30 พฤศจิกายน 2566

ปลายประสาทอักเสบจากเกลือต่ำและจากยาลดความดันเลือด

(ภาพวันนี้ / แดงทอดยอด)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกที่ภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียนคุณหมอสันต์

ผมเป็นเส้นเลือดหัวใจที่เส้นขวา 1 เส้น ปี 2559 เป็นโรคไตมีค่า creatinine 1.31  ตอนนี้มีอาการแสบผิวหนัง เท้าเจ็บเวลาเดินและยืน มีอาการนี้มาเป็นปี ไปหาหมอทำ mri ไขสันหลังก็ไม่พบสิ่งปกติ ทานยาแล้วไม่ดี หมอวินิฉัยว่าเป็นโรคปลายประสาท ทำรักษาที่โรงพยาบาล …

ยาที่กินอยู่มี Losatan 2.5mg Amlodipline 2.5 mg chlovas เศษหนึ่งส่วนสี่เม็ด ยังกินเกลือโซเดียม 4 เม็ด เนื่องจากค่าโซเดียมต่ำ เริ่มรักษาตั้งแต่ปี 2559 ผมพึ่งรักษาต่อมลูกหมาก กินยาต๋อมลูกหมาก อาการแสบผมเป็นตั้งแต่ต้นปีครับ

ผมอยากขอความช่วยเหลือครับ

……………………………………………………………………….

ตอบครับ

คุณให้ประวัติมากระท่อนกระแท่น แม้แต่อายุเท่าไหร่ สูงเท่าไหร่ น้ำหนักตัวเท่าไหร่ผมยังไม่รู้เลย แม้หมอที่ตรวจร่างกายผู้ป่วยที่ได้จับได้คลำเนื้อคนไข้ด้วยตัวเองหากมีข้อมูลประกอบแค่นี้ก็ยังให้การวินิจฉัยอะไรไม่ได้เลย อย่าว่าแต่ผมซึ่งอยู่ห่างไกลทางอากาศจะวินิจฉัยโรคของคุณได้อย่างไร แต่เอาเถอะ การจะสื่อสารกลับไปกลับมากว่าจะได้ข้อมูลครบมันลำบาก ผมจึงขออาศัยวิชา “เดาแอ็ก” ว่าปัญหาของคุณผมเรียงลำดับ (problems list) แล้วได้ดังนี้

1.. อาการปลายประสาทอักเสบ (neuropathy) ที่ยังไม่ทราบสาเหตุ

2.. โรคความดันเลือดสูง (เดาเอาจากการที่หมอให้ยาลดความดัน)

3. โรคไตชนิดกักโซเดียมไม่อยู่ (Salt loosing nephropathy) ทั้งนี้เดาเอาจากการที่หมอให้กินเกลือ

4. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหลังการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (เดาเอาจากการที่หมอเขาจับทำบอลลูนใส่ขดลวด)
โหลงโจ้ง สี่เรื่อง สื่ปัญหานี้มันพันกัน ยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดจากอะไร การรักษาปัญหาหนึ่ง ไปก่อให้เกิดอีกปัญหาหนึ่ง ผมจะขอหยิบขึ้นมาสาธกเฉพาะปัญหาที่หนึ่งซึ่งทำให้คุณเป็นทุกข์มากที่สุดตอนนี้คืออาการปลายประสาทอักเสบ (neuropathy) มันมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดจากสองกลไกต่อไปนี้

กลไกที่ 1. ยา Losartan ที่คุณกิน มันมีผลข้างเคียงทำให้คุณสูญเสียเกลือ (salt loosing) ความจริงจะเรียกว่าเป็นผลข้างเคียงก็ไม่เชิง เป็นกลไกการออกฤทธิ์หลักของมันเลยหละ กล่าวคือยานี้มันไประงับฮอร์โมนตัวหนึ่งชื่อ aldosterone ซึ่งมีหน้าที่หมุนปั๊มที่ไตเพื่อสูบเอาโซเดียมกลับจากปัสสาวะเข้ามาสู่ร่างกายแลกกับเอาโปตัสเซียมออกไป (sodium-potassium pump) เพราะวิธีกรองของเสียของไตปกตินั้นต้องขับเอาโซเดียมออกไปในปัสสาวะเป็นจำนวนมาก ปั๊มนี้ช่วยเอาโซเดียมที่ออกไปทางปัสสาวะแล้วกลับเข้ามาใช้ได้อีก พอยาไปอุดกลไกนี้ การสูญเสียโซเดียมก็เกิดขึ้นตามมา ซึ่งอาจสูญเสียมากจนเกิดภาวะโซเดียมต่ำ และภาวะโซเดียมต่ำนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการปลายประสาทอักเสบ

กลไกที่ 2. ยา Amlodipine ที่คุณกิน มันมีผลข้างเคียงให้เกิดอาการปลายประสาทอักเสบได้โดยตรง คุณไม่ต้องไปดูหลักฐานที่ไหนไกลดอก อ่านดูฉลากยานั่นแหละเขาก็เขียนไว้ แต่ตัวเล็กนะ คุณใช้แว่นขยายส่องดูก็จะเห็นเอง

การจะแก้ปัญหาปลายประสาทอักเสบก็ต้องเลิกยาสองตัวนี้ก่อน แต่จะเอาอะไรมาแทนยาสองตัวนี้ละ ยาสองตัวนี้เขาให้มาเพื่อรักษาความดันเลือดสูง คุณก็ต้องลดความดันเลือดของคุณลงโดยการเปลี่ยนวิธีกินวิธีใช้ชีวิตของคุณเอง กล่าวคือ (1) เปลี่ยนอาหารมากินพืชเป็นหลักให้ได้ผักวันละ 5 เสริฟ ผลไม้วันละ 5 เสริฟ (2) ถ้าอ้วนให้ลดน้ำหนัก (3) ออกกำลังกาย (4) เลิกกินเกลือเสีย

แต่การรักษาตัวเองทั้งสี่อย่างที่ผมแนะนำคุณนี้มันขัดกับที่หมอเขารักษาคุณอยู่ หมอรักษาคุณเขาเป็นคนละสาขากันและเขาไม่มีเวลาประสานงานกัน จะอ่านลายมือของกันและกันเขาก็อ่านไม่ออก จะเปิดคอมดูเวชระเบียนว่าหมอคนอื่นเขียนอะไรไว้ก็ไม่มีเวลา แถมบางโรงพยาบาลเปิดดูของกันไม่ได้อีกต่างหาก ก็จึงต้องต่างคนต่างรักษาคนไข้ไปแบบของใครของมันทั้งๆที่คนไข้เป็นคนเดียวกัน กล่าวคือคุณมีความดันเลือดสูงหมอหัวใจก็ให้ยาขับเกลือเพื่อลดความดันเลือด หมอไตพบว่าคุณโซเดียมต่ำสงสัยไตคุณเก็บเกลือไม่อยู่จึงให้คุณกินเกลือเพื่อเพิ่มเกลือ ผลการรักษาท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร..ม่ายรู้ แต่ที่แน่ๆตอนนี้คุณเป็นปลายประสาทอักเสบจากการรักษาโดยที่ความดันสูงก็ยังอยู่และไตก็ยังเก็บเกลือไม่ได้อยู่ดี

ดังนั้นคุณต้องทำตัวเป็นผู้ประสานสิบทิศ ด้านหนึ่งตัวเองทำตัวดีด้วยการเปลี่ยนวิธีกินวิธีใช้ชีวิตเพื่อให้ความดันเลือดลดลงอย่างที่ผมบอกข้างต้น อีกด้านหนึ่งปรึกษาหมอหัวใจที่จะลดแล้วเลิกใช้ยา Amlodipine และ Losartan เสีย อีกด้านหนึ่งปรึกษาหมอไตที่จะเลิกกินเกลือเสีย ผมรู้ว่างานนี้ไม่ง่าย เพราะหมอใหญ่ในโรงพยาบาลใหญ่ท่านก็มีองค์ของท่านคุณจะพูดกับท่านต้องไม่ไปทำให้องค์ของท่านกระทบกระเทือน ฮี่..ฮี่ มันน่าหนักใจอยู่ แต่หากคุณอยากจะหายจากปลายประสาทอักเสบ คุณต้องทำ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. FDA. Review: could Losartan potassium cause Hyponatraemia?. Accessed at http://www.ehealthme.com/ds/losartan+potassium/hyponatraemia

2. Zhang Y, Li C, Huang L, Shen X, Zhao F, Wu C, Yan S. Relationship between Hyponatremia and Peripheral Neuropathy in Patients with Diabetes. J Diabetes Res. 2021 Aug 19;2021:9012887. doi: 10.1155/2021/9012887. PMID: 34458375; PMCID: PMC8397566.

3. Phillips BB, Muller BA. Severe neuromuscular complications possibly associated with amlodipine. Ann Pharmacother. 1998 Nov;32(11):1165-7. doi: 10.1345/aph.18082. PMID: 9825082.

[อ่านต่อ...]

29 พฤศจิกายน 2566

แจ้งปชส. เรื่องซื้อหนังสือเป็นของขวัญวันพ่อ

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกที่รูปเพื่ออ่านบทความเต็ม)

วันนี้ขอใช้พื้นที่แจ้งข่าวฝากจากหมอสมวงศ์ว่าเพื่อสนองตอบต่อแฟนบล็อกที่ขอลดราคาหนังสือคัมภีร์สุขภาพดีในโอกาสวันพ่อ สำหรับลูกๆที่จะซื้อหนังสือเป็นของขวัญวันพ่อ จึงได้ตกลงกับไลน์ช็อพให้ลดราคาหนังสือลง 15% (จาก 495 เหลือ 420 บาท สำหรับผู้ที่สั่งซื้อเข้ามาเฉพาะในวันที่ 1 ธค. 66 (24 ชั่วโมง คือ 0.00 น. – 24.00 น.) วันเดียว กะว่าหนังสือซึ่งส่งทาง EMS ไปถึงก็ใช้เป็นของขวัญวันพ่อได้ทันพอดี

ถือเป็นการรวบยอดตอบเมลที่ request เรื่องลดราคาวันพ่อเข้ามาทุกเมลไปด้วยเลยนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

คุณจะไปสนใจทำไม เพราะมันเป็นเรื่องนอกประเด็น

(ภาพวันนี้ / วันใหม่ชีวิตใหม่ รดน้ำ ปัดกวาด เปิดร้าน จัดร้าน ไม่เกี่ยวกับว่าจะมีหรือไม่มีลูกค้า)

(กรณีที่ใช้ fb กรุณาคลิกภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

เรียนคุณหมอสันต์

ผมเป็นสัตวแพทย์ ตามอาจารย์มานานและปฏิบัติตามทั้งเรื่องสุขภาพกายสุขภาพจิต ผมศึกษาทั้งพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูแต่ยังจับไม่ได้ว่าอะไรคือจุดต่างที่แท้จริงของศาสนาทั้งสองและผมควรจะให้น้ำหนักตามทางไหนมากกว่ากัน อีกคำถามหนึ่งผมอยากให้อาจารย์สอน trick ที่จะทำให้หลุดพ้นได้เร็วขึ้น ผมเชื่อว่าอาจารย์ต้องมีแต่อาจารย์ไม่ได้พูดถึง และอีกคำถามหนึ่งคนใกล้ชิดในบ้านเป็นคนขี้โมโหผมควรช่วยอย่างไรดี อีกข้อหนึ่ง ลูกเขาเป็นคนไม่เอาไหนไม่เอาหน้าที่การงาน ผมจะทำอย่างไรดี

………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าพุทธกับฮินดูต่างกันอย่างไรอย่างไหนดีกว่ากัน ตอบว่า คุณจะรู้ไปทำไมละครับ มันเป็นเรื่องใบไม้นอกกำมือ เป็นเรื่องนอกประเด็น ถ้าคุณเป็นนักอ่านคุณจะรู้ว่าเรื่องนี้เถียงกันมามากกว่าหนึ่งพันปีแล้ว บางยุคบางสมัยก็จัดเวทีโต้วาทีต่อหน้ากษัตริย์ แต่จนป่านนี้ก็ยังเถียงกันไม่ตกฟาก คุณจะเอาเวลาในชีวิตไปยุ่งกับเรื่องที่เขาใช้เวลาเป็นพันๆปีก็ยังเถียงกันไม่จบทำไมละครับ ในเมื่อคุณมีสัมปทานในชีวิตนี้อย่างมากก็ 100 ปีเท่านั้น

เหตุหนึ่งที่การเถียงกันไม่ตกฟากเพราะคู่โต้วาทีทั้งสองฝ่ายต่างใช้ “ภาษา” ไปโต้เถียงกันเรื่องลักษณะหรือธรรมชาติของความรู้ตัว (consciousness) ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตที่ภาษาจะครอบคลุมไปถึงหรือตามไปอธิบายได้ ทางเดียวที่คุณจะเข้าถึงเรื่องที่เขาเถียงกันนี้ได้คือคุณต้องเข้าถึงด้วยประสบการณ์ของคุณเอง ซึ่งนับว่ายังเป็นเรื่องโชคดีที่ทั้งสองค่ายต่างก็อาศัยประสบการณ์เดียวกัน คือการฝึกสมาธิวางความคิด

2.. ถามว่ามี trick หรือลูกเล่นอะไรที่จะทำให้หลุดพ้นจากกรงของความคิดของตัวเองได้ง่ายๆ ตอบว่าให้คุณลองลูกเล่นต่อไปนี้

2.1 สร้างความสม่ำเสมอ ซ้ำๆซากๆ ที่เก่า เวลาเดิม เพราะความคิดที่โผล่ขึ้นมาในใจเราเป็นวงจรซ้ำซากแบบที่เป็นรากฐานของวิชาพฤติกรรมของสัตว์ (animal behavior) นั่นแหละ การแก้ปัญหาต้องเริ่มด้วยการสร้างพฤติกรรมซ้ำซากเข้าไปทดแทนความคิดซ้ำซากไร้สาระเก่าๆเหล่านั้นให้ได้ก่อน เช่นนั่งสมาธิทุกเช้าหรือก่อนนอนแบบตรงเวลาทุกวัน

2.2 สนใจอะไรทำอะไรทีละอย่าง one thing at the time เรื่องอื่นให้ต่อคิวไว้ อย่าไปทำหลายอย่างพร้อมกัน (multi-tasking) หากมีเรืองต่อคิวเกินหนึ่งเรื่องกลัวลืมก็จดไว้ หมดเรื่องที่หนึ่ง ค่อยไปทำเรื่องที่สอง หมดเรื่องที่สอง ค่อยไปทำเรื่องที่สาม

2.3 ให้ความสำคัญกับความเงียบ ความว่างๆ บ้าง เมื่อมันเงียบก็สังเกตความเงียบ เมื่อมันว่างก็สังเกตความว่าง อีกสิ่งหนึ่งที่หายไปจากชีวิตคนเราทุกวันนี้คือ “ความมืด” ให้สนใจความมืดบ้าง เมื่อมันมืดอย่ารีบหาแสงสว่างมาจุด ทิ้งให้มันมืดๆอยู่อย่างนั้นสักพัก สนใจสังเกตมัน เพราะความว่างก็ดี ความเงียบก็ดี ความมืดก็ดี มันก็คือความรู้ตัวที่เป็นสนามให้กิจกรรมของใจเช่นอารมณ์ความคิดเกิดขึ้นนั่นเอง

2.4 วิถีชีวิตของคุณก็มีส่วนช่วยให้การฝึกสติวางความคิดเดินหน้าช้าเร็วได้นะ ถ้าจะให้ดีคุณควรเลือกวิถีชีวิตที่ง่ายๆ (simple life) หลีกเลี่ยงวิถีชีวิตที่ทำให้เราจมอยู่ในโลกของความคิด โลกของหน้าจอ โลกของคอนเซ็ทพ์ ชั่ว ดี ถี่ ห่าง ผู้ดี ไพร่ ยากจน ร่ำรวย ปริญญาตรี โท เอก การเปรียบเทียบที่มักตามมาด้วยความอิจฉา การลุ้นสงคราม ทั้งหมดนี้เป็นโลกของความคิดที่ไร้สาระทั้งนั้น หาโอกาสปลีกวิเวกหลีกเร้นจากสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด การปล่อยวางความยึดถือจะง่ายขึ้นหากใช้ชีวิตในแนวทางลดการซื้อลดการสะสมควบคู่ไปด้วย เมื่อใดสิ่งทางโลกหรือโลกิยะบิสิเนสเหล่านี้ไม่สามารถดึงใจเราให้หันเหออกไปจากการอยู่นิ่งๆตรงกลางได้ เมื่อนั้นเราก็พร้อมที่จะนั่งลงฝึกสมาธิให้ได้ผลดีมากขึ้น

2.5 การกินอาหารก็มีผล ถ้ากินแบบสวาปามเข้าไปเต็มท้อง ก็แน่นอนว่าจะต้องขึ้นอืดไปอีกหลายชั่วโมงแทบทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าปรับอาหารให้เบาลง กินพืชผักผลไม้ให้มากขึ้น กินอาหารในรูปแบบที่มีพลังอยู่ในตัว คืออาหารที่ไม่ผ่านการปรุงมากเกินไปและไม่ถูกเก็บไว้นานเกินไป อาหารในกระป๋องในกล่องในซองพลาสติดซีลนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย มันเป็นอาหารที่ไร้ชีวิตไปนานแล้วมันคงจะให้พลังชีวิตคุณได้ยาก

2.6 ควบคู่กับการฝึกสติ ให้คุณฝึกการปล่อยวางความยึดถือในตัวตนเข้ามาแบบคู่ขนานกันไป ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญที่ฝรั่งที่กำลังเห่อการฝึกสติกันอยู่ทั่วโลกทั้งในยุโรปและอเมริกาไม่ค่อยรู้จักและไม่ค่อยได้สอนกันในโรงเรียนของเขา คือการปล่อยวางความยึดถือมันคงไม่ถูกจริตของฝรั่ง คือเขาสอนแต่เทคนิคการเอาสติเสียบเข้ามาตัดตอนความคิดแบบซ้ำๆๆๆ แต่ไม่พูดถึงการวางความคิดยึดมั่นถือมันในอัตตาและการพาตัวให้ห่างจากโลกิยะบิสิเนสอันได้แก่ กิน กาม เกียร์ติ หรือโลภ โกรธ หลง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คืออะไรที่จะดูดเราให้แกว่งออกไปหาสิ่งที่ชอบ หรือแกว่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบ ซึ่งการแกว่งนั่นแหละคือกลไกการเกิดความคิดนั่นเอง

ถ้าคุณไม่ให้ความสำคัญกับการปล่อยวางโลกิยะบิสิเนส ไปมุ่งมั่นฝึกสติตามแบบฝรั่งตะพึดอย่างเดียว ท้ายที่สุดคุณอาจมีสติสมาธิที่แข็งแรงได้ก็จริง แต่คุณก็ยังจะไม่ตระหนักรู้ความจริงของชีวิตอยู่ดี เพราะความยึดมั่นในสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้ของคุณมันหนาจนบดบังไม่ให้เกิดการเห็นตามที่มันเป็นได้ เหมือนกับคุณมีกำลังแขนแข็งแรงตั้งใจจะพายเรือกลับบ้านตอนกลางคืนแต่ลืมแกะเชือกที่ผูกหลักออก คุณพายให้ตายก็ไม่ไปไหน โลกิยะบิสิเนส อุปมาอุปไมยก็คือเชือกที่ผูกเรือคุณไว้นั่นแหละ

3.. ถามว่าคนใกล้ชิดเป็นคนขี้โมโหควรทำอย่างไร ตอบว่าคนที่มีความโกรธเป็นเจ้าเรือนเป็นคนมีความหวั่นไหว กลัว ไม่มั่นคง อยู่ในใจ การสื่อสารช่วยเคลียร์ความกลัวนี้ได้ระดับหนึ่ง ความเห็นอกเห็นใจก็ช่วยได้อีกระดับหนึ่ง การหาโอกาสชักชวนฝึกวางความคิดผ่าน meditation ก็เป็นอีกทางช่วยอีกหนึ่ง การชวนเปลี่ยนยุทธวิธีเช่นแทนที่จะนั่งคิดแต่เป็นห่วงสงสารตัวตนของตัวเองหรืออยากจะเอาชนะคะคานเพื่อบูสต์ความสูงเด่นของอีโก้ตัวเองกลับมา เปลี่ยนมาใช้ยุทธวิธีมอกโลกให้กว้างออกไปว่าโลกนี้ไม่ใช่มีแต่คนสองคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่นี้ โลกนี้ยังมีคนอื่นที่แย่กว่าเรามาก เอาพลังงานของเราไปทำอย่างไรจะช่วยคนอื่นได้ ถ้าใช้ยุทธวิธีนี้การจมปลักกับอัตตาของตัวเองก็จะเบาบางลง การจะได้สัมผัสกับเมตตาธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติอันสงบเย็นข้างในเราก็มีมากขึ้น และข้อสุดท้าย..วิธีช่วยที่ได้ผลดีสุดคือคุณยอมรับเขาตามที่เขาเป็นแล้วตัวคุณตั้งใจทำตัวเป็นคนใจเย็นให้เขาเห็นเป็นตัวอย่าง แล้วเขาจะได้ใบบุญเอง

ทำไมคุณไม่โมโหโกรธหมาแมวที่คุณรักษาอยู่ล่ะ ก็เพราะมิชชั่นของสัตวแพทย์คือใช้ความรู้ของตนเข้าใจโรคของสัตว์และหาทางช่วยให้สัตว์หายป่วย คุณมองทุกอย่างที่สัตว์ทำเป็นอาการป่วยหมด แล้วทำไมคุณจะมองอย่างนั้นกับคนใกล้ชิดไม่ได้ละครับ

4.. ถามว่าลูกเป็นคนไม่เอาไหนจะทำไงดี ตอบว่าคนรุ่นใหม่ ผมหมายถึงคนรุ่นหนุ่มสาวจำนวนมาก ไม่ได้นิยมการตั้งหน้าตั้งตาหาเงินมาบริโภคตะพึดอย่างคนรุ่นแก่แล้ว บางส่วนหันหลังให้กับวิถีชีวิตแบบเดิมที่เกิดมาก็เอาแต่จะหาเงินไปเลย ดังนั้นก่อนที่คุณจะสะแตมป์ว่าเขาเป็นคนไม่เอาไหน คุณมองให้เห็นปรัชญาชีวิตด้านดีที่คุณไม่มีแต่เขามีไว้บ้างก็ดี จริงอยู่เด็กรุ่นใหม่มีแน้วโน้มจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางหรือเอาแต่ได้ แต่นั่นก็อาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่เขาเกิดมามันปั้นให้เขาคิดอย่างนั้น เช่นก็ในเมื่อพ่อแม่มีเงินแล้วเขาจะสะสมเงินอีกทำไมละ ใช้เงินพ่อแม่ไม่ง่ายกว่าหรือ เป็นต้น (ซึ่งผมว่าเขาคิดดีนะ หิ..หิ)

ผมอยากให้คุณมองคนรุ่นลูกด้วยความเข้าใจมากกว่านี้ ทำไมคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่อยากมีลูก ก็เพราะชีวิตของพวกเขาเองไม่มีความสุข แล้วเขาจะทำลูกเพื่อมามีชีวิตที่ไร้สุขอีกทำไม ชีวิตของคนรุ่นพ่อแม่พิสูจน์ตัวเองต่อหน้าเขาแล้วว่ามันเป็นวิถีชีวิตที่ “suck” แปลว่า “ห่วยแตก” แล้วคุณจะให้เขาเอาอย่างใครดีล่ะ ไล่มองไปสิ ผู้ใหญ่ผู้โตของประเทศ นักการเมือง พ่อค้า ครูอาจารย์ ตำรวจ ทหาร หมอ พระที่วัด ส่วนใหญ่ล้วนมีชีวิตแบบมือถือสากปากถือศีลชนิดเห็นตำตาอยู่จะจะทนโท่ไม่กระมิดกระเมี้ยน

กล่าวโดยสรุป คุณทำเขาเกิดมาแล้ว คุณมีเงินมีปัญญาเลี้ยงเขาได้ก็สงเคราะห์เขาไปเหอะ แต่อย่าไปเคี่ยวเข็ญบังคับให้เขาทำอะไรตามคุณเลย ปล่อยให้เขาค้นพบทางของเขาเอง วิธีนี้อาจทำให้โลกวันข้างหน้าดีขึ้นกว่าวันนี้ ไม่ต้องกังวลว่าถ้าคุณตายไปโดยที่เขาก็ยังไม่พบทางแล้วจะยังไง นั่นเป็นเรื่องของเขา คุณจะไปเดือดร้อนอะไรละเพราะคุณตายไปแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

27 พฤศจิกายน 2566

แจ้งความคืบหน้างานวิจัยอาหารไทยสุขภาพ พยาบาลจะโทรไปหาอาสาสมัคร..ช่วยรับด้วย

(กรณีใช้ผ่าน fb กรุณาคลิกที่ภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

บล็อกวันนี้ไม่ได้ตอบคำถาม แต่ขอใช้เนื้อที่แจ้งข่าวการวิจัยอาหารไทยสุขภาพ ว่าได้ดำเนินมาถึงขั้น

(1) จัดเตรียมเงินทองพร้อม

(2) วิจัยพัฒนาเมนูอาหารไทยสุขภาพ 100 เมนูเสร็จพร้อมแล้ว

(3) เตรียมการด้านการตรวจตัวชีวัด เช่นเทคนิคการตรวจยีนเพื่อดูไมโครไบโอมในอุจจาระ การตรวจเลือด เครื่องติดตามระดับน้ำตาลในเลือดเฉพาะบุคคล การตรวจหลอดเลือดที่จอประสาทตา เป็นต้น ทั้งหมดพร้อมแล้ว

(4) รับสมัครและคัดกรองอาสาสมัครเสร็จแล้ว

ขั้นตอนต่อไปคือพยาบาลของโครงการวิจัย คุณศุภรัตน์ (โอ๋) จะโทรศัพท์ไปหาอาสาสมัครทุกท่านในสัปดาห์นี้ เบอร์โทรศัพท์ของคุณโอ๋ลงท้ายด้วยเลข “..219” ถ้าเห็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยแต่ลงท้ายด้วยเลขนี้ก็ขอให้สบายใจได้ว่าเป็นเบอร์ของพยาบาลโครงการวิจัย ไม่ใช่เบอร์แก๊งค์มิจฉาชีพ กรุณาช่วยรับสายด้วยนะครับ

วัตถุประสงค์ของการโทรศัพท์ไปหาก็เพื่อแจ้งข่าวผลการคัดกรองอาสาสมัคร กรณีที่ท่านได้รับคัดกรองเข้าร่วมงานวิจัยก็จะแจ้งนัดหมายลงปฏิทินและวิธีการต่างๆที่จะต้องทำร่วมกันต่อไป กรณีที่ท่านไม่ได้รับการคัดกรองเข้าร่วมงานวิจัยก็จะแจ้งเหตุผลที่ไม่รับและขอบคุณท่าน และนัดหมายส่งของชำร่วยอันได้แก่คู่มือทำอาหารสุขภาพและอื่นๆให้ท่านเมื่อจบงานวิจัยแล้ว

ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณแฟนบล็อกที่สมัครเข้าร่วมงานวิจัยล้นหลามในรอบแรก ขอให้กุศลเจตนาของท่านที่จะช่วยสร้างสรรค์องค์ความรู้เพื่อประโยชน์แก่สุขภาพของผู้คนทั่วโลกครั้งนี้ ช่วยดลบรรดาลให้ท่านมีชีวิตที่สงบเย็นและสร้างสรรค์ตลอดไป

อนึ่ง ธรรมชาติของงานวิจัยทุกงาน มักจะมีรอบสอง หมายความว่าการรับอาสาสมัครรอบแรกมักมีหลุด ลา หรือขาดตกบกพร่องด้วยสารพัดเหตุ ซึ่งหากจำเป็นต้องเปิดรับอาสาสมัครรอบสอง ผมจะแจ้งรบกวนท่านผู้อ่านทุกท่านผ่านบล็อกนี้อีกครั้ง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

26 พฤศจิกายน 2566

เรื่องไร้สาระ (35) ปูนนี้แล้วยังไม่รู้อีกหรือ

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกที่ภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

บนเส้นทางสู่เม้าท์ คุ้ก

ผมค้นหาไฟล์เก่าเพื่อเตรียมสอนกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตราวสามสิบคนที่จะมาหาผมที่เวลเนสวันพรุ่งนี้ ก็เผอิญเจอรูปเก่าตอนไปเดินป่าที่นิวซีแลนด์เมื่อต้นปีและโน้ตสั้นๆที่ตัวเองเขียนไว้ อ่านแล้วอดยิ้มไม่ได้ จึงเอามาเป็น “เรื่องไร้สาระ” ให้อ่านเล่น

พฤหัส 27 Apr 2023

วันนี้เป็นวันที่ 11 ของการมาเดินป่าล่าแสงใต้ เราตื่นเช้าขึ้นมาที่โรงแรมที่พักนักเดินเขาสูงชื่อ Aoraki Alpine Chalet ซึ่งอยู่ในหุบเขาเม้าท์คุ้กหรีอ Mount Cook Village นี่เอง นั่งละเลียดอาหารเช้าแบบทำเองกินเองง่ายๆสไตล์กาแฟ ขนมปัง เป็นการเติมพลังก่อนออกเดินเท้าทางไกลไปยังกระท่อมร้างในหุบเขาหิมะชื่อ Hooker Hut อันเป็นเป้าหมายที่หลับนอนในค่ำคืนถัดไปนี้

อาหารเช้าแบบทำเองกินเอง โรงแรมนักเดินเขาสูง Aoraki Alpine Chalet

ผมชำเลืองดูเครื่องทรงชุดกันหนาวที่เว่อวังของสมาชิกบางท่านก็อดแซวไม่ได้

“นี่กะจะไปกันถึงขั้วโลกใต้เลยหรือ” สมาชิกท่านหนึ่งบอกว่า

“เราจะไม่ยอมให้โดนหลอกอีกแล้ว เมื่อวานซืนหนาวสั่นแทบตาย”

อ้อ ความกลัวหนาวเกิดจากประสบการณ์เมื่อวานซืนนี่เอง เมื่อวานซืนเราขับรถของเราขึ้นไปบนสนามสกีรีมาร์เกเบิล ที่เมืองควีนส์ทาวน์ ขึ้นไปแบบโทงๆไม่มีการเตรียมการอะไรเป็นพิเศษ ไปเจอว่าที่นั่นหิมะตกเป็นฝอยปรอยๆ ลมแรงและเย็นหนาวเหน็บเข้ากระดูกจนหลายคนสั่นงั่กๆต้องกลับเข้ามาปักหลักถ่ายรูปอยู่ในรถแทน การมาเม้าท์คุกคราวนี้พยากรณ์อากาศบอกล่วงหน้าว่าหิมะจะตกไม่มีแดดและจะหนาว แต่เช้าวันนี้กลับผิดคาด มีแดดและอุ่นดี

เส้นทางเดินร่วมกับนักท่องเที่ยวทั่วไปในหุบเขา Hooker Valley

แล้วคณะเราก็ออกเดินเท้าไปบนเขาสูง เป้ไม่ค่อยหนักเพราะสะเบียงของเราร่อยหรอไปเกือบหมดแล้ว ทางเดินก็ไม่เป็นปัญหา แดดดี ไม่ลื่น เส้นทางแผ้วถางโรยกรวดไว้อย่างดีเพราะเป็นทางเดินที่นักท่องเที่ยวที่มาเดินไพรในหุบเขา Hooker Valley ใช้ร่วมกัน เรียกว่าลงรถทัวร์ทั้งคันก็เดินทางนี้กันทั้งคัน จะมีปัญหาก็แค่ชุดที่แต่ละท่านทรงกันมาแบบจะไปถึงขั้วโลกนั้น บัดนี้ออกฤทธิ์ให้ตับแล่บเหงื่อแตก จนต้องทะยอยลอกคราบกันทีละชิ้น ทีละชิ้น ซึ่งนั่นนำไปสู่ปัญหาที่สอง คือ

“โทรศัพท์ป้าหาย!”

เวรละสิ ช่างเลือกเวลาทำของหายได้เหมาะเจาะจริงเชียวนะ จากการสอบสวนพบว่าป้าให้คุณน้าถ่ายรูปให้ ถ่ายเสร็จคุณน้าก็จำได้แค่ว่าเก็บยัดกระเป๋า กระเป๋าไหน อย่างไร เมื่อไหร่ ฮิ..ฮิ ไม่ทราบ เพราะเป็นลืม

พวกเราจึงต้องจัดกระบวนทัพเดินย้อนหลังเส้นทางเดิมเพื่อค้นหาโทรศัพท์ แบ่งเป็นปีกซ้าย ปีกขวา และลุยคลอง ค้นหารอบแรกสรุปว่าไม่พบ แต่ป้าก็ยังไม่วายบ่นอุบอิบอับว่าอุตส่าห์ซื้อโทรศัพท์มาหลายหมื่นก็เพื่อมาถ่ายรูปการเที่ยวครั้งนี้ แล้วรูปก็อยู่ในนั้นหมด มิใยที่คุณน้าบอกว่าจะซื้อคืนให้เธอก็ยังบ่น เอ้า ค้นหากันรอบที่สอง ก็ไม่พบอีก หมดเวลาไปราวสองสามชั่วโมง ผมเกรงว่าเส้นทางข้างหน้าสั้นยาวยังไม่รู้ เกรงจะมืดก่อนถึงกระท่อม จึงบอกให้คณะตัดใจทิ้งโทรศัพท์แล้วเดินหน้าต่อไป แต่มีอยู่คนหนึ่งยังตัดใจไม่ขาด เธอพร่ำสวดว่า

“ขอให้หลวงพ่อคูณนำคืน ขอให้หลวงพ่อคูณนำคืน”

เส้นทางพาเราออกจากทางของนักท่องเที่ยวหลัก ลงทางเล็กๆซึ่งเป็นทางเดินเรียงเดี่ยวเข้าไปในพงอ้อพงแขมสูงท่วมหัว มีเสาสีส้มปักหมายเป็นระยะเผื่อเวลาหิมะลงจะได้ไม่หลงทาง เดินกันกำลังเริ่มเมื่อยขาก็มาถึงกระท่อมโดดเดี่ยวตั้งอยู่กลางหุบเขาหิมะ Hooker Hut

พวกเราปลดเป้ลงแล้วนั่งพักเหนื่อยชมทิวทัศน์ซึ่งเป็นภูเขาหิมะรายล้อมรอบกระท่อม นอกจากพวกเราแล้วไม่มีมนุษย์อื่นบังวิวเลย แล้วก็เข้าไปสำรวจในกระท่อม กระท่อมแห่งนี้เป็นกระท่อมเดินไพรหลังแรกของประเทศนิวซีแลนด์ สร้างไว้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1910 ก็คือร้อยกว่าปีมาแล้ว โดนหิมะถล่มใส่เสียหายยับเยินแล้วเพิ่งซ่อมครั้งใหญ่ไปเมื่อปีกลายนี่เอง เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักโดยคณะของเรานี้จัดว่าเป็นคณะแรกๆก็ว่าได้ แต่กว่าจะมาพักที่นี่ได้ก็ต้องจองล่วงหน้ามาไม่น้อยกว่าหกเดือน เมื่อมาถึงแล้วก็ไม่ผิดหวัง

เปิดประตูกระท่อมด้วยความยากลำบาก แล้วก็กรูกันเข้าไปสำรวจในกระท่อม มีเตาผิงใช้ฟืน ไม่หนาวตายแน่คืนนี้ แล้วก็มีเสียงร้องด้วยความดีใจ

“มีหม้อต้มน้ำให้ต้มมาม่าด้วย”

แล้วก็มีเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นจากนอกกระท่อม เป็นเสียงของคนเข้าไปใช้ห้องส้วม

“โอ้ โฮ เฮะ ส้วมที่นี่วิวสุดยอดเลย วิวเม้าท์คุกเวอร์ชั่นในปฏิทิน แต่ต้องเปิดประตูส้วมไว้นะ”

วิวเม้าท์คุ้กเวอร์ชั่นปฏิทิน แต่ต้องเปิดประตูส้วมไว้นะ

ต้มมาม่ากินได้ด้วย

เราสำรวจที่นอน กระท่อมหลังนี้นอนได้ 8 คน พวกเรามากัน 6 คน มีจิ๊กกี๋กีวี่ตามมาร่วมใช้กระท่อมอีก 2 คน ขณะที่คนอื่นเขาตื่นเต้นกับกระท่อมที่พัก แต่ป้าพอเห็นที่นอนก็ปีนขึ้นไปคลุมโปงนอนแน่นิ่งเสียสติไปแล้วด้วยความเสียดายทรัพย์

ผมเดินเข้าไปตบไหล่เธอ ว่า

“โถป้า..ปูนนี้แล้ว ยังไม่รู้จักชีวิตอีกหรือ”

ออกมาดูดาวบนท้องฟ้ากลางหุบเขาหิมะในม้าท์คุกตอนดึก

ตกดึกผมตื่นมาดูดาวกับสองสาวกีวี่ ผมชงกาแฟให้เธอสองคนแลกกับการที่ผมจะได้ดูดาวในกล้องของเธอโดยผมไม่ต้องเหนื่อยแบกกล้องมาด้วย ในอากาศที่หนาวเหน็บขนาดนี้ การได้จิบกาแฟร้อนๆขณะดูดาวเป็นประสบการณ์ที่ดีเชียว

เช้าวันรุ่งขึ้นเราฝ่าความหนาวกินอาหารเช้ากันหน้ากระท่อม บอกลา Hooker Hut แล้วเดินเท้ากลับเข้ามายังหมู่บ้าน Mount Cook Village ตลอดทางเราถามร้านค้า ยาม เจ้าหน้าที่ ร้านอาหาร ว่ามีใครเก็บโทรศัพท์ได้บ้างแต่ก็ไม่มีใครพบอะไร จนเราเตรียมพร้อมจะขับรถออกจากเม้าท์คุ้กเพื่อเข้าไปนอนในเมืองไครส์เชิร์ช ผมแวะถามที่ศูนย์ข้อมูลเป็นครั้งสุดท้าย ก็ได้โทรศัพท์ที่หายคืนมาได้อย่างไม่คาดฝัน

ป้ามองผมเดินมาแต่ไกลด้วยสายตาไร้แวว พอมาถึงผมบอกว่า

“เขาบอกว่ามีโทรศัพท์อันนี้อยู่อันหนึ่ง”

ผมแกล้งหยิบโทรศัพท์ของผมขึ้นมา เธอมองแล้วก็ส่ายหน้าแบบไม่มีความรู้สึกอะไร และพูดว่าไม่ใช่ของเธอ คราวนี้ผมทำทีเพิ่งนึกขึ้นได้ หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาจากอีกกระเป๋าหนึ่ง

“อ้อ มีอีกอัน อันนี้ใช่หรือเปล่า”

เท่านั้นแหละ เธอทำตาโตเหมือนเด็กนักเรียนยากจนที่ได้กระโปรงใหม่ก่อนวันเปิดเทอม พูดอะไรไม่รู้ออกมายาวเหยียดจับความได้ว่า..ขอบคุณหลวงพ่อคูณ

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

ลาก่อน Hooker Hut และเม้าท์คุ้ก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

นักเรียน SR เล่าเรื่องการหลุดพ้นของตนเอง

(ภาพวันนี้ / ลัดดาวรรณ์)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกที่ภาพข้างล่างเพื่ออ่านบทความเต็ม)

อาจารย์ครับ

ผมนักเรียน SR จดหมายนี้ฉบับที่ 3 แล้วครับ ฉบับแรกที่ถามเรื่องตาที่ 3 ตอนนี้เกทแล้วว่าคืออะไร ขอบคุณมากครับ อ.

ผมได้สรุปคอนเสปของการหลุดพ้นไว้ดังนี้

“..รีวิวเส้นทางการเดินทางสู่อิสรภาพที่แท้จริงฉบับ ลัด สั้น ตรง ชีวิตที่ไม่มีทุกข์เลย มีอยู่จริงๆครับ

ก่อนที่จะพิมพ์เนื้อหา ผมจะพิมพ์ benefit ง่ายๆที่เกิดขึ้นใน 2-3 วันมานี้ หลังจากผมหลุดกรอบออกมาครับ

-เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ผมกับพ่อตึงๆใส่กันมาตลอด หายสนิทเป็นปลิดทิ้ง และไม่ทะเลาะกันอีกเลย ส่วนเหตุผลเพราะอะไรผมจะใส่ใน part เนื้อหาครับ

-ช่วงขับรถมากทม. ตอนขับไม่มีความรู้สึกเหนื่อย หรือเมื่อไรจะถึง ขับมาเรื่อยๆชิวสบายๆ ไม่โมโหรถปาดหน้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องบีบแตรอัดรัวๆอย่างแน่นอน

-ช่วงขับรถในกทม.ปกติผมจะหงุดหงิดกับรถติดมากๆ ตอนนี้อยากไปไหนมาไหนสะดวกสบายลื่นปรื้ดๆ ไม่ใช่ถนนนะ แต่ใจผมเนี่ยแหละ แยกแครายในตำนานชิดซ้ายไปเลยถ้าเทียบกับใจที่เป็นอิสระของผม

-เหมือนเดิมครับ ปกติผมจะไม่ชอบไปที่คนเยอะ ร้านอร่อยต่อให้คิวยาวแค่ไหนอย่าหวังจะได้เจอผม

ล่าสุดแฟนชวนกินร้านที่ต้องต่อคิวในกทม.ต่อคิวไปเกือบชม.ผมก็ชิวมาก เพราะใจเราเป็นอิสระแล้ว

ต่อไปเป็น part เนื้อหา

Part 1 : เกริ่นนำ ทำไมคนเราถึงเป็นทุกข์ ขาดอิสรภาพ รู้สึกว่ามีอะไรในชีวิตที่ขาดหายไป

-ผมเคยคิดมาตลอดว่าผมเป็นคนรักสงบ ใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นท่ามกลางธรรมชาติ ใช้ชีวิตอยู่ตจว.ที่รถไม่ติดแล้วผมจะมีความสุข

-ผมจึงทำทุกอย่างในชีวิตเพื่อให้ได้อิสรภายนอกมาจนหมดแล้ว เราอยากทำอะไรทำ กินอะไรกิน ไปเที่ยวไหนไป อยู่ที่ไหนอยู่ ไม่มีใครมาบังคับควบคุมเราอีกแล้ว

แต่มาพบเอาตอนหลังว่า นี่มันไม่ใช่อิสรภาพที่แท้จริง

นี่มันคุกชัดๆ มันคือการที่ผมยึดติดในไลฟ์สไตล์แบบนี้ แปลว่าถ้าเกิดใครมาทำอะไรหลุดจากสิ่งที่ผมชอบไป ผมจะหงุดหงิดหรือโกรธทันที และใช้วิธีหนีไปวิเวก

-การที่เราอยู่ที่ไหนก็ได้ ทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ แล้วใจเป็นอิสระ นั่นหนะคือ ” อิสรภาพที่แท้จริง “

-ไต่สวนไปต่อ จะพบว่าสุดท้ายแล้วสิ่งต่างๆที่ทำให้คนเป็นทุกข์ร้อนในชีวิต คือเรื่องของความคิด

-อย่างของผม ผมมีความคิดยึดติดกับความอิสระ พอผมเจออะไรที่ไม่ได้ดังใจผม ผมก็เป็นทุกข์

-เดี๋ยวจะมีคนสวนผมมาว่า เพราะผมยังไม่มีเงินมากพอที่จะได้ทุกอย่างที่อยากได้ เหมือนเสกได้ดั่งใจ

-ในชีวิตผมได้กระทบไหล่คนรวยมากมาย ผมก็ยังเห็นว่าเค้าก็ยังมึความทุกข์อยู่ ตราบใดที่ยังมีเรื่องที่ยึดติดอยู่ ถ้าไม่เชื่อผมคุณลองเปิดดูข่าวคนรวยด่าทอ หรือตีกันเยอะแยะมากมาย

-หลวงพ่อเทียนกล่าวว่า เงินซื้อได้แค่ความสะดวก ความพอใจ แต่ซื้อชีวิตที่ไม่มีทุกข์ไม่ได้

-มาถึงคำถามที่ผมอยากถาม คือถ้าเลือกได้แค่1อย่างระหว่างมีเงินแสนล้านกับมีชีวิตที่ไม่มีทุกข์ เราจะเลือกอะไร

เพราะถ้ามีชีวิตที่ไม่มีทุกข์แล้วจะมีเงินเท่าไรก็ไม่สำคัญแล้วเพราะคุณไม่ทุกข์ร้อนกับอะไรเลยในชีวิตนี้

แต่กลับกันสมมติมีเงินแสนล้านแต่อยากได้ในสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ใจก็เป็นทุกข์ (เช่น เงินซื้อความสัมพันธ์ที่ดีไม่ได้)

Part 2 : ค้นหาคำตอบ

เมื่อผมรู้สึกว่า something missing ผมจึงเริ่มค้นหาคำตอบ ลงเรียนคลาสพัฒนาจิตวิทยา พัฒนาตนเองมากมาย เรียนของต่างประเทศ เสียเงินไปหลายแสน เอามาปฏิบัติทั้งหมดก็แล้วทำมาหลายปี แต่มันก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราว มันดับทุกข์ถาวรไม่ได้ หรืออย่างทฤษฏี maslow ที่บอกว่าให้ contribute เพื่อสังคมเพื่อเติมเต็ม สิ่งนี้คือการยึดติดในความคิดว่าต้อง contribute ถ้าไม่ได้ไปทำตรงนี้ต่อแล้วไปอยู่บ้านเฉยๆ หรือการที่ไปชวนคนอื่นมาทำ แล้วเค้าไม่ทำด้วยกันก็ไปหาว่าเค้าเป็นคนไม่ดี ใจก็เป็นทุกข์

ชีวิตแท้จริงนั้นไร้เรื่องราว ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ถ้าใจเป็นอิสระ แต่ถ้าใจคุณเป็นอิสระแล้วคุณมักทำสิ่งที่สร้างสรรค์เอง อ่านมาถึงตรงนี้คงมีคนคิดว่า นั่นก็เป็นชีวิตที่ไร้ค่าสิ ถ้าคุณคิดแบบนั้นคุณจะติดกับดักความคิดเรื่องชีวิตที่มีค่าไปแล้วละ คุณว่าทำไมคนเกษียณไม่ยอมเกษียณกลับไปทำงานต่อหรือถ้ายอมเกษียณแต่มักเป็นซึมเศร้าแทน เพราะติดกับกรอบความคิดนี้แล

อิสรภาพที่แท้จริงคือการ acceptance คือยอมรับทุกสิ่งที่ชีวิตมอบให้มาไม่ว่าเรื่องอะไร ตราบใดที่ใจคุณเป็นอิสระ ใจคุณก็ไม่ทุกข์ร้อนกับอะไร

ผมในตอนนั้นมองออกไปในชีวิตข้างหน้า ไม่เห็นว่าจะเจอความสุขที่ไหนได้เลย ล่าเป้าหมาย A ได้มาแล้วก็ว่างเปล่า ไป B ต่อ ได้มาว่างเปล่า ไป C ถึง Z ต้องทำแบบนี้ถึงเมื่อไร ถึงจะเจอความสุขที่แท้จริง(เป็นนิรันดร์ )

จนผมมาเจอคำตอบในเรื่องการแสวงหาทางจิตวิญญาณที่พบว่ามันมีวันจบ ซึ่งวิธีการมันมีหลากหลายมากทั่วโลกแล้วแต่ใครจะถูกจริตไหน

แต่วันนี้ผมจะมารีวิวเส้นทางที่ทำให้ผมหลุดจากทุกกรอบความคิดและใจเป็นอิสระได้แบบนิรันดร์ ซึ่งวิธีนี้ผมมองว่า ลัด สั้นตรงที่สุด เพราะไม่ได้ prove แค่ผม แต่ prove จากครูบาอาจารย์รอบตัว อย่างช้าสุดไม่เกิน 3 ปี อย่างเร็วสุด 7 วันถ้าเอาจริง โดยก่อนหน้านี้ผมเจอคนที่ค้นพบใจเป็นอิสระเป็นๆมา 4 คน มี 1 คนใช้วิธีอื่น (ผมไม่ทราบระยะเวลาที่เค้าหลุดด้วยวิธีนั้น) แต่อีก 3 คนใช้แนวทางที่ผมจะพูดถึง และบางคนใช้เวลาหลักวัน มากสุด 2 ปี เพราะฉะนั้นในโพสต์นี้ผมจะไม่พูดถึงวิธีการอื่น แต่จะพูดถึงวิธีการที่ผมใช้จนหลุด ซึ่งใช้เวลา 6 เดือน

(ทำบ้างไม่ทำบ้าง แต่ถ้านับเฉพาะช่วงที่มา all in คือประมาณไม่เกิน 7 วันก็หลุดแล้ว)

Part 3 : องค์ประกอบที่จะทำให้คนหลุดพ้นได้

1.ศรัทธาในเส้นทาง ต้องเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าวิธีนี้จะทำให้คุณหลุดพ้นได้ ของผมผมเห็นหลักฐานจาก3คนข้างต้น และมีคลิป youtube คลิปนึงที่ทำให้ผมเข้าใจคอนเสปและมีความเชื่ออย่างสุดหัวใจ

2.ความเพียร จะเกิดได้ต้องมีศรัทธามาก่อน ความเพียรของผมเกิดจากการที่ผมมองออกไปหาความสุขในทางโลกๆไม่เจอแล้ว เที่ยวหรอ ก็ pattern เดิมๆอะ ดูซีรีย์ กินอาหาร มันก็ได้ดั่งใจหมดแล้ว ไม่เห็นจะเจอความสุขที่แท้จริงเลย ผมจึงตัดสินใจ all in เราจะไม่ทำ pattern เดิมละ เลยชีวิตผมมีแค่ นอน กินข้าว ปฏิบัติ จำวันเป๊ะๆไม่ได้ แต่ไม่เกินสัปดาห์ก็หลุดพ้นทันทีเมื่อตัดสินใจ all in

Part 4 : เส้นทางที่ผมใช้ หลายๆคนเข้าใจผิดว่าการนั่งสมาธิเท่านั้นที่จะทำให้หลุดพ้น เพราะมาจากภาพจำว่าพระพุทธเจ้านั่งสมาธิ แต่จริงๆแล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนและเป็นหลักสำคัญที่สุดในการบรรลุความหลุดพ้นนั้นคือการมีสติในทุกอริยาบถไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอนซึ่งคือการเจริญสติ แนวทางที่ผมใช้เป็นแนวทางการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว โดยผู้ริ่เริ่มแนวทางนี้ในไทยเท่าที่พอจะทราบมาคือหลวงพ่อเทียน โดยท่านได้สอนให้เจริญสติแบบเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการเดินจงกรมแบบไม่เพ่ง เดินชิวๆหลวมๆ หรือการยกมือ 14 ขั้นตอน (ซึ่งผมไม่ถูกจริตอันนี้ผมเลยไม่ได้ใช้ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าผมใช้อะไร แล้ว keyword คืออะไร

ส่วนตัวช่วงที่ผมใช้วิธีรู้สึกตัวสะสม เช่นพลิกหงายมือ แบกำมือ เดินจงกรมแบบไม่เพ่ง ขยับนิ้วมือ ถูนิ้วมือ

ซึ่งไม่ว่าทำอะไรหรือเผลอคิดอะไรไป ให้กลับมารู้สึกตัวทันทีและออกจากทุกความคิด

องค์ประกอบที่จะทำให้บรรลุความหลุดพ้น

1.ทำต่อเนื่องให้สะสมเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่

2.ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เผลอคิดอะไรไปไม่เป็นไร อย่าไปสนใจ ให้กลับมารู้สึกตัว

3.ทำแบบปล่อยวางผลลัพธ์ สร้างเหตุไปเรื่อยๆ

4.มาถูกทาง

จะรู้ได้อย่างไรว่ามาถูกทาง แบ่งเป็น2กรณี

กรณี 1 ไม่มีครูบาอาจารย์ ให้ดูว่าทำแล้วในชีวิตประจำวันท่านรู้ทันอารมณ์ต่างๆไวแค่ไหน ถ้าไวขึ้นเยอะ แปลว่าท่านมาถูกทางแล้ว ในชีวิตผมพบคนนึง (พบทางyoutube) ที่ไม่มีครู แล้วทำเองจนบรรลุ

กรณี 2 มีครูบาอาจารย์ ช่วยสอบทานอารมณ์ อันนี้ง่าย เพราะเค้าจะช่วย guide ว่าเราติดอะไร ของผมได้มีคนใกล้ชิดที่หลุดพ้นไปก่อนแล้ว ให้โทรหาตลอดจึงบรรลุได้ในไม่เกิน 7 วัน ถ้าไม่มีก็แนะนำว่าไปเข้าคอร์ส คอร์สนี้ไม่มีกำไรอาจารย์ที่ทำยังเข้าเนื้ออยู่เลย ราคาค่าบำรุงสถานที่วันละ 700 บาทอาหาร 3 มื้อ เข้าประมาณ 5 วัน ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ละคนมากน้อยไม่เท่ากันขึ้นกับเหตุที่เคยสะสมมา

นิพพาน ปรมัง สุขัง “สุขอื่นใดเหนือนิพพานนั้นไม่มี“ แล้วคุณจะพบเจอ “อิสรภาพที่แท้จริง…”

ตอบครับ

จดหมายของคุณมีความสมบูรณ์อยู่ในตัวเองแล้ว ผมไม่ต้องตอบหรือเพิ่มเติมอะไร ขอบคุณที่แชร์สาระดีๆให้เพื่อนสมาชิก SR และแฟนๆบล็อกหมอสันต์ทุกท่านได้อ่าน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

25 พฤศจิกายน 2566

หมอสันต์ขอเวลานอกพูดกับน้องๆแพทย์โรคหัวใจ

(ภาพวันนี้ / สมเด็จพระราชบิดา)

