เสพย์ติดหนังโป๊และการช่วยตัวเอง (masturbation)
คุณหมอสันต์ครับ
ผมอายุ 50 ปี มีปัญหาติดหนังโป๊อย่างแรงและช่วยตัวเองมากอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง บางวัน 2 ครั้ง แทบทุกชั่วโมงผมต้องแอบเอาหนังโป๊หรือภาพผู้หญิงโป๊ๆขึ้นมาดูอย่างน้อยสักแว่บหนึ่ง เหตุหนึ่งที่ผมช่วยตัวเองมากก็เพราะไม่อยากไปเที่ยวผู้หญิงให้ภรรยาเดือดร้อน ภรรยาเขามาถึงวัยที่ไม่ค่อยเอ็นจอยเรื่องแบบนี้แล้ว ผมบอกเรื่องนี้กับภรรยาด้วยว่าผมกำลังมีปัญหาและกำลังหาทางแก้ไขอยู่ อยากขอคำแนะนำครับ
.....................................................
ตอบครับ
1. โรคของคุณคือการเสพย์ติดสิ่งเสพย์ติด
ปัญหาของคุณนี้วงการแพทย์ไม่เคยยอมรับว่าเป็นปัญหาทางการแพทย์ คำว่า hypersexuality และ compulsive sexual disorder ไม่ได้อยู่ในสาระบบโรค DSM-V แต่มันเป็นปัญหาในชีวิตจริง ของฝรั่งถึงกับมีสมาคมช่วยคนบ้าเซ็กซ์ (Sexaholics Anonymous) และมีเว็บที่คนเป็นทุกข์เพราะความบ้าเซ็กซ์ตั้งขึ้นมาช่วยกันเองแบบเพื่อนช่วยเพื่อน เช่นเว็บ Nofab เป็นต้น ถึงวิชาแพทย์จะไม่นับคนอย่างคุณว่าป่วยเป็นโรค แต่ผมจะนับว่าคุณเป็นคนป่วยเป็นโรคติดสิ่งเสพย์ติด (Addictions) โดยผมถือว่าหนังโป๊เป็นสิ่งเสพย์ติด วันนี้ไหนๆคุณก็เขียนมาแล้วเรามาคุยกันถึงการรักษาการเสพย์ติดสิ่งเสพย์ติดเป็นการใหญ่เสียทีก็ดีเหมือนกัน
สิ่งเสพย์ติดที่คนเราเสพย์ติดนั้นมีมากมายหลายชนิด ผมจะเรียงลำดับที่คนเสพย์ติดกันที่มีผลต่อสุขภาพของผู้คนจากมากไปหาน้อยและเรียงตามความรักษายากไปหาง่ายด้วย โดยดูเอาจากบรรดาผู้ป่วยที่มาหาบ้าง มาเข้าแค้มป์บ้าง เขียนมาถามบ้าง ดังนี้
(1.) เสพย์ติดความคิด อันนี้มีคนป่วยแยะที่สุด คือใจถ้ามันไม่ได้คิดอะไรมันจะง่อม ได้คิดแล้วมันเพลิน มันจึงต้องคิด คิด คิด คี้ด..ด คิด คิด คิดจนปวดหัวนอนไม่หลับและเป็นโรควิตกกังวล
(2.) เสพย์ติดอาหาร ส่วนใหญ่เป็นอาหารหวานจากน้ำตาลและอาหารมันจากเนื้อสัตว์ เสพย์ติดมากจนป่วยเป็นโรคเรื้อรังสาระพัดนับตั้งแต่อ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจ ไต เป็นต้น
(3.) เสพย์ติดหน้าจอ คือถ้าไม่ได้เขี่ยอะไรบนหน้าจอเพื่อก่อความตื่นเต้นเล็กๆน้อยๆให้สารโดปามีนในสมองมันกระฉูดสักหน่อยแล้วก็จะง่อมอีกเหมือนกัน เขี่ยไปเขี่ยมาก็ไปเสพย์ติดความคิดที่หน้าจอนำเสนอให้ และเป็นเหตุให้ไม่ได้ออกกำลังกาย ซึ่งไปเป็นอีกเหตุหนึ่งของการป่วย
(4.) เสพย์ติดยาที่หมอให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยานอนหลับ ยาคลายกังวล ยาต้านซึมเศร้า
