30 ธันวาคม 2553

ล้มเหลวในการเรียน คิดมาก กลุ้มใจ

คุณหมอครับ

ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีสี่ ผมคิดมาก ผมกลุ้มใจ ผมล้มเหลวในการเรียน ผมเหงา ผมอยากมีเพื่อน แต่ก็ไม่มีเพื่อน เพราะไม่อยากคบกับพวกเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกัน อ่านหนังสือไม่ได้ อ่านไม่รู้เรื่อง อ่านแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่จูงใจ มันไม่น่าอ่าน ไม่อยากอ่าน ผมมีความกังวล คิดแต่ตำหนิตัวเองว่าที่ล้มเหลวอย่างนี้เพราะที่ผ่านมาผมเอาแต่เล่นเกม ผมกลัวพ่อแม่ซึ่งเสียเงินเสียทองส่งเสียผมเรียนจะผิดหวัง ได้แต่คิดอยู่อย่างนี้ คุณหมอจะให้ผมทำอย่างไรดีครับ อย่าแนะนำให้ผมไปหาจิตแพทย์นะครับ เพราะผมไม่มีเงินเสียค่าหมอ

ตริน

...................................................................

ตอบครับ

วัยหนุ่มสาวมีปัญหา คิดมาก กังวล ฟุ้งสร้าน สติแตก นี่เป็นเรื่องธรรมดา และมันสะท้อนออกมาในเพลงของคนวัยนี้เป็นครั้งคราวเช่นเพลงของ กมลา สุโกศล ที่ว่า

“..อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน
ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน
และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด..”

หรือเพลงของคาราบาวเพลงหนึ่ง ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ที่ว่า

“..ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย
ใจในร่างกายกลับไม่เจอ
ทุกข์ที่เกิดซ้ำเพราะใจนำพร่ำเพ้อ
หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข..”

ดังนั้นปัญหาที่คุณประสบอยู่นี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร ลองมาแกะปัญหาของคุณออกทีละเปลาะนะ ประเด็นหลักคือวิธียุติความคิดกังวล ถ้าจะสอนคุณแบบกำปั้นทุบดิน ก็ต้องสอนแบบวิลเลียม ออสเลอร์ ที่สอนว่า “ให้เอาฉากเหล็กมหึมามาสองอัน อันหนึ่งกั้นระหว่างเมื่อวานนี้กับวันนี้ไว้ อีกอันหนึ่งกั้นระหว่างวันนี้กับวันพรุ่งนี้ แล้วอยู่แต่ในโลกของวันนี้ อะไรที่เป็นเรื่องของอดีตหรืออนาคต..อย่าคิด” ฟังดูก็ง่ายดี แต่บางคนทำไม่ได้ เพราะคนเรานั้นรู้ทั้งรู้ว่าความคิดกังวลมันไม่ดี แต่ใจมันจะคิด มันห้ามใจไม่ได้ คือบางครั้งเราก็แพ้ใจ อย่างที่เพลงคาราบาวเพลงนั้นว่า

“..คืนนั้นคืนไหนใจแพ้ตัว
คืนและวันอันน่ากลัวตัวแพ้ใจ..”

ดังนั้นคุณลองเอาสูตรของผมไปเสริมด้วย ซึ่งตัวผมเองใช้ได้ผลมาแล้ว ของผมนี้จะใช้เครื่องมือสองอันคือ Recall กับ Self awareness

Recall แปลว่า “เอ๊ะ” ก็คือการที่เราฝึกตัวเองให้ระลึกขึ้นได้ ว่าเมื่อตะกี้นี้ เราคิดอะไรอยู่ วิธีการก็คือผมจะแยกใจของผมเองออกเป็นสองคน คนแรกก็คือผมคนเดิมนั่นแหละ จะคิดจะทำอะไรก็คิดไปทำไปตามปกติ คนที่สองนี้คือผมคนใหม่ซึ่งผมโคลนตัวเองขึ้นมาแล้วตั้งชื่อว่านาย “เอ๊ะ” นายคนนี้จะตามผมไปทุกแห่งแล้วก็คอยร้องบอกผมคนดั้งเดิมว่า “เอ๊ะ เมื่อตะกี้คุณคิดอะไรอยู่ เอ๊ะ เมื่อตะกี้คุณเผลอคิดเรื่องนี้นะ เอ๊ะ เมื่อตะกี้คุณเผลอโกรธนะ “ ทำอย่างนี้อยู่ทั้งวัน ยิ่งร้องเอ๊ะบ่อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น บางทีเราเผลอคิดซ้ำๆซากๆไม่รู้จบ นายเอ๊ะก็จะร้องเอ๊ะ..เอ๊ะ..เอ๊ะ จนความคิดนั้นฝ่อหายไปเอง ทำอย่างนี้บ่อยๆก็จะพบว่าความคิดหรือความรู้สึกที่ทำให้เราปวดหัวนั้นส่วนใหญ่มันเสนอหน้าเข้ามาซ้ำซาก ซึ่งผมก็ให้นายเอ๊ะจับมันตีทะเบียนไว้ว่าเป็นเจ้าฮั่นแน่ ฮั่นแน่1 ฮั่นแน่2 ฮั่นแน่3 อย่างเช่นสมัยก่อนผมชอบคิดใจลอยว่าถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรีผมจะทำอะไรบ้าง ผมก็ให้นายเอ๊ะตีทะเบียนความคิดนี้ว่าชื่อเจ้า “นายกปลอม” ถ้ามันเสนอหน้าเข้ามาอีกนายเอ๊ะก็จะร้องว่า “ฮั่นแน่ เจ้านายกปลอมมาอีกละ” ทำอย่างนี้เจ้าความคิดนั้นพอมันถูกจับได้มันก็จะหลบหน้าแว้บหายไปเลย

Self awareness ก็คือความรู้สถานะของตัวเอง คือการที่ผม (คนที่ชื่อนายเอ๊ะ) ทำการสำรวจตัวผม (คนดั้งเดิม)เป็นพักๆว่า ณ ขณะนี้ตัวผมเองเป็นอย่างไรบ้าง สุขสบายดีหรือเปล่า ซึ่งผมแบ่งเป็นสองส่วน body awareness ก็คือดูร่างกายว่า ณ ขณะนี้มีอาการผิดปกติไหม เจ็บ หรือปวด หรือแน่นอะไรตรงไหนหรือเปล่า ง่วงหรือเปล่า อีกส่วนหนึ่งก็คือด้านจิตใจ หรือ mind awareness ก็คือดูใจของผมเองว่า ณ ขณะนี้ใจมันผ่อนคลายสบายใจเฉิบดีอยู่ หรือกำลังเครียด สำรวจเพื่อทราบสถานะเฉยๆไม่ได้เพื่อลงมือแก้ไขหรือทำอะไรเป็นพิเศษ เพราะธรรมชาติของกายและใจเรานี้ แม้ว่าเดิมมันจะกำลังออกฤทธิ์ออกเดชอยู่อย่างไรก็ตาม แต่หากเรารับรู้สถานะของมันอยู่ มันก็ดูจะทำตัวดีเองโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องไปกะเกณฑ์บังคับอะไรมันเลย กล่าวคือถ้าใจมันกำลังเครียดอยู่ แล้วเรารับรู้และเฝ้าดูมัน มันก็จะค่อยๆผ่อนคลายลงเอง อาการทางร่างกายก็เหมือนกัน ถ้าเรารับรู้ว่าส่วนนี้กำลังปวดหรือคันและเฝ้าดูมัน พักหนึ่งอาการปวดหรือคันมันก็จะหายไปเอง แปลกดีนะครับ ไม่เชื่อลองดู

ทั้ง Recall ก็ดี ทั้ง Self awareness ก็ดี เป็นทักษะ (skill) ไม่ใช่ความรู้ (knowledge) หมายความว่าต้องฝึกบ่อยๆจึงจะเกิดขึ้นได้และเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง จะใช้วิธีอ่านหนังสือแล้วไตร่ตรองทำความเข้าใจเอาแบบความรู้ทั่วไปนั้นไม่ได้ เหมือนกันการว่ายน้ำจะอ่านวิธีทำแล้วจะหวังว่าเวลาลงน้ำจริงแล้วตัวจะลอยนั้นไม่ได้ ต้องฝึกบ่อยๆสม่ำเสมอจึงจะลอยน้ำได้จริงๆ
คุณเอาแค่นี้ไปทำดูก่อนนะ เอาฉากเหล็กมากันเมื่อวานกับวันพรุ่งนี้ออกไป อยู่ในโลกของวันนี้โดยใช้ recall และ self awareness เป็นเครื่องมือช่วยให้คุณทำแต่เรื่องของวันนี้ที่อยู่ตรงหน้าก็พอ เรื่องที่ผ่านมาแล้ว และเรื่องที่ยังมาไม่ถึงก็ขอโทษ.. ช่างแม่ม ..ม เถอะครับ


ขอสวัสดีปีใหม่ด้วยนะครับ ทั้งคุณตรินและผู้อ่านทุกท่าน นี่เป็นการตอบคำถามสุดท้ายของปีนี้ แล้วผมจะไปปลีกวิเวกไม่เปิดคอมเด็ดขาด พบกันปีหน้า 2554 ครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

กินแล้วล้วงคออ๊วก กลัวอ้วน นิสัยไม่ดี

ขอรบกวน ถามคุณหมอค่ะ

คือดิฉัน เป็น หนึ่งในคนที่ กลัวอ้วน และใช้นิสัยไม่ดี โดยการล้วง คอให้อาเจียน หลังทาน อาหาร ตอนนี้ พยามเลิกอยู่ค่ะ เหตุ ที่ทำให้คิดจะเลิก คือ ดิฉันมีอาการ ปวดเกร็ง ที่ หูรูด ทวาร เหมือน ปวด เกร็ง มาจาก ลำไส้ใหญ่ มีอยู่คืนนึง ปวดมาก ขยับ ตัว แทบไม่ได้ ขยับ แล้ว จะปวด ตึง บริเวร หูรูด คล้าย กับจะเป็น ตะคริว แต่ก็ไม่ใช่ ทรมาน มากค่ะ
อันนี้ เป็นผลข้างเคียง จากการ อาเจียน รึเปล่าคะ เคยเป็นอย่างนี้ อยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้ มาก จนร้องไห้เลยค่ะ
อยากถามคุณหมอค่ะว่า ดิฉัน มีโอกาส เสี่ยง ต่อ โรคอะไรบ้างคะ
และยังไม่สาย เกินไปใช่มั้ยคะ ที่จะกลับใจ และถ้าเกิดอาการ ปวดเกร็งอีก ดิฉัน ควร ทานยาอะไรดีคะ

นินจา

....................................................................

ตอบครับ

1. ในมุมมองของแพทย์ คุณเป็นคนป่วยด้วยโรคที่ชื่อ Bulimia nervosa ซึ่งหมายถึงคนที่กลัวอ้วน และมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตัวเอง แล้วใช้วิธีกินแล้วรีบชดเชยด้วยการเอาออก จะด้วยการอ๊วก หมายถึงล้วงคอให้อาเจียน หรือกินยาระบาย ยาถ่าย ยาขับปัสสาวะ ก็แล้วแต่ ทั้งหมดนี้ทำไปเพราะอารมณ์เครียดและคุมตัวเองไม่ได้

2. อาการที่ปวดท้องเป็นเรื่องปกติของคนเป็นโรคนี้ แต่อาการปวดมากตึงเหมือนเป็นตะคริวบริเวณหูรูดทวารหนักจนขยับตัวไม่ได้ อาจเป็นอาการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อจากการสูญเสียโปตัสเซียมไปมาก ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย และเป็นต้นเหตุให้เสียชีวิตจากโปตัสเซียมต่ำจนหัวใจเต้นผิดปกติได้

3. การที่คิดจะเลิกนั้นดีแล้ว หากเลิกได้สำเร็จด้วยตนเองก็ยิ่งดี แต่หากเลิกด้วยตนเองไม่ได้ ผมแนะนำให้ปรึกษาจิตแพทย์เพราะโรคนี้จิตแพทย์ช่วยได้แน่นอนครับ

4. โรคนี้เสี่ยงต่อการเป็นโรคอะไรต่อไปอีกบ้าง โอ้โฮ เยอะแยะเลยนะครับ เช่น การเสียชีวิตกะทันหันจากหัวใจเต้นผิดปกติ โรคกระดูกพรุน ประจำเดือนไม่มี โรคขาดอาหารแบบต่างๆ ความเสียหายต่อระบบทางเดินอาหาร ฟันผุ หลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง โรคจิตประสาทอื่นๆเช่นโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย

5. การรักษาโรคนี้ไม่มีคำว่าสายครับ โรคนี้หากได้รับการรักษาจะมีการพยากรณ์โรคที่ดี หมายความว่าหายได้เป็นส่วนมาก ดังนั้นแนะนำให้คุณเข้ารับการรักษากับจิตแพทย์โดยเร็ว

6. เมื่อไปถึงแพทย์แล้ว การรักษาโดยแพทย์นั้น จะมุ่งไปที่

a. การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งมีหลายประเด็นมาก เช่นฟันเสีย หลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง ประจำเดือนไม่มา ขาดสารอาหารที่จำเป็น เป็นต้น

b. การทำจิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัดแบบ Cognitive behavioral psychotherapy (CBT) ซึ่งประกอบด้วยการสร้างพฤติกรรมใหม่ เช่นจดบันทึกอาหารที่ทาน (diary keeping) การวิเคราะห์เหตุนำเหตุร่วม การปรับความคิดและมุมมองเรื่องน้ำหนักและภาพลักษณ์ เป็นต้น

c. การปรับความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด (Interpersonal psychotherapy -IPT)

d. โภชนบำบัดเพื่อรักษาภาวะขาดอาหาร

e. การรักษาครอบครัว (family therapy) เพื่อปรับเจตคติของคนในครอบครัวให้สนับสนุนการรักษา

f. การรักษาด้วยยาต้านซึมเศร้าและยาอื่นๆ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

เพิ่งแต่งงานใหม่ แต่กลัวเซ็กซ์ ไม่ยอมมีอะไรกับสามี

เพิ่งแต่งงานผ่านมาได้ไม่กี่วันนี้ค่ะ แล้วยังไม่ได้มีอะไรกะสามีเลย เพราะความกลัวคะ กลัวการมีเพศสัมพันธ์อย่างมากๆ คือ ไม่กล้ามีอะไรกับสามีเลย กลัวไปหมด กลัวเจ็บ รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยสะอาดด้วยค่ะ ตอนสามีเข้ามาเล้าโลมจะรู้สึกปวดแสบในช่องคลอดมากๆ ค่ะ จนรู้สึกว่าเจ็บนิดๆ ทั้งๆ ที่เค้ายังไม่ได้มาสอดใส่อะไรเลย ตอนแรกคิดว่าอาจเป็นเพราะเราไม่เคยมีอะไรกับใครเลยหวาดๆ แต่งงานไปแล้วจะดีขึ้นแต่เปล่าเลยคะ คือกลัวไปหมด ไม่กล้า คิดมาก คุยกะสามี สามีเข้าใจนะค่ะ แต่ก็ดูเค้าจะหงอยๆ ไปเหมือนกัน เหมือนเราจะผิดปกติหรือเปล่า แบบนี้นิวต้องคุยกะจิตแพทย์หรือไม่ค่ะ

นิว

...................................

ตอบครับ

ประเด็นที่ 1. เอาเรื่องคุณเป็นอะไรก่อนนะ กรณีของคุณนี้ทางแพทย์เรียกว่ามีความผิดปกติในเรื่องเพศสัมพันธ์ (sexual dysfunction) ในกลุ่มย่อยชื่อ โรครังเกียจการมีเซ็กซ์ (sexual aversion disorder) ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะว่าเป็นธรรมดาที่ผู้หญิงจะไม่เอาเซ็กซ์ในบางโอกาสเช่น ถ้าเธออยู่ในช่วงมีเมนส์ หรือหลังคลอด หรือหลังหมดประจำเดือน หรือเพิ่งฟื้นไข้ หรือมีความเครียด หรือเพิ่งเปลี่ยนบทบาทใหม่ เช่นเพิ่งได้งานใหม่ เพิ่งได้เป็นเจ้านาย หรือขาดความเป็นส่วนตัวขณะมีเซ็กซ์ เช่นคุณพ่อคุณแม่นอนอยู่ห้องข้างๆ เป็นต้น อันนั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่โรค แต่โรครังเกียจเซ็กซ์นี่ไปไกลกว่านั้น คือไปถึงกลัว ผลักไส รังเกียจเดียดฉันท์ เมื่อใดก็ตามที่จะมีการเอาอวัยวะเพศมาสัมผัสกันขึ้นมา นอกจากกลัวแล้วยังมีความรู้สึกลบต่อเรื่องแบบนี้อย่างแรง อาจจะมีความกล้วอย่างอื่นผสมโรงด้วย เช่น กล้วติดเชื้อ กลัวคุมตัวเองไม่ได้ กลัวอวัยวะเพศของตนเองจะผิดปกติ กลัวตั้งครรภ์ กลัวสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งเกินไป เป็นต้น บางรายตอนโหมโรง (foreplay) ก็ดูจะเวอร์คดี แต่พอจะเข้าพระเข้านางถึงขั้นมีการเอาอวัยวะเพศมาสัมผัสกันจริงๆก็เกิดมีอาการขึ้นมา

ประเด็นที่ 2. ควรพบจิตแพทย์ไหม ตอบว่าควรพบกับจิตแพทย์ทั้งสามีภรรยาเลยครับ เรียกว่าทำ marital counseling เพราะโรคนี้เป็นความผิดปกติของจิตใจล้วนๆ การทำจิตบำบัดเป็นเครื่องมือหลักในการรักษา จิตแพทย์เองจะต้องเป็นผู้ที่ specialize ในเรื่องการหลับนอน ซึ่งเมืองไทยมีอยู่ไม่กี่คน เท่าที่ผมมองเห็นตัวตอนนี้มีอยู่แค่สองสามคนเท่านั้นเอง ต้องสอบถามหาแล้วไปหาให้ถูกตัว

ประเด็นที่ 3. โรคนี้รักษากันอย่างไร ขั้นตอนของแพทย์จะมีสี่ขั้นตอนคือ

ขั้นที่ 1. ต้องตรวจร่างกายทั้งสองสามีภรรยาเพื่อวินิจฉัยแยกความผิดปกติทางกาย หรือสาเหตุที่พบเห็นได้ง่ายเช่นความสกปรกของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นต้น

ขั้นที่ 2. การสืบค้นหาสาเหตุทุกด้าน รวมทั้งสาเหตุทางใจ ซึ่งอาจต้องทำใจรับคำถามที่กวนใจเช่น เราถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร เคยถูกลวนลามหรือถูกกระทำทางเพศมาก่อนหรือเปล่า เป็นต้น ทั้งหมดนี้หมอเขาถามเพราะจำเป็นต้องเช็คความเป็นไปได้ให้ครบก่อน

ขั้นที่ 3. การทำจิตบำบัด วิธีที่นิยมทำสมัยนี้ก็คือพฤติกรรมบำบัด (cognitive-behavioral therapy – CBT) ซึ่งมีหลักการสามข้อใหญ่ๆ (1) Exposure คือค่อยๆให้สัมผัสกับสถานการณ์บ่อยๆเพื่อลดความกลัว (2) Cognitive restructuring คือคิดใหม่ทำใหม่ พยายามปรับความคิดความเชื่อที่ทำให้เกิดความกลัว ปรับความคิดจากเดิมที่ว่าความกลัวเป็นสิ่งแก้ไขไม่ได้ เป็นความเข้าใจใหม่ว่าความกลัวเป็นปัญหาทางการแพทย์ซึ่งแก้ไขได้หากทำถูกวิธี (3) Skill training คือการสอนทักษะในเรื่องเพศสัมพันธ์ ว่าถึงตรงนี้ควรทำอย่างไร ถึงตรงนี้ควรทำอย่างไร เพื่อให้เพศสัมพันธ์มันง่ายขึ้น รวมทั้งแนะนำการใช้อุปกรณ์ช่วยเช่นสารหล่อลื่น วัสดุเทียมต่างๆ เป็นต้น

ขั้นที่ 4. การใช้ยาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่จำเป็นต้องบรรเทาความกลัว อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรเป็นมาตรการชั่วคราวเท่านั้น

ประเด็นที่ 4. โรคนี้มีโอกาสหายไหม ตอบว่าโรครังเกียจการมีเซ็กซ์นี้เป็นโรคทางใจชนิดที่มีการพยากรณ์โรคดี หมายความว่ามีโอกาสหายสูงมาก ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าถ้าได้รับการรักษาทางใจอย่างถูกต้อง

ผมขอแถมอีกนิดหนึ่ง สำหรับท่านอื่นที่อ่านบทความนี้และอาจมีปัญหาคล้ายกัน คือหากเจาะลึกลงไปแล้ว โรครังเกียจการมีเซ็กซ์นี้มีสองแบบ คือแบบที่เกิดจากเงื่อนไขจำเพาะ อย่างกรณีของคุณนิวนี้ กับแบบที่เกิดจากความสัมพันธ์ หมายความว่าแต่ก่อนก็เคยมีเซ็กซ์กันดีๆ ต่อมาเกิดรังเกียจเซ็กซ์เพราะมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่นเพิ่งค้นพบว่าอีกฝ่ายหนึ่งนอกใจ หรือมีความเห็นไม่ลงรอยกันในเรื่องใหญ่ๆเช่นการมีลูก การเงินการทอง เป็นต้น หากเป็นโรคแบบที่เกิดจากความสัมพันธ์นี้ การรักษาจะไปอีกแบบ คือไปเน้นที่การแก้ปัญหาความสัมพันธ์แทน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

29 ธันวาคม 2553

ถุงยางแตก แล้วรีบทานยาทันที..

1. อยากสอบถามคุณหมอครับ พอดีผมไปเที่ยวผู้หญิงขายบริการมาแล้วถุงยางแตก หลังจากนั้น 3 ชม ก็รีบรับยาทานทันที และผมได้พาผู้หญิงไปตรวจเลือดด้วยผลออกมาเป็นลบ แต่ผมยังยืนยันที่จะรับยาเนื่องจากกลัวเรื่อง Windiws period โดยครั้งแรกหมอได้ให้ยามาเป็น GPO vir S30 มาทานประมาณ 6 วัน แล้วทางโรงพยาบาลก็นัดอีกทีหลังจากนั้น โดยมาหาหมอเฉพาะทาง แล้วทำการเปลี่ยนยาให้ผมเป็น AZT + 3tc เท่านั้น เท่าที่ผมเข้าไปดูที่เว็ปส่วนใหญ่เค้าได้ยามากัน 3 ตัวทำไมผมถึงได้ 2 ตัวครับ แล้วให้ผมทานเพียง 25 วันเองแล้วจะมีผมต่อการป้องกันมัยครับ
2. ผมทำการไปตรวจเลือดหลังเสี่ยงที่ 45 วัน และ 70 วัน ที่คลีนิคนิรนาม ตัวแบบ ECLIA เป็น Negative และตรวจแบบ NAT ด้วยแต่เห็นที่มีคนถามเรื่อง NAT คุณหมอบอกว่ามีโอกาสเป็นบวกปลอม ได้ แล้วมีโอกาสเป็นลบปลอมมัยครับ
3. แล้วระยะ Windows Preriod จะเพิ่มขึ้นมัยครับ ถ้าหากเราทานยาต้านไวรัสแบบฉุกเฉิน หรือว่าถ้าตรวจที่ 3 เดือนผ่านก็ถึอว่าผ่านเลยครับ เพราะเครียดทุกวันเลยครับ ไม่แน่ใจว่าจะจบที่ 3 หรือ 6 เดือนดีครับ

Moo

…………………………………………………………..

