสาว วงการแพทย์เชื่อว่าเป็นผลจากพันธุกรรมล้วนๆ

     5. พวกกล้ามเนื้อพิการแบบมีแป้งแทรกกล้ามเนื้อ (Transthyretin amyloid cardiomyopathy (ATTR-CM) อันนี้เป็นโรคที่พบได้ยาก หมอสันต์เกิดมาจนแก่ปูนนี้แล้วยังไม่เคยเห็นสักราย ดังนั้นท่านอย่าไปรู้รายละเอียดเลย

     6. พวกกล้ามเนื้อหัวใจพิการจากความเครียด (stress-induced cardiomyopathy) พวกนี้บางทีก็เรียกว่ากลุ่มอาหารหัวใจสลาย (broken heart syndrome) บางทีก็เรียกชื่อตามไซดักปลาหมึก (takotsubo cardiomyopathy) เพราะหัวใจคนเป็นโรคนี้มีรูปร่างแบบป่องที่ก้นเหมือนไซดักปลาหมึก โรคนี้มีเอกลักษณ์คือเกิดขึ้นหลังการมีอารมณ์รุนแรงเช่นเสียใจระดับปรี๊ดแตกหรือดีใจระดับถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง แล้วก็ตามมาด้วยหัวใจล้มเหลว แต่ส่วนใหญ่หากวินิจฉัยได้และรักษาถูกทางก็จะกลับมาฟื้นตัวได้หลังจากผ่านไปแล้วหลายสัปดาห์

     7. พวกจัดเข้าหมวดหมู่ไหนไม่ได้ (unclassified cardiomyopathy)

     นอกจากมุมมองในแง่ของหมวดหมู่แล้ว วงการแพทย์ยังมีมุมมองต่อโรคนี้ในแง่ว่ามันติดตัวมาตั้งแต่เกิดเพราะได้ยีนมา (inherited) หรือว่ามาแจ๊คพ็อตเจอเหตุภายนอก (acquired) เอาตอนโตแล้ว เช่นติดเชื้อไวรัสบางชนิด เป็นต้น

     การรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ

     เป้าหมายของการรักษาคือ (1) หยุดการดำเนินของโรคด้วยการแก้ไขสาเหตุหากมีสาเหตุที่แก้ไขได้ (2) ลดภาวะแทรกซ้อนและโอกาสตายกะทันหัน (3) ควบคุมอาการให้สามารถใช้ชีวิตได้ปกติมากที่สุด ทั้งหมดนี้มีการรักษาหลักๆ สามแบบ คือ

     1. การรักษาด้วยการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต ได้แก่

     1.1 กินอาหารดีๆ ที่มีผลไม้ ผัก และธัญพืชไม่ขัดสีมากๆ หลีกเลี่ยงอาหารที่มี (1) ไขมันอิ่มตัวและ (2) ไขมันทรานส์ (3) ปรุงด้วยการใช้เกลือแต่น้อยหรือไม่ใช้เลย (4) หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มใส่น้ำตาลและแอลกอฮอล

     1.2 ออกกำลังกาย เคลื่อนไหวร่างกายแอคทีฟทุกวัน ออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร แต่ไม่หนักมาก คือเอาแค่หอบแฮ่กๆร้องเพลงไม่ได้ แต่อย่าเอาถึงเหนื่อยจนพูดไม่ได้ ในกรณีที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว การออกกำลังกายนี้ต้องปรับให้พอดีกับผู้ป่วยแต่ละคน โดยใช้วิธีออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวซึ่งผมเคยเขียนไปหลายครั้งแล้ว การออกกำลังกายในคนเป็นหัวใจล้มเหลวนี้ต้องทำให้มากที่สุดตามกำลังของตนในแต่ละวัน แต่ไม่รีดแรงงานถึงขนาดหมดแรงพังพาบ น่าเศร้าที่คนเป็นหัวใจล้มเหลวไม่มีใครกล้าพาออกกำลังกาย นักกายภาพบำบัดก็ไม่กล้าเพราะกลัวผู้ป่วยมาเป็นอะไรคามือตัวเอง ทั้งๆที่การออกกำลังกายเป็นวิธีเดียวที่จะให้คนเป็นหัวใจล้มเหลวมีการทำงานของหัวใจดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ดังนั้นเรื่องการออกกำลังกายนี้ผู้ป่วยต้องเป็นคนลงมือเองอย่าหวังพึ่งหมอหรือนักกายภาพบำบัด ต้องวางแผนกิจกรรมให้ตัวเองให้ได้ออกกำลังกายสลับกับพักอย่างเหมาะสมทั้งวัน ขณะออกกำลังกายไป ต้องรู้จักติดตามดูอาการตัวเองไปด้วย เมื่อมีอาการผิดปกติเช่นเจ็บหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หน้ามืดเป็นลม ต้องลดความหนักของการออกกำลังกายลงมาสักสองสัปดาห์แล้วค่อยๆเพิ่มใหม่

1.3 รักษาน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ปล่อยตัวให้อ้วนหรือผอมเกินไป

1.4 นอนหลับให้พอ ถ้าหลับไม่สนิทหรือนอนกรน ให้ขวานขวายหาเครื่องช่วยหายใจ (BIPAP) มาใช้

1.5 จัดการความเครียดซะให้ดี หัดวางความคิด มีชีวิตอยู่อย่างผ่อนคลายกับเดี๋ยวนี้ ทำกิจกรรมคลายเครียดที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล เช่นผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำสมาธิ รำมวยจีน เล่นโยคะ

     2. การรักษาด้วยยา ตรงนี้เป็นเรื่องของแพทย์ซึ่งจะตัดสินใจใช้ยาหากจำเป็น เช่นเมื่อต้องลดความดัน เมื่อต้องขับปัสสาวะ เมื่อต้องลดอัตราการเต้นของหัวใจ เมื่อต้องการคุณการเต้นให้สม่ำเสมอ เมื่อต้องกระตุ้นการบีบตัวของหัวใจ เป็นต้น แพทย์ส่วนใหญ่มักนิยมใช้ยาต้านเกล็ดเลือดด้วย และในบางกรณีที่มีการอักเสบของหัวใจ แพทย์อาจใช้ยาต้านการอักเสบเช่นสะเตียรอยด์ด้วย การใช้ยานี้เป็นเรื่องของแพทย์ ในส่วนนี้คุณในฐานะผู้ป่วยก็เพียงแค่ร่วมมือกับแพทย์เท่านั้น

     3. การรักษาด้วยวิธีที่รุกล้ำ หมายถึงการผ่าตัด การฝังเครื่องกระตุ้นแบบต่างๆ เป็นเรื่องที่จะทำในผู้ป่วยบางคนเท่านั้น โดยเฉพาะคนที่ยังหนุ่มสาวที่หากทำผ่าตัดหรือฝังเครื่องกระตุ้นแล้วจะดีขึ้น ตัวอย่างของเครื่องกระตุ้นที่แพทย์อาจเลือกใช้ก็เช่น เครื่องกระตุ้นจังหวะการเต้นแยกซ้ายขวา (Cardiac resynchronization therapy - CRT) เครื่องช่วยหัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricular assist device - LVAD) เครื่องช็อกไฟฟ้าอัตโนมัติแบบฝังใน (Implantable cardioverter defibrillator - ICD)

     ส่วนการผ่าตัดนั้นมีการผ่าตัดหลายแบบที่แพทย์จะเลือกใช้กับผู้ป่วยแต่ละคน เช่นการใช้แอลกอฮอลจี้ทำลายเนื้อที่หนาขึ้น (Alcohol septal ablation)  การผ่าตัดแบบที่เด็ดขาดที่สุดในกรณีที่ทำอย่างไรอาการก็ไม่ทุเลาแล้วก็คือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ (Heart Transplantation)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

25 พฤศจิกายน 2562

คุณอย่าใช้เวลาอยู่ในบ้านมากเกินไป

เรียนคุณหมอสันต์
ผมกำลังเป็นทุกข์กับลูกสาวที่ติดยาเสพย์ติด พยายามจะช่วยเธอทุกทางแต่ก็ไม่เป็นผล จนผมเองกลายเป็นคนจิตไม่สมประกอบ มักเผลอคิดเสียดายเมื่อครั้งอดีตที่ตัวเองไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ชีวิตมันหดหู่รันทด ทั้งวันผมเอาแต่นั่งคิดเสียจนเกิดความคิดว่าถ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ต่อไปตลอดชาติก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม ถ้าผมตายไปอะไรมันอาจจะดีขึ้น แต่ก็ยั้งใจอยู่ว่าลูกยังต้องการคนช่วย รบกวนคุณหมอช่วยชี้ทางสว่างว่าผมควรจะช่วยลูกสาวอย่างไรดีครับ

......................................................

ตอบครับ

     1. การแก้ปัญหาเรื่องนี้ วาระที่หนึ่งคือคุณกำลังเป็นทุกข์ เมื่อคุณเป็นทุกข์ ต้องแก้ที่คุณ ไม่ใช่ไปแก้ที่ลูกสาว แก้ที่ใจคุณ คือให้คุณวางความคิดที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ให้ได้ก่อน สถานะการณ์นอกตัวที่คุณอ้างว่าเป็นสาเหตุคือเรื่องราวในชีวิตของลูกสาวนั้นเอาไว้ก่อน เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว และคุณก็ไม่ได้มีอำนาจจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้ทันที มาลงมือแก้ที่ใจคุณ ซึ่งคุณเปลี่ยนแปลงมันได้ก่อน

     2. ขั้นตอนปฏิบันขั้นแรกคือคุณอย่าใช้เวลาอยู่ในบ้านมากเกินไป เมื่ออยู่ในบ้านเรามีแนวโน้มจะนั่ง เมื่อนั่งเรามีแนวโน้มจะเผลอคิดลำเลิกถึงอดีตอันหม่นหมอง ใช่ มันเป็นแค่ความคิดที่จรมา แต่ทุกครั้งที่มันมา คุณก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในนั้นโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วมันก็มาถี่ขึ้นๆจนคุณรู้สึกว่ามันไม่ไปไหนแล้ว จริงอยู่การแก้ปัญหาถาวรคือการฝึกวางความคิด นั่นคุณก็ต้องทำ แต่มันเป็นทักษะที่ต้องใช้เวลาฝึกฝนคุณอาจจะรอไม่ได้ คุณต้องมาแก้ปัญหาระยะสั้นเฉพาะหน้าก่อน คืออย่าให้ตัวเองมีเวลาจมอยู่ในความคิดมากเกินไป ออกไปจากบ้าน ไปอยู่นอกบ้านบ้าง ขยันเคลื่อนไหว ขยันพาตัวเองไปอยู่ในสถานะการณ์เฉพาะหน้า ที่ต้องตัดสินใจอะไรที่เดี๋ยวนี้ เช่น ต้องเดิน ต้องปั่น ต้องข้ามถนน ต้องผจญกับสุนัข ต้องซักต้องถาม ต้องพูดคุย

     3. ขั้นต่อไปคือการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก่อน คุณไปนั่งหวนคิดเสียดายอดีต นั่นหมายความว่าคุณไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน แต่มันเกิดขึ้นแล้ว โทนโท่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว คุณหวังว่าอนาคตเมื่อคุณตายแล้วลูกสาวน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นหมายความว่าคุณไม่ยอมรับสภาพที่ลูกสาวเป็นอยู่ในปัจจุบัน ใจคุณจึงหนีไปอยู่ในอนาคตในรูปของความหวัง การตีอกชกหัวก็เช่นกัน มันคือการไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ตราบใดที่คุณยังไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันว่ามันได้เกิดขึ้นแล้ว คุณจะเริ่มการแก้ไขอะไรก็ไม่สำเร็จ เพราะคุณไม่ยอมรับว่าคุณยืนอยู่ที่ตรงไหนคุณจะเริ่มออกก้าวเดินได้อย่างไร ในการจะยอมรับอะไรนี้ ให้ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ท่องคำสำคัญไว้สี่คำ คือ ขอบคุณ, ขอโทษ, ให้อภัย, เมตตา กับทุกๆสิ่ง กับทุกๆคน ถ้ามีแม้แค่บางครั้งที่การมีลูกสาวทำให้คุณมีความสุข คุณขอบคุณเธอ ถ้าคุณทำผิดอะไรกับลูกสาว คุณขอโทษเธอ ถ้าลูกสาวทำอะไรที่คุณมองว่าไม่ดีกับคุณ คุณให้อภัยเธอ ถ้าคุณเป็นทุกข์แทนเธอที่ชีวิตของเธอไม่ดีอย่างที่คุณอยากให้เป็น คุณเผื่อแผ่ความรักและเมตตาของคุณไปยังเธอ เหมือนกับว่าเธอกับคุณลึกลงไปแล้วก็เป็นสิ่งเดียวกันหรือเป็นคนคนเดียวกัน

     4. เมื่อคุณยอมรับได้แล้วคุณก็เริ่มวางแผนแก้ไข คุณใช้เวลาวางแผนเรื่องทั้งหมดไม่ว่าแผนนั้นจะยาวกี่ปีหรือเป็นแผนที่ยาวตลอดชีวิตก็ตาม คุณใช้เวลาวางแผนอย่างมากไม่เกินหนึ่งชั่วโมง แล้วเริ่มลงมือทำตามแผนไปทีละขั้น โดยจดจ่ออยู่กับการลงมือทำ ไม่ไปพะวงถึงผลลัพท์ อย่าไปคาดการณ์ในทางร้ายล่วงหน้าเพื่อให้ตัวเองได้จมอยู่กับความโศกเศร้านั้นไปตลอดเหมือนกับว่าคุณเองได้เสพย์ติดความโศกเศร้านั้นไปเสียแล้ว เลิกมันไม่ได้เสียแล้ว แต่มันไม่จริงที่ว่าเราเสพย์ติดอะไรแล้วเราจะเลิกไม่ได้ เพราะการเสพย์ติดอะไร หรือแนวโน้มที่ใจเราจะคิดถึงอะไร มันเป็นแค่ความคิด เพียงแค่คุณตั้งหลักให้ได้ก่อนว่า "ความคิดไม่ใช่คุณ" คุณก็เลิกมันได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว และถ้าคุณขยันสังเกตเมื่อมันมา ขยันเฝ้าดูมันอย่างผู้สังเกตโดยไม่ไปคิดต่อยอด ในที่สุดความคิดนั้นมันก็จะฝ่อไป คุณก็จะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ มันจะเป็นอย่างนี้เสมอ แต่ว่าคุณจะไม่มีโอกาสรู้เลยว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมว่าจริงหรือเปล่า ถ้าคุณไม่ทดลองลงมือทำ

     5. เมื่อคุณลงมือทำกิจอะไรไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อย่าไปคิดถามล่วงหน้าว่าคุณจะทำได้สำเร็จหรือไม่ เพราะเป้าหมายใหญ่ของคุณไม่ใช่การทำอะไรนอกตัวให้สำเร็จ แต่เป้าหมายใหญ่คือวางความคิดมาอยู่กับเดี๋ยวนี้ให้สำเร็จก่อน ถ้าคุณง่วนอยู่กับการลงมือทำกิจที่เดี๋ยวนี้โดยไม่พะวงถึงผลลัพท์ได้เมื่อใด นั่นคุณสำเร็จแล้ว เมื่อคุณวางความคิดมาอยู่กับสิ่งที่ลงมือทำที่ตรงหน้าได้แล้ว เมื่อคุณมาอยู่ที่เดี๋ยวนี้ได้แล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ว่าอะไรจะเข้ามามันจะไม่มีล้มเหลว มันจะมีแต่ความมหัศจรรย์ของชีวิต ถ้าการณ์เป็นไปดังคาดก็มหัศจรรย์ ถ้าการณ์ไม่เป็นไปดังคาดก็ยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ เพราะได้เรียนรู้ชีวิตแบบก้าวกระโดดที่หากไม่ลงมือทำก็จะไม่รู้เลยว่าแบบนี้มันไม่เวิร์ค สรุปว่าชีวิตนี้จากนี้ไปไม่มีล้มเหลว มีแต่จะได้เรียนรู้ แต่ละช็อตที่เข้ามาจะเป็นฐานให้เราตั้งหลักรอรับการเข้ามาของช็อตต่อไปอย่างตื่นตัวระแวดระวัง ทีละช็อต ทีละช็อต ไม่มีใครรู้ว่าช็อตต่อไปอะไรจะเข้ามา นี่แหละความมหัศจรรย์ของชีวิต

     6. ควบคู่ไปกับการง่วนอยู่กับการปฏิบัติกิจในขั้นตอนที่วางแผนไว้สำหรับเดี๋ยวนี้แล้ว คุณยังต้องฝึกวางความคิดด้วยการ (1) ฝึกสังเกตความคิดหรือความเศร้าเมื่อมันมา สังเกตอยู่ข้างนอก นั่นเป็นความเศร้า นี่เป็นเรา มันไม่ใช่เรา อย่าไปเผลอจมอยู่ในนั้น (2) ฝึกถอยความสนใจออกจากความคิด มาอยู่กับลมหายใจหรือมาอยู่กับความรู้สึกซู่ซ่าบนร่างกาย (3) ฝึกผ่อนคลายร่างกาย หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆหายใจออกทางปากพร้อมกับบอกกล้ามเนื้อร่างกายที่เกร็งอยู่ให้ผ่อนคลายตั้งแต่หัวจรดเท้า (4) ฝึกสมาธิ ด้วยการนั่งหลับตาสังเกตการหายใจเข้าออก ควบคู่ไปกับการถอยความสนใจมาไว้ที่ความว่างที่ตรงหน้า ปล่อยให้ความสนใจจมดิ่งลึกลงไป..ลึกลงไป..ลึกลงไป ในความว่างที่ตรงหน้าโดยไม่ไปยุ่งกับความคิด ทำอย่างนี้วันละสัก 20-30 นาที ทำก่อนนอนก็ได้ ถ้าทำแล้วง่วงก็ยิ่งดี จะได้หลับไปโดยไม่มีความคิด (5) ฝึกกระตุกตัวเองหรือสะดุ้งตัวเองให้ตื่นมาอยู่กับเดี๋ยวนี้อยู่เสมอ เหมือนทหารอาชีพที่สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ยืดออก ระวังตรง เมื่อนายมาตรวจแถว การอยู่กับเดี๋ยวนี้เป็นการรู้สึก (feel) ไม่ใช่การคิด (think) รู้สึกทั้งข้างนอกคือซาบซึ้งภาพเสียงสัมผัสที่มากระทบ และข้างในคือการรับรู้ลมหายใจและพลังชีวิตของตัวเองในรูปของความรู้สึกซู่ซ่าวูบวาบบนร่างกาย