(5.) เสพย์ติดหนังโป๊และบ้าเซ็กซ์ อันนี้ดูจะเป็นโรคสงวนสำหรับผู้ชายซึ่งมีมาหาบ้างประปราย แต่ที่น่าสนใจคือผู้ชายที่เสพย์ติดอย่างอื่นเช่น บุหรี่ เหล้า เฮโรอีน กัญชา ไม่เคยมีใครมาหาให้หมอสันต์บำบัดเลยสักคนเดียว
2. จะรักษาโรคเสพย์ติดหนังโป๊และบ้าเซ็กซ์อย่างไร
การเสพย์สิ่งเสพย์ติดส่วนใหญ่มันมีแรงผลักดันมาจากสัญชาติญาณ ซึ่งมันมีความ "แรง" เอาเรื่องอยู่ ถ้าคนๆนั้นพลังชีวิตไม่แข็งแรงก็ยากที่จะทัดทานแรงผลักดันของสัญชาติญาณได้ ดังนั้นนัยสำคัญของเรื่องนี้มันจึงอยู่ที่ถ้าแข็งขืนไม่ได้จะยอมผ่อนปรนให้ตัวเองเสพย์มากหรือน้อยเพียงใด เช่นการช่วยตัวเอง (masturbation) ของคุณนี้ ถ้าคุณทำเดือนละครั้งสองครั้งมันก็ไม่กระไรนัก แต่ดูหนังโป๊ทุกชั่วโมงแล้วช่วยตัวเองวันละสองครั้งนี่มันมากจนคุณเองก็รู้ว่าชีวิตมันจะเดินหน้าต่อไปอย่างนี้ไม่ได้ ดังนั้นการจะยอมเสพย์สิ่งเสพย์ติดแค่ไหนจึงจะพอดี อันนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะต้องประเมินความเข้มแข็งของพลังชีวิตตัวเอง แล้ววินิฉัยเอาเองว่าจะวางเป้าหมายไว้แค่ไหน
การเสพย์ติดก็คือการเกิดนิสัย (habit) นิสัยแปลว่าพฤติกรรมที่เราทำอยู่ซ้ำๆ (compulsive) และทำไปแบบไม่รู้ตัว (automatic)
ป่วยการที่จะมานั่งลำเลิกเบิกประจานว่าเราเสพย์ติดสิ่งเสพย์ติดมาได้อย่างไร ในภาพใหญ่การเสพย์ติดเกิดจากพฤติกรรมการเรียนรู้ของเราที่เราได้สร้างวงจรสนองตอบอัตโนมัติ (condition reflex) ขึ้นในระบบประสาทและของเรา วงจรนี้ก็คือทางวิ่งของไฟฟ้าในเส้นประสาท (impulse) ซึ่งวิ่งไปตามเส้นประสาทจากเส้นโน้นไปต่อกับเส้นนี้ จนไปสุดปลายทางที่ก่อให้เกิดสารเคมีชื่อโดปามีน (dopamine) ขึ้นมาในสมอง วงจรนี้เริ่มโดยเราเสาะหาสิ่งกระตุ้น (stimuli) ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราชอบ สมองก็จะสนองตอบโดยการปล่อยสารโดปามีนออกมา ทำให้เรามีความพึงพอใจ แล้วเราก็ขยันทำให้วงจรนี้มันเกิดขึ้นซ้ำๆซากๆอีก ทำบ่อยเข้าวงจรนี้มันจะขยายความโล่งโถงวิ่งสะดวกเหมือนการเปลี่ยนถนนในชนบทเป็นซูเปอร์ไฮเวย์ มันจึงกลายเป็นนิสัยถาวรยั่งยืนได้ กลไกการเสพย์ติดสารเสพย์ติดทุกชนิดมีกลไกเดียวกันแบบนี้ทั้งสิ้น หากเราเกิดความคิดผิ ดชอบชั่วดีเลิกเสาะหาตัวกระตุ้นสมองเสียเมื่อใด สมองก็จะเกิดอาการลงแดง (withdrawal symptom) เมื่อนั้น เพราะมันขาดโดปามีน เราก็จะทนอาการลงแดงไม่ได้ต้องรีบลนลานไปหาการกระตุ้นนั้นกลับมากระตุ้นตัวเองใหม่ และต้องใช้การกระตุ้นมากขึ้นๆ เป็นเช่นนี้ไปทั้งชาติจนเราตายไป โดยขยับๆจะเลิกแต่ก็เลิกสิ่งเสพย์ติดไม่ได้สักที
