30 มิถุนายน 2561

อาหารสำหรับคนป่วยเป็นมะเร็งเต้านม

สวัสดีค่ะ คุณหมอสันต์
หนูเป็นมะเร็งเต้านม ระยะ 0-1 ทำการรักษาโดยตัดเต้านมข้างซ้าย  และ คีโม 4 เข็ม  ทานยาต้านฮอร์โมน ทาม็อกซิเฟน 5 ปี ตอนนี้ผ่านไป 1 ปี ละค่ะ
อยากเรียนถามคุณหมอ ว่า เมื่อเราทานยาต้านฮอร์โมนควบคุม ไม่ให้เอสโตรเจ่น สูง  หนู  งดกินเนื้อสัตว์ นมวัว และพยายามทานผัก ผลไม้ แต่สงสัยมาก ว่า เอสโตรเจนในพืช ถั่ว เช่น น้ำมะพร้าว แครอท ถั่วเหลือง ถั่วต่างๆ เมื่อทานมากๆ จะไปกระตุ้นฮอร์โมนตัวนี้ ให้เพิ่มมากขึ้นไหม  ลองถามคุณหมอที่รักษา บอกว่า ทานได้เพราะเป็น ไฟโตรเอสโตรเจน จะไปช่วยต้านมะเร็งด้วยซ้ำ แต่เคยอ่านเจอในบทความที่คนเป็นหมอเหมือนกันเขียนว่าควรหลีกเลี่ยง พวกพืช ผลไม้ ที่มีเอสโตรเจนสูง  หากมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเยอะ ตอนนี้สับสน และ ไม่กล้าทาน พอไม่ทาน ก็กลัวได้สารอาหารไม่ครบ เพราะงดทานเนื้อและนม
หนูหาข้อมูลหลายแห่ง ไม่เจอที่พูดถึงอาหารของคนที่เป็นมะเร็งเต้านม กรณี มีตัวรับฮอร์โมน ขอความกรุณาคุณหมอให้ความกระจ่างด้วยค่ะ  คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับใครหลายคน
ขอแสดงความนับถือ

....................................

ตอบครับ

     ปัญหาของคุณคือหมอ หมายถึงแพทย์ สองคนพูดไม่เหมือนกัน แถมพูดตรงกันข้ามกันเสียด้วย คุณจึงไม่รู้จะเชื่อใคร จึงเขียนมาหมอสันต์ สมมุติว่าหมอสันต์ตอบเหมือนหมอคนที่หนึ่ง คราวนี้เสียงก็เป็น 2 ต่อ 1 แต่ถ้าคุณยังไม่ชัวร์ไปถามหมอคนที่สี่อีก หากหมอคนที่สี่ตอบแบบหมอคนที่สอง อ้าว เสียงกลับมาก้ำกึง 2 ต่อ 2 อีกแล้ว ต้องไปถามคนที่ห้า แล้วชีวิตคุณจะไปจบที่ไหนละครับ

     การที่แพทย์พูดไม่เหมือนกันนั้นเป็นเพราะแพทย์แต่ละคนเข้าถึงและประเมินข้อมูลหลักฐานวิทยาศาสตร์ได้ไม่เท่ากัน บางคนรู้มาก บางคนรู้น้อย บางคนรู้มาเท่ากันแต่ชั่งน้ำหนักและประเมินข้อมูลในภาพรวมได้เก่งไม่เท่ากัน หากคุณจะถามแพทย์คนโน้นแล้วไปถามแพทย์คนนี้ ชีวิตนี้คุณไม่ต้องทำอะไร แค่ตระเวณถามแพทย์ไปทีละคนยังไม่ทันสรุปอะไรได้คุณก็แก่ตายเสียก่อนแล้ว ทางเดียวที่คุณจะจบเคสได้ คือคุณต้องหัดประเมิน จัดชั้น และวิเคราะห์หลักฐานวิทยาศาสตร์ให้เป็น แล้วตัดสินใจเลือกเชื่อหลักฐานที่ดีกว่าให้ได้ด้วยตัวคุณเอง ไหนๆก็พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมขออธิบายอีกครั้งหนึ่งนะ ว่าหลักฐานวิทยาศาสตร์หรืองานวิจัยนั้นมันแบ่งเป็นหลายชั้น นับตั้งแต่ชั้นที่เชื่อถือได้มากที่สุดลงไปถึงเชื่อถือได้น้อยที่สุดตามลำดับ ผมแบ่งให้ฟังง่ายๆดังนี้

     หลักฐานชั้นที่ 1. งานวิจัยในกลุ่มคน โดยแบ่งคนที่ถูกวิจัยออกเป็นสองกลุ่มเปรียบเทียบกัน โดยที่วิธีแบ่งกลุ่มนั้นเป็นการจงใจการจับฉลากแบ่งกลุ่ม (randomized controlled trial หรือ RCT) เช่น ให้จับฉลากเบอร์ดำเบอร์แดง คนจับได้เบอร์ดำ ให้กินยาจริง คนจับได้เบอร์แดง ให้กินยาหลอก โดยทั้งคนให้ยาและคนกินยาต่างก็ไม่รู้ว่าอันไหนยาจริงอันไหนยาหลอก มีแต่นายทะเบียนคนเดียวที่รู้ งานวิจัยแบบนี้เป็นงานวิจัยที่เชื่อถือได้มากที่สุด เพราะการสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเป็นวิธีตัดปัจจัยกวน (confound factors)ได้เด็ดขาด บางครั้งผู้วิจัยได้เอาข้อมูลจากงานวิจัยแบบนี้หลายๆงานวิจัยมารวมกันแล้ววิเคราะห์ผลใหม่ เรียกว่าทำเมตาอานาไลซีส (meta-analysis) ซึ่งผลที่ได้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานที่ดีเช่นกัน

     หลักฐานชั้นที่ 2. งานวิจัยกลุ่มคนแบบตามไปดูข้างหน้า (prospective cohort study) โดยอาจเอาข้อมูลไปเปรียบเทียบกับคนกลุ่มอื่น โดยที่วิธีแบ่งกลุ่มนั้นเป็นการแบ่งกันเองตามธรรมชาติ ไม่มีการสุ่มจับฉลากแบ่งกลุ่ม (non randomized controlled trial) เช่นการวิจัยเปรียบเทียบคนดื่มกาแฟกับคนไม่ดื่มกาแฟ เป็นต้น เขาก็ดื่มหรือไม่ดื่มของเขาอยู่แล้ว แค่ไปดูการเป็นโรคว่าต่างกันไหม อันนี้เป็นหลักฐานขั้นที่ดีรองลงไป ยังเชื่อถือไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นรูปแบบการวิจัยที่อาจเจอปัจจัยกวนที่ผู้วิจัยคิดไม่ถึงทำให้แปลผลวิจัยผิดความจริงได้

     หลักฐานชั้นที่ 3. งานวิจัยในกลุ่มคนแบบย้อนดูอดีต (retrospective) โดยอาจเอาข้อมูลไปเปรียบเทียบกับข้อมูลย้อนหลังของคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คล้ายกัน (case control) คือไปดูอดีตของคนไข้จริงๆที่ได้กินยามาก่อนหน้านั้นแล้วนานแล้ว เปรียบเทียบกับคนกลุ่มอื่นที่ไม่ได้กินยามา เพื่อดูว่าแต่ละกลุ่มเป็นโรคมากหรือน้อยกว่ากันอย่างไร จัดว่ามีความน่าเชื่อถือน้อยลงไป เพราะเหตุการณ์นั้นเกิดแล้วจบแล้ว ปัจจัยกวนหลายๆอย่างแม้จะรู้ๆแต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้

     หลักฐานชั้นที่ 4. งานวิจัยในสัตว์ หรือในห้องแล็บ หรือห้องทดลอง (animal or lab research) ไม่ได้ทำวิจัยในคนจริงๆ ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าเป็นหลักฐานระดับต่ำ เป็นเรื่องในจานเพาะเลี้ยง (in vitro) เป็นคนละเรื่องกับในร่างกายคน (in vivo) ยังห่างไกลจากจุดที่จะเอามาใช้ในคนได้

    ทั้งหมดนี้จะเห็นว่าผมไม่ได้พูดถึงข้อมูลจำนวนมากในอินเตอร์เน็ทที่ไม่ได้เข้าเกณฑ์หลักฐานชั้นใดชั้นหนึ่งข้างตนเลย คือเป็นแค่ เรื่องเล่า (anecdotal) หรือเป็น ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (expert opinion) การที่คุณฟังมาว่าหมอคนโน้นว่าอย่างนี้หมอคนนี้ว่าอย่างนั้นก็เป็นแค่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ บางท่านก็อ้างประสบการณ์ บางท่านก็อ้างทฤษฎีหรูๆฟังน่าเลื่อมใสแต่ไม่มีงานวิจัยที่ได้ตีพิมพ์ไว้แล้วอย่างเป็นระบบรองรับคำกล่าวอ้างนั้นแต่อย่างใด บางครั้งก็เป็น คำให้การของบุคคล (testimonial) เช่นคำโฆษณาว่านาง ก.ไก่ กินแล้วหายจากเบาหวาน นาย ข.ไข่ กินแล้วหายจากไข่บวม บ้างก็ถ่ายรูปคนกินมาให้ดูก็มี  ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ผมไม่ได้พูดถึงเพราะวงการแพทย์ไม่ได้ถือว่าทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์..เลย

     คุณและท่านผู้อ่านต้องเอาหลักการแบ่งชั้นของหลักฐานที่ผมกล่าวแล้วข้างต้นนี้ไปหัดกลั่นกรองคำพูดของหมอหรือหลักฐานที่ร่อนมาตามอินเตอร์เน็ทเอาเอง สำหรับท่านที่ไม่ยอมกลั่นกรองอะไรด้วยตัวเอง ได้แต่ร้องกระต๊าก..กระต๊าก นั้น ผมคงจนปัญญาไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้

     เอาละคราวนี้มาตอบคำถามของคุณ คุณถามว่าถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองเช่นเต้าหู้และนมถั่วเหลือง ทำให้เป็นมะเร็งเต้านมจริงหรือไม่ ตอบว่าไม่จริงครับ โดยเรื่องนี้มีหลักฐานสองระดับ

     ระดับที่  1. หลักฐานระดับในคน ตอบได้เลยว่าถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ไม่ทำให้เป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น ไม่เคยมีหลักฐานวิทยาศาสตร์ระดับงานวิจัยในคนแม้แต่ชิ้นเดียวที่บ่งชี้ไปในทางว่าการกินถั่วเหลืองหรือนมถั่วเหลืองจะมีความสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม มีหลักฐานวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่าการกินถั่วเหลืองทำให้เป็นมะเร็งเต้านมน้อยลง กล่าวคือ

     1.1 สำหรับคนทั่วไป การกินถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง สัมพันธ์กับการการลดอุบัติการณ์เป็นมะเร็งเต้านมลงได้ งานวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องนี้เป็นการทบทวนงานวิจัยแบบเมตาอานาไลซีสที่เอางานวิจัยคิดตามดูกลุ่มคน (prospective cohort) ในเอเซียขนาดใหญ่รวมทั้งสิ้น 8 งานวิจัยมาวิเคราะห์ ซึ่งให้ผลสรุปว่าคนยิ่งกินถั่วเหลืองมาก ยิ่งมีอุบัติการณ์เป็นมะเร็งเต้านมต่ำ

     1.2 สำหรับคนที่เป็นมะเร็งเต้านมไปเรียบร้อยแล้ว การทบทวนงานวิจัยซึ่งติดตามดูผู้เป็นมะเร็งเต้านมโดยเปรียบเทียบผู้ที่กินกับไม่กินถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง พบว่าหญิงเป็นมะเร็งเต้านมที่กินถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองมีอัตรากลับเป็นมะเร็งเต้านมซ้ำหลังตัดออกแล้ว (recurrent rate) ต่ำกว่าหญิงที่ไม่กินถั่วเหลือง 29% และมีอัตราตาย(mortality rate) ต่ำกว่าหญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมแต่ไม่กินถั่วเหลือง 36%  ทั้งนี้นิยามว่าการกินถั่วเหลืองคือกินเทียบกับสารฟลาโวนอยด์หนัก 17 กรัมต่อวัน (เทียบเท่านมถั่วเหลืองหนึ่งแก้วต่อวัน)

     ระดับที่ 2. หลักฐานระดับในห้องทดลอง ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานระดับต่ำแต่ก็ทำเพื่อหาเบาะแสว่าไฟโตเอสโตรเจนจากถั่วเหลืองจะเสริมการเติบโตของเซลมะเร็งในจานเพาะเลี้ยงเช่นเดียวกับเอสโตรเจนจากแหล่งอื่นเช่นยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทนหรือไม่ พบว่าหลักฐานเท่าที่มีอยู่ตอนนี้ยังขัดแย้งกันอยู่ คือบางงานวิจัยสรุปว่าไฟโตเอสโตรเจนอาจกระตุ้นการเติบโตของเซลมะเร็งได้ผ่านกลไกจากนี่ไปนั่นจากนั่นไปโน่น บางงานวิจัยบอกว่าไฟโตเอสโตรเจนเหมือนยาต้านมะเร็งเต้านมคือไปจับกับตัวรับเอสโตรเจนก็จริงแต่มีผลระงับการเกิดมะเร็งคล้ายกับการออกฤทธิ์ของยาต้านมะเร็งเต้านมบางตัว(SERM)

     โหลงโจ้งแล้วหลักฐานในห้องทดลองยังขัดกันเอง จนไม่สามารถสรุปอะไรได้ในตอนนี้ครับ ผมย้ำอีกทีว่าหลักฐานการวิจัยระดับห้องทดลองเป็นหลักฐานระดับต่ำที่ยังใช้ในคนไม่ได้ มันไม่ได้ง่ายแบบว่าเอาอะไรใส่จานเพาะเลี้ยงแล้วทำให้เซลมะเร็งตายได้ หากเอาสิ่งนั้นมาให้คนกินแล้วจะรักษามะเร็งได้ ยกตัวอย่างเช่นคุณฉี่ใส่จานเพาะเลี้ยงมะเร็งนี่ก็ทำให้เซลมะเร็งตายได้แล้ว แต่คุณเคยได้ยินว่ามีใครทำวิจัยในคนจริงพบว่าคนที่กินฉี่ตัวเองแล้วหายจากมะเร็งบ้างไหมละครับ ไม่มี้ ดังนั้นอย่าไปบ้าจี้กับหลักฐานระดับต่ำ โปรดสังเกตว่าในบรรณานุกรมท้ายบทความของผมส่วนใหญ่ ผมแทบไม่เคยอ้างผลวิจัยระดับที่ทำให้ห้องทดลองเลย

     สรุป หมอสันต์แนะนำให้ท่านผู้อ่านถือเอาตามหลักฐานระดับสูงที่สุดเท่าที่มีตอนนี้ คืองานวิจัยติดตามดูกลุ่มคน ซึ่งมีผลสรุปชัดแล้วว่ากินถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง สัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งเต้านมน้อยลง เป็นน้อยลงนะครับ ไม่ใช่เป็นมากขึ้น

     อนึ่ง คำแนะนำของสมาคมมะเร็งอเมริกัน (ACS) แนะนำให้คนป้องกันมะเร็งด้วยการกินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก (plant based diet) ใช้ธัญพืชไม่ขัดสี ลดอาหารเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและเนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรับแต่งถนอม (ไส้กรอก เบคอน แฮม) ลง เพราะเนื้อสัตว์ดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งหลายชนิด รวมทั้งมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม
1. Wu AH, Yu MC, Tseng CC and Pike MC. Epidemiology of soy exposures and breast cancer risk. British Journal of Cancer (2008) 98, 9–14. doi:10.1038/sj.bjc.6604145
2. Nechuta SJ, Caan BJ et al. Soy food intake after diagnosis of breast cancer and survival. An in-depth analysis of combined evidence from cohort study of US and Chinese women. Am J Clin Nutr 2012;96:123-32
3. American Cancer Society. ACS Guidelines on Nutrition and Physical Activity for Cancer Prevention. Available on June 29, 2018 at https://cancer.org/healthy/eat-healthy-get-active/acs-guidelines-nutrition-physical-activity-cancer-prevention.html
[อ่านต่อ...]

29 มิถุนายน 2561

มีแต่ความกลัวเป็น "ขี้" กองอยู่ในสมองของตัวเอง

คุณหมอสันต์ครับ

     ผมชอบมากที่คุณหมอตอบคำถามเรื่องชีวิต ผมนำไปใช้ได้หลายเรื่อง แต่ทำไมคุณหมอหลีกเลี่ยงการพูดถึงบาปบุญคุณโทษ ความดีชั่วและศีลธรรม หรือว่ามันไม่สำคัญสำหรับคุณหมอ

...............................................

ตอบครับ

     เปล่าครับ อย่าเข้าใจผิดว่าหมอสันต์เป็นคนไม่สนใจชั่วดีถี่ห่าง

     แต่หมอสันต์ถือว่าคนอ่านบล็อกของหมอสันต์นี้ไม่ใช่คนระดับที่จะไปตีชิงวิ่งราวจี้ปล้นลักขโมยคดโกงใครแล้ว จึงไม่พูดถึงเรื่องระดับนั้น เพื่อจะได้ใช้เวลาที่จำกัดพูดถึงสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือการหลุดพ้นจากกรงแห่งความคิดของตนเอง ซึ่งการพูดกันในระดับนี้ ความคิดทุกอย่างเป็นอุปสรรคต่อความหลุดพ้นหมด ทุกความคิดคือความบ้า ซึ่งก็นับรวมทั้งความ "บ้าดี" ด้วย คุณต้องวางความคิดทั้งหมดลงให้ได้ก่อน จึงจะหลุดพ้น หากยังมีความคิด ก็ยังไม่หลุดพ้น

     ไหนๆได้มีโอกาสพูดกับคนที่ให้ความสำคัญกับดีชั่วบาปบุญคุณโทษแล้ว และไหนๆก็ได้พูดถึงบาปขึ้นมาแล้ว ผมอยากจะบอกคุณว่า "ความกลัว" นี่แหละคือบาปที่แท้จริง ความกลัวไม่ใช่แค่เป็นบาปธรรมดาๆนะ แต่ความกลัวนี่แหละคือความตายตัวจริง คือผู้ร้ายตัวจริง ความคิดลบทั้งหลายงอกออกมาจากความกลัว บรรดาสิ่งร้ายๆที่มนุษย์ทำต่อกันบนโลกนี้ก็ล้วนออกมาจากความกลัวในใจของมนุษย์แต่ละคนทั้งสิ้น ชีวิตในความกลัวเป็นชีวิตที่ผิดพลาด ความคิดระยำอื่นล้วนงอกรากแตกแขนงออกมาจากความกลัวนี่แหละ เพียงแค่ไม่กลัว สวรรค์ในใจก็จะปรากฎขึ้นทันที

     ในที่ทำงานของผมทุกวันนี้ผมก็ยังเต็มไปด้วยลูกน้องที่มีความกลัวเป็นขี้กองอยู่ที่ในสมองของตัวเอง ที่เล่านี่ก็เพื่อจะให้เห็นว่าแม้คนใกล้ชิดหมอสันต์ หมอสันต์ยังไม่มีปัญญาทำให้พวกเขาหายกลัวเลย เพราะในการจะเติบโตของคนเรานี้มันต้องเติบโตจากข้างในออกมาข้างนอก มาถึงระดับจะหลุดพ้นแล้วนี้ไม่มีใครสอนอะไรใครได้หรอก มีแต่วิญญาณของคุณเองเท่านั้นที่จะสอนคุณได้ ดังนั้นสำหรับคนที่อยู่ห่างไกลกันอย่างคุณ ผมคงทำได้แค่แนะนำให้คุณท่องให้ขึ้นใจจนมันกลายเป็นความคิดอัตโนมัติของคุณว่า ฉันไม่กลัวอะไร ฉันคือพระเจ้า ถ้าคุณคิดว่าคุณยังเล็กกว่าพระเจ้าแม้เพียงนิดเดียว นั่นแสดงว่าความกลัวยังแอบอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งในใจคุณ จงกล้าที่จะเป็นอิสระเสรี กล้าที่จะไปให้ไกลสุดขอบที่ความกล้าของคุณจะพาไปได้ ความลับของการมีชีวิตก็คืออย่ากลัวอะไร อย่าหวังพึ่งใคร เมื่อไหร่ที่เลิกหวังพึ่งคนอื่นได้เมื่อนั้นคุณก็เป็นอิสระเสรี 100% แล้ว จงอ้าแขนออกโอบรับจักรวาลแห่งแสงนี้ ทุกอย่างในจักรวาลนี้เป็นของคุณนะ อ้าแขนรับและโอบกอดมันไว้ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่กว้างขวาง เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณทำอย่างนี้ได้ เมื่อนั้นคุณหลุดพ้นแล้ว

