(ภาพวันนี้ / ฝ้ายแบบสวยๆก็มีนะ)
เรียน คุณหมอสันต์ ที่เคารพ
ดิฉันเป็นแฟนติดตามเพจของคุณหมอมาสักพักแล้วค่ะ แล้วก็มีแนะนำคนที่รู้จักเสมอถึงเพจคุณหมอ เวลามีใครถาม หรือคุยเรื่องไม่สบายโรคนั้นโรคนี้ ก็จะแอบมา search หาคำแนะนำจากคุณหมอเสมอ ๆ เพื่อไปแชร์ เป็นเพจที่อ่านแล้วได้ความรู้สึกว่าเป็นการให้คำแนะนำต่างๆ ที่ practical เน้นการรักษาแบบธรรมชาติ และมักจะมีการอ้างอิงงานวิจัยมารองรับเสมอ ที่ชอบมากคือ คุณหมอมักจะมีมุขตลก ๆ อ่านแล้วเราก็แอบยิ้มตามไม่ได้ แถมมีสอนปรัชญาชีวิตต่างๆ ที่โดนใจมากมาย ล่าสุดตอนปีใหม่ที่ผ่านมาก็มีซื้อหนังสือของคุณหมอสันต์แจกคนใกล้ชิดหลายสิบเล่มอยู่ค่ะ เพื่อแบ่งปันวิธีการรักษาสุขภาพดีๆ ที่เอาไปปฏิบัติได้จริง
อ่านของคนอื่นมานาน ในที่สุดก็มีโอกาสได้ส่งเมลมาถามเรื่องของตัวเองสักที ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ เริ่มตื่นตัวกับการ ทานพวกวิตามิน และ mineral ต่างๆ อ่านหนังสือ ศึกษาหลายเล่มเลย เช่น biohack your brain ที่เขียนโดย neruosicentist เขาก็มีแนะนำวิตามหลายอย่าง ส่วนตัวเป้าหมายคือ อยากจะมีพลังในการทำงาน มีสมองคิดงานแบบปลอดโปร่ง เพราะเราเป็นเจ้าของบริษัท ต้องรับผิดชอบเยอะ และต้องคิดตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่าง ในเวลาเดียวกัน อยากเมคชัวร์ว่าเรามีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่ดูลูกๆ โตไปนานๆ ด้วยค่ะ ปีนี้เลยตั้งเป้าจะมาดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพราะปีหน้าจะขึ้นเลขห้าแล้ว 55 เรื่องการนอนยังคงเป็นประเด็น เพราะรู้สึกว่าเรายังอยากทำโน่นทำนี่ ทำให้รู้ตัวอีกทีก็หลังเที่ยงคืนแล้ว จำนวนชั่วโมงของการนอน จะได้สูงสุด 5-7 ชั่วโมง ไม่ค่อยถึงแปดค่ะ และก็มีตื่นมาเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะ ก็รู้สึกว่านอนไม่ต่อเนื่องบ้าง ส่วนตัว ช่วงกลางวัน อาจจะมี cat nap บ้างถ้าเวลาอำนวยนะคะ ก็พอช่วยได้บ้าง
เดือนที่แล้วเข็นตัวเองให้ไปตรวจสุขภาพชุดใหญ่มาก ปกติ จะผัดวันประกันพรุ่งตลอด ต้องเรียกว่าเป็นครั้งแรก ที่ทำเพื่อตัวเองจริงๆ ที่ผ่านมา อาจจะมีตรวจเพราะตั้งครรภ์บ้าง หรือ เพราะประกันให้ไปตรวจบ้างแบบเล็กๆ น้อยๆ แต่คราวนี้จัดเต็มค่ะ และแล้วผลตรวจก็ออกมา ถือว่าสภาพ ตับ ไต ลำไส้ หัวใจ สายตา การได้ยิน ทุกอย่าง ปกติหมดเลยค่ะ น่าจะต้องให้เครดิต คุณสามีที่ดูแลเรื่องอาหารการกิน และคอยเมคชัวร์ว่าเราออกกำลังกาย สม่ำเสมอ วิตามินทุกตัวที่บำรุงผลออกมาดีเกือบหมดเลย ไม่ว่าจะเป็น วิตามิน ซี บี 1 6 12 และบีอื่นๆ แคลเซียม และอีกหลายตัว (แนบรายงานมาให้) แต่มีเจอพวกค่า วิตามิน ซึ่งเป็นตัวที่กำลังจะทานเพิ่ม อยู่พอดี เช่น D, A, E และ แร่ธาตุ ที่ต่ำกว่าเกณฑ์บ้าง และมีค่า toxic ที่ต้องการจะถามคุณหมอดังต่อไปนี้ค่า
