แค่บอกตัวเองว่าวันนี้จะเริ่มหยุดงานหนึ่งเดือนผมก็รู้สึกผิดนิดๆว่าชีวิตดูจะฟุ่มเฟือยขึ้นมาทันที มีเวลานั่งทอดหุ่ยมองดูถ้วยฟักทองแกงบวชที่กำลังกินอย่างพินิจบรรจง ต้องทอดหุ่ยด้วยนะ ทอดอย่างอื่นก็ไม่ได้ ดูสีครีมหม่นของน้ำขนมที่เขรอะขอบถ้วยสีขาว ช่างสวยงามแบบคลาสสิก เป็น feeling ดีๆที่เกิดขึ้นจากการแค่ปลดงานทั้งหมดออกจากหัวเออ..ไม่ทันได้ออกจากบ้านไปไหนก็ได้เสวยสุขแล้วเรา เมื่อปล่อยข่าวว่าจะหยุดไปเที่ยว ผู้หวังดีก็ทะยอยเขียนมาแนะนำและเสนอให้ไปพักอยู่ด้วย มีพี่คู่หนึ่งซึ่งรักและนับถือกันมากสมัยอยู่ที่นิวซีแลนด์เข้าใจว่าคู่นี้กำลังมีปัญหาบ้านใหญ่เกินไปเขียนมาว่า
กินอาหารเช้าไปด้วย ดูเขาทำชีสไปด้วย |
"พี่อ่านบล็อกว่าหมอกับหมอวงศ์จะมาโอ้คแลนด์ ต้องมาค้างบ้านพี่นะ มีห้องนอนว่างอยู่สามห้อง"
ผมตอบไปว่า
"ขอบคุณคร้าบ เอาไว้รอบหน้านะ เพราะรอบนี้จะไปโอ้คแลนด์แคลิฟอร์เนีย"
(แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)
พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา14.00 น. มีทั้งหมดห้าหน่อ เราสามคนพ่อแม่ลูกแล้วก็เพื่อนซี้สมัยทำงานกินนอนอยู่ในไอซียู.ด้วยกันอีกสองคน ซึ่งผมขอเรียกชื่อตามหมอพอว่า "ป้า" กับ "น้า" ออกเดินทางพรวดเดียวก็ถึงไทเป แวะใช้ห้องน้ำแบบไต้หวันซึ่งมีเอกลักษณ์ว่ามีปุ่มฉุกเฉินอยู่ข้างฝาตรงตำแหน่งกดได้ง่ายๆขณะนั่งบรรเทาทุกข์พอดี มีฝาครอบเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงแจ๋ว่า
เด็กนักเรียนมาเต้นเชียร์ลีดเดอร์กันที่ตลาดปลาแต่เช้า |
"นี่ไม่ใช่ปุ่มชักโครก แต่เป็นปุ่มฉุกเฉิน SOS"
เข้าใจว่ารถพยาบาลคงถูกกดชักโครกเรียกไปหลายครั้งมากจึงเกิดป้ายนี้ขึ้นมา ผมเกิดอยากรู้อยากเห็นเลยสมมุติตัวเองว่ากำลังเกิดฮาร์ทแอ็ทแทค ลองทำทีแน่นหน้าอกหน้ามืดคลำๆทำท่าจะกดปุ่มดู ปรากฎว่ากดไม่ได้เพราะป้ายนี้เป็นพลาสติกครอบตัวปุ่มไว้จนกดไม่ลง กว่าจะคลำหาทางแงะเอาป้ายครอบนี้ออกได้ก็กินเวลาพักใหญ่ ถ้าใครฮาร์ทแอ็ทแทคจริงคงม่องเสียก่อนจะกดปุ่มสำเร็จเป็นแน่
ออกจากไทเปบินอีกสามพรวด หมายความว่าหลับสามตื่น ก็ถึงสนามบินซีแทคเมืองซีแอตเติลเอาเมื่อตอนดึก การตรวจคนเข้าเมืองของอเมริกาเดี๋ยวนี้ใช้เวลามาก ใครคิดจะเดินทางต่อในวันเดียวต้องเผื่อไว้ให้เรื่องนี้อย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงไม่งั้นมีหวังตกเครื่องบิน ในระหว่างที่ยืนแถวรอนานเป็นชั่วโมงนั้นผมถือโอกาสทำวิทยานิพนธ์ว่าคนที่ต้องแกร่วรออะไรนานๆจะมีสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่จะรอแบบ "อยู่กับปัจจุบัน" โดยการแอบลาดตระเวณด้วยสายตาไปรอบๆ แอบดูคนในละแวกที่มองเห็นประมาณร้อยคน พบว่ามีสามคนเท่านั้นที่ยืนรอแบบอยู่กับปัจจุบัน ที่เหลือเกือบทั้งหมดไปอยู่กับความคิดในสมารท์โฟน มีราวสิบคนที่ไม่เข้าสมาร์ทโฟนแต่บัดเดี๋ยวจิ๊กจั๊กๆ บัดเดียวก็ชะเง้อดูด้วยความกังวลว่าเมื่อไหร่แถวจะไหลไปข้างหน้าเสียที คือไปอยู่ในอนาคตว่างั้นเหอะ สามคนที่ว่าอยู่กับปัจจุบันนั้นมีผมผู้สำรวจคนหนึ่งละ คนที่สองเป็นคุณลุงจังโก้หน้าตาแบบแมกซิกันสวมหมวกคาวบอยห่มผ้าห่ม เขามองไปรอบๆด้วยความตั้งใจและสนใจโดยซ่อนสายตาอันเฉียบคมอยู่ใต้ปีกหมวก อีกคนหนึ่งเป็นเด็กชายอายุราวสองขวบยืนจับกางเกงคุณแม่ซึ่งกำลังง่วนทำธุรกิจในไอโฟนอยู่ เขากวาดสายตาสำรวจแล้วมาสบตาผมโดยบังเอง ผมยิ้มให้ เขาไม่แน่ใจจึงหลบไปหลังขาของคุณแม่ แล้วก็ค่อยๆโผล่หน้ากลับมาแอบสำรวจอีก ผมก็ยิ้มให้อีก ในที่สุดเราก็สนทนากันทางสายตาอย่างเต็มๆและตรงไปตรงมา พอคิวของคุณแม่ของเขาได้เข้ายื่นพาสปอร์ตเธอก็ดึงแขนลากลูกชายไป เขาหันกลับมาโบกมือให้ผม คุณแม่ของเธอประหลาดใจว่าลูกของเธอสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ด้วยหรือ จึงมองตามมา เธออดแสดงความทึ่งไม่ได้และยิ้มให้ผมก่อนลากแขนลูกไป
คนบ้าเห่อพากันต่อคิวซื้อกาแฟที่ร้านสตาร์บัคร้านแรก |
ยิ้มเนี่ยมันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากนะ มันเป็นการให้โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย คนให้ก็ได้ คนรับก็ได้ แต่ผมเองก็เป็นไอ้เสือยิ้มยากมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ ผมโทษอาชีพเป็นหมอผ่าตัดหัวใจทำให้ผมกลายเป็นคนยิ้มไม่ออก ประสบการณ์กับเด็กสองขวบคนนี้ทำให้ผมได้คิดว่าก่อนที่จะตายนี้ ควรจะหัดยิ้มให้มากขึ้นนะ
หลุดออกจากตม. เราออกมารอรถฟรีของโรงแรมซึ่งจะมารับเป็นรอบๆ เมื่อผมนั่งลงบนม้านั่งก็รู้ได้ทันทีว่าวันนี้ปฏิทินของเมืองนี้เริ่มนับเป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เพราะเทศบาลเริ่มเปิดเครื่องฮีตเตอร์เป่าก้นให้แขกที่นั่งรอตามป้ายรถเมล์แล้วแม้ว่าอากาศจะยังไม่เย็นขนาดนั้น ผมจึงออกอุบายบอกป้าว่า
"จะไปยืนให้เย็นวารอยู่ทำไมละ นั่งรอดีกว่า"
เธอหลงกลนั่งลงแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงลุกขึ้นยืนเพราะร้อนก้น (หิ หิ ก็บอกแล้วไงว่านั่งแล้วจะไม่เย็นวาร)
การโยนปลาที่ตลาดปลา |