(กรณีอ่านจากเฟซบุ้ค ต้องคลิกที่ภาพข้างล่างจึงจะอ่านบทความเต็มได้)

กราบเรียนคุณหมอสันต์

ผมอายุ 51 ปี มีเรื่องปรึกษาเร่งด่วน คือเมื่อ … ผมไปตรวจ check up ประจำปีที่ … ซึ่งหลายๆปีผมไปตรวจทีหนึ่ง คุณหมอดูคลื่นหัวใจของผมแล้วถามว่าผมมีอาการใจสั่นหรือรู้สึกอะไรที่หน้าอกบ้างไหม ผมก็บอกว่าผมสบายดีไม่มีอาการอะไร แต่ท่านว่าดูคลื่นหัวใจแล้วท่านไม่สบายใจ คุณหมอท่านให้ผมตรวจเอ็คโค่ได้ผลปกติ ให้ผมตรวจวิ่งสายพานได้ผลว่าอาจมีอะไรอยู่แต่ยังไม่ชัด แพทย์นัดหมายให้ผมไปตรวจสวนหัวใจเมื่อวันที่ … ขณะสวนหัวใจแพทย์ได้คุยกับภรรยาของผมว่าฉีดสีพบจุดตีบที่หลอดเลือดหัวใจควรแก้ไขด้วยการใส่ stent เพื่อป้องกันการเกิดหัวใจวาย ภรรยาผมก็ตกลง ออกจากโรงพยาบาลแล้วผมได้ยาลดไขมัน ยาลดความดัน ยากันเลือดแข็งอีกสองตัว ซึ่งแพทย์บอกว่าทั้งหมดนี้ผมต้องกินไปตลอดชีวิตทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นผมไม่ต้องกินยาอะไรเลย ความดันเลือดผมก็ปกติ แต่ไขมันผมมีสูงบ้าง แต่ตั้งแต่วันนั้นมาผมไม่เคยรู้สึกสบายเลย ผมกลายเป็นคนป่วยจริงๆหลังจากที่ได้ไปตรวจสุขภาพประจำปี

ผมอยากถามคุณหมอว่าผมเป็นโรคหัวใจจริงหรือเปล่า ถ้าเป็น วิธีรักษาที่ผมได้รับมาถูกต้องไหม ถ้าถูกต้องแล้วเรื่องที่ผมต้องกินยาตลอดชีวิตนี้ผมจะต้องทำอย่างไรเพราะผมไม่อยากกินยาตลอดชีวิตครับ

ขอบพระคุณคุณหมอสันต์ครับ

……………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าคุณเป็นโรคหัวใจขาดเลือด (IHD) จริงไหม ตอบว่าจริงครับ จากหลักฐานการตรวจสวนหัวใจที่คุณส่งมาให้ คุณเป็นโรคหัวใจขาดเลือดระดับไม่มีอาการ มีรอยตีบที่พอเห็นได้ชัดอยู่สองจุด โดยที่โคนหลอดเลือดข้างซ้าย (LM) ยังปกติ ประเด็นสำคัญคือคนไทยที่อายุเท่าคุณนี้ เป็นโรคนี้แล้วในระดับแบบคุณนี้ผมประมาณว่า 35% (จากตัวเลขงานวิจัยปัจจัยเสี่ยงหลักในคนไทย) ดังนั้นการจับเอาคนวัยนี้ที่เดินถนนอยู่ไปตรวจสวนหัวใจแล้วพบว่าเป็นโรคนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตื่นเต้นแต่อย่างใด การวินิจฉัยที่ง่ายกว่านั้นคือหากเป็นคนไทยอายุ 40 ปีขึ้นไปที่มีไขมันในเลือดสูงหรือความดันเลือดสูงหรือเป็นเบาหวาน ให้วินิจฉัยตัวเองได้เลยว่าเป็นโรคนี้ และให้ลงมือจัดการโรคไปได้เลยด้วยการเปลี่ยนอาหารเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต รับประกันว่าเดินไปไม่ผิดทางแน่

2.. ถามว่าใส่ขดลวดแล้วถ้าไม่อยากกินยาตลอดชีวิตได้ไหม ตอบว่าการจัดการโรคหัวใจขาดเลือดคือการจัดการปัจจัยเสี่ยง อันได้แก่ไขมัน ความดัน เป็นต้น วิธีจัดการคือการเปลี่ยนอาหารเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต ซึ่งคุณหาอ่านรายละเอียดเอาในบล็อกนี้ได้เพราะผมตอบเรื่องพวกนี้ไปแยะมาก เมื่อคุณเปลี่ยนอาหารเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตได้ดี ไขมันในเลือดที่สูงมันจะลงมาเป็นปกติเอง ความดันเลือดที่สูง ก็จะลงมาเป็นปกติเอง เมื่อนั้นคุณก็เลิกยาลดไขมันและยาลดความดันได้

ส่วนยาต้านเกล็ดเลือดทั้งสองตัว (clopidogrel กับ aspirin) นั้น ในกรณีของคุณนี้เป็นการใช้ยาลดการกลับมาอุดตันใหม่หรืออุดตันในขดลวด (secondary prevention) งานวิจัยผู้ป่วยหลังการทำบอลลูนใส่ขดลวดพบว่าหากควบยาต้านเกล็ดเลือดสองตัวจะลดการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในขดลวดได้มากกว่ากินตัวเดียวหรือไม่กินเลย อย่างน้อยก็ใน 3 เดือนแรก หลังจาก 12 เดือนไปแล้วการกินตัวเดียวหรือสองตัวหลักฐานปัจจุบันนี้ก้ำกึ่งว่าอาจไม่แตกต่างกัน ดังนั้นพอครบ 12 เดือนแล้วคุณขอหมอลดเหลือตัวเดียวได้ ส่วนการจะต้องกินไปตลอดชีวิตหรือไม่นั้น ณ ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยเปรียบเทียบการกินหรือไม่กินยานี้ในคนที่ใส่ขดลวดไปแล้วนานๆเช่น 5 ปีไปแล้ว ดังนั้นผมแนะนำว่าคุณควรกินไปก่อน รอจนมีงานวิจัยหรือข้อมูลใหม่ๆออกมาชี้ชัดว่าหากเปลี่ยนอาหารและการใช้ชีวิตได้ดีการกินยาต้านเกล็ดเลือดตลอดชีพอาจไม่จำเป็นก็เป็นได้ อย่างน้อยตอนนี้เราก็รู้จากผลวิจัยแล้วว่าในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงแต่ไม่ได้เป็นโรคถึงขั้นเกิดการอุดตันเส้นเลือด การให้ยาต้านเกล็ดเลือด (primary prevention) กับไม่ให้เลย ได้ผลในการลดอัตราตายไม่แตกต่างกัน ย้ำว่ากรณีหลังนี้ไม่ใช่กรณีของคุณนะ กรณีของคุณนั้นเป็น secondary prevention

3.. ถามว่าการรักษาที่คุณได้รับไป เป็นการรักษาที่ถูกต้องตามหลักวิชาแพทย์ไหม ตอบว่าตรงนี้ผมขออนุญาตไม่ตอบครับ เพราะแพทยสภามีกฎว่าแพทย์ไม่พึงวิจารณ์การประกอบวิชาชีพของแพทย์ด้วยกันเองให้คนไข้ฟัง

4.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมแถมมา แบบไม่ได้จะพูดกับคุณ เป็นการพูดแบบขอเวลานอก คือผมอยากจะพูดกับแพทย์โรคหัวใจที่เป็น interventionist รุ่นน้องๆ คือจะพูดกันแบบตรงๆ โต้งๆ ว่าการที่เรารวบหัวรวบหางจับคนไข้ที่ไม่มีอาการป่วยอะไรแค่เขามาตรวจสุขภาพประจำปีไปทำการตรวจสวนหัวใจและทำบอลลูนใส่ขดลวดแบบม้วนเดียวจบทั้งๆที่เรารู้อยู่แล้วว่าคนไข้จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการลดอัตราตายหรือในแง่ของการบรรเทาอาการ และเรารู้ๆอยู่แล้วว่าจะมีผลเสียที่จะเกิดกับคนไข้ตามมารวมทั้งการที่คนไข้ต้องกินยาต้านเกล็ดเลือดไปตลอดชีวิตด้วย แต่ทั้งๆที่รู้ เราก็ยังทำ ผมฟังข่าวว่าน้องๆหากินแบบนี้กับคนไข้ซ้ำๆซากๆ ผมเห็นว่าเป็นหน้าที่ของผมในฐานะแพทย์โรคหัวใจรุ่นพี่ซึ่งเคยได้ร่วมจรรโลงกิจการของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในฐานะกรรมการมาอยู่ช่วงหนึ่งเป็นเวลายาวนานกว่าสิบปี จึงขอเขียนแทรกเข้ามาในบทความนี้ ด้วยเจตนาที่จะเตือนสติน้องๆ ให้คิดถึงพระดำรัสของสมเด็จพระราชบิดาที่พวกเราเคารพนับถือว่าเป็นบิดาของวงการแพทย์ไทย และปั้นพระรูปของท่านไว้เตือนใจเราที่หน้าคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งท่านว่า..

“..ในขณะที่ท่านประกอบกิจแพทย์ อย่านึกว่าท่านตัวคนเดียว จงนึกว่าท่านเป็นสมาชิกของ “สงฆ์” คณะหนึ่ง คือคณะแพทย์ ท่านทำดีหรือร้าย ได้ความเชื่อถือหรือความดูถูก เพื่อนแพทย์อื่นๆจะพลอยยินดีเจ็บร้อนอับอายด้วย…”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

24 พฤศจิกายน 2566

ยังไม่เก็ทเรื่องการสร้างสรรค์ (Creativity)

(ภาพวันนี้ / ดอกชบา หน้าหนาว)

อาจารย์ครับ

ผมเป็นนักเรียน SR34 กลับจากแค้มป์มาคิดถึงคำพูดของอาจารย์

อาจารย์ว่าชีวิตมีสองด้าน คือสถานะการณ์ในชีวิตกับการใช้ชีวิต ตรงนี้ผมเข้าใจ

อาจารย์ว่าให้โฟกัสที่การใช้ชีวิต ไม่ไปโฟกัสสถานะการณ์ในชีวิต ตรงนี้ผมเข้าใจ

อาจารย์ว่าชีวิตใช้กันทีละลมหายใจ ตรงนี้ผมเข้าใจ

อาจารย์ว่าประเด็นสำคัญคือทำอย่างไรให้ลมหายใจนี้มันดำเนินไปอย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์ ตรงนี้ผมเข้าใจครึ่งเดียว คือสงบเย็นผมเข้าใจ แต่สร้างสรรค์ผมไม่เข้าใจ มันอันเดียวกันกับที่สถาปนิกเข้าสร้างสรรค์งานออกแบบหรือจิตรกรเขาสร้างสรรค์ภาพเขียนหรือเปล่า ถ้าเราไม่ใช่สถาปนิกหรือจิตรกรมันจะมาเกี่ยวกับเราอย่างไร แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับการใช้ชีวิตให้สงบเย็น แล้วทำไมใน SR อาจารย์ถึงย้ำเรื่องการสร้างสรรค์มาก

ขอคำอธิบายครับ

……………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าสร้างสรรค์ (creativity) คืออะไร ตอบว่าคือ “ความสามารถ” หรือ “พลัง” ที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆ หรือคิดไอเดียใหม่ๆ หรือชี้ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่ไม่ใช่การลอกเลียน คอนเซ็พท์นี้ครอบคลุมได้ทุกเรื่อง รวมไปถึงการใช้ชีวิต การทำงาน การสื่อสาร การสร้างความบันเทิงให้ตนเองและผู้อื่น คือการสร้างสรรค์ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องงานออกแบบก่อสร้างหรืองานศิลปกรรม

2.. ถามว่าสร้างสรรค์ (creativity) มันดีอย่างไร ตอบว่ามันทำให้เกิดมุมมองที่กว้างใหญ่ไม่คับแคบและเกิดนวัตกรรมคือวิธีใหม่ๆในการดำรงชีวิตและแก้ปัญหาในชีวิต

ในระดับสังคม การขาดความสร้างสรรค์ทำให้สังคมนั้นกลายเป็น “สังคมราชฑัณฑ์” คือสังคมที่นักโทษเขาอยู่กัน มีรั้วรอบขอบชิด ทุกคนเสพย์ติดหรือยึดติดวิถีชีวิตที่เหมือนเดิมซ้ำซากวันแล้ววันเล่า ผู้คนมีมุมมองต่อสรรพสิ่งอย่างคับแคบและยึดมั่นในอคติเดิมๆไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

ในระดับบุคคล การขาดความสร้างสรรค์คือการตายของความตื่นและรู้ตัว คือการขังตัวเองไว้ในย่านความคิดที่ตนเห็นว่าเป็นเขตปลอดภัย (comfort zone) ถ้าเป็นชีวิตการทำงานเขาเรียกว่าคือการเป็นต้นไม้ตายซาก (dead wood) คือการใช้ชีวิตแบบรีไซเคิ้ลอดีตอันบูดอับขึ้นราซ้ำๆซากๆ เมื่อถูกลากออกมาประจันหน้ากับความเป็นจริงที่ปัจจุบันก็จะเกิดอาการช็อกตาตั้งรับไม่ได้

เขียนถึงตรงนี้ขอเล่าเรื่องเล่าโจ๊กฝรั่งเรื่องหนึ่ง ว่าชายคนหนึ่งเดิมมีอาชีพขับรถให้ธุรกิจงานศพ (funeral house) ต่อมาเงินไม่พอกินจึงเปลี่ยนอาชีพมาขับแท็กซี่ วันหนึ่งขับไปส่งผู้โดยสารแล้วขับเลยจุดที่ผู้โดยสารตั้งใจจะลง ผู้โดยสารจึงเอื้อมมือมาสะกิดหัวไหล่แท็กซี่

“จอดตรงนี้ จอดตรงนี้เลย นี่แหละที่ผมจะลง”

เท่านั้นแหละ แท็กซี่สะดุ้งโหยง เผลอเหยียบคันเร่งเอารถเข้าเสยเสาไฟโครมใหญ่ ผู้โดยสารจมูกแตกเลือดกำเดาไหล จึงพูดกับแท็กซี่ด้วยความไม่เข้าใจว่า

“ผมแค่บอกว่าผมจะลงตรงนี้ ทำไมคุณต้องตกอกตกใจขนาดนั้น” แท็กซี่ตอบว่า

“ผมเคยแต่ขับรถส่งคนตายครับ”

ฮิ ฮิ ฮิ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

3.. ถามว่าแล้ว “สร้างสรรค์” มาเกี่ยวอะไรกับ “สงบเย็น” ตอบว่า ในแง่ของกลไกการเกิด ความสร้างสรรค์เป็นฝาแฝดผู้น้องของความสงบเย็น กล่าวคือชีวิตของปุถุชนที่จมอยู่กับสถานะการณ์ในชีวิตนั้นทั้งไม่สงบเย็นทั้งไม่สร้างสรรค์ เพราะมัวไปจมอยู่ในความคิดมุ่งปกป้องและเชิดชูอัตตาของตัวเองแล้วจะสงบเย็นได้อย่างไร ต่อเมื่อเลิกยุ่งกับสถานะการณ์ในชีวิตมาใส่ใจการใช้ชีวิตทีละลมหายใจ ตั้งใจวางความคิดที่มุ่งมั่นปกป้องเชิดชูอัตตาตัวเองลง จนความคิดเบาบางหรือหมด ก็จะเหลือแต่ความรู้ตัวซึ่งเป็นแก่นข้างในใจเราซึ่งมีธรรมชาติสามอย่างคือ (1) เป็นความสงบเย็น (2) เป็นความตื่นและพร้อมรับรู้ (3) เป็นพลังปัญญาญาณ (intuition) ที่จะสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆได้ ดังนั้น ถ้าไม่มีความสงบเย็น ก็จะไม่มีการสร้างสรรค์ เพราะต้องสงบเย็นนิ่งจนเกิดพลังจากสมาธิก่อนจึงจะเกิดพลังปัญญาญาณที่จะมาสร้างสรรค์อะไรได้ ลำพังความคิดอ่าน (intellect) นั้นทำได้แค่รีไซเคิลความจำเก่าๆเท่านั้น จะเอามาสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆไม่ได้ดอก

4.. ถามว่าทำไมใน SR หมอสันต์ย้ำแต่เรื่องการสร้างสรรค์ ตอบว่าเพราะอยากให้สมาชิก SR เปลี่ยนอาชีพจากขับรถส่งคนตายทั้งชาติมาหัดขับรถส่งคนเป็นบ้าง เพื่อจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับเดี๋ยวนี้ให้เต็มศักยภาพที่ตนมี ถ้าชีวิตในวันนี้ของเราเหมือนเมื่อวานนี้ทุกอย่าง แปลว่าเราอยู่ในโลกของอดีตซึ่งเป็นโลกเสมือนที่ตายไปแล้วไม่มีอยู่จริงแล้ว หากเป็นอย่างนั้นวันแล้ววันเล่าวันหนึ่งเราก็จะตายจากโลกนี้ไปแบบหมอนๆเซ็งๆโดยไม่ได้ใช้ศักยภาพที่เรามีให้สมกับที่ได้เกิดมาเลย แต่ถ้าวันนี้เราถามตัวเองว่าวันนี้จะทำอะไรใหม่ให้ต่างจากเมื่อวานนี้บ้าง อะไรใหม่ๆนั่นแหละคือการสร้างสรรค์ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆเช่นปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่ง หรือยิ้มให้คนสักคนหนึ่ง หรือเล่าโจ๊กให้ใครสักคนหัวเราะ มันเป็นความตื่นเต้นท้าทาย มันเป็นความมหัศจรรย์ การจะทำแบบนี้ได้ต้องเลิกจมอยู่ในความคิดเสียดายอดีตหรือกังวลถึงอนาคตที่เป็นความคิดขาประจำในหัวไปเสียก่อน มาอยู่กับเดี๋ยวนี้ให้ได้ก่อนเพราะความสร้างสรรค์เกิดที่เดี๋ยวนี้ ฟังเสียงที่เข้าหูมาที่เดี๋ยวนี้ มองภาพที่เห็นจะจะที่เดี๋ยวนี้ ตั้งใจพูดกับคนที่อยู่ตรงหน้าเมื่อเดี๋ยวนี้ เมื่อหมดความคิดเรื่องอดีตอนาคต ความสงบเย็นก็จะเกิดเอง การสร้างสรรค์ของจริงก็จะตามมาเอง ดังนั้นประเด็นหลักของการใช้ชีวิตจึงเหลือแต่ว่า..

“ทำอย่างไรการใช้ชีวิตในลมหายใจนี้จึงจะเป็นไปอย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

23 พฤศจิกายน 2566

มะเร็งเต้านม ยาฉีดกดรังไข่ และการเป็นนักร้อง

(ภาพวันนี้ / ความรกบนโต๊ะหลังอาหารเช้า)

อยากขอความกรุณา รบกวนปรึกษาคุณหมอครับ

เรื่องมีความจำเป็นที่ทางคนไข้ต้องใช้ยากดการทำงานของรังไข่ในการช่วยรักษามะเร็งหรือไม่ครับ ประวัติการรักษาของภรรยาผม ตามรายละเอียดนี้ครับ คนไข้ผู้หญิง อายุ 45 ปี แต่งงานมีลูก 1 คน อายุ ตอนที่เป็น 43 ปี ตรวจเจอมะเร็งที่เต้านมด้านซ้าย ขนาด 2.5 ซม. ( ตรวจเจอ ต้นเดือน ธค.63 ผ่าตัด ปลายเดือน ธค.63) เป็นชนิด มีตัวรับฮอร์โมน ER: Positive strong intensity, > 90% of tumor cells, PR: Positive, moderate to strong intensity, 30-40% of tumor cells, HER-2: Equivocal, score 2+ (weak to moderate complete membrane staining, 20-30% of tumor cells) K167: 24.3% รักษาโดยการ ผ่าตัดยกเต้าออกหมด ไม่มีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ รักษาให้ยา คีโม น้ำแดง 4 เข็ม หมอให้ทานยา Tamoxifen ต่ออีก 5 ปี ( ทานมาตั้งแต่ เมย.64 ประมาณ 1.7 ปี)

อยากจะรบกวนสอบถาม ว่าควรจะฉีดยา Goserelin หรือ Goserelin acetate (ตามบทความ และ ตามงานวิจัย ที่แนบมานี้) หรือเปล่าครับ  

ขอบพระคุณมากครับ

………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าหญิงอายุ 45 ปีเป็นมะเร็งเต้านมชนิดมีตัวรับฮอร์โมนเพศ ได้รับการรักษาตามสูตรปกติคือผ่าตัด เคมีบำบัด ยาล็อคเป้า (ทาม็อกซิเฟน) ครบแล้ว แต่กังขาว่าความจะฉีดยา Goserelin ควบคู่ไปด้วยเพื่อลดการกลับเป็นใหม่ไหม ตอบว่าหากชั่งน้ำหนักประโยชน์และความเสี่ยงของยาโดยไม่คำนึงถึงเรื่องเงินในกระเป๋า การฉีดยานี้มีประโยชน์คุ้มกับความเสี่ยง และควรฉีดครับ (ปล. เมื่อคำนวณความเสี่ยง ให้นับ “เซ็กซ์เสื่อม” ที่จะเกิดจากยานี้ด้วย)

2.. ถามว่าการมีอายุน้อย (มีประจำเดือนอยู่) ก็ดี การมีตัวรับฮอร์โมน (ER, PR, HER-2) อยู่ในก้อนมะเร็งก็ดี มันเกี่ยวกับการควรหรือไม่ควรฉีดยา Goserelin อย่างไร ตอบว่ามะเร็งเต้านมจะเติบโตดีหากมีสองอย่างพร้อมกันคือมีตัวรับฮอร์โมนเพศอยู่ในก้อนมะเร็ง และมีฮอร์โมนเพศในกระแสเลือด ทั้งสองกรณีนี้เป็นกรณีที่เหมาะในการใช้ทั้งยาทาม็อกซิเฟนซึ่งออกฤทธิ์ปิดตัวรับฮอร์โมนที่ก้อนเนื้องอก และยา Goserelin ซึ่งออกฤทธิ์ลดการสร้างฮอร์โมนจากรังไข่ ยาทั้งสองตัวจึงลดการกลับเป็นใหม่ของมะเร็งเต้านมในผู้ป่วยอายุน้อยและเป็นมะเร็งชนิดมีตัวรับฮอร์โมนได้

3.. ถามว่ายา Goserelin นี้มันคืออะไร มันออกฤทธิ์อย่างไร ตอบว่ามันคือฮอร์โมนปกติในร่างกายมนุษย์ตัวหนึ่งชื่อ gonadotrophin releasing hormone (GnRH) ที่สกัดมาจากสมองหมู ปกติฮอร์โมนตัวนี้จะถูกปล่อยออกมาจากสมองส่วนไฮโปทาลามัสของมนุษย์ เมื่อปล่อยออกมาแล้ว มันจะไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้ปล่อยฮอร์โมน (FSH, LH) ซึ่งจะไปกระตุ้นรังไข่ให้ตกไข่เหลือเป็นโพรงรังไข่ที่ปล่อยฮอร์โมนเพศ (เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน) ได้ ดังนั้นในเชิงเภสัชวิทยา ยานี้มีฤทธิ์เสริมฮอร์โมน GnRH ภาษาเภสัชเรียกว่าเป็น GnRH agonist

ถามว่า อ้าว..ถ้างั้นยิ่งให้ยามากรังไข่ก็ยิ่งปล่อยฮอร์โมนเพศมาก แล้วมะเร็งมันจะไม่ยิ่งโตระเบิดระเบ้อหรือ ตอบว่าไม่หรอกครับ เพราะกลไกการกระตุ้นรังไข่ของ GnRH นั้นมันจะกระตุ้นได้ก็ต่อเมื่อปล่อย GnRH ออกมาเป็นเป็นช่วงๆ เป็นรอบๆ (pulsatile) เพราะเรื่องเพศนี้ต้องเล่นกันเป็นรอบๆ (cycle) ตามดวงจันทร์ มันจึงจะเวอร์ค แต่ถ้าฉีดยาเข้าไปแบบให้ระดับยาในเลือดสูงอยู่ตลอดเวลามันจะไปกลบรอบหรือ cycle ของการปล่อยฮอร์โมนเพศลง ผลก็คือรังไข่เป็นงง การตกไข่ไม่เกิด จึงไม่มีโพรงรังไข่ที่จะเป็นผู้ผลิตฮอร์โมนเพศเลย

3. ถามว่าการฉีดยา Goserelin มันจะช่วยลดการกลับเป็นมะเร็งซ้ำได้แค่ไหน ตอบว่ามีงานวิจัยรายย่อยในเรื่องนี้มากพอควรซึ่งให้ผลไปทางเดียวกันว่าการฉีดยา Goserelin ในผู้ป่วยอายุน้อยและเป็นมะเร็งชนิดมีตัวรับฮอร์โมน ให้ผลป้องกันการกลับเป็นมะเร็งซ้ำอย่างน้อยก็ดีเท่ากับการฉีดเคมีบำบัด อย่างมากคือได้ผลดีกว่าเคมีบำบัด ทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ส่วนลิงค์ที่คุณส่งมาให้นั้นเป็นงานวิจัยแบบเมตาอานาไลซีสที่เพิ่งนำเสนอในที่ประชุมสมาคมมะเร็งวิทยาคลินิกอเมริกัน (ASCO 2023) ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้เรื่องงานวิจัยนี้มาก่อนจนได้มาเห็นจากลิ้งค์ที่คุณส่งมาให้นี่แหละ ในงานวิจัยนี้ซึ่งสรุปมาจากผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอายุน้อยที่มีตัวรับฮอร์โมน 14,993 คน แบ่งเป็นกลุ่มฉีดกับไม่ฉีด Goserelin แล้วตามดูประมาณ 15 ปี พบว่าในภาพรวมกลุ่มฉีด Goserelin ลดการเกิดกลับเป็นซ้ำ (RRR) ได้มากกว่ากลุ่มไม่ฉีด 12.1% ซึ่งก็ถือว่าลดได้เป็นเนื้อเป็นหนังพอควร คุ้มกับความเสี่ยงจากพิษภัยของยา (ถ้าไม่นับเรื่องค่าใช้จ่ายนะ)

4.. ถามว่าหากยา Goserelin ช่วยลดการกลับเป็นมะเร็งเต้านมในหญิงอายุน้อยและมีตัวรับฮอร์โมนได้ ทำไมยานี้ไม่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติให้ประชาชนใช้ได้ฟรีไม่ต้องซื้อเอง ตอบว่ามันอยู่ในบัญชียาหลักขององค์การอนามัยโลก (WHO essential medicines list) แต่ไม่ได้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย กลไกการบรรจุยาเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติไทยนั้นมันมีปัจจัยแยะ หลักฐานวิทยาศาสตร์นั้นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง มันยังมีปัจจัยอื่นๆอีกเช่น

(1) ฝีมือล็อบบี้ของบริษัทยา ผ่านการสะกิดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

(2) อคติจากความกลัวในใจของกรรมการ ว่าชาติจะเจ๊งหากบรรจุยาแพงเข้ามามาก ความกลัวนี้รวมไปถึงความกลัว “ใจ” ของแพทย์ด้วย เพราะแพทย์มีนิสัยชอบเล่นใต้โต๊ะ หมายความว่าชอบใช้ยาแบบ off label เช่นยา GnRH agonist นี้เป็นตัวเดียวกับที่แพทย์ชอบฉีดให้เด็กเตี้ยอยากสูงด้วย เป็นต้น

(3) ความดังของเสียง “นักร้อง” ในข้อนี้ผมยกตัวอย่างสมัยผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง คนไข้สิทธิประกันสังคมของผมคนหนึ่งเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดที่จะได้ประโยชน์มากหากใช้ยาเคมีบำบัดตัวหนึ่งซึ่งอยู่นอกบัญชียาหลัก ผมร้องโวยวายเป็นตัวหนังสือไปยังกรรมการแพทย์ของประกันสังคมพร้อมแนบหลักฐานวิทยาศาสตร์ไปให้เป็นนัยว่านี่เราจะกำหนดบัญชียาหลักกันตามหลักฐานวิทยาศาสตร์หรือตามผีบอก ในที่สุดกรรมการก็อนุมัติให้ผมใช้ยานั้นได้ (ตอนนี้ยานั้นได้เข้ามาอยู่ในบัญชียาหลักแล้ว) ดังนั้นหากคุณอยากให้ยาที่คุณจำเป็นต้องใช้รักษาภรรยาของคุณเบิกได้ คุณก็ “ร้อง” สิครับ ร้องไปที่ต้นสังกัดของภรรยาคุณ เช่นร้องสป.สช.กรณีภรรยาคุณใช้บัตรทอง แนบหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่คุณมีไปด้วย แนบบทความนี้ของผมไปด้วยก็ได้ สป.สช.ก็จะตัังกรรมการผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาพิจารณา ซึ่งดูตามหลักฐานวิจัยถึงตอนนี้มันแหงๆอยู่แล้วว่าในที่สุดเขาต้องเอายานี้เข้ามาอยู่ในบัญชียาหลัก อย่างน้อยก็เอาเข้ามาแบบเจาะจงจำกัดให้ใช้รักษาเฉพาะคนป่วยมะเร็งเต้านมกลุ่มอายุน้อยและมีตัวรับฮอร์โมนเพศ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Effects of ovarian ablation or suppression on breast cancer recurrence and survival: Patient-level meta-analysis of 14,993 pre-menopausal women in 25 randomized trials. Presentation at ASCO 2023. Accessed at https://meetings.asco.org/abstracts-presentations/218409 on November 23, 2023.
  2. Sa-Nguanraksa D, Krisorakun T, Pongthong W, O-Charoenrat P. Survival outcome of combined GnRH agonist and tamoxifen is comparable to that of sequential adriamycin and cyclophosphamide chemotherapy plus tamoxifen in premenopausal patients with early breast cancer. Mol Clin Oncol. 2019 Nov;11(5):517-522. doi: 10.3892/mco.2019.1913. Epub 2019 Aug 20. PMID: 31620283; PMCID: PMC6787953.
[อ่านต่อ...]

