ช่วงนี้ไปทางไหนทุกวงสนทนาก็มีแต่คนคุยกันเรื่องเดือดร้อนที่รัฐบาลจะเก็บภาษีบ้านที่มีเกินหนึ่งหลังบ้าง ที่ดินที่ปล่อยให้รกร้างบ้าง แต่มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งไม่เคยแสดงความทุกข์ร้อนเรื่องนี้เลย ใครพูดเรื่องนี้ว่าน่ากลัวอย่างไรเขาก็ได้แต่อมยิ้ม เมื่อเพื่อนๆรุมถามว่าทำไมเขาไม่ขวานขวายเตรียมตัวหาทางออกไว้บ้าง เขาไม่ตอบตรงๆ แต่เล่าเรื่องโจ๊กเจ้าทุกข์รายหนึ่งไปร้องเรียนตำรวจเรื่องโจรจี้เอานาฬิกาเรือนทองไปกลางวันแสกๆว่า เจ้าทุกข์คนหนึ่งหน้าตื่นไปร้องตำรวจที่โรงพัก
"ผมถูกคนร้ายเอาปืนจี้เอานาฬิกาเรือนทองไปตะกี้นี้เยื้องหน้าโรงพักนี่เองครับ"
ตำรวจถามว่า
"แล้วทำไมคุณไม่ร้องขอความช่วยเหลือละ" เจ้าทุกข์ตอบว่า
"ผมไม่กล้าร้อง"
ตำรวจถามว่า "ทำไมละ" เจ้าทุกข์ตอบว่า
"ในปากผมยังมีฟันทองอีกสองซี่"
(ฮะ ฮะ ฮ่า.. แคว่ก แคว่ก แคว่ก.. ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)
เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่ง สมัยที่ผมยังเป็นเด็กจำความได้แล้ว อยู่บ้านนอกที่ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีรถยนต์ มีแต่เกวียนเทียมวัว ผู้คนสมัยนั้นไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรมาก คุณตาของผมมีสมบัติล้ำค่าเป็นยาอมฮอลล์หนึ่งกระป๋องเป็นปี๊บเล็กๆขนาดราวสามสี่ลิตรซึ่งท่านหวงมาก ส่วนสมบัติของคุณยายก็คือถุงพลาสติกเก่าสองสามใบซึ่งท่านล้างเก็บไว้ใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะสมัยนั้นถุงพลาสติกเพิ่มเริ่มมีและถือกันว่าเป็นถุงวิเศษ ในสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นเหตุการ์ณสมัยสงครามโลกครั้งที่สองยังกรุ่นอยู่ในความทรงจำอันโหดร้ายของคนรุ่นพ่อแม่และปู่ย่าตายายทุกคน วันหนึ่งไม่ทราบว่าหน่วยงานไหน ไทยหรือฝรั่งก็ไม่รู้ ได้ทำปฏิบัติการค้นหาทางอากาศครั้งใหญ่ ค้นหาอะไรก็ไม่รู้ เอาเครื่องบิน บินต่ำๆเรียงแถวกันมาเป็นสิบๆลำ เสียงดังลั่นและจุดพลุจนท้องฟ้าตอนกลางคืนสว่างโร่เป็นกลางวัน วัวควายในคอกแตกตื่นกันโกลาหล ไก่และนกการ้องบินออกจากรัง ผู้คนในหมู่บ้านแตกตื่นวิ่งกันจ้าละหวั่นคิดว่าสงครามโลกกลับมาล่อกันอีกแล้ว บ้างเอาสมบัติมีค่าที่ตัวเองพอจะมีโยนลงบ่อน้ำเพื่อซ่อนจากศัตรูผู้รุกราน สมบัติมีค่านั้นรวมถึงฟูกนอนเก่าๆด้วย หิ หิ น่ารักแมะ โยนฟูกลงบ่อน้ำ ส่วนคุณตาของผมนั้นเรียกเด็กๆหลานๆมาตั้งวงแล้วท่านก็เอายาอมฮอลของรักของหวงออกมาแจก และว่า