โรงแรมที่พักชื่อ Skyway Inn Seatac เป็นโรงแรมจิ้งหรีดไม่มีดาว ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนจรหมอนหมิ่นบ้านนอกคอกนาขับรถคันโตๆที่เก่ามากๆไม่ได้เก่าแบบคลาสสิกนะเก่าแบบสนิมเขรอะ ห้องนอนก็เก่าและคับแคบ ขึ้ฝุ่นตามขอบหน้าต่างเขรอะ แม้จะมีกฎห้ามสูบบุหรี่แต่กลิ่นบุหรี่ก็มีอ่อยๆอยู่ทั่วไป หมอสมวงศ์ทำจมูกฟิตๆ ผมบอกว่าเหอะน่าคืนละร้อยเหรียญก็ได้แค่นี้แหละ เราจะอยู่ที่นี่แค่หนึ่งวันเพื่อปรับร่างกายให้ชินกับความเย็นก่อนไปอลาสก้า โรงแรมนี้มันก็มีข้อดีอยู่นะ คือมันเข้าออกสนามบินง่ายมีรถฟรีรับส่ง และอยู่สุดสายรถไฟฟ้าพอดี นั่งรถไฟฟ้าเที่ยวเมืองขากลับไม่ต้องกลัวเงอะงะเลยป้าย เพราะสุดสายแล้วเดี๋ยวเขาก็ไล่ลงเอง
ทหารผ่านศึกเป่าแซคแก้เหงาตัวเอง |
6 กย. 2563
ตื่นสายอากาศสบายพอๆกับมวกเหล็กวันก่อนมา คือประมาณ 25 องศา เรานั่งรถสกายเทรนไปลงสถานี West Lake เพื่อเที่ยวตลาดปลา Pike Place Market ซึ่งในวันแดดดีๆอย่างนี้คึกคักคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เริ่มต้นด้วยไปกินอาหารเช้ากันที่ร้าน Nether นั่งกินไปดูเขากวนชีสทำชีสไปด้วย กำลังนั่งกินอยู่ก็มีพวกนักเรียนสาวๆมาเต้นเชียร์ลีดเดอร์กันเปิดเพลงดังลั่น อิ่มแล้วก็เดินชมตลาดปลาซึ่งก็คือตลาดสาระพัดร้านค้าคล้ายๆตลาดจตุรจักร แวะดูเขาซื้อขายปลาโดยการตะโกนโหวกเหวกและส่งปลาให้กันโดยการโยน และที่ขาดไม่ได้คือหมูทองแดงที่คนลูบจมูกกันมันแผล็บ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฝรั่งชอบมีหมอทองไว้ให้คนลูบ พอสายหน่อยคนเริ่มมาก จะไปแวะกินซุปหอยลายแคลมชาวเดอร์หน่อยปรากฎว่าคิวยาวเป็นกิโลแล้ว ไปที่ร้านสตาร์บัคซึ่งเป็นร้านแรก ปรากฎว่าลูกค้าต่อคิวอยู่แล้วเพียบหมดหนทางที่จะเข้าไปกินได้ ได้แต่ถ่ายรูปหน้าร้านซึ่งคึกคักทั้งๆที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้ดูนอกจากหนุ่มคนหนึ่งยืนดีดกีต้าร์แลกเศษเงิน แล้วเดินต่อไปเพื่อค้นหากำแพงที่คนเอาหมากฝรั่งไปป้ายไว้เลอะไปทั้งกำแพง (gum wall) ไม่มีอะไรเลยนอกจากความเลอะเทอะ แต่ก็เป็นสีสันเป็นที่ท่องเที่ยวของเมืองจนได้ เราเดินสำรวจร้านค้าชาวบ้านซึ่งมีมากกว่าร้อยร้านลงไปถึงริมน้ำ ตรงส่วนนี้เรียกว่า Market Front แล้วเดินกลับมาที่สถานี West Lake เพื่อเปลี่ยนไปขึ้นรถโมโนเรลไปเที่ยวย่าย Seattle Center ขึ้นไปดูวิวตึกเข็มแทงอากาศสูงปรี๊ด แต่ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไปเที่ยวสวน Chihuly Garden And Glass มิใยว่าคนขายตั๋วจะพยายามขายควบแบบลดแลกแจกแถม เพราะเราตั้งใจจะแอบมองลงมาจากที่สูงเป็นการประหยัดเงินแทน ที่ตรงนี้มีฟู้ดคอร์ทให้นั่งกินอาหารกลางวันด้วย
ทัวร์ชมเมืองใต้ดิน อย่าไปพิงอะไรเข้านะ มันจะถล่มใส่หัวเอา |
อิ่มแล้วเราไปเที่ยวทัวร์อุโมงใต้ดิน Bill Speidel ซึ่งมีความเป็นมาพิศดารว่าเมืองนี้เดิมสร้างด้วยความเซ่อของผู้นำท้องถิ่นรุ่นก่อนคือไปสร้างเอาตรงที่น้ำทะเลสูงท่วมทุกปี มิใยว่าชาวบ้านจะพากันคัดค้านแต่ผู้นำก็เอาหัวชนฝาเพราะได้ตัดสินใจไปแล้ว คนพาทัวร์เล่าเป็นเชิงตลกว่าจึงกลายเป็นประเพณีของเมืองซีแอตเติ้ลนี้ว่าอะไรที่ตัดสินใจไปแล้วชั่วดีที่ห่างอย่างไรก็ต้องถูลู่ถูกังทำไปตามนั้น เมืองนี้จึงอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ชนิดที่เวลาชักโครกปลาโผล่ขึ้นมาทางคอห่านเป็นประจำ ต่อมาเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่แล้วเทศบาลไม่มีปัญญาดับ เพราะท่อดับเพลิงทำด้วยไม้จึงไหม้ไฟไปส่วนหนึ่ง พนักงานดับเพลิงเล่าก็เป็นอาสาสมัครไม่มีเงินเดือนกิน เมื่อถูกต่อว่าว่าทำไมดับเพลิงได้ห่วยแตกก็เกิดน้อยใจไม่ดับเสียดื้อๆ เมื่อไฟไหม้เมืองจนวอดวายไปแล้ว เทศบาลจึงคิดจะถมเมืองส่วนนี้ให้สูงขึ้นเพื่อสร้างเมืองใหม่บนดินถมแต่พวกพ่อค้าใจร้อนรอไม่ไหวจึงสร้างเมืองก่อนไปบนพื้นดินเดิม พอเทศบาลมาสร้างถนนยกสูงจึงกลายเป็นว่าใต้ถนนเป็นอุโมงใหญ่ที่ใช้เชื่อมโยงชั้นล้างของเมืองในส่วนนี้ได้ ในการทัวร์ใต้ดินนี้บางตอนก็มีกลิ่นตุๆเหมือนทัวร์อยู่ใต้ส้วมของชาวบ้าน เข้าใจว่าพวกชาวเมืองคงกำลังฉี่กำลังอึเหนือศีรษะเราอยู่ บางตอนของอุโมงใกล้จะพังเต็มทีแล้วจนผมบอกหมอสมวงศ์ว่าอย่าไปเท้าหรือพิงอะไรเข้านะเดี๋ยวมันจะถล่มใส่หัวเอา ความจริงอุโมงใต้ดินนี้คนรุ่นหลังไม่รู้ว่ามีอยู่ดอก จนมาถึงยุค prohibition ซึ่งมีกฎหมายห้ามขายเหล้า พวกคนขายเหล้าเถื่อนอาศัยอุโมงและเมืองใต้ดินนี้เป็นที่ขาย คนรุ่นหลังจึงรู้ว่ามีเมืองส่วนนี้อยู่
จบทัวร์แล้วทุกคนออกอาการเพลียเพราะเมาเครื่องบิน จึงยกเลิกแผนที่จะไปกินปูที่ร้าน Crab-Pot ริมน้ำ นั่งรถไฟฟ้ากลับโรงแรมและแวะซื้อแซนด์วิชที่ร้านเซเว่นหน้าโรงแรมตุนไว้เผื่อหิวตอนดึก
7 กย. 2562
Portage Glacier มองจากทางน้ำ |
วันนี้เราออกจากที่พักตั้งแต่หกโมงครึ่ง เพื่อจับเครื่องบินไปอลาสก้า การจองตั๋วแยกกันทำให้ผมต้องระเห็จไปนั่งห่างจากหมู่คณะ ไปนั่งอยู่ในหมู่สตรีฝรั่งสูงอายุ พอเครื่องออกผมก็หิวเพราะเมื่อวานไม่ได้กินข้าวเย็น จึงหยิบแซนด์วิชสองคู่ที่ซื้อจากเซเว่นมากินเพราะเครื่องบินในประเทศไม่แจกอาหาร ก่อนกินผมเสนอแซนด์วิชคู่หนึ่งให้สุภาพสตรีสูงอายุที่นั่งข้างๆโดยมารยาท เธอปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่อะไรบางอย่างในสายตาทำให้ผมเล่นบทจิ๊กโก๋
"เอาน่าช่วยผมกินหน่อย มันมีสองคู่ และมันก็ใหญ่เกินไปสำหรับคนตัวเล็กอย่างผม"
เธอรับเอาไป แล้วเอาไปแบ่งกับเพื่อนที่นั่งถัดไปกินกันอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนลงจากเครื่องบินเธอทั้งสองคนมาโอบไหล่ขอบคุณ คุยกันไปมาจึงได้ความว่าพวกเธอมาจากแคนาดา ต้องตื่นมาตั้งแต่ตีสี่จะไปลงเรือสำราญที่อลาสก้าจึงไม่มีเวลาจัดการเรื่องอาหารเช้า หึ หึ ผมนึกในใจว่าแซนด์วิชเหลือเกือบจะบูดแล้ว ยังทำประโยชน์ได้ขนาดนี้เลยหรือนี่
ในยามสลึมสลืออย่างนี้ กลาเซียก็สวยไปอีกแบบ |
เดินทางมาถึงสนามบิน Anchorage ของรัฐอลาสก้า เรารับรถเช่าซึ่งเป็นรถเอสยูวีขนาดมหึมาแล้วรีบขับบึ่งไปให้ทันขึ้นเรือไปชม Portage Glacier Cruise ฝนตกตลอดทาง ตอนแรกว่าจะแวะระเบียงดูปลาที่ Williwaw Fish Viewing Platform ที่ตำบล Girdwood แต่ฝนตกมาก โชคดีที่พอขึ้นเรือได้แล้วฝนหยุด จึงได้เห็นความงามของกลาเซียร์ทางน้ำสมใจ
เมื่อขึ้นจากเรือ มองไปรอบๆในรัฐอลาสก้านี้หากมีภูเขาสูงที่ไหนก็จะเห็นธารน้ำแข็งหรือกลาเซียร์ที่นั่น และในอากาศสลึมสลืออย่างนี้ กลาเซียร์ที่ยอดของมันกลืนหายไปในเมฆก็มีความสวยไปอีกแบบ
ฝนตกอีกแล้ว แผนการณ์ที่เดินไพรไปตามเส้นทาง Byron Glacier Trail เป็นอันต้องยกเลิก มีสมาชิกเสนอว่าควรจะแวะซื้ออาหารเย็นที่เมืองวิทเลอร์ตุนไว้เสียเลย อีกเสียงหนึ่งก็แย้งว่าอย่าเลย ไปซื้อที่วอลมาร์ทในเมืองดีกว่า เราต้องผ่านอยู่แล้ว ตามด้วยเสียงแรกพึมพำเบาๆว่า
"ยังไม่เลิกหวังน้ำบ่อหน้าอีกหรือ"
แช่น้ำร้อน กลางฝนเย็นเฉียบ |
เมื่อเราขับรถมาถึงวอลมาร์ทที่ในเมือง Wasilla ซึ่งเป็นเมืองที่พัก ก็ปรากฎว่าวอลมาร์ทปิด ทั้งๆที่ไม่ใช่เวลาปิด เสียงพึมพัมเบาๆว่า
"วอลมาร์ทเจ๊ง" อีกเสียงหนึ่งแย้งว่า
"เฮ้ย วอลมาร์ทเป็นสถาบันของคนจน จะเจ๊งได้ไง"
เมื่อลงไปสอบถามเอาความจึงได้ความว่าไฟฟ้าขัดข้อง ขายของไม่ได้ พนักงานแนะนำให้เราไปซื้อที่ร้าน Fred Meyer ซึ่งเป็นร้านคู่แข่งแทน ซึ่งเราก็ทำตามนั้นและได้อาหารเข้าบ้านพักชื่อ Hot Tub House ซึ่งอยู่ในป่าละเมาะ ได้เวลาออกอาการเมาเครื่องบินพอดี ผมหลับเป็นตายมาตื่นเอาอีกทีตีหนึ่ง มองออกไปนอกบ้านเห็นอ่างจาคุชชี่สำหรับแช่น้ำร้อนอยู่กลางสายฝนจึงเกิดความดิดแผลงไปนอนแช่น้ำร้อนอยู่กลางฝน นอนแช่น้ำร้อนควันขึ้นกรุ่นอยู่กลางป่าสน เม็ดฝนเย็นเฉียบหล่นใส่หัวเปาะแปะ เปาะแปะ นี่เป็นวิธีทำเวทนานุสติปัฐฐานที่ยอดเยี่ยม เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว แล้วขึ้นมานั่งให้เก้าอี้นวดไฟฟ้าในบ้านนวดให้ มีทั้งท่าบีบคอ ทุบหลัง บีบน่อง โอ้..ช่างเป็นความฟุ่มเฟือยที่ชวนให้เกิดความรู้สึก guilty เสียจริงๆ
ต้องเอาหนามเหล็กเคียนรองเท้า |
8 กย. 2562
เป็นนโยบายของผมว่าเมื่อแดดดี ให้รีบทำสิ่งดีๆก่อน เช้านี้แดดดีจึงต้องรีบไปเดินกลาเซียร์กันก่อน เป้าหมายคือ Matanuska Glacier เราขับไปถึงแล้วจ้างไกด์ชื่อมิเชลเป็นคนนำทัวร์ให้ ต้องเอาหนามเหล็กเคียนรองเท้าก่อนจึงจะเดินได้ มีเพื่อนของมิเชลถือขวานคอยฟันก้อนหินตรงที่มันเดินยากให้ด้วย มิเชลพาเดินไปตามธารน้ำแข็ง หยุดดูนี่ดูนั่น เช่นรูที่น้ำส่วนที่ละลายแล้วไหลดิ่งลงไปลึกมากชนิดที่หากคนเผลอหล่นลงไปก็คงไม่ต้องมีงานศพ..เพราะกู้ไม่ขึ้น
คณะกำลังเดินลุยธารน้ำแข็ง 3 ชั่วโมง |
มิเชล ไกด์พาลุยธารน้ำแข็ง |
มิเชลเป็นไฮกิ้งไกด์ที่เจ้าเนื้อแต่เนื้อแน่น เธอแบกพวงอุปกรณ์ต่างๆซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหล็กโดยไม่แสดงท่าว่าหนักหนาอะไร เธอสอนให้พวกเรารู้จักลุย รู้จักเลือกดื่มน้ำที่ออกมาจากน้ำแข็งใต้ดินซึ่งเธอรับประกันว่าปลอดเชื้อโรค แต่พวกเราไม่มีใครดื่มด้วยเพราะแม้ไม่กลัวเชื้อโรคแต่ก็กลัวขี้ตีนของพวกกันเอง เธอสอนให้ใช้โคลนหินกลาเซียซึ่งเนียนละเอียดมากพอกหน้า เธอพาพวกเราเดินลุยธารน้ำแข็งอยู่ประมาณสามชั่วโมงกว่าๆ เหนื่อยได้ที่แล้วเรามานั่งกินอาหารกลางวันอย่างง่ายๆกันที่โต๊ะข้างกระท่อมที่พักของมิเชลนั่นเอง แดดอุ่นๆ ลมเย็นยะเยือกแต่แห้งกรอบแบบคริสปี้กำลังดีโชยมาเป็นพักๆ สุโขมาก
ชื่อก็วัว หน้าก็วัว แต่ตัวเป็นแกะ |
เสร็จจากเดินธารน้ำแข็ง เราแวะถ่ายรูปตามจุดชมวิวกลาเซีย แล้วแวะดูแกะโบราณขั้วโลกหน้าตาเหมือนวัวเรียกว่า musk ox แต่ไม่ใช่วัว มันเป็นแกะชอบเอาหัวชนกัน เจ้าของต้องมีลูกบอลขนาดใหญ่แขวนไว้ใต้ต้นไม้ให้มันวิ่งเอาหัวชน ไม่งั้นมันจะเอาหัวชนต้นไม้จะหัวมันสึก สัตว์ชนิดนี้เกือบจะสูญพันธ์ไปแล้ว แต่เจ้าของฟาร์มแห่งนี้เอามาเลี้ยงไว้และพยายามจะเพาะขยายมันขึ้นมาใหม่
วิวกลาเซียร์จากริมถนน |
บนเส้นทางไปเหมืองร้าง ที่น้ำมันหมดเสียก่อน |
Dr. Seuss House บ้านทรงประหลาดที่ต้องบินดูเท่านั้น |
9 กย. 2562