     7. ถามว่าเมื่อวางความคิดมาอยู่กับปัจจุบันได้แล้วไงต่อ อ้า..นี่แหละ นี่แหละ "แล้วไงต่อ" นี่คือการไม่ยอมรับปัจจุบันนะ นี่คือการหนีจากปัจจุบันไปอยู่กับความคาดหวังในอนาคต คุณจะต้องอยู่กับเดี๋ยวนี้จนคำว่าแล้วไงต่อหมดเกลี้ยงไปจากหัว ยอมรับเดี๋ยวนี้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ แค่นี้พอแล้ว ดีแล้ว เอาไว้มีอะไรโผล่มาก็ค่อยรับมือไปทีละช็อต ทีละช็อต ไม่มีแล้วไงต่อ สิ่งที่คุณต้องทำที่เดี๋ยวนี้ก็มีอยู่แล้วรู้อยู่แล้วเพราะแผนการณ์ระยะยาวคุณก็วางไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคุณก็แค่ก้าวไปทีละก้าวตามแผนที่คุณวางไว้ โดยสนใจเฉพาะก้าวที่เดี๋ยวนี้ ไม่มีแล้วไงต่อ

     ผมให้คุณได้แต่วิธีปฏิบัติในภาพใหญ่ของการวางความคิดนะ แต่ผมขอไม่ชี้แนะลงไปถึงรายละเอียดของสถานะการณ์ชีวิตของคุณหรือของลูกสาว เพราะนั่นไม่ใช่สาระสำคัญของเรื่อง ถ้าคุณทำสาระสำคัญของเรื่องคือยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ และวางความคิดทุกข์กังวลลงมาอยู่กับเดี๋ยวนี้ได้แล้ว ส่วนที่เหลือมันก็จะเป็นเรื่องง่ายระดับสะเต๊ะสำหรับคุณโดยอัตโนมัติ

     ถ้าคุณยังมีปัญหากับการฝึกวางความคิด ให้หาเวลามาเข้า SR ดู มันอาจช่วยคุณให้แก้ไปอุปสรรคประเภทเส้นผมบังภูเขาได้ง่ายขึ้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

24 พฤศจิกายน 2562

การฟื้นฟูหลังจากเป็นอัมพาตสมองเล็ก (cerebellar rehabilitation)

เรียนคุณหมอสันต์
ดิฉันอายุ 69 ปีมีอาการมึนงงวิงเวียนจนยืนทรงตัวแทบไม่ได้ ได้ไปรักษากับหมอหูคอจมูกว่าเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ได้ยามากินก็ยังโงนเงนทั้งวัน ไปทำ MRI มาแล้วหาหมอคลินิกประสาทวิทยาว่าเป็นโรคอัมพาตสมองเล็กชนิดที่ MRI มองไม่เห็นความผิดปกติของหลอดเลือด ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อทำกายภาพสี่วันซึ่งนักกายภาพก็จับยืนและเดินเป็นหลัก ตอนนี้กลับบ้านแล้วหมอบอกแค่ว่าให้ไปหัดเดินต่อเองเพราะไม่มีวิธีรักษาอย่างอื่นแล้ว ตอนนี้พอจะเดินได้โดยเกาะไป แต่ยังไม่กล้าออกนอกบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นโรคนี้จริงไหม โรคนี้เป็นแล้วมันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป การดูแลตัวเองควรสำหรับคนเป็นโรคอัมพาตสมองเล็กนี้ต้องทำอย่างไร
ขอบพระคุณคุณหมอด้วยนะคะ

.................................................................

     ก่อนตอบคำถาม ขอพูดถึงโรคอัมพาตของสมองเล็กหรือ vertebro basillar stroke หรือ cerebellar stroke นิดหนึ่ง ว่ามันคือภาวะที่มีลิ่มเลือดไปอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยง หรือมีเลือดออกในสมองส่วนหลัง (cerebrum) และหรือก้านสมอง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เลี้ยงโดยชุดหลอดเลือดที่เรียกว่า vertebro basilar arteries ทำให้สูญเสียการทำงานของสมองส่วนนี้ คือหากเป็นที่ตัวสมองเล็กอาการหลักก็จะเป็นการสูญเสียการทรงตัว ตาเห็นภาพซ้อนหรือสูญเสียการมองเห็น อาจมีอาการสมองบวมร่วมด้วยเช่น เวียนหัว ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ถ้ากินพื้นที่มาถึงก้านสมองก็จะมีอาการสูญเสียการทำงานของประสาทสมอง เช่น ภาพกลืนลำบาก พูดลำบาก พูดไม่ชัด เปล่งเสียงไม่ออก กล้ามเนื้อลิ้นและหน้าอ่อนแรง ประสาทรับรู้บนใบหน้าและหนังศีรษะอ่อนแรง เสียความรู้สึกอุณหภูมิและการรับรู้การปวด กลั้นอุจจาระไม่อยู่ หรือถ้ามากก็มีอาการสูญเสียสติสัมปชัญญะ

     คราวนี้มาตอบคำถาม

     1. ถามว่าคุณเป็นโรคนี้จริงไหม ตอบว่าอ้าว ก็คุณไปหาหมอประสาทวิทยามาแล้วเขาตรวจและวินิจฉัยเรียบร้อยแล้วมันก็ควรจะเป็นโรคนี้จริงตามนั้นสิครับ จะมาถามผมอีกทำไมละ เพราะผมจะไปรู้ดีกว่าหมอประสาทวิทยาที่เป็นผู้ตรวจได้อย่างไร แต่จากการฟังเอาตามที่คุณเล่าอย่างน้อยผมก็บอกให้คุณอุ่นใจได้ว่าอาการที่เป็นนั้นมันยังเป็นน้อย เป็นจิ๊บจ๊อย ไม่ได้มากถึงขึ้นทำให้เสียการทำงานของก้านสมอง เพราะคุณไม่มีอาการเปลี่ยนแปลงของระดับสติการรู้ตัว ไม่มีความเสียหายต่อการทำงานของเส้นประสาทสมอง (cranial nerve) มีแค่ทรงตัวลำบาก เดินลำบาก

     ในแง่ของการวินิจฉัยตัวเอง คุณสามารถตรวจการทำงานของสมองเล็กด้วยตัวคุณเองได้สองวิธี คือ

    1.1 วัดช่วงกว้างของการโงกส่ายเมื่อยืนหลับตา (Swaying amplitude) วิธีตรวจคือให้หาคนมายืนประกบคอยรับกรณีล้ม แล้วให้คุณยืนกางขาเสมอหัวไหล่ กอดอก ลืมตา 20 วินาที แล้ว หลับตา 20 วินาที แล้วให้คนที่ยืนประกบวัดองศาการส่ายโงกไปมา โดยตีความสองประเด็น

     (1) ถ้าองศาของการส่ายโงกไปโงกมามายิ่งมาก ก็ยิ่งแสดงสมองเล็กเสียการทำงานมาก

     (2) ถ้าขณะหลับตาไปได้สั1กพัก การโงกไปมาค่อยๆน้อยลง ก็แสดงว่าการทำงานประสานกันของเนื้อสมองเล็กยังดีอยู่ แต่ถ้าหลับตาไปสักพักแลวค่อยๆโงกมากขึ้นๆจนล้มลงก็แสดงว่าสมองเล็กเสียการทำงานไปมาก จนเมื่อตัดตัวช่วยหลักคือการมองเห็นออกไป สมองเล็กไม่สามารถประสานกันเองให้ยืนอยู่ได้เลย

     1.2 วัดความเร็วของการเดิน (Walking speed) โดยวิธีให้คุณเดินเปรี้ยว คุณรู้จักวิ่งเปรี้ยวสมัยเป็นเด็กนักเรียนไหมละ นั่นแหละ ให้คุณปักหลักสองหลักห่างกัน 12 เมตรแล้วให้เดินวนอ้อมรอบสองหลักนี้ 6 รอบแล้วจับเวลาที่ใช้ หากยิ่งเดินไปยิ่งใช้เวลาน้อยลง ก็แสดงว่าสมองเล็กยังประสานงานกันได้ดีอยู่ แต่หากยิ่งเดินไปแต่ละรอบยิ่งเดินด้วยเวลามากขึ้นๆแสดงว่าสมองเล็กยิ่งเสียการทำงานมาก

    2. ถามว่าการจะออกกำลังกายฟื้นฟูการทำงานของสมองเล็ก (cerebellar exercise) ต้องทำอย่างไร ตอบว่าต้องมุ่งออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อร่างกายประสานงานการทรงตัวได้ ดังนี้
     
     2.1 ฝึกในท่านั่งบนพื้นนิ่ง (Sitting on still floor) เช่นพื้นเก้าอี้ไม่มีพนัก แล้ว

2.1.1 โยกตัวไปทางซ้ายสลับกับไปข้างขวา
2.1.2 โน้มตัวไปข้างหน้าสลับกับไปข้างหลัง
2.1.3 กางแขนเหยียดออกข้างลำตัวเสมอหัวไหล่ แล้วแกว่งในแนวราบให้มือซ้ายชี้ไปข้างหน้าสลับกับแกว่งกลับให้มีซ้ายชี้ไปข้างหลัง
2.1.4 ยกเท้าสองข้างชี้ไปข้างหน้ากลางอากาศ แล้วยื่นสองมือออกไปแตะปลายเท้า
2.1.5 แกว่งเท้าเป็นวงกลมทีละข้าง
2.1.6 ยื่นมือซ้ายและเท้าขวา (คนละข้าง) ลอยขึ้นกลางอากาศแล้วชี้ไปข้างหน้า แล้วสลับทำอีกข้างหนึ่ง

     2.2 ฝึกในท่านั่งบนพื้นที่ขยับได้ (Sitting on dynamic floor) เช่นลูกบอลขนาดใหญ่ หรือพื้นกระดานหก (กระดานที่วางบนลูกบอลเล็กๆ) หรือพื้นที่ติดเครื่องสั่น

2.2.1 โยกตัวไปทางซ้ายสลับกับไปข้างขวา
2.2.2 โน้มตัวไปข้างหน้าสลับกับไปข้างหลัง
2.2.3 กางแขนเหยียดออกข้างลำตัวเสมอหัวไหล่ แล้วแกว่งในแนวราบให้มือซ้ายชี้ไปข้างหน้าสลับกับแกว่งกลับให้มีซ้ายชี้ไปข้างหลัง
2.2.4 ยกเท้าสองข้างชี้ไปข้างหน้ากลางอากาศ แล้วยื่นสองมือออกไปแตะปลายเท้า
2.2.5 แกว่งเท้าเป็นวงกลมทีละข้าง
2.2.6 ยื่นมือซ้ายและเท้าขวา (คนละข้าง) ลอยขึ้นกลางอากาศแล้วชี้ไปข้างหน้า แล้วสลับทำอีกข้างหนึ่ง

     2.3 ฝึกในท่ายืนสี่แบบ คือ (1) ยืนพื้นนิ่ง+ลืมตา (2) ยืนพื้นนิ่ง + หลับตา (3) ยืนพื้นขยับได้ + ลืมตา  (4) ยืนพื้นขยับได้ + หลับตา ทั้งนี้ในแต่ละแบบให้ทำท่าต่อไปนี้

2.3.1 โยกตัวไปทางซ้ายสลับกับไปข้างขวา
2.3.2 โน้มตัวไปข้างหน้าสลับกับไปข้างหลัง
2.3.3 กางแขนเหยียดออกข้างลำตัวเสมอหัวไหล่ แล้วแกว่งในแนวราบให้มือซ้ายชี้ไปข้างหน้าสลับกับแกว่งกลับให้มีซ้ายชี้ไปข้างหลัง
2.3.4 ยกเท้าสองข้างชี้ไปข้างหน้ากลางอากาศ แล้วยื่นสองมือออกไปแตะปลายเท้า
2.3.5 แกว่งเท้าเป็นวงกลมทีละข้าง
2.3.6 ยื่นมือซ้ายและเท้าขวา (คนละข้าง) ลอยขึ้นกลางอากาศแล้วชี้ไปข้างหน้า แล้วสลับทำอีกข้างหนึ่ง
2.3.7 ยืนเขย่งบนปลายเท้าสองข้าง
2.3.8 ยืนขาเดียว แล้วสลับข้าง
2.3.9 เดินยกขาก้าวข้ามสิ่งกีดขวาง เช่นหนังสือหรือก้อนอิฐที่ก่อสูงตั้งไว้เป็นระยะๆ
2.3.10 ก้าวขาขวาไปข้างหน้ายาวๆแล้วย่อเข่าลง แล้วสปริงตัวขึ้นลงๆช้าๆ (lunges) แล้วสลับขา
2.3.11 ก้าวขึ้นลงบันได step up/down ladders
2.3.12 กางมือซ้ายพร้อมกับกางเท้าขวาในอากาศ แล้วสลับทำอีกข้างหนึ่ง

     3. ถามว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ตอบว่าอนาคตอยู่ในมือของคุณแล้ว จะเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับคุณขยันและเอาจริงเอาจังกับการฟื้นฟูตัวเองมากแค่ไหน ไม่มีใครจะทำนายอนาคตของคุณได้นอกจากตัวคุณเอง ในแง่ของโรคนั้น เนื้อสมองแม้จะเสียไปแล้วแต่ก็ฟื้นฟูตัวเองกลับมาใหม่ได้เสมอ เพียงแค่ให้คุณขยันฝึกทำไปทุกวัน แต่ละวันต้องฝึกจนครบทุกท่า ซึ่งต้องอุทิศเวลาและเอาจริงเอาจังพอสมควร ทั้งหมดนี้คุณต้องทำเอง อย่าไปเอาแต่หวังพึ่งการไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล เพราะกว่าจะเดินทางไป นั่งรอคิว ได้คิวทำครั้งละชั่วโมง แล้วเดินทางกลับ มันได้ประโยชน์น้อยมาก สู้คุณทำเองที่บ้านทุกวันทุกที่ทุกเวลา แบบสู้ สู้ สู้ ด้วยตัวเอง มันเห็นผลทันอกทันใจเร็วกว่ากันแยะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

22 พฤศจิกายน 2562

มัวไปเล่นกับสังหรณ์จากลำไส้ เดี๋ยวก็จะเจอขี้เข้าจริงๆหรอก

เวลาผมตัดสินใจด้วยความรู้สึกลึกๆ หรือ gut feeling ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกับที่อาจารย์หมอสันต์เรียกว่าปัญญาญาณ ผมมักจะถูกต่อต้านโดยคนรอบข้างหรือเพื่อนร่วมงานว่าผมตัดสินใจโดยขัดกับหลักการของเหตุและผล และรุมถามผมว่าผมจะรู้ได้อย่างไรว่าการตัดสินใจของผมถูก ผมควรจะตอบคำถามอย่างไรดีครับ และผมควรจะเชื่อถือและใช้ gut feeling ของผมนำทางต่อไปหรือไม่

........................................................