"เอ้า..กิน สูกิน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่สูจะได้กิน"
วันรุ่งขึ้นทั้งหมู่บ้านต่างก็โจ๊กกันสนุกสนานถึงการที่แต่ละคนจัดการกับสบบัติสุดรักของตัวเองอย่างไร ผมนั้นนึกขอบคุณเครื่องบินที่ทำให้ผมได้กินยาอมฮอลล์โดยที่ไม่ต้องทำความดีเหนื่อยยากอะไรแลกเลย ผมนึกชอบ "วันสุดท้าย" ตั้งแต่นั้นมา มีความรู้สึกว่ามันจะนำมาซึ่งสิ่งดีๆเสมอ
เล่าเรื่องจริงต่ออีกเรื่องหนึ่งนะ เป็นเรื่องของผู้ชายตัวเป็นๆคนหนึ่ง เขาเป็นนักธุรกิจเจ้าของบริษัทที่ประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ว่าประสบปัญหาชีวิตส่วนตัวจนถึงจุดที่มีความคิดว่าจะฆ่าตัวตาย เขาเขียนพินัยกรรมมอบทรัพย์ทั้งหมดที่เขามีให้คนที่เขารักโดยไม่สนใจว่าคนคนนั้นจะรักเขาหรือไม่ก็ตาม แล้วก็ประชุมลูกน้องเปลี่ยนนโยบายการทำงานว่า
"ให้ทำทุกอย่างให้จบสิ้นกระบวนความ เอกสารทุกชิ้น ให้เสร็จภายในเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน ทีละเดือน เดือนต่อเดือน เพราะผมอาจจะตายจากพวกคุณไปในเดือนไหนก็ได้ พวกคุณจะได้ไม่มีภาระต้องสะสางมาก เมื่อผมตายแล้วพวกคุณใครอยากทำต่อก็ทำมันต่อไป ใครไม่อยากทำก็จะได้กลับบ้านใครบ้านมันได้โดยไม่ต้องห่วงว่ามีเรื่องค้างคาอยู่"
ด้วยนโยบายอย่างนี้เขาพบว่าเอกสารของลูกค้าที่เคยคั่งค้างจนลูกค้าเขาทวงแล้วทวงอีกจวนเจียนจะข้ามปีถูกปั่นให้จบหมดแบบเดือนต่อเดือน งานการในบริษัทกลายเป็นลื่นไหลและง่ายขึ้นมาก จากการที่ต้องนั่งปั่นกันดึกดื่นก็เสร็จก่อนค่ำ การได้ยกทรัพย์สมบัติให้คนที่ตนเองรักทำให้เขามีความโล่งใจเลิกสงสัยในตัวเอง เมื่อโล่งใจความคิดบวกก็ค่อยๆไหลเข้ามาไล่ที่ความคิดลบ เขามองเห็นว่าถ้าเขามีชีวิตอยู่ยังจะเป็นประโยชน์ต่อตรงนั้นตรงนี้ต่อคนนั้นคนนี้ เขาค่อยๆฟื้นขึ้นจากความคิดจะฆ่าตัวตายโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็ยังขอบคุณความคิดที่จะฆ่าตัวตายตอนนั้นอยู่
เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนผมทำแค้มป์มะเร็ง ได้เชิญแขกท่านหนึ่งซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแต่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีความเบิกบาน และมีคุณค่าต่อคนอื่น มาพูดให้สมาชิกแค้มป์ฟัง ท่านเล่าว่าทั้งตัวท่านเอง และทั้งคนป่วยมะเร็งอีกหลายท่านที่ท่านคลุกคลีด้วย มีความคิดตรงกันอย่างหนึ่งคือขอบคุณมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้ตระหนักว่าวันสุดท้ายจะมาเมื่อไหร่ก็ได้และออกจะใกล้เต็มที