     อนึ่ง ในการจะหลุดพ้นไปจากความกลัวอันเป็นกรงของความคิดที่ขังคุณอยู่นี้ คุณต้องเข้าใจและยอมรับชีวิต ยอมรับว่าโลกนี้คือโรงยิมที่จะช่วยให้ร่างกายคุณแข็งแรง ถ้าคุณดำเนินชีวิตมาทั้งวันชีวิตไม่มีปัญหาอะไรเลย ผมชัวร์ป๊าดเลยว่าชีวิตของคุณดำเนินมาผิดทางเสียแล้ว ชีวิตต้องมีอุปสรรคขวากหนาม แต่หากเอาความตั้งใจจะหลุดพ้นเป็นวาระแห่งชีวิต ความหลุดพ้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าคุณปักธงว่ามันเป็นวาระแห่งชีวิตของคุณ ฝันถึงมัน มีชีวิตอยู่กับมัน ให้ทั้งสมอง ร่างกาย กล้ามเนื้อ ประสาท เอ็น และกระดูก อาบรดไปด้วยวาระแห่งชีวิตอันนี้ ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้ก่อน ที่เขาหลุดพ้นกัน เขาหลุดพ้นกันด้วยวิธีอย่างนี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

28 มิถุนายน 2561

โรคลิ้นหัวใจไมทรัลโป่งพองหรือแล่บ (MVP)

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ
     ผมได้พาลูกไปหาหมอด้านศัลยกรรมหัวใจ เนื่องจากเขามีอาการเจ็บแปล๊บๆที่หน้าอกด้านซ้ายเป็นพักๆ บางวันเป็น บางวันไม่เป็น บางวันเป็นหลายครั้ง ตลอดทั้งวัน ผลจากการตรวจ คุณหมอพบว่าเป็น ลิ้นหัวใจหย่อน MVP (Mitral Valve Prolapse) แต่ไม่มีอาการของลิ้นหัวใจรั่ว ผมได้แนบเอกสารผลการตรวจด้วย ecg และ echo มาให้ด้วยครับ
     คุณหมอแจ้งว่าไม่เป็นอันตรายอะไร ไม่จำเป็นต้องทำการรักษา ให้เฝ้าระวังและนัดตรวจดูปีละหนึ่งครั้งครับ พร้อมกับให้ยามาทานแก้ปวด 10 วัน มี Gabapentin 100 mg ก่อนนอน และ Propranolol 5 mg เช้า-เย็น
     แต่เนื่องจากอาการเจ็บแปล๊บๆยังคงอยู่ และค่อนข้างรบกวนคุณภาพชีวิต เขามักจะบ่นเสมอถ้าวันไหนมีอาการเจ็บถี่ๆตลอดทั้งวัน หรือติดต่อกันหลายวันครับ ผมจึงใคร่ขอให้คุณหมอให้คำแนะนำด้วยครับ
1)      สามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อลดอาการเจ็บแปล๊บๆ หรือลดความถี่การเจ็บ ไม่ให้รบกวนหรือรบกวนน้อยที่สุดให้คุณภาพชีวิตที่เป็นปรกติมากขึ้นครับ
2)      ในกรณีนี้ ถ้าไม่ต้องรักษาตามที่คุณหมอระบุ เราจะต้องทำอะไรเป็นพิเศษ เช่น อาหาร ออกกำลังกาย อื่นๆ เพื่อรักษาสภาพลิ้นหัวใจหย่อนไม่ให้เสื่อมไปมากกว่านี้หรือก่อนเวลาอันควรครับ
3)      ถ้าต้องรักษา ต้องรักษาอย่างไรครับ
ขอแสดงความนับถือครับ
ขอบคุณอย่างสูงสำหรับคำแนะนำครับ

.......................................................

ตอบครับ

     1. ถามว่าจะทำอะไรได้บ้างเมื่อเจ็บแปล๊บๆ ตอบว่าให้ฝึกสมาธิ ยอมรับอาการเสียวแปลบๆปลาบๆของร่างกาย รับรู้แล้วก็เฉยเสีย

     2. ถามว่าถ้าหมอบอกว่าไม่ต้องรักษา จะมีอะไรต้องทำเป็นพิเศษอีกไหม ตอบว่าไม่มีครับ

     3. ถามว่าถ้าต้องรักษา จะต้องรักษาอย่างไร ตอบว่า..อ้าว ก็ไม่ต้องรักษาแล้วจะถามว่าจะรักษาอย่างไรไปทำพรือละครับ
     การรักษาจะทำเมื่อลิ้นหัวใจรั่วมากอย่างมีนัยสำคัญซึ่งแพทย์เขามีวิธีประเมินจากการทำงานของหัวใจ วิธีรักษาก็คือต้องผ่าตัดเปิดแบะหัวใจเข้าไปซ่อมลิ้น ซึ่งมีโอกาสตายเพราะการผ่าตัด 0.5 - 2.5% สุดแล้วแต่ว่าหมอคนไหนเป็นคนผ่า แต่ว่าถึงพระเจ้ามาทำผ่าตัดเองก็ยังมีโอกาสตายอยู่ดี คืออัตราตายเพราะการผ่าตัดยังไงก็ไม่เป็น 0% นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมหมอผ่าตัดไม่ยอมทำผ่าตัดให้เพราะมันไม่คุ้มกับประโยชน์ที่จะได้

     4. ยาทั้งหมดที่ให้มาไม่ได้ช่วยรักษา MVP เพราะลิ้นหัวใจที่สายของมันหย่อนไปแล้วไม่มียาอะไรจะไปรักษามันได้หรอก ดังนั้นยาที่เขาให้มา จะกินก็ได้ ไม่กินก็ได้ สุดแล้วแต่รสนิยมของผู้ป่วย

    5. สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไป โรคลิ้นหัวใจไมทรัลโป่งหรือแล่บ (mitral valve prolapse - MPV)ซึ่งนิยามเป็นภาษาหมอว่าคือภาวะที่ลิ้นหัวใจไมทรัลโผล่ล้ำเข้าไปในเขตหัวใจห้องบนซ้ายในจังหวะปิดเป็นระยะ 2 มม.ขึ้นไป สองมิลเองนะ ไม่ใช่สองเซ็นต์ ร่วมกับการที่เห็นใบของลิ้นมีความหนาอย่างน้อย 5 มม. โรคนี้สมัยก่อนไม่มีหรอกครับ จะมีก็คือโรคลิ้นหัวใจไมทรัลรั่วไปเลย เพิ่งมามีเมื่อมนุษย์เราค้นพบเครื่องเอ็คโค ทำให้เห็นว่าอ้า..า ที่มันโป่งหรือแล่บแต่ยังไม่รั่วก็มีนะ พอตรวจพบอย่างนั้นหมอก็รีบบอกคนไข้ด้วยความดีใจเพราะได้ค้นพบอะไรสักอย่างแล้วไม่ใช่ตรวจเสียเงินตั้งแยะแล้วไม่พบอะไรสักอย่าง แต่เมื่อบอกคนไข้แล้วคนไข้ก็กลายเป็นโรคปสด. (แปลว่าประสาทแด๊กซ์) พังเพยไทยเรียกว่านี่มันเข้าตำราแกว่งตีนเอ๊ยไม่ใช่ ขอโทษ แกว่งเท้าหาเสี้ยนแท้ๆ เพราะคนปกติทั่วไปที่เดินถนนอยู่ ลองจับมาตรวจเอ็คโคสิ ผมพนันร้อยเอาขี้หมาก้อนเดียวว่า 2-6% จะพบว่ามี MPV อยู่ ที่กล้าพนันก็เพราะผมรู้สถิติอยู่ก่อนแร้ว..ว

     การรักษามาตรฐานสำหรับโรคนี้ในกรณีที่ไม่มีลิ้นหัวใจรั่วอย่างมีนัยสำคัญคือ... ผมท่องให้ฟังแบบนักศึกษาแพทย์เขาท่องกันเลยนะ
(1) ยืนยันให้สบายใจว่ามันเป็นโรคกระจอก ไม่ทำให้ตาย
(2) ตรวจติดตามด้วยเอ็คโคทุก 3-5 ปีก็ดีนะ (แต่เพื่ออะไรไม่รู้)
(3) กระตุ้นให้ใช้ชีวิตและออกกำลังกายมากๆอย่างคนปกติทั่วไป
(4) ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งมีอาการของระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ (dysautonomia) ซึ่งวงการแพทย์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อาการอาจจะเป็นลุกแล้วหน้ามืด ใจหวิวใจสั่น ในกรณีเช่นนั้น  ให้แนะนำค่อยๆลุกค่อยๆนั่ง งดสารกระตุ้นหัวใจเช่นกาแฟ แอกกอฮอล์ บุหรี่ และอาจให้ติดเครื่อง Holter monitor สัก 24 ชั่วโมงเพื่อรักษาโรคประสาทหรือเพื่อดูว่ามีหัวใจห้องบนเต้นเร็วผิดปกติ (SVT) หรือไม่ ถ้ามีก็จะได้ไปลองจี้ไฟฟ้ารักษาดู

     ทั้งหมดนี้คือมาตรการรักษาผู้มี MVP ที่ไม่มีลิ้นหัวใจรั่วครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

27 มิถุนายน 2561

หมอสันต์ให้สัมภาษณ์วารสาร.... เรื่องความสุขในชีวิต

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ให้สัมภาษณ์นิตยสาร...
ณ Wellness We Care มวกเหล็ก สระบุรี

     1. แม้ว่าเรื่องราวความสำเร็จและผลงานของคุณหมอจะเป็นที่รู้ จักอย่างกว้างขวาง แต่อยากให้คุณหมอแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตการทำงานที่น่าภาคภูมิใจเพื่อเป็นเกียรติแก่นิตยสาร ...

นพ.สันต์

   ผมเป็นคนแก่ที่ขี้ลืมมากเลย และไม่จำอะไรในอดีต สมองของผมแค่จะโฟกัสเดี๋ยวนี้ให้ต่อเนื่องก็ยังจะเอาตัวไม่รอดแล้ว อีกอย่างหนึ่งผมไม่ใช่ชายแก่ประเภทที่จะมีความสุขกับการนั่งรำพึงถึงอดีตด้วยความภาคภูมิใจหรือเสียใจ ไม่ทั้งนั้น
     แต่เมื่อคุณถามมาก็จะทบทวนความจำสั้นๆนะ ว่าผมเรียนแพทย์ก็ไปทำงานใช้ทุนในชนบทที่อำเภอปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช  ช่วงนั้นสิ่งที่จำได้ก็คือการรวบรวมความช่วยเหลือจากชุมชนสร้างโรงพยาบาลปากพนังขึ้นมาเป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก
     ต่อมาเมื่อใช้ทุนครบก็เข้ามาฝึกอบรมเป็นหมอผ่าตัดศัลยกรรมทรวงอก จบแล้วไปเป็นศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี ทำหน้าที่หมอผ่าตัดซึ่งในสมัยนั้นไม่ว่าใครจะจบศัลยกรรมสาขาไหนมาก็ต้องผ่าตัดตั้งแต่หัวถึงเท้าเหมือนกันหมด ช่วงน้้นผมบ้าผ่าตัด ผ่ามันทั้งวันทั้งคืน มีคู่หูเป็นหมอผ่าตัดบ้าพอๆกันอีกคนหนึ่ง เสร็จผ่าตัดมาค่ำมืดก็เจอกันแค่สองคนเพราะคนอื่นเขากลับบ้านกันหมดแล้ว แต่ขนาดมีแค่สองคนนะ มีอยู่วันหนึ่งยังใส่เสื้อสลับกันเลย ผมมารู้ว่านี่ไม่ใช่เสื้อของผมเพราะ..เอ๊ะ ในกระเป๋าทำไมมีบุหรี่สายฝนอยู่ด้วย
     จากรพ.ศูนย์สระบุรีก็ไปฝึกอบรมเป็นหมอผ่าตัดหัวใจที่ต่างประเทศ จบแล้วกลับมาเป็นหมอผ่าตัดหัวใจอยู่รพ.ราชวิถีนานยี่สิบปี ช่วงนั้นงานหลักเป็นงานวิชาชีพและวิชาการ ได้เขียนตำราวิชาการไว้หลายเล่ม งานเสริมแบบช่วยสังคมก็มีบ้าง เช่น ได้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิช่วยผ่าตัดหัวใจเด็กเพื่อหาเงินมาผ่าตัดเด็กยากไร้ที่หัวใจพิการแต่กำเนิด ได้เป็นกรรมการสมาคมแพทย์โรคหัวใจอยู่หลายปีและได้ร่วมจัดทำมาตรฐานการช่วยชีวิตของประเทศไทยขึ้น และได้ก่อตั้งและเป็นประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิตเพื่อสอนแพทย์พยาบาลและคนทั่วไป ซึ่งมูลนิธินี้ก็ยังทำงานขันแข็งอยู่จนถึงวันนี้โดยมีแพทย์จิตอาสารุ่นหลังรับช่วงไปทำต่อ
     หลังจากนั้นก็ออกจากราชการมาก่อตั้งศูนย์หัวใจขึ้นในภาคเอกชนให้เครือรพ.พญาไท โดยร่วมมือกับมหาลัยฮาร์วาร์ด ที่อเมริกา แล้วก็มาทำศูนย์หัวใจเพื่อผ่าตัดผู้ป่วยสามสิบบาทและประกันสังคมที่รพ.เกษมราษฎร์ประชาชื่น ทำไปทำมาก็กลายเป็นผู้อำนวยการของรพ.ทั้งสองแห่งไปด้วย
     หลังจากนั้น อายุได้ 55 ปีแล้ว ก็เลิกผ่าตัดหัวใจเลิกทำงานบริหารรพ.เด็ดขาด หันไปเรียนใหม่เพื่อเป็นหมอประจำครอบครัว จบแล้วมาทำงานสอนผู้ป่วยให้รู้จักดูแลตัวเองอย่างเดียวจนทุกวันนี้ โดยตั้งศูนย์เวลเนสวีแคร์นี้ขึ้นเพื่อให้คนมากินมานอนมาเรียนในรูปแบบของการเข้าแค้มป์ นอกจากนี้ก็ยังให้ความรู้คนทั่วไปผ่านการทำวิดิโอออกฉายทางยูทูป การตอบคำถามทางบล็อกส่วนตัว และการเขียนบทความทางวารสาร จนทุกวันนี้

     2. อยากให้ แบ่งปันถึงมุมมองและแรงบันดาลใจ เกี่ยวกับสิ่งดีๆที่คุณหมอรณรงค์เพื่อสังคม ในด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

นพ.สันต์

     แรงบันดาลใจก็มาจากสองด้านนะ

     ด้านที่หนึ่ง ก็คือประสบการณ์จากการรักษาคนป่วยโรคหัวใจขาดเลือดมานานถึงยี่สิบปี มันเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ เหนื่อยยากลำบากทั้งหมอและคนไข้ แต่ท้ายที่สุดก็คือโรคมันมีแต่จะเดินหน้าไปไม่มีหาย ทำผ่าตัดครั้งที่หนึ่ง สิบปีต่อมาก็มาทำครั้งที่สอง อีกสิบปีต่อมาถ้าไม่ตายเสียก่อนก็มาทำครั้งที่สาม

     ด้านที่สอง ก็คือเมื่อตัวเองป่วยเป็นโรคหัวใจ ได้ดูแลตัวเองจนได้ผลดี ก็อยากสอนให้คนไข้รู้วิธีดูแลตัวเองบ้าง

     มุมมอง ที่ผมอยากจะแชร์ก็คือ โลกทุกวันนี้กำลังมุ่งหน้าไปผิดทางในเรื่องการดูแลสุขภาพ คือไปมุ่งกันที่การใช้ยา การทำบอลลูน การผ่าตัด การใช้เทคโนโลยีต่างๆรักษา ทั้งๆที่หลักฐานวิทยาศาสตร์ก็ชี้ชัดว่าทั้งหมดนั้นไม่ได้ทำให้อุบัติการณ์ของโรคเรื้อรังลดลง ไม่ได้ทำให้โรคหาย และลดการตายจากโรคในระยาวลงได้น้อยมาก แต่สังคมก็ใช้เงินใช้ทองกับการนี้ไปมากขึ้นทุกปี เพราะต้นทุนการรักษาในแนวทางนี้มันมีแต่จะเพิ่มขึ้นแบบไม่มีเพดาน ท้ายที่สุดสังคมก็จะเจ๊ง คือจ่ายค่ารักษาให้ประชาชนไม่ไหว ขณะที่เส้นทางเดินที่มีประสิทธิผลดีกว่า ใช้เงินน้อยกว่าคือการช่วยให้คนทั่วไปทั้งที่ยังไม่ป่วยและป่วยแล้วให้รู้จักดูแลตัวเองด้วยการกินการอยู่ให้เป็น เป็นเส้นทางที่องค์การอนามัยโลกเรียกว่าการบริหารสุขภาพตนเอง Self Management อนาคตเหลือทางเดินอยู่ทางเดียว คือการบริหารสุขภาพตนเองนี่แหละ

     3. ปัญหาและอุปสรรคมีอะไรบ้าง ในการทำโครงการที่ต้องสื่อสารความเข้าใจและพัฒนาแนวคิด ในการใช้ชีวิตของผู้คน

นพ.สันต์

     ในการสอนให้ผู้คนดูแลสุขภาพของตัวเอง แพทย์เป็นเพียงที่ปรึกษาเท่านั้น ปัจจัยกำหนดว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จมันอยู่ที่ตัวผู้ป่วยเสียเกือบ 100% คือถ้าผู้ป่วยเอาถ่านมันก็สำเร็จ ถ้าผู้ป่วยไม่เอาถ่านมันก็ไม่สำเร็จ แล้วความเอาถ่านของคนเรานี้มันไม่ใช่ว่ามีเท่ากันเสียที่ไหนละ มันเป็นกรรมเก่าที่ติดตัวแต่ละคนมา มันก็เหมือนกับที่พระสอนให้คนบรรลุธรรมด้วยการปล่อยวางความคิดนั่นแหละ ตัวกำหนดความสำเร็จคือตัวผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่พระ ตัวผมเองก็ทำได้ในขอบเขตที่ “ผู้บอกทาง” คนหนึ่งจะทำได้ ซึ่งผมก็ได้นำหลักวิชาการให้ความรู้สุขภาพเท่าที่วงการแพทย์มีมาใช้ทั้งหมดทุกเม็ด ทุกดอก ทุกท่า ไม่ว่าจะเป็นการสอน การให้ข้อมูลความรู้ การตอบคำถาม การทำตัวให้เห็นเป็นตัวอย่าง การกระตุ้นให้ลงมือดูแลตัวเอง การสร้างกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนขึ้นมากระตุ้นกันเอง การพยายามสร้างชุมชนคนดูแลสุขภาพตัวเอง เป็นต้น

4. ไลฟ์สไตล์การทำงานและชีวิตส่วนตัวของคุณหมอในปัจจุบัน

นพ.สันต์

     ผมอายุ 66 ปีแล้วนะ ชีวิตแต่ละวันก็ตื่นมาเช้าบ้างสายบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นจะต้องทำอะไร ประมาณสี่วันต่อสัปดาห์ชีวิตจะหมดไปกับการสอนการฝึกอบรมที่เวลเนสวีแคร์ในรูปของแค้มป์สุขภาพ เช่นแค้มป์สุขภาพดีด้วยตนเอง (GHBY) สำหรับคนทั่วไปบ้าง แค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDBY) สำหรับคนป่วยโรคเรื้อรังบ้าง แค้มป์ปลีกวิเวกทางจิตวิญญาณ (SR) เพื่อจัดการความเครียดบ้าง ชั้นเรียนทำอาหารโดยใช้พืชเป็นหลัก (PBWF Cooking) สำหรับแม่บ้านบ้าง เป็นต้น บางครั้งก็มีแถมต้องไปสอนไปบรรยายนอกสถานที่ เวลาอีกหนึ่งวันต่อสัปดาห์ก็เป็นการออกคลินิกเพื่อตรวจรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาล คือผมชอบศึกษาความรู้แพทย์แบบต่อเนื่อง ก็จึงต้องดูคนไข้อยู่ เพื่อไม่ให้ลืมความรู้เก่าและเพื่อเสาะหาปัญหาใหม่ๆที่เกิดกับคนไข้ ทั้งหมดนี้ก็หมดไปสัปดาห์ละห้าวัน เหลืออีกสองวันก็เป็นการพักผ่อนหรือทำงานอดิเรก เช่นตั้งใจออกกำลังกายให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยชดเชยกับวันทำงานที่ยุ่งๆไม่ได้ออกบ้าง ทำสวนปลูกผักบ้าง ทำงานก่อสร้างบ้าง หรือทำงานกรรมกรในบ้านตามแต่แม่บ้านเขาจะเรียกใช้บ้าง เป็นต้น