ตอบครับ

     1. ถามว่าเมื่อตัดสินใจอะไรลงไปโดยขัดกับหลักการของเหตุและผลแล้วทำไมถูกต่อต้านโดยคนอื่น ตอบว่าในการมีชีวิตอยู่ในสังคมนี้ ถ้าคุณตัดสินใจอะไรที่ขัดกับผลประโยชน์ของคนอื่น คุณถูกต่อต้านแน่ แต่ถ้าคุณตัดสินใจให้เขาได้ผลประโยชน์ เขาจะเห็นด้วยกับคุณ ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับตรรกะของเหตุและผล และยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับปัญญาญาณเลย การจะตัดสินใจโดยไม่ให้คนต่อต้าน คุณก็ต้องเรียนรู้กลยุทธ์ของการประสานผลประโยชน์ให้ลงตัว สมัยผมยังทำงานอยู่ ผมชอบพูดติดตลกว่า

     "รอให้พระเจ้าแผ่นดินพูดก่อน"

     ผมหมายถึงว่าให้แก้ปัญหาเรื่องผลประโยชน์ก่อน เช่นขึ้นค่าจ้างหรือเพิ่มค่าตอบแทนก่อน แล้วความขัดแย้งเรื่องอื่นค่อยมาตกลงกัน ผมไม่ได้บอกให้คุณเอาอย่างผมนะ แต่ผมแนะนำให้คุณใช้กลยุทธ์ประสานผลประโยชน์เชิงสังคม ทั้งหมดนี้เป็นการใช้เชาว์ปัญญาดุลพินิจตรรกะเหตุผลธรรมดา ไม่เกี่ยวอะไรกับปัญญาญาณ

     2. ถามว่าควรขยันใช้สังหรณ์ในใจหรือ gut feeling บ่อยๆไหม ตอบว่าในการดำเนินชีวิตแบบปุถุชนนี้ ไม่มีอะไรเจ๋งกว่าเชาว์ปัญญา (intellect) ตรรกะ การวิเคราะห์ความเป็นเหตุเป็นผลหากใช้อย่างรู้จักใช้ คุณต้องพึ่งสิ่งนี้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตเสมอ ไม่ใช่เอาแต่พึ่งสังหรณ์จากลำไส้ สังหรณ์จากลำไส้นั้นมันมักจะเป็นของเก๊ อย่าลืมว่าถ้าคุณอ่านประวัติศาสตร์ในอดีต เหตุที่คนเราจะทำสงครามฆ่ากันตายทีละเป็นเบือมักจะเริ่มต้นที่เกิดจากมีใครสักคนไปเชื่อสังหรณ์จากลำไส้หรือความฝันของตัวเองว่าได้พบกับพระเจ้าเข้า แล้วก็เอาความเชื่อนี้ไปก่อสงครามโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองแยกแยะด้วยตรรกะของเหตุและผล

     จริงอยู่ มันมีบางครั้ง บางโอกาส กับปัญหาที่อยู่พ้นวิสัยที่จะได้คำตอบจากการใช้ตรรกะและหลักการเหตุผล แล้วเผอิญคุณอยู่ในสภาวะที่ปลอดความคิด หมายความว่ามีสมาธิอย่างยิ่ง มีแต่ความรู้ตัว ไม่มีความคิด แล้วก็มีอะไรบางอย่างมาเปิดเผยสาธิตสอนแสดง ให้คุณได้เห็นคำตอบของคำถามอย่างชนิดแจ่มแจ้งแดงแจ๋ (clarity) จนคุณไม่เหลือข้อขัดแย้งแม้ในแง่ของตรรกะเลย คุณเห็นด้วยชนิดที่คุณรับรู้ไป เผลอผงกหัวไปด้วยปะหลก ปะหลก ด้วยความเห็นด้วยอย่างยิ่ง โอเค.อย่างนั้นคุณตัดสินใจทำตามได้ กรณีอย่างนั้นเป็นกรณีที่คุณเชื่อปัญญาญาณของคุณได้ แต่ไม่ใช้เอะอะจะดันทุรังความคิดที่ไร้เหตุผลขึ้นมาก็อ้างปัญญาญาณตะพึด

     ปัญญาญาณ (intuition) หรือที่ภาษาพุทธเรียกว่าญาณทัศนะนี้ไม่ใช่จะเป็นของดีทั้งหมดเสมอไปนะครับ ที่เป็นขี้ก็มี (ขอโทษ) ที่ทำให้คนเป็นบ้าไปแล้วก็มาก เราต้องใช้เชาว์ปัญญาและตรรกะในการคิดวินิจฉัยประกบด้วยเสมอ แม้ในคำสอนของศาสนาพุทธเองก็ยังจัดญาณทัศนะว่าเป็นเพียงแค่กระพี้ หมายถึงเปลือกนอกของไม้ ไม่ใช่แก่นไม้ที่ช่างไม้เสาะแสวงหา การจะใช้ประโยชน์จากปัญญาญาณ เราต้องมีเชาว์ปัญญา (intellect) เป็นตัวประกบอยู่ด้วยเสมอ ไม่ใช่เชื่อสิ่งที่เราคิดว่าเป็นปัญญาญาณอย่างมืดบอด ปัญญาญาณช่วยพาเราฝ่าข้ามอุปสรรคไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น แต่เราจะต้องมีธงปักไว้ข้างหน้าก่อนแล้วว่าเราจะเดินไปทางไหน จะได้ไม่ถูกปัญญาญาณพากลับหลังหันหรือพาไปผิดทาง เหมือนเช่นที่คนจำนวนมากไปผิดทางเข้ารกเข้าพงแบบไปแล้วไปลับกู่ไม่กลับเลย บ้างไปมัวเหาะเหินเดินอากาศ บ้างไปรับจ๊อบเสกหนังควายเข้าท้องชาวบ้าน อย่างเบาะหน่อยก็รับจ๊อบคนทรงหรือดูหมอ ถ้าหากคุณหวังพึ่งปัญญาญาณ ก็ขอให้หวังพึ่งเฉพาะเรื่องที่อยู่บนเส้นทางที่คุณตั้งใจจะเดินไปอยู่แล้ว และพึ่งเฉพาะตอนที่ตรรกะความคิดวินิจฉัยด้วยเหตุผลทำไม่ได้

     หากเปรียบเทียบกับปัญญาญาณ ตรรกะนั้นทำได้แค่สอนให้เราเข้าใจว่าความคิดเป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับ ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น แต่ตรรกะไม่สามารถทำให้เราจางคลายจากความยึดมั่นถือมั่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยึดมั่นถือมั่นในสำนึกว่าเป็นบุคคล เรื่องที่ลึกซึ้งอย่างนี้ ณ จุดหนึ่งปัญญาญาณอาจโผล่เข้ามาช่วยคุณเปิดเส้นผมที่บังภูเขาให้ได้ หรือบางครั้งปัญญาญาณมันช่วยเสนอทางออกยามคุณคับขันจวนเจียนเอาตัวไม่รอดคิดอะไรไม่ทันให้คุณได้เหมือนเช่นคนที่ไฟไหม้บ้านสามารถแบกหีบสมบัติวิ่งฝ่าความมืดที่มีแต่สิ่งกีดขวางระเกะระกะที่ตามองไม่เห็นออกมาได้ถึงถนนใหญ่ได้โดยไม่บาดเจ็บเลย ผมพูดถึงบางครั้งบางโอกาสเท่านั้นนะ แต่คุณจะหวังอาศัยไหว้วานให้มันช่วยนำทางคุณทุกจังหวะทุกย่างก้าวของชีวิตนั้นเป็นไปไม่ได้ การจะปักธงว่าชีวิตคุณจะมุ่งไปทางไหนและจะก้าวเดินไปอย่างไรคุณต้องอาศัยเชาว์ปัญญาและตรรกะความคิดวินิจฉัยของคุณเอง อย่าเอะอะก็จะอาศัย gut feeling มานำทางชีวิต คุณมัวไปเล่นกับสังหรณ์จากลำไส้มากเกินไปอย่างน้้น เดี๋ยวคุณก็จะเจอขี้เข้าจริงๆหรอก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

20 พฤศจิกายน 2562

หมอสันต์ ให้สัมภาษณ์นิตยสารโมเดิร์นไลฟ์

     ผมบังเอิญพบบทสัมภาษณ์เก่าที่นิตยสารโมเดิร์นไลฟ์ส่งมาให้ มันถูกทิ้งไว้ใต้กองกระดาษนานแล้ว ผมเห็นว่ามีสาระอยู่บ้าง จึงเอามาให้แฟนบล็อกอ่านเล่น

เนื่องจากประวัติชีวิตคุณหมอในอดีต หาอ่านได้มากมายในสื่อต่างๆ คงไม่ถามแล้ว อยากทราบประวัติศาสตร์บรรทัดใหม่ๆ ที่กำลังเขียนอยู่ในตอนนี้มากกว่า

     “(หัวเราะ) …ผมเป็นคนที่แค่วันนี้อยู่สบายๆไม่มีใครมาบีบคอให้หายใจไม่ออกผมก็โอเคแล้ว จากนี้ไปอย่าว่าแต่อนาคตไกลๆเลย แค่ชั่วโมงหน้าผมก็ไม่คิดแล้ว อยู่ไปทีละช็อต ทีละโมเม้นท์ เพราะฉะนั้นถ้าถามถึงแผนในอนาคตยังไงบ้าง ไม่มี ไม่มีการวางแผนอะไรในอนาคต อดีตถ้าจะให้รื้อฟื้นจริงๆก็ได้แต่ว่าเป็นคนที่ไม่ชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บ อดีตไม่มี อนาคตไม่มีอยู่ไปทีละช็อต เป็นคนแก่ที่ไม่มีวาระ ไม่มีอะเจนด้า”

การที่เริ่มรู้สึกได้ว่า อยู่กับปัจจุบัน ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ต้องพยายามคิดให้ได้ตลอดเวลา หรือมันเป็นกลไกอัตโนมัติไปแล้ว

     "..กลไกการ “วางความคิด” ของผม มันอัตโนมัติไปแล้ว ผมเป็นคนที่เปิดรับอะไรก็ตามที่จะเข้ามา การที่เราจะเป็นคนเปิดรับได้ง่าย เราต้องไม่มีความคิด ต้องวางความคิดให้หมดก่อน เหมือนบุรุษไปรษณีย์มากดกริ่งส่งของแล้วเราไม่อยู่บ้าน เราไปอยู่ในความคิดอะไรก็เข้ามาหาเราไม่ได้ เมื่อผมวางความคิด ไม่มีความคิด ซึ่งสิ่งดีๆก็จะเข้ามาโดยอัตโนมัติในเวลาที่พอดี ในโมเม้นท์ที่พอดี ในความต้องการที่เรากำลังมองหาพอดี ชีวิตก็ดำเนินไปแบบนี้ เป็นชีวิตที่ไม่มีโผ ไม่มีวาระอะไร ผมไม่ได้เป็นคนลิขิตชีวิตตัวเอง"

ก่อนที่คุณหมอจะคิดได้และมาจัดการความคิดตัวเองแบบนี้ ก็เคยเป็นคนทำงานหนักที่ไม่ได้ดูแลตัวเอง ปล่อยชีวิตไปตามกระแสต่างๆจนป่วย ตอนนั้นกับตอนนี้คิดต่างกันอย่างไร

     "...ตอนทำงานก็เหมือนกับคนทำงานทั้งหลายคือ ทำสี่ห้าอย่างพร้อมกันทั้งวัน แต่ละอย่างก็จะมีแผนว่าชีวิตช่วงนั้นทำนั่น ชีวิตช่วงนี้ทำนี่ ทำงานผ่าตัดหรืองานบริหารด้วย มันมีความคิดอยู่ตลอดเวลา เวลาที่มีความคิดน้อยที่สุดคือเวลาผ่าตัด พอเลิกงานผ่าตัดจะมีความคิดเรื่องการทำงาน เรื่องปัญหาแรงงานตลอดเวลาไม่เคยว่างจากความคิดตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงนอนหลับ นั่นคือข้อแตกต่างจากทุกวันนี้ ทุกวันนี้ความคิดแทบจะไม่มี มีน้อยมากแค่ 1% ของที่เคยมี ผมจะเปิดให้มันว่างๆไปอย่างนี้แหละ และมีอะไรเข้ามาผมก็จะรับๆบางทีเรื่องนี้เข้ามาเป็นเรื่องขี้หมา ผมก็รับแล้วก็ทิ้งไป แต่มันจะมีบางครั้งที่เราเปิดเรื่องดีๆมันจะเข้ามา สมัยก่อนเราไม่เปิดสิ่งเหล่านี้มันก็เข้าไม่ถึง

     ชีวิตที่อยู่ในความคิด มันป็นชีวิตที่เครียด ชีวิตที่ไม่มีความคิดมันเป็นชีวิตที่สบายดี ไม่มีความกังวลถึงอนาคต สมัยก่อนผมจะมีความกังวลถึงอนาคตในงานความรับผิดชอบ ความเป็นความตายของคนไข้ สมองผมไม่เคยว่าง ถามว่าสมัยนี้กับสมัยก่อนต่างกันยังไง สมัยก่อนความคิดแยะ เครียด อยู่แต่ในความคิดอยู่แต่ในความกังวล ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของคนอื่นไม่ใช่เรื่องของตัวเรา แต่ก็เป็นเรื่องความกังวลของเรา สมัยนี้ไม่มีความคิดไม่มีความกังวลอะไรอยู่แต่กับเดี๋ยวนี้ไปทีละช็อตๆ ผมใช้คำว่าอัตโนมัติ น่าจะใช้คำนี้ได้ มันเป็นอัตโนมัติ เราไม่ต้องไปคิดถึงอะไรมันจะมาของมันเอง"

แต่โปรเจคที่คุณหมอทำอยู่ เกี่ยวกับที่จะรณรงค์เรื่องสุขภาพ เรื่องเวชศาสตร์ครอบครัว ก็เป็นภาระใหญ่ที่ต้องคิดเยอะ แล้วจะปล่อยวางได้อย่างไร

     "...เวลาทำงานมันมีการทำงานสองแบบ สมัยก่อนผมทำงานผมจะเอาเป้าหมายเป็นที่ตั้ง ทาร์เก็ต ผมทำแล้วผมจะเช็คกับทาร์เก็ตตลอดเวลา ทำให้การทำงานมันเครียด เดี๋ยวนี้ผมยังทำงานอยู่ แต่ผมทำงานโดยที่โฟกัสกระบวนการทำงาน สมมติคุณบอกว่างานผมมีการวางแผน ใช่มีการวางแผนจัดตามปฏิทิน ผมโฟกัสไปตามนี้ แล้วผมก็วางแผนทีละอย่าง ทีละช็อต แต่ผมไม่ไปสนใจทาร์เก็ตหรอกเพราะว่างานของผมทุกวันนี้ผมไม่ได้เป็นคนรับผลดีผลเสียของงาน ผมไม่ได้ทำงานให้กับตัวเองแล้วทุกวันนี้ คนอื่นเป็นคนรับผลดีผลเสียของงานเพราะฉะนั้นผมไม่สนใจว่างานจะออกมายังไง zero results ผลผมเอาแค่ศูนย์แต่ผมโฟกัสงานที่ทำตรงหน้าไปทีละอันๆ ผลงานจะเป็นยังไงช่างมัน การทำงานของผมมันช่วยให้ผมอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับเดี๋ยวนี้ได้ โดยที่ผมไม่ไปวอรี่ว่ามันจะเป็นยังไง นี่คือความแตกต่างจากสมัยก่อนมาสมัยนี้..."

อยู่ดีๆจากใช้ชีวิตอย่างหนึ่งมาหักปุ๊ปมาเป็นอย่างหนึ่ง ต้องมีอะไรมากระแทกหรือค่อยๆทำวันละหน่อยๆ อยากคิดให้ได้แบบนี้ ต้องใช้เวลากี่ปี เผื่อชาวบ้านจะทำตามจะได้ทำได้ เพราะหมอก็ไม่ใช่คนธรรมดา เป็นคนเก่งเหนือคนธรรมดาอยู่แล้ว หมอทำสองปีคนธรรมดาอาจจะเจ็ดปีก็ได้

     "..ชีวิตมันไม่ได้เปลี่ยนกะทันหัน แต่มันจะมีบางจุดที่เป็นหลักกิโลเมตรที่เรารู้สึกว่า หนึ่งการที่ตัวเองป่วยเป็นหลักกิโลเมตรที่เรานึกย้อนไปแล้วจะนึกถึงตรงนี้ก่อน

     พอตัวเองป่วย เจ็บหน้าอกเวลาออกแรง ก็รู้แล้วว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือด เพราะตัวเองเป็นหมอโรคหัวใจ เป็นจุดเปลี่ยนอันที่หนึ่ง การเป็นหัวใจขาดเลือดมันตายได้ง่ายๆ เราอยู่กับคนไข้ เรารู้จุดนี้ ทำให้เราหันมาเช็ค มันมีอะไรที่เรายังตายไม่ได้ เรื่องทรัพย์สมบัติ มันก็เหมือนกับดึงเราเข้ามาจากสิ่งที่เรากำลังมุ่งไปไหนก็ไม่รู้ ถึงถอยกลับมาตั้งหลักกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

     ความเป็นไปได้ที่เราอาจจะตาย เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เราก็มาจัดแจงทรัพย์สมบัติเรียบร้อยหมด แล้วก็ถามตัวเองว่าตายได้ยัง…ยังไม่ได้ ทำไม มันเป็นอะไรที่บอกไม่ถูก อายุน้อยเกินไปชีวิตกำลังทำอะไรอีกตั้งเยอะแยะ แต่ความที่เป็นหมอก็รู้ว่าคนไข้แบบนี้จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ เราก็เป็นคนไข้ มันจำเป็นที่เราจะต้องทำยังไงก็ได้ให้เรามีความพร้อมที่จะตาย ไม่อย่างนั้นชีวิตเราก็จะอยู่ไปอย่างทุรนทุราย เหมือนคนไข้ทั้งหลายที่เราเห็น ยิ่งมีอาการก็จะกระวนกระวาย กลับมาแล้วยังเจ็บหน้าอกมีความกังวลมาก ผ่าตัดหัวใจไปแล้วอาการเจ็บหน้าอกยังกลับมาใหม่ คราวนี้ยิ่งกังวลหนัก

     ตราบใดที่ยังทำใจไม่ได้ว่าตายเมื่อไหร่ ชีวิตที่เหลือจะไม่มีความสุขเลยเพราะกลัวตาย ก็เลยต้องมาทำการบ้านกับเรื่องทำยังไงไม่ให้กลัวตาย หลังจากลองมาหลายแบบ ท้ายสุดมันก็ลงตัวคือ หัดวางความคิด พอหัดวางความคิดได้แล้ว อยู่กับเดี๋ยวนี้ ตอนนี้เรายังไม่ตาย ไม่มีใครมาบีบคอให้เราหายใจไม่ออกชีวิตก็สบายดี อยู่กับเดี๋ยวนี้ เวลาที่เหลือมันยังมาไม่ถึง ก็ยังไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ชีวิตทุกวันเลยเป็นแบบนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นแบบนี้แล้วจะไม่ทำงานอะไรนะ งานก็ทำ ยังฝึกอบรม ยังสอนคน ยังทำอะไรอยู่ ทำโดยโฟกัสที่งาน แต่ไม่สนใจว่าผลจะเป็นยังไง เราไม่ได้ไปได้ดิบได้ดีกับผลเหล่านั้น เพราะเราทำใจได้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้เราไม่สนอะไรแล้ว

     ที่มีอยู่ตอนนี้พอแล้ว ไม่ต้องหนีอะไรแล้ว ยอมรับทุกอย่างไม่ต้องไปเสาะหาอะไรอีก กลายเป็นชีวิตที่คนจะรู้สึกว่า ไม่ค่อยอินังขังขอบกับเรื่องการนัดหมายเท่าไหร่ ต้องมีคนคอยเตือน พอกลายเป็นคนแบบนี้ คนอื่นก็จะรู้สึกว่ารำคาญนิดหน่อย คนใกล้ชิดต้องคอยเตือนตลอดแต่ตัวเองรู้สึกว่าเป็นชีวิตที่ดี.."