ตอบครับ

1. การกินป้องกันเอดส์หลังการสัมผัสเชื้อ ทางการแพทย์เรียกว่า post exposure prophylaxis หรือ PEP มีหลักสากลที่กำหนดโดย WHO ดังนี้

1.1 กรณีที่พิสูจน์ได้ว่าผู้เป็นแหล่งแพร่เชื้อ ไม่มีเชื้อ ไม่ต้องกินยาป้องกัน หลักข้อนี้ใช้การได้ดีกรณีแพทย์หรือพยาบาลได้รับบาดเจ็บจากเข็มฉีดยา แต่กรณีของคุณซึ่งมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอาชีพพิเศษ หลักข้อนี้อาจใช้ไม่ได้ เพราะแม้จะพิสูจน์ได้ว่าเธอไม่มีเชื้อในเลือด แต่ยังมีความเสี่ยงจากของเหลวจากร่างกายของลูกค้าคนก่อนหน้าคุณยังค้างคาอยู่ใน vagina ของเธอซึ่งอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อมาสู่ตัวคุณได้ ดังนั้นการที่คุณตัดสินใจกินยาทั้งๆที่ผลตรวจเลือดฝ่ายหญิงเป็นลบ ผมเห็นด้วยว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้ว

1.2 กรณีที่พิสูจน์ได้ว่าผู้เป็นแหล่งแพร่เชื้อมีเชื้อเอดส์อยู่จริง ให้กินยาต้านไวรัสเอดส์ดังนี้

1.2.1 กินทันที เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ นับเวลากันเป็นชั่วโมง ไม่ใช่เป็นวัน แต่ถ้าล่าใช้ไปเช่นช้าไปถึง 7 วันก็ยังเริ่มกินได้ ดีกว่าไม่กินเลย

1.2.2 กินนาน 4 สัปดาห์ต่อเนื่องกันไปไม่หยุด

1.2.3 ในกรณีทั่วไปที่พิสูจน์ว่าผู้เป็นแหล่งแพร่เชื้อมีเชื้อแล้ว ใช้ยาควบกันสองตัว เช่น zidovudine (AZT) + lamivudine (3TC) หรือ 3TC + stavudine เป็นต้น สูตรนี้เป็นสูตรมาตรฐาน

1.2.4 ในกรณีที่แพทย์เห็นว่ามีความเสี่ยงติดเชื้อสูงมาก เช่น ผู้แหล่งแพร่เชื้อมีปริมาณเชื้อมาก หรือมีเชื้อดื้อ หรือรูปแบบการสัมผัสได้รับเชื้อเป็นปริมาณมาก (เช่นถ่ายเลือดของคนติดเชื้อเข้าไป) แพทย์อาจเพิ่มยาตัวที่ 3 ซึ่งจะเป็นตัวไหนก็ตามแล้วแต่ดุลพินิจ กรณีนี้ไม่ใช่มาตรฐาน

1.3 จากหลักฐานวิจัยแบบย้อนดูกลุ่มคน พบว่าการกินยาแบบ PEP ลดความเสี่ยงการติดเชื้อลงได้ประมาณ 81% แต่ไม่ใช่ 100% หมายความว่ามีคนจำนวนหนึ่งแม้จะกินยาแบบ PEP ก็ยังติดเชื้อได้

ในกรณีของคุณ ถือว่าเป็นกรณีทั่วไปที่แหล่งแพร่เชื้อยังไม่ยืนยันว่ามีเชื้อหรือไม่ด้วยซ้ำ การที่แพทย์ท่านแรกให้ทานยาสามอย่าง (GPO vir S30 = Nevirapine 200 mg + lamivudine 150 mg + stavudine 30 mg) ผมมีความเห็นว่ามากเกินไป ประโยชน์ที่ได้อาจไม่คุ้มกับความเสี่ยงของยา ซึ่งต่อมาแพทย์ท่านที่สองได้ปรับให้ยา AZT+3TC ตามสูตรมาตรฐาน ซึ่งผมว่าก็น่าจะดีแล้ว ส่วนระยะเวลาที่ให้นับรวมกับ (6+25) ก็เกินสี่สัปดาห์แล้ว ผมว่าก็โอเค.แล้วนี่ครับ

2. คุณไปตรวจเลือด 70 วันหลังจากนั้น ทั้งด้วยวิธี ECLIA และ NAT ได้ผลลบ ก็คือลบแน่นอนแล้วหละครับ ผลลบเทียมของเอดส์ก็ที่เราเรียกว่า window period นั่นไงครับ กรณีของคุณนี้พ้น window period ไปแล้วทั้งโดย NAT (12-14 วัน) และ ECLIA (1 เดือน – 6 สปด.) ดังนั้นผลลบที่ได้ก็คือลบจริงๆ จบความกังวลของคุณได้แล้วครับ

3. การกินยาป้องกันแบบ PEP จะทำให้ window period ยืดออกไปหรือไม่ ประเด็นนี้ผมตอบคุณไม่ได้ครับ เพราะความจริงเป็นอย่างไรยังไม่มีใครทราบ มีแต่ความคิดเชิงทฤษฏีของสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งว่าการไปกินยาแบบ PEP ไปทำลายเชื้อให้เหลือน้อยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันสนองตอบต่อเชื้อช้า แต่อีกฝ่ายหนึ่งว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะมีเชื้อมากหรือน้อยระบบภูมิคุ้มกันก็สนองตอบได้เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายไม่มีหลักฐานสนับสนุน ทั้งโลกนี้มีรายงานผู้ป่วย 1 รายที่กินยาแบบ PEP แล้วติดเชื้อ HIV โดยที่ window period เนิ่นช้าออกไปมากกว่าปกติ แต่ผู้ป่วยรายนั้นติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี.ด้วย จึงสรุปไม่ได้ว่า window period ยืดไปเพราะเหตุใด อย่างไรก็ตาม เป็นมาตรฐานว่าการกินยาแบบ PEP ควรตรวจคัดกรองเอดส์ครั้งสุดท้ายเมื่อครบ 6 เดือนหลังสัมผัสเชื้อครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Updated U.S. Public Health Service Guidelines for the Management of Occupational Exposures to HBV, HCV, and HIV and Recommendations for Postexposure Prophylaxis. MMWR;2001:50(RR11);1-42
[อ่านต่อ...]

28 ธันวาคม 2553

นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นง่าย

เรียนถามคุณหมอค่ะ เป็นคนที่นอนหลับแล้ว ถ้ามีเสียงรบกวนนิดเดียว ก็จะสะดุ้งตื่นง่ายมาก หลังจากนั้นก็จะนอนไม่ค่อยหลับ กรณีนี้เข้าข่ายนอนไม่หลับหรือเปล่าคะ มีวิธีที่จะช่วยให้สามารถนอนหลับได้ลึกขึ้น ไม่ตื่นง่ายเพราะเสียงรบกวนแค่นิดเดียวหรือเปล่า ขอบคุณค่ะ
แก้ว

....................................................

ตอบครับ

อาการที่คุณเป็น คือหลับตื้น ตื่นเร็ว หลับต่อยาก ถ้าไม่มีข้อมูลอื่นที่เจาะจงกว่านี้ ผมก็คงต้องวินิจฉัยแบบเดาสุ่มว่าเป็นโรคนอนไม่หลับปฐมภูมิ (primary insomnia)

เพื่อให้คุณเข้าใจเรื่องทั้งหมด ผมขอฉายภาพใหญ่ให้ดูก่อนนะ ว่าทางการแพทย์มองโรคในกลุ่มนี้ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือโรคนอนไม่หลับ (insomnia) กับโรคความผิดปกติของการนอนหลับ (sleep disorder) อย่าเพิ่งงงนะครับ มันมีรายละเอียดดังนี้

1. โรคนอนไม่หลับ (insomnia) ซึ่งแบ่งเป็น

1.1 นอนไม่หลับชั่วคราว เพราะมีเหตุ เช่นสูญเสียของรัก ตกงาน

1.2 นอนไม่หลับเรื้อรัง (เกิน 1 เดือน) ซึ่งยังแบ่งไปได้อีกอย่างน้อยเจ็ดอย่าง คือ

1.2.1 นอนไม่หลับด้วยเหตุด้านจิตวิทยา-สรีระวิทยา (psychophysiologic insomnia) หรือบางทีก็เรียกว่านอนไม่หลับแบบปฐมภูมิ (primary insomnia) มีลักษณะคือ กังวลมากไปว่าจะนอนไม่หลับ เมื่อตั้งใจหลับจะหลับลงยาก ตื่นง่าย ตื่นแล้วหลับต่อยาก แต่ถ้าทำอะไรง่วนอยู่จะเผลอหลับได้ง่ายๆ ถ้าไปหลับที่อื่นจะหลับได้ง่ายกว่าหลับที่บ้านตัวเอง เวลานอนแล้วจะคิดสารพัดหยุดคิดไม่ได้ ร่างกายเครียดไม่ผ่อนคลาย

1.2.2 นอนไม่หลับเพราะโรคทางกาย เช่นหัวใจล้มเหลว ทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง ไฮเปอร์ไทรอยด์ กลุ่มอาการปวดเรื้อรัง เป็นต้น

1.2.3 นอนไม่หลับเพราะโรคจิตโรคประสาท

1.2.4 นอนไม่หลับเพราะยา (เช่นยากระตุ้นเบต้ารักษาหอบหืด ยาสะเตียรอยด์ ยาต้านซึมเศร้า)

1.2.5 นอนไม่หลับเพราะติดสารเสพย์ติด เช่นแอมเฟตามีน นิโคติน แอลกอฮอล์ กาแฟอีน

1.2.6 ขาดสุขศาสตร์ของการนอนหลับ (sleep hygiene) ที่ดีเช่น

1.2.6.1 เข้านอนไม่เป็นเวลา งีบกลางวันบ่อย ตื่นนอนไม่เป็นเวลา นอนอยู่บนเตียงนานเกินไป

1.2.6.2 สิ่งแวดล้อมไม่เอื้อต่อการนอนหลับ เช่น แสงมาก เสียงดัง อุณหภูมิร้อนหรือเย็นเกินไป

1.2.6.3 ใช้สารกระตุ้นเช่นแอลกอฮอล์ นิโคติน กาแฟอีน ก่อนนอน

1.2.6.4 ทำอะไรที่กระตุ้นจิตใจ อารมณ์ หรือร่างกายก่อนนอน รวมทั้งออกกำลังกาย ทานอาหาร

1.2.6.5 ใช้ที่นอนทำกิจกรรมอื่นที่ทำให้ตื่น เช่นดูทีวี. อ่านหนังสือ กินของว่าง คิด วางแผนอะไรต่างๆ

1.2.7 นอนไม่หลับโดยไม่ทราบเหตุ (idiopathic insomnia)

2. โรคความผิดปกติของการนอนหลับ (Sleep disorder) ซึ่งแยกได้เป็นสี่กลุ่ม

2.1 โรคนอนกรน (Obstructive sleep apnea หรือ OSA)

2.2 กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless legs syndrome หรือ RLS) มีอาการคือนั่งหรือนอนตอนเย็นหรือกลางคืนเฉยๆเป็นไม่ได้ มันรู้สึกไม่สบายต้องคอยขยับหรือกระตุกขาตัวเองไว้ให้ได้

2.3 โรคเสียจังหวะการนอน (circadial rhythm disorder) ซึ่งแบ่งออกเป็น

2.3.1 เสียจังหวะการนอนชั่วคราว เช่นนั่งเครื่องบิน ทำงานล่วงเวลา ทำงานเป็นกะ มีเหตุต้องอยู่ดึก หรือป่วย

2.3.2 เสียจังหวะกการนอนเรื้อรัง (เกิน 6 เดือน) แบ่งเป็นสามแบบ

2.3.2.1 แบบหลับลงยาก หรือ delayed sleep-phase syndrome (DSPS) กว่าจะหลับลงได้ใช้เวลานาน แต่เมื่อหลับแล้วก็หลับสบายดี เช่นนักเรียนนักศึกษา

2.3.2.2 แบบนอนเร็วตื่นเร็วแล้วตาค้าง หรือ advanced sleep-phase syndrome (ASPS) คือหลับเร็วก่อนสามทุ่ม แต่ตื่นมากลางดึกแล้วตาค้างนอนต่อไม่หลับ

2.3.2.3 แบบหลับๆตื่นๆทั้งวันไม่เลือกเวลา หรือ irregular sleep-wake cycle เช่นกรณีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม

2.4 โรคหลับกลางวัน (Narcolepsy) เป็นความผิดปกติที่เกิดจากยีนหรือพันธุกรรม มักเป็นตั้งแต่เด็ก มีอาการหลับกลางวันมากร่วมกับอาการผีอำ (ขณะหลับมีประสาทหลอน แขนขาขยับไม่ได้ เป็นอัมพาตชั่วคราว)

การแก้ปัญหานอนไม่หลับ

ขั้นที่ 1. การแก้ปัญหานอนไม่หลับควรเริ่มด้วยตัวเราเองก่อน ด้วยการมีสุขศาสตร์ของการนอนหลับที่ดี ได้แก่

1. เข้านอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา จัดชีวิตทั้งวันให้เป็นเวลา เมื่อไรทานอาหาร เมื่อไรทานยา เมื่อไรออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายคุ้นเคย

2. ไม่นอนอ้อยอิ่งอยู่บนเตียงหลังเวลาตื่นนอนแล้ว

3. ตื่นเมื่อรู้สึกว่านอนพอแล้ว อย่าพยายามนอนต่อเพื่อชดเชยให้กับการอดนอนวันก่อนๆ

4. หลีกเลี่ยงการงีบตอนกลางวัน ถ้าจำเป็นให้งีบสั้นๆ อย่านอนกลางวันนานกว่า 1 ชม. และอย่านอนหลัง 15.00 น.แล้ว

5. ปรับสภาพห้องนอนให้น่านอน เอาของรกรุงรังออกไป จัดแสงให้นุ่มก่อนนอน และมดสนิทเมื่อถึงเวลานอน ไม่ให้มีเสียงดัง ระบายอากาศดี ดูแลเครื่องนอนให้แห้งสะอาดไม่อับ และรักษาอุณหภูมิให้สบาย

6. ไม่ใช้ที่นอนเป็นที่ทำงาน ไม่ทำกิจกรรมเช่นดูทีวี อ่านหนังสือ กินของว่าง เล่นไพ่ คิด วางแผน บนที่นอน

7. หยุดงานทั้งหมดก่อนเวลานอนสัก 30 นาที ทำอะไรให้ช้าลงแบบ slow down พักผ่อนอิริยาบถ ทั้งร่างกาย จิตใจ สวมชุดนอน ฟังเพลงเบาๆ หรืออ่านหนังสืออ่านเล่าเบาๆ อย่าดูทีวีโปรแกรมหนักๆหรือตื่นเต้นก่อนนอน

8. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นจิตใจ อารมณ์ หรือร่างกายก่อนนอน ไม่คุยเรื่องเครียด ไม่ออกกำลังกายหนักๆก่อนนอน

9. ไม่ทานอาหารมื้อใหญ่ก่อนนอน แต่ก็อย่าถึงกับเข้านอนทั้งๆที่รู้สึกหิว

10. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟหลังเที่ยงวัน หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ก่อนนอน 6 ชั่วโมง ไม่สูบบุหรี่ก่อนนอน

11. หลีกเลี่ยงยานอนหลับทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่ซื้อทานเองโดยไม่รู้จักชื่อ

12. ออกกำลังกายทุกวัน ถ้าเลือกเวลาได้ ออกกำลังกายตอนบ่ายหรือเย็นดีที่สุด แต่ไม่ควรให้ค่ำเกิน 19.00 น.

13. อย่าบังคับตัวเองให้หลับ ถ้าหลับไม่ได้ใน 15-30 นาทีให้ลุกขึ้นมาทำอะไรที่ผ่อนคลายเช่นอ่านหนังสือในห้องที่แสงไม่จ้ามาก หรือดูทีวีที่รายการที่ผ่อนคลาย จนกว่าจะรู้สึกง่วงใหม่ อย่าเฝ้าแต่มองนาฬิกาแล้วกังวลว่าพรุ่งนี้จะแย่ขนาดไหนถ้าคืนนี้นอนไม่หลับ

ขั้นที่ 2. คือใช้วิธีพฤติกรรมบำบัด (cognitive behavior therapy) ซึ่งต้องทำเอง เพราะเมืองไทยไม่มีที่ไหนเปิดรักษาแบบนี้ หลักการก็คือผสมผสานหลายอย่างเข้าด้วยกัน ได้แก่
(1) ทำตามสุขศาสตร์ของการนอนหลับข้างต้น
(2) สอนตัวเองให้เข้าใจว่าความคิดกังวลเกี่ยวกับผลเสียของการนอนไม่หลับยิ่งจะมีผลเสียต่อการนอนไม่หลับมากขึ้น
(3) สอนร่างกายและจิตใจให้รู้จักสนองตอบแบบผ่อนคลาย จะด้วยวิธีเกร็งแล้วคลายกล้ามเนื้อต่างๆไปทีจะกลุ่มกล้ามเนื้อ หรือด้วยวิธีอื่นๆเช่นฝึกสมาธิ (meditation) ให้ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียว (เช่นลมหายใจ) แทนที่จะคิดฟุ้งสร้าน หรืออาจใช้วิธีรำมวยจีน หรือเล่นโยคะ ก็ได้
(4) ใช้มาตรการจำกัดเวลานอน โดยลดเวลานอนลงเหลือเท่าที่นอนหลับจริงๆ แล้วค่อยๆกลับเพิ่มขึ้นใหม่สัปดาห์ละ 20 นาทีเมื่อระยะเวลานอนโดยไม่หลับเหลือไม่ถึง 15% ของเวลาเข้านอนทั้งหมด

ขั้นที่ 3. ก็คือไปหาหมอ ก่อนไปต้องจดประวัติการนอนหลับย้อนหลังสัก 2 สัปดาห์พร้อมระบุกิจกรรม ยา และสารกระตุ้นที่เกี่ยวข้อง ไปด้วย เรียกว่าทำ sleep diary เพื่อให้หมอวินิจฉัยสาเหตุของโรคได้แม่นยำและให้การรักษาได้ตรงจุดที่สุด หมออาจจะทำการตรวจเพิ่มเติมบางอย่างถ้าจำเป็น เช่น กรณีสงสัยโรคนอนกรน อาจใช้ห้องตรวจการนอนหลับทั้งคืน (polysomnography) คือให้ไปนอนหลับทั้งคืนในห้องตรวจการนอนหลับ (sleep lab)

ส่วนการรักษาโดยแพทย์นั้น ก็ต้องทำใจไว้ก่อนว่าอาจจะได้ยานอนหลับเป็นสาระหลัก กรณีเป็นโรคนอนกรน หมออาจจะแนะนำให้ซื้อเครื่องช่วยหายใจ (CPAP) มาใช้ที่บ้าน กรณีเป็นโรคเสียจังหวะการนอน (circardial rhythm disorder) หมออาจแนะนำให้ใช้การรักษาด้วยแสง (light therapy) คือใช้แสงไฟที่มีความสว่างมาก (>6000 ลักซ์ เปิดนาน 30-60 นาที) เปิดสว่างทั่วห้องเพื่อให้ร่างกายรู้จักเวลากลางวันกลางคืน ถ้าเสียจังหวะการนอนแบบหลับลงยาก (DSPS) ก็เปิดตอนเช้าเพื่อกระตุ้นให้ตื่นเร็วและเข้านอนเร็วขึ้น ถ้าเสียจังหวะแบบตื่นเร็วและตาค้าง (ASPS) ก็เปิดตอนหัวค่ำก่อนนอนเพื่อป้องกันไม่ให้ง่วงนอนเร็ว นอกจากนี้อาจแนะนำให้รักษาด้วยการเลื่อนเวลานอน (chronotherapy) ควบไปด้วย นอกจากนี้การรักษาทางเลือกเช่นการฝังเข็มก็มีหลักฐานว่ารักษาการนอนหลับได้ผล

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Chesson AL, Anderson WM, Littner M, et al. Practice parameters for the nonpharmacologic treatment of chronic insomnia. An American Academy of Sleep Medicine report. Standards of Practice Committee of the American Academy of Sleep Medicine. Sleep. Dec 15 1999;22(8):1128-33.
2. Sun JL, Sung MS, Huang MY, Cheng GC, Lin CC. Effectiveness of acupressure for residents of long-term care facilities with insomnia: a randomized controlled trial. Int J Nurs Stud. Jul 2010;47(7):798-805.
3. Morin CM, Bootzin RR, Buysse DJ, et al. Psychological and behavioral treatment of insomnia:update of the recent evidence (1998-2004). Sleep. Nov 1 2006;29(11):1398-414.
4. Morin CM, Beaulieu-Bonneau S, LeBlanc M, et al. Self-help treatment for insomnia: a randomized controlled trial. Sleep. Oct 1 2005;28(10):1319-27.
5. Jacobs GD, Pace-Schott EF, Stickgold R, et al. Cognitive behavior therapy and pharmacotherapy for insomnia: a randomized controlled trial and direct comparison. Arch Intern Med. Sep 27 2004;164(17):1888-96.
6. Sivertsen B, Omvik S, Pallesen S, et al. Cognitive behavioral therapy vs zopiclone for treatment of chronic primary insomnia in older adults: a randomized controlled trial. JAMA. Jun 28 2006;295(24):2851-8.
7. Edinger JD, Wohlgemuth WK, Radtke RA, Coffman CJ, Carney CE. Dose-response effects of cognitive-behavioral insomnia therapy: a randomized clinical trial. Sleep. Feb 1 2007;30(2):203-12.
8. Morin CM, Vallieres A, Guay B, Ivers H, Savard J, Merette C, et al. Cognitive behavioral therapy, singly and combined with medication, for persistent insomnia. JAMA. May 20 2009;301(19):2005-15.
9. Irwin MR, Cole JC, Nicassio PM. Comparative meta-analysis of behavioral interventions for insomnia and their efficacy in middle-aged adults and in older adults 55+ years of age. Health Psychol. Jan 2006;25(1):3-14.
[อ่านต่อ...]

23 ธันวาคม 2553

ผลการคัดกรองเอดส์ในการบริจาคเลือด

สวัสดีครับคุณหมอ
สอบถามเรื่องการตรวจเลือดครับ คือผมเพิ่งไปเที่ยวมาโดยไม่ได้ป้องกัน นับๆ รวมเสี่ยงมาได้ 1 เดือนกับ 15 วัน พอดีว่าคุณแม่ผ่าตัดหมอต้องการเลือด ผมเลยจะให้เลือดกับแม่ จึงไปตรวจหาเชื้อเอดส์ ผลเป็นลบ แต่ผมยังไม่แน่ใจอ่ะครับว่าผลที่ได้แน่นอนหรือเปล่า เพราะไม่ได้มาตรวจหาเอดส์ที่รพ.พญาไทน่ะครับ คิดว่าทุกที่จะมีบริการตรวจเลือดด้วยวิธี 4 generation เหมือนกัน พอดีมาเจอเว็บนี้เข้าเลย สงสัย ว่ารพ.ที่ไปตรวจอาจจะยังไม่มีตัวนี้ อาจจะเป็นวิธีเก่าอยู่ ขอคำแนะนำด้วยครับว่าควรทำอย่างไร คือผมกะจะไปตรวจที่พญาไทเลย แต่ก็ยังไม่ถึง 3 เดือน แต่คือแม่ผมจะรอไม่ได้แล้วผลเลือดที่ไดจะแน่นอนมั้ยครับ

อพ.

……………………………………………………………….

ตอบครับ

1. การบริจาคเลือดของเมืองไทยอยู่ภายใต้ระบบของกาชาดทั้งหมด ไม่ว่าจะบริจาคเลือดที่ไหน ระบบของกาชาดใช้ระบบคัดกรองเอดส์แบบปูพรม คือนอกจากจะตรวจควบหาภูมิคุ้มกันแล้ว ยังตรวจหาเศษยีนไวรัสที่เรียกว่า Nucleic Acid Test (NAT) ซึ่งก็เป็นเรื่องเดียวกันกับวิธีตรวจหาตัวดีเอ็นเอไวรัสที่เรียกว่า PCR นั่นแหละ วิธีนี้เป็นวิธีที่ไวที่สุด ทำให้ตรวจพบได้เร็วในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังติดเชื้อ เฉลี่ย window period ประมาณ 12-14 วันเท่านั้น ดังนั้นคุณไปเที่ยวมาเดือนกว่า กาชาดตรวจแล้วว่าเป็นลบ หมายความว่าลบแน่นอนครับ

2. ปัจจุบัน WHO ยังไม่แนะนำให้ใช้วิธี NAT ในการคัดกรองเอดส์ในรพ.เพราะกลัวปัญหาเรื่องผลบวกเทียม ซึ่งในการคัดกรองเลือดทิ้ง ผลบวกเทียมไม่ใช่ปัญหา

3. การที่กาชาดบอกว่าผลตรวจเลือดคุณเป็นลบ หมายความว่านอกจากคุณจะปลอดจากเอดส์แล้ว ยังปลอดจากโรคสำคัญอีกสองโรคคือตับอักเสบจากไวรัสบี และตับอักเสบจากไวรัสซี. ด้วย

4. ดูคุณก็เป็นคนทันสมัยใฝ่ใจหาความรู้ เมื่อไรจะเลิกเที่ยวโดยไม่มีการป้องกันเสียทีละครับ ระวังจะตายแบบคน "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

.....................................................................................

ขอบคุณมากๆ เลยครับ สำหรับคำแนะนำดีๆ สำหรับข้อ 4 ผมจะจำใส่ใจไว้เลยครับ ขอบคุณอีกครั้งครับคุณหมอ
อพ.
[อ่านต่อ...]

โรคโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ (Nephrotic syndrome)

คุณหมอสันต์คะ
ผลการตรวจล่าสุด หมอบอกว่าเป็นโรคโปรตีนรั่วในปัสสาวะค่ะ
ตรวจเลือดแล้วก็ตรวจปัสสาวะ พบว่าโปรตีนรั่วในปัสสาวะเยอะมาก 4+
แล้วก็ในเลือดมีคลอเรสเตอรอลไตรกลีเซอไรด์ สูงมาก
จะตอบคำถามที่คุณหมอถามดังนี้นะค่ะ ..
1. ที่ว่าอายุ 17 นั้น น้ำหนักตัวกี่กก. สูงกี่ซม.
คุณหมอจะเอาน้ำหนักตัวก่อนหรือหลังขาบวมน่ะค่ะ
ถ้าก่อนขาบวมหนักประมาณ 52 สูง 164
แต่ถ้าตอนขาบวมแล้วหนักเกือบ 60 ค่ะ ส่วนสูงเท่าเดิม
2. ประจำเดือนมาสม่ำเสมอดีไหม ครั้งสุดท้ายมาเมื่อไร มาแต่ละครั้งนานกี่วัน
ประจำเดือนมาสม่ำเสมอค่ะ ไม่ผิดปกติ มาครั้งสุดท้ายเมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมา
3. อาการบวมเป็นทุกวัน หรือเป็นเฉพาะใกล้ประจำเดือนมา
บวมทุกวันค่ะ แล้วเหมือนจะบวมมากขึ้นเรื่อยๆด้วย
4. ทุกวันนี้กินยาอะไรอยู่บ้าง นอกจากยาบำรุงเลือดที่หมอให้ ยาคุมกินอยู่หรือเปล่า
ไปหาหมอมาล่าสุดหมอให้ยามา 4 ตัวค่ะ
4.1 Prednisolone 5 mg หมอให้ทานครั้งละ 12 เม็ดหลังอาหารเช้า (ทานเยอะมาก กลัวผลข้างเคียงของยาอยู่ เพราะได้ยินผลข้างเคียงน่ากลัวมาก)
4.2 Imuran 50mg วันละ 2 ครั้ง / เม็ด หลังอาหารเช้าเย็น
4.3 Furetic ทานหลังอาหารเช้า-กลางวัน คลั้งละ 1 เม็ด
4.4 Aldactone 25 mg ครั้งละ 2 เม็ดหลังอาหารเช้า
5. ที่หมอบอกว่าโลหิตจางนั้น จางขนาดไหน ฮีโมโกลบิน (Hb) เท่าไร
ไปตรวจมาล่าสุดฮีโมโกลบินโลวนิดหน่อยค่ะ แต่ตัว อัลบูมิน ต่ำมาก ประมาณ 1.7-1.9 ไม่เกิน 2.00 เลย
ตอนนี้ไม่อยากอะไรมาก อยากให้ขาหายบวมเร็วๆ
เพราะขาบวม เท้าบวม ทำอะไรไม่สะดวกเลย ต้องไปเรียนทั้งในโรงเรียนและเรียนพิเศษ
คุณหมอมีวิธีลดอาการขาบวมไหมค่ะ ขอบคุณล่วงหน้ามากๆค่ะ

………………………………………………………………………..

ตอบครับ

1. ก่อนบวมคุณหนัก 52 กก. สูง 164 ซม. เท่ากับว่ามีดัชนีมวลกาย 19.3 กำลังดี ไม่อ้วนไม่ผอม แสดงว่าไม่ได้บวมเพราะความอ้วน

2. โรคที่คุณเป็น ชื่อเรียกทางการแพทย์คือเนโฟรติกซินโดรม (Nephrotic Syndrome) ไม่ใช่อาการบวมจากประจำเดือน

3. อาการบวมของคุณเกิดจากโปรตีนในเลือดมีน้อย ไม่มีแรงดูด (osmotic pressure) น้ำไว้ในเลือด น้ำจึงรั่วออกมาอยู่นอกหลอดเลือด จึงบวม การจะแก้ปัญหาของคุณต้องแก้ปัญหาโปรตีนในเลือดต่ำก่อน ซึ่งมีอยู่สองขั้นตอน คือ

3.1 การแก้เฉพาะหน้า คืออัดโปรตีนเข้าไป หมายถึงกินโปรตีนให้พอ ซึ่งเป็นเรื่องยาวที่ต้องคุยกันต่อ

3.2 แก้ไขไตไม่ให้รั่ว ซึ่งหมอเขาก็กำลังทำอยู่เต็มที่แล้ว

4. มาพูดถึงเรื่องสำคัญ คือการกินโปรตีนให้พอ คือคนธรรมดาต้องกินโปรตีนวันละ 0.45 – 0.8 กรัมต่อน้ำหนัก 1 กก. แต่คุณไม่ใช่คนธรรมดา คุณเป็นโรคโปรตีนรั่วต้องกินโปรตีนถึงวันละ 1-2 กรัมต่อกก. สมมุติว่าคุณรีบจะให้หายบวม คุณจึงตั้งใจจะกินโปรตีนวันละ 2 กรัมต่อกก. นั่นคือวันหนึ่งคุณต้องกินโปรตีน 52 x 2 = 104 กรัม คุณอาจเข้าใจว่าก็กินไข่หนึ่งฟอง 70 กรัม กับไก่ย่างชิ้นโต 50 กรัมก็เหลือแหล่แล้ว ไม่ใช่นะ ในการคำนวณโปรตีนจากอาหารคุณต้องรู้ว่าอาหารที่ให้โปรตีนชนิดนั้นมีโปรตีนจริงๆอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ หลักง่ายๆที่คุณจำไปใช้ได้เลยคือเนื้อสัตว์ทั้งหลาย (วัว หมู ไก่ ปลา) มีโปรตีน 20% ไข่มีโปรตีน 12% นมมีโปรตีน 3% นั่นหมายความว่าถ้าคุณจะเอาโปรตีนจากเนื้อสัตว์อย่างเดียวคุณต้องกินหมูถึงวันละ 520 กรัมหรือครึ่งกิโล แต่ว่าในชีวิตจริงคนเราต้องกินอาหารหลากหลาย สมมุติว่าผมเป็นนักกำหนดอาหารผมจะจัดอาหารให้คุณโดยเอาโปรตีนจากเนื้อบวกนมบวกไข่ ก็เท่ากับว่าวันหนึ่งคุณต้องกินดังนี้

สะเต๊กที่มีเนื้อหมูชิ้นบะเล่งเท่ง ชิ้นละ 150 กรัม รวม 2 ชิ้น
บวกกินไข่ฟองละ 70 กรัม อีก 3 ฟอง
บวกดื่มนมแก้วละ 240 ซีซี. อีก 1 แก้ว
คุณจะได้โปรตีนในวันนั้น = 60+36+6.9 =103.2 กรัม

แล้วลองเทียบกับที่คุณกินจริงในแต่ละวันว่ามันได้สักครึ่งของที่ผมลองจัดให้นี่หรือเปล่า ถ้ามันน้อยกว่านี้ นั่นก็คือคำตอบว่าทำไมคุณจึงไม่หายบวม คือโปรตีนมันยังไม่พอ

5. ถ้าคำนวณและจัดอาหารเองออกมาแล้วพบว่าโอ้โฮ มันต้องกินมากเหลือขนาด จะกินเข้าไปยังไงไหว ก็อาจมีอีกวิธีหนึ่งคือไปซื้อหางนมผง (Whey protein) ที่เขาทำขายให้พวกนักกล้ามมากินเสริม หางนมผงนี้ ราคาไม่แพง มันมีข้อดีตรงที่มันมีปริมาณโปรตีนเป็นเปอร์เซ็นต์สูง บางยี่ห้อสูงถึง 90% ของน้ำหนักผง เพียงแค่กินหางนมผงนี้วันละ 2 ช้อน (ช้อนละ 28 กรัม) คุณก็จะได้โปรตีนตั้ง 50 กรัม ซึ่งหากจะกินไข่ให้ได้โปรตีนเท่านี้ก็ต้องกินถึง 5 ฟอง หรือถ้าจะดื่มนมสดให้ได้โปรตีนเท่านี้ก็ต้องดื่มถึง 1.6 ลิตร ดังนั้นหางนมผงหรือเวย์โปรตีนนี้จึงเป็นวิธีให้โปรตีนทีละมากๆโดยไม่ต้องกินมาก

ลองเอาความรู้ใหม่นี้ไปปรับอาหารให้ได้โปรตีนพอ ทำอยู่สักสามเดือนถ้าไม่หายบวมค่อยเขียนมาอีกทีก็ได้ครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

22 ธันวาคม 2553

คุณหมอสันต์ครับผมออกกำลังกายแล้วมีคนทักว่าผอมเกินไป

คุณหมอสันต์ครับผมออกกำลังกายแล้วมีคนทักว่าผอมเกินไป ผมอายุ 34 ปี น้ำหนัก 68 กก. สูง 165 ซม. เริ่มออกกำลังกายหลายแบบรวมทั้งยกเวทบ้างด้วย หลังออกกำลังกายน้ำหนักลดเหลือ 61 กก. แต่มีคนรุมทักว่าผอมเอวัยวะเพศหญิง่ยวจนดูน่าเกลียด จะแก้ไขอย่างไรดีครับ

.................................

ตอบครับ

1. ปัญหารูปร่างซูบผอมผิดสังเกตเมื่อออกกำลังกายโดยเฉพาะเมื่อเล่นกล้ามมากๆ มักเกิดจากได้รับอาหารโปรตีนไม่เพียงพอ ทำให้มวลกล้ามเนื้อที่สึกหรอไปมากกว่าปกติจากการออกกำลังกายไม่มีอะไรมาทดแทน

2. วิธีแก้คือการทานอาหารโปรตีนให้เพียงพอ โปรตีนนี้ทานน้อยเกินไปก็ไม่ดี คนปกติ WHO แนะนำให้ทานโปรตีนไม่น้อยกว่า 0.45 กรัมต่อนน.1 กก. แต่ถ้าทานมากเกินไปก็เป็นภาระไตต้องขับทิ้ง US_RDA แนะนำว่าคนทั่วไปไม่ควรทานโปรตีนมากเกิน 0.8 กรัมต่อกก. แต่ในกรณีเล่นกล้ามหนักๆอาจจะต้องการโปรตีนมากถึงวันละ 1.5 กรัมต่อกก.นั่นหมายความว่าคุณน้ำหนักราว 60 กก. ก็ต้องได้โปรตีนวันละ 90 กรัม

3. คำว่าต้องการโปรตีนวันละ 90 กรัมนี้ไมได้หมายความว่าทานเนื้อนมไขหนักรวมกันได้ 90 กรัมแล้วก็พอ ไม่ใช่.. ต้องคำนวณลึกลงไปว่าอาหารนั้นมีโปรตีนอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ อาหารเนื้อทุกชนิด (เช่นหมู วัว ไก่ ปลา) มีโปรตีน 20% ไข่มีโปรตีน 12% นมมีโปรตีน 3 % สมมุติว่าคุณจะทานให้ได้โปรตีนวันละ 90 กรัมถ้าทานเนื้ออย่างเดียวก็ต้องทานวันละ 450 กรัมหรือทานเนื้อเกือบครึ่งกก. ถ้าทานไข่อย่างเดียวก็ต้องได้วันละราว 7 ฟอง (ไข่เป็ดหนึ่งฟองหนัก 75 กรัม) หรือถ้าจะเอาจากนมอย่างเดียวก็ต้องดื่มถึงวันละสามลิตร แม้ว่าในชีวิตจริงเราจะทานหลายๆอย่างปนกัน แต่คุณก็จะเห็นว่าปริมาณโปรตีนที่ต้องใช้ในการสร้างกล้ามเนื้อนั้นเป็นปริมาณที่เยอะมาก

4. ความที่คนสมัยนี้ไม่ชอบทานอะไรเยอะๆ คนที่อยากให้กล้ามขึ้นส่วนใหญ่จึงหันไปทานโปรตีนผงที่ทำมาจากหางนมผง (whey protein) ซึ่งมีขายในราคาไม่แพง หางนมผงนี้สมัยก่อนเมื่อผมยังเป็นเด็กฝรั่งเอามาแจกฟรีเพราะเป็นของเศษของเหลือจากการเอานมไปทำชีส เมื่อเอาส่วนที่เป็นของแข็งหรือชีสออกไปแล้ว ก็เหลือส่วนที่เป็นของเหลวเรียกว่าเวย์ เอามาทำเป็นผงจึงเรียกว่าหางนมผง สมัยนี้พอเรียกชื่อทับชื่อฝรั่งว่าเป็นเวย์โปรตีน กลับกลายเป็นที่นิยม หางนมผงนี้บางเจ้าสามารถสกัดให้เหลือแต่ตัวโปรตีนเพียวๆโดยไม่มีไขมันติดมาเลย ทำให้ได้โปรตีนสูงถึง 90% ของน้ำหนักผงทั้งหมด เรียกว่าวันหนึ่งถ้าทานผงนี้ได้สัก 100 กรัมก็ไม่ต้องทานโปรตีนจากอาหารอื่นอีกเลยก็ยังได้

5. น้ำหนักคุณตอนนี้ 61 กก. ขณะสูง 165 กก. เท่ากับดัชนีมวลกาย 22.4 ไม่ผอมนะครับ กำลังดีแล้ว การปรับเพิ่มโปรตีนในอาหารเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อเพื่อให้ดูดี ต้องทำควบคู่กับการออกกำลังกายเพื่อลดไขมันส่วนเกิน เพื่อให้น้ำหนักคงที่อยู่ประมาณนี้หรือลดลงไปกว่านี้ก็ยังได้ ประเด็นสำคัญคือพยายามอย่าให้น้ำหนักเพิ่มไปกว่านี้อีก

6. โดยสรุป การแก้ปัญหาของคุณต้องคำนวณโปรตีนที่ได้รับในแต่ละวันว่าพอไหม ถ้าไม่พอให้เพิ่มอาหารโปรตีน ถ้าเพิ่มแล้วเห็นว่าเป็นปริมาณอาหารที่มากเกินไปทานไม่ไหว ให้ซื้อหางนมผง (whey protein) มาทานเสริมอีกส่วนหนึ่งจนได้โปรตีนครบตามต้องการ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

21 ธันวาคม 2553

การลดความอ้วน (ตอนที่ 4. องค์ประกอบด้านจิตใจของการลดน้ำหนัก)

ตอนที่ 4. องค์ประกอบด้านจิตใจของการลดน้ำหนัก

องค์ประกอบด้านจิตใจของการลดน้ำหนักมีสองอย่างคือ (1) ความอยากทำอย่างแน่วแน่ หรือ motivation และ (2) วินัยต่อตนเอง หรือ self discipline

ความอยากทำอย่างแน่วแน่ (motivation) เกิดสองอย่างคือ

(1) มีความเชื่อ กล่าวคือเชื่อว่าความอ้วนมีผลเสียต่อสุขภาพ เชื่อว่าการลดน้ำหนักทำให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น มีอายุยืนยาวขึ้น ทั้งนี้ผู้ลดน้ำหนักต้องถามตนเองว่ามีความเชื่อในประเด็นทั้งสองนี้เพียงใด หากยังไม่มีความเชื่อ ต้องศึกษาหลักฐานเชิงประจักษ์และข้อมูลความจริงต่างๆให้ตัวเองเกิดความเชื่อในประเด็นทั้งสองอย่างแท้จริงก่อน

(2) มีความอยากได้ผลลัพธ์บั้นปลายของการลดน้ำหนัก นอกเหนือจากความอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยากมีอายุยืนแล้ว อาจะเป็นความอยากได้เฉพาะบุคคล เช่นอยากไปเล่นกีฬาปีนเขา อยากเดินทางท่องเที่ยวรอบโลกด้วยจักรยาน อยากเป็นนักร้องนักแสดง อยากเป็นคนที่ทำอะไรสำเร็จด้วยตนเอง เป็นต้น

วินัยต่อตนเอง หรือ self discipline มักเป็นผลจากการเลี้ยงดูหรือฝึกอบรมมาในอดีตอันยาวนาน ผู้ได้รับการเลี้ยงดูมาภายใต้กรอบของระเบียบวินัยของครอบครัวหรือของสังคมที่เคร่งครัด มีแนวโน้มจะสร้างวินัยต่อตนเองได้ง่ายกว่าผู้ที่ถูกตามใจหมดทุกเรื่องโดยไม่เคยถูกบังคับอะไรเลย อย่างไรก็ตาม การสร้างวินัยต่อตนเองเป็นสิ่งที่เริ่มต้นสร้างขึ้นได้ใหม่สำหรับคนทุกวัย โดยมีประเด็นสำคัญสองประเด็นดังนี้

(1) ความสามารถระลึกได้ (recall) ว่าเมื่อตะกี้นี้ใจเราคิดอะไรอยู่ คนที่ไม่มีวินัยต่อตนเอง ร้อยทั้งร้อยเป็นคนที่มีชีวิตอยู่โดยไม่ทราบพฤติกรรมทางจิตใจของตนเอง ณ ขณะนั้น ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ กำลังรู้สึกอะไรในใจอยู่ พฤติกรรมที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นจึงถูกกำหนดโดยสิ่งกระตุ้นจากภายนอก ซึ่งเข้าไปผนวกกับความจำจากการเรียนรู้มาในอดีตโดยอัตโนมัติ แล้วสนองตอบออกไปในรูปของการคิดหรือทำโดยที่เจ้าตัว “เผลอ” คิดหรือเผลอทำไปโดยไม่มีความตั้งใจกำกับอย่างหนักแน่น หรือไม่มีความรู้ตัวอย่างหนักแน่นขณะทำ การฝึกระลึกขึ้นมาให้ได้ว่า เอ๊ะ เมื่อตะกี้ตัวเองคิดอะไรอยู่ เป็นจุดตั้งต้นให้เกิดความรู้ตัวขณะได้รับสิ่งกระตุ้นจากภายนอก และขณะสิ่งกระตุ้นนั้นเข้าไปคลุกกับการเรียนรู้ในอดีตจนกลายเป็นการสนองตอบออกไป ทำให้พฤติกรรมทางใจของตนเองมาอยู่ภายใต้การรู้เห็นของตนเองได้มากขึ้น

(2) ความรู้จักใจตัวเอง (self awareness) ณ ขณะนั้น คือการที่บุคคลรู้ถึงสภาวะจิตใจของตนเอง ณ ขณะนั้นว่าใจของตนเองกำลังเครียด หรือกำลังปลอดโปร่งโล่งสบาย หรือกำลังโกรธ หรือกำลังเผลอใจลอย ความรู้จักใจตัวเอง เมื่อประกอบเข้ากับความสามารถระลึกขึ้นได้ทันทีว่าเมื่อตะกี้นี้คิดอะไรอยู่ จะทำให้บุคคลนั้นรับรู้สิ่งเร้าที่เข้ามาทางใจได้ทันเวลา และเปลี่ยนการสนองตอบของตนเองจากที่เคยสนองตอบแบบกึ่งอัตโนมัติไปตามการเรียนรู้ในอดีต ไปเป็นการสนองตอบที่มีความรู้ตัวและความตั้งใจอย่างหนักแน่นกำกับอยู่ด้วย ทำให้บุคคลนั้นเลือกที่จะสนองตอบต่อสิ่งเร้าได้ด้วยตนเองอย่างอิสระโดยไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของการเรียนรู้ในอดีต ทำให้บุคคลนั้น “ลงมือ” ทำในสิ่งที่ควรทำได้สำเร็จ แทนที่จะ “เผลอ” ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำแล้วมาเสียใจภายหลังอยู่ร่ำไป

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่างานวิจัยพบว่าสิ่งที่ทำให้การลดน้ำหนักได้ผลไม่ใช่ยา แต่เป็นองค์ประกอบสามส่วนคือ (1) การปรับโภชนาการ (2) การออกกำลังกาย (3) จิตใจที่อยากทำอย่างต่อเนื่อง ในบรรดาองค์ประกอบทั้งสามส่วนนี้ องค์ประกอบด้านจิตใจเป็นส่วนที่ยากที่สุดที่ผู้ประสงค์ลดน้ำหนักต้องลงทุนลงแรงฝึกฝนตนเอง จึงจะทำได้สำเร็จ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

การลดความอ้วน (ตอนที่ 3. การออกกำลังกาย)

การออกกำลังกายมาตรฐานสำหรับคนทั่วไป

วิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์การกีฬาอเมริกัน และสมาคมแพทย์โรคหัวใจอเมริกัน (ACSM / AHA) ได้ร่วมกันจัดรวมรวมหลักฐานวิทยาศาสตร์มาทำเป็นคำแนะนำการออกกำลังกายสำหรับคนอายุ 18-65 ปี ดังนี้

1. เพื่อให้มีสุขภาพดี แนะนำให้มีไลฟ์สไตล์ที่แอคทีฟ มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่เสมอ

2. แนะนำให้ออกกำลังกายแบบแอโรบิก (aerobic หรือ endurance exercise) เช่นการเดินเร็ว (brisk walk) ให้ถึงระดับหนักปานกลาง (moderate) ทราบจากหัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก ร้องเพลงไม่ได้ แต่ยังพอพูดได้ หรือใช้พลัง 6 ส่วนใน 10 ส่วน อย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 วัน หรือ ออกกำลังกายระดับหนักมาก (vigorous) เช่นวิ่งจ๊อกกิ้ง จนเหนื่อยมาก พูดไม่ได้ หรือใช้พลัง 7-8 ส่วนใน 10 ส่วน วันละอย่างน้อย 20 นาที สัปดาห์ละ อย่างน้อย 3 วัน หรืออาจควบการออกกำลังกายสองระดับความหนักเข้าด้วยกันเช่นอย่างละสองวันก็ได้

3. การออกกำลังกายข้างต้นไม่นับรวมกิจกรรมระดับเบาๆประจำวัน เช่นอาบน้ำ ล้างจาน ทำงานนั่งโต๊ะ หรือกิจกรรมที่ทำจบในระยะสั้นกว่า 10 นาทีเช่นเทขยะ เดินจากที่จอดรถไปห้องทำงาน

4. การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเช่นการเดินเร็ว ให้ถึงระดับหนักปานกลางซึ่งทราบได้จากหัวใจเต้นเร็วขึ้น อาจทำเป็นช่วงสั้น (short bouts) ครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 นาที หลายๆครั้ง แล้วนับรวมกันได้

5. นอกเหนือไปจากการออกกำลังกายข้างต้น แนะนำให้ออกกำลังกายแบบสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (muscle strengthening) ควบเข้าไปอีกสัปดาห์ละ 2 วันที่ไม่ต่อเนื่องกัน โดยแต่ละวันออก 10 ท่า แต่ละท่าให้ทำซ้ำ 12 ครั้ง แต่ละท่าต้องมีการใช้กล้ามเนื้อกลุ่มหลักๆ โดยให้ใช้น้ำหนักต้านสูงสุดเท่าที่จะทำซ้ำได้อย่างมาก 8-12 ครั้งก็ล้า ตัวอย่างของการออกกำลังกายแบบสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเช่นการยกน้ำหนัก การขึ้นบันได การทำกายบริหารเช่น sit up วิดพื้น เป็นต้น

6. เนื่องจากการออกกำลังกายยิ่งทำมากยิ่งได้ประโยชน์ (dose response) ผู้ที่หวังให้ร่างกายมีความฟิต ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง หรือป้องกันการเพิ่มน้ำหนัก หรือต้องการลดน้ำหนัก ควรออกกำลังกายให้มากกว่าปริมาณพื้นฐานที่แนะนำไว้นี้

7. ในกรณีอายุมมากกว่า 65 ปี แนะนำให้ออกกำลังกายเหมือนคนอายุ 18-65 ปี นั่นแหละ แต่เพิ่มการออกกำลังกายเพื่อธำรงความยืดหยุ่น (flexibility) และเสริมการทรงตัว เพิ่มขึ้นไปจากการออกกำลังกายแบบต่อเนื่องและแบบฝึกความแข็งแรงกล้ามเนื้อ

การกำหนดขนาด (dose) ของการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายมีสามองค์ประกอบ คือระดับความหนัก (intensity) ความยาวนานที่ออกแต่ละครั้ง (duration) และความถี่หรือจำนวนครั้งที่ออกในแต่ละสัปดาห์ (frequency)
ความหนักของการออกกำลังกาย (intensity) วัดได้จากปริมาณพลังงานที่ร่างกายใช้ไปขณะออกกำลังกาย ว่าใช้พลังงานไปเป็นกี่เท่าของพลังงานที่ร่างกายใช้ขณะพัก (Metabolic equivalent หรือ MET อ่านออกเสียงว่า “เม็ท”) ดังนั้น MET จึงเป็นหน่วยนับความหนักของการออกกำลังกาย ตัวอย่างของความหนักของการออกกำลังกายชนิดต่างๆ ได้แก่

กลุ่มที่ 1. การออกกำลังกายระดับเบา (ไม่เกิน 3.0 METs) เช่น เดินไปเดินมาที่บ้าน หรือที่ทำงาน ยืนทำงาน เช่นปูเตียง ล้างจาน รีดผ้า ปรุงอาหาร เล่นเครื่องดนตรี เล่นบิลเลียด ปาเป้า

กลุ่มที่ 2. การออกกำลังกายระดับหนักปานกลาง (3.0 – 6.0 METs) เช่น เดินด้วยความเร็ว 3 ไมล์หรือ 4.8 กม. ต่อชั่วโมง (3.3 METs) เดินเร็วมาก เดินเร็วมาก 4 ไมล์หรือ 6.4 กม. ต่อชั่วโมง (5.0 METs) ขัดหน้าต่าง ล้างรถ ถูพื้น ตัดหญ้า เต้นบอยรูมจังหวะช้า ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน

กลุ่มที่ 3. การออกกำลังกายระดับหนักมาก (>6.0 METs) เช่น เดินเร็วที่สุด 4.5 ไมล์หรือ 7.2 กม.ต่อชั่วโมง (6.3 METs)
เดินป่า ปีนเขา แบกเป้ จ๊อกกิ้ง 5 ไมล์หรือ 8 กม.ต่อชั่วโมง ปั่นจักรยานเร็ว แข่งกีฬา (8.0 METs)

เมื่อเอาค่า METs ตามความหนักของการออกกำลังกาย คูณด้วยความยาวนานเป็นนาทีที่ใช้ในการออกกำลังกายแต่ละครั้ง แล้วคูณด้วยความถี่ของจำนวนครั้งในสัปดาห์ ค่าที่ได้เรียกว่า MET-min/week ซึ่งเป็นตัวบอกจำนวนพลังงานทั้งหมดที่ใช้ไปในการออกกำลังกายต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ทุกคนควรออกกำลังกายให้ได้ 450 – 750 MET-min/week เป็นอย่างต่ำ แต่คนที่จะลดน้ำหนัก ต้องออกกำลังกายมากกว่าระดับนี้อีก 2-3 เท่า

การออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง (Aerobic exercise)

การออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง หรือแบบแอโรบิก หรือแบบคาร์ดิโอ หมายถึงการออกกำลังกายที่ลักษณะจำเพาะสองอย่างคือ

1. มีการออกแรงเนื่องกันไปไม่มีหยุด ความต่อเนื่องอย่างต่ำที่สุดคือแบบที่เรียกว่า short bout หรือแป๊บเดียว ต้องได้ 10 นาที เป็นอย่างน้อย แต่การออกกำลังกายแบบต่อเนื่องที่เป็นมารตรฐานแนะนำว่าควรมีความต่อเนื่อง 30 นาทีขึ้นไป

2. มีความหนักพอควร (moderate intensity) ซึ่งนิยามว่าหนักพอควรนี้คือต้องถึงขั้นเหนื่อยจนร้องเพลงไม่ได้ แต่ยังพอพูดได้ นั่นหมายความว่าต้องมีอาการหัวใจเต้นเร็วขึ้น หายใจเร็วขึ้นจนรู้สึกได้ชัดเจน ในระดับความหนักเท่านี้กล้ามเนื้อจะมีการเผาผลาญพลังงานแบบใช้ออกซิเจน จึงเป็นที่มาของคำว่าแอโรบิก ซึ่งหมายถึงการใช้ออกซิเจน

ตัวอย่างของการออกกำลังกายแบบนี้ก็เช่นการเดินเร็ว (brisk walk) การวิ่งเหยาะๆ (jogging) วิ่งบนสายพาน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ทั้งแบบอยู่กับที่และแบบจักรยานบนถนน การเต้นรำ การเล่นกีฬาต่างเช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล แบดมินตัน เทนนิสแบบน็อคโดยไม่แข่งขัน เป็นต้น สำหรับผู้อยู่ในที่ทำงาน การเดินขึ้นลงบันไดหลายๆชั้น โดยใช้เวลาสัก 10 นาที (เดินขึ้นได้ยี่สิบชั้นพอดีถ้าเดินช้าๆ) ก็เป็นวิธีออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ดี กล้ามเนื้อที่ใช้ออกกำลังกายแบบแอโรบิกนี้จะเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อไหนก็ได้ไม่เจาะจง แต่ก็ควรให้กล้ามเนื้อหลักๆขนาดใหญ่เช่นกล้ามเนื้อขาได้ออกแรงด้วยเสมอ

ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบแอโรบิกคือนอกจากจะเป็นการเผาผลาญแคลอรี่ที่ดีสำหรับผู้จะลดน้ำหนักแล้ว ยังเป็นการฝึกระบบหัวใจและหลอดเลือดให้ได้ทำงาน ทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดดี ทำให้หัวใจแข็งแรง

การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (strength training)

การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง (Strength Training) คือชนิดของการออกกำลังกายที่มุ่งเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแร็งของกล้ามเนื้อกลุ่มต่างๆของร่างกาย เรียกง่ายๆว่าคือการ “เล่นกล้าม” นั่นเอง มีหลักพื้นฐานว่าต้องให้กล้ามเนื้อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทีละกลุ่ม (specificity) ได้ออกแรงหนักๆ (overload) ซ้ำๆๆ (repetition) จนเปลี้ยหมดแรงไปเลย แล้วก็ให้พักอย่างน้อยสักวันหนึ่งพอให้ฟื้นตัว (recovery) ครั้งต่อไปก็พยายามให้กล้ามเนื้อนั้นได้ออกแรงเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก (progression) การฝึกความแข็งแรงนี้อาจใช้อุปกรณ์ช่วย เช่นดัมเบล สปริงยืด มีการออกแบบท่า (set) สำหรับแต่ละกลุ่มกล้ามเนื้อ ในการออกแรงต้องเป็นการเคลื่อนไหวแบบหนักแต่ช้าๆ เพื่อให้ตัวกล้ามเนื้อได้ออกแรงเต็มๆไม่ใช่อาศัยแรงเฉื่อยของการเคลื่อนไหวของอุปกรณ์ (no momentum) โดยการขยับแต่ละครั้งมุ่งเคลื่อนไหวไปจนสุดพิสัยการเคลื่อนไหวปกติของกล้ามเนื้อนั้น (full range of motion) ขณะที่ทำก็มีการผ่อนลมหายใจเข้าออกโดยไม่กลั้นหายใจ (no breath holding) และพยายามให้ท่าร่างขณะทำอยู่ในท่าที่ร่างกายได้ยืดอกผายไหล่ผึ่งหลังตรงพุงยุบไว้ให้มากที่สุด (posturing)

ในการเล่นกล้ามควรเริ่มต้นฝึกจากผู้เคยทำหรือจากภาพหรือวิดิโอตัวอย่าง นิยมกำหนดท่าเพื่อฝึกกล้ามเนื้อใหญ่ๆไปทีละกลุ่มรวม 8 กลุ่ม คือ

1. กล้ามเนื้อหน้าอก (Chest) ด้วยท่าเช่นนอนหงายยกหรือเหวี่ยงดัมเบล ดึงสปริงยืด วิดพื้น เป็นต้น

2. กล้ามเนื้อหลัง (Back) ด้วยท่าเช่นนอนคว่ำผงกหัวและเท้าให้หลังแอ่น กรรเชียงเรือ พายเรือ ยืดสปริงที่ถือไว้ข้างหลัง นอนหงายดึงดัมเบลขึ้นจากข้างหลัง เป็นต้น

3. กล้ามเนื้อไหล่ (Shoulder) ด้วยท่าเช่น ยกชูดัมเบลขึ้นเหนือศีรษะ ถือดัมเบลแล้วกางมืออ้าหุบ หมุนไหลโดยใช้สปริงยืด

4. กล้ามเนื้อหน้าแขน (Biceps) ด้วยท่าเช่นยกดัมเบลพร้อมกับงอศอก ดึงสายยืดพร้อมกับงอศอก

5. กล้ามเนื้อหลังแขน (Triceps) ด้วยท่าเช่นดึงสปริงขึ้นเหนือศีรษะจากข้างหลัง น้าวศรยิงธนู โน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมกับชูดัมเบลไปข้างหลัง เป็นต้น

6. กล้ามเนื้อหน้าขา (Quadriceps) ด้วยท่าเช่นค่อยๆนั่งยองๆแล้วค่อยๆลุก หรือท่านั่งเหยียดขาตีน้ำ เป็นต้น

7. กล้ามเนื้อหลังขา (Hamstring) ด้วยท่าเช่นนอนหงายชันเข่าแล้วกระดกก้นพ้นพื้น (hamstring curl) เป็นต้น

8. กล้ามเนื้อหน้าท้อง (Abs) ด้วยท่าเช่น ท่า sit up ท่านอนหงายผงกศีรษะ นอนหงายเหยียดเท้าแล้วยกขึ้น เป็นต้น

งานวิจัยพบว่าการเล่นกล้ามช่วยลดน้ำหนักและลดพุง ลดไขมัน ได้มาก เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้ในร่างกาย ช่วยป้องกันและรักษาโรคเบาหวานเนื่องจากกล้ามเนื้อช่วยเผาผลาญกลูโคสได้มากขึ้น ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุนเนื่องจากการเล่นกล้ามก่อแรงกระทำต่อกระดูก เป็นการกระตุ้นให้มีการเสริมแคลเซี่ยมให้กระดูก นอกจากนี้ผลพลอยได้คือทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ทรงตัวได้ง่าย รับแรงแทนข้อได้ทำให้ปวดข้อน้อยลง สามารถทำกิจกรรมที่เพิ่มคุณภาพชีวิตเช่น เดินป่า ปีนเขา เล่นสกี ได้

ตอนที่ 4. องค์ประกอบด้านจิตใจของการลดน้ำหนัก

เอาไว้ต่อคราวหน้าครับ
[อ่านต่อ...]

20 ธันวาคม 2553

นมจืดไขมัน 0%

นมจืดไขมัน 0% มีประโยชน์เหมือนนมจืดทั่วไปหรือเปล่าคะ แล้วควรดื่มนมตอนเช้าหรือก่อนนอนถึงจะดีกว่ากันคะ ขอบคุณมากค่ะ

………………………………………………………

ตอบครับ

1. นมจืดไร้ไขมัน (0%) มีโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ เหมือนกับนมจืดทั่วไป (whole milk) แต่มีไขมันต่ำกว่า คือมีโคเลสเตอรอลเพียง 5 กรัม/240 มล. ขณะที่นมจืดทั่วไปมีโคเลสเตอรอลถึง 35 กรัม/ 240 มล. เนื่องจากมีไขมันน้อย การดื่มนมไร้ไขมันจึงทำให้ร่างกายได้รับแคลอรี่น้อยคือ 80 แคลอรี่/240 มล. ขณะที่นมจืดทั่วไปได้ 150 แคลอรี่/240 มล.

2. ปัญหาของคนไทยทุกวันนี้คือการได้รับแคลอรี่มากเกินไป แต่ได้รับสารอาหารอื่นเช่นโปรตีน วิตามิน เกลือแร่น้อยเกินไป ดังนั้นคนไทยทุกคนที่พ้นวัยเด็กดูดนมแล้ว ควรดื่มนมไร้ไขมันแทนนมจืดทั่วไปจะดีที่สุด

3. นมแต่งรสหวาน (sweetened whole milk) ก็คือนมจืดทั่วไปแล้วใส่น้ำตาลเพิ่มไปอีกราว 9 กรัม/240 มล. ทำให้ได้แคลอรี่เพิ่มสูงถึงระดับ 186 แคลอรี่/240 มล. ซึ่งไม่ดี

4. เมืองไทยรู้สึกจะเป็นเมืองเดียวที่คนชอบกินอะไรที่หวานไปหมดแม้แต่นมก็ยังต้องหวานเลย คนไทยขาดน้ำตาลไม่ได้อะไรๆก็ไส่น้ำตาล น้ำตาลที่ใส่เข้ามาในอาหารนี้เรียกว่า added sugar ซึ่งเป็นศัตรูทางโภชนาการหมายเลขสองของมนุษยชาติปัจจุบัน ในปีนี้ USDA สหรัฐได้ออกคำแนะนำโภชนาการ 2010 ที่มีสาระสำคัญให้ช่วยกันกำจัดศัตรูทางโภชนาการ 2 อย่าง เรียกให้จำง่ายๆว่า SoFAS โดยที่ศัตรูหมายเลขหนึ่งคือ SoF ซึ่งย่อมาจาก solid fat คือไขมันผง หรือไขมันทรานส์ (trans fat) ที่ใช้ทำครีมเทียม เนยเทียม ขนมกรุบกรอบ เค้ก คุ้กกี้ ซึ่งจัดเป็นตัวอันตรายสูงสุดคือให้ทั้งแคลอรี่มากและทั้งเพิ่มไขมันเลว (LDL) ในเลือด ศัตรูหมายเลขสองคือ AS ซึ่งย่อมาจาก added sugar หรือน้ำตาลที่ใส่เข้ามาในสาระพัดอาหารเนี่ยแหละ

5. เกือบลืมตอบอีกคำถามหนึ่ง การดื่มนมดื่มตอนไหนก็ได้ไม่มีกฎหมายห้าม และไม่มีหลักฐานการวิจัยในคนว่าการดื่มนมตอนไหนดีกว่าตอนไหน เพียงแต่หากจะคิดคาดการเอาตามทฤษฏีแล้ว เนื่องจากนมเป็นอาหารที่ให้แคลอรี่สูง การดื่มตอนกลางวันร่างกายย่อมจะได้ใช้แคลอรี่ไปเผาผลาญเป็นพลังงาน จึงน่าจะดีกว่าการดื่มตอนกลางคืนโดยเฉพาะก่อนนอนซี่งร่างกายไม่ได้ใช้แคลอรี่ไปทำอะไรแล้ว ได้แต่เก็บสะสมเป็นเป็นไขมันเข้าพุงเป็นส่วนใหญ่

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

19 ธันวาคม 2553

น้ำนมไหลโดยไม่ได้ตั้งครรภ์(อายุน้อย)

มันมีน้ำนมไหลออกมาออกมานิดเดียวแล้วก็หายไปค่ะ อายุ18 เคยมีอะไรกับแฟน แต่ก็มีประจำเดือนตมปกติ ไม่เคยกินยาคุม หรือฉีดยา หรือกินยาประเภทอื่น จะเป็นอะไรมั้ยคะ เคยไปหาข้อมูลจากหลายๆเว็บ เค้าบอกว่าอาจเป็นเนื้องอกในสมอง หรือไม่ก็มะเร็ง หรืออาจจะท้องรึป่าวคะ สุขภาพทั่วไปก็มีอาการปวดท้องเวลามีประจำเดือน เป็นไมเกรนบ่อยๆ เป็นภูมิแพ้ ช่วยวิเคราะห์ให้หน่อย ยังไม่กล้าไปตรวจน่ะค่ะ

.................................

ตอบครับ

1. กรณีของคุณซึ่งมีประจำเดือนมาปกติ แสดงว่าไม่ได้ตั้งครรภ์

2. ประมาณว่าผู้หญิงที่เป็นแบบคุณนี้ คือมีน้ำนมไหลโดยไม่ได้ตั้งครรภ์ (Galactorrhea) มีอยู่ถึง 20-25% ของผู้หญิงทั้งหมด การที่น้ำนมคนเราจะไหลออกมาได้ ต้องมีฮอร์โมนสามตัวมาทำงานร่วมกัน คือเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และโปรแลคติน ตัวโปรแลคตินนี้ผลิตโดยต่อมใต้สมอง ซึ่งจะถูกกระตุ้นให้ผลิตด้วยเหตุง่ายๆเช่น

2.1 เครียด
2.2 มีใครมาดูดหัวนมหรือกระตุ้นเต้านมหรือหน้าอกเช่นใส่บราเซียรัด
2.3 มีเพศสัมพันธ์
2.4 กินยาบางชนิดเช่นยากล่อมประสาท ยาแก้ซึมเศร้า ยาคุมกำเนิด สมุนไพร เป็นต้น
2.5 ร่างกายขาดน้ำ
2.6 การออกกำลังกาย
2.7 หรือแม้กระทั่งการนอนหลับเฉยๆก็กระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่งโปรแลคตินได้

คนส่วนใหญ่ที่มีน้ำนมไหลมักเกิดจากเหตุธรรมดาๆเหล่านี้ ดังนั้นแนะนำว่าตอนนี้คุณยังไม่ต้องรีบทำอะไร เพียงแค่ดูเชิงไปก่อน 3 เดือน ในระหว่างนี้ให้งดยา งดสมุนไพร ดื่มน้ำวันละอย่างน้อย 2 ลิตร อย่าใส่เสื้อคับหรือบราคับ แต่ยังออกกำลังกายและนอนหลับให้พอได้ตามปกติ

3. ถ้าหลังจากสังเกตอาการไป 3 เดือนแล้วอาการยังคงไม่หาย ค่อยไปหาหมอ เพื่อให้หมอเอาน้ำนั้นมาตรวจดูว่าเป็นน้ำนมจริงหรือเป็นน้ำเหลือง หรือเป็นเลือด และหมอจะวินิจฉัยแยกสาเหตุจากเรื่องอื่นที่ไม่ธรรมดา เช่น มีเนื้องอกที่ปล่อยฮอร์โมนโปรแลคตินหรือเปล่า ซึ่งอาจจะเป็นเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองเองหรือที่อวัยวะอื่นเช่น ปอด ไต ต่อมน้ำเหลือง มดลูก หรือมีสาเหตุจากโรคเรื้อรังเช่นวัณโรค โรคไต โรคไฮโปไทรอยด์ โรคต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ (Cushing disease) เป็นต้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Kleinberg DL, Noel GL, Frantz AG. Galactorrhea: a study of 235 cases, including 48 with pituitary tumors]. N Engl J Med. 1977;296:589–99.
[อ่านต่อ...]

18 ธันวาคม 2553

คุณหมอช่วยแปลผล Cr ของคุณแม่ซึ่งเป็นโรคไต

ขอรบกวนคุณหมอปรึกษาเรื่องผลตรวจเลือดของคุณแม่นะครับ
ผลการตรวจเลือด 4 ครั้งได้ผล Cr. เป็นดังนี้
พ.ค.51 = 0.9
มิ.ย.52 = 1.1
เม.ย.53 = 1.26
ต.ค.53 = 1.11
จากสูตรคำนวณ GFR ที่ผมลองหาใน internet จากค่า Cr.ล่าสุด จะได้ GFR = 52 ซึ่งเท่ากับ Stage 3
ปัจจุบันคุณแม่อายุ 68 ปี ครับ
ผมขอรบกวนถามดังนี้
1. ความสัมพันธ์ของค่า Cr และ GFR กับอายุของคุณแม่ถือเป็นเรื่องปกติหรือไม่ครับ
2.จากข้อมูลนี้คุณหมอคาดว่าไตจะเสื่อมมากขึ้นในอัตราเร็วหรือช้าครับ
3. ตามปกติแล้วค่า norm ของ Cr ควรอยู่ที่เท่าไหร่กันแน่ครับ ผมเคยเห็นของ รพ.รัฐแห่งหนึ่งบอกว่า 0.6-2.0 mg% รพ.เอกชนอีกแห่งหนึ่งบอก 0.5-1.5mg/dl (ผมเดาว่า mg% = mg/dl)
4. คุณแม่เคย ultrasound และ X-ray ช่องท้อง + กินแป้ง เมื่อปีที่แล้ว เพื่อดูว่ามีนิ่วในทางเดินปัสสาวะหรือไม่ (ผลตรวจไม่พบนิ่ว) เพราะผลตรวจปัสสาวะมี Blood 4+ และมี RBC 5-10 (ซึ่งต่อมาอีก 3 เดือน ตรวจซ้ำพบว่ามี Blood 3+ และ RBC 0-5) แต่ไม่พบ Protien ครับ โดยคุณหมอวินิจฉัยว่าคุณแม่มีไตข้างขวาโตกว่าข้างซ้ายเล็กน้อย ซึ่งเป็นสาเหตุให้พบ Blood และ RBC ได้ และฟันธงว่า "ปกติ" อยากทราบความเห็นจากคุณหมอท่านอื่นบ้างว่าการที่ไตโตไม่เท่ากันทำให้เกิดผลปัสสาวะแบบนี้ และปกติหรือไม่ครับ
ขอบพระคุณอย่างสูง

......................................

