Spiritual Trap กับดักสลายพลังชีวิต

ภาพวันนี้ / ดอกกระเจียว

(กรณีอ่านจากเฟซบุ้ค กรุณาคลิกที่ภาพ)

หมอสันต์พูดกับสมาชิก SR

คำว่า Spirituality ซึ่งเป็นที่มาของชื่อแค้มป์นี้แปลว่าพลังชีวิต (life energy) ไม่ได้แปลว่าวิญญาณที่จะล่องล่อยไปหลังตายแล้วอย่างที่บางคนเข้าใจ

แหล่งที่มาของพลังชีวิตก็คือความสนใจ (attention) ของเรานั่นเอง ครูสอนรำมวยจีนของผมท่านหนึ่งพูดว่า “จิตอยู่ที่ไหน ชี่อยู่ที่นั่น” จิตของท่านในที่นี้ก็สติหรือความสนใจ ชี่ท่านหมายถึงพลังชีวิต

อะไรที่เราสนใจมันมาก เราก็จะทำจะเล่นกับมันบ่อยๆ เรียกว่าเรารักชอบหรือถูกจริต (passion) กับสิ่งนั้น และหากเราเล่นกับมันทำกับมันมากเข้า มันก็จะกลายเป็นเป้าหมายชีวิต (life purpose) ของเราไปโดยปริยาย

ดังนั้นเรื่องพลังชีวิตนี้จึงมีคำสำคัญอยู่สามคำ คือ attention, passion และ life purpose ทั้งสามคำนี้เป็นตัวให้กำเนิดและให้ความต่อเนื่องแก่พลังชีวิต

แล้วที่ผมจั่วหัวไว้ว่า Spiritual trap นี้หมายความว่าอย่างไร

ผมตั้งใจให้หมายถึงเหตุการณ์ที่คนเราเมื่อเกิดมาก็ถูกครอบด้วยกรงของคอนเซ็พท์หรือการปลูกฝังความคิดผิดชอบชั่วดีเสียอยู่หมัดและต่อเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งชีวิตไม่มีโอกาสได้พบเห็นอะไรที่อยู่พ้นกรงของคอนเซ็พท์ที่ถูกปลูกฝังให้ เผอิญว่าคอนเซ็พท์เหล่านั้นล้วนเป็นความคิดที่คนหรือกลุ่มชนอุปโลกน์ขึ้น และเมื่อถูกฝังลงไปในหัวของเราแล้วก็จะถูกรีไซเคิลขึ้นมาเป็นความคิดอีกครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ทั้งชีวิตไม่ได้สัมผัสอะไรใหม่ๆเลยนอกจากขยะรีไซเคิลในรูปของความคิดเก่าๆที่ดาหน้าโผล่ขึ้นมาในแต่ละวัน

หนึ่งในขยะที่เราถูกปลูกฝังให้ก็คือคอนเซ็พท์ที่ว่าเกิดมาเป็นคนจะต้องใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและมีความหมาย ซึ่งคุณค่าและความหมายนี้ไม่ใช่แม้กระทั่งความคิดที่เราคิดขึ้นเองด้วยซ้ำไป แต่เป็นคอนเซ็พท์สำเร็จรูป (default) ที่ถูกชงไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วเหมือนนมผงเลี้ยงเด็กที่เด็กมีหน้าที่ถือขวดแล้วดูดเท่านั้น

ในชีวิตจริง มันจะมีบางช่วงบางเวลาที่เราจะเกิด “ค้นพบ” ขึ้นมาว่าเอ๊ะ ชีวิตของเราเนี่ยมันไร้ค่า ไร้ความหมาย

ช่วงเวลาที่เกิดการเอ๊ะขึ้นนี้ เท่าที่ผมสังเกตเอาจากผู้ป่วยของผมอย่างน้อยก็มีอยู่สามช่วง คือช่วงเข้าครึ่งชีวิต (mid life) คือราวสี่สิบห้าสิบ ช่วงหนึ่ง ช่วงเกษียณใหม่ๆ คือราวหกสิบอีกช่วงหนึ่ง และช่วงที่แก่แดดแก่ลมได้ที่คือราวเจ็ดสิบปลายๆต่อแปดสิบอีกช่วงหนึ่ง พิมพ์นิยมของเสียงเอ๊ะนี้ก็คือ

“..ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม อยู่ไปเพื่ออะไร”