คุณหมอบอกพร้อมตายทุกเมื่อ แต่โปรเจคที่ทำตอนนี้ใหญ่มาก ดูเหมือนต้องตั้งใจอยู่ยาว เพราะภาระก็เยอะอยู่เหมือนกัน หรือว่าวางตัวบุคคลไว้เรียบร้อยแล้ว

     "..การทำงาน ผมปล่อยมันเป็นไปตามธรรมชาติ คนทำงานกับเรา ก็ให้เขาค่อยๆเข้ามาเรียนรู้ตามธรรมชาติ ไม่ถึงกับวางไว้ว่าเดี๋ยวผมตาย คนนั้นต้องขึ้นมา ไม่ถึงขนาดนั้น สมัยก่อนผมทำงานดูแลธุรกิจเป็นผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน เราซีเรียสว่าถ้าคนๆนี้ขาดแล้วเราจะทำยังไง แต่พอเรื่องจริงเกิดขึ้น คนสำคัญขาดไปโดยกะทันหัน สามวันแค่นั้นแหละ ทุกอย่างมันก็ลงตัว ตอนหลังผมเลยเลิกคิดว่า ตัวเองแบกโลกไว้ ไม่มีผมสามวัน ทุกอย่างก็จะลงตัว ผมกลายเป็นคนที่เรียกว่าไว้ใจจักรวาล ปล่อยให้จักรวาลเป็นคนบริหารจัดการทุกสิ่งทุกอย่างไป ในเมื่อใครก็ตามที่สร้างโลกนี้ขึ้นมาเขาก็ต้องเป็นคนดูแลโลกนี้ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะแบกโลกไว้

     คุณเคยไปวัดอรุณใช่ไหม ที่ฐานวัดอรุณมีครุฑ เรียงรอบพระปรางค์ ถ้าผมบอกคุณว่าครุฑพวกนี้รับน้ำหนักของพระปรางค์ไว้คุณเชื่อไหม คุณก็ไม่เชื่อ ฐานรากในดินต่างหากซึ่งรับน้ำหนัก เหมือนกันใครจะมาพูดว่า ผมแบกรับภารกิจทั้งหลายจริงๆมันไม่ใช่หรอก พอผมตายไปวันนี้ อีกสองสามวันทุกอย่างมันลงตัวเอง เพราะฉะนั้นผมไม่ได้วางแผนละเอียดว่าใครจะมาแทนอะไร งานระยะยาวจะเป็นยังไงไม่ได้วางแผนโดยละเอียดขนาดนั้น เป็นคนไว้ใจจักรวาล ฟังดูจะงมงายนิดหน่อย"

มีชีวิตบั้นปลายที่บ้านสวนต่างจังหวัดไม่เครียด ก็สบายๆอยู่แล้ว นึกยังไงถึงมาเผยแพร่หรือทำอะไรเพื่อสังคม เพราะดูเหมือนการยุ่งกับคนเยอะก็ใช่สิ่งที่คุณหมอชอบนัก

     "..ผมคิดว่าไม่มีใครชอบยุ่งกับคน นานมาแล้วผมเป็นผู้อำนวยการอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีพยาบาลที่เป็นหัวหน้าพยาบาลไอซียูมาจากอีกโรงพยาบาล พยาบาลเป็นอาชีพที่หายาก แล้วคนที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าได้เลยนั้นอายุไม่มากยิ่งหายาก พอเขามาสมัครงานก็สงสัยว่าทำไมคนระดับนี้ถึงมาหางานทำเพราะคนเขาจะไปทำงานที่ไหนก็ได้ ผมถามว่าเขาต้องการอะไร เขาบอกว่าให้หนูทำอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องยุ่งกับคน ผมบอกว่ามีจ๊อบเดียวคุณเอารึเปล่า ไปปั้นสำลีอยู่ที่หลังโรงพยาบาล คือไม่มีใครอยากยุ่งกับคนหรอก แต่ถ้าถามเรื่องแรงบันดาลใจว่าทั้งๆที่ไม่ชอบยุ่งกับใครทำไมถึงมาทำ…

     อันที่หนึ่งคือการที่ตัวเองป่วย แล้วหันมาดูแลตัวเองแล้วมันดีขึ้น เราก็อยากจะสอนคนอื่นให้รู้จักดูแลตัวเอง อันที่สองการประกอบอาชีพผ่าตัดหัวใจมานาน มันเป็นงานที่เหนื่อยยากมาก แต่การที่ผ่าตัดหัวใจไปแล้วโรคเขาไม่ได้หาย เขาเป็นโรคต่อไป อีกสิบปีเขากลับมาอีกแล้ว ถ้าเขาไม่ตายอีกประมาณสิบปีเขาก็กลับมาอีก กลับมาแต่ละทีก็ต้องมาทำงานหนักมากเลย มันเป็นอะไรที่ไม่คุ้มเลย หมอก็เหนื่อยคนไข้ก็เหนื่อย"

แต่ได้ตังค์…เป็นธุรกิจ

      "นั่นอาจจะเป็นด้านที่ดี ทำให้เราดำรงชีพอยู่ได้ แต่ลองสมมุติว่า ผมจ้างคุณแบกหินขึ้นเขา แล้วพอถึงยอดเขาให้คุณกลิ้งหินลงมาข้างล่าง แล้วคุณแบกขึ้นไปใหม่ ผมให้คุณเดือนละสามแสนสี่แสนคุณเอาไหม คุณอาจจะไม่เอาเพราะงานที่กลิ้งหินขึ้นไปแล้วปล่อยมันลงมามันไร้ค่า คุณกลิ้งขึ้นไปแทบตายมันก็กลิ้งลงมาอีก แล้วคุณก็ต้องกลับมากลิ้งไปใหม่ โอเคคุณได้เดือนละสี่แสนคุณก็ไม่ทำ คุณไปหาที่อื่นเดือนละหมื่นสองหมื่นมันมีคุณค่าต่อชีวิตของคุณดีกว่า"

ถ้าหมอไม่ทำวันนั้น หมอก็ไม่มีทรัพย์สมบัติที่จะมาแมเนจโน่นนี่ในชีวิต อย่างที่ใจปรารถนา

     "แต่ก่อนผมเคยคิดอย่างนั้นนะ มันเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตนะ เหมือนวัวที่วิ่งไปในทุ่งมันวิ่งตามกันไปมันไม่รู้หรอกว่าวิ่งไปไหน จะมีบางฤดูกาลบางปีที่วัวจะวิ่งยี่สิบสามสิบตัวไปชนรั้วพังหมด มันไม่รู้หรอกว่าวิ่งไปไหน รู้แต่ว่ามันวิ่งไป แต่ก่อนผมคิดอย่างคุณว่าเราต้องทำงานต้องเก็บเงินมีรากฐานพอที่เราจะคิดอ่านใช้ชีวิตสบายๆได้ พอคุณลงร่องนั้นคุณไม่ได้กลับแล้ว คุณจะวิ่งในร่องนั้นจนคุณตาย ผมแก่ปูนนี้มองย้อนนั่นเป็นคอนเซ็ปท์ที่นั่นไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด วิธีคิดที่ดีที่สุดคือคุณมีชีวิตอย่างมีความสุขอยู่กับเดี๋ยวนี้ปล่อยให้ทุกอย่างลงตัวของมันเอง แล้วคุณจะมีชีวิตที่ดี แล้วในแง่ที่ว่าคุณจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นรึเปล่าคุณจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้มาก มากกว่าที่คุณจะพยายามทำโน่นทำนี่ พูดอย่างนี้ไม่รู้คุณเข้าใจรึเปล่าแต่แก่ปูนนี้แล้วผมรู้ว่ามันเป็นยังไง"

การเลือกที่จะไว้ใจจักรวาล ถ้าคนพูดไม่ได้เป็นคุณหมอระดับประเทศอย่างคุณหมอสันต์ในวันนี้ สมมุติถ้าคนคิดแบบนี้ ตั้งแต่ตอนอายุ 14-15 อาจจะมีบั้นปลายคือไปนั่งขอทานที่สะพานลอยก็ได้…วางความคิดได้ ไม่เครียด ไม่สู้งานหนัก แล้วชีวิตจะดีเอง เป็นไปได้จริงหรือ

     "ในช่วงที่วิ่งตามกันไปผมก็มีทุกอย่าง ประสบความสำเร็จทุกอย่างที่คนเขาประสบกัน ทำงานเยอะนอนไม่หลับสุขภาพไม่ดี มีความเครียดตลอดเวลาผมก็เป็น การที่จะออกจากจุดนั้นมันไม่จำเป็นต้องแก่ถึงขนาดนั้น มีเงินขนาดนั้น ไม่เกี่ยวเลย บางคนนี่มีเงินมากยิ่งออกไม่ได้ มีสมบัติน้อยๆออกง่ายกว่า วัยก็ไม่เกี่ยว บางคนยิ่งแก่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ยิ่งแก่ยิ่งเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ยิ่งไปไหนไม่รอด คนอายุน้อยซะอีกที่ไม่มีสมบัติมากตัวปร๋อ เดี๋ยวไปเที่ยวโน่นไปเที่ยวนี่ วัยก็ไม่เกี่ยว การมีทรัพย์มากหรือน้อยก็ไม่เกี่ยว มันเกี่ยวกับว่าคุณมองเห็นรึยังว่าชีวิตที่ใช้อยู่มันมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ ถ้าคุณมองเห็นคุณก็ออกมาแค่นั้นแหละ ถ้าคุณยังมองไม่เห็นก็วิ่งตามเขาไปเหมือนวัวที่วิ่งตามเขาไป ถ้าคุณมองเห็นเมื่อไหร่คุณก็ออกมาได้เมื่อนั้นไม่เกี่ยวกับวัยไม่เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติ

     คุณพูดถึงว่าอายุ 15 มัวมาคิดแบบนี้เดี๋ยวก็ต้องไปขอทานหรอก ชีวิตนี้มันไม่ต้องการอะไรมากนะคุณ ชีวิตนี้คุณตื่นมาคุณมีอากาศหายใจ มีน้ำสะอาดดื่มนี่เรียกว่าชีวิตอยู่ได้ 90% แล้วนะ คุณมีน้ำกับมีอากาศ อาหารนี่คุณยังใช้ก็ไม่มากนะ เมืองไทยเป็นเมืองที่ผลิตอาหาร อาหารราคาถูกมากชีวิตคุณแทบไม่ต้องการที่จะต้องมีเงินมีทองไว้มากมายเลย อากาศก็ฟรี ถ้าคุณอยู่ในเทศบาลน้ำก็ฟรีคุณเปิดก๊อกก็ได้น้ำสะอาดด้วย อาหารคุณอาจจะต้องหาเงินมาซื้อหา ที่เหลือก็เรื่องจิ๊บจ๊อย แม้แต่ที่อยู่อาศัยเอง ถ้าคุณมีอากาศที่ดีหายใจ มีน้ำสะอาดดื่ม มีอาหารบริโภค อาหารที่ทำให้สุขภาพดีซึ่งก็คืออาหารธรรมชาติ สามอย่างนี้ชีวิตก็ปร๋อแล้วไม่ต้องใช้เงินมากเลย ไม่ต้องสะสมอะไรมากไม่จำเป็น ผมใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าใจสัจธรรมอันนี้ ซึ่งมันนานเกินไป เขาเรียกว่าเสียค่าโง่ไปยาวนานเกินไป แต่ก็ไม่เสียดายเวลาหรอกนะที่ผ่านมา จากนี้ไปผมรู้แล้วจะใช้ชีวิตยังไงถึงจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการมีชีวิตอยู่ การอยู่ตรงนี้ทำให้เราได้เต็มๆกับชีวิตแทนที่จะไปเสียดายอดีตหรือพะวงนู่นนี่ในอนาคต"

ขนาดคุณหมอเองยังคิดเรื่องนี้ได้ตอนที่อายุมากแล้ว พอถึงจุดนึงที่คุณหมออยากจะเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปสู่สังคมหรือระดับคนที่วุฒิภาวะหรืออะไรที่แตกต่างกับคุณหมอ ในมุมนักบริหารคิดว่า เจอวิธีหรือยัง ในการที่จะให้ความรู้หรือความเข้าใจไปถึงคนเร็วหรือเป็นรูปธรรมกว่านี้

     "ยังไม่เจอวิธี ในมุมมองของสุขภาพก่อนนะ การมีชีวิตที่ดีการมีสุขภาพที่ดีเงื่อนไขหลักอยู่ที่ตัวคนตรงนั้น การมีสุขภาพดี แรงจูงใจจะเกิดขึ้นกับคนที่ป่วยแล้วใกล้จะตายแล้วซึ่งมันจะสายเกินไป แม้แต่ในแคมป์ที่ผมทำ ผมทำแคมป์หลายแบบ แคมป์สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเรื้อรังเรื้อรังเขาเรียกว่าพลิกผันโรคด้วยตัวเองนี่ก็อีกพวกนึง แคมป์สุขภาพดีด้วยตัวเองคนหนุ่มคนสาวที่ยังดีๆอยู่มาเรียนรู้วิธีใช้ชีวิต พวกสุขภาพดีด้วยตัวเองแรงจูงใจนี่ต่ำมาก ยิ่งถ้าบริษัทเกณฑ์ให้มาเรียนนะความอยากมีสุขภาพดีน้อย แต่คนที่เป็นโรคเรื้อรังใกล้จะตายแล้วจะกระตือรือร้นที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองแต่มันเป็นเวลาที่สายเกินไป ผมก็ยังไม่มีวิธีที่จะกระตุ้นคนให้สนใจที่จะดูแลตัวเอง ย้ำอีกทีว่าคนที่เป็นคนทำคือเจ้าตัวเขา มันมีสองเรื่องนะ การมีสุขภาพกับการมีชีวิตที่ดีสองเรื่องก็ปนๆอยู่ในนั้นเจ้าตัวเขาเป็นคนทำ มันเหมือนกับพระสอนให้คุณบรรลุอรหันต์บรรลุธรรม พระไม่ได้ทำให้คุณบรรลุธรรมได้ซะเมื่อไหร่ ตัวคุณต่างหาก เหมือนกัน..การที่จะให้คนมีสุขภาพดีผมเป็นคนสอนเป็นคนกระตุ้น แต่ว่าผมไปทำแทนเขาได้ซะเมื่อไหร่ ตัวเขาต้องทำ ถามว่าผมมีโนว์ฮาวหรือวิธีที่จะทำให้คนหันมาสนใจดูแลตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพแล้วหรือยังผมก็ยังไม่มีนะ

     ผมก็พยายามใช้วิธีเท่าที่ความรู้ในวงการแพทย์มี หนึ่งให้ความรู้ ให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ สองคือคอยกระตุ้น สามทำตัวเป็นตัวอย่างเท่านั้นเอง ผมก็ทำได้เท่านี้ ถ้าทำแค่นี้แล้วเขาไม่ทำอีก ผมก็หมดปัญญา ยังไม่มีโนว์ฮาวอะไรที่ดีกว่านั้น ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครมีรึเปล่า"

ในความเป็นจริง การเกิดแก่เจ็บตาย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ สิ่งที่หมอทำกำลังจะยืดระยะเวลาตายแล้วก็ลดไม่ให้เจ็บ มันไม่ผิดหลักธรรมชาติหลักความเป็นไปของโลกหรือ  ความเสื่อมหรือสิ่งที่มากระทบมันก็เป็นธรรมดาของชีวิตที่ต้องเผชิญ แล้วก็ต้องทุกข์ เราเกิดมาเพื่อที่จะทุกข์แล้วก็ตายจากไป ถ้าเราอยู่นานๆมันไม่ย้อนแย้งสวนทางกับธรรมชาติหรือ

     "จริงๆมูลเหตุที่ทำให้คนป่วยเป็นโรคเรื้อรังเหตุใหญ่คือความคิดของเขาเอง เราต้องการให้ชีวิตของคน ณ ขณะนี้เป็นชีวิตที่มีคุณภาพ เราต้องการแค่นั้นเขาจะอายุยืนหรือไม่มันก็แล้วแต่ แต่ว่าคำว่าสุขภาพไม่ดีก็หมายความว่าชีวิต ณ ขณะนั้นมันไม่มีคุณภาพ ในนั้นมันมีสองด้าน ด้านนึงร่างกาย ทำอะไรไม่ได้มีอาการที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ อาการปวด อีกด้านนึงคือด้านความคิด พอตัวเองป่วยก็คิดไปถึงอนาคต มีความคิดลบสารพัดว่า ลูกเมียจะอยู่ยังไงพอตัวเองตาย สิ่งที่ผมทำคือทำยังไงจะให้คนอยู่กับเดี๋ยวนี้อย่างมีความสุข ผมเอาแค่นี้เท่านั้น ไม่ได้โลภมากว่าคนจะต้องมีอนาคตเอาแค่เดี๋ยวนี้เท่านั้นให้ร่างกายเขาโอเค ให้เขาทำในสิ่งที่เขารู้สึกว่าชีวิตเขามีค่า ผมว่าคนไข้บางคนเขาอยากทำในสิ่งที่เขาวินิจฉัยว่ามีค่า ถ้าทำไม่ได้เขาตายดีกว่า แต่เขาทำไม่ได้เพราะร่างกายเขาไม่เอื้อ ผมก็ช่วยให้เขาทำได้ อันนี้ก็ทำให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น ได้ทำในสิ่งที่คนเห็นว่าเขามีค่า เพราะฉะนั้นการทำให้สุขภาพดีไม่ได้หมายความว่าเราจะทำให้คนนั้นอายุยืน พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ เกิดแก่เจ็บตายยังไงมันก็ต้องเกิดอยู่แล้ว แต่ทำยังไงให้ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้เป็นชีวิตที่มีค่า เป็นชีวิตที่ตัวเองแฮปปี้ไม่เป็นภาระกับคนอื่น