     ตื่นเช้าในวันปกติผมก็จะนั่งสมาธิก่อน แล้วก็ออกกำลังกาย ในห้องนอน และในห้องน้ำนั่นแหละ วันว่างจากงานก็เขียนบทความให้ความรู้ ตอบคำถามทางบล็อก หรือถ่ายวิดิโอไว้ประกอบการสอน สองสามเดือนครั้งก็พาลูกเมียหรือบางทีก็เพื่อนๆด้วยไปขับรถเที่ยวเล่นหรือไปเดินไพรตามต่างจังหวัดกัน ประมาณปีละครั้งก็ไปขับรถเที่ยวหรือเดินป่าที่เมืองนอก แต่ไม่ไปกับทัวร์นะ ต้องขับรถเองเท่านั้น และไม่ซื้อของด้วย ไปเที่ยวชนบทเดินป่าเดินเขาอย่างเดียว ไม่มีซื้อการของ เพราะตอนนี้สมบัติบ้าแค่ที่มีในบ้านก็ไม่มีที่จะเก็บแล้ว

     5. ขอคำแนะนำเบื้องต้น สำหรับคนที่อยากปรับชีวิตให้มีความสุขแบบคุณหมอ

นพ.สันต์

    ผมมีคำแนะนำสามอย่างเท่านั้น

    อย่างแรก ต้องจัดเวลาเพื่อตัวเองให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงก่อน ถ้าจัดเวลาให้ตัวเองไม่ได้ก็จบข่าว ไม่ต้องไปต่อแล้ว หนึ่งชั่วโมงนี้ต้องเป็นเวลาของตัวเองจริงๆ ปิดโทรศัพท์มือถือ ปิดคอม ปิดโทรทัศน์ ไม่ยุ่งกับใคร อยู่เงียบๆคนเดียว อย่างวุ่นวานที่สุดก็ออกกำลังกาย หรือฝึกจิต จะด้วยการนั่งสมาธิ รำมวยจีน หรือโยคะ ก็แล้วแต่ ถ้าพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดเวลาให้กับตัวเอง ผมก็ไม่มีคำแนะนำอะไรต่อแล้ว ตัวใครตัวมันก็แล้วกันนะครับ

     อย่างที่สอง ให้คุณปล่อยวางความคิดลง เลิกคิดถึงอดีต เลิกคิดถึงอนาคต ยกเว้นเฉพาะเวลาทำงานก็คิดแก้ปัญหาการทำงานไปตามหน้าที่ หมดเวลาทำงานก็เลิกคิด สนใจอยู่แต่กับแต่ละโมเมนต์ที่อยู่ตรงหน้า ที่นี่ เดี๋ยวนี้ อย่าไปจัดวาระล่วงหน้าให้กับชีวิตมากนัก ปล่อยชีวิตไปทีละแว้บ ทีละแว้บ ยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่ที่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปวิ่งหา หรือไม่ต้องวิ่งหนีอะไร อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ทีละแว้บ ทีละแว้บ อย่าไปคิดว่าตัวเราสำคัญและอย่าไปหลงผิดว่าโลกนี้จะถล่มถ้าเราไม่แบกมันไว้ หัดไว้ใจจักรวาลเสียบ้าง ใครก็ตามที่สร้างโลกนี้มา เขาจะเป็นผู้ดูแลโลกนี้เอง คุณไม่ต้องไปเดือดร้อนเป็นภาระแบกโลกไว้หรอก เหมือนแม่ค้าหิ้วกระบุงตะกร้าขึ้นรถไฟ พอรถไฟออกแล้ว เธอแบกกระบุงไว้บนบ่าหรือเปล่าละ เปล่า ใช่ไหม เธอวางมันลงบนพื้นรถไฟ รถไฟเป็นผู้รับน้ำหนักกระบุงตะกร้าเอง เธอไม่ต้องแบกมันไว้บนบ่าเธอหรอก กระบุงเหล่านั้นก็จะไปถึงที่หมายได้เช่นกัน ชีวิตเราก็ฉันนั้น ความเป็นบุคคลของเรานี้มันเป็นเพียงเรื่องสมมุติที่จะยุติหมดเกลี้ยงคล้อยหลังจากเราตายไปได้ไม่กี่วัน มันไม่ใช่ของจีรัง จะไปแบกมันไว้ทำไม

     อย่างที่สาม ก็คือ คุณทำงานแบบจดจ่อกับงานที่ตรงหน้า นั่นเป็นสิ่งที่ดี การโฟกัสที่กระบวนการทำงานเป็นสิ่งที่ดี แต่การโฟกัสที่ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่เลวร้าย เพราะการโฟกัสที่ผลลัพธ์มันมีความเป็นบุคคลของตัวเราเองเข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าคุณจะทำงานต้องตั้งผลลัพธ์ไว้ก่อนว่าเอาแค่ศูนย์ focus on process, zero result คุณตั้งใจทำ ผลออกมาอย่างไรไม่สน เพราะคุณจะไม่ได้เสวยหรือได้ดิบได้ดีกับผลอันนั้น คนอื่นจะเป็นผู้ได้ประโยชน์จากผลงานนั้น ถ้าคุณทำงานด้วยโลกทัศน์อย่างนี้ได้คุณก็จะเป็นคนที่มีความสุขกับการทำงาน

6. ขอคำแนะนำในการจัดที่พักอาศัยให้มีผลต่อสุขภาพที่ดีของทุกเพศ ทุกวัย

นพ.สันต์

     มันก็มีอยู่ห้าประเด็นนะ

     ประเด็นที่ 1. ที่นอน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ต้องกว้างก็ได้ แต่ต้องสะอาด เงียบ เย็น และมืดเมื่อเราต้องการให้มืด แค่นี้ก็พอแล้ว สำหรับครอบครัวที่ต้องทำอาหารเองอาจต้องมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับทำอาหารอีกนิดหน่อย แต่การทำอาหารสมัยนี้ก็ไม่ได้ใช้พื้นที่ใหญ่โตอะไร นอกจากเหนือนี้แล้วมันเป็นเรื่องของพื้นที่ร่วม ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัว

     ประเด็นที่ 2. อากาศ พื้นที่ร่วมที่ให้ความสุขใจเรามากที่สุดก็คือท้องฟ้า ที่พักอาศัยที่ไหนตื่นมาแล้วมองไม่เห็นท้องฟ้า หรือไม่เห็นแดด หรือสูดอากาศได้ไม่เต็มปอด นั่นส่อว่าผู้อาศัยกำลังจะมีปัญหาสุขภาพแน่นอนแล้ว

     ประเด็นที่ 3. น้ำ ที่พักอาศัยที่เปิดก๊อกปุ๊บได้มีน้ำสะอาดไหลออกมาปั๊บ นั่นเจ๋งสุด แต่ถ้าไม่มีก๊อกให้เปิดก็ขอให้เป็นที่พักอาศัยที่หาน้ำสะอาดไว้ดื่มไว้ใช้ได้โดยไม่ลำบากก็ถือว่าหรูแล้วเช่นกัน

     ประเด็นที่ 4. ถัดจากอากาศและน้ำ เรื่องต่อๆไปก็เป็นเรื่องกระจอก แต่ถ้ามีก็ดี ผมหมายถึงพื้นที่ออกกำลังกาย ถ้ามีพื้นที่ร่วมให้ออกกำลังกายได้ก็เจ๋ง มีต้นไม้เขียวๆประกอบฉากด้วยยิ่งเริ่ด แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบใช้พื้นที่ร่วมกับคนอื่นนั้น หากรักการออกกำลังกายจริงจะขวานขวายมีพื้นที่ออกกำลังกายไว้เป็นของตัวเองก็ใช่ว่าจะลำบากเกินไปดอก เพราะพื้นที่แค่หนึ่งตารางว่าก็พอที่จะออกกำลังกายได้ทั้งแบบแอโรบิก ฝึกกล้ามเนื้อ และเสริมการทรงตัวได้อย่างสบายๆแล้ว ที่พูดอย่างนี้เพราะผมเคยทำเองมาแล้วจึงกล้าพูด

     ประเด็นที่ 5. แหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หมายความว่าที่พักอาศัยที่ดีต้องใกล้แหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ต้องหาของดีๆกินง่าย ไม่ใช่ว่าเดินหาเท่าไหร่ก็มีแต่ร้านขายอาหารขยะที่รู้ๆอยู่ว่ากินเข้าไปก็จะทำให้สุขภาพมีแต่แย่ลง ถ้าเป็นการสร้างชุมชน ชุมชนนั้นต้องมีที่เข้าถึงอาหารสุขภาพได้ง่าย

     กล่าวโดยสรุป ที่พักที่ดีต่อสุขภาพคือที่ที่คุณได้ทั้ง (1) ที่นอนดี (2) อากาศดี (3) น้ำสะอาด (4) มีที่ออกกำลังกาย (5) หาอาหารดีได้ง่าย หากได้ที่อยู่แบบนี้ก็ถือว่าสุดยอด

7. ความสุขในชีวิตวันนี้คืออะไร และเป้าหมายต่อไปคืออะไร

     ความสุขในชีวิตนี้ก็คือการได้อยู่สบายๆกับโมเมนต์นี้โดยไม่มีใครมาบีบคอให้หายใจไม่ออก ผมเอาแค่ทีละโมเมนต์ ทีละแว้บ แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว ผมไม่หวลคิดถึงอดีต ไม่สนใจอนาคต เพราะผมยอมรับได้กับทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่วันนี้แล้วอย่างไม่มีเงื่อนไข แค่นี้พอแล้ว ผมไม่หนีอะไรที่ผมรังเกียจ เพราะที่นี่เดี๋ยวนี้ผมยอมรับทุกอย่าง ไม่ได้รังเกียจอะไร ผมไม่วิ่งหาอะไรในอนาคต เพราะที่นี่เดี๋ยวนี้ผมไม่ขาดอะไร ผมมีหมดแล้ว

     เป้าหมายต่อไปเหรอ..หิ หิ ผมไม่มีครับ ชีวิตผมมีแต่เดี๋ยวนี้เท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องมีต่อไป หรือ what next? ไม่ต้องมี ถ้ามันจะมีต่อไป มันก็จะมาหาผมในรูปของเดี๋ยวนี้ ดังนั้นผมจึงไม่สนใจอะไรก็ตามที่จะมาในโอกาสต่อไป

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

26 มิถุนายน 2561

ตาดโตน..ที่ตรงนี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ

     เสร็จจากสอนแค้มป์สุขภาพสำหรับคณะผู้บริหารของแบงค์ชาติแล้ว ผมก็ฟรีสองวัน หมอสมวงศ์ได้นัดหมายจะไปดูดอกกระเจียวป่าที่จ.ชัยภูมิกับเพื่อนๆซึ่งส่วนใหญ่อยู่อาศัยในมวกเหล็กวาลเลย์นี้แหละ รวมทั้งก๊วนได้ 8 คน ต่อมามีเพื่อนจากกทม.มาสมทบอีกสองคนรวมเป็นสิบคน  เนื่องจากมากันคนละทิศคนละทาง เพื่อนที่รับหน้าเสื่อจัดการทริปนี้จึงนัดพบกันตอนสาย 9.30 น. ที่เทพพนาวินด์ฟาร์ม ซึ่งเป็นฟาร์มผลิตไฟฟ้าด้วยพลังลม อยู่ที่อำเภอเทพสถิต จ.ชัยภูมิ

     ผมขี้เกียจขับรถเองจึงเสนอเพื่อนบ้านว่า
ต้องกวาดกล้องถ่ายรูปขึ้น จึงจะได้กังหัน

     "เรามาหุ้นกันดีกว่า คุณลงทุนรถ ผมลงทุนน้ำมัน"

     แค่นี้ก็ได้เป็นผู้โดยสารนั่งสบายๆ แถมมีคนร้องเพลงให้ฟังตลอดทางด้วย ก็คือเจ้าของและคนขับนั่นแหละ เขาเป็นนักร้องอยู่แล้ว

     ทีมเราไปถึงจุดนัดหมายก่อนใครเพื่อน เห็นกังหันลมขนาดยักษ์ตั้งเรียงรายเป็นแถวอยู่ตามยอดเขาก็คิดว่าคงอีกไม่ไกล
ที่ไหนได้ขับวนไปวนมาตามคำสั่งของกูเกิ้ลอีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงหัวงานของฟาร์ม โอ้โหของจริงมันช่างใหญ่โตอลังการ์เสียนี่กระไร มีจำนวนน่าจะหลายสิบตัว แต่ละตัวเฉพาะใบพัดที่เขาเอาลงมาวางให้ดูบนดินมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 106 เมตร ตั้งอยู่สูงเกือบ 100 เมตร แล้วเวลามันหมุนแต่ละรอบเสียงดังวืด..ด วืด..ด  แต่บางอันก็นิ่งอยู่เฉยๆไม่ยอมหมุน ผมเข้าใจว่าคงตั้งทิศทางไว้รับลมในฤดูอื่น แต่เพื่อนคนหนึ่งให้ความเห็นว่า

     "เขาปิดสวิสต์พัดลมไว้อะสิ"

      ผมอยากจะถ่ายรูปคนกับกังหันแต่ก็จนปัญญาเพราะมันใหญ่จนล้นกล้อง เพื่อนคนหนึ่งมีเทคนิคถ่ายรูปโดยการกวาดกล้องในแนวตั้งจากล่างขึ้นบน จึงได้ภาพมาให้ท่านชม ภาพมัวก็อย่าบ่นนะ ถ่ายทั้งคนทั้งกังหันอยู่ในรูปเดียวกันได้นี่ก็บุญแล้ว

     เมื่อพลพรรคมากันครบ เราประชุมแผนเที่ยวของวันนี้ ตกลงกันว่าจะไปจุดไกลที่สุดก่อนคือภูหินขาว แล้วค่อยมาแวะดูอุทยานไทรทองซึ่งมีดอกกระเจียวสีขาว แล้วค่อยมาเข้าที่พักเพื่อเตรียมเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวที่ใหญ่ที่สุดที่อุทยานภูหินงาม ตกลงกันได้แล้วก็ขับรถตามกันไป แวะปั๊มปตท. เพื่อนคนหนึ่งว่า

     "ผมทำพายมาด้วย ต้องหาที่ปิคนิคนะ" อีกคนว่า

      "ถ้างั้นก็ซื้อกาแฟร้อนตรานกแก้วนี่ไปด้วยสิ" อีกคนว่า

     "เขาเรียกกาแฟอะเมซอน"  อีกคนว่า

     "ฉันว่าอย่ารีบซื้อเลย เหลือเวลาตั้งชั่วโมงกว่า ไม่ต้องห่วงบนอุทยานที่ไหนก็มีกาแฟขาย หัดไว้ใจอนาคตเสียบ้าง"

     คำพูดของคนสุดท้ายดูจะได้ผล ไม่มีการซื้อกาแฟ แต่ผมแอบเห็นบางคนซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งตุนไว้ แล้วก็พากันขึ้นรถเดินทางต่อไปจนถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติภูแลนคา มีด่านเก็บเงิน พนักงานแจ้งราคาว่า

     "รถคันละ 30 ผู้ใหญ่คนละ 20 ผู้สูงอายุฟรีค่ะ"

     พวกเราจึงบอกคนขับให้ยื่นหน้าออกไปพิสูจน์สิทธิ์ของเราหน่อย ซึ่งก็ได้ผล พอเห็นเหนียงของผู้โดยสารทุกคนพนักงานก็ออกตั๋วฟรีให้แต่โดยดี

     เรามุ่งขึ้นไปที่จุดสูงสุดของอุทยาน เมื่อหาจุดปิคนิคเหมาะเหม็งได้แล้ว ทุกคนชมเปาะว่าวิวดี เห็นภูกระดึงอยู่แต่ไกล ลมเย็นยะเยือกดีมาก เพราะนี่สูงเกือบพันเมตร แต่..
ปิคนิคที่จุดสูงสุดของอุทยาน มองเห็นภูกระดึงอยู่ข้างล่าง

     "ไม่มีกาแฟขาย" อีกคนว่า

     "งั้นกินพายกับน้ำเปล่าละกัน" แล้วก็บ่นงึมงัมต่อว่า

     "ทั้งไกลทั้งสูงขนาดนี้ใครจะมาขายกาแฟ"

     ผมเดินกลับมาที่ลานจอดรถ ถามพนักงานอุทยาน ได้ความว่าที่บ้านนู้นมีกาแฟขาย ผมให้เขาเอามอเตอร์ไซค์ไปส่ง ซื้อกาแฟมาได้สิบแก้วใส่ถาดซ้อนมอเตอร์ไซค์มา แก้วละยี่สิบบาท เพราะเป็นกาแฟอินสะแต้นท์ ทิปพนักงานอุทยาที่ช่วยขับมอไซค์ไปส่งอีกหนึ่งร้อย โหลงโจ้งสามร้อย ตกแก้วละสามสิบ ก็ยังถูกอยู่ดี สำหรับสถานที่ทั้งไกลทั้งสูงขนาดนี้

     อิ่มแล้วก็ตระเวณถ่ายรูป มองไปทางโน้นเป็นน้ำหนาว มองไปทางนี้เป็นภูกระดึง ตรงใกล้กับจุดสูงสุดนี้เขามีแปลงปลูกดอกกระเจียวสีขาวบ้าง สีแดงบ้าง คนหนึ่งว่า

     "นี่ไง ดอกกระเจียวขาว ของหายาก ถ่ายรูปไว้เสียนะ อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้า"

     ปิคนิคเสร็จก็ไปเที่ยวชมหินต่างๆ หินช้างน้อย ช้างใหญ่ หินเจดีย์ หินต้นไทร ปีนป่ายถ่ายรูปกันสนุกสนาน

     แล้วก็ขับรถลงเขามาเพื่อชมมอหินขาวที่โปรโมทนักหนาว่าเป็น Stonehenge Thailand เราจอดรถลงเดินดูรอบๆ เห็นหินโบราณน้ำกัดเซาะเป็นรูปทรงสวยงามสี่ห้าก้อนถูกล้อมรั้วรอบๆเหมือนคอกวัวเพื่อไม่ให้คนเข้าไปใกล้เกินไป มีไฟส่องแสดงแสงสีเสียงด้วย แถมป้ายตัวอักษรพลาสติกสำหรับถ่ายรูปขนาดบะเริ่ม ผมเดินเลียบรั้วกันวัวดูหนึ่งรอบแล้วก็พากันเดินทางต่อมาโดยไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะขยับจะถ่ายตรงไหนหากไม่ติดรั้วกันวัวก็ติดป้ายตัวหนังสือพลาสติก ไม่ถ่ายดีกว่า 

มอหินขาว  Stonehenge สมัยที่ยังไม่มีคอกกันวัว
   
     ก่อนออกจากอุทยานภูแลนคา เราแวะชมน้ำตกตาดโตนซึ่งอยู่ใกล้ทางออกนั่นเอง ต้องผ่านด่านอีกด่านหนึ่งซึ่งเราก็โชว์เหนียงเป็นค่าผ่านทางเช่นเคย เข้าไปจอดรถ แล้วเดินขึ้นไปอีกหนึ่งกม.เพื่อไปยังน้ำตก

     ขณะเดินทอดน่องกันเลียบคลองน้ำขึ้นไป ผมบอกเพื่อนที่เดินไปด้วยกันว่า

     "เอ๊ะ ผมเคยเห็นที่ตรงนี้มาก่อนนี่นา" เพื่อนบอกว่า

     "เพี้ยนแล้วลุง ไม่เคยมาแล้วจะเคยเห็นได้อย่างไร" 
น้ำตกตาดโตน ที่คาราวานของอองรีเดินผ่านหน้าแล้งสมัย ร.4

     ถูกของเธอ ผมไม่เคยมาที่นี่เลยในชีวิตจะเคยเห็นได้อย่างไร แต่..