วงการแพทย์ประสบความสำเร็จต่ำมากในการรักษาการติดสิ่งเสพย์ติด มิฉนั้นโรคที่เกิดการเสพย์ติดอาหารเช่น อ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจ ก็คงไม่เต็มบ้านเต็มเมืองอย่างทุกวันนี้ วิธีการเลิกสิ่งเสพย์ติดที่ผมจะแนะนำคุณต่อไปนี้เป็นการผสมผสานวิธีทางการแพทย์เข้ากับวิธีการทางจิตวิญญาณซึ่งไม่ใช่วิชาแพทย์ที่มีงานวิจัยรองรับ มันกลั่นมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง ดังนั้นให้คุณใช้วิจารณาญาณเลือกหยิบไปใช้เอาเอง ท่านผู้อ่านท่านอื่นที่เสพย์ติดอย่างอื่นที่ไม่ใช่หนังโป๊ก็เอาวิธีต่อไปนี้ไปใช้ได้เช่นกัน
ขั้นที่ 1. เตรียมการรองรับการลงแดง คือการจะเลิกสิ่งเสพย์ติดทุกชนิดต้องมีการลงแดง ซึ่งบ่อยครั้งก็มีอาการรุนแรงหงุดหงิดกระสันอยากหรืออ๊วกแตกอ๊วกแตน ต้องมีการเตรียมการไว้ก่อน เตรียมกิจกรรมที่จะบำบัดอาการลงแดงไว้รองรับเช่น ไปเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายให้หนักเพื่อให้โดปามีนหรือเอ็นดอร์ฟินที่ได้จากการออกกำลังกายช่วยบรรเทาอาการลงแดง หรือไปฟังดนตรี หรือไปเข้ากลุ่มสังสรรค์กับคนอื่น เป็นต้น ข้อดีก็คือการลงแดงแบบรุนแรงนี้จะมีช่วงเวลาอยู่แค่ 3-4 สัปดาห์เท่านั้น หลังจากนั้นก็จะค่อยๆเบาลง
ขั้นที่ 2. ตัดสิ่งเร้าที่เสพย์ติดแบบเด็ดขาดทันทีหรือหักดิบ เช่น เลิกพกโทรศัพท์จะได้ไม่ต้องดูคลิปโป๊ หาอะไรทำแบบต่อเนื่องแบบไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้อยู่คนเดียว เอาสื่ออะไรโป๊ๆออกไปให้พ้นตาให้หมด
ขั้นที่ 3. รับมือกับอาการลงแดงด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ ตรงนี้ผมอธิบายนำยาวหน่อยนะ มาจะกล่าวบทไป ชีวิตคือการเกิดประสบการณ์ขึ้นในใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ที่เดียวเวลาเดียวคือที่นี่เดี๋ยวนี้ พฤติกรรมที่เราทำจนเป็นนิสัย แต่ละครั้งมันก็เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์ในใจที่ที่นี่เดี๋ยวนี้นี่แหละ ตัวประสบการณ์ในใจนี้มีองค์ประกอบอยู่ห้าส่วนซึ่งควรทำความรู้จักกับมันอย่างถ่องแท้ก่อน ห้าส่วนนี้ คือ
(1) สิ่งเร้า (stimuli) ที่ผ่านทางร่างกายเข้ามาเช่นภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส
(2) ความรู้สึก (feeling) ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกบนร่างกายเช่นสยิว ขนลุก ซู่ซ่า ปวด หรือความรู้สึกในใจเช่นความกระดี๊กระด๊า ทั้งหมดนี้มันสื่อถึงส่วนของชีวิตที่เรียกว่าพลังชีวิต (life energy)
(3) ความจำ (memory)
(4) ความคิด (thought)
(5) ความสนใจ (attention)
ทั้งห้าส่วนนี้คลุกเคล้ากันขึ้นเป็นประสบการณ์ในใจที่เราเรียกว่าเป็นตัวชีวิต มันเกิดขึ้นทีละช็อต ทีละช็อต หลักใหญ่ใจความคือจะรับมือกับประสบการณ์ในใจในแต่ละช็อตนี้อย่างไรให้มันเป็นประสบการณ์ที่เบิกบาน (joyfully) ไม่ใช่เป็นประสบการณ์ที่ทุกข์ระทม (miserably)