22 พฤศจิกายน 2566

Hoarding Disorder โรคสะสมสมบัติบ้ารกบ้าน

คุณหมอสันต์ครับ

ผมแต่งงานมาสิบห้าปี ไม่มีลูก ผมมีปัญหาปรึกษาคุณหมอเรื่องภรรยาเธอซื้อเสื้อผ้ามากจนห้องนอนห้องหนึ่งใช้ไม่ได้เลยเพราะต้องใช้เก็บเสื้อผ้าแน่นขนัดและรกรุงรังจนเดินเข้าไปไม่ได้ต้องย้ายไปนอนห้องเล็กๆอีกห้องหนึ่ง ห้องครัวก็เหมือนกัน แค่ผมจะเดินเข้าครัวไปหยิบมีดปอกผลไม้ผมก็ลำบากแล้วเพราะข้าวของเครื่องใช้ในห้องครัวมันรกแบบรกรุงรังจนไม่รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน จนผมต้องมีมีดปอกผลไม้ไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของผมเอง ผมเห็นคุณหมอทำโต๊ะห้องครัวเองถ่ายรูปมาให้ดูแล้วมันใช้งานได้หลากหลายแต่เป็นระเบียบเรียบร้อยน่าเอาอย่าง แต่ครัวบ้านผมมันตรงกันข้ามเลยครับ ของบางควรทิ้งเห็นๆเช่นปากกาลูกลื่นหมึกหมดแล้ว ตั๋วรถไฟเก่า ตั๋วเครื่องบินเก่า โบรชัวร์โฆษณาและจั้งค์เมล์ แต่อย่าไปทิ้งของเธอเข้าเชียวนะ จะเป็นเรื่อง ทำไมแฟนผมเป็นอย่างนี้ ผมจะทำอย่างไรดีครับ

เคารพนับถือครับ

…………………………………………………………………

ตอบครับ

1.. อาการที่ภรรยาคุณเป็นนี้ วงการแพทย์ถือว่าเป็นโรคๆหนึ่ง เรียกว่า hoarding disorder แปลว่า “โรคชอบเก็บสมบัติบ้ารกบ้าน” คนละอย่างกับพวกนักสะสมของเก่านะ พวกนั้นเก็บแต่ไม่รก คือจัดเรียงแบบเล่าเรื่องราวเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่โรคแบบภรรยาคุณนี้ต้องรกจึงจะเป็นของแท้ มนุษย์เราเป็นโรคนี้กันทุกคนมากบ้างน้อยบ้าง แต่หากมันมากจนรบกวนคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองหรือของคนใกล้เคียงก็สมควรต้องลงมือแก้ไข

2.. ถามว่าทำไม ม. ของคุณจึงเป็นโรคนี้ ตอบว่าเออ แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ย แม้วงการแพทย์เองก็ยังไม่ทราบคือไม่ทราบสาเหตุ ไม่ทราบกลไกการเกิด และไม่ทราบวิธีรักษาโรคนี้ ทราบแต่ว่าโรคนี้มักพบร่วมกับอาการทางจิตเวชอื่นๆเช่น ซึมเศร้า (depression) ย้ำคิดย้ำทำ (OCD) สมาธิสั้น (ASD) ขี้กังวล (GAD) หรือเป็นโรคบ้าแบบชัดๆเหน่งๆ (schizophrenia) แต่บางครั้งก็มีเหตุชักนำเชิงสิ่งแวดล้อมเช่น รกมาแต่กำเนิด หมายความว่าเติบโตมาในบ้านที่ต้องรกจึงจะหาของเจอ หากไม่รกแล้วจะมีปัญหาหาของไม่เจอ บ้างก็เพราะร่างกายพิการทำให้เก็บข้าวของลำบาก บ้างก็สมองเสื่อมทำให้ไม่มีปัญญาจะจัดหมวดหมู่ข้าวของ บ้างก็อยู่คนเดียวจึงไม่ยี่หระอะไรมาก บ้างก็โสดถาวรไม่แต่งงาน บ้างตอนเด็กอยากมีแล้วไม่มี (เช่นตุ๊กตา) พอโตขึ้นมีเงินซื้อก็มีซะเต็มบ้านเพื่อประชดอดีต บ้างชอบผูกเรื่องราวชีวิตสัมพันธ์กับของที่เก็บ บ้างเป็นพันธ์สุนทรียะเว่อร์วังคือเห็นอะไรก็สวยไปหมดทิ้งไม่ได้จึงเก็บไว้หมด บ้างเป็นโรคเก็บสมบัติบ้าชนิดพันธุกรรม คือพ่อหรือแม่เป็นก่อนแล้วลูกจึงเป็น

พูดถึงพันธุกรรม มันอาจฝังแฝงมานานในสายวิวัฒนาการอันไกลโพ้นแล้วก็ได้ เพราะสัตว์ก็เป็นโรคนี้ นานมาแล้วมีหมาจรจัดมาอาศัยผมอยู่ตัวหนึ่ง ผมตั้งชื่อว่าเจ้าโมเช่ เพราะขนรอบตาข้างหนึ่งของมันเป็นสีดำเหมือนเอาผ้าปิดตาปิดไว้ข้างเดียวแบบนายพลโมเช่ ดายัน ผู้นำอิสารเอลสมัยก่อน เจ้าโมเช่นี้เป็นโรคบ้าเก็บสมบัติ ให้อะไรอร่อยๆมันกินมันจะกินครึ่งเดียวแล้วเอาอีกครึ่งไปฝังดินกลบไว้แล้วเอาตีนหน้าปั๊มดินเป็นตราอายัดห้ามเปิดไว้ ผมแอบสังเกตดูพบว่ามีน้อยครั้งมากที่มันจะนึกขึ้นได้แล้วมาขุดของที่ฝังไว้ไปใช้ ทั้งชีวิตมันจึงมีแต่เก็บ เก็บ และเก็บ

3.. ถามว่าจะรักษาโรคชอบเก็บสมบัติบ้าอย่างไร ตอบว่าไม่ทราบครับ เพราะวิชาแพทย์ยังไม่พบวิธีรักษา ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้คือการทำจิตบำบัดแบบ CBT (cognitive behavior therapy) ซึ่งต้องพบกับนักบำบัดบ่อยๆนานหลายเดือนหรือหลายปี รักษากันไปด้วยการพูดคุย ภาพใหญ่คือพูดให้คิดใหม่ทำใหม่ ของจริงมีรายละเอียดแยะ รู้สึกผมจะเคยเขียนถึง CBT ในบล็อกนี้ไปแล้ว วันนี้ขอไม่เจาะลึกดีกว่า อีกอย่างหนึ่งเมืองไทยยังมีนักจิดบำบัดแนวนี้อยู่น้อยมาก ถ้าไปหาจิตแพทย์โดยตรงเขาก็มักจะให้กินยาควบกับการพูดคุยไปด้วย การรักษาทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง อย่างที่ผมบอกแล้ว วิธีรักษามาตรฐานยังไม่มีใครค้นพบ

วิธีของหมอสันต์คือให้ตั้งใจฝึกสติสมาธิวางความคิดลูกเดียว เพราะความอยากซื้ออยากสะสมเป็นความคิด หากวางความคิดเป็น ความอยากซื้ออยากสะสมก็จะถูกวางลงไปเอง วิธีของหมอสันต์นี้มีข้อจำกัดตรงที่ว่าต้องใช้โดยเจ้าตัวเท่านั้น จะให้คนอื่นใช้แทนตัวเองมันไม่ได้ ในกรณีของคุณนี้ ตัวคุณไม่ได้บ้าซื้อบ้าเก็บ แต่ภรรยาบ้าซื้อบ้าเก็บ ดังนั้นถ้าคุณแนะนำชักชวนให้เธอฝึกสติสมาธิแล้วเธอไม่เอาด้วยก็..จบข่าว หิ..หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

21 พฤศจิกายน 2566

นักเรียน SR : หลุดพ้นจากกรงความคิดแล้วขี้ลืม

ผมนักเรียน SR นะครับ สอบถามครับอ.
หลังเรียนกับอ.ไป ผมก็ไปtakeอีกคลาสอีก1ปีให้หลังเป็นการเดินปัญญาสไตล์เคลื่อนไหว ทำต่อเนื่องจนเป็นลูกโซ่จนบังเอิญหลุดจากกรงความคิดแบบอัตโนมัติ พบว่าตัวเบาหวิวอะไรที่เคยแบกไว้หายหมดเกลี้ยงเป็นปลิดทิ้ง ความหวาดกลัว ความวิตกไม่มีอีกแล้วในชีวิต เดิมทีก่อนหน้านี้ผมเป็นคนรักการผจญภัยแต่ชอบแบกอะไรไว้ไม่อยากให้พังลงตลอด ยกตัวอย่างเช่น ผมลืมของสำคัญอย่างมือถือยากมาก มันจะคิดตลอดว่าเอาไปยัง ห้ามลืมนะบลาๆ แต่เดี๋ยวนี้หลังออกจากกรงความคิดชนิดเชือกขาด(เกิดการออกเองอัตโนมัติ) ทำให้ผมไม่กลัว กังวลหรือคิดอะไรยาว ทำให้ผมลืมของบ่อย เพราะเหมือนมันไม่มีความพะวงแล้ว ไปกินข้าวแม่ต้องคอยเก็บของให้หลายรอบแล้ว 2-3 วันมานี้ ทั้งมือถือและกระเป๋าสตางค์ ล่าสุดที่พีคและฮาที่สุดคือ ไปเติมน้ำมันที่ปั้มและแม่ลงไปซื้อของแล้วผมกำลังจะขับรถออกจากปั้ม พ่อต้องทักว่าให้หยุดเพราะลืมแม่ !!!

ตึ่งโป๊ะ

กรณีนี้ทำอะไรเพิ่มดีครับอ. ถ้าเทียบกับความคิดอะไร pop up ขึ้นมาแล้วทำเลย กับการจดบันทึก หรืออ.มีทางออกอื่นแนะนำได้เลยครับ

ขอบคุณมากครับอ.

……………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าปลดแอกตัวเองออกจากความคิดที่ทำให้ทุกข์ได้แล้ว แต่กลายเป็นคนขี้ลืม ทำไงดี ตอบว่าประเด็นสำคัญคือการเปลี่ยนตัวตน (change identity) จากคนที่มีความคิดแยะนุงนัง มาเป็นคนที่เป็นอิสระจากความคิดนุงนังเหล่านั้น ในอีกด้านหนึ่งก็คือการเปลี่ยนรูปแบบของการใช้ชีวิตจากแบบ multi-tasking มาเป็นการใช้ชีวิตแบบ one thing at the time ซึ่งมันก็ต้องมีการปรับตัวบ้างเป็นธรรมดา

ไม่มีรูปแบบหรือวิธีรับมือกับเรื่องนี้ที่เป็นมาตรฐาน ผมก็ได้แต่แชร์ประสบการณ์ของผม ตัวช่วยที่ผมเลือกใช้ก็มีตั้งแต่

(1) mental check list คือท่องเรื่องในใจที่ใช้บ่อย เช่นก่อนออกจากบ้านต้องมีกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ กุญแจ แว่นตา.. เป็นต้น

(2) work instruction ในเรื่องสำคัญที่ซับซ้อนแต่ไม่ได้ใช้บ่อย เช่นการเติมเงินทางด่วนทางอินเตอร์เน็ท การใช้กล้องถ่ายรูปในโหมด manual เป็นต้น โดยจดเป็นหัวข้อสั้นๆไว้ในโทรศัพท์มือถือ

(3) ให้ ม. เป็นเลขาคอยดูตารางนัดหมายแล้วเตือน วิธีนี้รู้สึกจะเวอร์คสุด หิ..หิ

(4) เปลี่ยนการทำงานทั้งหมดมาทำทีละขณะ แม้ในงานเดียวนั้นก็แกะมาทำทีละขณะ เช่นเวลาผมขับรถ ผมเลียนแบบเพื่อนที่เป็นกัปตันเครื่องบินเขาสอนไว้ คือผมเช็คเป็นระยะว่าผมออกเดินทางมาจากไหน กำลังจะไปไหน ตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ไหน ไม่ไปยุ่งกับความคิดใดๆที่จะแทรกเข้ามาระหว่างขับรถเลย โทรศัพท์มาก็ไม่รับ ใครจะว่าไงก็ช่าง (ขอบคุณที่ผมไม่ต้องผ่าตัดหัวใจแล้วเพราะสมัยโน้นโทรศัพท์ดังทีผมก็ผวาทีเพราะกลัวคนไข้ที่ผ่าไว้จะเป็นอะไรไป) หรืออย่างเช่นเวลาผมหัดสีไวโอลิน ผมสีไปทีละตัวโน้ต อย่างเก่งก็เล็งไว้ว่าตัวถัดไปผมจะสีโน้ตตัวไหน ผมไม่เคยคิดข้ามช็อตไปถึงว่าเมื่อไหร่เพลงจะจบและมันจะจบยังไงเลย

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าจะทำงานได้น้อยลงนะ ผมกลับทำงานได้มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ทุกวันนี้ผมมีงานค้างท่ออยู่ร่วมยี่สิบเรื่อง แต่ทั้งหมดนั้นมันไม่รบกวนวิธีใช้ชีวิตแบบ “ทีละขณะ” ของผมเลย

2.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้เพราะมันมีความสำคัญ คือการได้หลุดจากความคิดพลั้วะ.. เข้าไปอยู่ในความรู้ตัวแบบคนละโลกกับชีวิตเดิม เป็นโอกาสที่ดีของชีวิต ให้คุณใส่ใจใช้เวลาไปกับการจดจำและจุ่มแช่ตัวเองอยู่ในนั้นให้นานที่สุด เหมือนคุณถ่ายวิดิโอแล้วพบฉากที่สวยถูกใจให้คุณ “ฟรีซเฟรม” อยู่ตรงนั้นให้นานที่สุด เพราะการหลุดเข้ามาแบบนี้อีกแป๊บมันก็จะหลุดออกไป ถ้าคุณจำมันไม่ได้ หรือไม่ใส่ใจจุ่มแช่ทำความรู้จักให้ลึกซึ้งเมื่อได้เข้ามาแล้ว หากหลุดออกไปคราวนี้คุณหาทางให้ตายก็ไม่พบทางที่จะกลับเข้ามาได้ง่ายๆ

3.. คุณพูดถึงการไปฝึกตามดูการเคลื่อนไหวขึ้นมาก็ดีแล้ว ผมอยากจะถือโอกาสนี้บอกแฟนบล็อกทุกท่านว่ามันเป็นวิธีฝึกวางความคิดที่ดีมากอีกวิธีหนึ่ง ถ้าคุณเป็นชาวพุทธ เทศนาในวันมาฆะบูชาที่เรียกว่า “โอวาทะปาฏิโมกข์” มีสาระหลักพูดถึงหกขั้นตอนของการบรรลุธรรม ว่าประกอบด้วย

(1) การเป็นคนนิ่ง (ขันติ) มีอะไรให้นิ่งไว้ก่อน พูดง่ายๆว่าอย่าผลีผลามสนองตอบต่อสิ่งเร้าไปโดยอัตโนมัติ

(2) การเป็นผู้มีวินัย หรือมีศีล อยู่กับคนอื่นเขาได้ไม่ทำให้ใครเขาเดือดร้อนเพราะสัญชาติญาณแบบสัตว์ของเรา

(3) การสำรวมในอายตนะ หมายถึงการเฝ้าดูตาหูจมูกลิ้นผิวหนังและใจว่ามีอะไรโผล่มาทางไหนบ้าง เพราะถ้าไม่เฝ้าดูเราก็จะถูกลากไปโดยไม่รู้ตัว

(4) การรู้ประมาณในการกิน เมื่อไม่กี่วันมานี้มีสมาชิก SR คนหนึ่งบอกว่ามาอยู่ในรีทรีตแล้วความคิดน้อยลงมากฝึกอะไรก็ง่าย และเขาสรุปว่าเป็นเพราะเขากินน้อยลงไม่มีอิ่มแน่นอึดอัดเลย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความจริง

(5) การตามดูทุกอริยาบทการเคลื่อนไหว การนอน นั่ง ยืน เดิน เหลียว ดู คู้ เหยียด ตามดูรู้ตัวหมด นี่แหละที่ผมอยากจะไฮไลท์ว่ามันเป็นวิธีที่ดีมากวิธีหนึ่ง

(6) การทำอาณาปานสติ หมายถึงหาที่เงียบๆนั่งขัดสมาธิหลับตาตามดูลมหายใจทิ้งความคิดเข้าไปอยู่ในความรู้ตัว

ทั้งหกขั้นตอนนี้มันเจ๋งจริงๆ เมื่อคุณพูดขึ้นมา ผมจึงถือโอกาสเอามาไฮไลท์ตอกย้ำยืนยันให้แฟนบล็อกเห็น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

20 พฤศจิกายน 2566

พยาบาลไม่รู้จักโรค IBS จะผิดมากไหม โถ..หมอก็ไม่รู้จักเหมือนกัน

เรียน อจ สันต์ ที่เคารพ
ดิฉันอายุ 58 ปีเป็นพยาบาลวิชาชีพมา35ปี ขอเรียนอาจารย์อย่างไม่อายว่าไม่เคยรู้จักโรคนี้มาก่อนค่ะ   เมื่อ1ปี10แดือนก่อนได้กินอาหารอิ่มมากวันต่อมามีอาการแน่นท้องมีลมบริเวฌใต้ลิ้นปี่ หายใจไม่สะดวกไปรับการรักษาได้ยาลดกรด ยาขับลม ยาแก้ท้องอืด  อินยาไป 10 วันอาการไม่ทุเลายังมีอาการแน่นท้อง หลังกินอาหารมีลมแต่เรอไม่ออก   จึงไปรับการรักษากับแพทย์GI  ได้ยาคล้ายๆกับครั้งแรกมากิน กินยาไปสองสัปดาห์อาการไม่ทุเลาน้ำหนักลดจาก 50 กิโลเหลือ 45 กิโล  แพทย์จึงพิจารณาทำEGD Colonoscope  ทำแล้วผลปกติค่ะ  แพทย์จึงให้ยาTranxine  De anxit.  กินยาสองตัวนี้อาการดีวันดีคืนค่ะ   กินยานี้ประมาณสามเดือนน้ำหนักขึ้นไป 50 กิโลเท่าเดิมค่ะอาการแน่นท้องหลังกินอาหารหายไปแต่ลมยังมีเยอะอยู่แต่สามารถเรอออกได้   แพทย์จึงถอนยาออกเหลือเฉพาะTranxine กินวันเว้นวัน  ตอนนั้นแพทย์บอกว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารแปปรวน  หลังถอนยาได้สี่วันได้กินก๋วยเตียวใส่พริกนำ้าส้มแล้วมีอาการถ่ายเหลว3ครั้งต่อวันเป็นอยู่2วัน อาการแน่นท้อง  ลมเพิ่มขึันหลังกินอาหารก็กลับมาใหม่ไปพบแพทย์ให้Antibiotic ยาลดการเกร็งของระบบทางเดินอาหาร Tranxine. Deenxit    แพทย์บอกว่าเป็นลำไส้แปรแปรวน IBS  กินยาไปหนึ่งเดือนอาการไม่ดีขึ้นเลยแถมยังมีอาการไม่ถ่ายอุจจาระห้าวัน   
กินอาหารได้น้อยลงนำ้หนักเริ่มลด จึงตัดสินใจไปพบแพทย์GI ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศใครใครก็รู้จักท่าน รักษากับแพทย์ท่านนี้มาได้ปีกว่า  ระหว่างการรักษาปรับยาหลายครั้งอาการทรงกับทรุดทรุด  ไม่ดีขึ้น  อาการจะทรุดลงเมื่อกินอาหารผิดไปเช่นกินข้าวผัดที่ข้าวสวยมากๆหลังกินรู้สึกแน่นท้องจุกเสียดจะแน่นมากบริเวณใต้ลิ้นปี่  วันถัดถัดมาก็จะกินอาหารได้น้อยลงแล้วต้องเปลี่ยนเป็นอาหารอ่อนเป็นอย่างนี้เป็นแ
รมเดือนอาการถึงจะดีตึ้นแต่ถึงแม้ว่าจะดีขึ้นก็ไมสามารถกินอาหารได้มากทำให้น้ำกนักไม่ขึ้น
5เดือนก่อนกินหมูเนื้อแดงสับเคี้ยวละเอียดหลังกินมีอาการแน่นท้อง ลมซึ่งมีอยู่เสมอเพิ่มขึ้น ต้องกินอาหารปั่นซึ่งก็กินได้น้อย  1เดือนผ่านไปอาการไม่ดีขึ้นนำ้หนักลดไป3กก ผิวหมองคลำ้เล็บเท้าเป็นคลื่นไม่เรียบผมร่วง  ได้ไปพบแพทย์GI  ขอปรึกษาเรื่องจะพัฒนาภาวะโภชนาการได้อย่างไร ไม่ได้คำตอบค่ะ ในใจคิดว่าคงงต้องตายเพราะภาวะขาดสารอาหารนทำให้รู้สึกอ่อนเพลียมาก   จึงไปพบแพทย์โภชนาการ  แพทย์ได้แนะนำให้ลองกินนมยี่ห้อหนึ่งและอาหารเสริม กินได้2เดือนนำ้หนักขึ้น2กก   7 สัปดาห์ก่อนกินฟักทองที่นึ่งค้างไว้ในตู้เย็นทำให้ท้องอืดมีลมเยอะลมจะวิ่งบริเวฌท้องน้อยถ่ายอุจจาระยังปกติจึงกินส้มไป1ลูก(ซึ่งเป็น”ืนส้มที่กินอยู่ทุกวัน)    รุ่งเช้าถ่ายเหลว ถ่าย1ครั้งต่อวันประมาณ1สัปดาห์อาการไม่ดีขึ้นไปพบแพทย์GI. ให้Antibioticมากินต่อมาอีก8วันอุจาระจึงเป็นก้อน  อาการแน่นท้องหลังอาหารยังคงอยู่นมที่เคยกินได้กลับกินไม่ได้ปวดท้องแม้ว่าจะกินเพียง1ช้อน(ช่วงท้องเสียได้หยุดกินนม)
2สัปดาห์ก่อนได้ไปเจาะเลือดดูภูมิแพ้อาหารแฝงแพทย์แนะนำให้งดอาหารที่แพ้มาก(สีแดง)3~6เดือน ที่ก่ำกึ่ง(สีเหลือง)1เดือน  เหื่อให้ลำไส้ได้ฟื้นตัวไม่แพ้กินได้เลย   และกินโปรไบโอติก
10วันก่อนกินปลาต้มไม่ทราบว่าใส่เต้าเจี้ยว กินนำ้าแกง3ช้อน1ชม หลังจากนั้นถ่ายเหลว1ครั้งวันถัดมามีอาการปวดท้องบริเวณท้องเหมือนปวดตอนท้องเสีย ปปวดประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะหายไปแต่ไม่ถ่าย เป็นเช่นนี้อยู่ห้าวันอาการปวดท้องหายไปแต่อาการแน่นท้องหลังกินอาหารยังคงอยู่ลักษณะของอุจจาระถึงแม้จะไม่เหลวแต่ก็แฉะแฉะไม่ค่อยเป็นก้อนยังไม่ปกติจนถึงทุกวันนี้
ได้อ่านที่อาจารย์ตอบคำถามของผู้ป่วยอายุ65ปีที่มืลมมากรู้สึกคล้ายของตัวเอง
เรียนปรึกษาอาจารย์  ในข้อ 4.4 กินพืชอย่างเดียว อีก6 เดือนช้าไปมั้ยค่ะ  การตรวจภูมิแพ้อาหารแฝงเชื่อถือได้มั้ยคะ
ขอบพระคุณค่ะ

………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าเป็นพยาบาลไม่รู้จักโรค IBS ผิดมากไหม ตอบว่าไม่ผิดดอกครับ เพราะแพทย์ทุกคนในโลกนี้ก็ไม่มีใครรู้จักโรคนี้มากพอที่จะรักษามันได้ ชื่อ IBS นี้ย่อมาจากคำเต็มว่า irritable bowel syndrome คำว่า “syndrome” ที่ต่อท้ายนั้นแปลเป็นภาษาไทยว่า “ไม่รู้สาเหตุ ไม่รู้วิธีรักษา” ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คุณจะเจอว่าหมอคนนั้นว่าอย่างนั้นหมอคนนี้ว่าอย่างนี้ เพราะไม่มีใครรู้จริงสักคน หมอสันต์ก็ไม่รู้ ทางเดียวที่คุณจะรับมือกับโรคนี้ก็คือทดลองกับตัวเอง ใครว่าอะไรดีเอามาลองหมด ไม่ดีก็ทิ้งไป ดีก็เก็บเอาไว้ใช้ อย่าหวังพึ่งแพทย์จ่ายยาเม็ดให้แบบกินแล้วหายเลย เพราะยานั้นไม่มี

2.. ถามว่าถ้าจะลองกินแต่พืชอย่างเดียวอีกหกเดือนข้างหน้าจะสายเกินไปไหม ตอบว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเร็วเกินไปหรือสายเกินไปหรอกครับ เพราะทุกอย่างเกิดที่เดี๋ยวนี้ทั้งนั้น ชีวิตนี้จึงมีแต่พอดีๆ ให้คุณเลือกเอาแบบที่ชอบๆ เลือกเอาแบบที่สบายใจ

3.. ถามว่าจะไปตรวจภูมิแพ้อาหารแฝงจะมีประโยชน์ไหม ตอบว่าสินค้าทางด้านสุขภาพทุกวันนี้พากันตั้งชื่อให้ดูเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อเพิ่มกลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุดในเวลาเร็วที่สุด เพราะนานไปเมื่อคนรู้ไส้ว่าสินค้านั้นบ่มิกไก๊แล้วก็จะเลิกซื้อ ค่อยไปหาสินค้าตัวใหม่มาตั้งชื่อใหม่ ผมตอบคำถามของคุณว่าผมไม่ทราบหรอกครับ และไม่มีแพทย์คนไหนทราบด้วย เพราะไม่เคยมีงานวิจัยระดับเชื่อถือได้เรื่องผลของการใช้ภูมิแพ้อาหารแฝงในการรักษาโรค IBS ตีพิมพ์ไว้แม้แต่งานเดียว ผมบอกคุณได้สองอย่างเท่านั้น (1) จะลองอะไรก็ลองได้ทั้งนั้น แต่ให้ถือเอาตัวชี้วัดสุดท้ายสองตัวคือน้ำหนักเพิ่มขึ้นและคุณภาพชีวิตดีขึ้น หากไปตรวจและทำตามคำแนะนำแล้วพบว่านี่ก็กินไม่ได้นั่นก็กินไม่ได้และน้ำหนักยิ่งลดลง วิธีนั้นก็ใช้ไม่ได้ครับ (2) โรค IBS นี้หากมีหมอคนไหนค้นพบสาเหตุและวิธีรักษาที่ได้ผลจริง หมอคนนั้นต้องได้รางวัลโนเบลไปแล้วแน่นอนครับ

4.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ หลายปีมาแล้วมีแฟนบล็อกตัวเป็นๆเขียนมาหาและเล่าเรื่องโรคของเธอซึ่งเป็นโรคเดียวกับคุณ ผมเอามาลงซ้ำให้คุณได้อ่าน เผื่อจะมีประโยชน์

……………………………………………..