เสวยสุขที่บ้านอ่างน้ำร้อนนี้มาสองวันแล้ว วันนี้เราจำใจต้องเดินทางต่อเพื่อไปเดินไพรที่ Denali National Park ก่อนออกเดินทางผมสอบถามชาวบ้านถึงบ้านประหลาดหลังหนึ่งชื่อ Dr. Seuss House ซึ่งสร้างเป็นบ้านแบบเคบินต่อกันขึ้นไปถึง 17 ชั้นจนสุดความสูง 200 ฟุตที่เขาจำกัดไว้สำหรับการบิน สร้างมายี่สิบปีแล้วจนป่านนี้ก็ยังไม่เสร็จ ถามใครก็ไม่มีใครรู้จัก จนไปถามร้านขายจักรยานแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าทางเดียวที่คุณจะเห็นมันได้คือขึ้นเครื่องบินเล็กดู ผมตามไปถามที่สนามบินซึ่งมีขนาดเท่าร้านบะหมี่ดังๆในกรุงเทพมีเครื่องบินเล็กจอดระเกะระกะอยู่ราวสิบเครื่องก็ได้รับคำตอบว่าเมฆลงต่ำขนาดนี้เอาเครื่องขึ้นไม่ได้ จบข่าว จึงไม่ได้เห็นบ้านประหลาดนี้ด้วยตาตัวเอง แต่ก็เอารูปมาลงให้ท่านได้ไอเดียว่ามันประหลาดอย่างไร
ร้านขายไข่สดที่ตำบลทาลคีทนา |
เราแวะพักรถ ณ ตำบลเล็กๆที่มีความสวยงามชื่อ Talkeetna มีร้านขายของฝากเล็กๆสวยๆงามๆ มีนักท่องเที่ยวมาเดินทอดน่องเล่นกันไม่ขาด ตอนท้ายของหมู่บ้านใกล้จะถึงริมท่าน้ำมีปาร์คเล็กๆน่ารักซึ่งเราปิคนิคกินอาหารกลางวันกันที่นี่ อากาศค่อนข้างหนาวเย็น ต้องไปขออาศัยปิคนิคข้างที่ผิงไฟของผู้หญิงชาวเอสกิโมคู่หนึ่งซึ่งพวกเธอก่อไฟหุงต้มและกำลังจะดับทิ้้ง ผมบอกว่าผมขอใช้ไฟก่อน เสร็จแล้วผมอาสาดับให้เอง
ร้านขายของฝากมาตรฐานทาลคีทนา..ต้องมีกวางมูลหน้าบ้าน |
"ใช่ที่นี่แน่หรือ มันมาไกลผิดสังเกต ป้ายนี่ชื่อ Mountain Veiw Hostel แต่ที่เราจองไว้มันชื่อ Delani Hostel and Cottages นะ" อีกคนว่า
"ดูรูปไม่ใช่ มันกระจอกเกินไป"
ที่พักกระจอกที่เดนาลี..ไม่มีส้วม |
เมื่อสงสัยก็ต้องเข้าไปถาม คำตอบก็คือใช่แล้ว เดนาลีโฮสเตลและเคบินของแท้ อีกคนเม้นท์ว่าคำว่าห้าดาวอาจจะหมายถึงห้าดาวของการเป็นโฮลเทลนะ และเมื่อรับกุญแจมาแล้วก็เจ็กอั่ก เพราะมันเป็นกระต๊อบเตี้ยติดพื้นทรงกล่องไม้ขีดที่ไม่มีห้องน้ำ ต้องไปใช้ห้องน้ำรวมที่โฮสเตลกับพวกเด็กๆ..แป่ว..ว
สมาชิกยื่นร้องเรียนทันที และแจ้งขออัพเกรดโดยยอมเสียเงิน
"วันนี้ทุกยูนิตของเราเต็มหมดครับ แล้วไม่มียูนิตใหนของเรามีห้องน้ำอยู่ข้างใน" แป่ว..ว ครั้งที่สอง
สมาชิกท่านหนึ่งพยายามปลอบพวกกันเองว่า
"เดี๋ยวไปแฟร์แบงค์ก็พักอย่างดีและได้อาบน้ำแร่แล้ว" ผมจึงสอดขึ้นว่า
"จะไปถวิลหาวันข้างหน้าทำไม วันนี้เราได้สิ่งนี้มาเราก็ยอมรับมัน ทำความรู้จักคุ้นเคยมันอย่างจริงใจก่อน แล้วทางเลือกดีๆก็จะโผล่มาเองแหละ"
เมื่อสมาชิกทำใจได้ระดับหนึ่งแล้วเราก็ชวนกันทำอาหารเย็น เพราะในเคบินที่พักของผมนั้นแม้จะเล็กมากแต่ก็เป็นสองชั้นและชั้นล่างมีครัวเล็กๆให้ด้วย สาละวนทำครัวกันอยู่ สมาชิกท่านหนึ่งซึ่งสอดแนมออกไปนอกหน้าต่างก็รายงานข่าวว่า
"คนพักบ้านหลังนั้นมากันแล้ว โอ้โฮ..แก่งั่กเลย" ฉับพลันก็มีเสียงทักท้วงด้วยความหวังดีขึ้นว่า
กองไฟ ธารน้ำ ภูเขา คือสิ่งดีๆจากโฮสเตลกระจ๊อกล็อก |
"ป้าจะพูดอะไรเจียมบอดี้หน่อย ตัวเองนะอายุเท่าไหร่แล้ว"
แล้วก็มีเสียงหัวเราะ ทุกคนลืมเรื่องไม่มีห้องน้ำไปสนิทแล้ว กินข้าวเสร็จแล้วป้าออกไปสำรวจแล้วมาตะโกนเรียกผมว่าข้างนอกมีฟืนและที่ก่อไฟ ผมจึงไปก่อไฟขึ้นที่ริมธารน้ำ แล้วเราก็เอาเครื่องดื่มมาดื่มข้างกองไฟกันสนุกสนาน ผมถ่ายรูปมาให้ดูด้วย จงใจให้ติดทั้งกองไฟ ธารน้ำ และภูเขาข้างหลัง
10 กย. 62
สีส้มและสีเทา เฉดสีมาตรฐานของทุ่งหญ้าแบบทุนดราที่เดนาลี |
วันนี้เราตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อจะให้ทันไปขึ้นรถบัสชม Denali National Park ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทุ่งหญ้าแบบทุนดร้า (trundra) ที่ได้รับการสงวนธรรมชาติไว้ดีที่สุด หมายถึงทุ่งหญ้าที่อุณหภูมิต่ำและแห้ง จึงไม่เกิดหิมะ ใต้ดินลงไปเป็นน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย ทำให้พืชที่รากลึกอยู่ไม่ได้ อยู่ได้แต่พืชรากตื้นบางชนิด สัตว์ก็อยู่ได้ไม่กี่อย่าง เช่นแกะภูเขา หมีกรีซซี่ กวางมูส กวางคาลิบู เป็นต้น
ในการเข้าชมนักท่องเที่ยวต้องนั่งรถบัสที่อุทยานจัดให้ มี Lunch box ให้ด้วย แต่อย่าไปหวังแซนด์วิชไก่งวงนะ เพราะมีแค่ขนมกรุบกรอบราคาถูกแค่สองสามซองเอาไว้แก้ลมสว้านแค่นั้น หากอยากอิ่มหมีพีมันต้องเอาอาหารไปเอง เราไปนั่งรถบัสได้เห็นสัตว์เกือบทุกชนิดทั้งหมีทั้งแกะและกวาง
หมีกริซซี่ที่หากินก่อนฤดูจำศีลอยู่ในปาร์ค |
ตู้รับบริจาค |
เสร็จจากลงเขา เราบอกคนขับรถบัสว่าเราอยากจะกลับไปให้ทันดู dog show ซึ่งเป็นการแสดงของหมาลากเลื่อนหิมะพันธ์อาลาสเกียน ฮัสกี้ ที่ใช้ทำงานขนส่งในหน้าหนาวอยู่ในปาร์คนี้ คนขับรับปากว่าเขาจะพยายามกลับให้ทันเพราะรถรับคนไปดูหมาลากเลื่อนรอบสุดท้ายของวันนี้จะออกจากท่ารถบัสบ่ายสองโมงตรง พอรถกลับมาถึงท่าเราก็รีบขมีขมันลนลานไปเข้าคิวขึ้นรถบัสที่จะพาไปดูด็อกโชว์ พอมาอยู่ในคิวได้สำเร็จกำลังจะได้ขึ้นรถ ก็มีรายงานการนับยอดสมาชิกว่า
อาลาสเกียน ฮัสกี้ ที่ฝึกไว้ทำงานในหน้าหนาว |
"ป้าหาย"
เอาเข้าแล้วสิ ผมรีบวิ่งไปดูที่รถบัสทัวร์ปาร์คที่เราเพิ่งลงมา สายไปเสียแล้ว รถออกไปแล้ว เข้าใจว่าจะออกไปส่งคนที่ศูนย์ข้อมูลปาร์ค พอคณะไปถึงที่ด็อกโชว์ผมวานให้เจ้าหน้าที่เขาวิทยุไปที่ท่ารถบัสให้ประกาศหาคนหายโดยสะกดชื่อป้าให้เขา เขา ว.กันพักใหญ่ปรากฎว่า ว. ไม่ติด เพราะ ว. กันผิดช่อง พอ ว. ติดแล้วให้ทางโน้นประกาศหาก็แล้ว ไปเดินหาแล้ว มีแต่รายงานกลับมาว่าไม่พบคน เราจึงดูด็อกโชว์ไปพลางกังวลไปพลาง การโชว์นี้เป็นโชว์ฟรี มีเจ้าหน้าที่บรรยายวิธีการฝึกสอนสุนัขลากเลื่อนอย่างละเอียด เธอบอกว่าหัวใจของการสอนการทำงานร่วมกันของสุนัขคือการกระตุ้นให้เกิดความคึกคักท้าทายไว้ตลอดเวลา ตัวที่คึกที่สุดเอาไว้ข้างหน้า มันจึงจะร่วมทีมกันลากเลื่อนได้ดี แล้วก็บอกว่าจะแสดงการลากเลื่อนให้ดูหนึ่งรอบ เตรียมกล้องไว้นะ แล้วพาพวกหมาราวหกตัววิ่งออกจากคอกมาประจำที่ของใครของมันแล้วลากเลื่อนกันอย่างคึกคัก กลึง กลึง กลึง มันวิ่งกันเร็วมาก แป๊บเดียวจบรอบแล้ว บางคนยังไม่ทันได้ถ่ายรูปเลย
ตัวบีเวอร์สร้างเขื่อนกั้นคลองออกเป็นชั้นๆถึงสามชั้น |
จบแล้วเราก็กลับไปค้นหาป้ากันต่อ หวังว่าเธอคงจะพาตัวเองกลับไปรออยู่ตรงที่รถจอดได้ แล้วก็ไม่ผิดหวัง แต่เธอเล่าว่ากว่าจะหาที่จอดรถได้เธอขึ้นรถบัสกลับไปกลับมาหลายรอบเพราะลืมว่าจอดรถไว้ตรงไหนของปาร์ค เมื่อถูกถามว่าแล้วหาเจอได้ไง เธอตอบว่าฉันก็อาศัยฝรั่ง โดยพูดซ้ำซากอยู่สามคำคือ
"Help me, Help me" พอฝรั่งถามรายละเอียดอะไรฉันก็ตอบว่า
" I don't know, I don't know" พอฝรั่งแนะนำว่าให้ฉันทำอย่างนั้นอย่างนี้ ฉันก็ตอบว่า
บีเวอร์ตัวเป็นๆกำลังชักลากไม้มาทางน้ำเพื่อสร้างเขื่อน |
" I can't, I can't "
ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
หาคนพบแล้วเราไปเดินไฮกิ้งชมป่ากันต่อ เส้นทางที่เราเดินนี้เรียกว่า Horseshoe Lake Trail เดินไปถึงป้ายทางแยกปักว่าไป Beaver Dam เราถามกันว่าชื่อแบบนี้เป็นเขื่อนที่คนสร้างขึ้นแล้วตั้งชื่อให้ หรือเป็นเขื่อนที่ตัวบีเวอร์สร้าง
มันพักเหนื่อยอยู่ริมกองไม้ที่เป็นผลงานการขนของมันเอง |
"มีใครในหมู่พวกคุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม" เมื่อเห็นผมพยักหน้า เขาพูดต่อว่า
"ผมเห็นตัวบีเวอร์มันตัดไม้และกำลังชักลากไม้มาทางนี้ โน่น คุณเห็นพงกิ่งไม้ที่ไหลมาตามผิวน้ำแต่ไกลโน่นไหม"
ผมมองตามด้วยความตื่นเต้นและขอบคุณเขา และว่า
มันจะตัดต้นไม้ที่ยาวสูงใหญ่โดยเล็งให้โค่นพาดแนวสร้างเขื่อน |
"ผมไม่เคยเห็นตัวบีเวอร์มาก่อนเลยในชีวิต" ฝรั่งคนนั้นก็พูดว่า
"ผมก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน"
ดูท่าทางเจ้าบีเวอร์ตัวนี้มันจะคิดการใหญ่สร้างเขื่อนชั้นที่สี่เพื่อกั้นบึงนี้ให้น้ำสูงขึ้น ผมสังเกตเห็นว่ามันจงใจตัดต้นไม้ใหญ่โดยเล็งใหโค่นพาดไปในทิศทางที่มันจะสร้างเขื่อน ผมนึกในใจว่ามันจะรู้หรือเปล่านะ ว่าโครงการใหญ่ขนาดนี้มันจะตายซะก่อนที่จะสำเร็จแหงๆ มันอาจจะรู้แต่ก็ยังจะดันทุรังทำ เหมือนอย่างคนบางคนไง.. หิ หิ หรือมันจะรู้หลักการทำงานแบบจดจ่ออยู่ที่กระบวนการทำโดยไม่กังวลเป้าหมาย (focus on process, zero result) ถ้ามันรู้อย่างนั้นจริงก็แสดงว่าเจ้าบีเวอร์ที่ตัวเล็กแค่หมารุ่นกลางและหน้าตายังกะหนูนี่..ดูถูกมันไม่ได้นะ
กวางเรนเดียร์ในส่วนป่าของเจน |
11 กย. 2562
เราบอกลาโอสเทลที่แม้จะเล็กและกระจอกแต่ก็ให้ความสุขแก่เราเป็นอันดีตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพื่อจะขับไปให้ทันนัดหมายกับเจนที่แฟร์แบงค์ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไปทางเหนือสุดของรัฐ เส้นทางอยู่บนที่สูง ต้องขับรถทะลุเข้าก้อนเมฆ แล้วก็ทะลุออกก้อนเมฆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนจะออกจากก้อนเมฆจะเห็นแสงอาทิตย์ค่อยๆทะลุเมฆเช้ามาแล้วฉับพลันก็สว่างจ้าสดใสเจิดจรัสอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะต้องมุดเมฆก้อนต่อไปอีกหลายก้อน ในที่สุดก็มาถึงสวนป่าของเจนทันเวลา 10.30 น. พอดี แผนการวันนี้คือเราจะมาเดินเล่นในส่วนป่าของเจนกับฝูงกวางเรนเดียร์ที่เธอเลี้ยงไว้
เจนเล่าให้ฟังว่าที่ต้องมาเลี้ยงกวางเรนเดียร์ก็เพราะลูกสาวของเธอชอบสัตว์ใหญ่ เราออกเดินเล่นในสวนป่าส่วนตัวโดยมีกวางเรนเดียร์เจ็ดแปดตัวมะรุมมะตุ้มเดินตามไปด้วย พวกมันแวะกินตะไคร่กินเห็ดบนต้นสนเป็นระยะๆ เราเรียนรู้ธรรมชาติของกวางชนิดนี้หลายอย่าง เช่นเขาของมันงอกใหม่และสลัดทิ้งทุกปี เขานี้ไม่ได้มีไว้ชน แค่เอาไว้อวดสาวๆแค่นั้นเอง เวลาเดินเท้าหลังของมันจะย่ำซ้ำรอยเท้าหน้าเพื่อให้การลุยหิมะง่ายขึ้น แล้วกวางพวกนี้มันจะไม่ชอบยุง เจนเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งเธอไม่อยู่บ้านเจ้าจ่าฝูงถึงกับพาลูกน้องหนียุงเข้าไปอยู่ในบ้าน แถมตัวหัวหน้ายังขึ้นไปนอนบนเตียงของเธออีกต่างหาก
บรรยากาศการเดินเล่นในส่วนป่ากับกวางเรนเดียร์ |