     "ผมเคยเห็นแน่นอน นี่หินสองข้างลาดลงไปหาลำธาร ท้องลำธารเมื่อแห้งจะเป็นลานหินเรียบกว้างใหญ่ ซึ่งคาราวานช้างลงจากฝั่งนี้ข้ามลำธารไปขึ้นฝั่งโน้น แล้วถ้าคุณไปยืนอยู่กลางลำธาร มองย้อนขึ้นไปทางนู้น จะเห็นน้ำตกโตรกลงมาจากหน้าผาที่เหมือนถูกตัดเกือบตรง"

     คราวนี้เธอชักเชื่อผมแล้วว่าผมเคยเห็น ไม่งั้นจะอธิบายลักษณะน้ำตกที่เรายังเดินไปไม่ถึงได้ถูกอย่างไร

     "อ้อ ผมนึกออกแล้ว มันเป็นภาพสะเก็ตช์ของอองรี มูโอต์ (Henry Mouhot) ตอนที่เขาพาคาราวานช้างออกจากชัยภูมิไปยังเมืองเลยเพื่อไปข้ามโขงไปหลวงพระบาง"

ภาพสะเก็ตช์โดยอองรีมูโอต์ ช่วงเดินทางจากชัยภูมิไปเลย
     เขียนถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะเพื่อให้ท่านผู้อ่านตามทัน คือประมาณปี ค.ศ. 1858 (พ.ศ. 2401 คือสมัยร.4) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่ออองรี มูโอต์ ผู้เปิดให้โลกรู้จักนครวัต ได้เดินทางจากกรุงเทพด้วยเรือ ผ่านอยุธยา เข้าแม่น้ำป่าสัก มาแวะที่ปากเพรียว (สระบุรี) แล้วล่องเรือขึ้นแม่น้ำป่าสักไปขึ้นบกบริเวณเขาคอก (บ้านวังสีทา ในเขตอ.แก่งคอย สถานที่สร้างเมืองหลวงใหม่เพื่อหนีการล่าเมืองขึ้นของร.4) แล้วออกเดินผ่านป่าดงพญาเย็น ไปโคราช เอาคาราวานช้างที่โคราชเดินทางไปชัยภูมิ แล้วต่อไปเลย แล้วแวะพักริมโขง แล้วข้ามโขงไปหลวงพระบาง ไปเสียชีวิตที่นั่น
ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ระหว่างทางจากโคราชไปชัยภูมิ พ.ศ. 2401

     บันทึกของอองรีมูโอต์วาดภาพประกอบอย่างละเอียด เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก เนื่องจากเขาเรียกประเทศไทยส่วนที่พ้นจากแก่งคอยขึ้นไปทางอิสานว่าลาวหมด ฝรั่งที่นำบันทึกของเขามาเขียนคำอธิบายภาพประกอบจึงเข้าใจว่าภาพเกือบทั้งหมดเกิดในประเทศลาว แต่ผมอ่านบันทึกอย่างละเอียดแล้วจึงรู้ว่าไม่ใช่หรอก ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภาพการคล้องช้างที่อยุธยา ภาพวัดพระพุทธบาทสระบุรี ภาพปัตตาเวีย หรือวัดพระพุทธฉายซึ่งมองเห็นทิวทัศน์เขาใหญ่ ภาพบ้านชนบทริมน้ำป่าสักที่แก่งคอยเหนือบ้านวังสีทา ภาพเขายิงเสือที่ช่องหินลับ ปากทางเข้าหุบเขาดงพญาเย็น ซึ่งก็คือประมาณสถานีรถไฟหินลับในปัจจุบันนี้ ภาพประตูเมืองโคราชสมัยโน้น ภาพท้องทุ่งระหว่างทางโคราชไปชัยภูมิซึ่งเต็มไปด้วยช้างเป็นร้อยๆเชือกอยู่ในท้องทุ่ง ภาพคาราวานช้างข้ามน้ำช่วงระหว่างชัยภูมิกับเลยซึ่งผมกังขามานานว่าคือที่ไหน เพิ่งมาถึงบางอ้อเมื่อมาเห็นน้ำตกตาดโตนนี่เอง
ภาพอองรีปักหลักอยู่ริมโขงที่จ.เลยก่อนข้ามไปหลวงพระบาง

     และภาพสุดท้ายก่อนข้ามไปลาว คือภาพตั้งแค้มป์พักริมโขงซึ่งผมวาดเป็นภาพสีน้ำมันติดไว้ที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ ผมเอามาลงให้ดูด้วย ดูแล้วอย่าว่าเป็นฝีมือเด็กมัธยมที่ไหนนะ ดูลายเซ็นของจิตรเกินเสียก่อน หิ หิ

     ออกจากตาดโตน เพื่อนผู้ทำหน้าที่จัดการทัวร์บอกว่าเกินสี่โมงครึ่งแล้ว อุทยานไทรทองปิด ต้องงดการไปดูดอกกระเจียวขาว มุ่งหน้ากลับที่พักกันเลย ถึงตอนนี้มีเสียงรำพึงเบาๆว่า

     "ว่าแล้ว ดีนะเนี่ยที่ถ่ายรูปไว้ทัน"


     เราเข้าที่พัก ชื่อ "สุดทาง@love" เป็นเรือนแถวชั้นเดียวกลางไร่มันสัมปะหลัง มีของตกแต่งจุ๊กจิ๊ก
ที่พักห้องแถวกลางไร่มัน ตกแต่งยุกยิกยั้วเยี้ย แต่คุ้มราคา

ยั้วเยี้ยเอาใจตลาด ราคาคืนละหนึ่งพันต่อห้อง มีแอร์ ตู้เย็น เตาอบ ไมโครเวฟ ที่เป่าผม อาหารเช้า เตียงนอนมาตรฐาน สะอาด แถมมดหนีน้ำมาอยู่ในที่นอนด้วยสองสามตัว เสร็จสรรพโหลงโจ้งแล้ว นับว่าคุ้มมาก

     รุ่งเช้าเรารีบออกจากที่พักตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อขึ้นเขาไปอุทยานหินงามซึ่งเป็นที่ชมทุ่งดอกกระเจียว ขับไปแค่สี่กม.ก็ถึงอุทยานแล้ว โชว์เหนียงแทนค่าผ่าน เอารถเข้าไปจอด แล้วขึ้นสิ่งที่เขาเรียกว่ารถราง (แปลว่ารถคล้ายอีแต๋นแปลงร่างเป็นรถให้นักท่องเที่ยวนั่งได้หลายๆคน) ขับพาขึ้นเขาไป เสียเงินไม่แพง รู้สึกจะยี่สิบบาทหรือไงเนี่ย คราวนี้เหนียงไม่มีประโยชน์ เพราะอายุเท่าไหร่ก็ต้องเสีย

     รถพาเราฝ่าหมอกขึ้นเขาไปยังจุดสูงสุด ปล่อยเราไว้กลางหมอกที่มองไม่เห็นอะไร ให้เราเดินคลำทางไปยังทุ่งดอกกระเจียวขณะฟ้าสาง พอฟ้าสางสักหน่อย หมอกยังคงอยู่ แต่แสงสว่างค่อยๆมากขึ้นๆ

     บรรยากาศของทุ่งดอกกระเจียวแท้ๆค่อยๆเปิดตัวให้เห็น อากาศเย็นดีมาก หมอกสลัวเป็นแบคกราวด์ ดอกกระเจียวสีชมพูแกมแดงกระจายดารดาษอยู่ใต้ไม้ใหญ่ละลานตา ทั่วทั้งป่าแทบไม่มีผู้คนเลยเพราะเป็นวันธรรมดาและเราก็เป็นคนบ้านใกล้จึงเป็นกลุ่มแรกที่ขึ้นมาก่อนเขาเพื่อน เราพากันเดิน เดิน เดิน ไปตามทางที่เขาจัดไว้ให้ แวะถ่ายรูปที่นี่ที่นั่น ทั่วทั้งทุ่งสะอาดสะอ้าน หาขยะแทบไม่มีเลย ผมนึกในใจว่ามาชัยภูมินี่ดีแต๊ดีว่า จากมวกเหล็กมานี่แค่สองชั่วโมง ดีกว่านั่งเครื่องบินไปเทียวเมืองนอกไกลๆเสียอีก ใครไม่เคยไปเห็นทุ่งดอกกระเจียวในสายหมอกตอนเช้าตรู่ที่จ.ชัยภูมิ ผมว่าน่าเสียดายนะ..จะบอกให้

     เดินจนเหนื่อยและหิวได้ที่แล้วเราก็ยังไปปีนหินรูปทรงประหลาดๆที่ภูหินงามในอุทยานแห่งนี้อีก ปีนไปปีนมาผมเอาหัวไปโขกเพดานหินดังโป๊กต้องเอามือคลำศีรษะป้อยๆ ผมบอกหมอสมวงศ์ว่าคืนนี้ถ้าผมมีอันเป็นไปให้เขาสะแกนดูหัวให้หน่อยนะ แล้วก็บอกตัวเองว่าแก่แล้วต้องรู้จักระวังศีรษะของตัวเองให้ดี โป๊กเล็กๆก็เลือดออกหรือสมองเสื่อมได้..นะจ๊ะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

20 มิถุนายน 2561

สิ่งที่คุณขาดคือทักษะชีวิต (Life Skill)

กราบเรียนคุณหมอ
หนูอายุ 23 ปี มีลูกหนึ่งคน คือมีแฟนคนแรกอายุ 17 ปี พอคลอดลูกก็ทะเลาะกันเลิกกัน เขาบอกว่าถ้าหนูไม่เอาลูกเขาจะเอาไปให้พ่อแม่เขาเลี้ยง หนูเอาลูกไว้ หนูอยู่กับพ่อแม่แต่ออกไปทำงานที่... เป็นพนักงานเสริฟ แล้วก็มีความรักอีกครั้งหนึ่ง แล้วตัดสินใจอยู่กินกัน เขาไม่รังเกียจลูกของหนู และเขาอยากจะมีลูกอีกคนหนึ่ง หนูก็โอเค แต่ยังไม่ทันมีลูกจริงๆเขาก็ไปมีอะไรกับเมียของคนอื่น ทะเลาะกันอีก แล้วหนูก็ตัดสินใจย้ายงาน เอาลูกไปฝากแม่ หนีมา มาหางานใหม่ มีคนสงสารให้งานหนูทำ หนูใช้ชีวิตคนเดียว แต่ความเหงาก็ทำให้ได้รู้จักกับแฟนคนที่สาม คือคนนี้ ก็อยู่กินด้วยกัน ตกลงมีลูกด้วยกัน แล้วหนูตั้งท้อง ยังไม่ทันคลอดแฟนก็รุนแรงกับหนู ชก ต่อย เตะ จนหนูทนไม่ได้ และคิดว่าจะต้องไปจากเขา แต่คุณหมอคะ หนูกำลังรู้สึกว่าชีวิตหนูจะหมุนเวียนอย่างนี้อีกกี่รอบ มีผัว มีลูก แล้วก็มีผัว มีลูก วูบหนึ่งหนูเบื่อหน่าย คิดจะตาย แต่ก็สงสารลูกทั้งตัวพี่ที่ติดหนูมาก และตัวน้องที่เพิ่งมาเกิดในท้อง หนูควรจะทำอย่างไรดี

..............................................

ตอบครับ

     อามิตตาภะ พุทธะ

     จดหมายยาวเหยียด ผมตัดลงเหลือสั้นๆเพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านเพลินไปกับนิยายน้ำเน่าเกินเหตุ

     ปัญหาของคุณนี้ รากของมันไม่จำกัดอยู่เฉพาะกับวัยรุ่น แต่รากของมันมีอยู่ในคนทุกวัย คือมันเกิดขึ้นจากการขาดสิ่งที่เรียกว่า "ทักษะชีวิต" หรือ Life Skill ทักษะแปลว่าความสามารถลงมือทำ ทักษะชีวิตมันเป็นคนละเรื่องกับทักษะวิชาชีพที่ใช้ทำมาหาเงินเช่นวิธีทำขนมครก วิธีทำบัญชี วิธีเป็นหมอ แต่ทักษะชีวิต หมายถึงคุณลักษณะหรือความสามารถที่จะเผชิญสถานการณ์ในชีวิตประจําวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ตั้งเป็นธงชัยไว้ว่ามนุษย์เรานี้หากจะเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบควรมีทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตอยู่สิบอย่าง ดังนี้

     1. ทักษะการรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง (Coping with Emotion) ไม่ว่าจะเป็นยามโกรธ ยามเศร้า ยามดีใจ ยามเกิดความอยากทางเพศ ก็รู้วิธีรับมือได้ทั้งนั้น

     2. ทักษะการรับมือกับความเครียด (Coping with Stress) คือเมื่อเครียด หรือมีความคิดลบแล้วรู้ เมื่อรู้แล้วก็สามารถพาตัวเองให้หลุดพ้นจากความเครียดได้ด้วย

     3. ทักษะการสื่อสาร (Effective Communication) คือความสามารถในการใช้ภาษา ท่าทาง ลูกล่อลูกชน ให้คนอื่นเข้าใจ เห็นด้วย คล้อยตามตัวเองด้วยดี

     4. ทักษะการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น (Interpersonal Relationship) คือพูดง่ายๆว่าคบคนเป็น คบกับคนอื่นแล้วมีการแลกเปลี่ยนสิ่งดีๆต่อกัน ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์

     5. ทักษะการคิดวินิจฉัย (Critical Thinking) คือคิดวิเคราะห์ข้อมูล เปรียบเทียบ ประเมิน ได้เสีย ดีไม่ดี ถูกไม่ถูก เป็นทักษะที่ใช้ประกอบกับทักษะการตัดสินใจ

     6. ทักษะการตัดสินใจ (Decision Making) ไม่ว่าจะในเรื่องการเอาตัวรอดจากสิ่งคุกคามยั่วยุหน้าสิ่วหน้าขวาน เช่นการติดเชื้อเอดส์ การจะเผลอมีลูกโดยไม่ตั้งใจ การติดยาเสพย์ติด โจรภัย ไปจนถึงการตัดสินใจในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองเช่นแต่ละวันจะกินอะไร จะมีกิจกรรมออกกำลังกายอย่างไรด้วย

     7. ทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving) ซึ่งหมายความว่านอกจากจะตัดสินใจได้แล้ว ยังสามารถลงมือแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง ลงมือแก้ แล้วประเมิน แล้วตัดสินใจ แล้วลงมือแก้ แล้วประเมิน

     8. ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เกิดจากประสบการณ์ แต่เกิดจากจินตนาการ (imagination) และความบันดาลใจ (inspiration) ซึ่งถูกดาวน์โหลดจากภายนอกเข้ามาสู่ใจตัวเองผ่านกลไกตัวช่วยหลักที่เรียกว่าปัญญาญาณ (intuition) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องฝึกฝนเรียนรู้ทดลองปฏิบัติ ถ้าได้รับการสอนให้รู้วิธีฝึกฝนมาตั้งแต่เป็นเด็กอายุ 1-7 ขวบก็ยิ่งดี

     9. ทักษะการเข้าใจเห็นใจผู้อื่น (Empathy) พูดง่ายๆว่าการรู้จักยอมรับคนรอบตัวเรา ยอมรับ ขอบคุณ ให้อภัย ขอโทษ แผ่เมตตา

     10. ทักษะการตื่นรู้ (Self Awareness) รู้ว่าตัวเองทำอะไรแล้วจึงจะมีความสุขแท้จริง อะไรเป็นจุดยืนในชีวิต ไม่เอาแต่วิ่งตามคนอื่นเหมือนวัวควายวิ่งตามฝูง เขาจะเอากันแต่เงินก็จะเอาแต่เงินกับเขาบ้าง รู้ว่าตัวเองนั้นเมื่อแกะเปลือกนอกออกไปทีละชั้นๆเหมือนแกะเปลือกหอมเปลือกกระเทียมแล้วชั้นในสุดจะเหลืออะไรเป็นแก่นแท้ที่บอกความเป็นคุณค่าแท้ๆของตัวเองบ้าง คนญี่ปุ่นเรียกว่า "ของจริง" หรือ "ฮอนโมโนะ (本物)" คนส่วนใหญ่คิดว่าเมื่อทิ้งทรัพย์ศฤงคารและความผูกพันกับคนอื่นไปหมดแล้วก็จะเหลือเกียรติยศศักดิ์ศรีและความเชื่อ (ego) เป็นแก่นแท้ของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงนั้นแม้กระทั่งเกียรติ ศักดิ์ศรี ความเชื่อ ก็ยังเป็นแค่ความคิดที่ยังเปลี่ยนได้แกะทิ้งได้ สิ่งที่จะเหลืออยู่เป็นสารัตถะสุดท้ายจริงๆก็คือความตื่นหรือความรู้ตัว (awareness) ที่มีแต่เมตตาโดยไม่มีความเป็นบุคคลของตัวเองเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น

       ในสิบทักษะที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ประเมินเอาจากเนื้อความที่เล่ามาในจดหมาย คุณไม่มีทักษะไหนที่เพียงพอแก่การจะมีชีวิตอยู่ให้มีความสุขเลยสักอย่างเดียว เรื่องจะฆ่าตัวตายนั้นผมโนคอมเม้นท์นะ เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะพูดถึง ผมจะพูดถึงแต่การจะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้มีความสุข คุณต้องถอยกลับไปตั้งต้นสนามหลวงเทียบเท่ากับเด็กอายุหนึ่งขวบ แล้วค่อยๆพัฒนาทักษะชีวิตทั้งสิบประการข้างต้นนั้นขึ้นมาใหม่ ตั้งใจฝึกฝนไปทุกวัน วันละเล็กวันละน้อย ที่ผมบอกว่าต้องถอยไปไกลถึงอายุหนึ่งขวบก็เพราะทักษะบางอย่างเช่นทักษะการคิดสร้างสรรค์ มันต้องฝึกกันตั้งแต่อายุ 1-7 ขวบ แก่เกินนั้นมันฝึกได้อยู่ก็จริง แต่มันยาก เพราะการฝึกความคิดสร้างสรรค์มันต้องอาศัยจินตนาการ ความบันดาลใจ และปัญญาญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เด็กเอียดจะเก็ทได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่มากนัก

     แต่เอาเถอะ แม้ตอนนี้คุณ 23 ขวบแล้ว มันก็ยังไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นฝึกฝนทักษะชีวิต เพราะถ้าไม่มีทักษะชีวิต คุณจะเดินหน้าต่อไปกับชีวิตไม่ได้ ยิ่งเดินก็จะยิ่งถลำลึก เพียงแต่ว่าปูนนี้แล้วคุณต้องฝึกด้วยตัวเองเพราะคุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมคงไม่มีเวลาจาระไนเจาะลึกลงไปสอนคุณได้ทีละอย่างทีละสะเต็พ เพราะบล็อกนี้มันเป็นบล็อกของคนแก่ จะให้มาพูดเรื่องการสอนเด็กอายุ 1-7 ขวบให้รู้วิธีใช้ชีวิตมันก็กระไร คุณอ่านหัวข้อทั้งสิบ เอาไปคิดไตร่ตรอง แล้วลองปฏิบัติเอาเองก็แล้วกันนะ

     ไหนๆก็เขียนมาถึงหมอสันต์แล้ว อย่างช่วยอะไรคุณไม่ได้ ผมก็..ขอให้คุณมีชีวิตข้างหน้าที่ดีนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์       
[อ่านต่อ...]

18 มิถุนายน 2561

มีบ้านพักผู้สูงอายุขนาด 50 วาหรือแบบให้เช่าไหม

ดิฉันเกษียณมาสามปีแล้ว อยู่แบบตัวคนเดียว ซื้อบ้านเกษียณอยู่ที่หมู่บ้าน .. อยู่ที่อ. ... จังหวัด ... บ้านที่อยู่มีเนื้อที่บ้าน 120 ตรม. อยู่ในพื้นที่ 130 ตรว. ใกล้เคียงกันมีครอบครัวคนรู้จักอยู่ครอบครัวหนึ่งเขาอยู่กันหลายคน ดิฉันเองวันหนึ่งเป็นเพราะความประมาทของตัวเอง เกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บ เดินไม่ได้ต้องคลานไปคลานมาบนพื้นบ้าน ดูแลบ้านช่องไม่ได้เลย ความสะอาดพื้นดิฉันอาศัยหุ่นยนต์ทำให้ก็พอได้ ต้องอาศัยเพื่อนบ้านเอาอาหารมาส่งให้นานตั้งเดือนกว่า ดิฉันมีความรู้สึกว่าบ้านที่อยู่ตอนนี้มันใหญ่เกินไป อยากจะไปอยู่ในที่แบบโคโฮของคุณหมอ เพราะชอบแนวคิดของคุณหมอ คุณหมอมีชนิดให้เช่า หรือถ้าเป็นการขายคุณหมอมีแบบพื้นที่เล็กระดับ 50 ตรว.มีไหมค่ะ

..............................................................

ตอบครับ

     1. ถามว่าผมทำซีเนียร์โคโฮแบบให้เช่าไหม ตอบว่าไม่ได้ทำครับ เพราะผมเจียมสังขารว่าตัวเองก็ปูนนี้แล้ว อีกไม่นานก็ตาย ถ้าผมทำบ้านให้คนเช่าโดยสัญญาว่าจะให้เขาอยู่จนชั่วอายุไข แต่หากคนที่มาข้างหลังผมไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือลูกหลานของผมเองก็ตาม หากเขาไม่รักษาสัญญาที่ผมเคยให้กับผู้เช่าไว้ ผู้เช่าเขาก็จะเดือดร้อน วิญญาณของผมก็จะไม่สงบสิครับ ผมจึงตัดสินใจว่าไม่เอาดีกว่า

     2. ถามว่าที่ดินโคโฮที่ผมทำขายมีแบบ 50 ตรว.ไหม ตอบว่าไม่มีครับ เล็กสุดคือ 100 ตรว. เพราะเมืองไทยนี้เราถูกจำกัดด้วยกฎหมาย ไม่มีกฎหมายสนับสนุนการทำ senior co-housing ซึ่งเอื้อให้มีสมบัติร่วมกันได้ ผมจึงต้องประยุกต์ทำให้สอดคล้องกับกฎหมายไทย คือถึงแม้จะอยู่ในรั้วเดียวแต่ทุกคนต้องมีทางเข้าตรงจากถนนสาธารณะของใครของมัน  มีที่จอดรถของใครของมัน มีน้ำมีไฟของตัวเองโดยตรง ผนังบ้านต้องห่างจากขอบที่ 2 เมตร ถ้าลดพื้นที่เหลือ 50 ตรว.ก็จะถูกบีบอัดจนแบนแต๊ดแต๋ จะมาทำชุมชนเท่ๆมีที่จอดรถกลาง มี common house มีทางเดินเล็กๆสวยๆภายใน มีบ้านชิดกันบ้าง ห่างกันบ้าง แบบฝรั่งนั้น ฝันไปเถอะ ทำไม่ได้หรอกเพราะกฎหมายไม่เอื้อให้มีสมบัติร่วมกัน ต้องมีแต่สมบัติของใครของมันที่ทุกคนถือสิทธิขาดเท่านั้น ดังนั้นตามกฎหมายไทยหากจะทำบ้านให้เล็กก็ต้องทำห้องแถวหรือทาวน์เฮ้าส์ไปเลยรู้แล้วรู้รอด ซึ่งหากทำอย่างนั้นจริงทุกคนก็จะต่อเติมตามใจฉันออกมาจนปริล้นที่ของตัวเองแถมเอารถมาจอดนอกถนนหรือจอดเสียบหัวเข้าไปในสวนสาธารณะชนิดที่ไม่มีใครว่าใครได้เพราะทุกคนก็ใหญ่ล้นที่ของตัวเองออกมาเหมือนกันหมด แบบนั้นผมไม่เอาดีก่าเพราะมันจะเป็นชุมชนที่ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย

     3. การที่คุณเกษียณแล้ว ตัวคนเดียว ไปซื้อบ้าน 120 ตรม. อยู่ในที่130 ตรว. อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแบบ "ต่างคนต่างอยู่นิเวศน์" นั้น มันเป็นรูปแบบการอยู่อาศัยที่ไม่เหมาะกับผู้สูงวัยตัวคนเดียว เพราะว่ากระบวนการสูงวัยของคนเรานี้มันมีสามระยะนะ คือ

3.1 Independent Living คือยังไปไหนมาไหนทำอะไรเองได้ 100%

3.2 Assisted Living คือทำอะไรเองได้เป็นส่วนใหญ่ แต่บางเรื่องต้องอาศัยผู้ดูแล เช่นบางคนต้องมีคนพาอาบน้ำ หรือพาเข้านอน หรือเอาอาหารมาส่ง หรือมาทำบ้านซักผ้าให้ เป็นต้น

3.3 Hospice Care คือนอนแบ็บหยอดข้าวหยอดน้ำ ไม่หือไม่อือแล้ว ต้องมีผู้ดูแลเฝ้าดูอยู่ประจำ 100% มิฉะนั้นก็จะนอนแช่ฉี่แช่อึของตัวเอง หรือพอเป็นอะไรไปกว่าคนจะรู้เห็นก็ส่งกลิ่นเสียแล้ว

     รูปแบบบ้านจัดสรรแบบ "ต่างคนต่างอยู่นิเวศน์" นี้ สำหรับคนตัวคนเดียวมันเอื้อต่อการใช้ชีวิตแบบ independent living แต่พอเข้าระยะ assisted living ก็จะเริ่มมีปัญหาอย่างที่ตัวคุณเองต้องคลานไปตามพื้นบ้านนานเป็นเดือนๆมาแล้ว พอมาถึงระยะ hospice care ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่แบบตัวเดียวคนเดียวอย่างนั้น แต่ว่าสมัยนี้มีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องอยู่คนเดียวแต่ก็หาที่อยู่ที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้ จะไปอยู่คอนโดก็ไม่ชอบเพราะตัวเองชอบอยู่ติดดินปลูกผักปลูกหญ้า นั่นเป็นเหตุผลที่ผมคิดทำซีเนียร์โคโฮขึ้นมาโดยเลียนแบบฝรั่งแต่ให้มันเป็นไปได้สำหรับคนไทย เลียนแบบฝรั่งในแง่ที่ว่าใช้คอนเซ็พท์ age in place คือเป็นชุมชนที่อยู่กันแบบแก่ที่นั่นตายที่นั่นโดยไม่ต้องย้ายไปไหน แต่ประยุกต์จากของฝรั่งตรงที่ฝรั่งเขาสร้างชุมชนในรูปแบบเพื่อนบ้านเกื้อกูล (neighborhood support) คือสมาชิกรู้จักกันแน่นแฟ้นและช่วยเหลือกันและกัน ของผมก็ยังใช้คอนเซ็พท์นั้นอยู่ แต่เพิ่มมาตรการ "เผื่อเหนียว" ไว้สำหรับความเป็นคนไทยด้วย เพราะคนไทยเรานี้มีหลักการว่าเราคนไทยด้วยกันมีอะไรพูดกันได้ แต่มีปัญหานิดเดียวเท่านั้นคือพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง..หิ หิ

     การ "เผื่อเหนี่ยว" ที่ผมทำไว้ก็คือ

     1. แต่ละชุมชนซึ่งประกอบด้วยบ้านเล็กประมาณสิบหลังอยู่ในรั้วเดียวกันต้องมีกระท่อมคนสวนอยู่กลางชุมชนด้วยหนึ่งหลัง โดยเป็นสมบัติของคนทั้งชุมชน คนสวนนี้จะเป็นทั้งผู้ตัดหญ้า รดน้ำ ทำสวน เป็นยามเฝ้า เป็นผู้ตรวจเยี่ยมตอนเช้า (morning round) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีบ้านไหนหลับลืมตื่นข้ามวันข้ามคืนโดยไม่มีใครรู้  และเป็นผู้สนองตอบเมื่อมีการเรียกฉุกเฉินจากบ้านใดก็ตาม (first responder) โดยทำหน้าที่ประสานงานกับรถฉุกเฉิน 1669 และโรงพยาบาลท้องถิ่นเสร็จสรรพ แบบว่าออลอินวัน ค่าจ้างก็ลงขันกัน คือหารสิบ นี่เป็นการเผื่อเหนียวกรณีคอนเซ็พท์เพื่อนบ้านเกื้อกูลมันไม่เวอร์คในมนุษย์พันธุ์ไทย

     2. ควรมีแหล่งอาหารสุขภาพที่เมื่อตัวเองทำกินเองไม่ได้แล้วก็ยังสามารถเดินไปรับประทาน หรือสั่งอาหารสุขภาพจากที่ใกล้ๆมาส่งที่บ้านได้ นี่เป็นการเผื่อเหนียวกรณีคอนเซ็พท์ "ครัวกลาง" แบบซีเนียร์โคโฮของฝรั่งมันไม่เวอร์คกับคนไทย ซึ่งตอนนี้ผมได้ตั้งครัวปราณาขึ้นในเวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์และเปิดบริการได้ทุกวันเรียบร้อยแล้วผมจึงมีความสบายใจขึ้นว่าสมาชิกโคโฮหรือใครก็ตามซึ่งอยู่อาศัยในมวกเหล็กวาลเลย์นี้จะไม่อดอยากในเรื่องอาหารสุขภาพ

     3. ควรมีแหล่งที่จะเรียกใช้บริการ "ผู้ดูแล (caregiver)" ได้เมื่อต้องการด้วย ไม่ว่าจะเป็นรายครั้งหรือรายเดือน ซึ่งตรงนี้ผมก็อาศัยคลินิกสุขภาพองค์รวมในเวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ที่ผมเองตั้งขึ้นมาและเปิดบริการดูแลสุขภาพรวมทั้งนวดบำบัดแบบต่างๆเรียบร้อยแล้วด้วย พนักงานเทราพิสท์ที่ว่างเว้นจากงานบีบนวดก็ให้รับจ๊อบเป็นผู้ดูแลตามบ้านสุดแล้วแต่ว่าลูกค้าจะเรียกใช้ที่บ้านไหมเมื่อใด นี่เป็นการเผื่อเหนียวกรณีคอนเซ็พท์ "ผู้สูงวัยดูแลกันและกัน" ของฝรั่งมันไม่เวิร์ค

       ทำทั้งหมดนี้แล้ว ผมก็ยังไม่รู้นะว่าเมื่อก่อสร้างเสร็จ ชุมชนซีเนียร์โคโฮเกิดขึ้นจริงแล้ว มันจะเป็นชุมชนผู้สูงอายุอย่างที่ผมวาดฝันไว้หรือเปล่า เพราะที่นี่ประเทศไทย อะไรอะไรก็เกิดขึ้นได้ ต้องตามดูตามลุ้นกันต่อไป อีกไม่เกินห้าปี...รู้เรื่อง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

17 มิถุนายน 2561

ติดเชื้อ hiv จะสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ไหม

ดิฉันติดเชื้อ hiv จากช่วงน้ำท่วมหนักกรุงเทพแล้วช่วยคนได้รับอุบัติเหตุเลือดออกมากตอนนั้นตัวเองมีบาดแผลที่มือด้วย สี่ปีต่อมาตรวจพบเชื้อ ปัญหาที่หนักหนาคือลูกยังไม่ทราบแล้วไม่ทราบว่าลูกจะติดเชื้อระหว่างเลี้ยงดูหรือไม่ (เลี้ยงลูกคนเดียวค่ะ) เพราะไม่ได้ระวังตัวเองเลย ลูกอยากเรียนแพทย์อนวทนลำบากและอยากช่วยคนอื่น ไปเชคดูว่าการสมัครเรียนแพทย์ของปีนี้ มหาวิทยาลัยของรัฐจะมีการตรวจเลือดทุกมหาวิทยาลัย ราคาประมาณ 1500-1700 ในการตรวจร่างกาย เค้าตรวจ hiv หรือไม่คะ เคยอ่านบทความเก่าๆของคุณหมอบอกว่าไม่ตรวจ (2556) แต่ตอนนี้ผ่านมา 6 ปี เค้าตรวจมั้ยคะ สภาพทั่วไปของลูกแข็งแรงดี แนวลุยๆค่ะ เป็นเรื่องกังวลใจของแม่มาก ไม่รู้ว่าจะถามใครดี รบกวนคุณหมอด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ

...............................................

ตอบครับ

     วันนี้ผมเพิ่งเสร็จแค้มป์ RDBY หมดแรง จึงขอหยิบจดหมายแนวไร้สาระมาตอบนะ

     โห..นี่กังวลข้ามสองช็อตเลยนะเนี่ย คนเรานี่ช่างสรรหาความกังวลมาป้อนใจตัวเองจริงๆ

     ช็อตที่หนึ่ง แม่ติดเชื้อ จึงกังวลว่าลูกจะติดเชื้อด้วย
     ช็อตที่สอง แม่กลัวลูกเสียใจจึงไม่บอกลูกว่าตัวเองติดเชื้อ แต่ก็กังวลว่าวันหนึ่งถ้าลูกรู้ลูกต้องเสียใจ 
     ช็อตที่สาม ลูกอยากเรียนแพทย์ แม่กังวลว่าถ้าลูกติดเชื้อกลัวลูกจะไม่ได้เรียนแพทย์

    เอาเถอะ อย่าไปพูดถึงการรับมือกับความกังวลเลยเพราะไม่ใช่ประเด็นคำถามนะ มาตอบคำถามดีกว่า

     1. ถามว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมีการตรวจหาเชื้อ hiv ไหม ตอบว่า

     อย่างเป็นทางการไม่มีการตรวจ เพราะคนทำอาชีพหมอนี้จะกล้วคนทำอาชีพอื่นอยู่สองอาชีพเท่านั้นเอง คือสรรพากรกับตุลาการ (หิ หิ พูดเล่น) คืออาจารย์แพทย์ที่ออกกฎเกณฑ์เขาก็กลัวเจอของแข็งด้านกฎหมายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเรื่องเลือกปฏิบัติ เรื่องสิทธิพลเมือง เรื่องความเท่าเทียม จึงไม่มีใครกล้าเอามือซุกหีบอย่างออกหน้าออกตา คุณสังเกตไหมละว่าในเอกสารสมัครสอบเข้านั้นเขาไม่บอกหรอกว่าที่จะตรวจสุขภาพตรวจเลือดนั้นเขาจะตรวจอะไรบ้าง

     แต่อย่างไม่เป็นทางการนั้นผมตอบคุณใด้แต่ว่าที่นี่ประเทศไทย วงการแพทย์นี้ก็เหมือนวงการอื่นๆทั้งหลายในประเทศไทยที่ข้างหลังไมค์อะไรอะไรก็อาจเป็นไปได้ ดังนั้นหากอยากเรียนจริงก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะถูกเคี้ยะออกที่ด่านใดด่านหนึ่ง จึงต้องไปลุ้นเอาเอง ที่ต้องลุ้นก็เพราะแต่ละคณะ แต่ละสถาบัน ก็ตั้งด่านอย่างไม่เป็นทางการของตัวเอง ต่างจิตต่างใจต่างกฎต่างเกณฑ์

     2. ถามว่าในโรงเรียนแพทย์ทุกวันนี้มีคนที่ติดเชื้อ hiv เรียนอยู่ไหม ตอบว่ามีครับ บ้างติดมาก่อน บ้างมาติดเอาทีหลัง แต่ที่กำลังเรียนอยู่ก็แยะ และจบมาเป็นหมอแล้วก็แยะ บางแห่งก็มีกฎระเบียบห้ามฝึกปฏิบัติหัตถการบางอย่างกับคนจริง เช่นการทำคลอดหรือการผ่าตัดเป็นต้น

     3. ถามว่าถ้าหมอสันต์เป็นคุณแม่จะทำอย่างไร ตอบว่าทำแค่นั่งสมาธิหัดปล่อยวางความคิดเลิกกังวลล่วงหน้าไร้สาระก็พอแล้ว ปล่อยให้ลูกสาวอยากเรียนอะไรอยากสอบอะไรก็ทำของเธอไป อย่าบ้าจี้พาลูกสาวไปเจาะเลือดดู hiv ก่อนเด็ดขาดนะ เหมือนคนโง่คิดจะทำประกันสุขภาพแล้วขยันเที่ยวตรวจสุขภาพตรวจโน่นตรวจนี่เพื่อให้แต่ใจว่าตัวเองไม่เป็นโรคอะไรก่อนซื้อกรมธรรมประกัน โดยหารู้ไม่ว่าข้อมูลเหล่านั้นจะกลายเป็นเครื่องมือระงับการจ่ายสินไหมเมื่อเราป่วยขึ้นมาจริงในวันหลัง ฉันใดก็ฉันเพล ในการสอบเข้าแพทย์นี้ การรู้ข้อมูล hiv ของตัวเองมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะบางด่านเช่นด่านสัมภาษณ์อาจารย์บางท่านจะถามโต้งๆว่าเคยติดเชื้อ hiv มาหรือเปล่า ต้องให้ลูกสาวสามารถตอบได้เต็มปากเต็มคำและใสซื่อว่าหนูไม่รู้ เพราะไม่เคยตรวจ ประเด็นคือด่านนี้โกหกไม่ได้ หากไปภายหน้าเขาจับได้ว่านักศึกษาแพทย์เคยโกหกในการสัมภาษณ์ไม่ว่าเรื่องใด จะถูกถอดสถานะภาพนักศึกษาแพทย์ทันที

     ในกรณีที่คณะแพทยศาสตร์บางมหาลัยเขาบังคับเจาะเลือด hiv จะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม แล้วเกิดแจ๊คพอตพบว่าของเราได้ผลบวกแล้วเขาไม่รับเข้าเรียน ก็ไม่เป็นไร เราก็ขอใช้สิทธิไปเรียนคณะอื่นที่เราคะแนนถึงและเขาไม่เกี่ยงเรื่องผล hiv 

     4. ถ้าสอบผ่านเข้าแพทย์ไปได้ เรียนไปแล้ว หาก ณ จุดหนึ่งมีเหตุให้ต้องเจาะเลือดดู hiv (เช่นตั้งครรภ์) แล้วพบว่าติดเชื้อ hiv มา ก็ค่อยปรับวิธีเรียนวิธีทำงานไปให้มันเป็นไปได้โดยไม่มีผลเสียต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ต้องกลัวว่าติดเชื้อ hiv แล้วจะเรียนแพทย์ไม่จบหรือทำอาชีพแพทย์ไม่ได้ เพราะอาชีพแพทย์กว้างใหญ่ไพศาล แพทย์บางชนิดบางสาขาไม่ได้แตะตัวคนไข้เลยด้วยซ้ำ

 นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

14 มิถุนายน 2561

อยากคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ไม่อยากโดนส่องก้น

คุณหมอสันต์ครับ
เพื่อนผมเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็ช็อกไปแล้ว ไข้ขึ้น หมอต้องผ่าตัดลำไส้ด่วนจึงรู้ว่าลำไส้ทะลุและเน่า ต้องตัดลำไส้ออกไปสองรอบ รอบแรกตัดแล้วยังไม่แน่ใจ ต้องกลับเข้าไปตัดอีกหน เหลือลำไส้อยู่นิดเดียวและคงต้องเอาอึมาปล่อยที่หน้าท้องเป็นการถาวร ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ผมเห็นเขาแล้วก็อยากป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ให้ตัวเอง หมอบอกว่าต้องไปส่องกล้องแต่ผมไม่อยากส่องเพราะต้องอดอาหารต้องถ่ายยาวุ่นวาย มีวิธีตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบอื่นที่ไม่ต้องส่องตรวจทางก้นไหมครับ

...........................................

ตอบครับ

ก่อนที่จะไปถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ สิ่งที่พึงทำเพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่คือ

     1. ลดไขมันในอาหารให้เหลือน้อยที่สุด ภาษาหมอบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ของแคลอรี่รวม คือต้องให้ไขมันให้แคลอรี่ไม่เกิน 20% ของแคลอรี่รวม นั่นหมายความว่าไม่กินอาหารผัดทอดเลย

     2. อาหารต้องได้ดุล ประเด็นสำคัญคือต้องได้ผักและผลไม้วันละอย่างน้อย 5-8 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งเทียบเท่าแอปเปิลหนึ่งลูกหรือผักสดหนึ่งถ้วย นอกจากนี้ต้องขยันกินถั่วและธัญพืชไม่ขัดสีเพื่อให้ได้กากใยมากๆ

     3. อาหารต้องมีกากทุกรูปแบบรวมกันอย่างน้อย 25 กรัมต่อวัน ซึ่งงานวิจัยอาหารในคนอเมริกันพบว่ากินกากใยวันละ 5-8 กรัมต่อวันเท่านั้น

     4. อย่าอ้วน ถ้าอ้วนต้องลดอาหารที่ให้แคลอรี่ลง

     5. อย่าสูบบุหรี่

     6. ออกกำลังกายทั้งวัน โดยให้การเดินไปมาทำโน่นทำนี่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแทนการนั่งอยู่กับที่

     เอาละ คราวนี้มาพูดถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ สมาคมะเร็งอเมริกัน (ACS) เพิ่งแก้ไขคำแนะนำใหม่ๆหมาดๆ ว่าให้ผู้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระดับปกติที่อายุ 45 ปีขึ้นไป ทำการตรวจคัดกรองแบบใดแบบหนึ่งในสองแบบต่อไปนี้ ไหน คือ

1. แบบส่องเข้าไปดูภาพของลำไส้ใหญ่ตรงๆเลย ซึ่งมีหลายวิธีให้เลือกคือ
1.1 ส่องตรวจลำไส้ใหญ่ colonoscopy ทุกสิบปี หรือ
1.2 ตรวจภาพลำไส้ใหญ่ด้วยอุโมงคอมพิวเตอร์ (CT colonoscopy) ทุก 5 ปี
1.3 ส่องตรวจลำไส้ใหญ่ท่อนปลาย (sygmoidoscopy) ทุก 5 ปี 

2. แบบตรวจอุจจาระหาเลือดตกค้างปีละครั้ง ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งต่อไปนี้
2.1 fecal immunochemical test (FIT)
2.2 guaiac-based fecal occult blood test (gFOBT)
2.3 Multi-targeted stool DNA test (MT-sDNA) ทุก 3 ปี
ทั้งหมดนี้มีขายเป็นชุดสำหรับเอาไปตรวจที่บ้านเองได้ด้วย หากตรวจพบว่ามีความผิดปกติก็ต้องไปส่องตรวจลำไส้ใหญ่ต่อ

     การตรวจทั้งสองแบบนี้ จนสมัยนี้ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าอย่างไหนจะได้ผลดีกว่าอย่างไหน ดังนั้นคุณชอบแบบไหนก็เลือกเอา แต่มันสำคัญที่ทุกคนที่อายุเกิน 45 ปีควรจะได้รับการตรวจคัดกรอง ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง

      หากคุณสนใจการตรวจภาพลำไส้ใหญ่ด้วยอุโมงคอมพิวเตอร์ (CT colonoscopy) อย่าคิดว่าจะไม่ต้องถ่ายยาหรือไม่ถูกล้วงก้นนะ เพราะการตรวจชนิดนี้ต้องมีการถ่ายยาล้างท้องเหมือนกัน และต้องมีท่อยัดเข้าทางทวารหนักเพื่อเป่าลมใส่เข้าไปเหมือนกันกับการส่องตรวจลำไส้ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีติ่งเนื้อต้องตัดการตรวจแบบนี้จะตัดไม่ได้ต้องไปส่องตรวจด้วยกล้องส่องแบบ colonoscopy ตามปกติซ้ำอีกครั้งจึงจะตัดติ่งเนื้อได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Smith RA, Andrews KS, Brooks D, Fedewa SA, Manassaram-Baptiste D, Saslow D, Brawley OW, Wender RC. Cancer screening in the United States, 2018: A review of current American Cancer Society guidelines and current issues in cancer screening. CA: Cancer J Clin. 2018 [Epub ahead of print]. Available on Jun 14, 2018 at https://www.cancer.org/cancer/colon-rectal-cancer/detection-diagnosis-staging/acs-recommendations.html#references

[อ่านต่อ...]

13 มิถุนายน 2561

การศึกษาทางเลือกสำหรับเด็กสี่ขวบ

กราบเรียนคุณหมอสันต์
เรา (หนูกับสามี) อยู่ในวัย 40 เรามีลูกสาวอายุ 4 ขวบ หนูมีความตั้งใจที่จะมีชีวิตเพื่อลูกเป็นสำคัญ จะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก แต่ยิ่งเมื่อเธอเติบโตขึ้น หนูก็ยิ่งขาดความมั่นใจในความตั้งใจของตัวเอง ตอนนี้ทุกเย็นเราพาเธอไปเข้าโรงเรียนกวดวิชาเพื่อเตรียมเธอให้เข้าโรงเรียน ... ใช่ค่ะ กวดวิชาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เธอต้องตื่นแต่เช้า เพราะทั้งหนูและสามีต้องไปให้ถึงที่ทำงานก่อนรถติด คุณหมอคะ ถ้าลูกเติบโตไปตามวิถีนี้ เธอจะเรียนรู้การมีความสุขในชีวิตจากตรงไหนหรือคะ คุณหมอมีทางเลือกที่ดีกว่าที่จะแนะนำไหมคะ หนูพร้อมที่จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง ไปอยู่ต่างจังหวัดก็เอา เลิกอาชีพก็เอา อยู่กับเธอ home school ก็เอา ขอให้หนูพอมองเห็นทางว่าหนูได้ให้สิ่งที่ดีกว่าที่ให้เธออยู่ตอนนี้
ขอบพระคุณคุณหมอค่ะ

....................................................

ตอบครับ

     ผมไม่ได้เป็นครูอาจารย์ที่มีความชำนาญหรือมีความรอบรู้ทางด้านการศึกษาของเด็กและเยาวชนนะ เรื่องที่ผมชำนาญ อาชีพที่ผมทำ ไม่ว่าจะผ่าตัดหัวใจหรือให้ความรู้และรักษาคนป่วยโรคเรื้อรังต่างๆล้วนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องการศึกษาของเยาวชน คำตอบของผมไม่มีหลักวิชาการศึกษารองรับ เป็นแค่สามัญสำนึกของคนแก่คนหนึ่ง หิ หิ พูดแบบบ้านๆก็คือ คุณต้องใช้พิจารณญาณในการชมหรือรับฟัง

      ถามว่าถ้าคุณเลี้ยงลูกไปตามแบบที่คนกรุงเทพเขาทำกัน แล้วลูกของคุณจะเป็นอย่างไร ผมพอจะตอบได้นะ คือผมตอบจากการแอบสังเกตเด็กรุ่นหลานที่เป็นผลจากการเลี้ยงดูด้วยวิธีการประมาณนี้ เขาจะมีอัตลักษณ์ คือ

     1. เด็กรุ่นนี้ลอกแบบความเครียดกังวลมาจากพ่อแม่และคนใช้ของเขา ซึ่งอันนี้ผมพอเข้าใจได้ เพราะชีวิตเขาก็ขลุกอยู่กับสามคนนี้ เขาก็ต้องเรียนรู้สักเกตทุกอย่างมาจากสามคนนี้เป็นหลัก ทั้งนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า 7 ขวบปีแรกเป็นช่วงเวลาที่เกิดการเรียนรู้และลอกเลียนคนรอบตัวมากที่สุด เมื่อชีวิตของพ่อแม่เป็นชีวิตที่เคร่งเครียด แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเรียนรู้จดจำจะต้องมีแต่วิธีการสนองตอบต่อสิ่งเร้าไปในทางเพิ่มความเครียดให้ตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่เขาเรียนรู้มาในวัยนี้จะวนเวียนอยู่กับความคิดลบหน้าเดิมไม่กี่อย่าง เช่น โทษคนอื่น (blame) รู้สึกด้อย (shame) รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ (victim) รู้สึกผิด (guilt) แล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะฝังเป็นจิตใต้สำนึกให้เขาเอาไปใช้งานในตลอดชีวิตในวันหน้า

     2. ถึงเด็กรุ่นนี้จะทำได้ดีในเรื่องวิชาการ อ่าน เขียน เลขคณิต เล่นดนตรีหรือกีฬาได้เป๊ะๆตามคำบอกของครู แต่เขาไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (creativity) หรือจินตนาการ (imagination) เอาเสียเลย ยิ่งความเป็นศิลปินยิ่งแล้วใหญ่ ยังห่างไกลมาก

     3. เมื่อไม่มีจินตนาการ เขาก็จึงไม่มีโอกาสรู้จักปัญญาญาณ (intuition) หรือไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาในหัวของเขาขณะไม่ได้ตั้งใจคิดอะไร เขารู้จักแต่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งก็คืออากู๋ (Google) และผมมั่นใจว่าชีวิตอนาคตของเขาจะถูกนำทางหรือบงการด้วยปัญญาประดิษฐ์ ไม่ใช่ด้วยปัญญาญาณของเขาเอง
     ผมขอตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อไม่มีจินตนาการ ไม่รู้จักปัญญาญาณ แล้วเขาจะเอาความบันดาลใจ (inspiration) ในการใช้ชีวิตมาจากไหน ถ้าไม่ใช่ลอกแบบชีวิตที่เคร่งเครียดของพ่อแม่เขา

     4. เด็กรุ่นนี้ไม่มีความสนใจธรรมชาตินอกตัว ไม่เคยทำตาโต (wonder) กับปรากฏการณ์ใดๆในธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึก (feeling) ที่ลึกซึ้งกับสิ่งสวยงามรอบตัวหรือแม้กระทั่งกับสัตว์เลี้ยงอย่างหมาแมว นั่นอาจเป็นเพราะสองในสามของเวลาที่เขาตื่นอยู่ เขาอยู่ในอินเตอร์เน็ท ไม่ได้อยู่ในโลกธรรมชาติรอบตัวเขา

     5. เด็กรุ่นนี้เป็นคนที่ทุกข์ง่าย สุขยาก จดจำแต่ความคับข้องใจที่พ่อแม่ไม่ตามใจเขา และถนัดแต่การประท้วงสำแดงพลังเพื่อให้ตัวเองอุ่นใจว่าพ่อแม่ยังคงเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของเขาอยู่ ผมเชื่อว่าลึกๆในใจเขามีความกลัวที่พ่อแม่จะตายจากเขาไป เพราะเขาใช้บริการพ่อแม่มากจนเขาไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรหากไม่มีพ่อแม่

     ถามว่าวิธีเลี้ยงลูกแบบให้เรียนอยู่กับบ้าน (home school) จะดีไหม ตอบว่ามันก็มีข้อดีข้อเสียนะครับ แต่ข้อเสียที่ยังแก้ไม่ตกก็คือเด็กไม่ได้เรียนรู้การสังคมกับมนุษย์คนอื่น เพราะ home school ในเมืองไทยนี้หมายถึงการขังเด็กให้เจ่าอยู่ในห้องแคบๆคนเดียวกับโทรทัศน์และจอคอมพิวเตอร์ เหมือนกันหมดไม่ว่าจะอยู่ในกรุงเทพหรือชนบท

     ถามว่านอกจากจะให้การศึกษาลูกไปตามวิธีเดิมๆที่คนกรุงเทพเขาทำกันแล้ว มันมีวิธีอื่นอีกไหม ตอบว่าสิ่งที่คุณถามถึงคือ ‘โรงเรียนทางเลือก’ เมืองไทยก็พอมีนะ ผมยกตัวอย่างที่ผมรู้จัก เช่น โรงเรียนทอสี (วิถีพุทธ) โรงเรียนสัตยาไสที่ลพบุรี (สร้างคนดี) โรงเรียนสยามสามไตร (วิถีพุทธ) โรงเรียนอนุบาลบ้านรักที่เมืองกาญจน์ (แนวซัมเมอร์ฮิลล์) โรงเรียนรุ่งอรุณ (วิถีพุทธ) โรงเรียนเพลินพัฒนา (แนวพหุปัญญาแบบโฮวาร์ด การ์ดเนอร์) โรงเรียนดรุณสิขาลัย (แนวซีมัวร์ พาเพิร์ท) โรงเรียนปัญโญทัย (แนวรูดอล์ฟ สไตเนอร์) เป็นต้น คุณสนใจแบบไหนก็ลองไปดูเอาเอง

    ความเห็นส่วนตัวของหมอสันต์เรื่องการศึกษาในวัย 1-7 ขวบ สิ่งสำคัญที่สุด คือ การได้บ่มเพาะ

(1) จินตนาการ (imagination) ที่สามารถคิดอะไรพ้นกรอบที่อายตนะรับรู้ออกไปได้ และ
(2) ปัญญาญาณ (intuition) อันจะนำไปสู่
(3) ความบันดาลใจ (inspiration) ในการจะใช้ชีวิตนี้ให้มีความหมายและมีคุณค่า

     คนที่จะเปิดให้เด็กบ่มเพาะสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้คือพ่อแม่เป็นหลัก โรงเรียนเป็นรอง ทั้งสามประการนี้เด็กเขาจะบ่มเพาะขึ้นมาเองหากได้สัมผัสศึกษาธรรมชาติ คือหากให้เด็กได้ใช้ชีวิตกลางแจ้งกลางแดดกลางฝนคลุกดินคลุกต้นไม้ใบหญ้าหมาแมวเป็ดไก่ บวกกับให้เด็กได้มีโอกาสฝึกสมาธิวางความคิดเข้าสู่ความว่างแล้วเฝ้ามองและเลือกหยิบปัญญาญาณที่จะโผล่ขึ้นมาในรูปของไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาขณะที่ใจปลอดความคิด ทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ง่ายขึ้นถ้าพ่อแม่ในฐานะเพื่อนร่วมเรียนรู้มีความเข้าใจและทำเป็นอยู่ก่อน ผมตอบคุณได้แค่คอนเซ็พท์แค่นี้แหละ ส่วนวิธีปฏิบัติคุณไปเสาะหาหรือทดลองเอาเองนะ

ปล.
ความจริงที่ฟาร์มของเวลเนสวีแคร์ที่มวกเหล็กก็มีธรรมชาติสวยงามวิวดี มีที่พัก มีสิ่งต่างๆที่เด็กวัย 1-7 ขวบจะใช้เป็นที่เรียนรู้อะไรในเชิงบ่มเพาะความสร้างสรรค์หรือจินตนาการได้ พ่อแม่เด็กท่านไหนคิดจะทำเรื่องแบบนี้เช่นทำแค้มป์ธรรมชาติศึกษาสำหรับเด็กๆ หรือทำโรงเรียนแนววาลดอล์ฟ มาทำที่ฟาร์มได้นะ คุยกับผมได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

11 มิถุนายน 2561

เลวกว่ายาเก่าได้ แต่อย่าเลวเกินไป (non inferiority trial)

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ

 ผม ... ที่จะมาเข้าแค้มป์ RDBY วันที่ .... ผมขอส่งข้อมูลเพิ่มเติม ผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาล... นอนอยู่นาน 11 วัน แพทย์บอกว่าเป็นหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นเรื่องต่อจากที่ผมทำบอลลูนเมื่อครั้งก่อน แต่ความจริงทั้งก่อนและหลังทำบอลลูนจนวันเข้าโรงพยาบาลผมไม่เคยเป็นหัวใจล้มเหลวนะครับ ตอนนี้ขาไม่บวมแล้ว แต่ยังหอบง่ายอยู่บ้าง ยาที่ผมได้ล่าสุดมี Aspirin, Plavix, Controloc, Symmex, Enaril, Aldactone, Atenolol, Furosemide, Glucophage, Onglyza (ซึ่งแพทย์เบาหวานได้เปลี่ยนให้ทานแทน Avandia มาหลายปีแล้ว) ผมได้ส่งผลเอ็คโคและผลเลือดครั้งหลังสุดมาด้วย ผมใจร้อนส่งข้อมูลมาก่อนเผื่อคุณหมอจะมีคำแนะนำเรื่องหัวใจล้มเหลวที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะกว่าจะถึงวันเข้าคอร์สก็อีกตั้งสองเดือน รบกวนคุณหมอช่วยแนะนำด้วย
ขอบพระคุณครับ

..............................................

ตอบครับ

     ไหนๆก็จะมาเข้าแค้มป์ RDBY อยู่แล้ว เอาไว้ให้มาพบกัน ให้ผมได้ตรวจร่างกาย และประเมินข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียดอีกทีแล้วค่อยมาวางแผนการดูแลตัวเองกันเอาตอนนั้นดีไหมครับ

     ในระหว่างนี้หากใจร้อนให้อ่านวิธีดูแลตัวเองของคนเป็นโรคหัวใจล้มเหลวซึ่งผมเคยตอบไปแล้วบ่อยมาก เช่นที่ http://visitdrsant.blogspot.com/2016/06/congestive-heart-failure-chf.html 

     อนึ่งก่อนหน้านี้มีแฟนบล็อกท่านหนึ่งเขียนมาเกี่ยวกับยาเบาหวาน ทำให้ผมสะดุดตาจดหมายของคุณนิดหนึ่งตรงที่เห็นยาเบาหวานที่คุณกินว่าคุณเคยกินยา Avandia (rosiglitazone) ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม TZD แล้วมาเปลี่ยนเป็นยา Onglyza (saxagliptin) ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม (DDP4 inhibitor

     ประเด็นก็คือยาเบาหวานที่เป็นยารุ่นใหม่ในกลุ่ม TZD เช่นยา rosiglitazone หรือยา Avandia ที่คุณเคยกินก่อนหน้านี้ งานวิจัย RECORD พบว่าเมื่อให้กินเสริมกับยาเบาหวานมาตรฐานจะทำให้คนกินเกิดหัวใจล้มเหลวมากขึ้นและเกิดกล้ามเนี้อหัวใจตายเฉียบพลันมากขึ้นชัดเจน ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นเหตุให้อย.สหรัฐ (FDA) ตั้งกฎว่าต่อไปยาเบาหวานที่จะออกใหม่จะต้องทำการวิจัยระยะที่สาม (phase III) เพื่อตามดูจุดจบที่เลวร้ายของโรคหัวใจในระยาวให้เสร็จและสรุปผลให้ได้เสียก่อนว่าผลต่อระบบหลอดเลือดหัวใจของยาเบาหวานใหม่หากจะเลวกว่ายาเก่า ก็อย่าเลวกว่ามากเกินไป (non inferiority trial)

     ตรงนี้ผมขอนอกเรื่องเพื่ออธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะ คำว่า non inferiority trial เนี่ย ผมแปลว่า "เลวกว่ายาเก่าได้แต่อย่าเลวมากเกินไป" หมายความว่าในการนำยาใหม่ออกใช้ โดยทั่วไปการวิจัยยาเขาจะโฟกัสที่ผลหลักของการใช้ยาว่ายาใหม่ดีกว่ายาเก่าชัดเจน (เช่นความสามารถลดน้ำตาลในเลือดกรณียาเบาหวาน เป็นต้น)  แต่พอเอายานั้นออกมาใช้จริงๆ พอนานไปเรื่องกลับแดงขึ้นมาว่าขณะที่ผลหลักดีกว่ายาเก่า แต่ผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ของยาใหม่ (เช่นอัตราตาย หรือการเกิดจุดจบที่เลวร้ายทางด้านโรคหัวใจ) กลับเลวกว่ายาเก่ามาก เพื่อป้องกันปัญหานี้ต่อมาจึงได้มีความนิยมทำการวิจัยแบบ non inferiority trial ขึ้น โดยมีหลักการว่าถ้าผลหลักของยาใหม่เจ๋งจริง ก็ตกลงกันว่าจะยอมรับผลข้างเคียงที่เลวกว่ายาเก่าได้บ้าง แต่ต้องไม่เลวกว่ากันมากเกินไป งานวิจัยแบบนี้จึงต้องนิยามกันก่อนว่าที่ว่าไม่เลวกว่ามากเกินไปนั้นคือเลวขนาดไหน เมื่อผ่านการวิจัยนี้ออกมาแล้วก็มีความหมายว่ายาใหม่นั้นได้รับการพิสูจน์เรียบร้อยแล้วว่าผลข้างเคียงในเรื่องใดเรื่องหนึ่งของยาใหม่ที่ยอมให้เอาออกมาใช้นั้น เลวกว่าของยาเก่า แต่ไม่เลวมากเกินไป...หิ ิหิ พูดงี้เข้าใจมะ

     ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ช่างเถอะ ไปกันต่อดีกว่า กลับมาคุยกันเรื่องผลเสียของยาเบาหวานรุ่นใหม่ต่อการเกิดหัวใจล้มเหลว นอกจากความรู้ที่ว่ายาในกลุ่ม TZD ทำให้คนมีอันเป็นไปจากโรคหัวใจมากขึ้นแล้ว วงการแพทย์ก็ยังเพิ่งเริ่มพบความจริงจากงานวิจัย SAVOR-TIMI 53 ว่ายาเบาหวานกลุ่มใหม่อีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า DDP4 inhibitor ชื่อยา saxagliptin ซึ่งก็คือยา Onglyza ที่คุณกำลังกินอยู่น้้น นอกจากจะไม่ทำให้อัตราตายของผู้ป่วยลดลงแล้ว ยังกลับทำให้ผู้ป่วยเบาหวานต้องเข้านอนโรงพยาบาลด้วยเหตุเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวมากกว่ากลุ่มที่กินยาหลอกเสียอีกด้วย แป่ว...ว

     หมายความว่าแม้จะเปลี่ยนจากตัวหนึ่งไปเป็นอีกตัวหนึ่งแล้ว ยาทั้งสองตัวไม่ว่าตัวเก่าหรือตัวใหม่นั้นต่างก็ยังเป็นเหตุให้คุณเกิดหัวใจล้มเหลวเข้ารพ.ได้อยู่ดี คุณอาจจะข้องใจว่าอ้าว ถ้างั้นไม่มียาเบาหวานรุ่นใหม่ตัวไหนที่เป็นมิตรกับคนป่วยโรคห้วใจเลยหรือ ความจริงก็มีนะครับ ไม่ใช่ไม่มี เช่นงานวิจัย EMPA-REG พบว่ายาเบาหวานในกลุ่ม SGLT2 inhibition ชื่อยา Empagliflozin สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของคนเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้และสามารถลดอัตราการเข้านอนโรงพยาบาลจากหัวใจล้มเหลวลงได้ด้วย ดังนั้นตัวเลือกสำหรับคุณก็ยังพอมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มีเสียทีเดียว

     กล่าวโดยสรุป ในระหว่างที่รอมาเรียนวิธีดูแลตัวเองในแค้มป์ RDBY ผมแนะนำว่าเมื่อถึงวันหมอเขานัดทั้งคลินิกเบาหวานและคลินิกหัวใจ ให้คุณกระมิดกระเมี้ยนปรึกษาหมอท่านหน่อยว่ายา Onglyza (saxagliptin) ที่คุณกำลังกินอยู่นี้ มันจะเป็นเหตุให้คุณเกิดหัวใจล้มเหลวจนต้องเข้านอนรพ.ซ้ำซากได้หรือเปล่า หารือว่าท่านมีความเห็นอย่างไร ซึ่งผมมั่นใจว่าเมื่อคุณปรึกษาด้วยประเด็นนี้ ท่านจะปรับยาของคุณเสียใหม่

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. The ACCORD Study Group. Long-term effects of intensive glucose lowering on cardiovascular outcomes. N Engl J Med 2011;364:818-828
2. Nissen SE, Wolski K. Effect of rosiglitazone on the risk of myocardial infarction and death from cardiovascular causes. N Engl J Med 2007;356:2457-2471[Erratum, N Engl J Med 2007;357:100.]
3. Home PD, Pocock SJ, Beck-Nielsen H, et al. Rosiglitazone evaluated for cardiovascular outcomes in oral agent combination therapy for type 2 diabetes (RECORD): a multicentre, randomised, open-label trial. Lancet 2009;373:2125-2135
4. Schernthaner G, Cahn A, Raz I. Is the Use of DPP-4 Inhibitors Associated With an Increased Risk for Heart Failure? Lessons From EXAMINE, SAVOR-TIMI 53, and TECOS. Diabetes Care 2016 Aug; 39(Supplement 2): S210-S218.
6. Kongwatcharapong J, Dilokthornsakul P, Nathisuwan S, Phrommintikul A, Chaiyakunapruk N. Effect of dipeptidyl peptidase-4 inhibitors on heart failure: a meta-analysis of randomized clinical trials. Int J Cardiol 2016;211:88–95CrossRefPubMedGoogle Scholar
7. Fitchett D, Zinman B, Wanner C, Lachin JM, Hantel S, Salsali A, Johansen OE, Woerle HJ, Inzucchi BE. The EMPA-REG OUTCOME® trial investigatorsHeart failure outcomes with empagliflozin in patients with type 2 diabetes at high cardiovascular risk: results of the EMPA-REG OUTCOME® trial. European Heart Journal 2016:37(19);1526–1534. https://doi.org/10.1093/eurheartj/ehv728
[อ่านต่อ...]

08 มิถุนายน 2561

คุณเป็นแขกทางเจ้าบ่าวหรือทางเจ้าสาว

     วันก่อนผมพูดใน spiritual retreat เรื่องเทคนิคการตื่นรู้ด้วยการตั้งคำถามว่าฉันคือใคร แล้วรู้สึกว่าหลายท่านยังไม่เข้าใจ จึงขอใช้เนื้อที่บล็อกของวันนี้ขยายความสักหน่อยนะ

     เรารู้อยู่ว่าแต่ละครั้งของการมองออกไปยังภายนอกนี้หากบรรยายด้วยภาษา มองอะไรหนึ่งครั้ง มันก็คือภาษาหนึ่งประโยค ซึ่งประกอบด้วยประธาน (subject) กริยา (verb) กรรมหรือเป้า (object)

     "ฉันเห็นต้นไม้"

     ฉันเป็นประธาน (subject) ต้นไม้เป็นกรรมหรือเป้า (object)

     "ฉันรู้สึกโกรธ"

     ฉันเป็นประธาน (subject) ความโกรธเป็นกรรมหรือเป้า (object)

     ตลอดชีวิต เราสนใจแต่สิ่งภายนอกที่เรามองออกไปเห็น ซึ่งเป็นกรรมหรือเป้า (object) ซึ่งต่อไปเพื่อความง่ายผมจะเรียกว่าเป้าเฉยๆก็แล้วกัน เราไม่เคยสนใจประธาน (subject) หรือผู้มองซึ่งก็คือ "ฉัน" โดยเราก็เหมาเอาง่ายๆว่า "ฉัน" ก็คือตัวเราเอง ความเป็นฉันมันอยู่ในร่างกายนี้เอง เมื่อมันมองออกไปข้างนอกมันก็เห็น ก็ได้ยิน ก็รู้สึก

     แต่ความเป็นจริงคือ "ฉัน" เป็นเพียงความคิดหนึ่งที่เป็นคอนเซ็พท์หรือความเชื่อว่าเราเป็นบุคคลที่มีร่างกายนี้และมีใจที่ฝังอยู่ข้างในร่างกายนี้ ความคิด "ฉัน" นี้เป็นแม่ของความคิดทั้งหลาย เหมือนสายสร้อยลูกปัดที่ร้อยลูกปัดเป็นร้อยๆไว้ หากไม่มีสายสร้อยก็ไม่มีลูกปัด หากไม่มีความคิด "ฉัน" ก็ไม่มีความคิดอื่นๆ แต่ว่า "ฉัน" ตัวจริงในโลกนี้ไม่มี เพราะมันเป็นแค่ความคิด แต่มันมีลูกเล่นที่ทำให้เราสำคัญผิดว่ามันเป็นเรา

     อุปมาเหมือนพ่อแม่เจ้าบ่าวเจ้าสาวจัดงานแต่งงานช้างที่โรงแรมหรูเชิญแขกจำนวนมาก งานระดับนี้มักจะมีคนที่ชอบหาของดีๆกินฟรีตามงานเลี้ยงโดยวิธีแต่งตัวดีใส่สูทแล้วทำทีเป็นแขกเข้าไปกินอาหารดื่มไวน์ดีๆของเขาฟรี โดยไม่ใครสนใจถามไถ่ เพราะฝ่ายเจ้าสาวก็คิดว่าเป็นแขกฝ่ายเจ้าบ่าว ขณะที่ฝ่ายเจ้าบ่าวก็คิดว่าเป็นแขกฝ่ายเจ้าสาว จนกระทั่งเจ้าคนนั้นเมามายก่อเรื่องป่วนเละเทะจึงมีการถามไถ่เรื่องจึงแดงขึ้นว่าเจ้าหมอนี่แท้ที่จริงแล้วเป็นแขกดอย ไม่มีใครเชิญมาดอก จึงถูกจับตัวได้ในที่สุด

    อุปไมฉันนั้น "ฉัน" ที่ทำตัวเป็นใจ (mind) ของเราและเป็นรากหรือต้นตอผู้ปล่อยสาระพัดความคิดที่ทำให้เรามีความทุกข์นี้ แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงลมที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง สิ่งที่เป็นองค์ประกอบหลักของใจ (mind) เรานี้แท้จริงแล้วมีอยู่สองอย่างเท่านั้นคือ (1) ความตื่นหรือความรู้ตัว (consciousness) และ (2) ความสนใจ (attention) ซึ่งเป็นเหมือนกับแขนของความตื่น โดยที่ความคิด "ฉัน" มันไม่ได้เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของทั้งสององค์ประกอบนี้เลย แต่มันลอยนวลอยู่ได้เพราะความตื่นก็นึกว่าความคิด "ฉัน" เป็นส่วนของความสนใจ ความสนใจก็นึกว่าความคิดตัวฉันเป็นส่วนหนึ่งของความตื่น ทำให้ความคิด "ฉัน" มีที่อยู่ในใจอยู่ตลอดเวลาแถมรับสมอ้างว่าเป็น "ใจ (mind)" ของเราเสียด้วย โดยไม่มีใครระแคะระคายเลยว่ามันเป็นแค่แขกดอยที่ใส่สูทปลอมตัวเข้ามาป่วนงานเลี้ยงเท่านั้น

     เส้นทางหลุดพ้นผ่านการตั้งคำถามว่าฉันคือใครมีหลักอยู่ว่าในแต่ละครั้งที่เรามองออกไปภายนอกหรือมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าใดๆ แทนที่จะสนใจที่เป้า ให้เราหันมาสนใจประธานหรือ "ฉัน" ซึ่งเป็นผู้มอง ซึ่งเป็นผู้สังเกต ซึ่งเป็นผู้เห็น ซึ่งเป็นผู้ได้ยิน ซึ่งเป็นผู้รู้สึก ซึ่งเป็นผู้คิด

     เป็นธรรมชาติว่าเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งภายนอกหนึ่งครั้ง บรรยายเป็นภาษาได้หนึ่งประโยค ภาษานั้นเมื่ออยู่ในใจก็คือความคิด ดังนั้นหนึ่งปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้าก็เกิดหนึ่งความคิด

     เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น อย่าไปสนใจเนื้อหาความคิด แต่ให้สนใจว่า

     "ใครกันนะที่กุความคิดนี้ขึ้นมา"

     "ความคิดนี้มีขึ้นเพื่อนำเสนอใคร"

     "อ้อ ฉันเป็นผู้คิดขึ้นมาใช่ไหม"

     "เดี๋ยวก่อนนะอย่างเพิ่งไป ขอทำความรู้จักก้บฉันหน่อยซิ"

     "อ้าว หายไปแล้ว ผลุบกลับเข้าบ้านไปแล้ว"

     คือให้มองที่ผู้คิด อย่าไปมองที่เนื้อหาความคิด ให้มองที่ประธานคือ "ฉัน" อย่าไปมองที่เป้าคือความคิด เครื่องมือที่ใช้มองนี้ก็คือความสนใจ (attention) หรือสตินั่นเแหละ

     เมื่อถูกมอง "ฉัน" จะมีความเหนียม มันจะค่อยๆถอยกลับที่ตั้งของมัน ซึ่งผมสมมุติง่ายๆว่าที่ตั้งของมันอยู่ในอกเรานี่แหละ กลไกที่ "ฉัน" ฝ่อหายไปนี้เป็นเพราะปกติ "ฉัน" ดำรงอยู่ได้เพราะมีเนื้อหาของความคิดเป็นเชื้อป้อนให้มันอยู่ได้ ถ้าไม่มีเนื้อหาของความคิด "ฉัน" ก็ไม่มี หากย้ายโฟกัสจากเนื้อหาของความคิดมาโฟกัสเฝ้ามองดูที่ "ฉัน"  ทั้งฉันและความคิดที่ถูก "ฉัน" กุขึ้นก็จะฝ่อหายไปด้วยกัน ดังนั้นถ้าคุณตั้งคำถามอะไรไม่เป็น แค่คุณเฝ้ามองความคิด "ฉัน" นี้เฉยๆก็ใช้การได้แล้ว เพราะเมื่อความสนใจทิ้งเนื้อหาของความคิดมาเฝ้ามองที่ "ฉัน" มันก็จะฝ่อหายไปได้เหมือนกันเพราะไม่มีความคิดคอยป้อนมันอยู่ไม่ได้ เมื่อ "ฉัน" ฝ่อหายไป แม้เพียงแว้บเดียว สิ่งที่ยังอยู่คือความตื่นซึ่งเป็นของที่อยู่ที่นั่นตลอดอยู่แล้ว พอไม่มีฉันบดบังความตื่นก็จะฉายแววให้เห็น ความตื่นนี้มีความสงบเย็นสบายๆเป็นรางวัล อย่างน้อยก็ชั่วคราวที่ฉันกลับเข้าที่ตั้ง

     อุปมาที่หนึ่ง เปรียบเหมือนการล่อวัวที่แหกคอกออกไปกินหญ้าข้างนอก ด้วยการเอาหญ้าสดๆหนึ่งกำมือไปให้มันดมแล้วให้มันเดินตามกลับเข้าคอกแล้วจึงจะให้กินหญ้าสดนั้น แน่นอนว่าพอหมดหญ้ากำมือนั้นวัวมันก็จะแร่ดออกไปข้างนอกอีก แต่นี่เป็นการเริ่มต้น ขอให้เริ่มให้ได้ก่อน หญ้าในที่นี้ก็คือความสนใจ (attention) วัวในที่นี้ก็คือความคิด "ฉัน" คอกในที่นี้ก็คือที่ตั้งของใจซึ่งผมสมมุติว่าอยู่ในหน้าอกเรานี้

     อุปมาที่สอง เปรียบเหมือนการที่หมาพลัดหลงกันกับเจ้านาย เมื่อเอาเสื้อผ้าเก่าของเจ้านายให้ดมกลิ่น แล้วหมาก็ดมโน่นดมนี่ฟิตๆ แล้วเดินไปดมไปฟิตๆ ในที่สุดก็ไปถึงตัวเจ้านายได้ หมายถึงว่าหมากลับเข้าที่ตั้งได้ กลิ่นของเสื้อผ้าเก่าในที่นี้ก็คือความสนใจ (attention) หมาในที่นี้ก็คือความคิด "ฉัน" เจ้านายในที่นี้ก็คือที่ตั้งของใจซึ่งผมสมมุติว่าอยู่ในหน้าอกเรานี้

     กิจกรรมทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในแว่บเดียว แล้วความคิดใหม่ก็จะเกิดขึ้นอีก ก็ใช้เทคนิคถามหา "ฉัน" อีก แต่เมื่อทำแบบนี้บ่อยๆเข้า ทุกครั้งที่มีหนึ่งความคิด ก็ตั้งคำถามหรือมองไปที่ "ฉัน" หนึ่งครั้ง ให้มันถอยกลับที่ตั้งหนึ่งครั้ง ขยันทำอย่างนี้ไปทุกโมเมนต์ในชีวิตที่ตื่นอยู่และว่างจากการจดจ่อทำการงาน จนมันรู้สึกว่ามันอยู่ในที่ตั้งนี่ดีแล้ว เลิกออกไปข้างนอกดีกว่า เพราะออกไปก็ต้องกลับเข้ามาอยู่ดี ณ จุดนั้นคือ "ฉัน" เลิกออกฤทธิ์ออกเดชอย่างถาวร ความตื่นจึงจะฉายแสงขึ้นให้เห็นในใจอย่างถาวร หรือที่เรียกว่า "ตื่นรู้ (awakening) นั่นแหละ ถึงตอนนั้นไม่ต้องไปห่วง "ฉัน" อีกต่อไปแล้ว เพราะความตื่นจะฆ่ามันตายไปอย่างถาวรเสียแล้วเรียบร้อย

     ถามว่า "การตั้งคำถาม มีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่การมีความเบิกบานใช่ไหม" 

     ตอบว่า "ไม่ใช่ครับ การตั้งคำถามมีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่การดับไม่เหลือของ "ฉัน" ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์กับความเบิกบานนั้น ความเบิกบานเป็นเพียงเหยื่อล่อ"  

     ถามว่า "การจะคอยตั้งคำถามกับใจตัวเองอย่างนี้ ในชีวิตประจำวันที่วุ่นวายจะทำได้หรือ ต้องปลีกวิเวกออกไปจากสังคมจึงจะทำได้ใช่ไหม"

    ตอบว่า "สิ่งที่เราค้นหา มันอยู่ในใจ ไม่อาจถึงได้ด้วยการเปลี่ยนสถานะภายนอกหรือถิ่นที่อยู่ สมมุติว่าคุณไปบวชชี การออกบวชด้านหนึ่งคุณสงบจากสิ่งแวดล้อมเก่า แต่อีกด้านหนึ่งคุณได้สถานะใหม่ ที่อยู่ใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดความคิดมากขึ้น คุณอาจจะบอกว่าอ้าว ถ้างั้นอยู่บ้านก็ดีสิ ตอบว่าอยู่บ้านหรือไม่อยู่บ้านมันไม่สำคัญ แต่มันสำคัญที่ "คุณอยู่ในบ้าน" หรือ "บ้านอยู่ในคุณ" 

     "คุณอยู่ในบ้าน" หมายความว่าคุณมองออกไปเห็นสิ่งต่างๆในบ้านด้วยสายตาของ "ฉัน"

     ขณะที่ "บ้านอยู่ในคุณ" หมายความว่าคุณเป็นความตื่นที่ทั้งหลายทั้งปวงที่คุณเห็นรอบตัวนี้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ชั่วคราวในความตื่นของคุณ โดยที่ไม่มี "ฉัน" เกี่ยวข้อง.."

     ถามว่า "เมื่อไม่มี "ฉัน" แล้วสามีและลูกละเขาจะมีอนาคตอย่างไร"

     ตอบว่า "คุณจะไปเดือดร้อนกับอนาคตทำไม คุณยังไม่รู้จักเดี๋ยวนี้เลย ทำความรู้จักกับเดี๋ยวนี้เสียก่อน อนาคตมันจะดูแลตัวของมันเอง การไม่มี "ฉัน" นั่นแหละคือการอยู่ในเดี๋ยวนี้"

     ถามว่า "การเลิกคิดเรื่องข้างนอกมาหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองอย่างนี้ จะไม่เป็นการทิ้งความรับผิดชอบในชีวิตไปหรือ"

     ตอบว่า "แหม..ตรงนี้ขอตอบยาวหน่อยนะ คุณเคยไปวัดอรุณไหม เห็นพวกครุฑที่นั่งยองๆเรียงรายรอบฐานพระปรางค์ทุกตัวต่างเอาสองมือยกพระปรางค์ขึ้นไหม ถ้าผมบอกคุณว่าครุฑพวกนี้เป็นผู้แบกรับน้ำหนักทั้งหมดของพระปรางค์อันใหญ่โตของวัดอรุณไว้ คุณจะเชื่อผมไหม คุณไม่เชื่อ เพราะคุณรู้ว่าฐานรากของพระปรางค์ที่ใต้ดินต่างหากที่รับน้ำหนักของพระปรางค์ไว้ ฉันใดก็ฉันนั้น การที่คุณคิดว่าคุณเป็นคนรับผิดชอบโลกรอบตัวคุณนั้นคุณคิดผิดแล้ว จักรวาลนี้เป็นผู้ทำให้ชีวิตดำเนินไป กลไกที่ทำให้เกิดโลกนี้ขึ้นมาจะเป็นกลไกที่ดูแลโลกนี้เอง ไม่ใช่คุณ คุณจะไปมีอำนาจควบคุมบังคับอะไรกับสิ่งนอกตัวได้  แค่ไม่มีอากาศหายใจไม่กี่นาทีคุณก็ตายแล้ว คุณดำรงอยู่ได้เพราะจักรวาลนี้มีกลไกที่ทำให้ชีวิตดำเนินไป ไม่ใช่คุณเป็นคนแบกจักรวาลนี้ไว้ นี่ที่พูดอย่างนี้พูดกับคนระดับที่เป็นแฟนบล็อกหมอสันต์เท่านั้นนะ ไม่ได้พูดกับคนทั่วไปที่ยังใช้ประโยชน์จากวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมไม่เป็น

     การจะช่วยโลกคุณจะทำได้อย่างดีเมื่อคุณหลุดจากการจมอยู่กับ "ฉัน" หรือความเป็นบุคคลของคุณแล้ว สมมุติว่าคุณฝันไปว่าในฝันนั้นผู้คนต่างก็อดอยากหิวโหย คุณเองก็หิวโหย พอคุณหาอาหารมาได้คุณซึเรียสมากกับการต้องอดทนอดกลั้นกินเพียงนิดเดียวยังไม่หายหิวเพื่อกันอาหารนั้นไปแบ่งให้คนอื่นกินบ้าง แล้วคุณก็ตื่นขึ้นมาพบว่าเอ๊ะ คุณไม่ได้หิวนี่ คุณยังอิ่มจากอาหารมื้อเย็นอยู่เลย ถ้าในฝันนั้นคุณรู้ว่าคุณฝันไปคุณก็คงช่วยคนอื่นได้อย่างเดิมแต่คุณคงไม่ซีเรียสมากขนาดนั้นเพราะมันเป็นแค่ความฝัน การทำอะไรเพื่อโลกในชีวิตนี้ก็เช่นเดียวกัน หากคุณย้ายจากการอยู่ในความคิดไปอยู่ในความตื่นรู้ได้ ชีวิตนี้ก็เป็นเพียงแค่ความฝันเรื่องยาวเรื่องหนึ่งเท่านั้น เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วคุณก็จะเล่นบทบาทช่วยโลกได้เป็นอย่างดีโดยไม่ซีเรียสเกินไป เพราะคุณรู้ว่ามันเป็นแค่ความฝันเรื่องยาวเรื่องหนึ่งเท่านั้น

     แล้วในการทำอะไรให้คนอื่นนี้ไม่ใช่ว่า "ฉัน" ทำเพราะฉันเก่งฉันสามารถฉันจึงไปช่วยเขา นั่นเป็นการทำงานแบบมองออกไปจากความเป็นบุคคลซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับความหลุดพ้นที่ยิ่งทำก็ยิ่งทุกข์เพราะความเป็นบุคคลของคุณมันจะใหญ่ขึ้นทำให้คุณหลุดพ้นยากขึ้น การช่วยคนอื่นอย่างมีความสุขนั้น ตัวคุณเองจะต้องออกจากความเป็นบุคคลมาอยู่ในความตื่นให้ได้ก่อน คุณรู้อยู่แล้วว่าความตื่นนี้มันเป็นสิ่งหนึ่งเดียวไม่มีใครเป็นเจ้าของ เมื่อเรามองคนอื่นให้ลึกเข้าไปจนพ้นไปจากความเป็นบุคคลของเขา เขาก็อยู่ในความตื่นอันเดียวกับเรา พูดง่ายๆว่าเรากับเขานั้นแท้จริงแล้วก็คือสิ่งเดียวกัน เราช่วยเขาด้วยความรู้สึกว่าเราทำอะไรเพื่อตัวเราเอง หรือเพื่อสิ่งที่อยู่ลึกที่สุดในใจซึ่งเป็นหนึ่งเดียวที่เรากับเขาต่างก็เป็นส่วนของมัน ต้องเป็นการช่วยแบบนี้มันจึงจะเป็นการทำงานที่ยิ่งทำก็ยิ่งเป็นสุข.."