ตอบครับ

1. การคำนวณ GFR ต้องมีน้ำหนักตัวด้วย คุณไม่ได้ให้มาด้วย สมมุติว่าน้ำหนักตัวคุณแม่คือ 70 กก. นั่นหมายความว่า GFR ของคุณแม่ลดจาก 66 ซีซี.ในปี 2551 เหลือ 54 ซีซี.ในปี 2553 หรือมีอัตราเสื่อมลง 6 ซีซี.ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นอัตราเสื่อมที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ (สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยแนะนำว่าถ้าอัตราเสื่อมของ GFR เร็วกว่าปีละ 7 ซีซี.ต่อปีถือว่าเสื่อมเร็วเกินไป ควรไปพบหมอไตเพื่อหาสาเหตุและแก้ไข)

2. ในอนาคตไตจะเสื่อมเร็วหรือช้า อันนี้ก็อยู่ที่การดูแลปฏิบัติตัวแน่นอนครับ ซึ่งมีประเด็นสำคัญอยู่ที่

2.1 ต้องระวังสุดชีวิตไม่ให้ความดันเลือดสูงเกิน 130/80 เพราะความดันสูงเมื่อไร ไตไปเมื่อนั้น

2.2 ถ้าเป็นเบาหวานต้องรักษาตัวให้น้ำตาลหลังอดอาหารต่ำกว่า 130 ไว้เสมอ

2.3 หลีกเลี่ยงสารพิษต่อไต ได้แก่ยาแก้ปวดแก้อักเสบ (NSAID) ยาปฏิชีวนะพวก aminoglycoside สมุนไพรต่างๆโดยเฉพาะสมุนไพรจีนบางชนิดทำให้ไตพังได้ง่ายจนพวกฝรั่งเข็ดขยาดกันไปหมดแล้ว

2.4 เวลาหมอเขาจะฉีดสารทึบรังสีเพื่อตรวจพิเศษทางเอ็กซเรย์ต่างๆต้องบอกว่าไม่เอาไว้ก่อน ยกเว้นถ้าไม่ฉีดหมอเขาจะรักษาโรคที่กำลังจะทำให้เราตายไม่ได้จึงค่อยยอมฉีด เพราะสารพวกนี้มีพิษต่อไตมาก

2.5 โภชนาการต้องไม่เค็ม ต้องได้แคลอรี่มากพอ(30-35 แคลอรี่ต่อกก.ต่อวัน) และได้โปรตีนพอดี (0.6-0.8 กรัมต่อกก.ต่อวัน) ถ้าโปรตีนมากเกินไปไตก็เสื่อมเร็ว แต่ถ้าน้อยเกินไปก็ขาดอาหาร

2.6 อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ดื่มน้ำวันละไม่น้อยกว่าสองลิตร อย่าฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดว่าเป็นโรคไตแล้วต้องจำกัดน้ำจะยิ่งทำให้ไตพังเร็วขึ้น การจำกัดน้ำในโรคไตจะทำเฉพาะในระยะสุดท้ายเมื่อบวมอลึ่งฉึ่งแล้วเท่านั้น

2.7 ทานผักผลไม้ให้มาก อย่าจำกัดอาหารผักผลไม้ที่ให้โปตัสเซียมจนขาดวิตามิน เพราะการจำกัดอาหารที่มีโปตัสเซียมสูงจะทำก็ต่อเมื่อระยะสุดท้ายของโรคที่มีโปตัสเซียมในเลือดสูงเกินพอดีเท่านั้น ระยะนั้นเป็นระยะที่ต้องล้างไตแล้ว

2.8 ต้องออกกำลังกายให้หนักพอควรต่อเนื่องครั้งละครึ่งชั่วโมงทุกวัน อย่าเข้าใจผิดว่าไตไม่ดีแล้วหมอห้ามออกกำลังกาย เลยตายด้วยโรคไขมันจุกหลอดเลือดหัวใจเสียเลย อย่าลืมว่าคนเป็นโรคไตมักไม่ได้ตายด้วยโรคไต แต่ตายด้วยโรคหัวใจ

2.9 ควรไปตรวจภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี. ถ้ายังไม่มีภูมิก็ฉีดวัคซีนเสีย และควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้งทุกปี นอกจากนี้เนื่องจากคุณแม่อายุเกิน 65 แล้วก็ควรฉีดวัคซีนป้องกันปอดบวมเสียด้วย ทั้งสามโรคที่ว่ามานี้ถ้าคนเป็นไตเรื้อรังเป็นขึ้นมาละก็..หนักนะครับ

3. ค่าปกติของ Cr ในผู้ใหญ่คือผู้ชาย 0.6-1.2 mg/dl หญิงคือ 0.5-1.1 mg/dl (mg/dl = mg%) แล็บไหนที่ตั้งค่าปกติของ Cr ไว้ถึง 2 mg/dl แล็บนั้นคงเพี้ยนไปแล้วละครับ ถ้าไม่เป็นเพราะไปเอาใบรายงานผลแล็บสมัยสามสิบปีที่แล้วซึ่งพิมพ์ไว้แยะแล้วใช้ไม่หมดมาใช้ ก็คงเป็นเพราะทีมงานแล็บนั้นคงหลับยาวไปหลายสิบปีแบบ Rip Van Winkle แล้วเพิ่งตื่นขึ้นมาทำงานต่อ (คือสมัยก่อนในอดีตอันไกลโพ้นแล็บมีค่าความคลาดเคลื่อนมาก จึงตั้งค่าปกติให้กว้างไว้ถึง 2.5 mg/dl แต่มันคนละเรื่องกับสมัยนี้ซึ่งแล็บใช้วิธีเอ็นไซมาติกมีความแม่นยำสูงมาก ถ้าคนไข้มี Cr แค่ 1.2 หมอก็เต้นแล้ว) อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้สมาคมโรคไตทั่วโลกรวมทั้งสมาคมโรคไตประเทศไทยได้หันมาใช้ค่า GFR หรือ eGFR ในการบอกการทำงานของไตแทนค่า Cr เพราะมีตีความหมายในเชิงป้องกันโรคได้ง่ายกว่า ดังนั้นแล็บที่ดีควรรายงานค่า eGFR มาด้วยทุกครั้ง

4. การที่ไตมีขนาดโตไม่เท่ากันสองข้างเป็นเรื่องที่ปกติได้ (normal variation) แต่เป็นคนละเรื่องกับการมีเลือดออกในปัสสาวะ ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติอย่างแน่นอนชัวร์ป้าด กรณีของคุณแม่คุณซึ่งมีเลือดออกในปัสสาวะแต่ไม่มีโปรตีนออกมา บอกได้ว่าการทำงานของตัวกรองยังดีอยู่ สาเหตุของเลือดออกอาจเกิดจาก
4.1 โรคถุงน้ำหลายใบที่ไตหรือ polycystic kidney
4.2 ทางเดินน้ำปัสสาวะอักเสบหรือ UTI
4.4 มีอะไรอุดกั้นทางเดินปัสสาวะเช่นนิ่ว
4.4 มะเร็งกระเพาะปัสสาวะหรือมะเร็งของไต
4.5 ภาวะเลือดออกง่ายซึ่งแตกย่อยยุบยิบยับได้เป็นร้อยๆโรค
4.6 โรคพิสดารที่ทำให้แคลเซี่ยมออกมาในปัสสาวะมาก เช่น primary hyperparathyroidism

ในบรรดาโรคทั้งหลายที่กล่าวมานี้ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะเป็นอะไรที่ลอดหูลอดตาแพทย์ได้ง่ายที่สุดและอันตรายที่สุด จำเป็นต้องวินิจฉัยแยกว่ามีหรือไม่มีให้ได้ด้วยการให้แพทย์ทางเดินปัสสาวะ (urologist) ส่องกล้องเข้าไปดูในกระเพาะปัสสาวะ (cystoscopy) เพื่อความชัวร์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Adrian O. Hosten. Chapter 193BUN and Creatinine. in Clinical Methods: The History, Physical, and Laboratory Examinations. 3rd edition.Walker HK, Hall WD, Hurst JW, editors. Boston: Butterworths; 1990.
[อ่านต่อ...]

17 ธันวาคม 2553

ชีวิต คือการบริหารความเสี่ยง

อายุ 25 ปี กำลังจะแต่งงานค่ะ เลยให้ไปตรวจหาเชื้อเอดส์ที่รพ.พญาไท 2 กับแฟน ผลออกมาลบทั้งคู่ แต่ไม่ค่อยแน่ใจแฟนค่ะ เพราะเค้าเป้นคนเจ้าชู้มาก คือ แฟนขอมีอะไรด้วยนานแล้วแต่ดิฉันก็ไม่ยอม จนเลยมาหมั้นกันแล้ว เค้าบ่นว่าจะแต่งอยู่แล้วยังไม่ยอมให้มีอะไรด้วย ดิฉันเลยขอให้เค้าใส่ถุงยางอนามัยไปก่อน เค้าก็ไม่ยอม หาว่าเรื่องมาก ไปเจาะเลือดตรวจก็แล้ว ดิฉันยังเรื่องมาก ที่กลุ้มใจเพราะเมื่อเดือนที่แล้วเค้าขอว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน ดิฉันนั่งนับวันประมาณ 1 เดือน 8 วัน เลยอ้างให้เขาไปตรวจเลือดด้วย แบบนี้จะทำอย่างไรดีค่ะ

………………………………………..

ตอบครับ

1. ถามว่าผลการตรวจ HIV ด้วยวิธี 4th generation test ที่ 38 วันหลังการมีเพศสัมพันธ์ ถือว่ามั่นใจได้ไหม ตอบว่ามั่นใจได้ครับว่าปลอดภัยอย่างมีเหตุผล (reasonably safe) เพราะค่าเฉลี่ย window period ของการตรวจแบบ 4th generation นี้ถ้าเป็นผลวิจัยของบริษัทแล็บจะอยู่ที่ 22-25 วันเท่านั้นเอง แต่แพทย์นิยมแนะนำตัวเลข 1 เดือนบ้าง 6 สัปดาห์บ้าง สุดแล้วแต่ใครจะอ้างงานวิจัยชิ้นไหน สำหรับผมเห็นว่าถ้าเกิน 1 เดือนก็ถือว่ามั่นใจได้แล้ว ทั้งนี้โดยต้องยอมรับก่อนว่าโลกนี้ไม่มีอะไร 100% นะครับ แม้จะนานพ้น 6 เดือนซึ่งเป็น window period ที่ใช้อ้างอิงกันในศาลก็ยังไม่ 100% เนื่องจาก 100% ในชีวิตจริงไม่มีในทางการแพทย์

2. ถามว่าคู่หมั้นขอมีเอ็กซ์ด้วย แต่ตัวเรายังกังวลเรื่องความปลอดภัยจากเอดส์ จะทำอย่างไรดี ตอบว่าชีวิตก็คือการบริหารความเสี่ยงนะครับ การตัดสินใจทุกทางเลือกมีเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงติดมาด้วยเสมอ แต่เราจะตัดสินใจเลือกทางที่มีเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงน้อยจนสมเหตุสมผลที่จะเลือก ที่คุณเลือกเขาเป็นแฟนในช่วงที่ผ่านมา คุณก็ใช้หลักเดียวกันนี้ เขามีข้อเสียที่เจ้าชู้ แต่ก็มีข้อดีที่ในภาพรวมแล้วคุ้มความเสี่ยงที่จะเลือกเขาเป็นคู่ชีวิต ในประเด็นความเสี่ยงของโรคเอดส์หากจะมีอะไรกัน ณ วันนี้ จากข้อมูลที่ให้มา ผมมีความเห็นว่าความเสี่ยงมีน้อยมาก ขณะที่ประโยชน์ที่จะได้จากการมีอะไรกันนั้นมากกว่า ดังนั้นถ้าผมเป็นคุณ ผมจะโอเค.นะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

16 ธันวาคม 2553

บิ๊กอายคอนแทคเลนส์ ยอมบอด ไม่ยอมเฉิ่ม


เนื่องจากวัยรุ่นไทยนิยมใส่คอนเทคเลนส์ แบบบิ๊กอาย เป็นจำนวนมากจึงทำให้เกิดโรคที่มากับวัยรุ่น ??
ดิฉันจึงอยากจะสอบถามโรคที่มากับการใส่คอนเทคเลนส์ และวิธีดูแลรักษาโรค
ขอให้คุณหมอช่วยตอบแบบละเอียดหน่อยนะคะ

ขอบพระคุณคุณหมอมากคะ
........................................................................

ตอบครับ

ภาวะแทรกซ้อนจากคอนแทคเลนส์เกิดได้หลายอย่าง ดังนี้

1. คอนแทคเลนส์ทำให้เกิดความผิดปกติต่อองค์ประกอบของฟิลม์น้ำตาที่เคลือบแก้วตา (tear film) ซึ่งเป็นตัวให้ความชื้น ให้ออกซิเจน และขนส่งโปรตีนภูมิคุ้มกันการติดเชื้อมาให้แก่เซลบุแก้วตา เมื่อองค์ประกอบของฟิลม์น้ำตานี้เสียไป เยื่อบุแก้วตาก็ขาดออกซิเจนง่าย บาดเจ็บ และติดเชื้อง่าย การติดเชื้อบักเตรีที่แก้วตา (keratitis) เกิดได้ 1 ใน 2,500 คนที่ใส่คอนแทคตอนกลางวัน และเกิด 1 ใน 500 คนที่ใส่คอนแทคนอนหลับด้วย อาการติดเชื้อมักเป็นทันที เมื่อเกิดแล้วเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเชื้อแรงๆเช่น Pseudomonas aeruginosa มีอาการปวดตา แพ้แสง ตาแดง ตามัว อาจจบลงด้วยแก้วตาขุ่น เสียแก้วตา ตาบอด หากการติดเชื้อลุกลามมาก อาจจบลงด้วยการต้องควักลูกตา

2. การติดเชื้อที่รุนแรงอีกกรณีหนึ่งคือติดเชื้ออะมีบา (acanthamoeba keratitis) ซึ่งอยู่ตามพื้นดินหรือที่สกปรก แล้วมาสู่คอนแทคเลนส์ผ่านทางน้ำก๊อก มักค่อยๆมีอาการน้อยๆก่อนแล้วแรงขึ้นๆ ดังรูปที่ผมเอาลงให้ดูนี้ รักษายากมาก ต้องรักษานานหลายเดือน บางทีก็ไม่หาย ทำให้ต้องผ่าตัดเอาส่วนที่ติดเชื้อออก ซึ่งอาจหมายถึงการควักลูกตาทั้งอันเช่นกัน

3. คอนแทคเลนส์ทำให้เกิดเยื่อใต้หนังตาอักเสบ (giant papillary conjunctivitis) เนื่องจากเลนส์เป็นสิ่งแปลกปลอมที่ระคายเคืองเนื้อเยื่อรอบๆ

4. ทำให้หนังตาตกหรือหนังตาหรุบเนื่องจากตัวเลนส์เองขวางการขยับหนังตา หรือจากเกิดพังผืดขึ้นที่หนังตา

5. ทำให้เกิดอักเสบจากการแพ้ (contact dermatitis) ขึ้นกับตาขาว ซึ่งเป็น 1-3% ของผู้ใช้คอนแทคเลนส์ บางครั้งก็เกิดการอักเสบที่ขอบแก้วตา เรียกว่า contact lens induced superior limbic keratoconjunctivitis (CL-SLK) ทำให้แสบ แพ้แสง การมองเห็นพร่า สารเคมีที่ใช้กับคอนแทคเลนส์เองก็อาจกัดกร่อนเซลบุแก้วตา ทำให้เกิดการอักเสบได้

6. ตัวเลนส์อาจขีดข่วนเยื่อบุแก้วตา ทำให้แก้วตาถลอก (cornea abrasion) ซึ่งเป็นต้นเหตุอีกอย่างหนึ่งของการติดเชื้อที่อาจลุกลามรุนแรง

จะเห็นว่าคอนแทคเลนส์นี้อันที่จริงแล้วมีปัญหามาก สถิติในอเมริการะบุว่าการติดเชื้อผ่านคอนแทคเลนส์เพิ่มจำนวนมากขึ้นใน 5 ปีที่ผ่านมา งานวิจัยพบว่าประมาณ 25% ของผู้ใช้คอนแทคเลนส์ไม่ได้ล้างมือก่อนจับเลนส์ทุกครั้ง และ 12% ไม่เคยล้างมือก่อนจับเลนส์เลย อีกประมาณ 40-80% ของผู้ใช้ไม่ได้ใส่ใจทำตามคำแนะนำของการใช้คอนแทคเลนส์อย่างถูกต้องทุกประเด็น บางคนใช้คอนแทคมานานหลายปีเมื่อไม่เห็นมีปัญหาอะไรก็ย่ามใจไม่สนใจเรื่องความสะอาดแล้วจบลงด้วยการสูญเสียการมองเห็นในที่สุด คนที่รู้จริงมักกลัวคอนแทคเลนส์ เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นจักษุแพทย์ เขามาบ่นกลุ้มอกกลุ้มใจให้ผมฟังเมื่อลูกสาวซึ่งสายตาสั้นใส่แว่นหนาเตอะรบจะใส่คอนแทคเลนส์ให้ได้เเพราะอายเพื่อน คือหมอตาเองนั้นกลัวคอนแทคเลนส์กันเป็นส่วนใหญ่ แต่เด็กสาวๆจำนวนมากที่ไม่ได้สายตาสั้นอะไรกับเขาเลยกลับไปเสาะหาคอนแทคเลนส์เกาหลีราคาถูกอันละสองสามร้อยมาใส่เพื่อให้ตาโตโดยไม่เห็นกลัวอะไรเลย การให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตัวเองมากกว่ากลัวตาบอดของเด็กสาวสมัยนี้ที่ผมได้ยินมากับหูคือลูกสาวของเพื่อนอีกคนหนึ่ง เธอใส่คอนแทคเลนส์แล้ววันหนึ่งเกิดตาอักเสบ แสบตา แต่ว่าเย็นนั้นต้องไปงานปาร์ตี้ คุณแม่ก็บอกว่าให้ใส่แว่นแทนเถอะเพราะตากำลังอักเสบอย่าใส่คอนแทคเลย แต่เธอก็ไม่ยอม งานนี้งานสำคัญยังไงต้องใส่คอนแทคไปให้ได้ เรียกว่าเอาเท่ไว้ก่อน บอดได้เป็นบอด..เอากับเธอสิ

สำหรับเด็กสาวที่ยอมบอดไม่ยอมเฉิ่มอย่างนี้ คำแนะนำการใช้คอนแทคเลนส์ต่อไปนี้อาจจะมีประโยชน์สำหรับพวกเธอบ้าง

1. ล้างมือทั้งสองข้างด้วยสบู่และน้ำอุ่นแล้วเช็ดมือให้แห้งทุกครั้งก่อนจับคอนแทคเลนส์ เพราะสบู่หรือสารเคมีที่ติดมือหากติดไปถึงคอนแทคเลนส์จะทำให้ระคายเคือง ปวด และตาพร่าได้ เวลาล้างให้วางคอนแทคเลนส์บนอุ้งมือแล้วใช้นิ้วชี้ถูเอาคราบลื่นๆที่เกาะอยู่ออกจากเลนส์จนเกลี้ยง

2. สวมและถอดคอนแทคเลนส์ตามเวลาที่แพทย์สั่ง ในกรณีที่ซื้อมาใส่เองเพื่อความสวยงาม ไม่ควรใส่ติดต่อกันนานหลายชั่วโมง และห้ามใส่นอนหลับเด็ดขาด เว้นเสียแต่ว่าหมอจะอนุญาตให้ใช้เลนส์ชนิด extended wear เท่านั้น เพราะช่วงหลับตาน้ำตาจะหยุดไหลเคลือบแก้วตาทำให้เลนส์แห้งและติดแน่นกับผิวแก้วตา แก้วตาถลอกได้

3. ตลับเก็บคอนแทคเลนส์ก็ต้องทำความสะอาดตามคำแนะนำของผู้ผลิตด้วยน้ำยาที่ผู้ผลิตให้อย่างเข้มงวด แล้วปล่อยให้แห้งก่อนใช้ทุกครั้ง

4. ห้ามใช้น้ำก๊อกล้างคอนแทคเลนส์เด็ดขาด เพราะเชื้ออะมีบาจะมากับน้ำก๊อกได้ ทั้งความเป็นกรดของน้ำประปาจะทำให้ผิวเลนส์เสียหาย น้ำธรรมดาแม้จะสะอาดก็ใช้ไม่ได้ ให้ใช้ได้แต่น้ำยาที่ผู้ผลิตคอนแทคเลนส์แนะนำให้ใช้เท่านั้น

5. เมื่อใดก็ตามที่มีอาการผิดปกติทางตา เช่นแสบตา ตาแดง แพ้แสง น้ำตาไหลมาก ตาพร่า ให้เอาคอนแทคเลนส์ออกแล้วไปให้หมอตาตรวจตาดูทันที

6. อย่าแลกใส่คอนแทกเลนส์กับเพื่อน เพราะวิธีนั้นเป็นวิธีแพร่เชื่อระหว่างคนที่ดีที่สุด

7. คนใส่คอนแทคเลนส์ต้องมีแว่นกันแดดเพื่อลดอาการแพ้แสง และต้องมีน้ำตาเทียมหรือน้ำเกลือคอยหล่อลื่นไม่ให้ตาแห้ง

8. ใส่คอนแทคเลนส์ให้เรียบร้อยก่อนแต่งหน้า เพื่อป้องกันแป้งทาหน้าติดไปกับผิวเลนส์ตอนใส่เลนส์

9. ต้องระวังไม่ให้ปากขวดใส่น้ำยาแช่คอนแทคเลนส์ไปสัมผัสกับอะไรอย่างอื่นรวมทั้งมือของเราเอง เพราะจะทำให้ปากขวดติดเชื้อแล้วเชื้อลามลงไปถึงน้ำยาแช่เลนส์ได้

10. ถ้าจะซื้อคอนแทคเลนส์เพื่อความสวยงาม (บิ๊กอาย) ต้องเลือกซื้อของผู้ผลิตที่ไว้ใจได้ อย่าสักแต่พอโฆษณาว่าเป็นบิ๊กอายเกาหลีก็เอาหมด ดูวันหมดอายุด้วย อย่าใช้เลนส์ที่แห้งหรือแข็งเสียรูปทรง เลนส์ราคาถูกมักเคลือบสารเคมีรวมทั้งสารกันบูดไว้ด้วย ก่อนใช้ต้องนำมาแช่ในน้ำยาทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างให้สะอาด

11. อย่าไว้เล็บยาวหรือต่อเล็บ เพราะในการใส่และถอด เลนส์จะมีโอกาสเสียหายหรือมีรอยขีดข่วนจากเล็บมือได้ง่าย ยังไม่นับ “ขี้เล็บ” จะเป็นที่สะสมของเชื้อโรคที่จะแพร่ไปสู่คอนแทคเลนส์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Sorbara L, Jones L, Williams-Lyn D. Contact lens induced papillary conjunctivitis with silicone hydrogel lenses. Cont Lens Anterior Eye. Apr 2009;32(2):93-6.
2. Joslin CE, Tu EY, McMahon TT, et al. Epidemiological characteristics of a Chicago-area Acanthamoeba keratitis outbreak. Am J Ophthalmol. Aug 2006;142(2):212-7.
3. Ebrahimi KB, Green WR, Grebe R, Jun AS. Acanthamoeba sclerokeratitis. Graefes Arch Clin Exp Ophthalmol. Feb 2009;247(2):283-6.
4. Macsai MS, Varley GA, Krachmer JH. Development of keratoconus after contact lens wear. Patient characteristics. Arch Ophthalmol. Apr 1990;108(4):534-8.
5. Alfonso E, Mandelbaum S, Fox MJ, Forster RK. Ulcerative keratitis associated with contact lens wear. Am J Ophthalmol. Apr 15 1986;101(4):429-33.
6. Allansmith MR, Korb DR, Greiner JV. Giant papillary conjunctivitis induced by hard or soft contact lens wear: quantitative histology. Ophthalmology. Aug 1978;85(8):766-78.
7. Cheng KH, Leung SL, Hoekman HW, et al. Incidence of contact-lens-associated microbial keratitis and its related morbidity. Lancet. Jul 17 1999;354(9174):181-5
[อ่านต่อ...]