ออกจากสวนกวางของเจน เราขับรถขึ้นเหนือเพื่อไปแช่น้ำแร่ร้อนๆที่ Chena Hot Spring Resort เป็นบ่อน้ำแร่ธรรมชาติกลางป่า ไอน้ำร้อนโขมง ซื้อตั๋วเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงแช่น้ำร้อน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น เรียกว่าตั้งใจมาทัวร์เพื่อแช่น้ำแร่ที่นี่กันอย่างเดียวเลย ผมแช่อยู่นานเกินครึ่งชั่วโมงแล้วไม่เห็นคณะที่เป็นผู้หญิงตามมา เข้าใจว่าสามสาวไม่มาแล้วเพราะคงติดอีโก้เก่าสมัยสาวๆที่ตั้งใจมั่นว่าไม่ยอมโป๊ต่อหน้าผู้ชาย จึงรีบขึ้นจากน้ำเพราะไม่อยากให้คนอื่นเขารอ
บ่อแช่น้ำร้อน Chena Hot Spring Resort |
แต่พอมาถึงห้องแต่งตัวก็ได้ยินเสียงป้าเรียกชื่อผมดังลั่นจนผมเข้าใจว่าตัวเองเข้าห้องผิดเสียแล้ว เปล่า ไม่ใช่หรอก ป้าแกจู่โจมเข้ามาในห้องผู้ชายด้วยตัวเองเพื่อจะบอกผมว่าอย่าเพิ่งขึ้น เพราะพวกเธอกำลังจะลง ถามว่าไปอยู่ที่ไหนมาตั้งนาน ได้ความว่ามัวรบกับกุญแจล็อคเกอร์ราวครึ่งชั่วโมง แล้วก็หลงไปแช่ในสระแบบสระว่ายน้ำที่เย็นเป็นบ้าอีกหลายนาที ผมบอกว่านั่นมันสระเขาทำไว้ให้เด็กที่ตามพ่อแม่มา (เพราะที่นี่ห้ามเด็กเข้าบ่อน้ำร้อน) เธอบอกว่าก็เพิ่งมารู้ว่ามีบ่อน้ำร้อนจริงก็ตอนเห็นผมเดินกลับออกมานี่แหละ โถ..แม่คุณ ผมก็เลยโชคดีได้แช่น้ำร้อนสองเท่าของคนอื่น ตัวเบาเลยเชียว
กวางมูลสองแม่ลูก ลงมาดื่มน้ำแร่ร้อนๆที่ข้างบ่อคนแช่ |
ออกจากบ่อน้ำร้อนเห็นกวางมูลสองแม่ลูกลงจากเขามาดื่มน้ำแร่ที่ข้างบ่อน้ำร้อนที่คนเขาแช่กันจึงถ่ายรูปไว้ แล้วเราก็ไปนั่งกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารในรีสอร์ทนี้เอง อาหารราคาถูก รสชาติพอประมาณ หารือกันว่าจะเข้าไปดู Aurora Ice Museum ซึ่งจ่ออยู่ใกล้ๆตรงนี้เองดีหรือไม่ แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าไม่ เพราะเราไม่ค่อยชอบอะไรที่เฟคๆเทียมๆกันจึงเดินหน้าขับรถเข้าที่พัก
ท้องฟ้าของขั้วโลกเหนิอยามใกล้เที่ยงคืน |
ก่อนกลับเข้าที่พัก เราแวะดูแสงเหนือที่จุดแวะดูแสงเหนือชื่อ Musher's Hall แต่ว่านี่มันเพิ่งสี่ทุ่มครึ่ง ตะวันยังตกไม่สนิทดีจะไปเอาแสงเหนือที่ไหนมาให้เห็น จึงถ่ายได้แต่รูปท้องฟ้าด้านตะวันตกของขั้วโลกเหนือในยามใกล้เที่ยงคืนมาให้ท่านดูว่ามันสว่างโร่อย่างไร เป็นที่น่าสังเกตว่าที่ขั้วโลกเหนือนี้ดวงจันทร์โผล่ขึ้นมาทางใต้ และดาวเหนือนั้นอยู่บนศรีษะเรา ส่วนดาวไถหรือดาวกระบวยนั้นมองตรงออกไปในแนวราบก็จะเห็นอยู่ตรงหน้าพอดี ผมบอกชาวคณะว่าสำหรับคนอยากดูแสงเหนือจริงจังให้ตื่นมาดูเอาเองหลังเที่ยงคืน ดูจากระเบียงห้องนอนของเรานั่นแหละ เพราะบ้านพักวันนี้เป็นบ้านที่เจ้าของบอกว่ามองแสงเหนือเห็นจากระเบียงหน้าบ้านเลย และมีบางคนที่ขยันตื่นมาดูจริงๆแล้วรายงานว่าไม่มีเมฆ ท้องฟ้าโปร่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าไม่เห็นแสงเหนือ เพราะ..ไม่มี
บ้านระดับเริ่ด สำหรับดูแสงเหนือ |
วันนี้เราต้องออกแต่เช้าเช่นเคย กะว่าจะขับบึ่งลงใต้โดยไม่แวะที่ไหน เพราะต้องรีบไปให้ถึงเมืองวาลเดซ (Valdez) ก่อนมืด แต่ก่อนออกจากบ้านขอถ่ายรูปบ้านสำหรับดูแสงเหนือที่เริ่ดสะแมนแตนหลังนี้ไว้หน่อยนะ เป็นบ้านที่โอ่อ่าอัครฐานและเนี้ยบไปหมดทุกกระเบียดนิ้ว เราเองก็เพิ่งมารู้เอาตอนเข้าบ้านนี่เองว่าเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงผู้น่ารักเป็นคนไทยวัยยังไม่มากเลย ชื่อคุณ Nuttaya
ร้านหลอกเด็กที่ North Pole |
ขับลงมาได้สักหน่อยก็ผ่านตำบล North Pole ซึ่งจดหมายที่เด็กๆเขียนถึงซานตาคลอสมักจะถูกส่งมาที่ตำบลนี้ อดไม่ได้จึงโฉบรถเข้าไปจอดกะว่าจะถ่ายรูปจดหมายของเด็กๆแป๊บเดียว แต่ปรากฎว่าเหล่าสมาชิกถลุงเวลาไปกับการช้อปปิ้งสิ่งไร้สาระถึงชั่วโมงครึ่ง โห อะไรกันนักกันหนา ก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรเกี่ยวกับซานตาคลอสก็คือของหลอกเด็ก แต่ก็ยังซื้อกันได้เป็นชั่วโมงๆ
ระหว่างที่รอคุณผู้หญิงซื้อของ ผมเดินอ่านจดหมายของเด็กที่เขียนถึงซานต้าซึ่งเขาเอามาแปะไว้ที่ข้างฝา ก็เกิดความคิดว่านิทานซานตาคลอสนี้สอนให้เด็กรู้จักความรักแบบต่างตอบแทน ฉันรักเธอเพราะเธอให้ประโยชน์กับฉัน ผมไม่แน่ใจว่าสอนอย่างนี้จะดีต่อเด็กหรือเปล่า แต่ก็เข้าใจว่าคนเราคงไม่มีวิธีสอนเด็กที่ดีกว่านี้แลัว เพราะแม้เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่จะสอนตัวเองว่าเราจะได้สุขทุกข์อย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับวิธีที่เราสนองตอบต่อสิ่งเร้าออกไปในแต่ละวัน แค่นี้ก็ยังยากเลย
เราออกเดินทางกันต่อ เสียเวลาแวะจะกินไอติมที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยที่สุดในอลาสก้าที่ตำบล Delta Junction แต่ขับวนๆและสอบถามชาวบ้านแล้วในที่สุดก็ได้ความว่าร้านไอติมเจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว..ขอบพระคุณ
ขับไปอีกนานมาก จนมีเสียงร่ำร้องหาห้องน้ำ ผมจึงแวะปั๊มน้ำมันซึ่งเห็นชัดๆว่ามีส้วมหลุมตั้งอยู่กลางทุ่งใกล้ๆ ทุกคนเฮโลไปใช้บริการ ผมเติมน้ำมันอยู่สังเกตเห็นแต่ไกลว่ามีป้ายอันเขื่องอยู่หน้าส้วมจึงถามหมอพอว่าเขาเขียนอะไร หมอพอตอบว่าเขาเขียนว่าให้อึหรือฉี่ในนี้ อย่าไปอึหรือฉี่กลางทุ่ง ผมว้าฮ้าจริงหรือ ไหนพูดเป็นภาษาอังกฤษซิเขาเขียนว่าอย่างไร หมอพอว่า
"We provide this for you. Don’t pee or poof in the property."