     คนไข้จะมีคอนเซ้ปต์คล้ายๆกันหนึ่งคือไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระกับใคร ถ้าเป็นภาระกับคนอื่นก็จะมีความตำหนิตัวเอง มีความไม่อยากอยู่ อยู่ไปก็เป็นภาระคนอื่น อันที่สองอยากให้ชีวิตตัวเองมีคุณค่า ตัวเองตัดสินใจโดยเฉพาะคนที่ทำอะไรมาเยอะแล้วมาทำไม่ได้ก็จะตัดสินว่าชีวิตตัวเองไม่มีคุณค่าก็จะไม่อยากอยู่อีก มีภาวะซึมเศร้า มีภาวะอยากตาย กระทั่งมีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย อันที่สามนี่เป็นมากในคนไทย อยากให้ชีวิตตัวเองมีความหมาย เกิดมาแล้วถ้าตัวเองนับถือศาสนาพุทธก็จะเดินไปสู่ความหลุดพ้นในเชิงจิตวิญญาณ ลึกๆทุกคนจะมีความคิดอย่างนี้อยู่ ถ้าตัวเองไม่ไปไหนจะตีวนเป็นลูกข่างก็จะตำหนิตัวเอง รู้สึกว่าชีวิตเกิดมาทั้งทีเป็นชีวิตที่ไม่มีความหมายไม่ไปไหน ไม่มีทางหลุดพ้น สามประเด็นนี่แหละที่ประกอบเป็นคุณภาพชีวิต การมีชีวิตที่มีคุณค่า มีความหมาย ไม่เป็นภาระกับคนอื่น"

ตอนนี้เราเหมือนกำลังช่วยมดตกน้ำ แต่ถ้าเราถอยมองออกมาไกล ถ้ามดมันเยอะมันเต็มไปหมด แล้วโลกจะอยู่ยังไงใครจะดูแลมดที่หากินไม่ได้

     "ใครที่สร้างโลกนี้ขึ้นมา เขาดูแลโลกเอง คุณอย่าไปคิดว่าคุณมีภาระที่ต้องดูแลปัญหา อย่าไปคิดไกลขนาดนั้น"

เขาบอกว่าคนเราอยู่ชนชั้นใดก็จะทำกฎหมายทำกิจกรรมเพื่อชนชั้นนั้น ที่หมอพูดอย่างนี้เพราะหมอเป็นผู้สูงอายุ อย่างลูกหลานที่เขามีพ่อแม่แก่ๆทั้งเจ็บทั้งป่วย ขี้บ่น เมื่อไหร่จะตายซะที ถ้าเขาเกิดอยู่ไปเรื่อยๆลูกก็ทุกข์ เหตุการณ์อย่างนี้จะทำยังไง มีหลายบ้านที่เป็นอย่างนี้ จะแก้ปัญหานี้ยังไง

     "วิธีแก้ง่ายมากแล้วแต่ว่าเราจะมองออกจากตัวใคร แต่ไม่ว่าเราจะมองออกจากตัวใครหมายความว่าคนแก่ที่เป็นภาระกับลูกหลานกับลูกหลานที่ต้องดูแลคนแก่ก็ใช้สูตรเดียวกัน คือให้ยอมรับทุกอย่างที่เป็นอยู่ขณะนั้นแล้วก็ดำเนินชีวิตไปทีละช็อตๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เป็นวิธีที่ดีที่สุด"

แล้วมองภาพอนาคตที่เขาบอกว่ามันเป็นสังคมของผู้สูงอายุ มองว่ายังไงถึงไม่อยากจะคิดถึงอนาคตก็จริง แต่ว่าระดับหมอก็จะต้องเห็นอะไรบางอย่าง มีญาณนิมิต

     "ไม่ต้องใช้ญาณอะไร เป็นการคาดการณ์ทางสถิติอยู่แล้วว่าต่อไปคนในสังคมผู้สูงอายุจะมากขึ้นจะมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นคุณภาพชีวิตจะลดลง ชีวิตที่ยืนยาวขึ้นนั้นในงานวิจัยครั้งหลังสุดที่แคนาดาทำ 50% สิบปีสุดท้ายของชีวิตคน จะเป็นชีวิตที่ไม่มีคุณภาพ เราดูจากข้อมูลเหล่านี้เราก็รู้แล้วว่าคนแก่จะเยอะ คุณภาพชีวิตจะแย่ ทุกคนก็มองเห็นตรงนี้ไม่ใช่ผมมองเห็นคนเดียว นักสถิติ นักวิทยาศาสตร์ทุกคนก็มองเห็นหมดแหละ หลายคนก็พยายามจะใช้วิธีของเขา ยืดอายุเกษียณออกไป พยายามให้คนแก่ทำอะไรมากขึ้น ไม่ใช่หกสิบปุ๊ปก็นั่งรอกินบำนาญต่อไปใครจะมาเลี้ยง"

ในระยะยาว ปัญหาของสังคมผู้สูงอายุ มันต้องรุนแรงขึ้น เพราะไม่มีใครอยากดูแลใคร ไหนจะค่าใช้จ่าย ถ้าคุณหมอมีส่วนในการจัดการหรือมีส่วนทำให้ดีขึ้น นอกเหนือจากการมีคุณภาพชีวิตที่ดี คิดว่าต้องจัดการอย่างไร

     "ประเด็นที่หนึ่ง ทิศทางของการบริหารจัดการด้านสุขภาพจะต้องเปลี่ยนไป ทิศทางปัจจุบันนี้เรามุ่งไปที่ฮอสปิตัลแคร์ การใช้การแพทย์แผนใหม่ การผ่าตัดใช้ยา ใส่วัสดุเทียม ใช้เทคโนโลยี ทิศทางนี้สังคมจะจ่ายไม่ไหวเพราะมันเจ๊งแน่นอน หนึ่งมันใช้เงินเยอะ แล้วถึงจุดหนึ่งสังคมจะไม่มีเงินจ่าย อันนี้แน่นอนไม่ใช่เด็กอมมือแต่นักวิชาการทางด้านสถิติ ทางด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านสาธารณสุขทุกคนมองเห็นหมด ถึงจุดหนึ่งมันไปไม่รอดเพราะแพงมาก ค่าใช้จ่ายมาก อันที่สองมันเป็นทางที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งๆที่เราทำอย่างนี้ไม่ใช่ว่าสุขภาพของคนจะดีขึ้น เปล่า เอาง่ายๆการเป็นโรคเรื้อรังไม่ใช่ว่าทำอย่างนี้แล้วจุดจบที่เลวร้ายของโลกจะลดลงก็เปล่า อายุคนจะยืนยาวขึ้นเพราะการทำอย่างนี้ก็เปล่า เพราะฉะนั้นทางนี้เป็นทางที่ผิดจะต้องถอยกลับมาหาอีกทางนึง ซึ่งเรารู้ว่าให้คนหันมาดูแลสุขภาพตัวเอง ผ่านการกิน การใช้ชีวิต การจัดการความเครียด ประเด็นแรกทิศทางการดูแลสุขภาพต้องเปลี่ยน มันจะใช้เวลานานแค่ไหนในการเปลี่ยนตรงนี้ไม่มีใครคาดเดาได้ มันอาจจะใช้เวลาหลายสิบปีหรือเป็นร้อยปีรึเปล่าก็ไม่รู้ พูดง่ายๆว่าระบบการแพทย์แผนปัจจุบันนี้ต้องเจ๊งไปก่อน การเปลี่ยนทิศทางถึงจะเกิดขึ้น ตอนนี้มันค้ำกันอยู่หลายทิศทางไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ

     บริษัทยาผลิตยาด้วยต้นทุนที่สูง แล้วโปรโมทตัวเองอย่างแรงผ่านหมอ หมอก็ขายยาให้ ค้ำกันไปค้ำกันมา เป็นอุตสาหกรรมที่แข็งแรงแน่นหนา ใช้เวลานานกว่ามันจะเจ๊งแต่มันจะต้องเจ๊ง อันที่สองคือ การสร้างสังคม รูปแบบที่ลูกหลานจะต้องดูแลผู้สูงอายุมันไม่ใช่ เพราะลูกหลานมีน้อย คนสูงอายุมีมาก ลูกหลานเขาก็ปรับตัวนะ เขาไม่โปรแกรมตัวเขาให้มาดูแลบุพการี คนรุ่นใหม่ไม่มีหรอก ใครมีมิชชั่นในชีวิตที่จะมาป้อนข้าวป้อนน้ำดูแลพ่อแม่สิบปียี่สิปปี ไม่มีใครมีความคิดอย่างนั้น มันเป็นโปรแกรมของตัวเขาเองที่เป็นไปตามธรรมชาติ

     ทางเดียวของการสร้างสังคมใหม่คือ สังคมที่คนแก่จะต้องอยู่คนเดียวให้ได้ คนเดียวอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหลายคนมาทำเป็นชุมชนที่มีการออกแบบที่ดี มันอาจจะเป็นไปได้ ทั่วโลกก็เริ่มมีการทดลองจุดเล็กจุดน้อยในการที่จะสร้างสังคมผู้สูงอายุอยู่ด้วยตัวเองได้ นี่ผมก็ทำนะ ผมมองคนสูงอายุสิบคนมาอยู่ด้วยกัน ล้อมรั้วเดียว มีกระท่อมคนสวนอยู่หลังหนึ่ง มีหลังของคนที่เป็นคนอายุน้อยอยู่หลังเดียวคือคนสวน ตัดหญ้า เฝ้าพื้นที่ ตื่นเช้าก็มีคนเดินดูว่าบ้านไหนที่ตื่นสายผิดสังเกตและยังไม่เปิดประตูอันนี้ก็เป็นรูปแบบที่คนแก่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ถึง 100% แต่ใช้ทรัพยากรให้มันน้อยที่สุด ที่อยู่อาศัยแบบนี้มันจะต้องเกิดขึ้นเพราะไม่มีคนรุ่นใหม่ที่จะต้องมาดูแล ทั้งหมดมันคงใช้เวลาหลายสิบปีอยู่ก่อนที่มันจะพัฒนาไป"

เมื่อพูดถึงความแก่ ความเจ็บแล้ว ก็ต้องคุยเรื่องความตาย ซึ่งเป็นหนึ่งในสัจธรรมของทุกชีวิต ในอนาคตคนเรามีความเป็นไปได้ไหมที่จะมีสิทธิ์ตัดสินใจเองว่าจะจบชีวิตลงเมื่อไหร่ เมื่อป่วยหนักไม่อยากอยู่ต่อ จะตายดีหรือไม่ การฆ่าตัวตายทางการแพทย์ หรือการเลือกที่จะไม่อยู่แล้ว จะเป็นทางเลือกที่ถูกกฎหมายในอนาคตหรือไม่ 

     “ในอนาคตถ้าคุณมองไปให้ไกล ชีวิตของคนจะถูกบงการโดยหุ่นยนต์ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ เหมือนอย่างคนรุ่นนี้อีกสามชั่วโมงเขาจะกินอะไรก็จะเช็คกับอากู๋ใช่ไหมว่า จะไปกินข้าวที่ไหน อากู๋คือหุ่นยนต์ ต่อไปสิ่งเหล่านี้จะกำหนดชีวิตของผู้คน เพราะฉะนั้นจะถามว่าคนจะฆ่าตัวตายได้ไหม มีวิธีตายแบบทางการแพทย์ไหม มันขึ้นอยู่กับหุ่นยนต์จะเป็นตัวกำหนด หุ่นยนต์ก็มาจากความคิดของผู้คนส่วนใหญ่ ซึ่งผมเดาไม่ถูกเลยว่า การกำหนดอนาคตความตายจะเป็นอย่างไร แต่ผมมั่นใจว่า ตัวปัญญาประดิษฐ์นี่แหละจะเป็นตัวกำหนด แล้วคนก็จะทำตาม ขณะนี้คนเดินถนนประมาณ 50% ใช้ชีวิตตามอากู๋ ตามเฟสบุ๊คตามไลน์ อากู๋คือปัญญาญาณของผู้คนในอนาคต มันเป็นปัญญาญาณที่เกิดจากความคิดความอ่านของคนในโลกนี้ แล้วมันก็จะมาบงการให้คนใช้ชีวิตไปในแนวนี้ จะตายเองก็ต้องตายอย่างนี้นะ

     ผมมีคนไข้ที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย จะเข้าไปศึกษาการตายในอินเตอร์เน็ต จนได้ไอเดียอะไรมาจนถึงจะลงมือ นี่คือไอเดียของหุ่นยต์ไง ในอนาคตสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดการตายของคน ซึ่งผมเดาไม่ถูกว่ามันจะไปทางไหน”

 ในฐานะแพทย์คุณหมอมองว่า การตัดสินใจที่จะไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นบาปหรือไม่ หรือควรเป็นสิทธิของมนุษย์

     "ในฐานะแพทย์ไม่มีสิทธิ์ตรงนี้ สิทธิเป็นคอนเซ็ปต์ที่คนเราคิดขึ้น เรามองสัตว์ละกัน สมมติงูคุณเคยเห็นงูตายเรี่ยราดไหม ไม่มี ยกเว้นเขาตีมันหรือรถทับ งูพอรู้ว่าจะตายก็ไปอยู่ในที่นึง อยู่นิ่งๆไม่กินข้าวกินน้ำ ไม่กี่วันมันก็ตาย เพราะฉะนั้นถามว่าตรงนี้เป็นสิทธิ์หรืออะไร มันเป็นวิถีธรรมชาติ คนเราเมื่อจะตายเขาก็รู้ว่าจะตาย พูดถึงถ้าไม่มีเรื่องของการแพทย์แผนปัจจุบันไปยุ่งเขาจะไปซุ่มอยู่ที่นึงไม่กินข้าวกินน้ำเขาก็ตาย ถ้าคุณเรียกมันว่าเป็นการฆ่าตัวตายมันก็เป็นวิถีธรรมชาติ แต่ทุกวันนี้เราไปทำให้มันผิดวิถีธรรมชาติ เราไปพยายาม ญาติพี่น้องอย่าเพิ่งไป เอาข้าวไปหยอดเอาน้ำเกลือไปใส่ การทำอะไรผิดวิถีธรรมชาติอีกหน่อยคงเลิกไปหมดผมว่า มันจะผ่านหุ่นยนต์ หุ่นยนต์จะสอนให้คนกลับมาหาวิถีธรรมชาติ ซึ่งคุณเรียกมันว่าเป็นการฆ่าตัวตายด้วยสิทธิ

     หมาแมวงู ไม่รู้จักสิทธิ์ มันไม่มีคอนเซ็ปต์ แต่ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้นพอถึงที่ตายจะไปหาเอง มันหยุดกินข้าวกินน้ำก็ตาย"

คุณหมอมองว่าพุทธะของคนเราจะไปอยู่ใน AI ในวันข้างหน้า รู้ทุกสิ่ง รู้เข้าใจโลก

     "มันจะมีสองระดับ ระดับที่ยอมถูกปกครองโดยหุ่นยนต์ การที่หุ่นยนต์จะมาเป็นเจ้าเข้าครองเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มันจะมีคนอีกระดับนึงที่วางความคิดของตัวเองได้แล้วและอยู่ในความตื่น สามารถดึงปัญญาญาณเข้ามาสู่ตัวเองได้อันนั้นจะเป็นอีกระดับนึง คนระดับนั้นปัจจุบันมีน้อยมาก ในอนาคตไม่รู้จะมีมากขึ้นรึเปล่า แต่ผมมั่นใจว่าคนที่จะถูกปกครองโดยปัญญาญาณเทียมมันจะเป็น 90% แล้วจะอยู่ภายใต้การปกครองของหุ่นยนต์

     ยกตัวอย่าง การไปหาหมอ การไปโรงพยาบาลต่อไปจะถูกทดแทนโดยหุ่นยนต์ หมอจะเป็นอาชีพที่ไม่จำเป็น หุ่นยนต์เป็นตัวบอกตั้งแต่ต้น เพราะว่ามันรวบรวมความคิดความอ่านหลักวิชาไว้หมด มันสามารถที่จะไล่เลียงได้อย่างรวดเร็ว ว่าอาการที่มีคุณมีจะเป็นอะไรได้บ้าง ภายใต้เงื่อนไขที่คุณเป็น ภายใต้ทางเลือกที่ดีที่สุดมีอะไรบ้างแล้วคุณค่อยทำ มันก็เริ่มมีแล้วนะ ผมมั่นใจได้เลย 20-30 ปีข้างหน้าอาชีพแพทย์ลดความสำคัญ สมัยก่อนคุณเคยคิดไหมถ้าไม่มีบุรุษไปรษณีย์ชีวิตคุณจะอยู่ได้ แทบจะเป็นไปไม่ได้ สมัยก่อนถ้าไม่มีธนาคารคุณจะไปเอาเงินจากไหน เดี๋ยวนี้คุณไม่ต้องไปธนาคารแล้ว สามารถทำการซื้อขายได้ ธุรกรรมหลายๆอย่าง สมัยก่อนเรื่องใหญ่คนบ้านนอกต้องไปอำเภอใช่ไหม ไปทำโฉนด ไปอำเภอ ทุกอย่างที่อำเภอหมด สมัยนี้คนไม่ต้องไปอำเภอแล้ว มันไม่จำเป็น การไปหาหมอก็เหมือนกัน ทุกวันนี้อุตสาหกรรมสุขภาพต้องทำให้คนมาซื้อ ต่อไปหุ่นยนต์จะไม่ให้คุณไปให้คุณทำอย่างนี้แล้วคนก็ทำตาม อาชีพหมอในอนาคตจะหายไป ไม่รู้อีกนานเท่าไหร่นะ

     ถามถึงอนาคตไกลๆผมตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับหุ่นยนต์จะบงการอะไรผมตอบไม่ได้ แต่ชีวิตคนจะไม่เหมือนทุกวันนี้"

ถ้าถามถึงสิ่งที่กลัวโดยอัติโนมัติ ไม่ต้องใช้สติ ไม่ต้องใช้ความฉลาด สิ่งที่คุณหมอกลัวที่สุดคืออะไร

     "ตอนนี้ผมพ้นสิ่งเหล่านั้นมา ความกลัวมันเป็นความคิด เป็นความเชื่อ ความกลัวคือคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นความเลวร้ายสำหรับเรา มันเป็นความคิด ผมเรียนรู้ชีวิตมาถึงขั้นที่ผมวางความคิดได้ ไม่หมด 100% แต่ 99%  สิ่งที่เรียกว่าความดีความชั่วก็ดี ความกลัวก็ดี ความเชื่อก็ดี ผมไม่มี ผมพ้นจากสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว ผมตอบได้ว่าไม่กลัวอะไรเลย"

คุณหมอจัดการความคิดเรื่องกลัวตัวเองจะตายได้สำเร็จแล้ว แต่กลัวไหมว่าคนที่รักจะจากไป ยังเหลือกลัวอะไรแบบนั้นอยู่ไหม

     "ผมไม่ได้มองชีวิตไกลไปกว่าหนึ่งวินาทีนี้ วินาทีนี้ผมกลัวอะไรล่ะ ผมคุยอยู่กับคุณโคตรสบายใจ ไม่มีใครมาบีบคอให้หายใจไม่ออก นอกจากความกลัวไม่มีแล้ว คอนเซ็ปต์ต่างๆที่ล็อคผมไว้ในอดีตความเชื่อ ยึดถือในเรื่องความดี ความรับผิดชอบอะไรผมไม่มีแล้ว ไม่มีคอนเซ็ปต์ใดๆทั้งสิ้น ใช้ชีวิตไปแต่ละโมเม้นท์ ทีละช็อต ทีละช็อต"

     ความกลัวเป็นต้นเหตุความเจ็บป่วย เป็นปัญหาสุขภาพเยอะมาก การที่จะไปจากตรงนี้มีจุดเดียวคุณต้องหัดวางความคิดให้เป็น ถ้าวางความคิดเป็นความกลัวจะหมดไป การเจ็บป่วยหลายอย่างมักเกิดจากความกลัว การที่คนไปโรงพยาบาล ธุรกิจอุตสาหกรรมการแพทย์อยู่ได้เพราะความกลัว เหมือนอุตสาหกรรมการประกันชีวิต ถ้าคนวางความกลัวไปหมด อุตสาหกรรมประกันชีวิตเจ๊ง เพราะบริษัทประกันทำการค้าขายบนความกลัว อุตสาหกรรมสุขภาพก็เหมือนกัน การค้าของเราอาศัยความกลัวให้คนไข้ซื้อ การจะไปจากความกลัวต้องหัดวางความคิด ความจริงไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ซับซ้อนอะไร การไม่มีความคิด ความคิดหมายถึงประโยคที่เราพูดในหัว มีประธาน กิริยา กรรม เหมือนประโยคที่เราพูด การไม่มีความคิดมันเป็นธรรมชาติตั้งแต่เกิดมาของเรา  รากดั้งเดิมของเราคุณนึกภาพตอนคุณอายุ 2 เดือน คุณมีความคิดอะไรไหม ไม่มี เกิดมาสองเดือนตาแป๋ว พ่อแม่จะเรียกคุณว่าโอ๋ๆ คุณไม่รู้หรอกว่ามันแปลว่าอะไร คุณไม่มีความคิดใดๆทั้งสิ้น คุณรับรู้สิ่งรอบตัวในรูปของคลื่นความสั่นสะเทือน ภาพ เสียง สัมผัส การไม่มีความคิดเป็นปกติดั้งเดิมของเรา การจะวางความคิดไม่ใช่ของยาก แค่วางสิ่งที่พอกที่มาทีหลังออกไป เพราะเราเกิดมาใหม่ๆก็ไม่มีความคิดอะไร"

 เหมือนกลับไปเป็นสัตว์

     "ในส่วนของความวิตกกังวลคล้ายๆอย่างนั้น ไม่มีความกลัวอะไรอยู่กับปัจจุบัน แต่เราสูงกว่านั้นสมองของเราพัฒนาความสามารถว่าไอ้นั่นทิ้งไอ้นี่เก็บ ที่ว่าไม่มีความคิดต้องมีสิ่งเร้าเข้ามาใช่ไหม สิ่งเร้าไม่ดีทิ้ง คนมายืนด่าเราฟังไร้สาระก็ทิ้ง คนมายืนด่า มีสาระสำคัญเอาส่วนนั้นเก็บไว้ ความไม่พอใจทิ้ง อันนี้คือเราสูงกว่าหมาแมว เลือกใช้ประโยชน์จากสิ่งเร้าได้ แต่สาระหลักที่จะทำให้เรากลัวเราทิ้งได้ การที่จะวางความคิดไม่กลัวอะไรก็ไม่ใช่ชิพที่พิสดารที่จะต้องไปค้นหา หนีไปบวชมันไม่ใช่มันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของเรา"

ตอบเหมือนพระ

     "การจะมีชีวิตสงบร่มเย็น อยู่ในชีวิตประจำวันทำงานนี่แหละ ตรงนี้แหละไม่ใช่ต้องไปวัดไปวาไปบวช ไปวัดก็มีสิ่งแวดล้อมที่เครียดๆเป็นธรรมดา เหมือนผมทุกวัน ผมไม่ต้องถือศีลกินเจเลย พออยู่วัดมีศีลข้อหนึ่ง ข้อสองสามสี่  บางคนบวชเป็นพระก็จะมีเป็นร้อยสองร้อยข้อ คุณไม่ต้องไปคิดถึงบวช ปลีกวิเวกอะไรเลย ชีวิตวางความคิดเดี๋ยวนี้แหละ"

แต่ของหมอไม่กินน้ำตาลไม่กินเกลือยิ่งกว่าถือศีล

     "สิ่งเหล่านี้คือสิ่งเสพติด เราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ในอดีต เราติดรสหวานมันเหล่านี้มันมาจากในยีนส์ เพราะว่ายีนส์ของมนุษย์เราต้องตุนอาหาร เราเป็นสัตว์ป่าซึ่งไม่ใช่ว่าจะมีของกินทุกวัน แล้วอาหารที่เราจะตุนเราตุนในรูปของแคลอรี่ อาหารที่นำมาซึ่งแคลอรี่เราจะติดรสหวานรสมันเป็นสิ่งเสพติด สิ่งเสพติดเหมือนกับอะไรบ้างคุณติดบุหรี่รึเปล่าไม่ติด ติดกาแฟรึเปล่า ผมเคยมีคนไข้ติดเฮโรอีนสมัยหนุ่มๆผมอยู่ในป่า เขามารักษายาเสพติด คนไข้แฟนเขาสวยมากอายุยี่สิบกว่าเป็นลูกทหารใหญ่ติดเฮโรอีน ผมบอกว่าคุณนะถ้าผมมีแฟนสวยขนาดนี้ผมไม่มาติดยาเสพติดหรอก ผมไปกับแฟนดีกว่า เขาบอกว่าเฮโรอีนมันให้ความสุขกับสิ่งที่อย่างอื่นให้ไม่ได้ คุณหมอลองดูหน่อยไหม น่าเสียดายตอนนั้นผมไม่กล้าลอง

     อาหารเป็นสิ่งเสพติด การเลิกสิ่งเสพติดมันยาก คุณต้องมีอะไรที่ทำให้เบิกบานมากกว่านั้นคุณถึงจะเลิกมันได้เพราะฉะนั้นผมคิดว่าการจะเลิกเสพติดในอาหารจะเลิกได้เร็วมากถ้าคุณวางความคิดเป็นจิตใจคุณจะสบาย จะไม่มีอะไรมาทดแทนตรงนี้ได้เพราะคุณให้ความสำคัญ การที่คุณวางความคิดใจคุณจะสบายจะมีความสุขกับสิ่งนี้มากกว่า

     ถ้าคุยเรื่องอาหารจะเป็นประเด็นใหญ่และยาวเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ของคนจำนวนมาก

     มันมีประเด็นหลักประเด็นเดียว คือการเสพติดอาหาร และรสที่เราติดคือหวานกับมัน เลิกยาเสพกับอาหารมีกลไกเหมือนกันในทางการแพทย์มีข้อมูลชัดเจน ทำถึงขนาดเอาเอ็มอาร์ไอมาดูการเปลี่ยนแปลงของสมองในคนติดโคเคนกับน้ำตาลเหมือนกัน เวลาอยากน้ำตาลกับโคเคนเหมือนกัน การเปลี่ยนแปลงในสมองเหมือนกัน แต่เราก็ยังไม่สามารถทำให้คนเลิกการเสพติดอาหารได้ แต่ผมเลิกได้เพราะผมวางความคิดให้ได้ก่อน พอวางความคิดแล้วจิตใจเราจะแฮปปี้กับการไม่มีความคิด อะไรอย่างอื่นไม่เห็นเราแฮปปี้เท่า พอมาถึงจุดนี้อาหารที่ไม่มีเครื่องปรุงก็จะกลายเป็นอร่อยกว่าอาหารที่มีเครื่องปรุง เพราะอาหารที่ไม่มีเครื่องปรุงมันมีรสชาติที่แท้จริงของมัน แต่เครื่องปรุงมีรสเดิม พอเราเลิกติดแล้วก็รู้ว่ารสเดิมมีแค่นั้น แต่รสชาติแท้จริงดั้งเดิมของอาหารมีรสชาติแปลกๆใหม่ๆเสมอ"

บ้านที่ทำให้คนเรามีชีวิตที่ดี มีสุขภาพที่ดี ควรประกอบด้วยอะไรบ้าง

     "มีสองส่วน ส่วนที่มีความสำคัญน้อยกับส่วนที่มีความสำคัญเยอะ ส่วนที่เป็นพื้นที่ส่วนตัว แค่ใช้ซอกหลืบสำหรับนอน ห้องนอนซึ่งไม่จำเป็นต้องใหญ่ ห้องนอนที่ดีในการแพทย์หนึ่งไม่ต้องใหญ่ สองต้องสะอาด สามต้องมืด สี่ต้องเย็น สี่อย่างเป็นที่นอนที่ดี ประเด็นที่หนึ่งที่ทุกคนต้องมีซอกหลืบสำหรับซุกหัวนอน ไม่ต้องกว้าง ขอให้ มืด เงียบ เย็น สะอาด สองคือพื้นที่ร่วม ที่จำเป็นที่สุดคือส่วนที่มีอากาศหายใจ ถ้าคุณเปิดบ้านออกมา คุณไม่มีอากาศหายใจได้ไม่เต็มปอดอันนั้นคุณอายุสั้นแน่นอน สูดลมได้ไม่เต็มปอด อากาศที่ดีเป็นเบสิค ต้องสูดหายใจได้เต็มปอด นอกจากอากาศ ถ้ามีโอกาสได้แสงแดด แสงแดดก็มีความจำเป็นของทุกชีวิตบนโลกนี้เพราะมันผูกพันกับแสงแดด นี่เป็นส่วนพื้นที่ร่วม สามคือน้ำ น้ำสะอาดที่จะดื่มที่จะใช้ ที่พักอาศัยในเมืองใหญ่มีเทศบาลไม่มีปัญหาเพราะสังคมเป็นคนจัดหาน้ำส่งไปตามท่อส่ง แต่ว่านอกเขตที่พักอาศัยที่ดีจำเป็นต้องมีน้ำ พอที่จะดื่มพอที่จะทำความสะอาดร่างกาย การมีน้ำสะอาดเป็นองค์ประกอบสำคัญอันที่สาม อันที่สี่พื้นที่ร่วมสถานที่ออกกำลังกาย มีความสำคัญรองมาจากอากาศและน้ำ ถ้ามีก็หรู ถ้าไม่มีอาจจะไม่ถึงกับซีเรียส ที่ออกกำลังกายถ้ามีต้นไม้ก็เจ๋ง แต่บางคนไม่ชอบไปอยู่ในพื้นที่ร่วม ต้องการที่จะออกกำลังกายส่วนตัว ที่ผมเคยลองมาแล้ว การทำแอโรบิค ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ฝึกการทรงตัว คุณต้องการพื้นที่ประมาณ 1 ตารางวา คุณทำได้ทุกอย่างทำได้หมด จะให้ดีที่ออกกำลังกายควรเป็นพื้นที่ร่วมมีต้นไม้ยิ่งดี อันสุดท้ายคือที่พักอาศัยที่ดีจะต้องเข้าถึงอาหารที่จะทำให้สุขภาพดีได้ง่ายๆ เพราะถ้าคุณไปอยู่ในที่ๆมีของที่คุณกินเข้าไปแล้วทำให้สุขภาพคุณแย่ ตรงนั้นเป็นที่พักอาศัยที่ไม่ดี เพราะการเข้าถึงอาหารที่เอื้อต่อสุขภาพดีทำได้ยาก

     สรุปมีห้าอย่าง หนึ่งมีที่ซุกหัวนอน เงียบ เย็น สะอาด มืด สองมีที่สูดอากาศได้เต็มๆ สามมีน้ำใช้ สี่มีพื้นที่ออกกำลังกายเป็นพื้นที่ส่วนตัวหรือพื้นที่ร่วม ห้าเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพราะคนสมัยนี้ไม่ได้ทำอาหารเอง จำเป็นที่ๆพักอาศัยที่ดีต้องเข้าถึงอาหารสุขภาพได้ง่าย ถ้าคุณทำที่พักอาศัยได้ครบห้าอย่างนี้ชีวิตก็หรูเลิศ"

ที่พักของคุณหมอในตอนนี้ ใกล้น้ำอยู่ใกล้ธรรมชาติมากๆ เจอแมลงและสัตว์เลื้อยคลานไหม

     "แมลงสัตว์เลื้อยคลานไม่ได้เป็นปัญหา แมลงที่มีปัญหาอย่างยุงคนก็นอนในมุ้งลวดไม่มีปัญหา ไอ้สัตว์เลื้อยคลานก็งูที่คนกลัว งูกลัวคน ที่ไหนที่คนอยู่มันไม่อยู่ ภาพใหญ่ไม่มีปัญหา"

สิ่งที่คุณหมอพูดเกี่ยวกับการจัดการตัวเองเกือบ 100% แต่ชีวิตคนเราทุกข์ส่วนใหญ่เกิดจากการมีการอยู่ร่วมกับคนอื่น อยากให้คุณหมอแบ่งปันทัศนะในเรื่องการบริหารความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เพราะความทุกข์ ความเครียดส่วนใหญ่มาจากการอยู่ร่วมกับผู้คน แต่คุณหมอกลับบอกว่า เราควรอยู่กับคนเยอะๆแล้วจะอายุยืน อยู่เงียบๆคนเดียวจะไม่มีความสุขกว่าหรือ

     "ความสำคัญอยู่ที่เวลาที่เราอยู่กับคนอื่นแล้วเป็นทุกข์ เพราะเรามองชีวิตว่านี่เป็นเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นเป็นคนอื่น แต่ชีวิตจริงๆถ้าคุณถอยลึกลงไป ชีวิตมีสองระดับ ระดับแรกคือที่เราตั้งชื่อเรียกได้ บอกรูปร่างได้ สิ่งเหล่านี้เราตั้งขึ้น ชื่อเราตั้งขึ้น รูปร่างเราตั้งขึ้น สูง ต่ำ ดำ ขาว แต่ถ้าเราถอยไปอีกระดับนึงทุกอย่างจะเป็นคลื่น คลื่นของการสั่นสะเทือน แสง เสียง สัมผัส เป็นคลื่นหมด ตั้งชื่อเรียกไม่ได้ ในระดับของคลื่นคุณกับผมประกอบขึ้นมาจากสิ่งเดียวกัน เวลาผมมองเข้าไปลึกๆผมก็เห็นสิ่งเดียวในตัวคุณ เพราะฉะนั้นการอยู่ด้วยกันถ้าเรานึกถึงความจริงที่ว่าเรากับสิ่งข้างนอกเป็นสิ่งเดียวกัน เหมือนคุณมีนาฬิกาสายทอง มีสร้อยทอง นาฬิกาสายทอง กับสร้อยทองเป็นสิ่งเดียวกัน นี่เอามาทำเป็นนาฬิกา นี่เอามาทำเป็นสร้อยทอง เหมือนกันชีวิตก็อย่างนี้ รากของชีวิตเป็นสิ่งเดียวกัน ด้วยความเข้าใจอันนี้คุณไม่มีปัญหาหรอกเวลาอยู่กับใคร เพราะมันก็คือตัวคุณทั้งหมดนั่นคือตัวผม แต่ที่มีปัญหาเพราะเรายังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ เราไปตีกรอบภายใต้ผิวหนังที่เป็นเรา ภายใต้หมุดโฉนดเป็นเรา เรามีปัญหาเพราะสิ่งที่สมมติขึ้นภายในใจเรา การอยู่ด้วยกันมีปัญหาเพราะสิ่งที่ใจเราสมมติขึ้น ไม่ต้องไปยุ่งกับใครหรอก แก้ตรงนี้ ตรงสิ่งที่ใจเราสมมติขึ้น อย่าว่าแต่อยู่กับคนเลย การอยู่กับสัตว์ก็จะไม่มีปัญหา ถ้าใจคุณสูงขึ้น"