1. วิตามินดี อย่างที่บอกว่ากำลังเริ่มทานวิตามินหลายตัว แต่คุณสามีบอกว่า วิตามินดีไม่ต้องทานหรอก เพราะเชื่อว่าเราโดนแดดขนาดนี้ วิตามินดี เราไม่ขาดแน่นอน ล่าสุดผลการตรวจเลือด ออกมา Vitamin D ต่ำกว่าเกณฑ์ระดับ 20.1, 22.5 เท่านั้นเอง แอบตกใจ แต่ก็พอเข้าใจค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะว่า เราทาครีมกันแดดหรือเปล่านะ ปกติสีผิวเหลือง เชื้อสายจีนค่ะ ว่ายน้ำก็จะทาทั้งแขนและขา แต่ตอนเช้า เน้าทาแค่ครีมกันแดดที่หน้า และมักจะใส่ ขาสั้น แขนสั้น เพราะเดินสบายๆ อันนี้แอบ surprise สุดๆ ที่วิตามินดีเราต่ำ และต่ำแบบ ตกเกณฑ์ไปเยอะเลยค่ะ ที่จะถามคุณหมอคือ มีคำแนะนำอะไรไหมคะ นอกจากทานวิตามินดีเสริม การตากแดด ต้องตากยังไงให้ได้รับวิตามินดีได้เต็มที่จริงๆ หรือว่ามันมีภาวะอะไรที่ทำให้เราดูดซึมวีตามินดีจากแสงแดดได้ไม่ดี (ผลตรวจของคุณสามีได้เยอะกว่าค่ะ แต่ก็น่าจะประมาณสัก 40 ng/mL) เหมือนเคยอ่านบ้างว่ามัน uvb ที่มันคือ รังสีที่มีประโยชน์ หรือเกี่ยวกับช่วงเวลาด้วยไหมคะ ที่เคยอ่าน ก็มีบอกว่าการที่เราทานวิตามินดี กับการโดนแดด จริงๆ มีผลกับภูมิต้านทานที่ต่างกัน เพราะร่างกายเราสร้างมาเพื่อให้รับแสงแดด ไหนๆ ถามเรื่องนี้แล้ว อยากถามคุณหมอเรื่อง Red Light Therapy ด้วยค่ะ ว่าคุณหมอมีความเห็นว่าอย่างไร เท่าที่ศึกษา เขาก็ว่ามีงานวิจัยรองรับว่าดี กำลังเล็งๆ จะซื้ออุปกรณ์ที่เป็น panel มาลองใช้ ก็มีคนที่เขาทำเครื่องที่สามารถผลิตแสงที่ให้เราสามารถใช้เพื่อรับวีตามินดีได้ด้วย ก็สนใจมาก เพื่อเป็นทางเลือกให้เด็กๆ อยากให้พวกเขาแข็งแรง โดยใช้เวลาไม่กี่นาที และค่า วิตามินดีแบบว่าได้เกือบร้อย หรือเกินร้อยเลย ไม่ต้องไปตากแดดนาน ๆ ก็กำลังดูเป็นทางเลือกอยู่ค่ะ ไม่แน่ใจว่าคุณหมอคิดว่าอย่างไรกับอุปกรณ์เหล่านี้คะ
2. Iron (22.12 ug/dl) and Zync ที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาก พอดีคุณหมอแนะนำว่าให้ฉีดธาตุเหล็กเข้าเส้นเลือดเพื่อ boost ให้มันขึ้นเร็วและจะอยู่ได้ถึง 30 วันเลย คุณหมอบอกเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะค่อยๆ ปล่อยสารออกมาให้ร่างกายดูดซึม แต่ตัดสินใจยังไม่ทำ เพราะแอบ search หาใน column ของคุณหมอก็เจอ article ที่เกี่ยวกับหัวข้อนี้พอดีบอกว่า ไม่ควรไปฉีดอะไรเข้าเส้นเลือดแบบไม่จำเป็น เพราะอาจจะแพ้ได้ และให้ทานวิตามินเสริม น่าจะทำให้ค่าของธาตุเหล็กกลับมาเป็นปกติได้ภายใน 6 เดือน ก็เลยว่าจะลองดู อันนี้หลังจากนี้ 6 เดือนจะมาอัพเดทนะคะ
2. เรื่องของสารพิษตกค้าง เจอว่ามีค่า Aluminium (7.1 ug/L) กับ cobalt (1.08 ug/L) เกินค่ามาตรฐาน คุณหมอก็แนะนำให้ทำ chelation เพื่อล้างสารพิษ 10 dose สัปดาห์ละ 1 dose เป็นเวลา 10 สัปดาห์ ส่วนนี้ เองยังไม่แน่ใจว่า จำเป็นไหม ถ้าดูค่าที่เกินมาตรฐานว่า ต้องรีบทำไหม หรือเราควรลอง detox ด้วยวิธีอื่นๆ ก่อน ดีไหม อยากได้คำแนะน ค่ะคุณสามีอยากให้รีบทำในส่วนนี้ เพราะเขามองว่า มันจะมีผลกับสมองเรา เป็นสาเหตุให้เกิด Alzheimer แบบไม่รู้ตัวได้ หรืออาจจะไป trigger ส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่เป็นอันตรายได้ เท่าที่อ่านที่คุณหมอเคยแนะนำเรื่อง detox ก็ไม่ได้สนับสนุนในเทคนิคนี้ไหมคะ
สิ่งที่ตามมาคือ เราก็อยากรู้ว่าเราไปรับสารเหล่านี้เยอะๆ มาจากไหน เป็นไปได้ไหมว่าเราจะดูดซึมมาจากน้ำในสระ หรือ น้ำที่เราทาน หรือ ชาที่เราดื่ม แม้แต่น้ำยาทำผม หรือ ครีม ก็เป็นไปได้ แอบกังวลว่า เรา detox ไม่พอ เราต้องพยายาม อย่าไปเติมสารเหล่านี้เข้ามาเพิ่มด้วย ต้องหลีกอะไรบ้างในสิ่งที่เป็นสาหตุ เท่าที่ศึกษา ก็มีหลายอย่างที่เป็นไปได้เลย สำหรับสาร aluminium เลยทำการสั่งซื้อ water test kit ซะเลย จะมาเทสให้หมดเลยว่า นำกิน นำชาที่เราดื่ม หรือนำในสระมี aluminium ไหม แต่สามีก็จะไปตรวจแบบที่เราตรวจ จะได้เอาข้อมูลมา compare ว่าถ้าค่าสูงเหมือนกัน ก็แสดงว่าเป็นอะไรที่เราใช้เราดื่มด้วยกัน ถ้าค่าเขาไม่สูงเหมือนเรา ก็จะได้มีมุมมองโฟกัสไปที่อะไรที่เรากิน เราใช้ไม่เหมือนเขาบ้าง คุณหมอมีคำแนะนำอะไรในส่วนนี้เพิ่มเติมก็จะขอบคุณมากๆ เลยค่า ส่วนตัวเป็นพวกบ้าข้อมูล พอควรเลย
จริงๆ เรามีทาน magnesium ด้วยนะคะ แต่หมอบอกว่า น่าจะเพราะ toxic ทำให้เราดูดซึม magnesium ได้ไม่ดี ก็เลยแอบกังวลว่า ถ้าไม่รีบ detox สารพิษเหล่านี้ออก เราก็จะขาด magnesium ไปด้วย