ซึ่งมีเทคนิคปลีกย่อยหลายอย่าง เช่น
(1) ความสนใจ (attention) เป็นผู้มีอำนาจอิทธิพลที่สุด มันไปสนใจตรงใหน สิ่งนั้นก็จะใหญ่ขึ้นมา เราจึงต้องยึดกุมความสนใจหรือสตินี้ไว้ให้มั่น
(2) ด้านหนึ่งต้องดึงความสนใจออกมาจากการขลุกอยู่ในความคิด มาสนใจความรู้สึกในแต่ละโมเมนต์ซึ่งสื่อถึงพลังชีวิต อันจะทำให้พลังชีวิตเบ่งบานมีพลังขึ้นมา ขณะที่ความคิดเมื่อถูกเลิกสนใจก็จะฝ่อหายไป นิสัยเดิมก็จะฝ่อหายตามกันไป
(3) อีกด้านหนึ่งต้องดึงความสนใจออกจากความคิดมาอยู่กับความตื่นแบบพร้อมที่จะรับรู้อะไรก็ตามที่จะโผล่เข้ามาที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ (alertness) เมื่อมันโผล่ขึ้นมาในรูปของความคิดก็รับรู้และยอมรับมันอย่างมีสติ โดยไม่ตามความคิดนั้นไป แค่รับรู้ ยอมรับ แล้วหันหลังให้มัน ปล่อยให้มันฝ่อหายไป แล้วธำรงความสนใจไว้ในความตื่นที่ปลอดความคิด คือแค่ตื่นแบบพร้อมรับรู้ของใหม่ๆที่จะเข้ามาอยู่เสมอ
(4) สิ่งเร้า (stimuli) ทำให้เกิดความรู้สึก (feeling) ขึ้น เมื่อคลุกเคล้ากับความจำ (memory) ก็จะก่อตัวเป็นความคิด (thought) เจ้าความคิดนี่แหละที่จะนำไปสู่พฤติกรรม ถ้าความคิดเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว พฤติกรรมก็จะเป็นนิสัยเดิมๆแบบอัตโนมัติซ้ำซาก จึงต้องคอยเอาความสนใจจดจ่อให้รู้ตัวว่าในแต่ละประสบการณ์นั้นมีความคิดอะไรโผล่ขึ้นมา แล้วเฝ้าดูมัน มันจะฝ่อหายไปเองเมื่อเราเฝ้าดู หรืออย่างเลวที่สุดก็ให้จ่อความสนใจไว้ที่ความรู้สึกหรือพลังชีวิต ให้มันจบที่ความรู้สึกหรือที่พลังชีวิต อย่าเผลอปล่อยให้ความสนใจไปคลุกเคล้ากับความคิดหรือไปถือหางความคิดที่จะเกิดตามหลังความรู้สึกมา เพราะมันจะลากเราไปหานิสัยเดิมได้อีก
(5) การเอาความสนใจไปจดจ่อรับรู้อะไรก็ตาม ต้องทำแบบอ่อนช้อยแนบเนียนแต่หนักแน่น เหมือนการทำงานศิลปะ ที่ต้องค่อยบรรจงผสมสีอย่างใส่ใจ บรรจงวาดภู่กันลงบนผ้าใบอย่างใส่ใจ จะเรียกว่าเป็นศิลปะการใช้ชีวิต (art of living) ก็ได้ คือใส่ความสนใจลงไปที่สิ่งที่จงใจให้ความสำคัญ ทีละโมเมนต์ ทีละโมเมนต์ แบบนุ่มๆ เนียนๆ เบาๆ สบายๆ ผ่อนคลาย แต่เกาะติดไม่ให้คลาดสายตาหรือไม่ให้ความสนใจคลอนแคลนหลุดจากเป้า
ทำได้อย่างนี้แล้วความคิดที่เป็นแม่ของนิสัยเก่าก็จะเกิดไม่ได้ หรือเกิดได้แว้บเดียวก็จะถูกสังเกตพบโดยยังไม่ทันลามไปก่อพฤติกรรมซ้ำซากเดิมๆขึ้นอีก ลองเอาไปฝึกทำเองดูนะครับ ถ้าทำไม่ได้ ให้หาเวลามาเข้า Spiritual Retreat
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์