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

ปรับปรุงแค้มป์รีทรีตทางจิตวิญญาณ ครั้งที่ 13 (Spiritual Retreat - SR13)

     แค้มป์ปลีกวิเวกทางจิตวิญญาณ Spiritual retreat (SR) ทำไปแล้ว 12 ครั้ง คราวนี้มีเหตุให้ต้องปรับปรุงเนื้อหาสาระอีกครั้ง

1. Spiritual Retreat คืออะไร

    Spiritual หมายถึงองค์ประกอบของชีวิตที่ข้ามพ้นส่วนที่เป็นร่างกายและความคิด นั่นก็คือองค์ประกอบส่วนที่เรียกว่าเป็นความตื่น (awakening) หรือความรู้ตัว (awareness)

     Retreat คือการปลีกวิเวกหลีกเร้น ไปอยู่ในสถานที่สงบเงียบเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ได้มีเวลาที่สันโดษและเป็นส่วนตัว

     Spiritual retreat ก็คือการปลีกวิเวกหลีกเร้นเพื่อหันเหความสนใจจากโลกภายนอก หาการหลุดพ้นไปจากความคิด เพื่อกลับเข้าไปแสวงหาความสุขสงบเย็นที่ภายในตัว โดยเรียนรู้ผ่านการอยู่ในสถานที่สงบเงียบเป็นเวลานานหลายวันบ้าง หลายสัปดาห์บ้าง หลายเดือนบ้าง อาจจะอยู่คนเดียว หรืออยู่กับกลุ่มที่ต่างมุ่งแสวงหา "ความหลุดพ้น" เหมือนกัน

    แค้มป์นี้ไม่เกี่ยวกับศาสนาใด ไม่มีพิธีกรรม ไม่ต้องปฏิบัติบูชา ไม่ต้องนุ่งห่มแบบใดแบบหนึ่งเป็นการเฉพาะ ไม่ต้องนอนตื่นเช้ามากๆ (เริ่มเรียน 6.30 น.)ไม่ต้องอดอาหาร ในแค้มป์จะพูดหรือทำสิ่งเดียวเท่านั้น คือเรื่องที่จะหลุดพ้นไปจากความยึดติดในความเป็นบุคคลไปสู่ความตื่น โดยโฟกัสที่..ที่นี่ เดี๋ยวนี้

2. ปัญหาที่นำไปสู่การปรับปรุง SR13

     ไม่ว่าจะจัดเวลาให้มากกี่วัน แต่ก็ดูเหมือนว่าเวลาไม่เคยพอ การใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันให้มีประสิทธิภาพที่สุดจึงสำคัญ ใน SR 9-12 ได้จัดเวลาให้สมาชิกทุกคนหมุนเวียนเข้าพบผมเป็นรายคนๆเพื่อจูนเทคนิคปฏิบัติคนละ 15 นาที เพียงแค่นี้ก็หมดเวลาไปเกือบทั้งวันเพราะชั่วโมงหนึ่งเจอกันได้สี่คน ถ้ามียี่สิบคนก็ต้องมีห้าชั่วโมง แถมยังมีปัญหาว่าเรื่องที่เป็นปัญหาการปฏิบัติของคนหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่คนอื่นอีกหลายคนควรจะได้เรียนรู้ด้วย จึงต้องเสียเวลาเอาเรื่องของบางคนมาถ่ายทอดเป็นบทเรียนในห้องเรียนรวมซ้ำสำหรับทุกๆคนอีกรอบหนึ่ง เป็นการใช้เวลาแบบไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไหร่

3. สาระสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงใน SR 13

    เป้าหมายยังคงอยู่ที่การวางความคิดไปสู่ความรู้ตัวโดยเน้นเทคนิคการปฏิบัติที่ไม่อิงศาสนาใดเหมือนเดิม แต่เรื่องใหญ่ที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงในรอบนี้คือจะทดแทนการฝึกรายคนด้วยการทำ sat sang (การสนทนาถามตอบรวมกัน) ครั้งใหญ่ที่เน้นปัญหาเทคนิคการปฏิบัติเชิงลึกที่เกิดกับสมาชิกแต่ละคนแล้วเรียนจากปัญหาของกันและกันแทน

    โดยวิธีใหม่นี้จะได้เวลาเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้สามารถสร้างหน่วยการเรียนใหม่ๆเช่นการฝึกจดจ่อที่กระบวนการทำโดยไม่พะวงผลลัพท์ (focus on process, zero result) ผ่านการวาดรูป และการเรียนรู้เรื่องปัญญาญาณ (intuition) ผ่านกิจกรรมงานปั้น ได้อย่างเจาะลึกยิ่งขึ้นและให้เวลาได้นานขึ้น

     อีกอย่างหนึ่ง เพื่อให้ง่ายขึ้นกับคนที่ไม่เอาศาสนาซึ่งดูจะมาเข้ารีทรีตมากขึ้นเรื่อยๆ ผมได้ปรับหลักคิดพื้นฐานของการฝึกเพื่อหลุดพ้นจากความคิดของตัวเองนี้เสียใหม่ โดยให้มองว่าสิ่งที่ชีวิตเราได้มา ซึ่งก็คือร่างกายซึ่งมีความคิดจิตใจอยู่ด้วยนี้ เป็นเหมือนเครื่องยนต์ที่ซับซ้อนมากๆชิ้นหนึ่ง เมื่อเราได้เครื่องยนต์ที่ซับซ้อนมา สมมุติว่าได้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่มาเครื่องหนึ่ง สิ่งแรกที่เราจะทำคือการอ่านคู่มือการใช้งาน (user's manual) ว่าในการจะใช้งานเครื่องยนต์ใหม่ที่ได้มานี้เราจะต้องใช้เครื่องมืออะไรเข้าไปกดไปจิ้มไปหมุนตรงไหนบ้าง SR ก็คือการสัมนากันถึงรายละเอียดของคู่มือการใช้งาน ซึ่งไฮไลท์การใช้เครื่องมือห้าชิ้น คือ

1. Attention attraction การย้ายความสนใจ หรือการมีสติ
2. Body scan การรับรู้อาการของร่างกาย
3. Relaxation การผ่อนคลายร่างกาย
4. Meditative focus การทำสมาธิ
5. Alertness การกระตุ้นตัวเองให้ตื่นมารับรู้ปัจจุบันอยู่เสมอ

โดยตลอดสี่วันที่อยู่ด้วยกัน จะวนเวียนอยู่กับการใช้เครื่องมือทั้งห้าชิ้นนี้

4. Spiritual Retreat เหมาะสำหรับใครบ้าง

     1. ผู้ที่มีความเครียดซึ่งแก้เองไม่ตก และผู้ที่ป่วยเป็นโรคที่มีความเครียดเป็นสาเหตุร่วม

     2. ผู้ที่ต้องการแสวงหาความสงบทางใจ ด้วยการฝ่าข้ามหรือหลุดพ้นไปจากกรงความคิดของตัวเอง

     3. ผู้ที่ต้องการค้นหาความหมายของชีวิต

5. ตารางกิจกรรม Spiritual Retreat

(สี่วันสามคืน)

สถานที่: เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์

วันแรก

11.00 - 12.00 น. Getting to know you ทำความรู้จัก เรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกัน

12.00 - 14.00 น. Lunch break พักกลางวัน ในความเงียบสงบ

14.00 - 15.30 น. Consciousness - Awareness รู้จักความรู้ตัว
                           Workshop1. Attention and how to attract it. การดึงความสนใจ 
                           Workshop2. Thinking a thought vs Aware of a thought "คิด" กับ "สังเกตความคิด"
                           Workshop3. Between two thoughts ที่ปลายความคิดที่ 1 ก่อนความคิดที่ 2 จะมา
                           Workshop4. Emptiness in which thought arises. "ความว่าง" ที่ความคิดผุดขึ้นในนั้น
                           Workshop5. Aum vibration to silence เปล่งเสียงโอมสู่การสั่นสะเทือนเล็กๆที่เงียบ
                           Workshop6. Bell vibration to silence ตามเสียงระฆังสู่การสั่นสะเทือนเล็กๆที่เงียบ
                           Workshop7. Sounds to silence เสียงในสิ่งแวดล้อมสู่การสั่นสะเทือนเล็กๆที่เงียบ
                           Workshop8. Muscle relaxation วางความคิดด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

15.30 - 16.00 น. Coffee Break พักผ่อนในความเงียบสงบ

16.00 - 17.00 น. Workshop10. Muscle relaxation through Yoga
                                               วางความคิดด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อแบบโยคะ

17.00 - 18.00 น. Prana (Chi) รับรู้พลังชีวิตด้วยการรู้ความรู้สึกบนผิวกาย
                           Workshop 11. Where are my hands มือของฉันอยู่ไหน
                           Workshop 12. Body scan ลาดตระเวณรับรู้ผิวกาย
18.00 - 19.00 น. Dinner อาหารเย็น

19.00 -               Private time เวลาพักผ่อนส่วนตัว

วันที่สอง

06.30 - 07.00 น. Workshop13. Relaxation+Body scan ควบเทคนิคผ่อนคลายร่างกายและรับรู้ผิวกาย
07.00 - 07.30 น. Workshop14. Tai Chi อยู่กับพลังชีวิตขณะเคลื่อนไหว

7.030 - 09.00 น. Breakfast รับประทานอาหารเช้า อาบน้ำ

09.00 – 9.30 น. Workshop15. Am I aware? ฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่า
09.30 – 10.00 น. Workshop16. Meditative Focus การสร้างสมาธิ
10.00 - 10.30 น. Workshop 17. Alertness ความตื่นอยู่เสมอ และ 5 ขั้นตอนเพื่ออยู่กับปัจจุบัน

10.30 - 11.00 น. Coffee Break พักในความเงียบสงบ

11.00 - 12.00 น. Workshop18. Anapanasati อานาปานสติ วิธีปล่อยจิตไปโดยไม่ควบคุม

12.00 - 14.00 น. Lunch Break พักกลางวัน

14.00 – 14.45 น. Workshop19. Acceptance And Surrender ฝึกวิธียอมรับยอมแพ้
14.45 – 15.30 น. Workshop20. Balanced movement ทรงตัวขณะเคลื่อนไหว

15.30 - 16.00 น. Coffee Break ในความเงียบสงบ ไตร่ตรองสิ่งที่ได้เรียนรู้

16.30 - 17.00 น. Workshop21. Sunset meditation นั่งสมาธิกับแสงอาทิตย์ตกดิน

18.00 - 19.00 น. Dinner รับประทานอาหารเย็น

วันที่สาม

07.00 - 08.00 น. Workshop22. Forest Walk  เดินธุดงค์ในป่า

08.00 - 09.30 น. Breakfast รับประทานอาหารเช้า อาบน้ำ

09.30 - 10.30 น. Workshop23. Painting to focus on process เขียนภาพลายเส้นและสีน้ำ

10.30 - 11.00 น. Coffee Break พักในความเงียบสงบ

11.00 - 12.00 น. Workshop24. Painting assignment ทำการบ้านเขียนภาพสีน้ำ

12.00 - 14.00 น. Lunch Break พักกลางวัน

14.00 – 15.30 น. Workshop25. Intuition through clay work ปัญญาญาณในงานปั้นดิน

15.30 - 16.00 น. Coffee Break ในความเงียบสงบ ไตร่ตรองสิ่งที่ได้เรียนรู้

16.00 - 18.00 น. Sat Sang สนทนาถามตอบแก้ไขปัญหาการปฏิบัติ

วันที่สี่ (วันสุดท้าย) 

06.30 - 08.00 น. Workshop26. Sun salutation and sunrise meditation on the mountain สุริยนมัสการและนั่งสมาธิรับอรุณที่บนเขา

08.30 - 09.30 น. รับประทานอาหารเช้าและทำกิจส่วนตัว

09.30 - 10.00 น. Briefing: Self Inquiry หลุดพ้นผ่านการตั้งคำถามตัวเอง
10.00 - 10.30 น. Workshop27. Walking meditation วางความคิดด้วยการเดิน

10.30 - 11.00 น. Coffee Break ในความเงียบสงบ

11.00 - 12.00 น. Satsang: Summary of techniques สรุปเทคนิคการวางความคิดที่เรียนแล้วทั้งหมด แชร์ประสบการณ์และแลกเปลี่ยน

12.00 - 13.00 น. ปิดแค้มป์ รับประทานอาหารกลางวันแล้วอำลา

...............................................

6. ค่าใช้จ่ายในการมาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat

     คนละ 9,000 บาท ราคานี้รวมอาหารวันละสามมื้อ อาหารว่างวันละสองเบรค ค่าที่พักห้องพักเตียงคู่ห้องละ 2 คน สี่วัน สามคืน ทั้งหมดนี้ไม่รวมค่าเดินทาง ทุกคนต้องเดินทางไปและกลับด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง

7. จำนวนที่รับเข้าแค้มป์

     รับไม่เกิน 25 คน

8. วิธีลงทะเบียนเข้าแค้มป์

ลงทะเบียนบนเว็บและจ่ายเงินทางออนไลน์ โดยท่านสามารถลงทะเบียนได้โดยโทรศัพท์ติดต่อคุณเฟิร์น ที่หมายเลข 0636394003 หรือไลน์ @wellnesswecare หรืออีเมล host@wellnesswecare.com

[อ่านต่อ...]

19 พฤศจิกายน 2562

FINGER study ข่าวดีสำหรับคนขี้หลงขี้ลืม

     โรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ ได้ไต่อันดับขึ้นมาเป็นโรคยอดนิยมอย่างรวดเร็ว หากวินิจฉัยกันให้แม่นยำกว่านี้แล้ว วงการแพทย์เชื่อว่าตอนนี้โรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุการตายและทุพลภาพอันดับสามแล้ว เป็นรองก็แต่โรคหัวใจและมะเร็งเท่านั้น วงการแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลอเมริกัน ได้ทุ่มเงินวิจัยผ่านสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) เพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมมากกว่าโรคใดๆที่เคยให้มา  ในปี 2017 ปีเดียวใช้ไป 991 พันล้านเหรียญ โหลงโจ้งผ่านไปหลายสิบปีใช้เงินไปแล้วเป็นหมื่นล้านเหรียญ แลกกับสิ่งที่ได้มาคือยาสี่ตัว ซึ่งรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายไม่ได้ซักกะตัวเดียว ไหนๆก็พูดถึงยารักษาอัลไซเมอร์แล้วขอลงรายละเอียดหน่อยนะ สี่ตัวที่ว่าคือ

     (1) cholinesterase inhibitor (เช่น Aricept) ยานี้ออกฤทธิ์ลดการทำลายสารเคมีเชื่อมต่อระหว่างเซลสมอง มันไม่ได้เปลี่ยนการดำเนินของโรค แต่ลดอาการขี้ลืมลงได้เล็กน้อยในผู้ป่วย 50% ที่กินยาโดยประโยชน์นี้คงอยู่นานแค่ 6-12 เดือน

     (2) memantine (์Namenda) ออกฤทธิ์บล็อกตัวรับที่เซลสมองอีกตัวหนึ่งเรียกว่า NMDA ซึ่งปกติจะคุมระดับสารเคมีเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเซลอีกตัวหนึ่งชื่อกลูตาเมท ยานี้ก็เช่นกัน ลดอาการขี้ลืมได้เล็กน้อยและชั่วคราว

     (3) Namzaric (cholinesterase inhibitor + menantine) เป็นการผสมสองตัวแรกเข้าในเม็ดเดียวกัน ที่ไม่ได้มีฤทธิ์มากไปกว่าเดิมมากนัก คือเล็กน้อยและชั่วคราว

     (4) Aducanumab ตัวนี้เป็นยาใหม่ที่ออกฤทธิ์ขนย้ายอาไมลอยด์ซึ่งเป็นของเสียที่พอกพูนขึ้นในสมองจากโรคนี้ออกไปจากสมอง ยานี้กำลังอยู่ในระหว่างการวิจัยในการใช้กับผู้ป่วยจริง (phase III) คาดว่าปลายปี 2020 ก็น่าจะรู้ผล

     มู้ดแอนด์โทนของคนที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ทุกวันนี้ก็คือ ตูเสร็จ..เสร็จแน่ๆ จอดไม่ต้องแจวเลย แต่ว่านั่นเป็นความเข้าใจผิดนะครับ

     ที่ผมบอกว่าข่าวดีก็คือ ในหลายสิบปีที่ผ่านมานี้มีการทำวิจัยการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเพื่อป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจเป็นจำนวนมากหลายร้อยงานวิจัย บางงานวิจัยสามารถสกัดข้อมูลเฉพาะผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่เข้าร่วมงานวิจัยเหล่า่นั้นออกมาได้ ซึ่งบ่งชี้ไปทางว่าหากจัดการปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือดได้ดี โรคอัลไซเมอร์จะถูกชลอหรือป้องกันไม่ให้เป็นได้ ข้อมูลเหล่านี้ได้นำมาสู่งานวิจัยระดับสูงขนาดใหญ่ทำที่ประเทศฟินแลนด์เรียกว่างานวิจัย FINGER study โดยงานวิจัยนี้ได้เอาคนแก่ที่มีคุณสมบัติอย่างหมอสันต์นี้มา 1260 คน ทุกคนมีคุณสมบัติครบสามข้อต่อไปนี้ คือ

     (1) มีปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจหลอดเลือด
     (2) มีอายุมากเกิน 60 ปี
     (3) เป็นคนขี้หลงขี้ลืม (สอบได้คะแนนสมองเสื่อม DRS 6 คะแนนขึ้นไป)

     แล้วเอาคนแก่เหล่านี้มาจับฉลากแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ

     กลุ่มที่ 1. ให้เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตใน 3 ประเด็นคือ (1) กินอาหารพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำ (2) ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวันโดยควบการออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิกและเล่นกล้าม (3) ทำกิจกรรมท้าทายสมองทุกวัน