เหมือนคนเราที่ทำวีซ่าไปเที่ยวเมืองนอก เมื่อวีซ่าเหลือไม่กี่วันก็ต้องขวานขวายเที่ยวให้สนุกเพลิดเพลิน มีเรื่องอะไรทะเลาะกันอันจะทำให้หงุดหงิดก็จะรีบให้อภัยกันซะจะได้รีบไปเที่ยวต่อกันให้สนุก ทำให้ชีวิตขณะไปท่องเที่ยวที่เมืองนอกเป็นชีวิตที่เบิกบานกว่าเมื่ออยู่ที่บ้าน การเป็นมะเร็งก็เช่นกัน การตระหนักว่าเวลาเหลือน้อยทำให้ขวานขวายทำแต่สิ่งที่ควรจะทำจริงๆเพื่อให้ชีวิตที่ยังมีอยู่วันนี้ให้เบิกบาน เนื่องจากการใช้ชีวิตนั้นเขาใช้กันที่วันนี้ เธอบอกว่าเธอได้เริ่มใช้ชีวิตจริงๆ เมื่อเริ่มเป็นมะเร็งนี่เอง
วันส่งท้ายปีเก่าเป็นตัวแทนของวันสุดท้าย มันเป็นวันที่นำสิ่งดีๆมาสู่ชีวิตเสมอ ผมถือโอกาสนี้ เมอรรี่คริสต์มาสและส่งท้ายปีเก่า 2019 กับแฟนบล็อกทุกท่าน และจะถือโอกาสบอกกล่าวว่าผมจะหยุดเขียนบล็อกจากวันนี้ไปนานประมาณสามสัปดาห์ เพราะจะหยุดงานยาวในเทศกาลปีใหม่ เพื่อขับรถพาครอบครัวขึ้นเหนือไปเยี่ยมคุณแม่ซึ่งแก่มากแล้ว โดยไปแบบหวานเย็นเลียบไปตามชนบทไทยแบบค่ำไหนนอนนั่น ใช้เวลาไปกลับราวยี่สิบวัน กว่าจะกลับมาอีกทีก็กลางเดือนมค.โน่น และขอโอกาสนี้ขออำไพที่จำเป็นต้องโละจดหมายค้างคาอยู่นับร้อยฉบับที่ไม่มีปัญญาตอบให้ได้ทันเพื่อจะได้ไปเริ่มกันใหม่ในปีใหม่แบบซิงๆ หวังว่าท่านผู้อ่านที่เขียนมาแล้วไม่ได้คำตอบคงให้อภัย เพราะไหนๆมันก็เป็น..วันสุดท้ายแล้ว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]
"ผมถูกคนร้ายเอาปืนจี้เอานาฬิกาเรือนทองไปตะกี้นี้เยื้องหน้าโรงพักนี่เองครับ"
ตำรวจถามว่า
"แล้วทำไมคุณไม่ร้องขอความช่วยเหลือละ" เจ้าทุกข์ตอบว่า
"ผมไม่กล้าร้อง"
ตำรวจถามว่า "ทำไมละ" เจ้าทุกข์ตอบว่า
"ในปากผมยังมีฟันทองอีกสองซี่"
(ฮะ ฮะ ฮ่า.. แคว่ก แคว่ก แคว่ก.. ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)
เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงเรื่องจริงอีกเรื่องหนึ่ง สมัยที่ผมยังเป็นเด็กจำความได้แล้ว อยู่บ้านนอกที่ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีรถยนต์ มีแต่เกวียนเทียมวัว ผู้คนสมัยนั้นไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรมาก คุณตาของผมมีสมบัติล้ำค่าเป็นยาอมฮอลล์หนึ่งกระป๋องเป็นปี๊บเล็กๆขนาดราวสามสี่ลิตรซึ่งท่านหวงมาก ส่วนสมบัติของคุณยายก็คือถุงพลาสติกเก่าสองสามใบซึ่งท่านล้างเก็บไว้ใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะสมัยนั้นถุงพลาสติกเพิ่มเริ่มมีและถือกันว่าเป็นถุงวิเศษ ในสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้นเหตุการ์ณสมัยสงครามโลกครั้งที่สองยังกรุ่นอยู่ในความทรงจำอันโหดร้ายของคนรุ่นพ่อแม่และปู่ย่าตายายทุกคน วันหนึ่งไม่ทราบว่าหน่วยงานไหน ไทยหรือฝรั่งก็ไม่รู้ ได้ทำปฏิบัติการค้นหาทางอากาศครั้งใหญ่ ค้นหาอะไรก็ไม่รู้ เอาเครื่องบิน บินต่ำๆเรียงแถวกันมาเป็นสิบๆลำ เสียงดังลั่นและจุดพลุจนท้องฟ้าตอนกลางคืนสว่างโร่เป็นกลางวัน วัวควายในคอกแตกตื่นกันโกลาหล ไก่และนกการ้องบินออกจากรัง ผู้คนในหมู่บ้านแตกตื่นวิ่งกันจ้าละหวั่นคิดว่าสงครามโลกกลับมาล่อกันอีกแล้ว บ้างเอาสมบัติมีค่าที่ตัวเองพอจะมีโยนลงบ่อน้ำเพื่อซ่อนจากศัตรูผู้รุกราน สมบัติมีค่านั้นรวมถึงฟูกนอนเก่าๆด้วย หิ หิ น่ารักแมะ โยนฟูกลงบ่อน้ำ ส่วนคุณตาของผมนั้นเรียกเด็กๆหลานๆมาตั้งวงแล้วท่านก็เอายาอมฮอลของรักของหวงออกมาแจก และว่า
"เอ้า..กิน สูกิน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่สูจะได้กิน"
วันรุ่งขึ้นทั้งหมู่บ้านต่างก็โจ๊กกันสนุกสนานถึงการที่แต่ละคนจัดการกับสบบัติสุดรักของตัวเองอย่างไร ผมนั้นนึกขอบคุณเครื่องบินที่ทำให้ผมได้กินยาอมฮอลล์โดยที่ไม่ต้องทำความดีเหนื่อยยากอะไรแลกเลย ผมนึกชอบ "วันสุดท้าย" ตั้งแต่นั้นมา มีความรู้สึกว่ามันจะนำมาซึ่งสิ่งดีๆเสมอ
เล่าเรื่องจริงต่ออีกเรื่องหนึ่งนะ เป็นเรื่องของผู้ชายตัวเป็นๆคนหนึ่ง เขาเป็นนักธุรกิจเจ้าของบริษัทที่ประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ว่าประสบปัญหาชีวิตส่วนตัวจนถึงจุดที่มีความคิดว่าจะฆ่าตัวตาย เขาเขียนพินัยกรรมมอบทรัพย์ทั้งหมดที่เขามีให้คนที่เขารักโดยไม่สนใจว่าคนคนนั้นจะรักเขาหรือไม่ก็ตาม แล้วก็ประชุมลูกน้องเปลี่ยนนโยบายการทำงานว่า
"ให้ทำทุกอย่างให้จบสิ้นกระบวนความ เอกสารทุกชิ้น ให้เสร็จภายในเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน ทีละเดือน เดือนต่อเดือน เพราะผมอาจจะตายจากพวกคุณไปในเดือนไหนก็ได้ พวกคุณจะได้ไม่มีภาระต้องสะสางมาก เมื่อผมตายแล้วพวกคุณใครอยากทำต่อก็ทำมันต่อไป ใครไม่อยากทำก็จะได้กลับบ้านใครบ้านมันได้โดยไม่ต้องห่วงว่ามีเรื่องค้างคาอยู่"