ผมฟังแล้วหัวเราะก๊าก ตั้งใจว่าจะไปถ่ายรูปป้ายไว้หน่อยแต่ก็มัวยุ่งกับเรื่องอื่นจนลืมไป เราเดินทางต่อไปอีกจนเมื่อยก้น ผมแวะรถที่จุดดูฝูงวัวไบสันมักจะยกพลผ่านหุบเขาที่เบื้องล่าง ลงไปส่องกล้องดูพักใหญ่ ฝ่ายหญิงซึ่งรังเกียจฝนไม่ยอมลงไป ได้แต่ดักถามเอาความว่า
ส่วนที่มีชีวิตที่สุดของเหมืองทองแดงเก่า..ปั๊มมือหมุน |
"เห็นฝูงวัวไบสันไหม" ผมตอบว่า
"เห็น"
"ฮะ จริงหรือ เห็นที่ไหน" ผมตอบว่า
"เห็นอยู่บนกระดาน" คนฟังคนหนึ่งยังไม่เก็ทและทำท่าจะลงไปดูบ้าง จนกระทั่งมีเสียงอีกคนหนึ่งพึมพำเบาๆว่า
"เป็นมุขของคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตจริง"
แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
ฝนลงเม็ดหนักขึ้น เราขับแวะเข้าไปในตำบลเหมืองทองแดงเก่า Copper Center แล้วก็พบว่าส่วนที่มีชีวิตที่สุดของตำบลร้างแห่งนี้คือปั๊มเล็กๆที่ไม่แน่ใจว่าใช้มือหมุนหรือเปล่า จึงถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึก ใครคนหนึ่งในคณะเปรยเบาๆอยู่ในรถว่า
"อดีต ก็คืออดีต"
วาลเดซ สงัด เงียบ นิ่ง แต่แฝงรอยยิ้มพิมพ์ใจ |
หิ หิ แล้วเราก็เดินหน้าต่อไป ขับรถผ่าน Thompson pass-Keystone Canyon อันเป็นหน้าผาตัดสวยงามและอุดมด้วยสัตว์ป่า ผ่านน้ำตก Bridal fall และน้ำตก Horsetail fall ซึ่งตกให้เห็นๆริมถนนข้างหน้าต่างรถ จนในที่สุดเราก็มาถึงวาลเดซ เมืองท่าที่สงัด เงียบ นิ่ง แต่แฝงรอยยิ้มพิมพ์ใจ เราเฮโลไปหาอะไรกินด้วยความหิว เขาว่าร้านชื่อนางเงือกอ้วนอะไรสักอย่างมีอาหารกินง่ายและอร่อยดี แต่เมื่อไปถึงปรากฎว่าคิวยาวออกมานอกถนน เราจึงเข้าไปในเหลาใกล้กันชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่ามีคำว่า Palace อยู่ด้วย สั่งอาหารมากินแบบไม่ยั้งรวมทั้งปูอลาสก้าจานยักษ์ซึ่งมีความพิเศษตรงที่เนื้อก้ามของมันแคะกินง่าย ผมนึกในใจว่าแบบนี้เขาไม่เรียกว่ากินแล้ว เขาเรียกว่า (ขอโทษ) ..สีแตก เพราะกินเสร็จแล้วความที่ไม่ได้กินอาหารเนื้อสัตว์เป็นประจำจึงเกิดอาหารท้องอืดแข็งจนแทบเอาชีวิตไม่รอด กว่าจะทุเลาก็เกือบเที่ยงคืน ..โส-น้า-หน้า
ฝูงสิงโตทะเลกำลังพากันไล่งับปลา |
13 กย. 2562
เราตื่นเช้าขึ้นจากห้องนอนของโรงแรมจิ้งหรีดที่วาลเดซชื่อ Key Stone Hotel แล้วก็กุลีกุจอขับรถจะไปดูหมีลงมาจับปลากินที่ The Solomon Gulch Hatchery ไปถึงเห็นมีฝูงนกนางนวลจำนวนมากเป็นพันเป็นหมื่น ปลาซาลมอนจากท้องทะเลกว้างพากันว่ายมานี่เพื่อจะมาทวนน้ำตกขึ้นไปวางไข่ แต่เขาวางท่อดักไว้ให้มันเข้าไปวางไข่ในโรงเพาะพันธ์ปลาแทน ตรงท่อดักซึ่งเป็นน้ำตกเล็กๆนั้น
คนทำบาปไม่ขึ้น กำลังพยายามอย่างใจเย็น |
ปกติหมีจะมานั่งดักจับปลากินแบบทุ่นแรงการไล่จับเอาตามคลอง แต่วันที่เราไปนี้ไม่มีหมี มีแต่ฝูงสิงโตทะเลตัวบะเริ่มห้าหกตัวมากินปลาที่นี่ บางตัวอ้าปากจ่อไว้ที่ท่อดักแบบจะเอาแต่ได้โดยไม่ออกแรงน่าเกลียดมาก บางตัวก็ไล่งับปลาในคลอง ปลาเยอะแยะ แต่เขาห้ามตกปลาในละแวกสามร้อยหลา มองพ้นระยะออกไป ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนตกปลาอยู่อย่างใจเย็น ทั้งๆปลามีเยอะแยะ แต่ผมไม่เห็นเขาตกได้สักตัว ท่าทางเขาจะเป็นคนทำบาปไม่ขึ้นซะละกระมัง
รถของพวกพรานล่ากวาง |
เห็นเป็นรถคันเดียวแค่นี้ เรายัดกันเข้าไปนอนห้าคนสบายๆ |
ความหรูหราในรถบ้านราคาถูกกว่ารร.ห้าเท่า |
ภายในรถบ้านมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันรวมทั้งเทคโนโลยีที่จะหุบบางส่วนของรถเข้ามาเพื่อให้รถวิ่งบนถนนได้ ยกเตียงขึ้นๆลงๆเพื่อให้ทำเตียงได้หลายชั้น ถ้าจำเป็นก็ทำได้ถึงสามชั้น มีครัวและห้องน้ำสองห้องซึ่งเหลือเฟือสำหรับพวกเราห้าคน ข้อสำคัญราคาถูกกว่าพักบ้านหรือโรงแรมอย่างน้อยห้าเท่า
14 กย. 2562
รุ่งเช้าเราขับรถต่อไปตามทางหลวง 1 แวะซื้อสะเบียงที่พอให้เรายังชีพอยู่บนเกาะได้สามวัน แล้วมุ่งตรงไปยังเมืองซีเวอร์ด (Seward) ซึ่งเป็นเมืองท่าเรือออกทะเล ไปจอดรถทิ้งไว้ในที่จอดของเทศบาลหน้าโรงแรมฮาร์เบอร์ 360 โฮเต็ล เสียค่าจอดวันละห้าเหรียญ แล้วขนสัมภาระเท่าที่จำเป็นไปลงเรือเพื่อไปยังเกาะปลาวาลพิฆาต (Orca) เป็นเรือเจ็ตขนาดนั่งได้ราวสิบห้าคน กัปตันเรือชื่อเด็นนิส (ถ้าจำไม่ผิด) พาเราแล่นเรือลัดเลาะเส้นทางทัวร์ส่วนตัวผ่าน Resurrection Bay แวะดูสัตว์ต่างๆแล้วมุ่งไปยังเกาะซึ่งอยู่อย่างลึกลับใน Humpy Cove ห่างออกไป 9 ไมล์ ใช้เวลาเดินทางไปด้วยชมวิวและสัตว์ต่างๆไปด้วยชั่วโมงครึ่งก็ถึงเกาะปลาวาฬพิฆาต
เต้นท์แบบเยอร์ต ที่พักในเกาะ |
ภายในเต้นท์ สะดวกสบายและอบอุ่นพอควร |
ส้วมแมว อึแล้วกลบ |