“…ชื่อจิ๊บค่ะ

อายุ 61 ปี น้ำหนัก 39.5 กก. ส่วนสูง 151 ซม. วัดดัชนีมวลกายได้ 17.3 ต่ำกว่ามาตรฐานต่ำสุดคือ 18.5 โขอยู่ แต่แม้จะผอมก็ยังมีไขมันในเลือดสูง คือ LDL 163 มาเข้าแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (REBY-17) หมอตรวจแล้วสรุปเรียงปัญหาได้หกอย่างคือ

  1. ดัชนีมวลกายต่ำ
  2. กระดูกพรุน
  3. ลำไส้แปรปรวน
  4. ภูมิแพ้
  5. นอนไม่หลับ (primary insomnia)
  6. ไขมันเลือดสูง

พอกลับจากแค้มป์ก็เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองตามที่เรียนมา การจะปรับเปลี่ยนตัวเองจำเป็นต้องตั้งคำถาม เราต้องมีเป้าหมายว่า ทำไปทำไม กินแพลนท์เบสทำไม ออกกำลังกายทำไม ต้องตอบได้ รู้คำตอบแล้วลงมือทำ อันที่จริง ก็ทำมาบ้างแล้ว คือกินผัก ผลไม้มากๆ เนื้อสัตว์น้อยที่สุด ออกกำลังด้วยการเดินให้ได้ย่างน้อย 10,000 ก้าว ต่อเมื่อไปเข้าแคมป์ พลิกผันโรคด้วยตนเอง RD17 จึงได้รู้ว่า การกินของตนเองไม่ถูกหลัก ทั้งปริมาณ และคุณภาพ การออกกำลังกายก็ เช่นกัน เดิน เกือบทุกวัน วันละประมาณ 40-45 นาที แต่ไม่ได้ฝึกกล้ามเนื้อต่างๆ อย่างที่ สว.ควรฝึก

หลังจาก รับวิทยายุทธจากหมอสันต์ที่แคมป์(8-12ตค.63) ก็เริ่มปรับเปลี่ยนอย่างเอาจริง

การกิน

1) กินถั่วต่างๆในมื้ออาหารให้ได้สารพัดถั่ว ให้ครบทุกมื้อ หาซื้อมาเรียงใส่ขวดไว้ จะกินถั่วชนิดใดบ้างก็นำออกมาแช่น้ำ 24 ชม. แล้วต้ม ใส่ภาชนะเก็บเข้าตู้เย็น ส่วนอาหารว่าง ก็ไม่พ้นถั่วเปลือกแข็ง ไปหามาอบ เก็บใส่ขวด ตักกินแทนขนม (หากถั่วแข็งๆจะส่งผลต่อฟัน ควรบดให้ละเอียด) อาจมีอย่างอื่นบ้าง แต่หลักๆคือถั่วเปลือกแข็ง เรียงไว้บนโต๊ะกินข้าวนะแหละ ตั้งแต่ตั้งใจกินถั่วต่างๆ ให้ได้ทุกมื้อภูมิแพ้ที่เป็นอยู่หายไป ไม่ปรากฎอาการแอ้มๆที่คอ น้ำมูกแทบไม่มารบกวน อาการลำไส้แปรปรวน(ปวดท้อง)ก็หายไปเลย (3 เดือนแล้ว)

2)ผักสด/ผลไม้ พยายามให้ได้ 3-5 serve/วัน กินผักสดด้วยการทำสลัดเสียเป็นส่วนใหญ่ (ได้ใช้จินตนาการในการจัดผัก หั่นแครอทเพื่อเพิ่มสีสรรให้น่ากิน อีกด้วย มีของเล่นทุกวัน ว่างั้นเหอะ) วันใดน้ำสลัดงาขาวหมดเกลี้ยง ก็แก้ปัญหาโดยนำอัลมอนด์ หรืองาดำทดมาแทน ได้คิดค้น อะไรใหม่ๆไม่จำเจ

  1. ข้าวกล้อง และหรือเส้นก๋วยเตี๋ยวกล้อง กินเป็นประจำอยู่แล้ว.กินต่อไป จะดีมากหากหุงแล้วแพคใส่ภาชนะเก็บในฟรีซ จะกินเมื่อใด นำออกมาอุ่นได้ทันที

4.กินของทอดให้น้อยที่สุด เจียวไข่ก็ใช้กะทะเทฟรอน หรือผัดผักใส่กระเทียมบุบ จะมีน้ำมันออกมาจากกระเทียม พอไม่ให้ติดกะทะ หรือหากจะทอดใช้หม้อทอดไร้น้ำมัน แต่ไม่ควรใช้บ่อยนัก เพราะหม้อทอดไร้น้ำมันใช้ความร้อนสูงมาก

การออกกำลัง

1)เนื่องจากมีปัญหากระดูกพรุน หมอสันต์แนะนำให้ออกแดดอย่างน้อย 30 นาที/วัน 5วัน/wk จึงตั้งใจออกไปเดินให้ได้ตามหมอสั่ง และจัดเวลาเดินออกกำลังช่วงเย็นหรือค่ำ เพื่อให้จำนวนก้าวเกิน 10500ก้าว/วัน

2) หมอสันต์แนะนำให้สว. ฝึกสร้างกล้ามเนื้อ จึงพยายามทำ สลับวันระหว่าง กล้ามเนื้อแขน ไหล่ อก หลัง กับกล้ามเนื้อขา น่อง สะโพก

3) และฝึกการออกกำลังการเสริมการทรงตัว โดยมีคัมภีร์เล่มใหญ่ที่หมอแจกให้เป็นแนวทางในการฝึก

การเข้านอน

พยายามให้ตรงเวลา แม้นจะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่การตื่นกลางดึกไปเข้าห้องน้ำ แทบไม่ปรากฏ(เมื่อเทียบกับแต่เดิมที่ไม่เคยออกแดด) ออกแดดแล้วทำให้หลับสบาย หลับง่ายขึ้นเป็นเรื่องจริงที่ประสบด้วยตนเอง

ผลลัพธ์

ผ่านมาได้หลายเดือน น้ำหนักคืบขึ้นมาพ้นหลักสี่แล้ว คือ 40.94 กก. ไขมันเลว LDL ลดลงจาก 163 เหลือ 143 อาการนอนไม่หลับดีขึ้นเพราะได้ออกแดด อาการสำไส้แปรปรวนหายสนิท อาการภูมิแพ้​หายสนิท

สำคัญที่…

ทั้งนี้ ทั้งนั้น วินัยสำคัญมาก ใครจะแซว จะล้อ จะทักว่ามากเกินไป (เดิน) หรือไม่กลัวดำ ไม่ต้องสนใจ เป้าหมายเราสำคัญที่สุด ให้สัจจะแม้กับตนเองก็ละทิ้งไม่ได้ ที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง คือมีฉันทะ มีความพอใจในการทำ การปรุง การไปหาซื้อ เตรียมต่าง ทำให้สนุก การออกกำลังก็เช่นกัน อย่างที่ผู้รู้สอน นั่นแหละ คืออยู่กับปัจจุบัน รู้ตัวว่าทำอะไร สุขภาพดีหาซื้อไม่ได้จริงๆค่ะ ต้องลงมือทำเอง แต่จะให้ดี สุขภาพจะดีต้องมีผู้ไกด์ ที่เป็นผู้รู้จริง และเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ขอขอบพระคุณ คุณหมอสันต์ คุณหมอสมวงศ์ ใจยอดศิลป์ ที่จัดแคมป์คุณภาพชั้นเลิศ นี้ค่ะ

จิ๊บ…”

…………………………………………………

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

18 พฤศจิกายน 2566

คุณหมอหนุ่มว่า..การเปลี่ยนนิสัยคนไม่ต่างอะไรกับการเอาภูเขายัดใส่ลงในครกเลยครับ

สวัสดีครับอาจารย์ 

ถ้าอาจารย์พอจำได้ เมื่อเกือบ ๆ สามปีก่อนผมเล่าว่า ผมลาออกจากการทำงานเป็นหมอในบริษัท กลับมาเป็นหมอทั่วไปรับใช้ชาติ ก็ได้บทความของอาจารย์นี่ล่ะครับ เป็นแหล่งฟื้นฟูวิชาการ กลับมาตรวจคนไข้อีกครั้งก็เจอปัญหาเหมือนอาจารย์เลยครับว่าถึงเราจะรู้ว่าการจ่ายยาไม่ได้ผล และ TLM คือการรักษาที่แท้จริง แต่  1 on 1 education กับคนไข้และระบบที่ไม่มีความพร้อมนั้นทำได้จำกัดมาก ก็ได้แค่ทำตาม guideline (ที่เรารู้เบื้องหลัง) รักษาตัวเลขไปครับ

ในด้านชีวิตการทำงานก็ดูคนไข้ไปครับ ซึ่งก็พบอุปสรรคเชิงระบบเดิม ๆ ไม่ชอบหรอกครับแต่ก็อยู่กับมันไป ส่วนในเรื่องชีวิตส่วนตัวพอถอยอออกมาดูภาพกว้างของชีวิตก็พบว่าหักโหมมานานจน “พังทั้งกายทั้งใจ” ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจึงต้องฟื้นฟูระบบประสาท parasympathetic กลับมา โดยวิธีที่ใช้คือการเดิน กินอาหารพืชผักเป็นหลัก และ mindfulness practice ซึ่งทำให้ผมพบว่าผมมี psychological trauma  ตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นตัว  drive ชีวิตผมมจนถึงทุกวันนี้ แต่พอเยียวยาตนเองไปได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ จนดีพอควร ปล่อยวางได้ มันเบาสบายมากเลยครับ

จริง ๆ พอช่วง 6-12 เดือนหลัง สภาพจิตใจดีขึ้นแล้ว ร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ก็นึกอยากจะกลับไปทำงานบริษัทหรือโรงพยาบาลอีกครั้ง ก็ไปสัมภาษณ์ หางาน ฯลฯ แต่พอฟังบรรยายของอาจารย์ เรื่อง Health and Well being for Executive และอ่านหนังสือ “คัมภีร์สุขภาพ” ของอาจารย์ ก็ตัดสินใจได้ครับว่าจะไม่กลับไปทำบริษัทยาหรือไขว่คว้าอะไรมากมายใน reactive health care system อีกแล้ว ยิ่งอ่านก็ยิ่ง in นะ เกิดคำถามว่า “ทุกวันนี้ทำอะไรอยู่?” ลึก ๆ เพราะเพิ่มยาไปเรื่อย ๆ โดยรู้อยู่แก่ใจว่าใส่ complication เข้าไปทั้งนั้นโดยไม่ได้จัดการที่ต้นเหตุจริง ๆ เรื่องนี้เคยลอง educate คนไข้แล้ว แต่การเปลี่ยนนิสัยคนในระบบการทำงานแบบนี้ก็เกิดประสบการณ์ตรงว่าไม่ต่างอะไรกับการเอาภูเขายัดใส่ลงในครกเลยครับ ฮ่า ๆ สุดท้ายแล้วคนเปลี่ยนแปลงได้จริง ๆ ก็มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นเอง เพราะคนอื่นและระบบนั้นอยู่นอกอำนาจของเรา จะไปห้ามไปบังคับก็ไม่ต่างอะไรกับการห้ามมหาสมุทรไม่ให้มีคลื่น ดังนั้นก็ “ทำใจ” ถือว่าเป็นแบบฝึกหัดการฝึกจิตที่ดีทีเดียว

สักปีหน้าจะหาโอกาสไปเรียน GHBY กับอาจารย์ให้ได้ครับ คงมีโอกาสได้ไหว้อาจารย์ ผู้เป็นบุคคลต้นแบบของผมอีกท่านหนึ่ง ขอบพระคุณอาจารย์มากที่ทำ page ทำ FB ทำ Youtube ซึ่งช่วยคนได้เยอะเลยครับ ผมเองก้เป็นหนึ่งในนั้น

กราบของพระคุณอาจารย์มาก ๆ ครับ

………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ที่คุณหมอเล่าว่าสุดท้ายคนเปลี่ยนนิสัยได้สำเร็จมีคนเดียว คือตัวคุณหมอเอง นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสุดยอดเลยนะครับ ผมขอถือโอกาสนี้ทบทวนเนื้อหาจดหมายของสมเด็จพระราชบิดา (มหิดล ณ สงขลา) ลงวันที่ 4 กพ. 2471 ซึ่งที่มีไปถึงสมาชิกสโมสรแพทย์จุฬาฯ อีกครั้ง ว่า

“…ท่านไม่ควรเรียนวิชานี้ขึ้นใจแล้วใช้เป็นเครื่องมือหากินเท่านั้น ควรเก็บคำสอนใส่ใจและประพฤติตาม ผู้ที่จะบำบัดทุกข์ต้องเป็นตัวอย่างความประพฤติซึ่งจะนำมาแห่งสุขภาพ แพทย์ที่ไม่ประพฤติตามวิธีที่ตัวสอนแก่คนไข้แล้ว จะหาความไว้วางใจจากคนไข้ได้อย่างไร

แพทย์ผู้ที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนทำ และพูดหลอกให้คนไข้เชื่อนั้น คือแพทย์ทุจริตที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “แคว๊ค” ถึงแม้ผู้นั้นจะได้รับการศึกษาวิทยาศาสตร์

ท่านนายแพทย์บุนเดสเซนได้กล่าวว่านักสุขวิทยาทุกคนจะต้องอยู่กินเป็นตัวอย่างสุขภาพ จึงจะเป็นพ่อค้าความสุขดี..”

จับความแค่เท่าที่คุณหมอเล่ามา ตอนนี้คุณหมอก็ประสบความสำเร็จตามนัยของจดหมายนี้ของผู้ที่พวกเรายอมรับว่าเป็นบิดาของวงการแพทย์ไทยแล้วนะครับ เป็นเรื่องที่ผมต้องขอแสดงความชื่นชม

2. ที่คุณหมอว่าการจะช่วยให้ผู้ป่วยเปลี่ยนนิสัยการกินการใช้ชีวิตนั้นช่างยากราวกับเอาภูเขายัดลงใส่ครก ผมเข้าใจครับ ที่มันยากปานนั้นก็เพราะแพทย์เราไม่รู้วิธีช่วยคนให้เปลี่ยนนิสัย ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์การเปลี่ยนนิสัยคนก็มีงานวิจัยเปรียบเทียบเห็นผลชัดแจ้งอยู่แล้วว่าแบบไหนได้ผล แบบไหนไม่ได้ผล แต่แพทย์เราก็ยังตะบันใช้วิธีที่เราถนัด คือ สอน สั่ง แนะนำ ให้ข้อมูล ยกตัวอย่าง จี้จิก บังคับ ซึ่งวิธีแบบนี้งานวิจัยก็ได้พิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วว่ามันเปลี่ยนนิสัยคนไม่ได้ เหตุหลักที่คนจะเปลี่ยนนิสัยได้มีอย่างเดียว คือพลังความบันดาลใจในตัวเขา แพทย์จะต้องเรียนรู้หลักวิชาโค้ชซึ่งเป็นวิธี “แคะ” เอาพลังความบันดาลใจในตัวเขาเองออกมาไฮไลท์ให้เขาเห็น

ผมเคยเข้าเรียนการเป็นโค้ชกับ NBHWC (National Board Health and Wellness Coaching) ตอนที่สอบเราต้องสอบเป็นโค้ชให้คนไข้จริง จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่ก่อนที่เราจะจับคนไข้ตกลงทำสัญญาโค้ชกันเราต้องบอกเขาก่อนว่าเราจะโค้ชเขาอย่างไร (coaching process -CP) ซึ่งมีประเด็นหลักอยู่ 15 ประเด็น คือเราต้องพูดสรุปทั้ง 15 ประเด็นนี้ให้คนไข้ฟังก่อน ซึ่งผมจะเอาที่ผมพูดตอนสอบมาแปลเป็นภาษาไทยเล่าให้คุณฟังนะ เพราะว่าตรงนี้มันจะทำให้คุณหมอเข้าใจได้ง่ายๆว่าการโค้ชให้คนไข้เปลี่ยนนิสัย กับการเป็นหมอแบบคอย สอน สั่ง แนะนำจี้จิก นั้น มันต่างกันอย่างไร

“.. ก่อนที่เราจะตกลงทำสัญญาว่าคุณจะให้ผมเป็นโค้ชให้คุณครั้งนี้ ผมขออนุญาตอธิบายวิธีโค้ชของผมก่อนนะ ว่า..

ผมจะทำงานร่วมกับคุณแบบเพื่อนที่เสมอภาคกันโดยให้คุณเป็นผู้ชี้นำ โดยผมถือว่าคุณรู้จักตัวคุณเองดีกว่าผมและคุณมีพลังในตัวเองที่จะแก้ปัญหาของตัวเองได้อยู่แล้ว

เราจะใช้บรรยากาศการทำงานด้วยกันแบบอบอุ่นเป็นกันเอง

ผมจะเป็นคนตั้งใจฟังคุณพูดเสียเป็นส่วนใหญ่

โดยบางครั้งผมอาจจะขอตอกย้ำยืนยันบางเรื่องบางประเด็นที่คุณได้พูดออกมาแล้วบ้าง

และบางครั้งผมจะขอเก็บเอาคำพูดของคุณเองมาสะท้อนเป็นคำพูดของผมกลับมาให้คุณตรวจสอบว่าผมเข้าใจคุณถูกต้องไหม

ผมอาจจะถามอะไรซอกแซกด้วยความอยากรู้บ้าง

และจะชักชวนให้คุณสรุปความเป็นไปได้และทางเลือกต่างๆเพื่อขมวดมากำหนดเป็นเป้าหมายของงานครั้งนี้

โดยผมอาจจะขออนุญาตแนะนำแหล่งข้อมูลหากผมคิดว่าจะมีประโยชน์กับคุณ

เพื่อให้คุณกำหนดเป้าหมายและขั้นตอนปฏิบัติสู่เป้าหมายด้วยตัวคุณเองได้รัดกุมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ผมจะชักชวนคุณมาสู่ทางคิดบวกเสมอ

แต่ผมจะเคารพการตัดสินใจเลือกว่าจะทำอะไร จะไม่ทำอะไรของคุณทุกครั้ง

เพียงแค่บางครั้งผมอาจขอชี้ให้คุณเห็นถ้าบางอย่างบางเรื่องที่คุณปักใจเชื่อว่าคุณทำไม่ได้นั้นมันมีหลักฐานชี้ชัดว่าคุณทำได้

ผมอาจจะหาตัวช่วยมาเสนอเช่นการพบกับคนอื่นหรือการเข้ากลุ่มถ้าผมเห็นว่ามันจะช่วยคุณได้

ผมอาจจะชักชวนให้คุณทดลองสิ่งใหม่ๆเพื่อให้ค้นพบสิ่งใหม่ๆในตัวเอง

และจะคอยเชียร์ให้คุณเดินหน้า แม้ล้มแล้วก็จะเชียร์ให้ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า

ทั้งหมดนี้คือวิธีที่ผมจะโค้ชคุณ…”

คุณหมอลองเอาคอนเซ็พท์ของการโค้ชที่ผมพูดกับคนไข้ตอนสอบนี้ไปใช้กับคนไข้จริงดูนะครับ แล้วจะเห็นว่าการช่วยคนให้เปลี่ยนนิสัยสำเร็จนั้นมันไม่ยากเกินไป และเมื่อเราช่วยเขาได้แล้ว ชีวิตของเขาดีขึ้นทันตาเห็น เราจะมีความสุขกับการทำอาชีพนี้เพิ่มจากเดิมอีกร้อยเท่าพันทวี

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

 

[อ่านต่อ...]

17 พฤศจิกายน 2566

วันใหม่คือชีวิตใหม่ วันนี้คือชั่วชีวิต

(หมอสันต์พูดกับสมาชิก SR-34)

เช้าวันนี้ผมจะให้เล่นเกมเล็กๆเกมหนึ่งชื่อว่า “วันใหม่คือชีวิตใหม่ วันนี้คือชั่วชีวิต”

เราทุกคนมาที่นี่เพื่อเสาะหาวิธีและฝึกปฏิบัติทักษะที่จะทำให้ชีวิตเราเป็นสุข นั่นหมายความว่าเราต้องการชีวิตใหม่ที่แตกต่างไปจากชีวิตเดิมที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ดังนั้นในเกมนี้เราจะไม่คิดอย่างที่เคยคิดในอดีต เราจะไม่ทำอย่างที่เคยทำในอดีต งานวิจัยทางจิตวิทยาพบว่าความคิดวันนี้ 90% เหมือนความคิดเมื่อวานนี้ ถ้าหากเราเอาแต่คิดแบบเดิมๆ ตัดสินใจเลือกแบบเดิมๆ ทำอะไรแบบเดิมๆ มีอารมณ์แบบเดิมๆอยู่อย่างนี้ แล้วชีวิตของเราที่มีความทุกข์จะเปลี่ยนเป็นชีวิตใหม่ที่มีความสุขได้อย่างไร

เกมนี้เราจะเล่นกันเป็นขั้นๆนะ จะใช้เวลารวมทั้งหมดสักสามสิบนาที

ขัั้นที่ 1. ผมจะให้ทุกคนนั่งคุยกับตัวเองก่อน แบบ self dialogue คุณจะจดข้อสรุปที่ได้จากการคุยลงสมุด หรือจะใช้วิธีจำไว้ในหัวก็ได้ ประเด็นที่ผมอยากจะให้สรุปให้ได้จากการคุยกับตัวเองมีสี่ประเด็น คือ

ข้อ 1. เมื่อวานนี้คุณมีร่างกายแบบนี้ ในอนาคตคุณอยากเปลี่ยนให้ร่างกายของคุณเป็นแบบใด

ข้อ 2. เมื่อวานนี้คุณมีบุคลิกแบบนี้ ในอนาคตคุณอยากเปลี่ยนบุคลิกของคุณไปเป็นแบบไหน

ข้อ 3. เมื่อวานนี้คุณเป็นคนมีอารมณ์อย่างนี้ ในอนาคตคุณอยากเปลี่ยนไปเป็นคนมีอารมณ์แบบไหน

ข้อ 4. ผมแถมให้คุณเลือกประเด็นเองได้ จะเป็นเรื่องสุขภาพ ความสุขในชีวิต ความหมายในชีวิต การมีชีวิตที่มีประโยชน์ มีคุณค่า คุณอยากได้อะไรข้อนี้คุณเลือกเองตามใจชอบ เอาเฉพาะเรื่องของตัวเองนะ อย่าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น

สี่ข้อนะ 1. ร่างกาย 2. บุคลิค 3. อารมณ์ และ 4. ประเด็นแถม ผมให้คุณนั่งหลับตาสัมนากับตัวเองให้ลงตัวก่อน ผมให้เวลา 5 นาที ผมจะตีระฆังทุกนาทีเพื่อดึงให้คนที่เผลอใจลอยให้หันกลับมาทำการบ้าน

(เคาะระฆังรัว)

ขั้นที่ 2.

คราวนี้ผมจะให้คุณซ้อมการเป็นคนใหม่ในวันนี้ เพราะเราเพิ่งอยู่ตอนเช้าของวันใหม่ วันใหม่คือชีวิตใหม่ ซึ่งก็คือวันนี้ และวันนี้คือชั่วชีวิต จำชื่อเกมได้นะ “วันใหม่คือชีวิตใหม่ วันนี้คือชั่วชีวิต” ดังนั้นเอาแค่วันนี้วันเดียว ผมจะให้คุณซ้อมโดยการนั่งหลับตาสร้างจินตนภาพเอาตั้งแต่ว่าเมื่อจบการฝึกครึ่งชั่วโมงตอนเช้าที่สนามหญ้านี้แล้ว คุณจะลุกขึ้นจากตรงนี้ไปด้วยบุคลิกท่าทางแบบไหน จะเคลื่อนไหวอย่างไร จะคิดอย่างไร จะพูดอย่างไร ให้คุณซ้อมเฉพาะบทสำคัญที่จะทำในวันนี้ไว้ เอาเฉพาะบทไฮไลท์ก็พอ คุณจะจดไว้ในหัวว่าเป็นบท 1, 2, 3, 4, 5 … ก็ได้ ผมให้เวลาคุณซ้อม 5 นาที โดยผมจะเคาะระฆังเตือนสติทุกนาที

(เคาะระฆังรัว)

ขั้นที่ 3.