ถูกรุ่นพี่บังคับทั้งที่ไม่ได้เป็นเกย์ หดหู่ อยากตาย

ผมอายุ 19 ปีครับ ผมถูกผู้ชายคนนึงเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยบังคับให้มีอะไรด้วยครับ ผมไม่ได้เป็นเกย์ ตอนนี้รู้สึกหดหู่ อยากตาย นั่งเครียดไป ทั้งกลัวโรค กลัวตัวเองจะกลายเป็นเกย์ กลัวพ่อแม่จะรู้เรื่องต่ำๆ แบบนี้ แต่ผมไม่รู้จะปรึกษาใครดีครับ อยากเรียนถามดังนี้ครับ1.ถ้าผมจะตรวจเลือดก็ต้องมีการทำประวัติคนไข้ด้วยใช่ไหมครับ กังวลเรื่องความลับของผลตรวจหากออกมาเป็นบวก 2.ผมลองหากระทู้อื่นๆ ที่สอบถามคุณหมอเกี่ยวกับความเสี่ยงเรื่องเอดส์และระยะเวลาการตรวจ คราวนี้ก็ยิ่งกังวลไปว่า ระยะเวลา Window period ที่ว่านี้ อยู่ที่ 1 เดือนถึงหกสัปดาห์ คือ ตอนนี้ผมไม่สบายใจมากๆ จนแทบจะเป็นบ้า กะว่าจะรอไปตรวจตอน 1 เดือนพอดี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ครอบคลุมแล้ว แต่กังวลว่าจะเชื่อถือได้แน่นอนหรือเปล่าเพราะ Window period อยู่ที่ 1 เดือนจนเลยไปถึงหกสัปดาห์ คือบางที ตรวจที่ 1 เดือนผลอาจออกมาลบ แต่พอไปตรวจอีกที่หกสัปดาห์อาจออกมาบวก แบบนี้จะมีมั้ยครับ หรือว่าผลที่ได้สบายใจได้เลยว่าแน่นอนแล้ว 3. ผมอยากคุยกับจิตแพทย์ครับ คือต้องให้พ่อกับแม่อนุญาตก่อนหรือเปล่าครับ 4.ตอนนี้ทานยานอนหลับตลอด ไม่ทราบว่าจะมีผลอะไรด้วยหรือไม่ครับ เพราะถ้าไม่ทานจะไม่สามารถหลับได้เลย

Get
…………………………………………………………………

ตอบครับ

1. การตรวจเลือดเอดส์โดยไม่ให้มีใครรู้ว่าเป็นเรา มีสองวิธี คือ

1.1 ไปตรวจที่คลินิกนิรนาม ซึ่งเขาตรวจให้โดยไม่ถามชื่อแซ่

1.2 ไปตรวจรพ.เอกชน โดยวิธีพบแพทย์ก่อน แล้วบอกแพทย์ว่าไม่ต้องการให้แพทย์บันทึกผลการตรวจลงในเวชระเบียน ก็จะมี
เพียงเวชระเบียนชื่อเราตามปกติแต่ไม่มีบันทึกเรื่องการตรวจ HIV ถ้ากลัวหมอจะไม่ทำตามนี้ คุณมาที่ศูนย์ตรวจสุขภาพ รพ.พญาไท 2 แล้วแจ้งว่าขอพบแพทย์ก่อนตรวจสุขภาพ (แพทย์คนไหนก็ได้) แล้วบอกเขาตามนี้ รับประกัน ได้ตามนั้นแน่นอน

2. เรื่อง Window period เนื่องจากมีคนถามบ่อยมาก ผมขออธิบายเผื่อให้ทุกท่านเข้าใจประเด็นย่อยต่อไปนี้ให้ครบ

2.1 ค่า Window period คือค่าเฉลี่ยที่ได้จากการตรวจเลือดผู้ป่วยจำนวนมาก ว่านับจากวันติดเชื้อจนถึงวันที่ตรวจพบ คนส่วนใหญ่จะตรวจพบหลังติดเชื้อแล้วกี่วัน ธรรมชาติของข้อมูลย่อมมีการกระจายตัวบ้าง มันจึงย่อมต้องมีบ้างที่บางคนไปตรวจพบเอาหลังจาก window period ของคนส่วนใหญ่ ซึ่งเรียกว่าเกิด late sero-conversion แต่ว่ามันเป็นส่วนน้อย อย่าเอามาเป็นกังวล

2.2 ในทางการแพทย์ถือเสมอว่าไม่มีอะไร 100% แพทย์จึงจับเอาตรงที่คนส่วนใหญ่เขาจบกันว่าเป็นจบเรื่องไว้ก่อน ในกรณีของคุณซึ่งประเด็นหลักคือความกังวล ผมแนะนำให้ยึดคอนเซ็พท์เดียวกัน ว่าเมื่อตรวจครั้งแรกแล้วได้ผลลบก็คือลบและจบความกังวลเสีย ส่วนการจะติดตามตรวจซ้ำเมื่อสามเดือนหรือหกเดือนหลังจากนั้น (ไม่ใช่หกสัปดาห์) เพื่อความดับเบิ้ลชัวร์นั้นก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปเขานิยมทำกัน และผมเองก็แนะนำว่าควรทำ แต่มันไม่จำเป็นต้องไปแขวนความกังวลรอว่าเมื่อไรเราจะปลอดโรค 100% เพราะไม่มีใครที่ไหนในโลกนี้บอกได้ ตัวเลข 100% จริงๆจะเกิดก็โน่น คือที่อินฟินิตี้ หมายถึงว่าเมื่อเราตายแล้ว

2.3 ถ้าคุณสังเกตให้ดีจะเห็นความแตกต่างของตัวเลข window period ที่หมอใช้พูดกับคนไข้ (หนึ่งเดือนถึงหกสัปดาห์) ซึ่งอ้างอ้างอิงผลวิจัยของ 4th generation ที่เป็นงานวิจัยใหม่ขนาดไม่ใหญ่นัก กับตัวเลข window period ที่ปรากฏในเอกสารแนะนำต่างๆ (3-6 เดือน) ซึ่งอ้างอิงผลวิจัยดั้งเดิมที่ขนาดใหญ่กว่า ทั้งนี้เป็นเพราะพวกหมอนั้นเผชิญอยู่กับความกังวลที่กำลังทำลายคนไข้อยู่ตรงหน้า ส่วนเอกสารแนะนำนั้นเผชิญกับการถูกนำไปอ้างอิงเช่นในศาลหรือในการเรียกสินไหมทดแทน ต่างฝ่ายจึงต่างเลือกหยิบตัวเลขที่ต่างกันมาใช้ คุณเองมีปัญหาหลักคือความกังวล ก็ต้องรู้จักเลือกตัวเลขที่จะดับความกังวลของคุณได้มาใช้

2.4 เมื่อเราพูดถึง window period หนึ่งเดือน หมายความว่าต้องตรวจด้วยวิธี 4th generation electrochemiluminescence ซึ่งควบรวมการตรวจทั้งหาภูมิคุ้มกันและหาตัวไวรัสเข้าด้วยกันเท่านั้น ไม่ใช่การตรวจภูมิคุ้มกันอย่างเดียวแบบดั้งเดิม การตรวจแบบนี้เป็นแบบใหม่ซึ่ง FDA เพิ่งอนุญาตให้ใช้ไม่กี่เดือนมานี้เอง บางแล็บยังไม่มีใช้

2.5 ยังมีวิธีตรวจที่ตรวจพบได้เร็วกว่าวิธี 4th generation คือวิธีตรวจหาเศษยีนของไวรัสซึ่ง เรียกว่าวิธี NAT หรือวิธี PCR ซึ่งตรวจพบเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่สองสัปดาห์หลังรับเชื้อ แต่ผมไม่แนะนำให้คุณไปตรวจ NAT เพราะปัญหาการเกิดผลบวกเทียม (false positive) ซึ่งอาจจะทำให้คุณสติแตกได้ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นโรค

3. การพบกับจิตแพทย์ ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองครับ การที่คุณมีความคิดจะพบกับจิตแพทย์นั้นเป็นเรื่องที่ดีมากและผมสนับสนุน คนเราเมื่อเผชิญความเครียดตัวช่วยที่ดีที่สุดคือกัลยาณมิตร ดีกว่าที่จะหมกมุ่นกับความทุกข์อยู่คนเดียว ในกรณีของคุณซึ่งไม่อยากให้เรื่องแพร่งพรายมาก จิตแพทย์ก็จะเป็นกัลยาณมิตรที่ดี

4. การที่คุณทานยานอนหลับทุกวันนั้นไม่มีอันตรายอะไร คุณกำลังมีปัญหานอนไม่หลับอันสืบเนื่องมาจากภาวะโศกเศร้า (bereavement) การใช้ยาช่วยให้นอนหลับเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้ว ถ้าคุณไปหาหมอ หมอก็จะให้คุณทานยานอนหลับเช่นกัน

เอาละ ผมตอบคำถามคุณหมดแล้ว ทีนี้ให้ผมคุยกับคุณกันเองแบบเพื่อนบ้างนะ คุณเคยถูกหมากัดไหม? ถ้าไม่เคยผมเล่าให้ฟังก็ได้เพราะผมเคยโดนมาแล้ว พอถูกหมากัด ผมยั้วะหมา แต่แล้วก็รีบทำใจว่ามันเป็นหมาจะเอาอะไรกับมันมากคงไม่ได้ ช่างหมามันเถอะ แล้วผมก็หันมากังวลว่าผมจะเป็นโรคหมาบ้า จึงรีบทำแผล ฉีดยาบาดทะยัก ฉีดยาป้องกันพิษสุนัขบ้า กว่าจะหมดห้าเข็มก็หนึ่งเดือนเต็มๆ พอหนึ่งเดือนผ่านไปผมก็ลืมเรื่องนี้ได้ คุณก็เหมือนกันครับ ให้คุณแยกออกเป็นสามเรื่อง ดังนี้

เรื่องที่ 1. คือการถูกหมาก้ด คุณรีบจบเรื่องนี้เสียโดยการบอกตัวเองว่ามันเป็นหมา แล้วเราก็ดันไปไว้ใจหมาเข้าไปไกล้หมาซะเอง ช่างหมามันเถอะ ถ้ามัวแต่ผูกใจเจ็บเรานั่นแหละจะเป็นคนเจ็บยาว ไม่ใช่หมา

เรื่องที่ 2. คือการประเมินสภาวการณ์ติดเชื้อเอดส์ คุณทำเป็นตารางไว้เลย ครบเดือนไปตรวจคัดกรอง HIV ถ้าได้ผลลบก็ให้เชื่อว่ามันเป็นผลลบจริง พอครบหกเดือนก็ไปตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อความดับเบิ้ลชัวร์ แล้วก็จบ

เรื่องที่ 3. คือจิตใจที่หมกมุ่นทุกข์กังวล ให้คุณมองว่านี่เป็นเรื่องของการเลือกวิธีสนองตอบต่อสิ่งเร้า สิ่งเร้าก็คือการที่เราถูกหมากัด ซึ่งเป็นอะไรที่มาจากภายนอก เราคุมไม่ได้ ที่เหลือเป็นการสนองตอบของเรา ซึ่งเราเลือกได้ เราเลือกเองว่าเราจะสนองตอบแบบไหน ถ้าเราเลือกสนองตอบแบบลบ คือ แค้นและกลัว (กลัวเป็นเอดส์ กลัวพ่อแม่เสียใจ กลัวแฟนรู้ ฯลฯ) เราก็จะเป็นทุกข์มาก ถ้าเราเลือกสนองตอบแบบบวก คือ อภัยกับเรื่องในอดีตเสีย ดีดความกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงทิ้งไป หันมาโฟคัสกับชีวิตปัจจุบันในวันนี้ จัดการปัญหาสุขภาพไปตามขั้นตอนที่ควร จดจ่อทำอะไรเล็กๆน้อยๆที่ง่ายๆและดีๆกับตัวเราในวันนี้ วันนี้ วันนี้ ทีละวัน เราก็จะผ่านวันเวลาช่วงนี้ไปได้โดยไม่เป็นทุกข์มากนัก


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

......................................

ขอบพระคุณมากๆ ครับ คำแนะนำที่ดีทำให้ผมรุ้สึกเบาใจขึ้นมาบ้าง ผมจะทำตามกระบวนการที่แนะนำมาครับ

Get
[อ่านต่อ...]

15 ธันวาคม 2553

กินยาลดความอ้วน แต่ตั้งครรภ์ไม่รู้ตัว กลัวลูกพิการ

เรียนคุณหมอ

ตอนนี้ดิฉันตั้งครรภ์ได้ 4 สัปดาห์แล้วค่ะ แต่ดิฉันมีปัญหาคือก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ดิฉันทานยาประเภทกระชับสัดส่วน เผาผลาญไขมัน และไปนวดกระชับสัดส่วน อบตัวด้วยเครื่องอบตัวอินฟาเรด โดยที่ไม่ทราบว่าตั้งครรภ์มาก่อน แต่พอรู้เนื่องจากประจำเดือนขาดไปวันเดียว เด็กจะเป็นอันตรายมั้ยค่ะ ดิฉันเคยแท้งบุตรมาก่อนด้วยค่ะ ตอนนี้เครียดมาก ถ้าหากครบ 4 เดือนดฺฉันจำเป็นต้องเจาะน้ำคร่ำดูความผิดปรกติของเด็กหรือไม่ค่ะ รบกวนคุณหมอตอบด้วยนะค่ะ ถ้าอย่างไรดิฉันจะได้รีบไปพบคุณหมอค่ะ

......................................................

ตอบครับ

ประเด็นที่ 1 ความกังวลเรื่องยา การจะบอกได้ว่ายามีผลต่อครรภ์หรือไม่ ต้องรู้ก่อนว่าเป็นยาอะไร ยาลดความอ้วนที่ถูกกฎหมายในเมืองไทยตอนนี้มีเหลืออยู่ตัวเดียวคือ Olistat (Xenical) ซึ่งหมอไทยแทบไม่สั่งให้คนไข้เลยเพราะมีฤทธิข้างเคียงทำให้อุจจาระเล็ดออกมาเป็นไขมัน ยาที่หมอเคยชอบสั่งกันมากคือ Sibutramine (Reductil) ตอนนี้ก็ถูกบริษัทผู้นำเข้าถอนออกจากตลาดไปหมดแล้วเพราะมีหลักฐานว่าเป็นสาเหตุการตายในยุโรป ที่คุณบอกว่ากินยาลดความอ้วนหรือยากระชับสัดส่วนไปนั้น ผมจึงมั่นใจ 100% ว่าเป็นยาเถื่อน จึงต้องมานั่งเดาเอาว่ามันเป็นยาอะไรหนอ และมีผลต่อครรภ์หรือเปล่า ผมจะวิเคราะห์ยาที่มีการนำมาปลอมปนขายเป็นยาลดความอ้วนบ้าง อาหารลดความอ้วนบ้าง ในชื่อต่างๆตามอินเตอร์เน็ทบ้านเราตอนนี้ และวิเคราะห์ผลของมันต่อทารกในครรภ์ ดังนี้

1. Sibultramine แม้จะถูกถอนออกจากตลาดสว่างไปแล้ว แต่ตลาดมืดยังขายกันอย่างเปิดเผยอย่างเอิกเกริกในอินเตอร์เน็ท ขายในชื่อ Reductil บ้าง Reduce-15mg บ้าง ปนในกาแฟที่โฆษณาว่าเป็นกาแฟลดน้ำหนักบ้าง ยัดไส้ขายเป็นอาหารชื่อ แอลคาร์นิทีนพลัสบ้าง (ก็ที่น้องนักเรียนม.3 อยากเป็นพริตตี้กินแล้วตายนะแหละ) ยาตัวนี้มีพิษต่อครรภ์ระดับ C แปลว่ายังไม่เคยมีงานวิจัยผลของมันในหญิงตั้งครรภ์ แต่หลักฐานจากสัตว์ทดลองก็ไม่เคยปรากฏว่าทำให้ทารกพิการ ตีความเป็นภาษาไทยอีกทอดหนึ่งสำหรับคนที่กินเข้าไปแล้วขณะตั้งครรภ์ว่า เนื่องยานี้ยังไม่เคยมีหลักฐานว่าทำให้ทารกพิการ เราน่าจะคิดทางบวกไว้ก่อนว่าลูกของเราไม่น่าจะเป็นไร

2. ฮอร์โมนไทรอยด์ มีคนหัวใสเอามายัดไส้เป็นยาลดความอ้วนขายทั้งๆที่กฎหมายห้าม เพราะมันเพิ่มเมตาโบลิสม์ กินแล้วใจเต้น นอนไม่หลับ เหงื่อแตก หัวใจวาย ผลของยานี้ต่อครรภ์อยู่ในระดับ A คือไม่มีปัญหากับทารก

3. Amphetamine หรือยาบ้านั่นเอง บางทีก็เป็นญาติกันชื่อ methamphetamine แม้จะเป็นของผิดกฎหมายร้ายแรงขนาดต้องฆ่าตัดตอนกันเป็นเบือ แต่ก็มีคนเอามายัดไส้เป็นยาลดความอ้วนขายในชื่อต่างๆ การทบทวนงานวิจัยพบว่ายานี้หากใช้ระยะสั้นในหญิงมีครรภ์ไม่ได้เพิ่มอัตราความพิการของทารก และไม่ได้เป็นสารทำให้เกิดความพิการ (teratogenic)

4. ยาสีรุ้ง อันนี้เป็นส่วนผสมของยาขับปัสสาวะ กับยาดิจิตาลิสกระตุ้นหัวใจ มีคนแอบปรุงสูตรนี้ปนกับอาหารลดน้ำหนักขายเช่นกัน มิใยที่จะเคยมีการตายจากหัวใจเต้นผิดจังหวะเพราะสูตรนี้มาแล้ว ผลต่อครรภ์ของยาสูตรนี้อยู่ในระดับ C เช่นกัน

5. Fluoxetine (Prozac) ความจริงตัวนี้ไม่ใช่ยาเถื่อน ถ้าอยู่บนโต๊ะ อย. อนุญาตให้แพทย์สั่งใช้เป็นยาต้านซึมเศร้า แต่ใต้โต๊ะแอบใช้กันเป็นยาลดความอ้วนอย่างผิดกฎหมาย ผลต่อครรภ์ของยานี้อยู่ในระดับ C เช่นกัน
จะเห็นว่าตัวยาเหล่านี้แย่สุดก็ระดับ C คือยังไม่เคยมีหลักฐานว่าทำให้ทารกพิการ แม้จะยังไม่มีการวิจัยเปรียบเทียบให้เห็นความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์อย่างจะจะ แต่ก็พอสบายใจได้ว่าลูกไม่น่าจะพิการเพราะยา

ประเด็นที่ 2. การอบตัวด้วยเครื่องอบตัวอินฟราเรดไม่มีผลให้ทารกในครรภ์พิการ เพราะลำแสงอินฟราเรดทะลุผิวหนังลงไปได้ลึกไม่เกิน 3 มม. No problem

ประเด็นที่ 3. การนวดกระชับสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นการตบ เขย่า หรือนวดดุเดือดแค่ไหน ก็ไม่มีผลทำให้ทารกในครรภ์พิการ เว้นเสียแต่จะนวดท่ากระทืบท้องน้อย ซึ่งอาจมีผลให้แท้งทันที ณ ที่เกิดเหตุได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นป่านนี้คุณมีเลือดออกทางช่องคลอดให้เห็นแล้ว

กล่าวโดยสรุป ทั้งหลายทั้งปวงที่คุณแม่ได้ทำไป ไม่ได้ทำให้ทารกในครรภ์พิการ ไม่ต้องกังวล ทำใจให้สบายพร้อมที่จะเป็นคุณแม่ที่ดี ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ต้องไปเจาะน้ำคร่ำ

แต่สิ่งที่คุณแม่ควรทำอย่างยิ่งก็คือหาความรู้เรื่องการลดความอ้วนด้วยการอ่านบทความซึ่งผมเขียนตอบคุณเหมียวไปแล้วสองตอนในเว็บนี้ (ตั้งใจจะเขียนให้ครบ 4 ตอน) จะได้ไม่ถูกเขาหลอกขายยาลดความอ้วนหรือยากระชับบ้าๆบอๆ อีก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1.. Kalter H, Warkany J. Congenital malformations (second of two parts). N Engl J Med 1983;308:491 7.
[อ่านต่อ...]

แผลเป็น (keloid)



คุณหมอค่ะ หนูเคยป่วยเป็นวัณโรคต่อมน้ำเหลือง แล้วมีก้อนโตนูนที่แขน จึงต้องผ่าตัดแขนด้านใน เมื่อห้าปีก่อน แต่ทุกวันนี้รอยแผลไม่หายค่ะ ลองไปหาคลินิกแถวบ้าน เค้าบอกว่าเป็นรอยน้ำเหลืองขึ้นมาตามรูปค่ะ แต่หนูอยากจะผ่าตัดให้แขนหายเปนรอยแผลแล้วก็ให้หายเว้า มันทำให้ดูเสียบุคลิกภาพค่ะ อยากสอบถามว่าแผลแบบนี้รักษาได้มั้ยค่ะ ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่ค่ะ

………………………………………………

ตอบครับ

ตามภาพที่ให้มา สิ่งที่คุณเป็นอยู่นั้นเรียกว่า คีลอยด์ (Keloid) ซึ่งก็คือภาวะที่มีเนื้อเยื่อพังผืดเกิดนูนขึ้นมาบนแผลของผิวหนังที่หายสนิทแล้ว เนื้อพังผืดนี้นอกจากจะนูนขึ้นแล้วยังเติบโตลามออกไปพ้นขอบแผลดั้งเดิมของผิวหนังอีกด้วยเหมือนขาปูออกไปจากตัวปู กลไกการเกิดคีลอยด์คือการสร้างและการสลายพังผืด (collagen fiber) ขณะแผลหายไม่ได้ดุลพอดีกัน เมื่อสร้างพังผืดขึ้นมาสมานแผลมากแต่กลไกการลบทำลายพังผืดส่วนเกินไม่มากพอ จึงเกิดเป็นคีลอยด์ ส่วนที่ผิวหนังมันเว้าลงไปนั้น เกิดจากพังผืดของแผลดึงรั้ง (contracture) จึงเป็นเรื่องเดียวกับคีลอยด์นั่นแหละ การรักษาไม่มีวิธีไหนได้ผล จึงมีวิธีรักษาหลายวิธีดังนี้

1. การผ่าตัดออก แม้จะผ่าตัดออกโดยใช้เทคนิคที่ดี ไม่ให้มีการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อมาก ไม่ให้มีความตึงของผิวหนังสองข้างเมื่อเย็บปิดใหม่ ก็ยังมีอัตราการกลับเป็นคีลอยด์ใหม่ถึง 40-100% ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ หมายความว่าแย่ทุกคนนะ การผ่าตัดจึงไม่ใช่วิธีรักษาที่ดี หมอผ่าตัดจึงจะเลือกใช้ในบางกรณีเท่านั้น สถิติบอกว่าถ้าผ่าตัดร่วมกับฉีดสะเตียรอยด์ อัตราการกลับเป็นจะลดลงเหลือต่ำกว่า 50% ซึ่งก็ยังเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงอยู่ดี คือผ่าสองคน ไม่ได้ผลเสียหนึ่งคน ในกรณีของคุณไม่เหมาะที่จะใช้วิธีผ่าตัด เพราะคีลอยด์กระจายอยู่เป็นบริเวณกว้าง การตัดออกหมดต้องเอาผิวหนังมาปะซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดคีลอยด์แบบมหึมาที่แย่ยิ่งกว่าเดิม

2. การฉีดสะเตียรอยด์เข้าไปในเนื้อคีลอยด์ โดยใช้ triamcinolone acetonide (TAC) 10-40 mg/mL โดยใช้เข็มเบอร์เล็กขนาดเบอร์ 25 – 27 ฉีดทุก 4 – 6 สัปดาห์ ได้ผล 50-100% จัดว่าเป็นวิธีรักษาที่ได้ผลดีที่สุดตอนนี้ แต่ก็มีอัตราการกลับเป็นใหม่หลังรักษาประมาณ 9 – 50% แต่การฉีดสะเตียรอยด์บ่อยๆก็มีข้อเสียที่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น ผิวเปลี่ยนสี และมีเส้นเลือดฝอยขึ้น (telangiectasia )

3. วิธีอัดหรือรัดคีลอยด์ (compression dressing) ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผิวหนังหากถูกอัดหรือรัดนานๆจะบางลง วิธีอัดหรือรัดทำได้หลายอย่าง รวมทั้งการรัดด้วยผ้ายืด ในงานวิจัยหนึ่งซึ่งใช้กระดุมอัดสองข้างของคีลอยด์ที่ติ่งหู พบว่าป้องกันการกลับเกิดคีลอยด์ไปได้นาน 8 เดือนถึง 4 ปี อีกวิธีหนึ่งคือวิธีพอก (occlusive dressing) โดยใช้แผ่นซิลิโคนพอกคีลอยด์ไว้ ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง งานวิจัยพบว่าถ้าพอกแผลด้วยซิลิโคน 24 ชั่วโมงต่อวันนาน 1 ปี คีลอยด์จะดีขึ้นมาก 37.5% แต่ก็ยังมีอีก 27.5% ที่จะไม่ดีขึ้นเลย ปัจจุบันนี้มี Cordran tape ซึ่งเป็นแผ่นพลาสเตอร์แบนเหนียวใสอาบสะเตียรอยด์ เมื่อใช้แผ่นนี้พอกไประยะหนึ่งจะทำให้คีลอยด์นุ่มและแบนขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั้งวิธีอัด รัด หรือพอกนี้ไม่เป็นที่นิยมเพราะยุ่งยากในการทำ เมื่อหยุดทำก็มีปัญหาการกลับเป็นใหม่

4. วิธีฉีดสารใหม่ๆ ที่ยังไม่ใช่วิธีรักษามาตรฐาน เป็นการทดลองฉีดสารต่างๆเข้าไปในเนื้อคีลอยด์ เช่น อินเตอร์เฟียรอน ยารักษามะเร็งหลายตัว โบท็อกซ์ สารสกัดหัวหอม วิตามินอี ฯลฯ วิธีรักษาเหล่านี้ ยังไม่มีผลวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบขนาดใหญ่พอมาเป็นหลักประกันว่าเป็นวิธีรักษาที่ได้ผลดีกว่าการฉีดสะเตียรอยด์อย่างเดียว จึงยังไม่ใช่วิธีมาตรฐานในปัจจุบัน