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

06 มิถุนายน 2561

นอนไม่หลับอย่างแรง กับ ASMR

 สวัสดีค่ะอาจารย์
ตอนนี้เครียดมากๆนอนไม่หลับมาประมาณ 6เดือนแล้วค่ะ อายุ45 ปีสูง165ซม.หนัก53กก.ผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกทั้งหมดเมื่อปี59 เนื่องจากเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่และมีพังพืดหนาเดือนที่ได้รับการผ่าตัดคือมีอาการปวดท้องมากและมีเลือดออกทุกวันประมาณเกือบเดือนปวดท้องมากทั้งกินและฉีดยาไม่ดีขึ้นหมอเลยบอกให้ผ่าตัดแต่ไม่แนะนำอะไรมากผ่าเสร็จก็บอกว่าหมอตัดรังไข่ออกหมดเลยนะจะได้ไม่มีปัญหาอะไรอีกเราก็ไม่รู้ว่ามันจะมีผลข้างเคียงเยอะขนาดนี้(ผลตรวจชิ้นเนืี้อปกติ)ผ่าตัดผ่านไป7-8เดือนปกติดีเริ่มเดือนที่9-10มีการร้อนๆหนาวๆปวดตามข้อกระดูกลั่นไปทั้งตัวแขนชาจากต้นคอบ่าไปถึงปลายนิ้วไปพบหมอที่เคยผ่าตัดหมอแนะนำให้กินแคลเซียมและฮอโมนเอสโตรเจนแต่อาการไม่ดีขึ้นปวดหัวมากและมีอาการจะเป็นลมวูบตลอดเลยไปหาหมอที่ใหม่หมอตรวจCT scanให้ไม่พบอะไรผิดปกติหมอจัดยา inderal10mg กับ fluotine20mgมากินกินแล้วมีการเบลอๆซึมๆกินได้3อาทิตย์อาการชาแขนดีขึ้นคุณหมอนัดตรวจติดตามอาการบอกคุณหมอว่ากินยาแล้วมีอาการอะไรบ้างคุณหมอเลยจัดยาให้ใหม่เป็น alpazolam0.5mg กับ synflex275mg
สรุปลองเสริชหาข้อมูลดูมันเป็นยาประเภทรักษาอาการซึมเศร้าย้ำคิดย้ำทำเลยสงสัยตัวเองว่าเป็นโรคอะไรแน่ก็กินๆไปเริ่มนอนได้น้อยลงจากเคยหลับน้ำลายยืดรวดเดียวจาก3ทุ่มกว่ายันตี5 ก็เริ่มเป็น4ทุ่มตื่นตี2 4ทุ่มตื่นเที่ยงคืน 4 ทุ่มตื่น5ทุ่มกว่าและเป็นการนอนแบบไม่หลับสนิทจะเหมือนสัปปะหงกมากกว่าจากนั้นก็จะนอนผลิกไปมาประมาณตี4ก็จะเคลิ้มๆแต่ไม่หลับสนิทเป็นแบบนี้เดือนกว่าแฟนว่าสงสัยต้องไปหาจิตแพทย์มั้งก็ไปหานะได้ยา fluoxitine20mg กับ clonazepam0.5mgมากินอีกเลยไม่กิน fluoxutin แต่ลองกิน clonazipam ดูปรากฏว่านอนหลับได้ยาวขึ้นแต่ปวดหัวมากๆในตอนเช้ากินได้1เดือนก็รู้สึกว่าไม่หลับอีกแล้วนอนได้2-3ชม.นอนแบบหลับๆตื่นๆเลยกินยาclona เพิ่มจาก5ทุ่มอีก1เม็ดก็ประมาณตี2ก็จะตื่นอีกสังเกตจะตื่นเพราะฝันร้ายและอาการร้อนๆหนาวๆและต้องเพิ่มยาขึ้นเรื่อยๆเป็นละคืนละ4-5เม็ดตอนเช้าก็ปวดหัวมากๆกินยาแบบนี้ประมาณ2อาทิตย์ก็คิดว่าตายแน่ๆเลยเลิกกินพอเลิกกินไม่ได้นอนเลย2คืนยันสว่างคืนที่3ก็จะนอนได้ประมาณ2-3ชม.แบบหลับๆตื่นๆมันทรมานมากเหมือนจะตายกระวนกระวายหงุดหงิดโมโหร้ายกลายเป็นคนดุร้ายเขวี่ยงปาข้าวของรู้สึกอะไรขวางหูขวางตาไปหมดทั้งที่เป็นคนรักของเสียดายของนะกลายเป็นคนละคนมีอาการนอนแบบนี้ประมาณ1เดือนหลังจากหยุดยา ก็เริ่มดีขึ้นคือพอรู้สึกหงุดหงิดก็จะสูดลมหายใจลึกๆแล้วไปทำอะไรให้ลืมๆมันเสียก็ช่วยได้แฟนเลยลองหาพวกยาสมุนไพรมาให้กินประมาณ3เดือนก็ไม่ดีขึ้นอะไรใครว่านอนหลับดีก็ลองหมดก็ไม่ดีขึ้นยังนอนหลับๆตื่นๆอยู่ตอนนี้ลองไปฝังเข็มได้5ครั้งและกินสมุนไพรจีนที่หมอจัดให้ด้วย(ฝังเข็มอาทิตย์ละครั้ง)อาการแขนชา ร้อนๆหนาวๆ และท้องผูกหายไปแล้ว(หยุดยาสมุนไพรและวิตามินบำรุงต่างๆทุกอย่าง1เดือนก่อนฝังเข็ม)คาดว่าจะลองการรักษานี้สัก3เดือนถ้ายังไม่หลับสบายดีว่าจะลองรักษากับการแพทย์เวชศาตร์ชลอวัยตามโฆษณาต่างๆ(อีกแล้ว)เป็นทางออกสุดท้ายแล้วถ้าไม่ดีขึ้นก็ปล่อยให้มันเหี่ยวเฉาตายไปเถอะ เรียนปรึกษาอาจารย์ว่าควรจะรักษาอาการนอนไม่หลับนี้แนวทางไหนได้ผลดีมันทรมานมากถ้าวันไหนสัปปหงกได้1ชม.กว่าตอนเช้ามันจะปวดหัวมากและก็มีอาการหงุดหงิดงี่เง่าแต่ก็จะทำเป็นไม่สนใจมันสูดหายใจลึกๆแต่คนใกล้ชิดก็จะรู้สึกได้ว่าเราเปลี่ยนไปไม่ค่อยสนุกเหมือนเดิมดูแบบเฉาๆไปหน่อยๆ     เครียดบ้างตามประสาคนยังไม่บรรลุค่ะแต่ไม่ถึงกับหมกหมุ่น เป็นคนออกกำลังกายประจำยกเวทกระโดดตบตอนเช้าตอนเย็นวิ่งเหยาะๆ2-3โลวันอาทิตย์ได้เยอะหน่อย2รอบสวนหลวงเหล้าบุหรี่กาแฟไม่มีอาหารค่อนข้างใส่ใจกินผักผลไม้ เน้นปลากับอกไก่มีบ้างนานๆทีอาหารขยะ แป้งๆทอดๆมันรบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
ขอบคุณมากๆค่ะ
ส่งจากอุปกรณ์ Samsung ส่วนตัว

..............................................

ตอบครับ

     วิธีรักษาโรคนอนไม่หลับด้วยตัวเองที่เป็นวิธีใหม่และฮิตก็คือวิธี ASMR

     ASMR ย่อมาจาก autonomous sensory meridian response แปลว่าการเกิดความรู้สึกสนองตอบแบบอัตโนมัติตามแนวเส้นพลังงานร่างกาย ฟังชื่อก็แม่งๆไม่ใช่วิทยาศาสตร์แล้วใช่ไหม นิยามให้ละเอียดได้ว่าคือความรู้สึกจี้ๆดีๆและผ่อนคลาย (euphoric tingling and relaxation) ที่เกิดขึ้นบนร่างกายเมื่อได้ดูภาพวิดิโอบางภาพหรือได้ฟังเสียงบางเสียง ซึ่งมักจะเป็นภาพหรือเสียงของกิจกรรมง่ายๆอย่างเช่นพับผ้าเช็ดตัว แปรงผม พับกระดาษหนังสือพิมพ์ เสียงเคาะ เสียงเกา เสียงฝนตก หรือเสียงกระซิบของใครบางคน ซึ่งเมื่อเกิดความรู้สึกจี้ๆดีๆคลายๆขึ้นแล้วก็จะทำให้หลับง่าย กลไกการทำงานของมันเป็นอย่างไรวงการแพทย์ก็ยังไม่ทราบ ทราบแต่ว่าคนหลายล้านคนทั่วโลกทุกวันนี้ต้องอาศัยวิดิโอ ASMR ช่วยจึงจะหลับได้

     จะว่า ASMR ไม่มีพื้นืทางวิทยาศาสตร์เสียทีเดียวก็ไม่เชิง เพราะได้เคยมีการตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารจิตวิทยาคลินิก (J of Clin Psychology) แล้วครั้งหนึ่ง เป็นงานวิจัยเสียงที่ร่างกายมนุษย์แสดงความเป็นปฏิปักษ์ขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นหงุดหงิด เครียด กังวล (misophonia) ในงานวิจัยนี้พบว่าขณะที่เสียงบางเสียงเช่นเสียงกระซิบ เสียงเคี้ยว ก่อความเป็นปฏิปักษ์ขึ้นในร่างกายของบางคน แต่สำหรับบางคนคือเกือบครึ่งหนึ่งมันกลับทำให้ร่างกายสนองตอบเชิงบวกคือรู้สึกจี้ๆดีๆซ่าๆผ่อนคลายๆ (ASMR) ดังนั้นจากงานวิจัยนี้จะเห็นได้ว่าการจะนำ ASMR มาใช้ช่วยนอนหลับนั้นมันใช้การได้กับบางคน แต่กับบางคนก็ใช้ไม่ได้

     ผมมีผู้ป่วยท่านหนึ่งซึ่งมีปัญหานอนไม่หลับที่ลองมาแล้วหลายวิธี แล้วมาจบที่ใช้วิดิโอ. ASMR กล่อม คราวนี้เลิกยานอนหลับได้หมดและอยู่มาได้ครึ่งปีแล้วโดยไม่มีปัญหาเลย ดังนั้นคุณจะลองดาวน์โหลดลงมากล่อมตัวเองดูบ้างก็ได้นะครับ แค่เข้าไปในยูทุปแล้วพิมพ์ ASMR sleep ก็จะโผล่ขึ้นมาเพียบ

     สำหรับวิธีรักษาโรคนอนไม่หลับที่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์การแพทย์สนับสนุนนั้น ทำดังนี้

     1. ต้องไปหาแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุที่อาจจะซุกซ่อนอยู่ เช่นตรวจดูการทำงานของต่อมไทรอยด์ (FT4 และ TSH) ตรวจดูยาที่กิน เป็นต้น
     2. เลิกสารกระตุ้นทุกชนิด รวมทั้งกาแฟ ชา เหล้า ไวน์ ให้เด็ดขาด
     3. ถ้ามียาที่เป็นสาเหตุของการนอนไม่หลับก็ต้องเลิก เช่นยาลดความดัน ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลาง เป็นต้น
     4. ปรับความเชื่อและเจตคติก่อน (cognitive therapy) เช่นความเชื่อที่ว่าต้องได้นอน 8 ชั่วโมงจึงจะพอนี่ก็ไม่จริงสำหรับทุกคนเสมอไป บางคนนอนน้อยกว่านี้แต่กลางวันก็ปร๋อดีไม่ง่วง ความเชื่อที่ว่าถ้าไม่หลับแม้จะมีสติสมาธิดีไม่ฟุ้งสร้านก็จะต้องเพลียสะโหลสะเหลนี่ก็เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะการที่ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายขณะมีสติสมาธิดีไม่ฟุ้งสร้าน จะมีผลให้ร่างกายได้พักผ่อนเสมือนได้นอนหลับแม้จะไม่ได้หลับไปจริงๆ
     5. แล้วก็มาปรับพฤติกรรมหรือปรับสุขศาสตร์ของการนอนหลับ (sleep hygiene) คือ
5.1. เข้านอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา จัดชีวิตทั้งวันให้เป็นเวลา เมื่อไรทานอาหาร เมื่อไรทานยา เมื่อไรออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายคุ้นเคย
5.2. ไม่นอนอ้อยอิ่งอยู่บนเตียงหลังเวลาตื่นนอนแล้ว
5.3. ตื่นเมื่อรู้สึกว่านอนพอแล้ว อย่าพยายามนอนต่อเพื่อชดเชยให้กับการอดนอนวันก่อนๆ
5.4. หลีกเลี่ยงการงีบตอนกลางวัน ถ้าจำเป็นให้งีบสั้นๆ อย่านอนกลางวันนานกว่า 1 ชม. และอย่านอนหลัง 15.00 น.แล้ว
5.5. ปรับสภาพห้องนอนให้น่านอน เอาของรกรุงรังออกไป จัดแสงให้นุ่มก่อนนอน และมืดสนิทเมื่อถึงเวลานอน ไม่ให้มีเสียงดัง ระบายอากาศดี ดูแลเครื่องนอนให้แห้งสะอาดไม่อับ และรักษาอุณหภูมิให้สบาย
5.6. ไม่ใช้ที่นอนเป็นที่ทำงาน ไม่ทำกิจกรรมเช่นดูทีวี อ่านหนังสือ กินของว่าง เล่นไพ่ คิด วางแผน บนที่นอ
5.7. หยุดงานทั้งหมดก่อนเวลานอนสัก 30 นาที ทำอะไรให้ช้าลงแบบ slow down พักผ่อนอิริยาบถ ทั้งร่างกาย จิตใจ สวมชุดนอน ฟังเพลงเบาๆ หรืออ่านหนังสืออ่านเล่าเบาๆ อย่าดูทีวีโปรแกรมหนักๆหรือตื่นเต้นก่อนนอน
5.8. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นจิตใจ อารมณ์ หรือร่างกายก่อนนอน ไม่คุยเรื่องเครียด ไม่ออกกำลังกายหนักๆก่อนนอน ลดไฟให้สลัวก่อนนอน ลดเสียงดนตรีเป็นดนตรีเบาๆ เป็นการบอกร่างกายว่าถึงเวลานอน
5.9. ไม่ทานอาหารมื้อใหญ่ก่อนนอน แต่ก็อย่าถึงกับเข้านอนทั้งๆที่รู้สึกหิว
5.10. ออกกำลังกายให้หนักพอควรทุกวัน ถ้าเลือกเวลาได้ ออกกำลังกายตอนบ่ายหรือเย็นดีที่สุด แต่ไม่ควรให้ค่ำเกิน 19.00 น. เพราะถ้าออกกำลังกายใกล้เวลานอนร่างกายจะตื่นจนหลับยาก
5.11. อย่าบังคับตัวเองให้หลับ ถ้าหลับไม่ได้ใน 15-30 นาทีให้ลุกขึ้นมาทำอะไรที่ผ่อนคลายเช่นอ่านหนังสือในห้องที่แสงไม่จ้ามาก หรือดูทีวีที่รายการที่ผ่อนคลาย จนกว่าจะรู้สึกง่วงใหม่ อย่าเฝ้าแต่มองนาฬิกาแล้วกังวลว่าพรุ่งนี้จะแย่ขนาดไหนถ้าคืนนี้นอนไม่หลับ
5.12. เอาสิ่งที่จะก่อความกังวลระหว่างหลับออกไป เช่นนาฬิกาปลุก โทรศัพท์
7. ฝึกสมาธิ (meditation) ก่อนนอน ุ
6. เมื่อล้มตัวลงนอนแล้ว ให้ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (relaxation)

     สมัยก่อนเมื่อหลายปีมาแล้วผมก็เคยมีปัญหานอนไม่หลับ ได้ใช้วิธีที่พระองค์หนึ่งสอนทางซีดี. เรียกว่าวิธี “ตีสนิทกับความตาย” พระท่านสอนเพื่อให้เตรียมตัวให้พร้อมเวลาตายจริงจะได้ตายดีๆ ตายแบบมีสติจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี แต่ผมเอามารักษาอาการนอนไม่หลับโดยไม่เกี่ยวกับว่าจะไปเกิดที่ไหน เทคนิคคือเวลาจะเข้านอนก็บอกตัวเองแบบบอกจริงๆให้ยอมรับจริงๆนะ ว่าการเข้านอนครั้งนี้ พอเราหลับแล้ว เราจะตายไปเลย เออ..ใช่ ตายซี้แหงแก๋นี่แหละ จะไม่มีโอกาสได้ตื่นมาอีกแล้ว เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีก่อนจะตายเนี่ย ไม่ต้องไปมัวคิดถึงปัญหาร้อยแปดในชีวิตที่ค้างคาอยู่หรอก เพราะยังไงก็ไปแก้ไม่ทันแล้ว ตายไปแล้วเนี่ย ชาติหน้ามีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันคงจะเหมือนเดินเข้าไปในอุโมงค์มืด อย่ากระนั้นเลย ไม่กี่นาทีที่เหลือนี้ เรามารู้ตัวเราไว้ตลอดเวลาดีกว่า เวลาต้องเข้าอุโมงค์มืดจะได้ไม่สติแตก ว่าแล้วก็เช็คตัวเองเป็นระยะๆ เรานอนอยู่ท่านี้นะ เรากำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออก ตามดูใจของตัวเองเป็นระยะไม่ให้ห่างอย่าเผลอตายตอนใจลอย เดี๋ยวได้กลายเป็นเปรตหรอก ทำอย่างนี้แล้ว รับรองหลับได้ง่าย พอสะดุ้งตื่นกลางดึก จะหลับต่อก็ทำแบบเดียวกันนี้อีก คือตามดูใจไม่ให้เผลอคิด ถ้าเผลอคิดเป็นได้เรื่อง ถ้าไม่เผลอคิด จะหลับได้สบายแน่นอน ผมเคยลองมาแล้ว รับประกันว่าได้ผล คุณพากเพียรทำไปเถอะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม


1. Rouw, R., & Erfanian, M. A Large-Scale Study of Misophonia. Journal of clinical psychology 2018 :74 (3); 453-479.
2. Morin CM, Bootzin RR, Buysse DJ, et al. Psychological and behavioral treatment of insomnia:update of the recent evidence (1998-2004). Sleep. Nov 1 2006;29(11):1398-414.
3. Morin CM, Beaulieu-Bonneau S, LeBlanc M, et al. Self-help treatment for insomnia: a randomized controlled trial. Sleep. Oct 1 2005;28(10):1319-27.
4. Edinger JD, Wohlgemuth WK, Radtke RA, Coffman CJ, Carney CE. Dose-response effects of cognitive-behavioral insomnia therapy: a randomized clinical trial. Sleep. Feb 1 2007;30(2):203-12.

[อ่านต่อ...]