3. คำถามสุดท้ายคือ เรื่องค่าที่ทำให้เกิด yeast overgrowth คุณหมอแจ้งว่าน่าจะมาจากความเครียด และบอกว่าให้เราพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ได้แนะนำอะไร แต่ส่วนตัวแอบสงสัยว่า จะเกี่ยวกับ probiotics ที่เราทานเสริมด้วยไหมนะคะ กำลังสั่งตัวใหม่ที่มีระบุว่าไม่ได้ใส่ yeast คุณหมอดูจากผลตรวจแล้วคิดว่าเกี่ยวไหมนะคะ เอาเข้าจริงๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเครียดอะไร จริงๆ สนุกกับงานที่ทำนะคะ แต่ว่าพักผ่อนน้อยอันนี้ยอมรับค่ะ ขอคำแนะนำนิดนึงว่าเราควรจะทานอะไรบำรุงหรือ มีวิธีรักษาอะไรไหมคะ ในส่วนนี้
จากผลตรวจที่แนบมาด้วย ถ้าคุณหมอมีคำแนะนำอะไรเพิ่มเติม ก็จะขอบพระคุณอย่างสูงเลยค่ะ สุดท้าย ถ้ามีโอกาส อยากเรียนเชิญคุณหมอมาพูดให้ทีมงานร้อยกว่าชีวิตฟังเรื่องการรักษาสุขภาพ ตอนประชุม town hall สักครั้ง เป็นไปได้ไหมคะ
ด้วยความนับถือ
……………………………………………….
ตอบครับ
ที่ผมจั่วหัวว่ามันเป็นกรรมของคนรวยนั้นก็เพราะคนเราเมื่อมีเงินมีทองก็อยากมีสุขภาพดีจะได้มีเวลาได้ใช้เงินนานๆ ตรงนี้เปิดให้ “professionals” (ซึ่งคำนี้ดิกของ ส. เศรษฐบุตร แปลเป็นคำไทยว่า “พวกหากิน”) ได้ช่องทาง แต่การจะขายสินค้าให้คนรวยมันต้องมีพิธีแยะหน่อย เช่นจะขายวิตามินชนิดฉีดให้คนรวยมันก็ต้องมีการตรวจเพื่อสร้างหลักฐานก่อนว่าร่างกายของคนรวยกำลังขาดโน่นขาดนี่ วิธีสร้างหลักฐานก็คือขยับค่าปกติของแล็บตนให้มันต่ำลงเพื่อให้ได้คนผิดปกติมากขึ้น หรือสร้างค่าปกติขึ้นมาหลายค่าเพื่อนิยามว่าผู้ถูกตรวจผิดปกติไปจากไม่ค่าใดก็ค่าหนึ่งจนได้ ยกตัวอย่างเช่นกรณีคุณนี้
(1) อลูมิเนียม ระดับปกติโดยทั่วไปเขาใช้กันที่ 10 ไมโครกรัม/ลิตร ยกเว้นผู้ที่ล้างไตอยู่ซึ่งวงการแพทย์ให้ค่าปกติถึง 60 ไมโครกรัม/ลิตร [1] โดยยอมรับกันว่าในทุกคนถ้าค่าโคบอลท์สูงเกิน 100 ไมโครกรับ/ลิตร ก็มักเกิดพิษต่อร่างกายขึ้น [2] แต่ของคุณนี้พอวัดได้ 7.1 ไมโครกรัม/ลิตร ก็ร้องว่า ฮ้า.. ควรขาย เอ๊ยไม่ใช่ ควรซื้อคีเลชั่น สิบเข็ม สิบสัปดาห์ เอาแมะ เป็นต้น
ถามว่าร่างกายได้อลูมิเนียมมาจากไหน ตอบว่าหากไม่ได้ล้างไตอยู่และไม่ได้ฉีดสารอาหารเข้าทางหลอดเลือด คนเรามักได้อลูมินั่มจากยาลดกรดและมลภาวะในสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ขอย้ำไว้ตรงนี้หน่อยนะ ว่าน้ำที่ว่ายอยู่ในสระก็ดี น้ำจากทุกแห่งที่ใช้ดื่มอยู่ก็ดี หม้อชามรามไหอลูมิเนียมที่ใช้หุงต้มหรือใส่อาหารก็ดี ไม่มีผลเสียต่อสุขภาพในแง่ความเสี่ยงการเกิดพิษอลูมิเนียม เพราะไม่มีหลักฐานใดๆทั้งสิ้นที่จะระบุได้ว่าเป็นอย่างนั้นเลย
(2) โคบอลท์ แม้วงการแพทย์ยังไม่มีนิยามระดับปกติในคน แต่โดยทั่วไปก็ยอมรับกันที่ <1.8 ไมโครกรัม/ลิตร [3] ถ้าใส่ข้อเทียมค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ <2.5 ไมโครกรัม/ลิตร ขณะที่ระดับจะเกิดพิษต่อระบบเลือดคือ 300 ไมโครกรัม/ลิตร และระดับเกิดพิษต่อระบบประสาทคือ 700 ไมโครกรัม/ลิตร [4] แต่ของคุณนี้พอวัดได้แค่ 1.08 ซึ่งยังเป็นระดับปกติอยู่เลย เขาก็จะจับคุณฉีดคีเลชั่นแล้ว
ถามว่าแล้วโคบอลท์นี้คุณได้มาจากไหน ตอบว่าก็จากวิตามินบี.12 ที่คุณกินนั่นแหละ ชื่อจริงของวิตามินบี.12 คือ cobalamine ก็คือเอมีนของโคบอลท์ แต่อย่าไปมองโลกในแง่ร้ายว่าเขาจับคุณกินวิตามินบี.12 เพื่อจะให้ค่าโคบอลท์ของคุณดูออกไปทางสูงแล้วจะได้ขายคีเลชั่นให้คุณนะ ผมว่ามีหมอจำนวนมากไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าวิตามินบี 12 ทำมาจากโคบอลท์ และการกินวิตามินบี.12 ชนิดเม็ดก็ไม่เคยมีหลักฐานเลยสักชิ้นเดียวว่าจะทำให้ใครเกิดพิษจากโคบอลท์
(3) เหล็ก การตรวจดูระดับเหล็กในร่างกายคนที่ไม่ได้เป็นโลหิตจางแล้วมาทึกทักว่าขาดเหล็กต้องฉีดเหล็กเข้าหลอดเลือดนั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันอย่างปราณีตบรรจง เหล็กเป็นโลหะหนักที่มีพิษได้และมีระบบการรีไซเคิลในร่างกายได้ 100% หมายความว่าหากไม่มีเลือดตกยางออกที่ไหน เหล็กที่เข้าไปแล้วจะไม่มีที่ออกเลยแล้วจะสะสมเกิดพิษของเหล็กได้ หลักวิชาแพทย์ที่แท้จริงคือการจะฉีดเหล็กเข้าหลอดเลือดควรสงวนไว้เป็นวิธีรักษาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กระดับรุนแรงเท่านั้น มิฉะนั้นจะเสียหายมากกว่าได้ประโยชน์
การขาดเหล็กในร่างกายสัมพันธ์แนบแน่นกับโลหิตจาง ตัวคุณไม่มีภาวะโลหิตจาง (ทราบได้จากระดับ Hb และ Hct ในการตรวจนับเม็ดเลือดหรือ CBC เป็นปกติ) การจะวินิจฉัยว่าคุณขาดธาตุเหล็กทั้งๆที่ไม่ได้เป็นโรคโลหิตจาง (Nonanemic Iron Deficiency) นั้นเป็นเรื่องต้องพิจารณาอย่างปราณีตบรรจง การจะเข้าใจเรื่องนี้จำเป็นต้องเข้าใจกลไกการเผาผลาญเหล็กในร่างกายก่อน กล่าวคือ เหล็กเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วจะอยู่ในสภาพเหล็กอิสระ (serum iron) ได้แป๊บเดียวและเปลี่ยนแปลงวูบวาบได้มากทำให้ค่านี้บอกสภาพเหล็กที่แท้จริงได้ไม่ดี จากนั้นเหล็กจะเข้าจับกับโปรตีนผู้ขนส่งชื่อ transferrin ซึ่งวัดได้ทางแล็บด้วยค่า total iron binding capacity (TIBC) ถ้าค่านี้สูงแปลว่าธาตุเหล็กมีน้อย จากนั้นเหล็กทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บในเซลล์ในรูปของโปรตีนชื่อ ferritin ซึ่งตัวนี้เป็นตัวบอกปริมาณเหล็กเกือบทั้งหมดในร่างกายอย่างแท้จริง เหล็กส่วนที่เหลือจากนี้ร่างกายไม่มีกลไกขับทิ้ง จึงต้องนำไปยัดไว้ในตับทำให้ตับเสียหายจนกลายเป็นตับวายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรคพิษของเหล็ก (hemochromatosis)