     กลุ่มที่ 2. ให้ใช้ชีวิตแบบที่เคยใช้

     ทำการวิจัยอยู่ 2 ปี แล้ววัดผลด้วยคะแนนวัดความเสี่อมของสมองทั้งหกด้าน (สติ, ความจำ, การคิดวินิจฉัย, การเคลื่อนไหว, ภาษา, การสังคม) เปรียบเทียบก่อนและหลังการวิจัย พบว่า แถ่น แทน แท้น.. กลุ่มที่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตมีการทำงานของสมองทั้งหกด้านดีกว่ากลุ่มที่ไม่เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ

     นี่เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ระดับสูงที่ได้จากการวิจัยกับคนจำนวนมากด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ชิ้นแรก ที่บอกเราว่าโรคอัลไซเมอร์ป้องกันหรือชลอลงได้ด้วยการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต

     ภาพรวมหลักฐานวิทยาศาสตร์เรื่องโรคสมองเสื่อม

      มาถึงวันนี้แล้ว หลักฐานที่รวบรวมจากทุกทิศทุกทางพอจะสรุปได้ว่าการจะป้องกันและพลิกผันโรคอัลไซเมอร์นั้น จะต้องเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตให้ครอบคลุม 5 ประเด็น คือ (1) โภชนาการ (2) การออกกำลังกาย (3) การจ้ดการความเครียด (4) การนอนหลับ (5) การกระตุ้นท้าทายสมองอยู่เป็นนิจ ซึ่งผมขอเจาะไปทีละประเด็น

     1. โภชนาการ

     โภชนาการเพื่อการฟื้นฟูสมองโดยเฉพาะกรณีเป็นโรคอัลไซเมอร์นั้นสรุปได้แน่ชัดแล้วว่าต้องเป็นโภชนาการในแนวที่กินพืชผักผลไม้เป็นอาหารหลัก อาหารที่อันตรายต่อสมองที่ต้องลดลงเป็นพิเศษคือน้ำตาล ไขมันทรานส์ และไขมันอิ่มตัว ต้องลดให้เหลือน้อยที่สุด ในระยะที่กำลังฟื้นฟูสมองอย่างเข้มข้นนี้ผมแนะนำให้เปลี่ยนอาหารมาเป็นอาหารมังสวิรัติหรืออาหารเจแบบไม่ผัดไม่ทอด คือเจแบบไขมันต่ำ จะดีที่สุด โดยกินในรูปแบบอาหารสดหรืออาหารใกล้สภาพธรรมชาติให้มากที่สุด เพราะวิตามิน แร่ธาตุทั้งธาตุใหญ่และธาตุเล็กธาตุน้อย และสารต้นอนุมูลอิสระที่จำเป็นต้องการซ่อมแซมสมอง มีอยู่อย่างอุดมในอาหารพืชตามธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้งหลากหลายตามสีสัน รสชาติ และฤดูกาล

     2. การออกกำลังกาย

     มีงานวิจัยเกี่ยวกับการออกกำลังกายเพื่อการฟื้นฟูสมองว่าซึ่งพิสูจน์ได้แล้วว่ามีประเด็นสำคัญสามประเด็น คือ

     ประเด็นที่ 1. การออกกำลังกายแบบแอโรบิกระดับเบา ไม่ดีเท่าการออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร (moderate intensity) คือต้องให้ได้ความหนักระดับปานกลางขึ้นไป คือยิ่งหนักยิ่งดี อย่างน้อยก็คือต้องมีหอบเหนื่อยร้องเพลงไม่ได้ต่อเนื่องไปอย่างน้อยครั้งละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 5 ครั้ง

     ประเด็นที่ 2. การออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างเดียว ฟื้นฟูสมองได้ไม่ดีเท่าการออกกำลังกายควบทั้งแบบแอโรบิกและแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (เล่นกล้าม)

     ประเด็นที่ 3. การออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัว ซึ่งเป็นการประสานสติ ตา หูชั้นใน กล้ามเนื้อ และข้อ เข้าด้วยกัน ลดโอกาสลื่นตกหกล้มในผู้ป่วยที่มีความเสียหายของเนื้อสมองจากเหตุใดๆก็ตามลงได้

     3. การจัดการความเครียด

     ในขณะที่สมองส่วนหนึ่งเสียหายไปผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการตั้งสติมีสมาธิ แต่ในอีกด้านหนึ่งการมีสติสมาธิก็มีบทบาทสูงมากในการฟื้นฟูสมองของผู้ป่วยกลุ่มนี้ ดังนั้นจะอย่างไรเสียก็จะต้องทุ่มเทให้กับการจัดการความเครียด ซึ่งมีพื้นฐานอยู่ที่การฝึกวางความคิด กิจกรรมฝึกวางความคิดที่งานวิจัยพบว่ามีประโยชน์ต่อการชลอการเสื่อมของสมองทั้งหกด้านมีสามกิจกรรม คือ นั่งสมาธิ (meditation) โยคะ และไทชิ (Tai Chi)

     มองในแง่ของเทคนิคที่ใช้เป็นไส้ใน ในการทำแต่ละกิจกรรม มีห้าเทคนิคที่จำเป็นต้องใช้คือ

     (1) Attention สติ
     (2) Body scan การรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย
     (3) Relaxation การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
     (4) Meditative focus สมาธิ
     (5) Alertness การตื่นรู้ตัวอยู่กับเดี๋ยวนี้

      4. คุณภาพของการนอนหลับ

     มีหลักฐานวิจัยแน่ชัดเชื่อมโยงการนอนไม่หลับหรือหลับไม่ดีกับการเป็นสมองเสื่อม ทั้งที่วัดโดยการคั่งของสารอะไมลอยด์ในสมอง หรือวัดโดยการทำงานของสมอง ดังนั้นคนขึ้หลงขี้ลืมจำเป็นที่จะต้องประเมินความจำเป็นของการใช้เครื่องช่วยหายใจขณะหลับ (CPAP) ด้วยการตรวจการนอนหลับ (sleep lab) และหากตรวจแล้วพบว่ามีการหยุดหายใจบ่อยก็ควรใช้ CPAP เพื่อช่วยให้สมองได้ออกซิเจนพอเพียงขณะนอนหลับ

     นอกจากนั้นยังต้องฝึกปฏิบัติสุขศาสตร์ของการนอนหลับ อันได้แก่ (1) การเข้านอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา (2) การไม่นอนกลางวัน ถ้าจำเป็นก็แค่งีบสั้นๆ (3) การปรับห้องนอนให้สะอาด เรียบง่าย เงียบสนิท มืดสนิท และเย็น (4) การไม่ทำงานในห้องนอน ไม่กินของว่างหรือคุยในห้องนอน (5) ไม่เอาทีวี โทรศัพท์ ไลน์ เฟซ นาฬิกาปลุก ไว้ในห้องนอน (6) เตรียมตัวนอน 30 นาที โดยหยุดกิจกรรมตื่นเต้น หรี่ไฟ ใส่ชุดนอนหลวมๆสบายๆ นั่งพักโดยไม่ทำอะไร หรือนั่งสมาธิ (7) ไม่ทานอาหารมื้อใหญ่ใน 3 ชม.ก่อนนอน (8) ออกกำลังกายหนักพอควรทุกวัน (9) งดกาแฟและยาที่ทำให้นอนไม่หลับ

     5. การทำกิจกรรมท้าทายสมอง

     งานวิจัยพบว่ากิจกรรมท้าทายที่ก่อให้เกิดการเชื่อมต่อเซลสมองขึ้นมาใหม่มีอย่างน้อยสิบสามกลุ่มกิจกรรม ได้แก่
     (1) การค้นหาทางไปหรือถนนหนทาง
     (2) การเรียนภาษาที่สอง
     (3) ดนตรี
     (4) เต้นรำ
     (5) การกลับไปเรียนหนังสือใหม่ในสถาบันการศึกษา
     (6) การทำงานวิชาชีพที่ซับซ้อน
     (7) การเผชิญความท้าทายที่ยากลำบาก
     (8) การฝึกภายใต้ระบบจำลอง (virtual reality)
     (9) การร้องเพลงหรือคาราโอเกะ
     (10) การเล่าเรื่องตลกให้คนอื่นหัวเราะ
     (11) เล่นไพ่บริดจ์ รัมมี่ หรือโป้กเกอร์
     (12) ทำงานวิชาชีพที่ซับซ้อน หรือสอนวิชาชีพตัวเองให้คนอื่น
     (13) วาดรูป แกะสลัก ปั้น เจียรนัย และงานศิลป์อื่นๆ

     ฉันเป็นโรคสมองเสื่อมแล้วหรือยัง

     วงการแพทย์วินิจฉัยและจัดชั้นโรคสมองเสื่อมเป็นสามระดับคือ เล็กน้อย ปานกลาง รุนแรง ด้วยการใช้คะแนนการทำงานของสมอง แต่คนทั่วไปมีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับการวินิจฉัยดังกล่าวอย่างจบสิ้นกระบวนความ เพราะเป็นการวินิจฉัยที่สิ้นเปลืองเวลาพอสมควร ดังนั้นผมแนะนำให้ท่านผู้อ่านวินิจฉัยตัวเองด้วยเกณฑ์ง่ายๆที่เชื่อถือได้ดังนี้

     1. โรคสมองเสื่อมระดับเล็กน้อย (MCI) วินิจฉัยเอาจากการที่คนใกล้ชิดทักว่าเราขี้ลืม ซึ่งตัวหมอสันต์เองก็ถูกวินิจฉัยว่าเป็นสมองเสื่อมระดับนี้ไปแล้วเรียบร้อย

     2. โรคสมองเสื่อมระดับปานกลาง ให้วินิจฉัยเอาจากเกณฑ์ความสามารถในการทำกิจวัตรสำคัญประจำวัน (instrumental activity daily living - IADL) เจ็ดอย่าง หมายความว่ากิจกรรมเจ็ดอย่างต่อไปนี้ หากท่านไม่สามารถทำอย่างใดอย่างหนึ่งแม้เพียงอย่างเดียว ท่านวินิจฉัยตัวเองได้เลยว่าเป็นสมองเสื่อมระดับปานกลางแล้ว กิจกรรมเจ็ดอย่างนั้นคือ

     2.1 อยู่คนเดียวได้ (independence) พูดง่ายๆว่าทนเหงาได้ อยู่คนเดียวแล้วมีความสุข มีทักษะที่จะสื่อสารกับคนอื่น (communication skill) ได้เอง เช่นพูดโทรศัพท์ ส่งอีเมล เล่นไลน์ เฟซ เป็นต้น

     2.2 ขนส่งตัวเองได้ (Transportation) ไปไหนมาไหนได้ในรูปแบบต่างๆด้วยตนเองตามความเหมาะสม เช่นขับรถเอง ปั่นจักรยานเอง เดินไปตลาดเอง

     2.3 เตรียมอาหารเองได้ (Preparing meals) เริ่มตั้งแต่การวางแผน จะกินอะไรบ้าง จะซื้ออะไร ขนของเข้าตู้เย็น หั่นหอม ซอยกระเทียม หุง ต้ม

     2.4 ช้อปปิ้งเองได้ (shopping) จะซื้อของกินของใช้อะไรเข้าบ้านบ้าง ตัดสินใจเองได้

     2.5 จัดการที่อยู่ของตัวเองได้ (housework) ซักผ้า กวาดพื้น ถูพื้น ดูดฝุ่น เอาขยะไปเท เอาสัมภารกไปทิ้ง

     2.6 บริหารยาตัวเองได้ (Managing medications) ตัวเองกินยาอะไรอยู่บ้าง แต่ละตัวกินเพื่ออะไร ขนาดที่ต้องกินเท่าไหร่ กินวันละกี่ครั้ง กินเมื่อใด มันมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง เมื่อไหร่ควรจะลดหรือหยุดยา

     2.7 บริหารเงินของตัวเองได้ (Managing personal finances) ใช้จ่ายไม่เกินเงินที่ตัวเองมี จ่ายบิลต่างๆเช่นประปา ไฟฟ้า อินเตอร์เน็ท รับเงิน (ถ้ายังมีรายรับ) โอนเงิน ฝากเงิน ทำเองได้หมด

     ทั้งเจ็ดอย่างนี้หากเสียไปอย่างใดอย่างหนึ่งแม้เพียงอย่างเดียว ท่านเป็นสมองเสื่อมระดับปานกลางแล้ว

    3. โรคสมองเสื่อมระดับรุนแรง ให้วินิจฉัยเอาจากเกณฑ์ความสามารถในการทำกิจวัตรจำเป็นประจำวัน (activity daily living - ADL) ห้าอย่าง หมายความว่ากิจกรรมห้าอย่างต่อไปนี้ หากท่านไม่สามารถทำอย่างใดอย่างหนึ่งแม้เพียงอย่างเดียว ท่านวินิจฉัยตัวเองได้เลยว่าเป็นสมองเสื่อมระดับรุนแรงไปเรียบร้อยแล้ว กิจกรรมทั้งห้าอย่างนั้นคือ

      3.1 ดูแลสุขศาสตร์ส่วนบุคคลได้ (personal hygiene) เช่น อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ตัดเล็บ หวีผม

     3.2 แต่งตัวได้ (dressing) เลือกเสื้อผ้าเอง สวมเองได้อย่างเหมาะสม

     3.3 กินอาหารได้เอง (feeding) ไม่ต้องรอให้มีคนป้อนหรือใส่ท่อสายยาผ่านจมูก

     3.4 การจัดการอึฉี่ตัวเองได้ (continence management) หมายถึงการอั้นเมื่อควรอั้น ปล่อยเมื่อควรปล่อย เมื่อไรควรไปห้องน้ำ และไปห้องน้ำเองได้

     3.5 เคลื่อนไหวเดินเหินได้ (ambulating) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยันกายจากท่านอนลุกขึ้นนั่ง จากนั่งลุกยืน จากยืนออกเดิน จากเดินกลับลงนั่ง แล้วกลับลงนอน

     ทั้งห้าอย่างนี้หากเสียไปอย่างใดอย่างหนึ่งแม้เพียงอย่างเดียว ท่านเป็นสมองเสื่อมระดับรุนแรงแล้ว มาถึงขั้นนี้ท่านไม่สามารถพึ่งตัวเองได้อีกต่อไป ต้องตกเป็นภาระให้กับคนรอบข้างเข้ามาช่วยดูแล

     อย่าเร่งให้ตัวเองสมองเสื่อมเร็วขึ้น

     นอกจากจะเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตในห้าประเด็นที่ผมกล่าวไปข้างต้นแล้ว ท่านผู้อ่านอย่าเผลอเร่งให้ตัวเองสมองเสื่อมเร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น

     1. อยู่คนเดียวดีๆไม่ว่าดี กลับเคี่ยวเข็นให้ลูกหลานมาอยู่เป็นเพื่อน มาพูดมาคุยด้วย โดยเฉพาะตอนกลางคืน เพราะกลัว เพราะเหงา โธ่ ปูนนี้แล้วยังไม่เลิกกลัวอีกเหรอ ปูนนี้แล้วยังจะมีอะไรเหลือให้กลัวอีก
   
     2. จะขับรถเองก็ขับได้แต่ไม่ยอมขับ ต้องให้คนอื่นมารับมาส่ง หรือจ้างคนอื่นขับให้

     3. จะทำกินเองแบบง่ายๆในครัวก็ทำได้แต่ไม่ยอมทำ ต้องออกไปซื้อเขากินข้างนอก หรือต้องรอคนอื่นซื้อเข้ามาให้ หรือไม่ก็กินของแห้งบรรจุซองพลาสติกแทน

     4. จะเอาช้อนตักข้าวกินเองก็ได้ แต่ชอบอ้าปากให้ลูกหลานป้อน

     5. แข้งขาก็ยังดีจะลุกจะเดินก็ทำได้เอง แต่เลือกจะนั่งจุมปุกหรือนอนแซ่วอยู่เฉยๆทั้งวัน

     6. จะเข้าห้องน้ำเองก็ทำได้ แต่ไม่ยอมเข้า ต้องรอลูกหลานมาพาเข้าห้องน้ำ ให้เขาอาบน้ำให้ ให้เขาเช็ดตัวให้

     7. จะเดินไปอึไปฉี่ที่ห้องน้ำเองก็ทำได้ แต่เลือกที่จะใส่ผ้าอ้อม (แพมเพิร์ส) ทั้งๆที่เป็นเวลากลางวันแสกๆและไม่ได้เดินทางไกลไปไหน

     8. จะผลัดผ้าผลัดผ่อนเองให้เหมาะกับกาละเทศะก็ทำได้ แต่เลือกที่จะทรงชุดนอนตั้งแต่เช้ายันเย็นจนลืมไปว่าชุดนอนที่ใส่อยู่นี้ของเก่าเมื่อวานหรือของใหม่วันนี้

     9. จะฝึกเดินเหินเองก็ได้แต่ขี้เกียจ ต้องมีล้อเข็น มีวีลแชร์ หรือไม้เท้า หรือเสื้อกันปวดหลัง หรือกายอุปกรณ์อะไรก็ตามที่ซื้อมาใช้เพราะความขี้เกียจ ทำอย่างนั้นจะทุพลภาพเร็วขึ้น

     สรุปว่า เป็นแฟนบล็อกหมอสันต์ตัวจริง อย่าเผลอเร่งให้ตัวเองสมองเสื่อมเร็วขึ้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

1. Ngandu T, Lehtisalo J, Solomon A, Levälahti E, et al. A 2 year multidomain intervention of diet, exercise, cognitive training, and vascular risk monitoring versus control to prevent cognitive decline in at-risk elderly people (FINGER): a randomised controlled trial. Lancet. 2015:6;385(9984):2255-63. doi: 10.1016/S0140-6736(15)60461-5.
[อ่านต่อ...]