คราวนี้เราจะนั่งสมาธิกันจริงๆซึ่งจะใช้เวลา 15 นาทีโดยมีเป้าหมายที่จะวางความคิดทิ้งไปให้หมดเหลือแต่ความรู้ตัว ห้ามคิดห้ามซ้อมอะไรอีกแล้ว เจตนาการทำสมาธิคือเราจะ set zero หมายความว่าล้างเรื่องเก่าทิ้งหมดเพื่อลงไปตั้งต้นเช้าวันใหม่ที่เลขศูนย์เลย ให้คุณเหยียดแข้งเหยียดขา วอร์มตัวเองก่อนได้ ในการนั่งสมาธิเช้านี้เราจะผสมผสานเครื่องมือวางความคิดที่เราได้ฝึกปฏิบัติไปบ้างแล้วเมื่อวานนี้สี่อย่างเข้าด้วยกัน คือ 1. ความสนใจ (attention) 2. การผ่อนคลาย (relaxation) 3. การหายใจ (breathing) 4. การรับรู้พลังชีวิต (body scan) เราเพิ่งเรียนมาแค่นี้เราก็จะใช้แค่นี้ก่อน

เอ้าพร้อมนะ มาเริ่มกันเลย

เราจะเริ่มด้วยการเอาความสนใจมาตามรับรู้ลมหายใจ เป็นการควบเครื่องมือสองชิ้นแรกเข้าด้วยกัน หายใจเข้ารู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก

ขั้นต่อไปเราจะผ่อนคลายร่างกายในทุกจังหวะการหายใจ หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้ ยิ้มที่มุมปาก หายใจออก ผ่อนคลายร่างกาย ใครถนัดนับก็ให้ใช้วิธีนับ 4-4-8 เข้า 1, 2, 3, 4 กลั้นไว้ 1, 2, 3, 4 ออก 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ผ่อนคลาย relax ผ่อนคลายใบหน้า ยิ้ม ผ่อนคลายคอบ่าไหล

ขั้นต่อไปเราจะเอาการรับรู้พลังชีวิตหรือ body scan เข้ามาร่วมกับสามเครื่องมือแรก เราจะใช้สูตร “สูดลม กองลม กระจายลม” สูดลมก็คือสูดหายใจเข้าลึกๆ กองลมก็คือกลั้นหายใจไว้นิดหนึ่ง จินตนาการว่าเอาลมไปกองไว้ในตัวจะกองไว้ที่ในอกหรือในท้องก็ตามสะดวก กระจายลมก็คือหายใจออกพร้อมกับรับรู้ความรู้สึกวูบวาบซู่ซ่าที่แผ่สร้านออกไปจากตัวผ่านทุกรูขุมขน ซึ่งสื่อถึงการเคลื่อนไหวของพลังชีวิต

ถึงตอนนี้เราควบรวมเครื่องมือสี่แล้วอย่างนะ ความสนใจ การหายใจ การผ่อนคลาย และการรับรู้พลังชีวิต

มีความคิดโผล่ขึ้นมา เราไม่สนใจ หันหลังให้ สนใจแค่การใช้สี่เครื่องมือผสมกันเพื่อวางความคิดให้สำเร็จเท่านั้น

(เคาะระฆังรัว)

ขั้นที่ 4.

โอเค. เรานั่งสมาธิกันมาครบ 15 นาทีแล้ว คราวนี้ผมจะให้คุณลุกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตในวันนี้ตามที่คุณได้ซ้อมไว้แล้ว ทำแบบจริงจังแต่ผ่อนคลายสบายๆ ถ้าลืมเผลอไม่ได้ทำก็ไม่เป็นไร คิดขึ้นได้ก็ทำซะใหม่ เน้นเฉพาะบทไฮไลท์ที่คุณจดจำไว้ว่าจะทำ แล้วเรามีนัดจะพบกันอีกทีตอนสี่โมงเย็นเพื่อมาทำขั้นที่ห้าด้วยกัน ซึ่งใน

ขั้นที่ 5.

ผมจะให้คุณใช้เวลาอีก 5 นาที นั่งสัมนากับตัวเองว่าในการเล่นเกมในชีวิตจริงที่ผ่านมาตลอดวันนี้มันผิดแผกไปจากที่ซ้อมไว้ขณะนั่งสมาธิเมื่อเช้านี้ตรงไหนบ้าง มันไม่สำเร็จตรงไหน มันหลุดไปตรงไหน ครั้งต่อไปหากจะทำให้สำเร็จควรจะแก้ไขมันอย่างไร คือให้คุณทำตัวเป็นนักวอลเลย์บอลทีมชาติที่ฉายวิดิโอดูตัวเองกำลังตบตีลูกอย่างจดจ่อซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อแก้ไขความบกพร่องและลีลาการเล่นของตัวเอง สัมนากับตัวเองให้จบก่อน ให้ได้แนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมก่อน ต่อจากนั้นหลับตาซ้อมการแก้ไขนี้สักพักแล้วจดจำไว้ เราจะเล่นเกมนี้ทุกเช้าและเย็น ตลอดสามสี่วันที่เราอยู่ด้วยกันที่นี่

ทั้งหมดห้าขั้นตอนนะ และอย่าลืมสโลแกนของเกม

“วันใหม่คือชีวิตใหม่

วันนี้คือชั่วชีวิต”

หมายความว่าในการเล่นเกมนี้ให้ลืมอดีตไปซะ หันมาโรม้านซ์กับความมหัศจรรย์ของเดี๋ยวนี้ ของวันนี้ เอาชีวิตนี้เป็นเครื่องทดลอง มองหาความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆในชีวิตเมื่อเริ่มทดลอง นี่เป็นความสนุกของเกมนี้

เลิกโทษคนอื่นและสิ่งรอบตัวเสียด้วย บอกตัวเองว่าความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในหัวฉัน ตัวฉันเป็นผู้รับผิดชอบและเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นแต่ผู้เดียว คนอื่นไม่เกี่ยว เมื่อคุณเป็นผู้สร้างทุกอย่างขึ้นในชีวิตของคุณเอง คุณก็ต้องตั้งใจอย่างแรง ใส่อารมณ์เต็มที่ ในการจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในวันนี้ สาธิตสอนแสดงชีวิตใหม่ในสมาธิเช้านี้ แล้วเอาไปใช้ในชีวิตจริงวันนี้

ในการเล่นเกมนี้ผู้ที่จะทำให้คุณแพ้เกมคือความอึดอัดต่อต้านจากร่างกายและความคิดหรืออัตตาของคุณ มันต่อต้านสิ่งที่มันไม่คุ้นเคย มันอยากกลับไปสู่ความคุ้นเคยเดิมๆ ร่างกายจะเริ่มมีอิทธิพลต่อความคิด ความคิดจะพาคุณกลับไปสู่การคิดแบบเดิมๆ พูดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ แล้วคุณก็จะแพ้เกม..ระวัง!

แต่หากคุณเล่นจนชนะเกม คุณจะได้เข้าไปสู่พื้นที่ที่คุณไม่เคยไม่รู้จัก จะมีพลังงานไหลเข้ามา จะมีความรู้สึกดีๆเกิดขึ้นในตัวคุณเองโดยไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์แวดล้อมภายนอก นั่นคือได้คุณพบกับอิสรภาพ คุณเป็นอิสระจากเรื่องราวในชีวิตและแรงกดดันรอบตัว คุณจะทำนายอนาคตของคุณเองได้อย่างแม่นยำ เพราะคุณเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองแบบวันต่อวัน

ส่วน “เมื่อวานนี้” และ “วันพรุ่งนี้” เราไม่พูดถึง เพราะ

“วันใหม่คือชีวิตใหม่ วันนี้คือชั่วชีวิต”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

16 พฤศจิกายน 2566

หนังสือคัมภีร์สุขภาพดี พิมพ์ครั้งที่ 2 เสร็จแล้ว มีขายแล้ว

การซื้อไม่ต้องจอง ใช้วิธีซื้อเองทางไลน์ “หนังสือหมอสันต์” โดยพิมพ์ Line ID ชื่อ @healthylife (โปรดสังเกตว่ามีตัว @ ด้วย และใช้อักษรตัวเล็กเขียนติดกันหมด) ไม่วางตามร้านหนังสือเพราะจะทำให้ราคาหนังสือสูงขึ้น กรณีไลน์มีปัญหาให้โทรศัพท์หาหมอสมวงศ์ (0868882521) หรือเขียนอีเมลหา (somwong10@gmail.com) หรือติดต่อทางเฟซบุ้คเพจ (นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์) แต่ไม่ว่าจะติดต่อเข้ามาทางไหน ท้ายที่สุดก็ยังต้องไปซื้อขายกันที่ไลน์ที่เดียว

การชำระเงินจำเป็นต้องทำตามที่ไลน์เขากำหนด คือจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิต และแอป mobile banking ของไลน์เอง ทางไลน์ไม่อนุญาตให้ผู้ซื้อโอนเงินตรงเข้าบัญชีผู้ขายแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นหากท่านจะซื้อหนังสือผมรบกวนให้ท่านทำรายการเองและเลือกวิธีจ่ายเงินที่ไลน์เปิดให้เลือกได้เลย หากสั่งซื้อแล้วมีปัญหาท่านก็ยังสามารถแจ้งไลน์ @healthylife ให้ช่วยแก้ปัญหาได้อยู่เหมือนเดิมครับ

หนังสือมีขนาดใหญ่หน่อย (19 x26 ซม.) หนา 423 หน้า พิมพ์สี่สีเพราะมีภาพประกอบแยะ พิมพ์ด้วยอักษรตัวโต แต่ก็คุมน้ำหนักไว้ที่ 750 กรัมเพื่อให้ผู้สูงวัยถือนอนอ่านได้ ขายในราคาเล่มละ 495 บาท ส่งให้ฟรี

สำหรับท่านที่ยังไม่เคยทราบรายละเอียดของหนังสือนี้ ผมได้ก๊อปคำนำและสารบัญของหนังสือมาลงไว้ให้ดูท้ายนี้ด้วย

…………………………………………………………

ชื่อหนังสือ คัมภีร์สุขภาพดี   (Healthy Life Bible)

“….คำนำ ของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

ในวัย 70 ปี ในยุคสมัยที่โรคของคนส่วนใหญ่คือโรคเรื้อรังที่เกิดจากการกินและการใช้ชีวิตซึ่งแพทย์ไม่มีปัญญาที่จะไปรักษาให้หายได้ และหลักฐานวิทยาศาสตร์ก็ล้วนบ่งชี้ไปทางว่าการเปลี่ยนวิธีกินวิธีใช้ชีวิตต่างหากที่จะทำให้ผู้คนหายจากโรคเรื้อรังได้ เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ของผมนี้ สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดก็คือทำอย่างไรจึงจะช่วยให้คนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตัวเองได้ด้วยตัวเอง กล้าเปลี่ยน lifestyle หรือเปลี่ยนวิธีกินวิธีใช้ชีวิตเพื่อให้ตนเองมีสุขภาพดีไม่เป็นโรคเรื้อรัง ที่เป็นแล้วก็หายจากโรคเรื้อรังได้   

นั่นทำให้ผมคิดจะเขียนหนังสือสักเล่มไว้เป็นคู่มือสุขภาพสำหรับคนทั่วไปแบบปูความรู้พื้นฐานเรื่องร่างกายมนุษย์และผลวิจัยเกี่ยวกับโรคเรื้อรังที่สำคัญไว้ให้อย่างหนักแน่น คนในบ้านใครเป็นอะไรหรืออยากรู้อะไรก็มาเปิดอ่านดูได้ทุกเมื่อ สอนวิธีกลั่นกรองข้อมูลหลักฐานวิจัยที่ตีพิมพ์กันอย่างดกดื่นในอินเตอร์เน็ทด้วยว่าอะไรเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ผมคิดมาหลายปีแล้ว แต่มันมาติดตรงที่ผมยังไม่สามารถสื่อเรื่องกลไกการทำงานของร่างกายและกลไกการเกิดโรคเรื้อรังให้เข้าใจง่ายๆได้ จะไม่พูดถึงเรื่องพื้นฐานเหล่านี้ก็ไม่ได้ เพราะสมัยหนึ่งผมเคยไปสอนในชั้นที่ผู้เรียนเป็นกลุ่มแพทย์ที่จบแพทย์จากต่างประเทศแต่สอบใบประกอบโรคศิลป์ไม่ได้สักที พอสอนไปได้ชั่วโมงเดียวผมสรุปได้ทันทีว่าแพทย์เหล่านั้นมีปัญหาตรงที่ความรู้พื้นฐานเรื่องร่างกายมนุษย์ไม่แน่นทำให้สร้างความรู้ต่อยอดไม่ได้ ดังนั้นเมื่อจะเขียนหนังสือเล่มนี้ผมจะต้องมีวิธีสื่อให้ผู้อ่านซึ่งไม่มีพื้นอะไรเลยให้เข้าใจหลักพื้นฐานวิชาแพทย์อย่างถ่องแท้ก่อน การจะสื่อเรื่องยากให้ง่ายมันต้องใช้ภาพช่วยบ้าง ใช้การ์ตูนบ้าง แต่ผมเองวาดภาพไม่เป็น ผมเคยลองจ้างช่างวาดภาพเวชนิทัศน์มาลองวาดให้ก็ไม่ได้อย่างใจ จึงทำได้แค่ “ซุกกิ้ง” คือจับโครงการเขียนหนังสือเล่มนี้ใส่ลิ้นชักไว้ตั้งหลายปี

จนกระทั่งผมได้พบกับคุณหมอมาย นักอาหารบำบัด (พญ.ดร.พิจิกา วัชราภิชาต) ตอนที่พบกันนั้นเธอตั้งรกรากอยู่ที่อังกฤษ มีครอบครัวอยู่ที่นั่น ซื้อบ้านอยู่ที่นั่น ทำงานอยู่ที่นั่น ได้ใบอนุญาตให้เป็นผู้พำนักตลอดชีพ (PR) ของประเทศอังกฤษแล้วด้วย หมอมายนอกจากจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่เรียนมามากทั้งปริญญาแพทย์จากจุฬาและปริญญาโทปริญญาเอกจากมหา’ลัยลอนดอนแล้ว ยังเป็นผู้ที่ได้ศึกษาต่อเนื่องและปฏิบัติด้วยตนเองอย่างลึกซึ้งในเรื่องอาหารบำบัด ยิ่งไปกว่านั้นเธอมีงานอดิเรกเป็นนักวาดภาพวาดการ์ตูนด้วย เมื่อเธอยอมรับคำชวนของผมให้กลับมาทำงานด้วยกันที่เมืองไทย หนังสือเล่มนี้จึงได้เกิด 

ผมมั่นใจว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นคู่มือให้ท่านดูแลสุขภาพตัวเองด้วยตัวเองได้ 99% โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นความรู้ทางการแพทย์มาก่อนเลย มันเป็นหนังสือที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย ใช้เวลาอ่านสั้น จบสมบูรณ์ในแต่ละเรื่องแต่ละตอนโดยไม่ต้องอ่านจนหมดเล่มถึงจะเข้าใจ สงสัยเรื่องใดเมื่อใดก็เปิดอ่านเฉพาะเรื่องนั้นได้เมื่อนั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์…”

สารบัญ Table of content

บทนำ

1. ทำอย่างไรเมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์

1.1 การเรียกรถฉุกเฉิน และแอ็พมือถือ EMS 1669  

1.2 เจ็บหน้าอกแบบด่วน

1.3 อัมพาตเฉียบพลัน

1.4 แพ้แบบเฉียบพลัน (Anaphylaxis)

1.5 หน้ามืด เป็นตะคริว เป็นลม หมดสติ

1.6 ปวดศีรษะเฉียบพลันแบบอันตราย

1.7 ปวดท้องเฉียบพลันและท้องร่วง

1.8 กินสารพิษเข้าไป

1.9 สัมผัสสารพิษ

1.10 แผล ผิวหนังฉีกขาด 

1.11 แผลถลอก

1.12 กระดูกหัก

1.13 การยกย้ายผู้บาดเจ็บ 

1.14 ฟันหัก ฟันหลุด

1.15 สัตว์กัด งูกัด แมลงต่อย

1.16 พิษแมงกะพรุน

1.17 จมน้ำ

1.18 ไฟฟ้าดูด

1.19 บาดเจ็บกล้ามเนื้อ

1.20 ชัก

1.21 วิธีใช้สิทธิเบิกเงิน UCEP ในภาวะฉุกเฉิน

2. ทำความเข้าใจกลไกการเกิดโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อ

2.1 ไมโครไบโอม ชุมชนจุลชีพในลำไส้

2.2 อนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระ

2.3 การอักเสบในร่างกาย

2.4 การสูญเสียดุลยภาพของระบบประสาทอัตโนมัติ

2.5 การดื้อต่ออินซูลิน

3. สุขภาพดีด้วยตนเอง

3.1  โภชนาศาสตร์สมัยใหม่สำหรับทุกคน

3.1.1 คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate)

(1) คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว

(2) คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

(3) ทำไมเราจึงควรเลือกกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน

(4) Resistant starch คืออะไร

3.1.2 เส้นใยอาหาร (Fiber)

(1) เส้นใยแบบละลายน้ำได้

(2) เส้นใยแบบละลายน้ำไม่ได้

(3) ทำไมเราจึงควรเลือกกินอาหารที่มีเส้นใย

3.1.3 ไขมัน (Fat)

(1) ไขมันแบบอิ่มตัว (Saturated fat)

(2) ไขมันแบบไม่อิ่มตัว (Unsaturated fat)

3.1.4 ไขมันแบบไม่อิ่มตัว

(1) ไขมันแบบไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fat)

(2) ไขมันแบบไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated fat)

3.1.5 ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับไขมันที่ควรรู้

ประเด็นที่ 1. แคลอรีจากไขมัน

ประเด็นที่ 2. การกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว 

ประเด็นที่ 3. การก่อโรคทางหลอดเลือด 

ประเด็นที่ 4. น้ำมันประกอบอาหารต่างชนิดทนความร้อนไม่เท่ากัน 

ประเด็นที่ 5. เปรียบเทียบน้ำมันมะกอกแบบเวอร์จินกับแบบธรรมดา

3.1.6 คอเลสเตอรอล (Cholesterol)

(1) ไขมันเลว (LDL)

(2) ไขมันดี (HDL)

(3) LDL(C) และ LDL(P) คืออะไร

(4) LDL pattern A และ LDL pattern B คืออะไร

3.1.7 โปรตีน (Protein)

3.1.8 ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับโปรตีนที่ควรรู้

ข้อที่ 1. เข้าใจผิดว่าอาหารโปรตีนต้องได้มาจากเนื้อนมไข่ไก่ปลาหรือสัตว์เท่านั้น

ข้อที่ 2. เข้าใจผิดว่าพืชมีกรดอะมิโนจำเป็นไม่ครบ 

ข้อที่ 3. เข้าใจผิดว่าการขาดโปรตีนเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในทางโภชนาการ

3.1.9 ผลเสียของโปรตีนจากสัตว์

3.1.10  แคลอรี (Calorie)

3.1.11 วิตามิน (Vitamins)

3.1.12 ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับวิตามินที่ควรรู้

          ข้อที่ 1. เข้าใจผิดว่าพืชมีวิตามินไม่ครบ

ข้อที่ 2. เข้าใจผิดว่าวิตามินสกัดเม็ดมีคุณสมบัติเหมือนกับวิตามินที่พบในอาหารธรรมชาติ

ข้อที่ 3. เข้าใจผิดว่าการกินวิตามินเสริมไม่มีโทษ

3.1.13 แร่ธาตุ (Minerals)

(1) ธาตุหลัก (Major elements) 

(2) ธาตุเล็กธาตุน้อย (Trace elements)

3.1.14 น้ำ

(1) ทำไมเราต้องดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน

(2) เราควรดื่มน้ำวันละเท่าไร

3.1.15 Prebiotic 

3.1.16 Probiotic 

3.1.17 พฤกษาเคมี (Phytonutrients) 

3.1.18 โภชนาการที่ดีหน้าตาเป็นอย่างไร

3.1.19 รูปแบบอาหารที่ใช้พืชเป็นหลักและไขมันต่ำ

3.1.20 อาหารรูปแบบเมดิเตอเรเนียน (Mediterranean)

3.1.21 DASH อาหารรักษาความดันเลือดสูง

3.1.22 โภชนาการสำหรับแม่และเด็ก

3.2 การออกกำลังกาย

3.2.1 ประโยชน์ของการออกกำลังกาย

3.2.2 ชนิดของการออกกำลังกาย

3.2.3 มาตรฐานของการออกกำลังกาย

3.2.4 การประเมินตนเองก่อนออกกำลังกาย

3.2.5 การออกกำลังกายแบบแอโรบิก

3.2.6 กลุ่มกล้ามเนื้อพื้นฐานของร่างกาย

3.2.7 ระยะ (phase) ของการออกแรงกล้ามเนื้อ

3.2.8 การออกกำลังกายแบบยืดหยุ่น(flexibility)

3.2.9 การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

3.2.10 การออกกำลังกายเพื่อเสริมการทรงตัว

3.2.11 การออกกำลังกายแก้ไขออฟฟิศซินโดรม

3.2.12 ความปลอดภัยของการออกกำลังกาย

3.3 การจัดการความเครียด

3.3.1 ทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบประสาทอัตโนมัติ ANS (Autonomic nervous system)

3.3.2 Simplest meditation เทคนิคการวางความคิดแบบง่ายที่สุด

3.3.3 เทคนิคการตัดกระแสความคิด

3.3.4 Identity การสำนึกว่าเป็นบุคคล

3.3.5 Self inquiry เทคนิคการสอบสวนและลงทะเบียนความคิด

3.3.6 Body scan พลังชีวิตและการรับรู้พลังชีวิต

3.3.7 Concentrative meditation การฝึกสมาธิและเข้าฌาน

3.3.8 Breathing meditation อานาปานสติ

3.3.9 Coping with pain การรับมือกับอาการปวดด้วยวิธีทำสมาธิ

          3.4 การนอนหลับ

3.5 การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบข้าง

3.6 Simple-8 ดัชนีสุขภาพสำคัญ 8 ตัวง่ายๆ 

          3.6.1 น้ำหนัก (ดัชนีมวลกาย)

3.6.2 ความดันเลือด

3.6.3 ไขมันในเลือด

3.6.4 น้ำตาลในเลือด

3.6.5 จำนวนผักผลไม้ที่กินต่อวัน

3.6.6 เวลาที่ใช้ออกกำลังกายต่อสัปดาห์

3.6.7 การสูบบุหรี่

3.6.8 การนอนหลับ

3.7 Tiny Habit การสร้างนิสัยใหม่ด้วยการทำนิดเดียว

3.8 การตรวจสุขภาพประจำปีและฉีดวัคซีนป้องกันโรค 

3.9 ระยะสุดท้ายของชีวิต

4. พลิกผันโรคด้วยตนเอง         

          4.1 โรคหลอดเลือดแดงแข็ง ต้นทางของโรคเรื้อรัง

4.2 โรคหัวใจขาดเลือด

                     4.2.1 โรคหัวใจขาดเลือดคืออะไร

                     4.2.2 อาการของโรคหัวใจขาดเลือดเป็นอย่างไร

4.2.3 การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ

4.2.4 การจัดการโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

4.2.5 การจัดการโรคหัวใจขาดเลือดชนิดไม่ด่วน

4.2.6 อาหารสำหรับโรคหัวใจขาดเลือด

4.2.7 การออกกำลังกายสำหรับโรคหัวใจขาดเลือด

4.2.8 การรับมือกับความเครียดเฉียบพลันในโรคหัวใจ

4.2.9 การดื่มแอลกอฮอล์ในโรคหัวใจ

4.2.10 การตัดสินใจว่าจะทำบอลลูน/บายพาสหรือไม่

4.2.11 หัวใจเต้นผิดจังหวะแบบต่างๆ

4.2.12 เครื่องกระตุ้นหัวใจแบบต่างๆ

4.2.13 ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นอย่างไร

4.2.14 การป้องกันการตายกะทันหัน

4.3 โรคความดันเลือดสูง

4.3.1 โรคความดันสูงคืออะไร

4.3.2 นัยสำคัญของความดันเลือดสูง

4.3.3 สาเหตุของความดันเลือดสูง

4.3.4 การวัดความดันด้วยตัวเองอย่างถูกต้อง

4.3.5 ความดันวัดที่บ้านกับที่โรงพยาบาลจะเชื่อตัวไหนดี

4.3.6 อาการของโรคความดันเลือดสูง

4.3.7 วิธีรักษาความดันเลือดสูงด้วยตนเอง

4.3.8 ยารักษาความดันเลือดสูงชนิดต่างๆ

4.3.9 การป้องกันโรคความดันเลือดสูง

4.3.10 ผลวิจัยความดันที่เอาไปพลิกผันโรคให้ตัวเองได้

4.3.11  วิธีลดและเลิกยารักษาความดันเลือดสูง

4.4 โรคเบาหวาน

4.4.1 โรคเบาหวานคืออะไร      

4.4.2 ชนิดของโรคเบาหวาน

4.4.3 กลไกการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1

4.4.4 กลไกการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (การดื้อต่ออินซูลิน)