ในกรณีของคุณซึ่งไม่ได้เป็นโลหิตจากแต่ตรวจพบระดับเหล็กอิสระในเลือดต่ำ ผมแนะนำให้ตรวจเลือดดู ferritin (กรณีท่านผู้อ่านท่านอื่นหากอยากประเมินเหล็กในร่างกายให้ตรวจ ferritin ตัวเดียวเลยไม่ต้องตรวจระดับเหล็กอิสระ) หาก ferritin ต่ำด้วย จึงค่อยวินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคขาดธาตุเหล็กโดยไม่มีโลหิตจาง แล้วจึงค่อยเดินหน้ารักษาด้วยการกินธาตุเหล็กควบคู่ไปกับการสืบค้นการสูญเสียเลือดจากร่างกายนอกเหนือจากประจำเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) เพื่อหาจุดเลือดออกในลำไส้ใหญ่ อันเป็นแหล่งเลือดออกแบบลึกลับที่พบบ่อยที่สุดในคนวัยเกิน 50 ปี
(4) วิตามินดี บาปที่วงการแพทย์สร้างไว้ให้ผู้ป่วยก็คือการกำหนดค่ามาตรฐานขึ้นมาหลายค่าเพราะหมอก็มีหลายองค์กรและตกลงกันไม่ได้ ผลร้ายจึงตกอยู่ที่คนไข้คือไม่ว่าผลเลือดจะออกมาอย่างไรหมอก็บอกว่าคุณขาดวิตามินดีหมด ค่ามาตรฐานที่แพทย์ใช้ตอนนี้มีดังนี้
<15 ng/ml แปลว่าขาดวิตามิน หรือถ้าสูงกว่านี้คือปกติ (กำหนดโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ IOM)
>20 ng/ml แปลว่าพอเพียง (sufficient) (กำหนดโดย IOM)
>30 ng/ml แปลว่าพอดี (adequate) (กำหนดโดยวิทยาลัยแพทย์ต่อมไร้ท่อ ACCE)
ผมนิยมคำนิยามของ IOM เพราะมีหลักฐานสนับสนุนดีกว่า ของคุณเจาะได้ค่า 22.5 ng/ml ก็คือพอเพียงแล้ว ตากแดดก็พอแล้ว ไม่ต้องกินอะไรอีก
ถามว่าตากแดดอย่างไรให้ได้วิตามินดีแยะ ตอบว่าแดดยิ่งจัดยิ่งมี UVB มาก มากที่สุดคือช่วง10.00-15.00 น. โดยไม่ทาครีมกันแดด ไม่ผ่านกระจกใส
(5) ถามว่า Red Light Therapy เพิ่มวิตามินดีด้วยไหม ตอบว่าไม่เกี่ยวกันครับ การเพิ่มวิตามินดีต้องใช้รังสี UVB ซึ่งเป็นย่านความถี่สูง แต่ Red Light เป็นรังสีย่านความถี่ต่ำลงไปถึงต่ำมากจนมองไม่เห็น (Near Infra Red – NIR) งานวิจัยพบว่ารังสีในย่านนี้กระตุ้นไมโตคอนเดรียของเซลล์ให้ผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ (subcellular melatonin) ซึ่งเป็นคุณต่อร่างกาย แต่ประโยชน์ของการเอาเครื่องผลิต Red Light มาจ่อเพื่อรักษาโรคและรักษาความเหี่ยวนั้น งานวิจัยยังสรุปผลแน่ชัดไม่ได้ คุณอยากจะลองก็ต้องเป็นกองหน้าลองดู