5. การรักษาด้วยการฉายรังสี เป็นวิธีรักษาที่ยังเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ว่าได้ผลดีจริงหรือไม่ จึงยังไม่ใช่วิธีมาตรฐานเช่นกัน

6. การใช้ความเย็น (cryotherapy) โดยใช้ไนโตรเจนเหลวจี้ ทำให้คีลอยด์เย็นจนเนื้อเยื่อถูกทำลาย ได้ผล 51-74% เมื่อประเมินใน 30 เดือน แต่มีภาวะแทรกซ้อนคือสีผิวจะ "ตกสี" กลายเป็นสีขาว

7. การใช้เลเซอร์แบบต่างๆ ปัญหาก็คล้ายๆการผ่าตัดคืออัตราการกลับเป็นใหม่สูง ถ้าใช้คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ทำลายคีลอยด์ จะมีอัตราการกลับเป็นใหม่อีก 39-92% แต่หากใช้ร่วมกับการฉีดสะเตียรอยด์ จะมีอัตราการกลับเป็นใหม่ 25-75% เลเซอร์ชนิดอื่นก็ให้ผลต่างกันไม่มากนัก เมื่อดูที่อัตราการกลับเป็นใหม่ของคีลอยด์แล้ว การใช้เลเซอร์ก็เหมือนกับการผ่าตัด คือยังไม่ใช่วิธีที่ดี
วิธีรักษาทั้งเจ็ดกลุ่มข้างบนนี้ บางหมอก็ผสมกัน คือเอาวิธีนั้นมาผสมวิธีนี้ สูตรใครสูตรมัน มาถึง ณ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบที่มีขนาดใหญ่พอให้เชื่อได้ว่ามีวิธีรักษาแบบไหนที่ดีกว่าการฉีดสะเตียรอยด์เข้าไปในเนื้อคีลอยด์อย่างเดียว
กล่าวโดยสรุป ผมแนะนำว่าให้คุณรักษาโดยการฉีดสะเตียรอยด์น่าจะดีที่สุด ทั้งนี้ให้ทำใจเผื่อไว้ด้วยนะ ว่าเสียเงินแล้ว เสียเวลามาฉีดซ้ำๆซากๆแล้ว ยังมีโอกาสกลับเป็นเหมือนเดิมได้สูงถึง 50% ถ้าฟังข้อมูลนี้แล้วยังโอเค.ที่จะรักษา แนะนำให้มาที่ศูนย์ความงาม รพ.พญาไท 2 โดยต้องนัดหมอล่วงหน้าด้วย ว่าจะมาฉีดคีลอยด์ เพราะมีหมอบางคนเท่านั้นที่ถนัดที่จะทำการรักษาแบบนี้ จึงต้องนัดล่วงหน้า ค่ารักษาตกครั้งละประมาณ 1200 บาท กี่ครั้งไม่ทราบได้ ส่วนใหญ่ก็จะฉีดกันจนเบื่อแล้วเลิกไปเอง

สำหรับผู้อ่านท่านอื่นๆ จะเห็นนะครับว่าแผลเป็นนี้เป็นเรื่องรักษายาก ดังนั้น ดีที่สุดคือป้องกันไม่ให้เป็น เช่น เวลามีสิว หรือเป็นสุกใส อย่าแกะ เวลาจะฉีดยาหรือวัคซีน ต้องฉีดในที่ๆจะถูกปกปิดด้วยเสื้อผ้ามิดชิด เวลาจะผ่าตัด ต้องเลือกวิธีที่มีแผลเล็ก อย่าเอาวิธีแผลใหญ่เบอะราวกับจะเข้าไปเก็บลูกมะพร้าว แผลผ่าตัดไม่ควรมีทิศทางตัดผ่านร่องตามธรรมชาติของผิวหนัง (skin crease) ไม่ตัดผ่านข้อพับ ซึ่งสมัยนี้คนไข้ตกลงเรื่องทิศทางของแผลผ่าตัดกับหมอก่อนได้ และหลีกเลี่ยงไม่ให้มีแผลผ่าตัดที่กลางหน้าอกและที่แขนซึ่งเกิดคีลอยด์ง่าย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Lee JH, Kim SE, Lee AY. Effects of interferon-alpha2b on keloid treatment with triamcinolone acetonide intralesional injection. Int J Dermatol. Feb 2008;47(2):183-6.
[อ่านต่อ...]

14 ธันวาคม 2553

Oral sex กับ Dental gum


อายุ 21 ปี เป็นทอมครับ ไปทำรักด้วยปากกับผู้หญิงคนนึง แล้วกลืนน้ำลงไปด้วยครับ และมีการจูบแลกลิ้นกันครับ คือผมทำไปเพราะเมา พอได้สติก็นึกกลัวเชื้อเอดส์ครับ อยากทราบว่ากรณีผมจะเสี่ยงติดเชื้อเอดส์ได้ไหมครับคุณหมอ เพราะเคยอ่านเจอว่าการทำออรัลจะไม่เสี่ยงเอดส์
..............................................................

ตอบครับ

ก่อนจะตอบคำถามผมขอซักซ้อมความเข้าใจในคำนิยามของศัพท์แสงก่อนนะครับ โปรดอภัยเพราะว่าผมนี้ชราแล้ว อาจจะตามโลกไม่ทัน ถ้าผมเข้าใจผิดก็อภัยด้วย คือผมเข้าใจว่าคำว่า “ทอม” หมายถึงผู้หญิงที่ทำตัวเสมือนผู้ชาย ดังนั้นตัวคุณจึงมีเพศเป็นผู้หญิง เพียงแต่ใช้คำว่า “ครับ” เพื่อให้สมกับการทำตัวแบบผู้ชาย ถ้าผมเข้าใจผิดก็ช่วยให้การศึกษาแก่ผู้สูงอายุเอาบุญด้วยนะครับ เอาละ ทีนี้มาตอบคำถามของคุณกัน

ประเด็นที่ 1. ซึ่งสำคัญที่สุดและต้องรีบเคลียร์ คือความเข้าใจของคุณที่ว่า oral sex ปลอดภัยไม่ติดเอดส์นั้น เป็นความเข้าใจผิด และไม่เป็นความจริง วารสารการแพทย์ AIDS เล่มที่ผมเอามาอ้างไว้ท้ายบทความนี้ ได้รวบรวมรายชื่อผู้ป่วยตัวเป็นๆ 21 ราย ที่การสอบสวนโรคสรุปได้แน่ชัดแล้วว่าติดเอดส์มาจากการทำ oral sex อย่างเดียวเพียวๆโดยไม่ได้ทำเซ็กซ์ในรูปแบบอื่นเลย oral sex ในที่นี้หมายถึงการที่ฝ่ายหนึ่งเอาปากและลิ้นของตนเองไปสัมผัสกับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของอีกฝ่ายหนึ่งนะ ข้อมูลที่เป็นความจริงก็คือ oral sex แพร่เชื้อเอดส์ได้แน่นอน เพียงแต่ว่าอัตราการแพร่เชื่อผ่านทางนี้มันน้อยกว่าทางอื่น น้อยกว่าสักแค่ไหนวงการแพทย์ก็ไม่สามารถสรุปได้ บอกได้แต่ว่ามันมีความเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็เสี่ยง ไม่ใช่ไม่เสี่ยง

ประเด็นที่ 2. การจูบกันแพร่เชื้อเอดส์ได้ไหม อันนี้ต้องแยกการจูบกันออกเป็นสองแบบ

แบบที่ 1. ถ้าเป็นแบบจุ๊บกัน หมายถึงต่างฝ่ายต่างไม่ได้อ้าปากตัวเองแล้วเอาริมฝีปากมาชนกัน (closed mouth kissing) ยังไม่เคยมีปรากฏว่าแพร่เชื้อเอดส์ได้

แบบที่ 2. ถ้าเป็นการจูบแบบทั้งสองฝ่ายอ้าปากของตัวเอง (French kissing) จะแลกลิ้นหรือไม่แลกก็แล้วแต่ มีรายงานผู้ป่วยบางรายที่ติดเชื้อเอดส์มาด้วยการจูบแบบนี้ แต่ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเหล่านั้นทุกรายมีแผลที่ปากหรือมีเลือดออกที่เหงือก อย่างไรก็ตาม คำแนะนำที่เป็นสากลคืออย่าไปอ้าปากจูบกับคนที่มีเชื้อเอดส์ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเรามีแผลหรือจุดเลือดออกเล็กๆน้อยๆตามเหงือกหรือกระพุ้งแก้มของเราหรือเปล่า

ประเด็นที่ 3. ถ้าอยากทำ oral sex โดยไม่ให้ติดเอดส์จะทำอย่างไร ก็ทำแบบฝรั่งเขาสิครับ เขาไปหาซื้อแผ่นพลาสติกบางๆเรียกว่า dental gum (ผมลงรูปให้ดูด้วย) มาวางแปะตรงนั้นไว้ ที่นี้จะโอรอลกันแบบไหนก็ตามสบาย อย่าให้ปากและลิ้นของเราหลุดออกไปนอกแผ่น dental gum ก็แล้วกัน ถ้าหาซื้อไม่ได้ ก็เอาถุงยางอนามัยก็ได้ เอากรรไกรมาตัดแบะออกมาเป็นแผ่นก็ใช้ได้เหมือนกัน หรือถ้าหาอะไรไม่ได้ก็พลาสติกหุ้มอาหารนะแหละ มีรายงานทางการแพทย์ว่าใช้ป้องกันได้เหมือนกัน แต่รสสัมผัสจะได้นุ่มนวลแบบถุงยางอนามัยหรือเปล่าไม่รู้นะ

ประเด็นที่ 4. ตอนนี้พลาดไปแล้วจะทำอย่างไร ก็ทำใจอย่างเดียวแหละครับ รอให้ผ่านไปอย่างน้อย 1 เดือน ให้พ้น window period แล้วไปเจาะเลือดตรวจคัดกรอง HIV ดูด้วยวิธี 4th generation test ในระหว่างนี้ให้คิดไว้ก่อนว่าโอกาสที่จะติดเชื้อตามสถิติแล้วมันน้อยมาก เราคงไม่แจ๊คพอตหรอก และเมื่อทราบว่าได้ผลลบแล้ว ดีใจแล้วก็อย่าลืมเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมา อย่างน้อยก็ในสองประเด็นคือ
(1) เวลาเมาอย่าพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยง เพราะอาจตายได้
(2) ถ้าชอบโอรอลนักห้ามใจตัวเองไม่ได้ก็พก dental gum ไว้ติดตัวซะเลย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. RothenbergvRB, Scarlett M, del Rio C, Reznik D, O'Daniels C. Oral transmission of HIV. AIDS 1998 : 12(16); 2095-2105
[อ่านต่อ...]

13 ธันวาคม 2553

การลดความอ้วน (ตอนที่ 2. โภชนาการ)

ตอนที่ 2. โภชนาการเพื่อลดน้ำหนัก

การปรับโภชนาการ

เป้าหมายสำคัญคือการมุ่งรักษาดุลพลังงานที่ได้จากอาหาร (แคลอรี่) ให้เป็นลบไว้ทุกวัน หมายถึงให้แคลอรี่จากอาหารที่กินเข้าไปมีปริมาณต่ำกว่าแคลอรี่ที่ร่างกายเผาผลาญออกไปใช้ในแต่ละวัน ซึ่งพิจารณาแยกเป็นสองส่วนคือ ขาเข้า และขาออก

1. ขาเข้า เป็นการกำหนดตัวเลขเป้าหมายตัวเดียวใช้กับทุกคน ยิ่งกำหนดไว้ต่ำ ยิ่งลดน้ำหนักได้มาก แต่ก็ยิ่งทำยาก เช่น
1.1 สูตรแคลอรี่ปกติ กำหนดเป้าหมายแคลอรี่ขาเข้าไว้วันละ 1200 แคลอรี่ตายตัว
1.2 สูตรแคลอรี่ต่ำปานกลาง กำหนดเป้าหมายแคลอรี่ขาเข้าวันละ 800-1200 แคลอรี่
1.3 สูตรแคลอรี่ต่ำมาก กำหนดเป้าหมายแคลอรี่ขาเข้าไว้ที่ 800 แคลอรี่ต่อวันตายตัว ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดที่ทำให้น้ำหนักลดลงได้มากที่สุด การกำหนดแคลอรี่ต่ำกว่านี้ไม่มีหลักฐานว่าจะทำให้น้ำหนักลดลงได้มากขึ้นอีก และควรหลีกเลี่ยงการอดอาหารแบบเข้มงวด คืออดจนต่ำกว่า 200 แคลอรี่ต่อวัน เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้เกิดภาวะคีโตนคั่งจากการขาดอาหารซึ่งเป็นอันตรายได้

2. ขาออก คำนวณเฉพาะแคลอรี่ส่วนที่ร่างกายเผาผลาญได้ขณะพัก (BMR) ซึ่งแปรผันตามน้ำหนักตัวในสัดส่วน 22 แคลอรี่ต่อกก. เช่นถ้าชายคนหนึ่งน้ำหนักตัว 80 กก. ก็จะมีแคลอรี่ขาออก = 80 x 22 = 1,760 แคลอรี่ (ทั้งนี้ถือว่าส่วนที่เผาผลาญเพิ่มเติมเพราะการออกกำลังกายนอกเหนือจากกิจกรรมประจำวันนั้นถือเป็นกำไร ไม่ได้นำมาคำนวณด้วย) จะเห็นว่ายิ่งน้ำหนักตัวลดลงไปได้มากเท่าไร ยิ่งเผาผลาญแคลอรี่ได้น้อยลงเท่านั้น ทำให้การลดน้ำหนักช่วงปลายยากกว่าช่วงต้น นอกจากนี้ในกรณีผู้สูงอายุ จำนวนแคลอรี่ที่เผาผลาญได้จะลดลงไปอีก 10 แคลอรี่ต่อคนต่ออายุที่เพิ่มขึ้น 1 ปีนับจากอายุ 30 ปี ทำให้ผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะเกิดแคลอรี่เกินมากยิ่งขึ้นทุกปีถ้าไม่ปรับลดแคลอรี่ในอาหารลงหรือไม่ปรับเพิ่มการออกกำลังกาย

ขั้นตอนปฏิบัติสำหรับการควบคุมแคลอรี่ขาเข้า

ขั้นที่ 1. คือการกำหนดเป้าหมาย ว่าจะควบคุมแคลอรี่ขาเข้าไว้ที่เท่าไร ซึ่งแนะนำว่าไม่ควรให้ต่ำกว่า 800 แคลอรี่ต่อวัน มิฉะนั้นจะตึงเกินไปและอาจทำไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรเกิน 1200 แคลอรี่เพราะถ้าสูงเกินนั้นก็จะหย่อนเกินไปทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผล

ขั้นที่ 2. คือการหัดประเมินแคลอรี่ ที่มีอยู่ในอาหารที่ตัวเราเองทานอยู่ประจำในแต่ละวัน การประเมินนี้อาจไม่ต้องละเอียดถึงขั้นชั่งตวงวัดทุกวัน แต่ต้องมีการประเมินแคลอรี่จนเป็นนิสัย อย่างน้อยก็ต้องมีการประเมินอย่างหยาบๆก็ยังดี วิธีที่ง่ายที่สุดคือหัดดูจากฉลากอาหาร หรือเปิดดูตารางวิเคราะห์อาหารของกองโภชนาการ กรมอนามัย ซึ่งผมตัดย่อบางส่วนที่จะใช้บ่อยมาแปะไว้ข้างท้ายนี้ เนื่องจากข้อมูลของกองโภชนาการวิเคราะห์แคลอรี่จากอาหารเฉพาะส่วนที่กินได้ปริมาณ 100 กรัมเท่ากันหมด ผู้ลดน้ำหนักจึงต้องมีตาชั่งที่ชั่งได้ละเอียดเป็นกรัม คือสุดขีดตาชั่งไม่ควรเกิน 500 กรัม หรือ 1 กก. เป็นอย่างมาก และต้องหัดชั่งอาหารของตนเองบ่อยๆจนเป็นนิสัย ในการชั่งอาหารต้องชั่งเฉพาะส่วนที่กินได้ เช่นถ้าจะชั่งกล้วยก็ต้องเอาเปลือกออก เป็นต้น ในกรณีที่เป็นอาหารปรุงสำเร็จก็ใช้วิธีชั่งรวมทุกส่วนที่ปรุงเข้าด้วยกันแล้ว

มีหลักที่จะช่วยให้การประเมินแคลอรี่จากอาหารง่ายขึ้น ดังนี้

1. ต้องหัดกะประมาณน้ำหนัก 1 กรัม ซึ่งประมาณเท่ากับปริมาตร 1 ซีซี. คือกว้าง 1 ซม. ยาว 1 ซม. สูง 1 ซม. ถ้าเป็นของเหลว หนึ่งช้อนชาจะตักได้ 5 ซีซี.หรือประมาณ 5 กรัม หนึ่งช้อนโต๊ะจะตักได้ 15 ซีซี.หรือประมาณ 15 กรัม การชั่งอาหารบ่อยๆจะทำให้คาดคะเนน้ำหนักอาหารแต่ละชนิดได้แม่นยำขึ้น

2. เนื้อสัตว์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นไก่ หมู วัว ปลา ถ้าไม่มีมันและไม่มีกระดูก หนึ่งชิ้นที่หนัก 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 150 แคลอรี่ และให้โปรตีน 20% (คือเป็นโปรตีน 20 กรัม) เมื่อเราพูดว่าคนทั่วไปต้องการโปรตีนวันละ 50 กรัม หมายถึงน้ำหนักของโปรตีนเท่านั้น ไม่ใช่น้ำหนักเนื้อทั้งก้อน

3. ข้าวสวย 100 กรัม (ประมาณ 7 ช้อน) ให้พลังงานประมาณ 140 แคลอรี่ ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว(เฉพาะเส้น) ก็ให้พลังงานระดับเดียวกับข้าว ข้าวสวยหนึ่งจานธรรมดาๆหนักประมาณ 300 กรัม

4. ขนมหวาน 100 กรัม ให้พลังงานประมาณ 250 แคลอรี่ แต่ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณน้ำที่มีในขนมด้วย ถ้าเป็นขนมที่มีปริมาณน้ำน้อยเช่นทองหยิบ 100 กรัมจะให้พลังงาน 390 แคลอรี่ ขนมหวานจึงเป็นแหล่งพลังงานที่เข้มข้นที่ให้พลังงานมากกว่าข้าวประมาณสองเท่า โดยที่มีประโยชน์ในแง่ของวิตามินและเกลือแร่ต่ำมาก (ขนมหวานหนึ่งถ้วยมีประมาณ 150 กรัม)

5. ผลไม้ที่มีน้ำมากเช่น แตงไทย แตงโม ชมพู่ จะให้พลังงานประมาณ 20 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม ผลไม้ที่เนื้อแน่นแต่ไม่หวานมากเช่นฝรั่ง มะม่วงดิบ ส้ม ให้พลังงานประมาณ 50 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม ขณะที่ผลไม้สุกที่รสหวานหรือมันเช่นกล้วย ทุเรียน จะให้พลังงานประมาณ 150 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม ซึ่งประมาณเท่ากับแคลอรี่ที่ได้จากข้าวสวย ซึ่งก็จัดว่ายังเป็นระดับที่ต่ำกว่าขนมหวานอยู่มาก และผลไม้มีข้อดีกว่าข้าวสวยตรงที่ให้เกลือแร่และวิตามินด้วย

6. ผักทุกชนิด ให้ถือเหมารวมง่ายๆเหมือนกันหมดว่าให้แคลอรี่ประมาณ 20 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม มีแต่ผักที่หวานมากๆเช่นพริกยักษ์เท่านั้นที่จะให้แคลอรี่ 50 แคลอรี่ต่อ 100 กรัมซึ่งก็ยังถือว่าเป็นระดับต่ำ อีกทั้งผักสดเพียงแต่ 100 กรัมนั้นมีปริมาณมากพอที่จะทำสลัดได้ถึงหนึ่งจานใหญ่ๆทีเดียว ดังนั้นอาหารผักจึงเป็นอาหารที่กระทบต่อแคลอรี่ขาเข้าน้อยที่สุด

7. อาหารที่ปรุงด้วยการผัดหรือทอด จะมีแคลอรี่เพิ่มจากน้ำมันที่ใช้ทอดอีกประมาณ 250 แคลอรี่ต่อเนื้ออาหาร 100 กรัม ยกต้วอย่างเช่นเนื้อวัวปิ้งย่างธรรมดาให้ประมาณ 134 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม แต่เมื่อเอาไปทอดจะให้ประมาณ 412 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม เป็นต้น

8. ฝึกอ่านฉลากอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาจนเป็นนิสัย อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าในหนึ่งซองหรือหนึ่งกระป๋องที่ซื้อมามีกี่หน่วยบริโภค (เสริฟวิ่ง) ในแต่หน่วยบริโภคให้กี่แคลอรี่

ขั้นที่ 3. ทำไดอารี่บันทึกอาหารที่เราทานใน 1 วัน โดยขณะที่บันทึกก็ถือโอกาสคำนวณแคลอรี่ไปด้วยว่าวันนั้นเราทานเข้าไปเท่าไร

ตัวอย่างบันทึกอาหารของนส.สุดสวย ผู้มีส่วนสูง 155 ซม. และอยากลดน้ำหนักให้เหลือสัก 55 กก. (ตอนนี้หนักเท่าไรไม่ยอมบอก)

วันที่ 1 พย. 53

เวลา รายการอาหาร
8.00 กาแฟ ใส่คอฟฟี่เมท 1 ช้อน น้ำตาล 2 ช้อน ได้แคลอรี่ = 3+20+32 = 55
8.00 คุ้กกี้ 3 ชิ้น (ชิ้นละ 1 ออนซ์) ได้แคลอรี่ = 402
10.00 กาแฟ 1 ถ้วยเล็ก ได้แคลอรี่ = 55
10.00 กล้วยแขก 4 ชิ้น 100 กรัม ได้แคลอรี่ = 326
12.00 ข้าวผัดหมูใส่ไข่ 300 กรัม ได้แคลอรี่ =534
โค้ก 1 กระป๋อง 8 ออนซ์ ได้แคลอรี่ = 105
12.00 บัวลอยเผือก 150 กรัม ได้แคลอรี่ = 228
16.00 ฝรั่งสับหนึ่งลูก 100 กรัม ได้แคลอรี่ = 50
18.00 ข้าวราดหน้าไก่กะเพรา 300 กรัม ได้แคลอรี่ = 573
เค้กชอกโกแล็ต 2 ออนซ์ ได้แคลอรี่ = 208
โค้กกระป๋องเล็ก 8 ออนซ์ ได้แคลอรี่ = 105

รวมทั้งวันได้แคลอรี่ = 2,641


ขั้นที่ 4. วิเคราะห์อาหารที่ทานอยู่ในปัจจุบัน

การวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของอาหาร มีประเด็นสำคัญที่ต้องวิเคราะห์ 4 ประเด็น ดังนี้

1. ปริมาณแคลอรี่พอดีหรือมากเกินไป ถ้ามากเกินไป แคลอรี่ส่วนใหญ่มาจากอาหารใด (สำหรับคนที่อ้วนอยู่แล้ว พลังงานขาเข้าที่เกินวันละ 1,200 แคลอรี่ถือว่ามากเกินไป) วิธีที่ง่ายที่สุดคือเปิดตารางท้ายนี้ดูว่าอาหารใดมีกี่แคลอรี่ต่อกรัม อย่าลืมว่าอาหารทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ล้วนให้แคลอรี่ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าไขมันให้แคลอรี่มากกว่าอย่างอื่นเกินหนึ่งเท่าตัวเมื่อเทียบน้ำหนักที่เท่ากัน

2. ปริมาณผักและผลไม้มากพอที่จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่พอเพียงหรือไม่ ทั้งนี้ถือว่ามากพอถ้าร่างกายได้รับผักและผลใม้รวมกันวันละ 5 เสริฟวิ่งขึ้นไป (ผลไม้หนึ่งเสริฟวิ่งประมาณเท่ากับแอปเปิลหนึ่งลูก ผักหนึ่งเสริฟวิ่งประมาณเท่ากับผักสดหนึ่งจาน)