ส้วมภายในเต้นท์เป็นแบบส้วมแมว คืออึแล้วกลบ โดยเขามีดินกลบซึ่งเป็นอินทรีย์วัตถุให้กลบ กลบไปแล้วหน้าที่ของผู้อึก็หมด ที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าของเกาะจะเอาไปจัดการต่อเอง
ภายในเกาะนี้มีเต้นอยู่ไม่กี่หลัง จึงมีคนอยู่ไม่กี่คน ที่กลางเกาะแขวนระฆังใบใหญ่เอาไว้ให้ชาวเกาะที่พบเห็นว่าเมื่อใดมีปลาวาฬเพชรฆาตเข้ามาก็ให้ย่ำระฆัง ปลาวาฬเพชรฆาตนี้การวิจัยแบบผ่าท้องมันดูพบว่ามันกินทุกอย่างที่ขวางหน้ารวมทั้ง นก นาก พยูน โลมา สิงโตทะเล และวาฬธรรมดา มันกินหมด มันมากันทีมากันเป็นฝูง แต่ละตัวหนักระดับแปดตัน
สองพ่อลูกพายคะยัคสำรวจแล้วไปไกลเกินตั้งใจ |
วันที่เรามาถึงแดดกำลังดี เมื่อเรียนรู้การพายเรือได้แล้ว ผมชวนหมอพอเอาเรือคะยัค (cayak) พายออกไปสำรวจพื้นที่ พายไปพายมารู้สึกว่า เอ๊ะ เมื่อพายให้เข้าขากันดีแล้วจะพายได้เร็วเกินคาด ผมจึงชวนพายไปถึงปากอ่าวซึ่งห่างออกไปราวหนึ่งไมล์ ไปถึงแล้วก็ยังไม่เหนื่อยจึงชวนกันพายต่อไปน้ำตกปากคลองซึ่งมุดเข้าอ่าวเล็กๆไกลออกไปอีกราวสองไมล์ เมื่อไปถึงปากคลองก็ต้องตกตะลึงในความน่าทึ่งของธรรมชาติ ที่ตรงปากคลองที่น้ำตกลงมานี้น้ำตื้นเขินแค่ท้องเรือคะยัคครูดหิน ปลาซาลมอนสีชมพูจำนวนไม่รู้กี่พันกี่หมื่นตัวว่ายยั้วเยี้ยเต็มไปหมด บ้างตายอยู่บนพื้นคลอง เขาใจว่าออกไข่สำเร็จกิจในชีวิตแล้ว บ้างดิ้นกระแด่วๆกำลังจะตาย บ้ายว่ายไปมาอย่างมีขีวิตชีวา ที่ตรงโขนหินริมป่านั้นเล่าก็เป็นที่ยืนพักของฝูงนกนางนาลราวร้อยกว่าตัวซึ่งคงจะอิ่มหมีพีมันกับการกินปลากันเป็นอันดีแล้ว เหนือขึ้นไปบนต้นไม้มีนกอินทรีย์เกาะกิ่งไม้คุมเชิงอยู่เงียบๆ ในน้ำมีนกเป็นน้ำกำลังดำผลุดดำว่ายอีกหลายตัว บนท้องฟ้ามีเหยี่ยวบินฉวัดเฉวียน อากาศนั้นค่ำและเย็นเฉียบกรอบได้ที่ น้ำในอ่าวนั้นเล่าก็ช่างเขียวและใสเห็นทุกอย่างลึกลงไปรวมทั้งแมงกระพรุนหลากสี และปลาดาวที่พากันนอนกางแขนกางขาอ้าซ่าอยู่ตามโขดหินโดยไม่มีการปิดบังกระมิดกระเมี้ยน ผมพูดกับหมอพอเบาๆว่า
"ถ่ายรูปไปให้แม่เขาดูหน่อยสิ" หมอพอตอบอย่างชาเย็นว่า
"ไม่มีกล้อง ก็พ่อไม่ได้บอกว่าจะมาไกลขนาดนี้นี่"
จบข่าว เราจึงได้แต่บันทึกภาพธรรมชาติอันประทับใจนั้นไว้ในความจำ ธรรมชาตินี้ช่างประหลาด ปลาซาลมอนสีชมพูเหล่านี้ฟักออกมาจากไข่ที่นี่ ออกไปเติบโตในทะเล แล้วก็กลับมาออกไข่แล้วก็ตายที่นี่เป็นอันจบกิจของชีวิตในชาติหนึ่ง
ปลาดาวนอนแผ่สองสลึงอยู่บนหินใต้น้ำ |
สัตว์ประหลาดที่ป้ายืนยันว่าเป็นปลาไหลทะเล |
แม้คนที่อยู่เมืองไทยตลอดมา หากเป็นคนมีกำพืดเกิดที่บ้านนอกผมก็เห็นมีสัญชาติญาณแบบนี้บ่อยๆ วันหนึ่งผมเดินซื้ออาหารอยู่ในตลาดมวกเหล็กมีหมอผู้หญิงท่านหนี่งเข้ามาทักไล่รุ่นกันแล้วเธอรุ่นก่อนผมถึงหกปี ก็แสดงว่าเจ็ดสิบกว่าแล้วแต่ดูหน้าอ่อนกว่าผมอีก ถามว่าพี่มาทำอะไรอยู่แถวนี้เธอบอกว่าเธอมาทำไร่ที่นี่ได้หลายปีแล้วและสอนชาวบ่านถึงวิธีใช้ชีวิตในแง่มุมต่างๆ เธอบอกว่ามันรู้สึกดีกว่าใช้ชีวิตบั้นปลายแบบเดี๋ยวไปเมืองนอกเดี๋ยวไปเดินศูนย์การค้าสลับกันซ้ำซากช่างน่าเบื่อ
ดื่มด่ำกับธรรมชาติได้ที่แล้วเราก็พากันพายกลับซึ่งเป็นระยะทางไกลกว่าสามไมล์ ผ่านสัตว์ประหลาดที่ป้ายืนยันว่าเป็นปลาไหลทะเล แต่เมื่อฝรั่งเฉลยให้ฟังแท้จริงแล้วมันคือสาหร่ายชนิดหนึ่ง ตกกลางคืนพวกเราพากันนั่งละเลียดกับแสงทไวไลท์ที่ระเบียงหน้าเต้นท์ซึ่งเป็นสีสันบลูแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในชีวิต
สีสันยามค่ำของขั้วโลกเหนือ ในแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน |
15 กย. 2562
วันนี้ฝนตกหนักทั้งวัน ป้าออกอาการหงุดหงิดเพราะทำกิจกรรมอะไรไม่ได้ เพื่อนที่นัดหมายจะไปพึ่งเขาที่แคนาดาเขาเขียนมาหาทางไลน์ก็ไม่สามารถตอบเขาได้แต่เราก็เปิดอ่านของเขาแล้วกลัวเขาจะว่าเอาว่าเราไม่ใส่ใจ ผมบอกป้าว่าอย่างนี้เขาเรียกว่าเสพย์ติดเน็ตนะ เธอบอกว่าฉันไม่ได้ฉีดหรือกินอะไร ผมจึงว่า
"แต่สิ่งที่เราเสพย์ติดเป็นความคิดนะ ไม่ว่าจะเป็นความอยาก ความเป็นห่วง ความหงุดหงิด มันเป็นความคิดทั้งนั้นแหละ อาการทางร่างกายเช่นเสี้ยนหรือหิวเป็นเพียงซิกแนลกระตุ้นความคิด แต่ตัวที่ทำให้เราทุรนทุรายจะเป็นจะตายให้ได้คือความคิด ถ้าวางความคิด หันมาอยู่กับเดี๋ยวนี้เสีย อาการลงแดงก็จะทำอะไรเราไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่ความคิด"
ถ้าเผลอเมื่อคลื่นซัดมาก็..ตูม..ม |
การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือน แต่นี่เพิ่งเขียนเล่ามาได้สิบวันแค่นั้นเองก็รู้สึกว่าเขียนมานานแล้ว เล่าแค่นี้ก่อนนะ ที่เหลือถ้ามีเวลาค่อยว่ากัน ถ้าไม่มีเวลาก็..จบข่าว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์