หมอสันต์แนะนำว่าหากอยากได้ red light therapy ให้รับแสงจากดวงอาทิตย์แบบเฉี่ยวๆเช่น ตอนเช้าตรู่ ตอนเย็น หรือขณะอยู่ใต้ร่มรำไร หรือนั่งริมหน้าต่างที่แสงแดดสะท้อนเข้ามาบ้าง ทำแบบนี้ก็จะได้ NIR แบบเต็มๆ เพราะ Red Light และ NIR ก็คือแสงอาทิตย์อ่อนทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นนั่นเอง ไม่ต้องไปซื้อเครื่องมาให้รกบ้านดอก
(6) ถามว่าหมอตรวจแล้วพบว่าเป็น yeast overgrowth เกิดจากอะไร ตอบว่าผมไม่รู้คุณไปตรวจอะไรมาจึงได้คำวินิจฉัยนี้มา เพราะมันเป็นคำวินิจฉัยนอกสาระบบโรคของวิชาแพทย์ (ICD) ผมเดาว่าคุณตรวจอุจจาระ หมอฝรั่งพวกหนึ่งคิดคำวินิจฉัยชื่อโรคขึ้นมาว่า yeast syndrome เมื่อตรวจพบว่ามีราในสกุล candida ในทางเดินอาหารมาก แล้วอ้างว่าทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆเป็นตุเป็นตะ และต้องกินอาหารแบบนั้นแบบนี้เป็นตุเป็นตะ ทั้งหมดนั้นไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์เทียม คือเอาคำวิทยาศาสตร์มาพูดเรื่องที่ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ให้ฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์ ตัวผมเองไม่มีความรู้นอกเหนือไปจากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์กันไว้ดิบดีแล้ว ดังนั้นผมจนด้วยเกล้า ไม่รู้จริงๆว่า yeast overgrowth ของคุณนี้มันคืออะไร และมันจะทำให้แผ่นดินสูงขึ้นหรือต่ำลงอย่างไร ไม่รู้จริงๆ ผมรู้อย่างเดียวว่าในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ผมไปมา ไม่มีที่ไหนมีแผนกวินิจฉัยและรักษาโรค yeast overgrowth หิ หิ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
- Wechphanich S., Thammarat P. A survey of metal contamination in blood collection tubes on toxicology assays. The Bangkok Medical Journal. 2017. 13(2):5.
- Frank EL, Hughes MP, Bankson DD, Roberts WL. Effects of anticoagulants and contemporary blood collection containers on aluminum, copper, and zinc results. Clin Chem. 2001 Jun. 47 (6):1109-12.
- Agency for Toxic Substances and Disease Registry (ATSDR). Toxicological Profile for Cobalt. Atlanta, GA: U.S. Department of Health and Human Services, Public Health Service; 2004.
- Paustenbach DJ, Tvermoes BE, Unice KM, et al. A review of the health hazards posed by cobalt. Crit Rev Toxicol. 2013;43:316-362. doi:10.3109/10408444.2013.779633