4.4.5 การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

4.4.6 มายาคติเกี่ยวกับโรคเบาหวาน

4.4.7 วิธีรักษาโรคเบาหวานโดยไม่ใช้ยา

4.4.8 วิธีลดและเลิกยาเบาหวาน

4.5 โรคไขมันในเลือดสูง

                     4.5.1 โรคไขมันในเลือดสูงคืออะไร

4.5.2 การรักษาไขมันในเลือดสูงด้วยตนเอง

4.5.3 ระดับ LDL ที่พึงประสงค์ตามระดับความเสี่ยงแต่ละคน

4.5.4 ความเสี่ยงและประโยชน์ของยาลดไขมัน

4.5.5 การลดและเลิกยาลดไขมัน

4.6 โรคอัมพาต

          4.6.1 โรคอัมพาตคืออะไร

4.6.2 การวินิจฉัยอัมพาตเฉียบพลัน

4.6.3 การจัดการโรคอัมพาตเฉียบพลัน

4.6.4 การฟื้นฟูหลังการเป็นอัมพาต

4.7 โรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์

4.7.1 นิยามโรคสมองเสื่อม

4.7.2 การตรวจคัดกรองโรคอื่นที่อาการคล้ายสมองเสื่อม

4.7.3 การรักษาสมองเสื่อมด้วยตนเอง 

4.7.4 ยารักษาโรคสมองเสื่อม

4.7.5 อย่าเร่งให้ตัวเองเป็นสมองเสื่อมเร็วขึ้น

4.7.6 ยารักษาโรคสมองเสื่อม

4.8 โรคมะเร็ง

                     4.8.1 โรคมะเร็งคืออะไร

4.8.2 สาเหตุของโรคมะเร็ง

4.8.3 การวินิจฉัยโรคมะเร็ง

4.8.4 ข้อมูลเรื่องอาหารกับโรคมะเร็ง

4.8.5 การตรวจคัดกรองมะเร็ง

4.8.6 การรักษามะเร็งตามแบบแพทย์แผนปัจจุบัน

4.8.7 งานวิจัยรักษามะเร็งต่อมลูกหมากด้วยอาหาร

4.8.8 การดูแลรักษาตนเองหลังการผ่าตัดเคมีบำบัดฉายแสง

4.8.9 การแพทย์เลือกในการร่วมรักษามะเร็ง

4.9 โรคอ้วน

4.9.1 นิยามของโรคอ้วน

4.9.2 หลักฐานวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก

4.9.3 การลดน้ำหนักด้วยอาหารพืชเป็นหลัก

4.10 โรคไตเรื้อรัง

4.10.1 นิยามโรคไตเรื้อรังและเกณฑ์วินิจฉัย

4.10.2 การรักษาโรคไตเรื้อด้วยตัวเองตามหลักฐานใหม่

4.10.4 โปตัสเซียมกับโรคไตเรื้อรังระยะต่างๆ

4.10.5 ฟอสเฟตจากอาหารพืชและสัตว์ต่อโรคไตเรื้อรัง

4.10.6 การป้องกันโรคไตเรื้อรัง

4.10.7 การบำบัดทดแทนไตแบบต่างๆ

5. Human body ร่างกายมนุษย์

          5.1 พื้นฐานโครงสร้างทางกายภาพในร่างกายของเรา

5.1.1 อวัยวะ

5.1.2 เนื้อเยื่อ

5.1.3 เซลล์

5.1.4 อวัยวะย่อยในเซลล์ (organelles)

5.1.5 โมเลกุลขนาดใหญ่

5.1.6 โมเลกุลขนาดเล็ก

5.1.7 อะตอม

5.1.8 อิเล็กตรอน โปรตอน และควาร์ก

          5.2 ระบบการทำงานต่างๆในร่างกายของเรา

                     5.2.1 Integumentary system ระบบผิวหนัง

5.2.2 Nervous system ระบบประสาท

5.2.3 Muscular system ระบบกล้ามเนื้อ

5.2.4 Skeletal system ระบบกระดูก

5.2.5 Respiratory system ระบบการหายใจ

5.2.6 Circulatory system ระบบการไหลเวียน

5.2.7 Alimentary system ระบบทางเดินอาหาร

5.2.8 Urinary system ระบบทางเดินปัสสาวะ

5.2.9 Reproductive system ระบบสืบพันธ์

5.2.10 Hematology system ระบบเลือด

5.2.11 Lymphatic system ระบบน้ำเหลือง

5.2.12 Endocrine system ระบบต่อมไร้ท่อ

5.2.13 Microbiomes ชุมชนจุลชีพในร่างกาย

5.2.14 Homeostasis ร่างกายนี้ซ่อมแซมตัวเองได้

6. อาการผิดปกติที่พบบ่อย (Common Symptoms)

6.1 ปวดหัว 

6.2 ไข้ 

6.3 เจ็บคอ 

6.4 คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม 

6.5 ไอ 

6.6 หอบ หายใจไม่อิ่ม 

6.7 ปวดท้อง 

6.8 ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ อาหารไม่ย่อย 

6.9 ท้องเสีย 

6.10 ท้องผูก 

6.11 เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก 

6.12 หน้ามืด เป็นลม 

6.13 หมดสติ 

6.14 ชัก 

6.15 แขนขาอ่อนแรง 

6.16 พูดไม่ชัด 

6.17 ปากเบี้ยว 

6.18 ตามืดเฉียบพลัน 

6.19 ทรงตัวไม่อยู่ 

6.20 ปวดฟัน เสียวฟัน 

6.21 ปวดท้องเมนส์ 

6.22 ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามตัว 

6.23 ปวดกระดูก 

6.24 ปวดนิ้วมือ ปวดข้อมือ 

6.25 ปวดหู 

6.26 ปวดต้นคอ ปวดคอ 

6.27 ปวดหัวไหล่ 

6.28 ปวดหลังปวดเอว 

6.29 ปวดสะโพก 

6.30 ปวดเข่า 

6.31 ปวดน่อง 

6.32 ปวดข้อเท้า 

6.33 ปวดส้นเท้า 

6.34 ปวดฝ่าเท้า 

6.35 ปวดนิ้วเท้า 

6.36 ปวดแสบเวลาปัสสาวะ 

6.37 ปวดก้น 

6.38 ปวดอวัยวะเพศ 

6.39 ปวดตอนร่วมเพศ 

6.40 ปวดอัณฑะ 

6.41 เจ็บเต้านม ปวดเต้านม 

6.42 เจ็บตา 

6.43 ก้อนผิดปกติ 

6.44 นอนไม่หลับ 

6.45 นอนกรน 

6.46 อ้วน ลงพุง น้ำหนักเพิ่ม 

6.47 ผอม น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจลด 

6.48 หนาวสั่น 

6.49 ไม่สบาย 

6.50 อ่อนเพลีย เปลี้ยล้า ไม่มีแรง 

6.51 ลื่นตกหกล้มง่าย 

6.52 หลังค่อม 

6.53 ซีด โลหิตจาง 

6.54 ดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง 

6.55 เขียว เล็บเขียว ปากเขียว มือเขียว 

6.56 บวม 

6.57 เหน็บ / ชา 

6.58 สะอึก 

6.59 ผิวสีคล้ำ 

6.60 ลมพิษ 

6.61 จ้ำเลือด 

6.62 ผมร่วง 

6.63 รังแค 

6.64 ใจสั่น / ใจเต้นเร็ว 

6.65 ตะคริว 

6.66 มือสั่น 

6.67 เวียนหัว บ้านหมุน 

6.68 ขี้หลงขี้ลืม 

6.69 เมารถเมาเรือ 

6.70 เลือดกำเดาไหล 

6.71 จมูกไม่ได้กลิ่น 

6.72 แผลในปาก ร้อนใน 

6.73 กลิ่นปาก 

6.74 น้ำลายไหลจากมุมปาก 

6.75 เสียงแหบ 

6.76 กลืนลำบาก 

6.77 คลื่นไส้ / อาเจียน 

6.78 เรอเปรี้ยว / กรดไหลย้อน 

6.79 เบื่ออาหาร 

6.80 ถ่ายดำ ถ่ายเป็นเลือด 

6.81 กลั้นอุจจาระไม่อยู่ 

6.82 กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ /ปัสสาวะบ่อย 

6.83 ปัสสาวะเป็นเลือด 

6.84 เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด 

6.85 ประจำเดือนไม่มี / ไม่มา 

6.86 ตกขาว 

6.87 ร้อนวูบวาบ 

6.88 อวัยวะเพศไม่แข็งตัว 

6.89 การคุมกำเนิด 

6.90 ของเหลวหรือน้ำนมไหลจากเต้านม 

6.91 ตามีอะไรลอยไปมา (Floaters) 

6.92 ตาเห็นแสงระยิบระยับ 

6.93 ตาแห้ง 

6.94  ตาโปน 

6.95  ตามัว / ตามืด 

6.96  หนังตาตก 

6.97 เสียงในหู 

6.98 คันหู 

6.99 หูตึง หูหนวก 

6.100 หูน้ำหนวก 

6.101 กังวล / เครียด 

6.102 กลัวเกินเหตุ (panic) 

6.103 ซึมเศร้า (depress) 

6.104 ย้ำคิดย้ำทำ 

6.105 เห็นภาพหลอน / ได้ยินเสียงหลอน

7. การแปลผลการตรวจทางการแพทย์

7.1 CBC การตรวจนับเม็ดเลือด

7.2 UA การตรวจปัสสาวะ

7.3 Blood chemistry การตรวจวิเคราะห์ทางชีวเคมีของเลือด

8. รู้จักใช้หลักฐานวิทยาศาสตร์

9. บรรณานุกรม

10.  เกี่ยวกับผู้เขียน

…………………………………………………………….

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

14 พฤศจิกายน 2566

เรื่องไร้สาระ (34) ห้ามสบตา ห้ามยิ้ม (ตอน2)

อาทิตย์ 5 พย.

ตื่นเช้า แช่น้ำร้อน แล้วลงมากินอาหารเช้าของโรงแรมในชุดยูคะตะรองเท้าแตะเช่นเคย แต่คราวนี้ผมเอาลิงมาแบ้คอัพด้วย เพราะสยองจากโจ๊กที่กัปตันเล่าให้ฟังเมื่อคืน

กัปตันเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งกัปตันกับพวกนักขี่มอไซค์บิ๊กไบค์ด้วยกัน 5 คน พากันมาทัวร์ญี่ปุ่นด้วยการขับบิ๊กไบค์ไปตามชนบทป่าเขาแวะนอนตามโรงแรมเรียวกังเล็กๆซึ่งแต่ละเรียวกังก็มักจะมีหญิงแม่บ้านสูงอายุคนหนึ่งมาคอยดูแลความเรียบร้อยและทำอาหารให้กิน ทีมงานจ้างไกด์เป็นคนญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้และเป็นนักขับบิ๊กไบค์ที่ขับไปด้วยกันด้วย วันหนึ่งเข้าพักในเรียวกังเล็ก ใส่ชุดยูคะตะนั่งล้อมวงดื่มเบียร์และกินอาหารเย็นสรวลเสเฮฮากันอยู่ เห็นแม่บ้านยิ้มๆกระซิบกระซาบกับไกด์เป็นภาษาญี่ปุ่น กัปตันจึงถามไกด์ว่า

“แม่บ้านเธอพูดอะไรแปลให้ฟังหน่อยสิ”

ไกด์แปลเสียงดังฟังชัดพร้อมกับชี้ไปที่สมาชิกคนหนึ่งว่า

“เธอบอกว่าให้เพื่อนคนนั้นนั่งให้เรียบร้อยหน่อย เดี๋ยวคนอื่นเอาตะเกียบคีบผิดคีบถูก”

(ฮ้า..ฮะ..ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)

เสร็จจากมื้อเช้าเราออกไปเดินย่อยอาหารที่สระน้ำร้อนกลางเมือง มีคนสรวมชุดยูคะตะใส่เกี๊ยะหรือรองเท้าแตะออกมาเดินเล่นก่อนเราแล้วจำนวนมาก บ้างนั่งเอาเท้าแช้น้ำร้อนฟรีกันแต่เช้า ควันไอร้อนสีขาวคุกรุ่นไปทั่ว แม้กระทั่งฝาท่อระบายน้ำทิ้งข้างถนนก็มีควันไอร้อนกรุ่นออกมา เมื่อแดดส่องเฉียงๆก็เกิดเงาเป็นความสวยงามอีกแบบ

เมืองฮะคุบะ ในวันฝนตกปรอยๆ อากาศขมุกขมัว

แล้วเราก็ออกเดินทางต่อไป วันนี้ต้องมุ่งหน้าตรงไปยังที่หมายไม่มีการแวะที่ไหน เพราะคุณแจ่มวางแผนจะให้ไปปีนขึ้นเขาสูงไปถึงสระน้ำบนเขาชื่อฮัปโป้ (Happo Pond) ซึ่งแปลว่าสระรูปเลขแปด พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ฝนตกทั้งวัน แต่เราไม่มีทางเลือกต้องขึ้นเขาวันนี้เพราะมันเป็นวันสุดท้ายที่แชร์ลิฟท์จะเปิด เราจำเป็นต้องอาศัยแชร์ลิฟท์เพื่อประหยัดกำลังขาในช่วงแรกและเพื่อให้ไปกลับได้ทันในหนึ่งวัน เราใช้เวลาสองชั่วโมงขับมาถึงเมืองฮะคุบะ (Hakuba) ซึ่งมีวิถีชีวิตดั้งเดิมเป็นเมืองเกษตรกรรมทำไร่ทำนาอยู่ในหุบเขา แต่การใช้เมืองนี้เป็นฐานจัดโอลิมปิกฤดูหนาวในปีค.ศ. 1998 ได้เปลี่ยนเมืองนี้ให้เป็นสกีรีสอร์ทไปอย่างถาวร

ทางเดินขึ้นเขาช่วงแรก หนาวแต่ร้อนจนต้องลอกคราบ

เรามุ่งตรงไปขึ้นแชร์ลิฟท์ซึ่งต้องขึ้นถึงสามทอด ทอดแรกเป็นกระเช้า ทอดที่สองและสามเป็นแชร์ลิฟท์แบบไปยืนรอให้เก้าอี้มาดันก้นก่อนแล้วจึงนั่งลง ขาลุกขึ้นต้องเล็งให้ดีว่าลุกแล้วจะเดินออกไปทางไหน ไม่งั้นโดนเก้าอีตีก้นเอา

พอจบลิฟท์ตัวที่สามคราวนี้ก็เริ่มออกเดิน อากาศครื้มแบบที่ขาเที่ยวเขาเรียกว่า “ฟ้าเน่า” แต่เราไม่ได้มาเอาฟ้า เรามาออกกำลังกาย ทางเดินขึ้นเขาช่วงแรกชัดเจนไม่มีหลง เพราะเป็นทางเดินปูหิน แต่ว่าเป็นหินแบบตะปุ่มตะป่ำต้องค่อยๆเดินไปทีละก้อนไม่งั้นล้ม พอเดินสูงขึ้นไปอากาศเย็นขึ้นๆจนต้นไม้ขึ้นไม่ได้มีแต่เขาหัวโล้นที่อากาศเย็นจัด แต่คนเดินร้อนจนต้องลอกคราบชั้นนอกออก เดินแล้วพัก เดินแล้วพัก ท่ามกลางความขมุกขมัวสลับกับฝนปรอยๆ เดินขึ้นมานานประมาณสองชั่วโมง ในที่สุดเราก็มาถึงที่หมาย คือสระน้ำฮัปโป้ เหนื่อยจนต้องวางเป้ลงนอนแผ่หราอยู่ที่ริมสระ

หมดแรงลงนอนแผ่ เมื่อขึ้นมาถึงสระฮัปโป้ (Happo Pond)

ที่ความสูงเกิน 2000 เมตร บวกอากาศขมุกขมัว ให้บรรยากาศเหนือจริงเล็กน้อย

พักเหนื่อยอ้อยอิ่งจนใกล้เวลาที่แชร์ลิฟท์ตัวสุดท้ายจะลง แล้วก็ถึงเวลาลง คนหนึ่งว่า

“เออคนเราหนอ ขึ้นมาแทบตายแล้วก็ลง แล้วขึ้นมาทำไมเนี่ย” อีกคนตอบว่า

“จะสมัครใจแข็งตายอยู่บนนี้ก็ไม่มีใครว่าอะไรนะ”

ขาลงอากาศเมฆดูจะเปิดให้มีแสงรำไรสลับบ้าง ทำให้มองเห็นวิวภูเขาด้านข้างทางเดินสวยขึ้น

กว่าเราจะลงลิฟท์กลับมาถึงชั้นล่างก็มืดค่ำพอดี ความอ่อนล้าจากการเดินขึ้นเขาลงเขาทั้งวันทำให้ไม่มีใครเรียกร้องจะดูโน่นดูนี่อีก ต่างพร้อมใจกันตรงเข้าที่พัก ซึ่งเป็นอพาร์ตเม้นท์เล็กๆชื่อ Wadano gateway suites and apartment ออกแบบไปทางฝรั่งเพราะเจ้าของเป็นฝรั่ง คุณแจ่มเล่าว่าช่วงโควิดที่ผ่านมาทำให้เจ้าของโรงแรมในฮะคุบะเจ๊งระเนระนาด ต้องขายโรงแรมให้ฝรั่งซึ่งมีลูกค้าขาเล่นสกีประจำอยู่ในมือเป็นแถวๆ

สองหัวแรงในการกู้ปราสาทกลับมาจากความผุ

จันทร์ 6 พย.

วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ตื่นสาย เพราะพยากรณ์บอกว่าฝนจะตกทั้งวันจึงไม่มีเหตุที่จะต้องรีบ ออกจากที่พักเราไปเที่ยวชมปราสาทมัตสุโมะโตะ (Matsumoto castle) ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวหนึ่งชั่วโมง มันเป็นปราสาทไม้ดั้งเดิมหนึ่งในสามแห่งที่หลงเหลืออยู่ในประเทศญี่ปุ่นทีมีอายุรอดมาได้ถึง 400 ปี ความเป็นมาของปราสาทแห่งนี้คือเดิมมันผุเหลาเหย่มากจนเทศบาลขายเชียงกงไปแล้ว แต่มีครูใหญ่คนหนึ่งและกก.อบต.อีกคนหนึ่งสองแรงแข็งขันได้กระตุ้นเร่งเร้าให้ชาวเมืองช่วยกันลงแรงจัดงานหาเงินซื้อปราสาทคืนมาและเอาแรงงานชาวบ้านและเด็กนักเรียนซ่อมปราสาทนี้ขึ้นมาใหม่ ความดีของทั้งสองคุณจึงถูกจารึกไว้ที่ทางเข้าปราสาท

โครงสร้าง พื้น และฝา เป็นไม้หมด

ขึ้นชื่อว่าปราสาท ก็ต้องเต็มไปด้วยค่าย คู ประตู หอรบ ที่ยิงปืน ยิงธนู และการตั้งแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ของยุคสมัยนั้นเป็นธรรมดา แต่สิ่งที่ผมสนใจคือโครงสร้างภายในของปราสาทซึ่งเป็นไม้หมด ดูแล้วช่างละม้ายคล้ายคลึงกับบ้านไม่สักโบราณหลังหนึ่งที่มวกเหล็กวาลเลย์ที่ผมกำลังช่วยญาติซ่อมแซมอยู่ ทำให้มีกำลังใจขึ้นว่าหากตั้งใจซ่อมให้ดีมันอาจจะอยู่ไปได้อีกหลายร้อยปีก็ได้ (ถ้าลูกหลานเขาไม่รื้อทิ้งเสียก่อน)

จบการเดินในปราสาทออกมาข้างนอกแล้ว คณะเขาเร่งรัดว่าจะต้องรีบเดินออกทางนี้ แต่ผมเห็นคนแต่งตัวสวยทะมัดทะแมงน่าถ่ายรูปจึงตอบไปว่า

“เดี๋ยว.. ผมขอถ่ายรูปนินจาสาวก่อน”

เธอคงเดาออกว่าผมพูดถึงเธอ เธอรีบแก้ความเข้าใจผิดให้ทันทีว่า

“I am not a Ninja. I am a Samurai”

“ฉันไม่ใช่นินจา ฉันเป็นซามูไร” ผมรีบขอโทษ

ฉันไม่ใช่นินจา

“ฮู้ย..ย ขอโทษ ขอโทษ ไปลดศักดิ์ชั้นกันลงแบบยอมรับไม่ได้เลย แต่ไหนๆคุณก็ประกาศตัวว่าเป็นใครแล้ว ไหนลองพิสูจน์ให้ผมเห็นหน่อยสิว่าคุณเป็นของจริง”

เท่านั้นแหละ เธอชักมีดาบยาวเฟื้อยออกมาจากฝักอย่างรวดเร็วจนมีเสียงดัง “เควี้ยว..ว” แล้วก็ทำท่าฟาดฟัน จ้วงแทง เร็วและมั่นคง แล้วยกคมดาบขึ้นพาดเสมอลูกตา ก่อนที่จะสอดปลายมีดกลับเข้าฝักเสียงดังสวบอย่างรวดเร็วไม่ติดขัด แถมด้วยท่าสุดท้ายเธอควักของชิ้นหนึ่งออกมาจากไหนไม่รู้แล้วคลี่ออกเป็นพัดสีฟ้าขาว แล้วยิ้มหยีตาแบบญี่ปุ่น

ผมปรบมือและร้องชม

“บราโว่ บราโว่”

ความฉับไวในเชิงดาบของสาวซามูไรคนนี้ ทำให้ผมนึกถึงตอนผมเป็นเด็กนักเรียนมัธยม นำกองลูกเสือไปถวายบังคมพระจอมเกล้าวันที่ 23 ตุลา แต่ละสถาบันต้องผลัดกันเข้ามาถวายบังคมหน้าพระรูปจำลอง กองที่เข้ามาถวายบังคมก่อนหน้าผมเป็นกองตำรวจซึ่งแต่งตัวด้วยชุดราชปะแตนขาว นำโดยนายตำรวจอายุค่อนข้างมากซึ่งห้อยกระบี่ไว้ที่ข้างเอว พอถึงเวลาท่านก็ตะโกนออกคำสั่งอย่างห้าวหาญว่า

“วันทยาวุธ”

พร้อมกับตัวท่านเองนั้นชักกระบี่ออกมาจากฝักอย่างรวดเร็วเสียงดัง “เชี้ยะ” แล้วชูกระบี่ขึ้นไปบนท้องฟ้า ดูเท่ระเบิด เป็นที่ประทับใจของพวกเราเหล่าลูกเสือวัยรุ่น แต่ไฮไลท์มาถึงตอนที่ท่านออกคำสั่ง

“เรียบ..วุธ”

พร้อมกันนั้นตัวท่านก็เสียบกระบี่เข้าฝัก แต่ท่านเสียบไม่เข้ารู ต้องยักแย่ยักยันในที่สุดต้องเอามือจับปลายกระบี่จ่อปากรูฝักจึงจะเสียบกลับได้ เป็นที่ขบขันแก่พวกเราเหล่าลูกเสือที่เพิ่งชื่นชมท่านมาแหม็บๆ

มายเนมอีส ชิโกะ ชิเกะ

ออกจากซามูไรมา เราเดินผ่านเด็กนักเรียนระดับประถม มีสองคนพยายามมองหน้าผมและสื่อสารด้วยสายตา ผมยิ้มให้ เธอทั้งสองจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้ามาหา มาขอสัมภาษณ์แบบเป็นการบ้านส่งครู โดยที่พูดกันไม่รู้เรื่อง ผมพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า

“ผมให้สัมภาษณ์คุณได้แต่ผมพูดญี่ปุ่นไม่ได้นะ พูดได้แต่อังกฤษ แล้วคุณพูดอังกฤษได้ไหมละ”

ความที่อยากจะสัมภาษณ์ให้ได้ คนหนึ่งพยักหน้าหงึกๆแล้วพูดออกมาได้หนึ่งคำว่า

“Hello”

จากนั้นก็เป็นรายการแนะนำตัวทีละคน คนแรกเริ่มต้นด้วยการกางโผที่เตรียมมาออกมาอ่านว่า

“My name is ชิโกะ ชิเกะ My school is ชิโกะ ชิเกะ”

จบการสัมภาษณ์ แล้วคนที่สองก็เอาบ้างแบบเดียวกันแต่ว่าตะกุกตะกักกว่ากันมาก คุณครูซึ่งเป็นหญิงวัยราวสี่สิบและยืนดูห่างๆได้เข้ามาช่วยพยายามอธิบายผมว่านี่เป็นโครงการฝึกสอนเด็กให้กล้าแนะนำตัวเอง แต่ผมรู้สึกว่าครูก็ตะกุกตะกักยิ่งกว่านักเรียนเสียอีก ตอนจบครูพยักหน้าเตือนนักเรียน ซึ่งเธอก็นึกขึ้นได้ จึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าเอากระดาษชิ้นหนึ่งยื่นให้ผมและพูดอะไรเป็นภาษาญี่ปุ่นยาวเหยียด คุณแจ่มแปลว่านี่เป็นงานฝีมือของเธอขอมอบให้ผม ผมโค้งคำนับเธอ แล้วก็คำนับกันไปคำนับกันมา ผมหันไปบอกคุณแจ่มให้กระซิบถามคุณครูหน่อยว่าผมจะให้เงินเด็กได้ไหม คุณครูสั่นหน้าแบบรัวๆพูดว่า

“อุน อุน อุน อุน..น น น น น”

ผมจบการสนทนาด้วยการโค้งคำนับเด็กทั้งสองกลางถนนแบบกึ่งล้อเล่น แต่คุณครูและเด็กๆต่างรีบโค้งคำนับตอบอย่างจริงจังขมีขมัน โค้งกันไปโค้งกันมาอยู่กลางถนนจนผมเห็นนักท่องเที่ยวบางคนอมยิ้มและแอบถ่ายรูปไว้

คุณแจ่มเล่าว่าพวกเพื่อนๆเข้ามาชื่นชมหนูน้อยทั้งสองกันใหญ่ว่าเก่งจังกล้าจังที่สัมภาษณ์คนต่างชาติได้สำเร็จ

บ้านเก่าในโออิเดะ พาร์ค

เราออกจากปราสาทเพื่อไปเที่ยวต่อ จุดถัดไปที่แวะคือสวนโออิเดะ (Oide Park) ซึ่งเป็นสวนสวยมีบ้านญี่ปุ่นเก่าๆหลายหลังและมีทิวทัศน์รอบๆดีมากหากท้องฟ้าใสดีมีหิมะบนยอดเขาเป็นฉากหลัง ไม่มีใครมาเที่ยวที่นี่เลย แต่แม้จะเป็นวันฟ้าเน่าอย่างนี้ที่นี่ก็ยังเป็นสถานที่ประทับใจของผมมากที่หนึ่ง เพราะผมเป็นคนชอบอะไรเก่าๆแบบบ้านๆ

เดินชมบ้านและธรรมชาติได้ราวหนึ่งชั่วโมงก็ถูกฝนไล่จนเราต้องขึ้นรถไปข้างหน้ากันต่อ

โออิเดะ พาร์ค วันฟ้าเน่าที่ไม่มีเขาหิมะเป็นฉากหลัง
กระท่อมท้ายสวน ในโออิเดะ พาร์ค
นั่งชิงช้ายู้ฮูดูรุ้งกินน้ำที่อิวาตาเกะ

เราไปขึ้นแชร์ลิฟท์เพื่อไปดูวิวบนยอดเขาอิวาตาเกะ (Iwatake) แม้ฝนจะตกพรำๆ ฟ้าจะดำ ไม่เห็นหิมะบนยอดเขา เราก็ไม่ยั่น อย่างน้อยก็มีรุ้งกินน้ำให้ดูละวะ

ที่บนเขานี้มีชิงช้าให้นั่งสองแบบ แบบเตี้ยซึ่งโยกเอาเอง กับแบบสูงซึ่งต้องให้เขาลากขึ้นไปไปอยู่บนเนินแล้วนับถอยหลังเคานท์ดาวน์แบบปล่อยจรวด แล้วเขาก็ตัดหางเชือกปล่อยให้ชิงช้าแกว่งไปมองดูวิวไปโดยไม่ต้องกลัวหล่น เพราะเขามีเซฟตี้ล็อคแน่นหนาอยู่ เว้นเสียแต่ว่าหากเกิดฮาร์ทแอทแทค หัวห้อยร่องแร่งลงมา อันนั้นน่าจะอยู่นอกเหนือการประกันใดๆ

พวกเราผลัดกันลองชิงช้าแบบโยกเองเตี้ยๆ ซึ่งหากขยันดันตัวเองก็จะแกว่งขึ้นไปได้สูงจนเชือกสลิงหย่อนแล้วปล่อยตัวเองให้ร่วงลงมาด้วยความหวาดเสียวก็ทำได้ มีกัปตันคนเดียวที่สมัครใจโล้ชิงช้าแบบปล่อยจรวด โดยมีพวกเราเป็นกองเชียร์ จะว่าไปแล้วตรงชิงช้าแบบปล่อยจรวดนี้มีวิวดีกว่าชิงช้าแบบโยกเอง

 

เสร็จจากโล้ชิงช้าก็เป็นเวลาค่ำ เรากลับเข้าที่พักที่เดิมในเมืองฮะคุบะ

สะพานคัปปะ โด่งดัง แต่ไม่ใข่ของจริง

อังคาร 7 พย.66

วันนี้ฝนตกพรำๆ เราขับออกจากเมืองฮะคุบะเพื่อไปยังอุทยานแห่งชาติคามิเคาชิ (Kamikuochi) สถานที่แห่งนี้เอารถส่วนตัวเข้าไปไม่ได้ มีแต่รถ ขสมญ. (ขนส่งมวลชนญี่ปุ่น) เท่านั้นที่จะเข้าไปได้ เราต้องไปจอดรถทิ้งไว้แล้วนั่งรถเมลขสมญ.ต่อ ปลายสุดของรถเมลไปถึงสะพานคัปปะ (Kappa Bridge) ซึ่งเป็นสะพานดังจากนิยายโดยนักเขียนดังรุ่นดั้งเดิมของญี่ปุ่น จึงมีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด สะพานนี้ไม่ใช่ของจริง เป็นสะพานรุ่นที่ 5 ซึ่งสร้างแล้วสร้างอีกหลังจากถูกน้ำพัดพังครั้งแล้วครั้งเล่า

จุดปิคนิคเลยสะพานคัปปะไปไม่ไกล
อีกมุมหนึ่งของแม่น้ำอะซุสะ ไม่ไกลจากสะพานคัปปะ

เราใช้เวลาที่เหลือของวันนี้เดินป่าในคามิเคาชิ ข้ามแม่น้ำชื่ออะซุสะ (Azusa river) เลยไปนิดเดียวก็เป็นจุดที่มีวิวสวยซึ่งเราแวะปิคนิคกันที่นี่จากนั้นก็เดินไพรไปยังโรงแรมที่พักชื่อ Kamikouchi onsen hotel ซึ่งตั้งอยู่ในป่าสงวนนี้เอง

แม่คะนิ้งยามเช้า

พุธ 8 พย.66 

วันนี้แดดดี เรากะเดินป่าเช้าจรดเย็น เริ่มต้นด้วยการออกจากประตูโรงแรมมาชม “แม่คะนิ้ง” หรือเกล็ดน้ำแข็งที่จับอยู่ตามใบไม้ก่อน จากนั้นก็เริ่มออกเดินป่าอย่างจริงจัง มุ่งขึ้นไปทางเหนือ เดินผ่านหนองน้ำดะเคะซะวะ (Dakesawa Marsh) ซึ่งมีความสวยงามและเป็นธรรมชาติมากเสียจนต้องนึกของคุณคนญี่ปุ่นที่สงวนรักษาธรรมชาติที่สวยงามอย่างนี้ไว้ให้คนทุกชาติทุกภาษาได้มีโอกาสมาชื่นชม

หนองน้ำดะเคะซะวะ ขอบคุณคนญี่ปุ่นที่่สงวนธรรมชาติดีๆไว้ให้ชม

เส้นทางเดินป่าบางตอนก็เป็นป่าสนสีเขียว บางตอนก็เป็นป่าไม้เบิร์ชซึ่งมีแต่ลำต้นสีขาว บางตอนก็เป็นป่าแห้งที่ใบไม้ร่วงไปหมดแล้ว

เดินเลียบไปตามทางน้ำใสไหลเย็น ที่ใสแจ๋วจนมองเห็นก้อนกรวดทุกเม็ด ปลาทุกตัว และสาหร่ายสีเขียวบ้าง สีดำบ้าง

เดินไปหลายกม.ในที่สุดก็มาถึงศาลเจ้าเล็กๆชื่อศาลโอคุโนะมิยะ (Hataka-jinja Okunomiya) เป็นปากทางเข้าไปสู่บึงน้ำที่ใช้ประกอบพิธีโบราณชื่อบึงเมียวจิน (Myojin Pond) แบ่งเป็นสองสระ หลวงพี่ล้อมรั้วสระทั้งสองไว้เพื่อเก็บเงินค่าเข้าไปดูสระ ผมแอบมองผ่านรั้วก็รู้แล้วว่าหลวงพี่ใช้ลูกเล่นหาเงินกับคนที่ยังไม่บรรลุธรรมซึ่งเดินมาสุดปลายทางแล้วอยากจะหาอะไรสักอย่างไว้เป็นป้ายบอกชัยชนะของตัวเองว่าทำสำเร็จแล้ว แต่รู้ทั้งรู้ ผมก็ซื้อตั๋วเข้าไปดู ซึ่งก็พบว่าไม่มีอะไรจริงๆ แต่ไหนๆก็เสียเงินเข้าไปแล้ว จึงถ่ายภาพความไม่มีอะไรมาให้ท่านดูด้วยจะได้คุ้มค่าเงิน

สระเมียวจินในรั้วศาลเจ้า ที่หลวงพี่ขายความไม่มีอะไร

เราเดินเลียบน้ำต่อไปจนถึงสะพานเมียวจิน จึงข้ามสะพานมาหาที่นั่งปิคนิคแบบยาจกกินอะไรกันไปตามมีตามเกิดที่นี่ ในหน้าร้อนที่นี่เป็นโรงแรมสำหรับนักเดินป่าที่น่าจะคึกคัก แต่ตอนนี้ปิดหมดแล้ว แม้แต่ส้วมยังปิดเลย

ห้ามยิ้ม ห้ามสบตา

อิ่มกันดีแล้วเราเดินเลียบแม่น้ำฝั่งตะวันออกเพื่อลงไปทางใต้สุด ระหว่างทางเจอลิงพันธุ์ตัวใหญ่หน้าแดงแจ๊ดหกเจ็ดตัวตั้งทัพซุ่มรออยู่ข้างทางข้างหน้า สมาชิกท่านหนึ่งว่า

“มันจะปล้นเรากระมัง”

ผมจำได้ว่าคุณแจ่มเคยสั่งเสียไว้ว่าเมื่อเจอลิง

“ห้ามสบตา ห้ามยิ้ม”

เธอว่าเพราะการสบตาเป็นการสื่ออารมณ์กลัวกันและกันซึ่งจะนำไปสู่การชิงลงมือก่อนเพื่อระงับความกลัวของตัวเอง ยิ่งการยิ้มยิ่งไม่ได้เลย เพราะสำหรับลิงไม่มีการยิ้ม มีแต่การแยกเขี้ยวใส่กัน ซึ่งนั่นหมายถึงสัญญาณที่พร้อมจะเข้าห้ำหั่น

พวกเราจึงเล่นบทจ่าเฉย เดินไปทำไม่รู้ไม่ชี้ มาถึงหน้าพวกมันแล้วพบว่าพวกมันก็ทำตัวแบบจ่าเฉยเหมือนกัน คือทำเป็นมองไม่เห็นเรา แล้วเดินเป็นขบวนไปตามทางนำหน้าบ้างตามเราบ้างเฉยเลย ทำทีเหมือนว่าไม่มีพวกเราอยู่ในป่านี้ จนมันเบื่อเล่นละครแล้วจึงแยกย้ายพากันออกจากทางเดิน ไปนั่งเด็ดใบไม้ไผ่เตี้ยเคี้ยวกินกันตุ้ยๆ

ต่างฝ่ายต่างเล่นบทจ่าเฉย

เรามาตั้งต้นเดินป่าภาคบ่ายกันที่ทะเลสาปที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดอยู่ทางใต้สุดชื่อทาอิโชะ (Taisho Pond) แล้วเดินเลียบฝั่งตะวันออกของแม่น้ำขึ้นมา มาถึงตอนนี้ขาของพวกเราชักล้าแล้วเพราะเดินกันมาแล้ว 7 ชั่วโมง การแวะถ่ายรูปจึงน้อยลง ป่าส่วนนี้เป็นป่าไม้เบิร์ชแห้งโกร๋น ทางเดินบางช่วงผ่านสะพานไม้เล็กๆยาวเหยียดมีน้ำใสเหมือนกระจก ตะวันเริ่มคล้อยต่ำจะลับเหลี่ยมเขา เราเร่งฝีเท้าเพื่อให้กลับถึงที่พักก่อนมืด เพราะคุณแจ่มเล่าว่าที่นี่หากมืดแล้วแขกยังไม่กลับที่พักโรงแรมจะถือว่าหลงป่าแล้วจะเริ่มกระบวนการค้นหา ซึ่งเราไม่อยากมีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นคนที่ทำให้คนอื่นเขาต้องมาค้นหาเรา

นะระอิจุกุ ไม่ใช่นารายกูจิ

พฤหัส 9 พย.

เช้าวันนี้คุณแจ่มบอกว่าเราต้องขับรถตียาวไปทะเลสาปทั้งห้าเพื่อให้ทันได้ดูวิวแถบนั้นและทันเข้าร่วมงานฟูจิเฟสติวัลเพราะวันนี้แดดดี วันพรุ่งนี้ฝนจะตก ผมต่อรองว่าขอแวะดูเมืองนารายกูจิ เพราะผมมาญี่ปุ่นตั้งหลายวันแล้วยังไม่ได้เห็นญี่ปุ่นของจริงที่ผมอยากเห็นเลย เมืองนี้ฟังว่าเป็นตำบลในสมัยเอโดะซึ่งใน 150 ปีหลังมานี้ยังคงวิถีชีวิตและเอกลักษณ์เดิมไว้เหนี่ยวแน่นจนผมอยากไปสัมผัส ทุกคนต่างช่วยดูแผนที่แล้วว่าไม่เห็นมีเมืองชื่อนี้เลย ดูไปดูมา นี่ไง หมู่บ้านนะระอิ-จุกุ (Narai-juku) อยู่ตำบลนะระอิ (Narai) อำเภอชิโอะจิริ (Shiojiri) จังหวัดนะงะโนะ (Nagano) โถ ขออำไพ หนูจำชื่อผิด กัปตันบอกว่า

“ไม่เป็นไร วันนี้ถือว่าเราไปสำรวจเมืองใหม่”

อยากได้ชาเขียวร้อนๆแต่พูดไม่ถืก

การได้มาเดินที่หมู่บ้านระงะอิจุกุนี้ทำให้ผมดีใจเทียบกับได้ขึ้นสวรรค์เลยเชียว เพราะมันเป็นหมู่บ้านคลาสสิกที่หยุดเวลาไว้ได้เป็นร้อยปี แถมปลอดนักท่องเที่ยวอีกต่างหาก ผมเดินผ่านร้านขายของกินที่มีคุณปู่คุณย่าสองคนอายุบวกกันเหยียบสองร้อยให้บริการอยู่ เห็นข้าวหนึกงาแบบที่ผมเคยกินสมัยเป็นเด็กอยู่ภาคเหนือก็สั่งมากิน อยากจะได้ชาเขียวร้อนๆแต่ไม่รู้จะบอกคุณปู่ว่าอย่างไร พูดอะไรไปก็ไลฟ์บอยเพราะคุณปู่ไม่รู้เรื่อง แต่ท่านก็หยิบไอโฟนขึ้นมาพยายามใช้กูเกิ้ลทรานสเลชั่นสื่อสารกับผมแต่ไม่เป็นผล ผมทำท่าซดน้ำชาร้อนๆท่านเข้าใจและชี้ไปที่กระติกน้ำร้อน แต่ผมอยากได้ชาเขียวท่านไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้จะใบ้คำว่าชาเขียวยังไง ต้องไปเรียกคุณแจ่มมาช่วย ท่านจึงชี้ว่าชาเขียวใส่ไว้ในถ้วยให้แล้วทางนั้น เอาไปต้มกินเองเลยฟรีไม่คิดเงิน

เพราะทั้งผู้ค้า ลูกค้า ผู้อาศัย ล้วนระดับ “เดอะ”

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมดีใจทึ่ได้มาที่นี่วันนี้เพราะเดินเที่ยวไปสองสามรอบผมสรุปได้เลยว่าหากผมยังไม่ตายและกลับมาที่นี่อีกในสิบปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นที่นี่จะไม่มีแล้ว เพราะเท่าที่ผมเห็น ทั้งผู้ค้าผู้ขายก็ดี ผู้พักอาศัยในเมืองก็ดี ลูกค้าที่มาซื้อของก็ดี ล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยระดับ “เดอะ” คือแปดสิบถึงเกินร้อยแล้วทั้งนั้น เมื่อคนรุ่นนี้ตายไป คนรุ่นหลังใครเขาจะมาขายข้าวหนึกงานแถมชาเขียวร้อนๆฟรีอีกต่อไปละครับ

ออกจากนะระอิ-จุกุ เราขับมุ่งหน้าไปทะเลสาปทั้งห้าที่ตีนภูเขาไฟฟูจิ เป้าหมายคือเพื่อสนองความโลภทางสายตาคือไปดูใบไม้แดงที่นั่น ทั้งๆที่ดูกันมาแบบแดงจนไม่รู้จะแดงยังไงแล้ว หิ หิ

เราขับแวะดูตรงนั้นตรงนี้ สุดแล้วแต่เขาว่าแดงที่ไหนก็ไปกันที่นั่น

แล้วไปจบที่งานเทศกาลประจำปีชมอุโมงค์ใบเมเปิ้ล โมมิจิ ไคโร (Momiji Kairo) ตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบคาวากูชิโกะ เลียบแม่น้ำสายเก่า Nashikawa ป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยสุดโรแมนติกแห่งหนึ่งในแถบภูเขาฟูจิ พอจอดรถเข้าไปในงานก็พบว่ามีผู้คนล้นหลามพูดกันล้งเล้งจ๊งเจ๊งเสียงดังลั่น ประมาณ 50% เป็นภาษาไทย หิ..หิ

พูดกันล้งเล้งจ๊งเจ๊ง ประมาณ 50% เป็นภาษาไทย
หรี่ซาวด์แทร็คลงหน่อย โฟกัสที่แบ้คกราวด์ภาพ ก็ยังเป็นญี่ปุ่นได้อยู่

ในงานมีอาหารให้ซื้อกินแบบงานวัด ผมซื้อบะหมี่โซบะร้อนๆได้หนึ่งชามก็หาที่นั่ง อากาศเย็นยะเยือก ท้องฟ้าเพิ่งเปิดให้เห็นภูเขาไฟฟูจิ หากหรี่ซาวด์แทร็คให้เบาลงหน่อย และโฟกัสที่แบ้คกราวด์ของภาพคือฟูจิ ก็จะยังได้ความรู้สึกว่าเป็นประเทศญี่ปุ่นอยู่

ที่พักชื่อเยอรมัน ไอเน่ เพาเซ่

อิ่มกันดีแล้วเราเข้าโรงแรมที่พัก แต่เดิมจะพักแถวนี้แต่มัวชักเข้าชักออกเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาที่พักแถวนี้เต็ม คุณแจ่มจึงอาศัยบารมีของเพื่อนได้ที่พักในชนบทไม่ไกลชื่อเป็นภาษาเยอรมันว่า ไอเน่ เพาเซ่ (Iine Pause) พอเข้าไปข้างในก็มีรายการเซอไพรส์เพราะหญิงญี่ปุ่นผู้เป็นเจ้าของชื่อยูจิโกะเป็นนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับคุณแจ่มจึงทักทายกันวิ้ดว้ายกระตู้วู้ สักพักก็มีผู้ชายไทยโผล่ออกมาทักทายว่า

“สวัสดีครับ”

คุยกันไปคุยกันมาเป็นสามีของยูจิโกะ อ้าว เธอแต่งงานกับคนไทยเหรอ เป็นเซอร์ไพรส์ดอกที่สอง

กัปตันบดกาแฟ แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก

พอรู้ว่าเจ้าของโรงแรมเป็นของคนไทย พวกเราก็เกิดความย่ามใจ เอากิจกรรมที่แอบทำในห้องนอนมาทำที่ห้องโถง เอาเบียร์มาดื่ม กัปตันเอาเครื่องบดกาแฟมาบดแกร๊ก แกร๊ก สามีของโยจิโกะชื่อคุณยันเป็นนักดนตรีด้วยทั้งเปียโนกีต้าร์โดยเปิดดนตรีแบ้คอัพจากอินเตอร์เน็ทแล้วเล่นลีดเมโลดี้ เขาเล่นเพลงบลูส์ให้ฟัง แล้วเล่นเพลงญี่ปุ่นชื่อซูบารุ ผมร้องเพลงญี่ปุ่นไม่เป็น จึงร้องเพลงไทยของดอน สอนระเบียบ ซึ่งแอบใช้ทำนองเดียวกัน

“เหม่อมองฟ้าคืนนี้แสงดาวเรียงรายสวยเด่น

แต่ใจฉันคืนนี้สุดแสนลำเค็ญหม่นหมาง”

ยูจิโกะ เจ้าของโรงแรม

ยูจิโกะแม้จะเป็นคนญี่ปุ่นแต่ก็พูดไทยได้คล่อง และรู้ธรรมเนียมคนไทยเป็นอย่างดี มีอัธยาศัยน่ารักจนผมไม่ลังเลเลยที่จะแนะนำแฟนบล็อกหมอสันต์ให้มาใช้บริการโรงแรมเล็กๆในชนบทของเธอ เธอถามผมว่า

“คุณหมอเป็นมังสะวิรัติ กินไข่ขนได้ไหมคะ”

กัปตันฟังแล้วรีบแก้ไขให้ว่า 

“ไข่คน ไม่ใช่ไข่ขน”

ผมนึกในใจว่า หึ หึ แค่เรียก scramble egg ว่า “ไข่คน” นี่ผมก็จั๊กจี้มากแล้วนะ พอมาเรียกว่า “ไข่ขน” นี่ ผมสยองเลย

ถึงตอนนี้คุณแจ่มเล่าเสริมว่าช่วงหนึ่งของชีวิตเธอมีอาชีพสอนภาษาไทยให้คนญี่ปุ่น มีลูกศิษย์มาเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ เธอสอนให้ผลัดกันแนะนำตัวเองทีละคน ลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นแพทย์หญิง เธอแนะนำตัวเองว่า

“ดิฉันเป็นหม้อ”

ฮ้า..ฮ่า..ฮ่า แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

ศุกร์ 10 พย.

เช้านี้ฝนตกพรำอีกแล้ว เราขับรถออกจากที่พักเพื่อไปเที่ยวหมู่บ้านน้ำใส (Oshino Hakkai) ซึ่งเป็นพื้นที่มรดกโลกและเป็นแหล่งท่องเที่ยวดังอันดับหนึ่ง พอขับไปถึงลงจากรถเข้าไปหลบฝนที่ร้านอาหารและของฝากก็ต้องเผชิญกับฝูงชนและเสียงอันดังร้องเรียกกันให้เต๊ะท่าถ่ายรูป เดี๋ยวมินิฮาร์ท เดี๋ยวยกแม่โป้ง(มือ) ทำให้คณะของเราต้องสลายตัวเป็นตัวใครตัวมันอย่างรวดเร็ว ผมเดินตากฝนพรำเข้าซอยย่อยลงไป ย่อยลงไป เพื่อให้ไกลฝูงชน เดินมาจนถึงทางแยกเล็กมาก มีป้ายเล็กๆว่า Choshi-Ike Pond แปลว่าสระขวดเหล้าสาเก มีคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษว่าเป็นสระที่หญิงสาวในชุดแต่งงานมือหนึ่งถือขวดเหล้าสาเกมาโดดน้ำตายที่นี่ ผมร้องฮ้อทันที วังบัวบาน ใช่แล้ว สระนี้ควรมีชื่อภาษาไทยว่าวังบัวบาน

สระวังบัวบานญี่ปุ่น

ผมเดินเข้าไปเป็นสระเล็กขนาดไม่เกิน 80 ตรม.รูปทรงแบบน้ำเต้า ล้อมรั้วไม้ไผ่ไว้โดยรอบ อากาศเย็น ฝนตกพรำๆ น้ำนิ่งและใส มีผมมาดูอยู่คนเดียว อดไม่ได้ต้องฮัมเพลงขึ้น

“..เอาวังน้ำไหลเย็น นี่หรือมาเป็นเมรุทอง
เอาน้ำตกก้องเป็นกลองประโคม
เอาเสียงจักจั่นลั่นร้องระงม เป็นเสียงประโคมร้องต่างแตรสังข์

เพดานนั้นเอาเมฆฟ้า ภูผานั้นต่างม่านบัง
ประทีปแสงจันทร์ใสสว่าง อยู่เดียวท่ามกลางดงดอย..”

พอผมฮัมเพลงจบ บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ขึ้นทันที ยิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นไปอีกเมื่อมีหญิงสาวญี่ปุ่นสองคนเข้ามาอย่างเงียบๆแล้วพูดอะไรกับบ่อน้ำเบาๆเหมือนสวดมนต์ แล้วโบกมือลาก่อนจากไป แน่นอนเธอไม่ได้ลาตาแก่ดอก เธอลาเจ้าสาวบัวบาน ผมเดินตามหลังออกมาเพื่ออ่านป้ายให้ละเอียดอีกที อ้อ.. ที่นี่เป็นที่คนมาขอพรให้บัวบานเป็นแม่สื่อให้สำเร็จเรื่องชีวิตรัก มิน่า..

ผมชักชอบชายขอบของหมู่บ้านน้ำใสนี้เสียแล้ว จึงเดินต่อไปในทิศทางออกไปนอกหมู่บ้านอีก เดินทวนกระแสน้ำไปจนเข้าคลองซอยเล็กลงๆจนนำมาถึงบ่อต้นน้ำเป็นหลุมขนาดเล็กประมาณเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งเมตร น้ำดูนิ่งสนิท แต่สังเกตให้ดีจะพบว่าปลาตัวหนึ่งที่อยู่กลางบ่อนั้นทำท่าเอาหัวดิ่งลงเหมือนเครื่องบินกำลังจะแลนดิ้งและมันขยับครีบทวนกระแสน้ำไว้ตลอดเวลา ประกอบกับอาการของสาหร่ายทั้งหลายที่ปากบ่อนั้นลู่กระจายเหมือนโดนน้ำพัดอย่างแรง เมื่อผมตามน้ำไปดูจนพ้นปากบ่อเข้าคลองระบายจึงรู้ว่าน้ำที่ไหลขึ้นมาจากบ่อนี้มีปริมาณมากจนน้ำในคลองไหลเชี่ยวกรากได้ ทั้งๆที่ผิวบ่อนั้นนิ่ง น่าอัศจรรย์

ออกจากหมู่บ้านน้ำใสเราไปเที่ยวศาลเจ้ามรดกโลกอีกแห่งชื่อฟุจิโยชิดะเชนเกน (Kita guchi hongu Fuji Sengen Shrine) เป็นศาลเจ้าที่เก๋าและสวยงามอีกแห่งหนึ่ง แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ในวันนี้คือต้นแป๊ะก๊วยต้นใหญ่ของศาลเจ้าออกใบเหลืองร่วงหล่นเต็มพื้นพอดี คนญี่ปุ่นมีธรรมเนียมว่าหน้านี้ต้องมาถ่ายรูปครอบครัวพร้อมหน้าบนลานแป๊ะก๊วยสีเหลือง คุณพ่อใส่สูทผูกเน็คไท คุณแม่สวมกระโปรงดำสวมเสื้อโค้ทดำ คุณลูกๆสวมชุดกิโมโนหลากสีน่ารัก ผมขออนุญาตคุณแม่ถ่ายรูปคุณลูกคู่หนึ่งไว้ คนที่ไม่มีลูกก็เอาหมามาถ่ายรูปแทน บางครอบครัวมีคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายมาด้วย คุณแจ่มเล่าว่าผู้หญิงญี่ปุ่นสูงอายุเดี๋ยวนี้หันไปนิยมเลี้ยงหุ่นยนต์หมาและหุ่นยนต์คนแทนของจริงเพราะเลี้ยงง่ายกว่า แต่วันนี้ผมยังไม่เห็นใครเอาหมาหุ่นยนต์มาถ่ายรูปที่นี่

แล้วขับรถขึ้นไปเที่ยวเขาฟูจิชั้นที่ 5 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดที่รถขึ้นได้แต่ไม่เห็นอะไรเลยเพราะต้องกรำฝนและม่านหมอกหนาทึบทั้งขาขึ้นขาลง กลับมาถึงโรงแรมคุณแจ่มได้ชวนเพื่อนซึ่งชำนาญพื้นที่แถบนี้มาพาเที่ยว ผมเผอิญไม่ได้ขออนุญาตท่านไว้จึงขอไม่เอ่ยนาม ท่านพาไปกินข้าวร้านญี่ปุ่นที่อร่อยและคลาสสิกระดับนั่งแล้วลุกไม่ขึ้นเพราะไม่ใช่ที่นั่งแบบมีหลุมให้หย่อนขาได้ แล้วท่านพาไปเที่ยวงานวอลค์ วอลค์ วอลค์ เพื่อชมใบไม่เปลี่ยนสีตอนกลางคืนได้รับความเพลิดเพลินมาก

งานวอล์ค วอล์ค วอล์ค ชมใบไม้และการเล่นสีแสงริมทะเลสาปกลางคืน

รุ่งขึ้นเพื่อนคุณแจ่มจัดการจองรถไฟเข้าโตเกียวให้ และตามมาสั่งเสียให้ขึ้นตู้หมายเลข 6 นะ อย่าขึ้นผิด ก่อนขึ้นให้ดูตัวเลขบนพื้นชานชะลาและยืนให้ตรงเลข ขึ้นไปแล้วให้ซุกกระเป๋าไว้ที่หลังม้านั่งตัวสุดท้ายของตู้จะมีซอกนิดหนึ่งพอให้ซุกกระเป๋าใหญ่เข้าไปได้ ที่นั่งเบอร์ 7ab8a แจ้งนายตรวจแยกสองอย่างว่าจ่ายเงินด้วยตั๋ว แต่จองที่นั่งด้วยอินเตอร์เน็ท โห.. สั่งเสียละเอียดยิบนับเป็นพระคุณจริง

เราบอกลาคุณแจ่มกับเพื่อนเธอ และกัปตัน ซึ่งทั้งหมดมีนัดกันต่ออีก จากนี้เราต้องไปต่อของเราเองในโตเกียว ซึ่งเป็นเรื่องของการเดินตาม ม. จับจ่ายซื้อของไม่น่าจะมีอะไรตื่นเต้ล ผมจึงขอจบเรื่องไร้สาระ (34) ไว้เพียงแค่นี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]