ด้วยนโยบายอย่างนี้เขาพบว่าเอกสารของลูกค้าที่เคยคั่งค้างจนลูกค้าเขาทวงแล้วทวงอีกจวนเจียนจะข้ามปีถูกปั่นให้จบหมดแบบเดือนต่อเดือน งานการในบริษัทกลายเป็นลื่นไหลและง่ายขึ้นมาก จากการที่ต้องนั่งปั่นกันดึกดื่นก็เสร็จก่อนค่ำ การได้ยกทรัพย์สมบัติให้คนที่ตนเองรักทำให้เขามีความโล่งใจเลิกสงสัยในตัวเอง เมื่อโล่งใจความคิดบวกก็ค่อยๆไหลเข้ามาไล่ที่ความคิดลบ เขามองเห็นว่าถ้าเขามีชีวิตอยู่ยังจะเป็นประโยชน์ต่อตรงนั้นตรงนี้ต่อคนนั้นคนนี้ เขาค่อยๆฟื้นขึ้นจากความคิดจะฆ่าตัวตายโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็ยังขอบคุณความคิดที่จะฆ่าตัวตายตอนนั้นอยู่
เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนผมทำแค้มป์มะเร็ง ได้เชิญแขกท่านหนึ่งซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแต่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีความเบิกบาน และมีคุณค่าต่อคนอื่น มาพูดให้สมาชิกแค้มป์ฟัง ท่านเล่าว่าทั้งตัวท่านเอง และทั้งคนป่วยมะเร็งอีกหลายท่านที่ท่านคลุกคลีด้วย มีความคิดตรงกันอย่างหนึ่งคือขอบคุณมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้ตระหนักว่าวันสุดท้ายจะมาเมื่อไหร่ก็ได้และออกจะใกล้เต็มที เหมือนคนเราที่ทำวีซ่าไปเที่ยวเมืองนอก เมื่อวีซ่าเหลือไม่กี่วันก็ต้องขวานขวายเที่ยวให้สนุกเพลิดเพลิน มีเรื่องอะไรทะเลาะกันอันจะทำให้หงุดหงิดก็จะรีบให้อภัยกันซะจะได้รีบไปเที่ยวต่อกันให้สนุก ทำให้ชีวิตขณะไปท่องเที่ยวที่เมืองนอกเป็นชีวิตที่เบิกบานกว่าเมื่ออยู่ที่บ้าน การเป็นมะเร็งก็เช่นกัน การตระหนักว่าเวลาเหลือน้อยทำให้ขวานขวายทำแต่สิ่งที่ควรจะทำจริงๆเพื่อให้ชีวิตที่ยังมีอยู่วันนี้ให้เบิกบาน เนื่องจากการใช้ชีวิตนั้นเขาใช้กันที่วันนี้ เธอบอกว่าเธอได้เริ่มใช้ชีวิตจริงๆ เมื่อเริ่มเป็นมะเร็งนี่เอง
วันส่งท้ายปีเก่าเป็นตัวแทนของวันสุดท้าย มันเป็นวันที่นำสิ่งดีๆมาสู่ชีวิตเสมอ ผมถือโอกาสนี้ เมอรรี่คริสต์มาสและส่งท้ายปีเก่า 2019 กับแฟนบล็อกทุกท่าน และจะถือโอกาสบอกกล่าวว่าผมจะหยุดเขียนบล็อกจากวันนี้ไปนานประมาณสามสัปดาห์ เพราะจะหยุดงานยาวในเทศกาลปีใหม่ เพื่อขับรถพาครอบครัวขึ้นเหนือไปเยี่ยมคุณแม่ซึ่งแก่มากแล้ว โดยไปแบบหวานเย็นเลียบไปตามชนบทไทยแบบค่ำไหนนอนนั่น ใช้เวลาไปกลับราวยี่สิบวัน กว่าจะกลับมาอีกทีก็กลางเดือนมค.โน่น และขอโอกาสนี้ขออำไพที่จำเป็นต้องโละจดหมายค้างคาอยู่นับร้อยฉบับที่ไม่มีปัญญาตอบให้ได้ทันเพื่อจะได้ไปเริ่มกันใหม่ในปีใหม่แบบซิงๆ หวังว่าท่านผู้อ่านที่เขียนมาแล้วไม่ได้คำตอบคงให้อภัย เพราะไหนๆมันก็เป็น..วันสุดท้ายแล้ว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์