3. ปริมาณโปรตีนที่ร่างกายได้รับมากพอหรือไม่ (มาตรฐาน WHO แนะนำว่าคนปกติควรได้รับโปรตีนไม่น้อยกว่า 0.45 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก. เช่นคนน้ำหนัก 60 กก. ก็ต้องการโปรตีนวันละประมาณ 27 กรัม โปรตีนนี้มากเกินไปก็ไม่ดี มาตรฐาน US-RDA แนะนำว่าไม่ควรทานโปรตีนมากเกิน 0.8 กรัมต่อกก. การวิเคราะห์ปริมาณโปรตีนนี้ต้องทราบ % ของโปรตีนในแหล่งอาหารโปรตีนที่เราทาน เช่นเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อปลา มีโปรตีนประมาณ 20% ไข่มีโปรตีน 12% ดังนั้นไข่ไก่หนัก 70 กรัมก็ให้โปรตีนประมาณ 8 กรัมเท่านั้น ไม่ใช่ 70 กรัม ถ้าเป็นอาหารสำเร็จรูปก็อ่านเอาจากฉลากได้เลยเช่นนมถั่วเหลืองวีซอยหนึ่งกล่อง 230 ซีซี.ให้โปรตีน 9 กรัม เป็นต้น

4. ปริมาณโซเดียมหรือเกลือมากเกินไปหรือไม่ มาตรฐาน US-RDA แนะนำว่าคนทั่วไปไม่ควรทานโซเดียมมากกว่าวันละ 1.5 กรัม เอา 2.5 คูณก็จะเป็นปริมาณเกลือแกง 3.75 กรัม หรือน้อยกว่าหนึ่งช้อนชาต่อวัน ถ้าเป็นอาหารไทยก็คือต้องไม่ได้รสเค็มเลยจึงจะได้โซเดียมต่ำระดับนี้

เอาละ ทีนี้ลองเอาหลักสี่ประการข้างต้นมาวิเคราะห์อาหารในไดอารี่ข้างบนนะ ก็ทำเป็นขั้นตอนดังนี้

1. วิเคราะห์แคลอรี่ ผลการนับแคลอรี่รวมได้ 2,641 แคลอรี่ เนื่องจากเรากำลังลดน้ำหนัก เราต้องการเพียง 1,200 แคลอรี่ จึงเกินเข้ามาวันละ 1,441 แคลอรี่ เมื่อวิเคราะห์ต่อไปอีกก็จะเห็นว่ากาแฟตอนเช้าเราได้แคลอรี่จำนวนมากจากน้ำตาลและครีมเทียม และจากอาหารอุตสาหกรรมเช่นคุ้กกี้ มื้อต่อๆไปแคลอรี่เกือบทั้งหมดมาจากน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร เพราะอาหารที่เราทานเป็นการปรุงด้วยวิธีทอดหรือผัดเป็นส่วนใหญ่ แคลอรี่อีกส่วนหนึ่งมาจากน้ำหวานน้ำอัดลมซึ่งไม่ได้ให้คุณค่าอย่างอื่นนอกจากให้แคลอรี่ซึ่งเรามีเกินอยู่แล้ว ขณะที่ผลไม้ หรือผัก หรือแม้กระทั่งเนื้อต่างๆที่ไม่ได้นำไปทอดนั้น ไม่ได้ให้แคลอรี่แก่เรามากมายเลย ดังนั้นเราก็พอจะกำหนดล่วงหน้าได้คร่าวๆแล้วว่าหากจะลดแคลอรี่ลง เราอาจใช้วิธีเลิกใช้ครีมเทียม เลิกใช้น้ำตาล และเปลี่ยนเมนูอาหารใหม่ที่เลี่ยงการผัดและทอด นอกจากจะเปลี่ยนเมนูแล้ว ความที่แคลอรี่เกินไปเยอะมาก เราอาจจะต้องตัดปริมาณอาหารที่ไม่ใช่โปรตีนและผักผลไม้ลงไปอีก เช่นอาจจะต้องเลิกทานข้าวในมื้อเย็น เป็นต้น

อนึ่ง ในการตรวจแหล่งที่มาของแคลอรี่นี้ มีแหล่งพลังงานสองชนิดที่ต้องจ้องลดลงเป็นพิเศษ คือ (1) เครื่องดื่มใส่น้ำตาลทั้งหลาย รวมทั้งน้ำอัดลม น้ำผลไม้ใส่น้ำตาล ชาเขียวใส่น้ำตาล กาแฟเย็น เป็นต้น เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้ให้แต่พลังงานโดยไให้คุณค่าอื่นเช่นวิตามินและเกลือแร่น้อยมาก (2) ไขมันผง หรือที่ฝรั่งเรียกว่า solid fat หรือ trans fat อันเป็นไขมันที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเช่น ครีมเทียม เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบ ทั้งหลาย พวก trans fat นี้นอกจากจะให้แคลอรี่ส่วนเกินมามากๆแล้วยังเป็นตัวเพิ่มไขมันเลว (LDL) ในเลือดทำให้เราเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลอดเลือดมากขึ้นด้วย

2. นับจำนวนผักผลไม้ ทั้งวันเราทานฝรั่งไปเทียบได้หนึ่งเสริฟวิ่ง และทานผักไปนิดเดียวเทียบได้ไม่ถึงครึ่งจานครึ่งหรือครึ่งเสริฟวิ่ง ยังต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรได้คือ 5 เสริฟวิ่งอยู่มาก ดังนั้นแผนอาหารใหม่ของเราต้องมีผักและผลไม้เพิ่มขึ้นอีกสักสามเท่าตัว

3. นับโปรตีน ทั้งวันโปรตีนจากสัตว์ที่เราได้คือเราได้ไข่จากข้าวผัดไปหนึ่งฟอง หนักราว 70 กรัมซึ่งให้โปรตีน 12% หรือ 8 กรัม ได้หมูจากข้าวผัดประมาณ 30 กรัม ซึ่งให้โปรตีน 20% หรือ 6 กรัม ได้ไก่จากผัดกะเพราประมาณ 30 กรัมซึ่งให้โปรตีนประมาณ 6 กรัมเช่นกัน เราทานข้าว 300 กรัม ได้โปรตีน 3% หรือ 9 กรัม ที่เหลือเป็นโปรตีนจากพืชอื่นๆเช่นเผือกในขนม รวมทั้งหมดประมาณ 3 กรัม รวมโปรตีนที่ได้ทั้งวันคือ 32 กรัม ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อยเกินไปไม่มากเกินไป ดังนั้นในแผนอาหารใหม่ของเราก็ไม่ต้องจงใจเพิ่มหรือลดโปรตีนให้มากเป็นพิเศษแต่อย่างใด

4. นับโซเดียมที่เราได้รับ เนื่องจากการนับโซเดียมอย่างละเอียดทำได้วิธีเดียวคือคำนวณจากตารางวิเคราะห์ซึ่งในทางปฏิบัติทำยาก วิธีที่พอปฏิบ้ติได้คือการเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม และเลิกนิสัยการเติมน้ำปลาพริกของเราเสีย

ขั้นที่ 5. กำหนดอาหารสำหรับตนเองขึ้นมา

การกำหนดอาหารก็คือการจัดทำเมนูอาหารของเราขึ้นมาเสียใหม่ ซึ่งก็จะมีหน้าตาคล้ายๆกับไดอารี่บันทึกอาหารที่เราทำไปแล้วนั่นแหละ เพียงแต่ว่ารายละเอียดของอาหารที่เราตั้งใจจะรับประทานเปลี่ยนไป โดยเอาหลักสี่ประการข้างต้นเข้าไปครอบ ตัวอย่างเช่น

แผนกำหนดอาหารใหม่ของนส.สุดสวย

วันที่ 2 พย. 53

เวลา รายการอาหาร
8.00 กาแฟ ไม่ใส่อะไรเลย ได้แคลอรี่ = 3
8.00 แอปเปิล 1 ลูก 100 กรัม ได้แคลอรี่ = 53
10.00 กาแฟ ได้แคลอรี่ = 3
10.00 กล้วยหอม 100 กรัม ได้แคลอรี่ = 140
12.00 ส้มตำ 200 กรัม ได้แคลอรี่ = 54
ไก่ย่างชิ้นโต 2 ชิ้น 100 กรัม ได้แคลอรี่ = 150
ข้าวเหนียว 100 กรัม ได้แคลอรี่ = 145
12.00 มะละกอและแตงโมหั่น 200 กรัม ได้แคลอรี่ = 20
16.00 ฝรั่งสับหนึ่งลูก 100 กรัม ได้แคลอรี่ = 50
18.00 ข้าวสวย 1 ทัพพี 100 กรัม ได้แคลอรี่ = 140
แกงผักกาดจอ 100 กรัม ได้แคลอรี่ = 56
ไข่ตุ๋น 2 ฟอง 150 กรัม ได้แคลอรี่ = 320
มะละกอหั่นจานเล็ก 100 กรัม ได้แคลอรี่ = 53

รวมทั้งวัน ได้แคลอรี่ = 1,187

ข้างต้นนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ในชีวิตจริงผู้ลดน้ำหนักต้องลองลงมือกำหนดอาหารของตัวเองดูก่อน ถูกๆผิดๆไม่เป็นไร จากนั้นจึงค่อยๆศึกษาเพิ่มเติม เรียนรู้แล้วบันทึกไว้ ขยันชั่งตวง ขยันอ่านฉลากอาหาร ขยันเปรียบเทียบ หัดปรุงอาหารเองให้มากที่สุด หัดเลือกซื้ออาหารแทนการสั่งอาหารแบบเอาง่ายเข้าว่า พัฒนาเมนูไปทุกวัน จนสามารถสรุปเป็นตารางกำหนดอาหารที่ลงตัวและสอดคล้องกับหลักสี่ประการข้างต้น ที่เอาไว้ใช้กับตัวเองได้

ตารางผนวก: ผลวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย

กองโภชนาการ กรมอนามัย ได้วิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทยไว้แล้วอย่างครอบคลุม ผมได้คัดเอาเฉพาะอาหารที่ทานกันบ่อยมาแสดงไว้ท้ายนี้ อนึ่ง ในตารางของกองโภชนาการนี้ต้องอ้างอิงจากปริมาณอาหาร 100 กรัมของส่วนที่กินได้เสมอ เช่น ตารางบอกว่าเส้นใหญ่ผัดซีอิ้วให้ 195 แคลอรี่หมายถึงจากเส้นใหญ่ผัดซีอิ้วหนัก 100 กรัม ถ้าทั้งจานซึ่งหนัก 320 กรัมก็จะได้ 624 แคลอรี่ เป็นต้น

กลุ่มที่ 1. ธัญพืชและผลิตภัณฑ์จากธัญญพืช (Cereals and products)

เลขที่ ชื่ออาหาร(ปริมาณ 100 กรัม)
01002 ก๋วยเตี๋ยว, เส้นเล็ก, เฉพาะเส้นสด, ยังไม่ได้ใส่น้ำ ให้แคลอรี่ = 220
01004 ขนมจีน,แป้งสด สุกแล้ว ให้แคลอรี่ = 90
01006 ขนมปังปอนด์ ให้แคลอรี่ = 329
01012 ข้าวสวย (หุง หรือนึ่งแล้ว) ให้แคลอรี่ = 141
01022 ข้าวโพด(เหลือง),ต้มสุก ให้แคลอรี่ = 117
01034 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพร้อมเครื่องปรุง, รสหมู, ยังไม่ได้ใส่น้ำ ให้แคลอรี่ = 454
01038 เส้นหมี่เกษตรผสมถั่ว, ยังไม่ใส่น้ำ ให้แคลอรี่ = 367


กลุ่มที่ 2. รากและหัวของพืชและผลิตภัณฑ์ (Starchy roots, tubes and products)

เลขที่ ชื่ออาหาร (100 กรัม)
Kcal หมายเหตุ
02002 เผือก ให้แคลอรี่ = 117
02003 มันแกว ให้แคลอรี่ = 37
02007 มันเทศ ให้แคลอรี่ = 97
02008 มันฝรั่ง ให้แคลอรี่ = 73
02009 มันสำปะหลัง ให้แคลอรี่ = 137
02010 แป้งมันสำปะหลังแห้ง ให้แคลอรี่ = 351
02014 หัวผักกาด,(ไชเท้า),สด ให้แคลอรี่ = 22

กลุ่มที่ 3. ผลไม้เปลือกแข็ง พืชเมล็ด ถั่วเมล็ดแห้ง และผลิตภัณฑ์

เลขที่ ชื่ออาหาร (100 กรัม)
03005 งาขาว, คั่ว ให้แคลอรี่ = 697
03010 งาดำ, คั่ว ให้แคลอรี่ = 625
03011 เต้าเจี้ยว,ขาว ให้แคลอรี่ = 126
03012 เต้าหู้ขาว,อ่อน ให้แคลอรี่ = 46
03013 เต้าหู้เหลือง ให้แคลอรี่ = 150
03014 เต้าหู้ทอด,เต้าหู้พอง ให้แคลอรี่ = 354
03018 ถั่วเขียว, ดิบ ให้แคลอรี่ = 347
03067 วุ้นเส้น แห้ง (จากถั่วเขียว) ให้แคลอรี่ = 337
03021 ถั่วแดง,ดิบ ให้แคลอรี่ = 332
03024 ถั่วดำ, ดิบ ให้แคลอรี่ = 357
03041 ถั่วลิสง, ดิบ ให้แคลอรี่ = 538
03047 ถั่วเหลือง, ดิบ ให้แคลอรี่ = 430
03048 นมถั่วเหลือง ให้แคลอรี่ = 72
03049 แปะก๊วย,เมล็ด,ไม่มีเปลือก ให้แคลอรี่ = 191
03050 มะพร้าวขูด ให้แคลอรี่ = 326
03052 เนื้อมะพร้าวอ่อน ให้แคลอรี่ = 73
03057 เมล็ดถั่วพู, ลวก, ปอกเปลือก ให้แคลอรี่ =309
03062 เมล็ดมะม่วงหิมพานต์, ดิบ ให้แคลอรี่ = 600
03064 ลูกเดือย, ดิบ ให้แคลอรี่ = 372

กลุ่มที่ 4. ผักและผลิตภัณฑ์จากผัก

เลขที่ ชื่ออาหาร (100 กรัม)
04011 กะเพราแดง,ใบ ให้แคลอรี่ = 46
04012 กะหล่ำ,ดอก ให้แคลอรี่ = 13
04013 กะหล่ำปลี ให้แคลอรี่ = 16
04018 ข้าวโพดอ่อน ให้แคลอรี่ = 33
04022 ขิงแก่ ให้แคลอรี่ = 28
04030 แครอท ให้แคลอรี่ = 42
04050 ตำลึง,ใบ,ยอดอ่อน ให้แคลอรี่ = 39
04052 แตงกวา ให้แคลอรี่ = 15
04057 ถั่วงอก ให้แคลอรี่ = 39
04060 ถั่วฝักยาว ให้แคลอรี่ = 39
04062 ถั่วพู, ฝักอ่อน ให้แคลอรี่ = 23
04070 ผลน้ำเต้า ให้แคลอรี่ = 17
04075 บร็อคโคลี่ ให้แคลอรี่ = 33
04076 บวบงู ให้แคลอรี่ = 16
040977 ผักกาดขาว ให้แคลอรี่ = 11
04111 ผักคะน้า ให้แคลอรี่ = 31
04125 ผักบุ้งขาว ให้แคลอรี่ = 27
113 พริกหนุ่ม ให้แคลอรี่ = 11
114 พริกหยวก ให้แคลอรี่ = 27
116 พริกหวาน, พริกยักษ์ ให้แคลอรี่ = 55
119 ฟักทอง เนื้อ ให้แคลอรี่ = 124
131 มะเขือเทศ ให้แคลอรี่ = 22
143 มะละกอดิบ ผลยาว ให้แคลอรี่ = 13
162 หน่อไม้ไผ่ตง ให้แคลอรี่ = 27
172 เห็ดฟาง (เห็ดบัว) ให้แคลอรี่ = 43

กลุ่มที่ 5. ผลไม้และผลิตภัณฑ์จากผลไม้

เลขที่ ชื่ออาหาร (100 กรัม)
05004 กล้วยหอม ให้แคลอรี่ = 132
05006 ขนุนละมุด ให้แคลอรี่ = 117
05008 เงาะโรงเรียน ให้แคลอรี่ = 76
05014 ชมพู่เมืองเพชร ให้แคลอรี่ = 28
05017 แตงไทย, สุก ให้แคลอรี่ = 13
05018 แตงโม, สุก ให้แคลอรี่ = 8
05023 ทุเรียนหมอนทอง ให้แคลอรี่ = 163
05026 ฝรั่ง, กลมสาลี่ ให้แคลอรี่ = 43
05037 มะขามหวาน ให้แคลอรี่ = 333
05043 มะม่วงเขียวเสวย, ดิบ ให้แคลอรี่ = 61
05045 มะม่วงเขียวเสวยสุก ให้แคลอรี่ = 82
05056 มะละกอ, ดิบ ให้แคลอรี่ = 24
05057 มะละกอ, สุก ให้แคลอรี่ = 53
05060 มังคุด ให้แคลอรี่ = 82
05062 ละมุด, ไทย ให้แคลอรี่ = 93
05064 ลางสาด ให้แคลอรี่ = 67
05066 ลำใย, กะโหลก ให้แคลอรี่ = 77
05068 ลิ้นจี่ ให้แคลอรี่ = 57
05074 ส้ม, เขียวหวาน ให้แคลอรี่ = 42
05075 ส้มโอ, ทองดี ให้แคลอรี่ = 44
แอปเปิล ให้แคลอรี่ = 53

กลุ่มที่ 6. เนื้อสัตว์

เลขที่ ชื่ออาหาร(100 กรัม)
06001 เนื้อไก่สด ให้แคลอรี่ = 165
06017 แคบหมู] (มีมัน) ให้แคลอรี่ = 626
06021 เนื้อวัวสด ให้แคลอรี่ = 134
06023 เนื้อวัวติดมันทอด ให้แคลอรี่ = 412
06030 เนื้อหมูสด ให้แคลอรี่ = 108
06032 มันหมูสด ให้แคลอรี่ = 714
06033 เลือดหมูสุก ให้แคลอรี่ = 36
06039 ไส้กรอกหมู, ทอด ให้แคลอรี่ = 409

กลุ่มที่ 7. อาหารทะเล

เลขที่ ชื่ออาหาร (100 กรัม)
07002 กุ้งกุลาดำ, เนื้อกุ้ง ให้แคลอรี่ = 92
07006 กุ้งฝอย, สด ให้แคลอรี่ = 88
07012 ปลากระบอก ให้แคลอรี่ = 98
07015 ปลาช่อน ให้แคลอรี่ = 122
07017 ปลาดุก ให้แคลอรี่ = 114
07023 ปลาทู, สด ให้แคลอรี่ = 140
07024 ปลาทูน่า, สด ให้แคลอรี่ = 110
07025 ปลาทูน่า, ในน้ำมัน ให้แคลอรี่ = 218
07063 หอยแมลงภู่ ให้แคลอรี่ = 53


กลุ่มที่ 8. ไข่


เลขที่ ชื่ออาหาร (100 กรัม)
08001 ไข่ไก่รวมไข่แดงไข่ขาว 100 กรัม ให้แคลอรี่ =160 (หนึ่งฟองหนัก 70 กรัม)
08005 ไข่เป็ดรวมไข่แดงไข่ขาว 100 กรัม ให้แคลอรี่ =186 (หนึ่งฟองหนัก 75 กรัม)


กลุ่มที่ 9. นมและผลิตภัณฑ์

เลขที่ ชื่ออาหาร (100 กรัม)
09003 นมข้นหวาน,คืนรูป ให้แคลอรี่ = 324
09006* นมเปรี้ยว,ยาคูลท์ ให้แคลอรี่ = 54
09022* นมสด,ยูเอชที ให้แคลอรี่ = 65
09023* นมสด,ยูเอชที,รสหวาน ให้แคลอรี่ = 69
09024* นมสด,พร่องมันเนย,,ยูเอชที ให้แคลอรี่ = 42
09028 เนย, ชนิดเค็ม Butter, salted ให้แคลอรี่ = 764
09029 เนยแข็ง, เชดาร์ ให้แคลอรี่ = 340
09030 โยเกิร์ต (yogert cream)ให้แคลอรี่ = 107


กลุ่มที่ 11. อาหารปรุงสำเร็จและอาหารจานเดียว

เลขที่ ชื่ออาหาร(100 กรัม)
11001 กระเพราะปลา, ปรุงสำเร็จ 100 กรัม ให้แคลอรี่ = 83 Z(1 ถ้วย = 200 กรัม)
11006 ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก, หมู, ตับ, แห้ง 100 กรัมให้แคลอรี่ = 227 (1 จาน = 230 กรัม)
11004 ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย, ใส่ไข่ 100 กรัมให้แคลอรี่ = 239 (1 จาน = 250 กรัม)
11010 ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่, ราดหน้าหมู 100 กรัมให้แคลอรี่ = 113 (1 จาน = 310 กรัม)
11011 ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่, ผัดซีอิ้วใส่ไข่ 100 กรัมให้แคลอรี่ = 195 (1 จาน = 320 กรัม)
11017 แกงเขียวหวานหมู 100 กรัมให้แคลอรี่ = 93
11022 แกงผักกาดจอ, ภาคเหนือ 100 กรัมให้แคลอรี่ = 56
11025 แกงมัสมั่นเนื้อ 100 กรัมให้แคลอรี่ = 252
11026 แกงส้มผักรวมกับปลา 100 กรัมให้แคลอรี่ = 24
11034 แกงอ่อมปลา 100 กรัมให้แคลอรี่ = 53
11035 แกงฮังเล 100 กรัมให้แคลอรี่ = 221
11037 ขนมจีนซาวน้ำ, ภาคกลาง 100 กรัมให้แคลอรี่ = 120
11038 ขนมจีนน้ำเงี้ยว, ผักรวม 100 กรัมให้แคลอรี่ = 84
11049 ข้าวคลุกกะปิ 100 กรัมให้แคลอรี่ = 209 (1 จาน = 300 กรัม)
11051 ข้าวผัดหมู, ใส่ไข่ 100 กรัมให้แคลอรี่ = 178 (1 จาน = 300 กรัม)
11052 ข้าวมันไก่ 100 กรัมให้แคลอรี่ = 199 (1 จาน = 300 กรัม)
11056 ข้าวราดหน้าไก่ผัดใบกระเพรา 100 กรัมให้แคลอรี่ = 191 (1 จาน = 300 กรัม)
11057 ข้าวหมกไก่ 100 กรัมให้แคลอรี่ = 158 (1 จาน = 300 กรัม)
11058 ข้าวหมูแดง 100 กรัมให้แคลอรี่ = 169 (1 จาน = 300 กรัม)
11081 ส้มตำ, อีสาน 100 กรัมให้แคลอรี่ = 28


กลุ่มที่ 12. ขนมหวาน

เลขที่ ชื่ออาหาร (100 กรัม)
12001 กล้วยไข่, เชื่อม ให้แคลอรี่ = 241
12002 กล้วยแขก ให้แคลอรี่ = 326
12005 ขนมชั้น ให้แคลอรี่ = 276
12007 ขนมลูกชุบ ให้แคลอรี่ =284
12013 ข้าวเกรียบกุ้งฮานามิ ให้แคลอรี่ = 490
12014 ข้าวเหนียวมูล ให้แคลอรี่ = 285
12015 ซ่าหริ่ม ให้แคลอรี่ = 162
12017 ทองหยอด ให้แคลอรี่ = 340
12018 ทองหยิบ ให้แคลอรี่ = 393
12019 บัวลอยเผือก ให้แคลอรี่ = 152
12023 ลอดช่องน้ำกะทิ ให้แคลอรี่ = 133
12024 วุ้นกะทิใบเตย ให้แคลอรี่ = 133
12025 สังขยา, ไข่ ให้แคลอรี่ = 177



ตอนที่ 3. การออกกำลังกาย

(เอาไว้เขียนโอกาสหน้าครับ)
[อ่านต่อ...]