เพราะว่าชีวิตที่ผ่านมา หรือที่กำลังเป็นอยู่ ณ ขณะนั้น มันไม่ได้สะเป็คว่าเป็นชีวิตที่มีคุณค่ามีความหมาย ตรงกันข้ามมันดูจะเป็นชีวิตที่ไร้ค่าไร้ความหมายเสียมากกว่า มันจึงทำให้ถอดใจและท้อถอย คนส่วนหนึ่งสามารถเอาตัวรอดสันดอนทั้งสามจุดนี้ไปได้ด้วยการเอาคอนเซ็พท์เรื่องคุณค่าและความหมายของชีวิตเดิมๆที่ตนฝังหัวตนไว้ขึ้นมารีวิวหรือมาสำทับกับตัวเองให้ทนต่อไป แบบว่า

“..เออ น่า อยู่ไปเหอะ อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลาน”

แต่บางคนก็ไม่สามารถรอดสันดอนไปได้ บ้างต้องจบด้วยยาต้านซึมเศร้า บ้างไม่กินยาแต่ก็มีชีวิตอยู่แบบพระเอกนางเอกเรื่องศาลาคนเศร้า บ้างเสาะหาวิธีไปใช้บริการ Euthanasia ที่สวิสเซอร์แลนด์ บ้างก็ commit suicide จบข่าวรู้แล้วรู้รอดไปเลย

อาการที่ถูกคอนเซ็พท์เรื่องคุณค่าและความหมายของชีวิตดูดให้หล่นพลุบลงไปนี่แหละที่ผมเอามาตั้งเป็นชื่อเรื่องวันนี้ว่า Spiritual Trap

แล้วทำไมผมแปลคำจั่วหัวเรื่องว่า “กับดักสลายพลังชีวิต”

ก็เพราะอาการหล่นลงไปในกับดักนี้มันเป็นอาการเดียวกับคนที่หมดสิ้นซึ่งพลังชีวิต เหตุที่พลังชีวิตหมดก็เพราะมันถูกทอนหรือถูกดูดด้วยความคิดลบซ้ำซาก ซึ่งในที่นี้ก็คือความคิดที่ว่าชีวิตนี้มันไม่ได้มาตรฐานของชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย

การจะออกจากกับดักนี้ก็ไม่ยากเลย แค่ทุบคอนเซ็พท์คุณค่าและความหมายของชีวิตทิ้งไปเสียก็หลุดจากกับดักได้แล้ว

ตลอดชีวิตของคนเรามันมีหลายครั้งมากที่เราสร้างคอนเซ็พท์หรือกรงความคิดครอบเราเองไว้ทำให้กระดิกกระเดี้ยลำบากมีชีวิตที่อับจน แต่กรง “คุณค่าและความหมายของชีวิต” นี้เป็นกรงที่จัดว่าดูหรูไฮที่สุดขณะเดียวกันก็เป็นคอนเซ็พท์ที่ซังกะบ๊วยต่อชีวิตเรามากที่สุด

ย้ำอีกที คุณค่าและความหมายของชีวิตเป็นคอนเซ็พท์ซังกะบ๊วย ชีวิตที่ดีไม่เกี่ยวอะไรกับคุณค่าและความหมาย คุณค่าและความหมายเป็นส่วนหนึ่งของนิทานที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราวชีวิตเรา (life situation) ซึ่งเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะเรื่องราวชีวิตของเรามันไปตั้งฐานอยู่บนคอนเซ็พท์เรื่องเวลาอดีตอนาคตซึ่งไม่มีอยู่จริง แล้วมันจะเป็นเรื่องจริงไปได้อย่างไร สิ่งที่เป็นของจริงคือการใช้ชีวิต (living) ซึ่งเกิดเฉพาะที่เดี๋ยวนี้ และซึ่งเรามีทรัพยากรอยู่สองอย่างเท่านั้นคือ (1) พลังชีวิต (2) เวลา ซึ่งเผอิญอย่างหลังนี้เขาให้มาแค่ทีละหนึ่งลมหายใจ ถ้าในหนึ่งลมหายใจนี้เรารู้วิธีปลุกพลังชีวิตขึ้นมาเราก็ใช้ชีวิตอย่าง joyful ได้ ชีวิตนี้ก็เป็นชีวิตที่ดีแล้ว อย่าไปห่วงว่าชีวิตของเราจะไม่มีคุณค่าไม่มีความหมาย เมื่อชีวิตของเรา joyful คนอยู่รอบๆตัวเราเขาจะได้รับใบบุญเอง นั่นแหละคือคุณค่าและความหมายที่แท้จริงของชีวิต

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี