28 พฤศจิกายน 2559

ดูไดโนเสาร์และเรียนรู้วิธีพลิกผันโรคจากท่านนายพล

     วันนี้ไม่ตอบคำถามนะครับ จะเล่าเรื่องที่ผมไปขับรถเที่ยวซะหลายวัน

     ก่อนจะเริ่มเรื่องขอประกาศให้แฟนบล็อกหมอสันต์ที่โอนเงินค่าหนังสือมาให้ก่อนวันที่ 18 พย. 59 จนป่านนี้แล้วยังไม่ได้รับหนังสือแสดงว่าท่านแห้วแล้วแน่นอน กรุณาแจ้งที่อยู่มาอีกครั้ง ฝ่ายจัดส่งซึ่งเผอิญสูงอายุพอควรเพิ่งพบว่าส่งไปส่งมามีเงินเข้ามามากกว่าหนังสือที่ส่งออกไป เพราะบางท่านประสงค์จะออกเงินแต่ไม่ประสงค์บอก address จึงหมดปัญญาไม่รู้จะส่งหนังสือไปให้ใครที่ไหน

     มาคุยกันต่อเรื่องขับรถเที่ยวดีกว่า

     21 พย. 59

     เรามากันสามคนพ่อแม่ลูก ออกจากบ้านที่มวกเหล็ก วางแผนว่าจะไปแวะทานอาหารกลางวันกับเพื่อนซึ่งเป็นหมอรุ่นเดอะงอกรากอยู่ที่เพชรบูรณ์มาหลายสิบปีแล้ว อยู่หล่มอะไรสักอย่าง ไม่หล่มเก่าก็หล่มสักเนี่ยแหละ จิ้มจีพีเอส.แล้วก็ขับตามมันไป พูดถึงเจ้าจีพีเอส.นี้ก็ใช่ว่าจะเชื่อถือได้ 100% นะครับ บางครั้งมันก็ดูเหมือนตั้งใจจะให้เราขับลงไปตามคันนาเสียให้ได้ แต่ว่าหากรู้จักใช้มันแบบฟังหูไว้หูแล้วละก็มันเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับคนแก่มาก เมื่อจิ้มปลายทางว่าเพชรบูรณ์ จีพีเอส.ก็พาเราขับขึ้นตะวันออกไปทางน้ำตกเจ็ดสาวน้อย แล้วพาเราวิ่งไปตามถนนเล็กๆเลียบฝั่งใต้ของแม่น้ำป่าสักไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะให้เราข้ามแม่น้ำไปหาลพบุรีสักที จนมาถึงตำบลเล็กๆชื่อ “โป่งมะนาว” ผมบอกลูกชายว่า

     “เอ..แถวนี้มันดูเหมือนมันจะเคยมีการขุดค้นถ้วยชามรามไหอะไรสักอย่างนะ”

     แล้วก็จริงดังว่า มีป้ายเล็กๆชี้ให้ไปดูแหล่งโบราณคดี ผมขับตามป้ายไป แล้วไปจบที่กุฏิพระ มีป้ายพิพิธภัณฑ์อยู่หน้ากุฏิอันเงียบเชียบ หมาใต้กุฏิเห็นเราก็พากันเห่าขรม เด็กวัดคนหนึ่งนอนหลับอุตุอยู่บนกุฏิ ผมร้องเรียกก็ไม่ตื่น แต่แล้วก็โชคดีมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทัก เมื่อรับรู้ว่าเราจะมาดูของโบราณก็ใจดีพาเราเดินไปหาสิ่งที่มีผู้ตั้งใจจะว่าจะให้เป็นพิพิธภัณฑ์แต่ว่าขณะนี้อยู่ในพงหญ้าเพราะสร้างแล้วงบไม่พอที่จะดำเนินการต่อ เลยไม่ได้เปิด ถ้าไม่นับพงหญ้าแล้วอาคารนี้พอนับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์จริงๆได้ทีเดียว เธอพาเราเข้าชมของที่ตั้งแสดงไว้ในอาคารซึ่งอยู่ในความดูแลของชุมชน และเล่าให้ฟังว่าแต่เดิมพวกของโบราณเหล่านี้เก็บไว้ในวัดแล้วถูกโขมยมางัดแงะไปบ้าง พวกเราตระเวนดูของที่เก็บไว้เป็นของที่ผลิตขึ้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์ใกล้เคียงกับยุคบ้านเชียง แต่ลักษณะเครื่องปั้นดินเผามีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากหม้อบ้านเชียง รูปลักษณ์ออกไปทางเครื่องปั้นดินเผาก่อนประวัติศาสตร์ที่ปิกาสโซใช้เป็นแม่แบบในการเขียนและปั้นงานศิลป์แบบโมเดิร์นอาร์ท เท่ไปอีกแบบ ผมบอกเด็กสาวคนนั้นว่าทำไมเธอไม่หัดปั้นดินเผารูปทรงแบบนี้บ้าง แล้วเอาออกขายภายใต้แบรนด์ “หม้อโป่งมะนาว” เหมือนที่ชาวบ้านเชียงเขาปั้นหม้อบ้านเชียงขายกันได้เงินเอิกเกริก เธอได้แต่ยิ้มและพูดอะไรอยู่ในใจ ซึ่งผมจับความได้ประมาณว่า

     “เพ้อเจ้อแล้ว..ลุ้ง”

     ออกจากโป่งมะนาวเราขับผ่านถนนผิวโลกพระจันทร์เสียงดังกึงๆๆๆ เพื่อนที่รอจะกินข้าวกลางวันโทรศัพท์มาถามว่าถึงไหนแล้ว ผมบอกว่า

     “เพิ่งออกจากโป่งมะนาว กำลังเข้าโป่งมะกรูด” 

ดอกซากุระเมืองไทย กำลังบานที่น้ำหนาว
     ในที่สุดจีพีเอส.ก็พาเราข้ามแม่น้ำป่าสักมาเข้าเขตลพบุรีเอาที่เมืองลำนารายณ์ ความตั้งใจเดิมที่จะแวะดูสถานที่ที่ไม่เคยเห็นแห่งหนึ่งชื่อน้ำตกเสาหินอัคนี ที่ชนบทของเมืองวิเชียรบุรี เป็นอันต้องล้มเลิกไปเพราะเกรงใจเพื่อนผู้รอเป็นเจ้าภาพ จึงขับมุ่งตรงไปยังเมืองหล่มอะไรสักอย่าง สอบถามและทวนคำสั่งได้แน่ชัดว่าเป็นหล่มสัก ไม่ใช่หล่มเก่า ไปถึงเอาบ่ายโมง เจ้าภาพพาไปกินขนมจีนเจ๊ดังระดับโลก ขอโทษ เจ๊อะไรก็ลืมไปเสียแล้ว

     คุยกันถึงความหลังจนอิ่มอร่อยแล้วก็เร่งรุดเดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวเพื่อให้ทันก่อนอุทยานปิดตอนสี่โมงเย็น แวะซื้อข้าวหลามที่ด่านอุทยานตามที่ภรรยาของเพื่อนได้แนะนำไว้ แวะดูตะวันตกดิน แล้วเข้าบ้านพักในอุทยาน ซึ่งเงียบเชียบแทบไร้ผู้คน อากาศเย็นสบาย ต้นซากุระเมืองไทยหรือนางพญาเสือโคร่งที่หน้าบ้านพักออกดอกกระหรอมกระแหร็ม ผมถ่ายรูปมาให้ดูด้วย

     ถึงเวลาอาบน้ำเครื่องทำน้ำร้อนด้วยแก้สเกิดมีปัญหา ห้องหนึ่งเปิดแล้วไม่ร้อนดื้อๆ อีกห้องหนึ่งผมลองเปิดแล้วร้อน แต่ต่อมาก็มีเสียงดัง “บึม..ม” แล้วทุกอย่างก็หยุดลง เล่นเอาภรรยาของผมประกาศยอมอาบ “น้ำหนาว” โดยไม่ยอมยุ่งกับเครื่องทำน้ำร้อนเด็ดขาด แต่ผมกับลูกชายยังไม่ลดละ ผมอ่านดูป้าย instruction ที่ติดผนังไว้ว่าเมื่อเครื่องทำน้ำร้อนเสียต้องทำอย่างไร ป้ายนั้นบอกว่าให้โทรศัพท์ตามผู้รับผิดชอบต่อไปนี้ไปตามลำดับชั้น โดยมีรายชื่อเรียงกันไว้ถึงสี่ชั้น  ผมบอกลูกชายว่า

     “โอ้โฮ นี่แสดงว่าปัญหาเครื่องทำน้ำร้อนเนี่ยเป็นเรื่องใหญ่ต้องตามกันตั้งแต่แพทย์ฝึกหัด เรสิเด้นท์ (แพทย์ประจำบ้าน) แพทย์เฟลโลว์ จนถึงแพทย์สต๊าฟเลยนะเนี่ย”

     เมื่อตามปุ๊บ อินเทอร์นก็มาปั๊บ เขามาลูบๆคลำเครื่อง แล้วออกไปเปิดวาลว์แก้สที่ข้างนอก เมื่อไม่ได้ผลก็ยกหูตามเรสิเด้นท์ พูดอะไรกันสองสามคำ แล้วเรสิเด้นท์ก็มา พร้อมกับล้วงถ่านไฟฉายออกมาจากกระเป๋ามาเปลี่ยนเอาถ่านเก่าที่ทำหน้าที่จุดประกายไฟออก แล้วเครื่องห้องแรกก็ทำงาน พอไปถึงเครื่องห้องที่สองที่ระเบิดดังบึม เขายกหูตามเฟลโลว์ แป๊บเดียวเฟลโลว์ก็โผล่มา มาแก้ปัญหาด้วยการเอากระดาษทิชชูจุดไฟแล้วแหย่เข้าไปในเครื่องต้มน้ำ เข้าใจว่าคงต้องการจะเผาแก้สที่ตกค้างให้หมดก่อน จากนั้นจึงเปิดใช้เครื่องใหม่ ก็ปรากฏว่าใช้ได้ สรุปว่างานสำเร็จลงได้โดยไม่ต้องถึงกับตามสต๊าฟใหญ่มา
คราวนี้ก็ถึงเวลาอาบน้ำอุ่น ผมอาบเพราะขยาดกิตติศัพท์ของ “น้ำหนาว” มากกว่ากลัวเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ก็เปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ขณะอาบ เพราะเพื่อนของผมเป็นหมออยู่ที่อเมริกาเคยเล่าให้ฟังว่าเพื่อนของเขายังหนุ่มอายุสี่สิบกว่าแท้ๆไปเสียชีวิตในห้องน้ำที่โรงแรมจิ้งหรีดในชนบท ตอนแรกนึกว่าหัวใจวาย แต่ต่อมาไม่กี่วันก็มีอีกรายหนึ่งอาบน้ำห้องเดียวกันแล้วเป็นลมคอพับแต่โชคดีไม่ถึงกับตาย ความจึงแดงขึ้นมาว่าเป็นเพราะแก้สคาร์บอนมอนนอกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้แก้สไม่หมดสะสมอยู่ในห้องน้ำที่ปิดทึบ พอหายใจเข้าไปมากๆก็ทำเอาตายได้แบบทันทีแน่นอนเสียด้วย
เส้นทางขับรถขึ้นสวนสนภูกุ่มข้าวเพื่อดูสนสามใบ

     ผมอาบน้ำเสร็จโดยสวัสดิภาพ ถามลูกชายซึ่งอาบห้องที่แก้สระเบิดดังบึมก่อนหน้านี้ว่ายูอาบน้ำอย่างไร ลูกชายตอบว่าเขาเปิดแก้สแล้วรีบวิ่งออกมาดูเชิงนอกห้องน้ำก่อน เมื่อเห็นระบบทำงานดีโดยไม่มีเสียงระเบิดก็จึงเข้าไปอาบได้โดยสวัสดิภาพเช่นกัน

     22 พย. 59

     หลับสบายบนอุทยานน้ำหนาวหนึ่งคืน ก่อนจากเราแวะชมสวนสนภูกุ่มข้าว คราวนี้ผมเปลี่ยนให้ลูกชายขับ ต้องขับรถไปถามถนนลูกรังประมาณ 14 กม. สองข้างทางเป็นป่าสนสามใบ บางช่วงก็ต้องขับรถลุยข้ามคลองน้ำแบบไม่มีสะพาน มุ่งหน้าขึ้นภูกุ่มข้าวด้วยตั้งใจว่าจะได้มองจากยอดเนินเห็นทิวยอดสนสามใบลานตา พอไปใกล้ถึง แวะถามคนงานอุทยานที่ตัดหญ้าสองข้างทาง เขาให้ความกระจ่างด้วยภาษากลางสำเนียงชัดเจนว่า

     “สวนสนภูกุ่มข้าวนะหรือ..มันเป็นเพียงอดีต เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว ฟ้าผ่าบ้าง ไฟป่าบ้าง เผาต้นสนหมดไป ต้นไม้อื่นขึ้นมาแทน”
สองเกลอผีตาโขนยุโรป ที่เมืองด่านซ้าย

     แป่ว..ว

     แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราขับต่อไปเพื่อให้เห็นว่าอดีตสวนสนภูกุ่มข้าวนั้นเป็นอย่างไร ขับปุเรงๆไปอีกสี่กม.ก็ได้เห็นอดีตนั้นสมใจ หิ หิ ไม่มีอะไรเลยจริงๆ นอกจากเนินที่ต้องเดินขึ้นจนเมื่อยขา

     เราบอกลาน้ำหนาว เป้าหมายวันนี้คือต้องไปนอนที่เชียงคาน เราขับย้อนกลับมาทางหล่มสัก เพราะผมอยากจะไปดูผีตาโขนที่ด่านซ้าย เนื่องจากยังไม่เคยเห็นด่านซ้ายมาก่อนเลยในชีวิต พอจะเข้าเขตเมืองด่านซ้ายก็เห็นผีตาโขนขนาดยักษ์อยู่ข้างทาง

     เราแวะชมพระธาตุศรีสองรัก ฟังว่าเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นในยุคที่เจ้าอยุธยาส่งลูกสาวไปแต่งงานกับเจ้าลาว
พระธาตุศรีสองรัก เล็ก น่ารัก และเอียงกะเท่เร่
แล้วถูกมือดีแฮ็บตัวไปให้ทางหงสาวดีเสียฉิบ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมไปเห็นเป็นเจดีย์ขนาดเล็กที่คลาสสิก ดั้งเดิม เอียงกะเท่เร่น่ารัก ไม่มีร่องรอยของการยัดเยียดอะไรสมัยใหม่เข้าไป แล้วก็ไปดูบรรดาหน้ากากผีตาโขนที่ตั้งแสดงอยู่ในมิวเซียมซึ่งอยู่ในวัด

     จากนั้นก็เดินทางต่อไป แวะดูวัดป่าห้วยลาด ซึ่งชื่อว่าวัดป่าแต่ตัววิหารนั้นมหึมามาก วิหารแม้จะใหญ่แต่ไม่น่าสนใจเท่าพระพุทธรูปแกะสลักจากหินแคลไซท์ทั้งองค์ขนาดใหญ่กว่าไดบุตซุที่ญี่ปุ่นโดยที่ความคลาสสิกและฝีมือไม่หนีกัน เวลาถ่ายรูปหมอสมวงศ์ซึ่งแต่งชุดดำนั่งพับเพียบอยู่หน้าองค์พระ ดูเธอเหลือตัวเล็กเท่านิ้วก้อยได้

     เดินหน้ากันต่อไป คราวนี้เราขับขึ้นไปทางอำเภอท่าลี่ เพื่อผ่านชนบทที่ไม่เคยเห็นแล้วไปชนชายแดนลาวแล้วขับเลียบลำน้ำโขงไปหาเชียงคาน ไปพักนอนอยู่ในโรงแรมจิ้งหรีดที่มีสภาพเป็นห้องแถวหันหลังชนแม่น้ำโขง ตกเย็นก็ออกเดินเลียบแม่น้ำโขงชมตะวันตกดินหลังที่พัก กลางคืนก็เดินถนนคนเดินหน้าห้องแถว บ้านเรือนที่นี่เป็นห้องแถวไม้ที่สงวนไว้ได้ดีเยี่ยม ดูเหมือนว่าทุกห้องแถวชั้นล่างจะเป็นอะไรก็ตาม ชั้นบนต้องเป็นโรงเตี๊ยมหรือเกสต์เฮ้าส์ ถนนคนเดินมีบรรยากาศดี แต่คนเดินไม่มากเหมือนที่ปาย ดูหน้าตาคนเดินแล้วเป็นคนไทยแทบทั้งหมด
พระหินแคลไซท์วัดป่าห้วยลาด

     23 พย. 59
มองออกนอกหน้าต่างห้องพักที่เชียงคาน

     ตกใกล้รุ่งได้ยินเสียงวัดที่ฝั่งลาวย่ำระฆังดังหง่างเหง่ง เราจึงตื่นเช้าและตักบาตรพระที่พากันเดินแถวมาหน้าห้องแถวนั่นแหละ แล้วก็ขับรถไปดูภูทอก ซึ่งเป็นที่คนพากันไปดูหมอกก่อตัวขึ้นเหนือโค้งแม่น้ำโขงในตอนเช้าซึ่งเป็นภาพที่สวยเชียว สวยไม่แพ้ทะเลหมอกที่ใหนๆ หรืออาจจะสวยกว่าเพราะมีโค้งแม่น้ำโขงประดับเป็นโลว์กราวด์ในยามที่หมอกจางลง

      ออกจากเชียงคานเราขับลงใต้ กะว่าจะแวะดูสถานที่เรียกกันว่า “เสด็จพ่อร.5 วิมานหมอก” ซึ่งฟังว่าเป็นสถานที่ร.5 เคยเสด็จมาทอดพระเนตรหมอกที่นั่น เมื่อจีพีเอส.พาไปถึงแล้ววนเวียนหาทางเข้าไม่เจอ ถามชาวบ้านก็บอกว่าอยู่แถวนั้นแหละ ถามแม่ค้าคนหนึ่งว่าสวยไหม เธอตอบเป็นภาษากลางว่า

     “เอ้อ..จะพูดไงดีละ มันเคยสวย”
พลเอก จารุภัทร เรืองสุวรรณ ที่ในไร่

     ทำให้เราล้มเลิกความตั้งใจที่จะค้นหา จึงมุ่งหน้าต่อไป เพื่อไปยังอำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น อันเป็นเป้าหมายที่จะไปค้างคืน ที่นั่นเป็นไร่ส่วนตัวของคนระดับไฮโปรไฟล์คู่หนึ่ง ฝ่ายสุภาพสตรีนั้นเป็นแพทย์ผู้ใหญ่ เป็นมิตรต่างวัยของหมอสมวงศ์ เธอเกษียณจากตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันเด็กแห่งชาติ หรือที่รู้จักดีในภาษาบ้านๆว่า รพ.เด็ก ส่วนฝ่ายสุภาพบุรุษนั้นเป็นนายทหารใหญ่ยศพลเอก จบปริญญาเอกที่อเมริกา สอนอยู่โรงเรียนนายร้อยแล้วก็ออกจากราชการประจำมาเป็นกกต.ในยุคที่การเมืองยุ่งตุงนัง ชื่อ พลเอก จารุภัทร เรืองสุวรรณ เขียนมาถึงตรงนี้ผมอยากจะเล่าเรื่องราวของท่านให้ผู้อ่านได้เรียนรู้วิธี “พลิกผันโรคด้วยตนเอง” ท่านอนุญาตให้ผมเปิดเผยชื่อท่านได้ซึ่งผมต้องขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

     เรื่องราวของท่านนายพลเริ่มต้นเมื่อหลังจากกินยารักษาไขมันในเลือดสูงและความดันเลือดสูงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แพทย์ตรวจพบว่าท่านเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 และผลการตรวจสมรรถนะหัวใจ (EST) ได้ผลบวก และแพทย์แนะนำให้ท่านเข้ารับการตรวจสวนหัวใจโดยมีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่การทำบอลลูนใส่ขดลวดเพื่อแก้ปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบ ณ จุดนี้ท่านนายพลและอาจารย์หมอผู้เป็นภรรยาได้แวะมาหารือผมที่บ้านมวกเหล็ก ซึ่งเราได้คุยกันถึงข้อมูลและทางเลือกที่มีอยู่สองทาง คือรักษาแบบรุกล้ำ อันหมายถึงการเดินหน้าสวนหัวใจ ใช้บอลลูน หรือผ่าตัดสุดแล้วแต่ผลการตรวจจะพาไปโดยยอมรับความเสี่ยงที่ไตจะทรุดลงไปกว่าเดิม หรือไม่ก็รักษาแบบไม่รุกล้ำ อันหมายถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตนเองไปอย่างสิ้นเชิง ในประเด็นการเปลี่ยนอาหารมากินพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำ ไม่กินอาหารที่สกัดเอามาแต่แคลอรี่อย่างน้ำตาลหรือน้ำมันผัดทอดอาหาร ควบกับการออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด

     ท่านนายพลบอกว่าเมื่อมีทางเลือกอย่างนี้ ผมตัดสินใจเลย คือเลือกที่จะดูแลตัวเอง หลังจากนั้นท่านก็ส่งข่าวเป็นระยะๆ เริ่มจากการลดน้ำหนักลงได้ถึง 13 กก. ค่อยๆลดยาความดันลงจนเลิกได้หมดโดยที่ความดันเลือดยังปกติ ผลการตรวจการทำงานของไตกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่เมื่อหยุดยาลดไขมันก็พบว่าระดับไขมันในเลือดซึ่งคุมได้อยู่ดีๆกลับกระโดดขึ้นไป ผมอธิบายให้ฟังว่ายาลดไขมันลดไขมันของเราลงได้ถึงประมาณ 50% เมื่อเราหยุดยา เป็นธรรมดาที่ไขมันในเลือดจะเด้งขึ้นไป หากมันขึ้นไปไม่ถึง 50% หรือไม่ถึงระดับเดิมก่อนที่เราจะกินยา ก็ถือว่าระดับไขมันในเลือดของเราดีขึ้นจากอาหาร และแนะนำให้ท่านเดินหน้าปรับลดไขมันในอาหารต่อไปไม่ท้อถอยโดยลดปริมาณอาหารเนื้อสัตว์ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อแดงอย่างเนื้อหมูเนื้อวัว ซึ่งเมื่อท่านลดอาหารเนื้อสัตว์ลงจนแทบจะเหลือแต่ปลาก็ได้ผลดียิ่ง จนทุกวันนี้ไขมันในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ และหยุดยาทุกตัวไปแล้วอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นยาความดันหรือยาลดไขมัน ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งก็คืออาจารย์หมอภรรยาของท่านที่ทานอาหารเหมือนกันก็พลอยเลิกยาเบาหวานและยาลดความดันที่ต้องกินอยู่ประจำมาหลายปีได้ด้วย

     ความสำเร็จของการพลิกผันโรคด้วยตัวเองของท่านนายพลท่านบอกว่ามาจากปัจจัยสำคัญยิ่งตัวเดียว คือ “วินัยตนเอง” ความที่มาจากครอบครัวที่มีระเบียบวินัย พอเป็นหนุ่มก็มาเป็นทหาร และตอนไปเรียนปริญญาโทปริญญาเอกก็ต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเองอยู่เมืองนอกรู้เห็นวิธีคิดวิธีทำงานของฝรั่งอยู่ถึง 5 ปี จึงซึมซับความมีวินัยและการรู้จักบริหารจัดการตนเองไว้ในสายเลือด เมื่อศึกษาจนรู้ว่าอะไรควรทำแล้วก็จะลงมือทำด้วยตนเองทันทีโดยไม่อิดออดอ้างโน่นอ้างนี่ และท่านก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้ช่วยแนะนำเพื่อนฝูงและญาติใกล้ชิด มีอยู่ครั้งหนึ่งญาติส่งหลานชายที่อ้วนและป่วยโดยไม่ยอมดูแลตัวเองมาให้ท่านคุยด้วย ท่านพูดกับหลานสั้นๆว่า

     “เอ็งอยากตายหรือเปล่า 
เอ็งจะให้แม่ซึ่งแก่แล้วมาเผาศพเอ็ง 
หรือเอ็งอยากจะอยู่เป็นคนทำศพให้แม่ 
ถ้าเอ็งอยากตายก็ทำตัวแบบเดิมไป 
แต่ถ้าเอ็งยังไม่อยากตาย 
อยากจะอยู่เผาศพแม่ด้วยตัวเองก็เปลี่ยนตัวเองซะ”

     ท่านเรียกวิธีการของท่านว่าเป็น “ยาแรง” ซึ่งบางครั้งก็ได้ผล บางครั้งก็ไม่ได้ผล ยกตัวอย่างเช่นหลานชายคนนี้เป็นกรณีที่ได้ผล ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เขาลดน้ำหนักตัวเองไปได้ 12 กก.และทำตัวให้แม่ที่แก่แล้วได้ชื่นใจเป็นอย่างมาก

     การมาค้างคืนที่ไร่ของนายพลครั้งนี้ก็เพราะผมสัญญากับท่านไว้ เนื่องจากตอนนั้นผมเห็นว่าการควบคุมความดันเลือดของท่านมันขึ้นๆลงๆเพราะมีปัจจัยความเครียดเข้ามาเกี่ยวข้อง ประกอบกับท่านเล่าให้ผมฟังว่าท่านมีไร่อยู่ที่ขอนแก่น ผมจึงบอกท่านว่าเมื่อใดที่ท่านทิ้งกรุงเทพไปใช้ชีวิตอยู่ในไร่ที่ขอนแก่น ผมจะแวะไปเยี่ยมท่าน ตอนนี้ทั้งสองท่านได้ทิ้งกรุงเทพฯมาอยู่ถาวรที่ไร่อย่างแท้จริงแล้ว ผมจึงแวะมาเยี่ยมตามสัญญา
กระดูกไดโนเสาร์ของจริงที่ยังฝังอยู่ในหินท้องธารที่หลุม 9

24 พย. 59

     รุ่งเช้าท่านนายพลและอาจารย์หมอผู้หญิงพาพวกเราไปตระเวนชมที่ต่างๆในอำเภอเวียงเก่า ที่ประทับใจผมมากที่สุดคือการที่เราได้มีโอกาสเดินเท้าขึ้นเขาไปยังหลุมขุดค้นซากไดโนเสาร์หลุมที่ 9 ซึ่งยังคงรักษาสภาพกระดูกสันหลังและหางของไดโนเสาร์รุ่นปู่ของ T. Rex ที่ฝังอยู่ในหินกลางทางน้ำไหลไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ผมถ่ายรูปมาให้ดูด้วย

     จบทัวร์เวียงเก่าแล้ว เรากินอาหารสุขภาพมื้อเที่ยงส่งท้ายที่บ้านในไร่ มื้อนี้มีส้มตำข้าวเหนียว ท่านนายพลและอาจารย์หมอผู้หญิงเอาข้าวเหนียวที่สีแบบข้าวกล้องมาให้กินกับส้มตำ ทำให้ผมได้ความรู้ใหม่ว่าที่ใครต่อใครว่าข้าวเหนียวสีเป็นข้าวกล้องไม่ได้ ถึงสีได้ก็กินไม่ได้เพราะมันแข็งนั้นไม่เป็นความจริงเลย เพราะมันสีได้ และกินได้อร่อย ไม่แข็งด้วย มันขึ้นอยู่กับวิธีนึ่ง คือแช่น้ำนานหน่อย ใส่น้ำมากหน่อย มันก็จะนุ่มและอร่อยเอง

     เราบอกลาเจ้าภาพใจดีเอาเมื่อใกล้ค่ำเพื่อเดินทางต่อไปยังร้อยเอ็ด ไปพักอยู่ที่กระท่อมปลายนาของเพื่อนอีกท่านหนึ่ง ซึ่งเกษียณอายุจากการเป็นนายแพทย์สสจ.และการเป็นสมาชิกวุฒิสภา มาใช้ชีวิตทำงานอดิเรกเช่น ทำนา ทำสวน เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เลี้ยงปลา ปลูกผัก ขณะเดียวกันก็ดูแลร้านอาหารของภรรยาไปด้วย
คุณปุ้ย (กรรณิการ์) ชาวไร่แตงเมล่อนข้างถนน ที่ร้อยเอ็ด

     25 พย. 59

     ตื่นเช้าจากกระท่อมปลายนา เราเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเพื่อเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านตากลาง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเลี้ยงช้างที่ จ.สุรินทร์

     ระหว่างทางได้มีโอกาสแวะกินไอติมเมลอนที่สวนเมล่อนใหม่ของเกษตรกรรุ่นใหม่หน้าตาสวยชื่อคุณกรรณิการ์ เธอเป็นเด็กรุ่นใหม่เรียนหนังสือสูงและใจถึง เอาที่ดินไปตึ๊งธกส.เพื่อทำสวนเมล่อนนี้ เธอคิดอ่านทำไอติมเมลอน เค้ก คุ้กกี้ ขนมปังเมลอน ซึ่งทุกรายการถือได้ว่าอร่อยหมด
แล้วขับต่อไป ยังวัดที่เล็กมากระดับมีพระเณรแค่สามองค์ ชื่อวัดราศีไสล (ประมาณนี้) แวะนมัสการ “หลวงพ่อปลูกผัก” หิ หิ ไม่ใช่ชื่ออย่างเป็นทางการของท่านนะครับ ผมตั้งให้เอง ท่านเป็นพระ
โบสถ์ที่คลาสสิกที่สุดของการมาเที่ยวอิสานครั้งนี้ อยู่ที่วัดราษีไสล จ.ร้อยเอ็ด

ภิกษุตัวเป็นๆเนี่ยแหละ แต่ว่าสอนชาวบ้านให้ปลูกผักโดยเทคโนแบบสูงแต่ง่าย ทั้งปลูกในน้ำและปลูกแบบอินทรีย์
เพาะเชื้อราไทโคโมนาส ในวัดมีงานวิจัยของท่านที่บ้างสำเร็จแล้ว บ้างเจ๊งไปเพราะพายุ เช่นโซลาเซลสูบน้ำเลี้ยงผักซึ่งกำลังเวอร์คดี กังหันลมซึ่งโดนพายุพัดใบหัก และที่เหน็ดขนาดคือระบบสูบน้ำที่ดึงน้ำขึ้นมาเองโดยอาศัยแรงตึงผิว (fluid pumping with surface tension) ผมเพิ่งเคยได้อ่านเกี่ยวกับเทคโนโลยีแบบนี้ในหนังสือ TIME ไปเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนี้หลวงพ่อเอามาทดลองแล้วเรียบร้อย แต่ท่านบอกว่ากำลังลุ้นผลอยู่พายุก็มาลุยเสียก่อน นี่พายุไปแล้ว ท่านกำลังตั้งท่าจะลุ้นใหม่

     ในวัดนี้ผมพบโดยบังเอิญว่าโบสถ์เล็กของวัดนี้ที่หลวงพ่อเรียกว่า “สิม” เป็นอาคารที่มีอายุเกิน 200 ปี และมีสถาปัตยกรรมที่คลาสสิกมาก สวยน่าประทับใจกว่าโบสถวิหารใดๆตั้งแต่เดินทางมาครั้งนี้ ผมถ่ายรูปมาให้ดูด้วย

     แล้วก็ขับต่อไปยังเมืองสุวรรณภูมิเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนนักเรียนแพทย์รุ่นเดียวกันอีกคนหนึ่งซึ่งเราเรียกกันสมัยเรียนหนังสือว่าคุณหมอเปี๊ยะ ท่านต้อนรับเราที่บ้านหลังใหม่ของท่านเอง เป็นเพื่อนคลาสเมทที่ไม่ได้พบกันมาเลยตั้งแต่ปี 2525 เขาเรียนหนังสือเก่ง และยืนหยัดเป็นแพทย์ชนบทมาได้หลายสิบปี เป็นผู้อำนวยการรพ.สุวรรณภูมิอยู่นาน เมื่อเขาเกษียณต้องย้ายออกจากบ้านหลวง เขาปลูกบ้านที่เขาออกแบบให้เหมือนกับบ้านพักแพทย์ในโรงพยาบาลราวกับแกะ ทั้งประตูเข้าออกทางไหน ห้องน้ำวางตรงไหน ห้องครัววางตรงไหน ทำเหมือนกันหมด เขาให้เหตุผลง่ายๆว่า

     “ขี้เกียจปรับตัวกับบ้านใหม่” 
ที่เห็นเล็มหญ้าอยู่กลางทุ่งนั้นนะ..ช้างนะพี่ ไม่ใช่ควาย

     เขายังเล่าด้วยความภูมิใจว่าแม้แต่หมาของเขาก็ไม่มีปัญหาเลยกับบ้านใหม่ พอวางมันลงมันก็วิ่งปร๋อได้อย่างคุ้นเคย เออหนอ บ้านใหม่ในอุดมคติของคนเรานี้ มันช่างต่างจิตต่างใจ และคนที่อยากได้บ้านใหม่ที่เหมือนบ้านเก่าเด๊ะก็มีแฮะ

     ลาจากเพื่อนออกจากสุวรรณภูมิแล้ว เราขับไปยังหมู่บ้านท่ากลาง อำเภอดอนตูม จ.สุรินทร์ พอขับผ่านท้องนาที่ชายหมู่บ้านก็เห็นช้างเล็มหญ้าอยู่ตามท้องนาราวกับวัวควายแต่ว่าขนาดใหญ่กว่า เราขับตระเวนดูบ้านที่เลี้ยงช้างไว้ใต้ถุนบ้าง หลังบ้านบ้าง แวะเล่นกับลูกช้างซึ่งนอกจากจะนั่งสวัสดีได้ หอมแก้มลูกค้าได้แล้ว ยังใช้งวงรับแบงค์ที่คนบริจาคให้ได้ด้วย

     จากหมู่บ้านช้างเรามุ่งหน้าเข้าเมืองบุรีรัมย์ มาถึงเมืองเอาตอนมืดแล้ว เมืองเงียบเชียบ ผมถามเด็กปั๊มน้ำมันว่าจะกินจะนอนที่ไหน เด็กแนะนำว่าให้ไปกินที่ไอโมบาย ส่วนที่นอนเธอบอกชื่อรีสอร์ทพร้อมกับบอกราคาให้เสร็จว่าคืนละ 450 บาท ผมถามว่าที่แพงกว่านี้หน่อยไม่มีหรือ เธอบอกอีกชื่อหนึ่งและบอกทางไป เราขับไปจนถึงก็พบว่ารีสอร์ทเต็ม ถามสนนราคาตกห้องละ 500 บาท ซึ่งก็ยังน่ากังวลอยู่ดีว่าเก็บราคานี้จะเอางบที่ไหนจ่ายค่าซักผ้าปูที่นอนปลอกหมอน หรือว่าใช้ระบบซักแห้ง เราตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกินที่ไอโมบายก่อนแล้วค่อยหาที่พักกันต่อ เมื่อไปถึงก็พบว่าที่ทั้งเมืองบุรีรัมย์เงียบกริบนั้นเพราะคนทั้งเมืองมาอยู่ที่นี่กันหมดนั่นเอง สถานที่นี้เป็นทั้งปาร์ค เป็นทั้งสนามกีฬา และเป็นทั้งตลาดชนบทแบบฝรั่งที่เรียกว่าวิลเล็จมาร์เก็ต มีรถจอดอยู่ในที่จอดรถเกินร้อยคันขึ้นไป ผู้คนนั่งปิคนิกกินหมูย่างจิ้มแจ่วกันเต็มสนามหญ้าไปหมด ในส่วนที่เป็นวิลเล็จมาร์เก็ตนั้นก็มีคนหนุ่มสาวแต่งตัวทันสมัยไปเต๊ะท่าถ่ายรูปกันไม่ขาดแม้จะเป็นกลางคืน เรากินข้าวเย็นพลางค้นหาโรงแรมจากอินเตอร์เน็ทพลาง ก็ได้รีสอร์ทที่สนนราคาพอจะเชื่อถือได้แห่งหนึ่งชื่อธารารีสอร์ท ห้องละ 1,500 บาท จึงขับไปพักที่นั่น ซึ่งก็เป็นที่พักที่สะอาดและเงียบสงบน่าพักสมใจ
ปราสาทเมืองต่ำ เล็กแต่โรแมนติกกว่าพนมรุ้ง

     26 พย. 59

วันนี้เราออกจากโรงแรมแต่เช้าเพื่อไปดูปราสาทเมืองต่ำซึ่งพวกเรายังไม่เคยเห็น เป็นปราสาทที่มีสีส้มแกมเหลืองโรแมนติกสวยงามมีบึงดอกบัวขนาบข้าง หน้าตาปราสาทละม้ายคล้ายคลึงกับปราสาทบันทายศรีที่ประเทศเขมร แล้วขับต่อไปยังปราสาทพนมรุ้ง เราเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งเมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้วเพื่อพาเพื่อนหมอชาวญี่ปุ่นและชาวนิวซีแลนด์มาเที่ยว ตอนนั้นหมอพอเพิ่งอายุสี่ขวบ ยังจำความไม่ได้ ไปถึงก็พบว่าพนมรุ้งยังเหมือนเดิมทุกประการ ใหญ่กว่า สูงกว่า แต่ความโรแมนติกสู้ปราสาทเมืองต่ำไม่ได้

จากพนมรุ้งเราขับต่อไปอีกเขาหนึ่งชื่อเขาพระอังคารตามคำแนะนำของคุณหมอเปี๊ยะว่าบนเขานี้มีวัดทรงแขกอยู่วัดหนึ่ง เราขับผ่านชนบท ต้องคอยหลบแผงตากข้าวเปลือกที่ชาวนาเอาขึ้นมาตากบนถนน บางเจ้าตากเลนซ้าย บางเจ้าตากเลนขวา ต้องคอยขับรถซิกไปแซกมา ในที่สุดก็มาถึงบนยอดเขา มีพระนอนไซส์ยักษ์สีเหลืองจ๋อยนอนตะแคงรอเราอยู่ที่ลานจอดรถหนึ่งองค์ เมื่อเดินขึ้นไปยังตัววัดก็ต้องเซอร์ไพรส์ ผมคาดหมายว่าจะมาพบเทวาลัยหินเก่าๆหักๆสไตล์อินเดียอยู่บนยอดเขาแบบอันซีนไทยแลนด์ แต่ของจริงกลับกลายเป็นวัดใหม่สีเลือดหมูแจ๋ รั้วรอบวัดทำด้วยพระปูนหล่อนั่งห่มผ้าสีเหลืองเรียงแถวแทนกำแพง ไหนๆก็มาถึงแล้วก็ต้องถ่ายรูปมาให้ดู ความจริงของเก่าที่นี่ก็มีเหมือนกัน เป็นใบเสมาหินสมัยทวาราวดีซึ่งตั้งไว้ให้คนปิดทอง แต่พินิจให้ดีแล้วเศียรของเทวดาในใบเสมานั้นเป็นปูนหล่อใหม่แปะเข้าไป จึงทำให้ของเก่าเสียความขลังไปโข
นึกว่าจะมาเจอเทวาลัยแขกสร้างด้วยหิน กลายเป็นงี้ไป

บ่ายแล้ว เราขับตียาวลงจากเขาพระอังคารเข้านางรองมุ่งหน้าสีคิ้ว แต่พอถึงทางแยกที่จะเลี้ยวไปด่านเกวียนก็อดแวะไม่ได้จึงขับแวะเข้าไปเพื่อหาซื้อที่ให้นกกินน้ำปั้นด้วยดินเผาสักอันจะเอามาไว้ที่โกรฟเฮ้าส์ แต่ขับตระเวนร้านไหนๆก็ขายแต่ตุ๊กตาประดับสวนทาสีแจ๊ด..ด ไม่ถูกทศนิยมของคนแก่ จึงอำลาด่านเกวียนมาโดยไม่ได้อะไรติดมือมาเลย ผ่านมาจะออกถนนมิตรภาพก็เผอิญผ่านพิพิธภัณฑ์ต้นไม้กลายเป็นหิน จึงชวนกันแวะชม เห็นป้ายขนาดใหญ่เขียนไว้ว่าสร้างโดยกรมทรัพยากรณ์ธรณีมอบให้จังหวัด แล้วจังหวัดมอบต่อให้สถาบันราชภัฎเป็นผู้ดูแล หึ หึ ตีความเอาจากป้ายนี้คงหมายความว่าผู้สร้างหาง่าย แต่ผู้ดูแลหายาก เรามาถึงเมื่อหมดเวลาและปิดไฟไปแล้ว ผู้ดูแลใจดีให้เราเดินชมฟรีหากทนความมืดได้ อย่างน้อยเราก็ได้เห็นฟอสซิลของต้นไม้กลายเป็นหินที่หลากหลายน่าสนใจพอควร

ขึ้นถนนมิตรภาพได้ก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว เราขับยาวกลับมานอนที่บ้านมวกเหล็ก เมื่อจอดรถที่บ้าน เปิดประตูรถออกมาก็พบว่า ฮ้า.. เดินทางไปหลายจังหวัดเที่ยวนี้ แต่ที่อากาศเย็นที่สุดกลับกลายเป็นที่อำเภอมวกเหล็กจังหวัดสระบุรีนี่เอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

16 พฤศจิกายน 2559

กลัวว่าตายไปแล้วไม่่มีชาติหน้า จึงอยากหาให้พบในชาตินี้

สวัสดีค่ะ คุณหมอ

ขอถามปัญหาชีวิตหน่อยค่ะ
อายุ 28 ปีแต่เกิดวิกฤติวัยกลางคนค่ะ
คือ ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ต้องการอะไรกันแน่..เหมือนอยู่ไปวันๆ

ทำงานเพียงเพื่อให้มีปัจจัยในการดำรงชีวิต แต่ก็ไม่ได้พิศวาทในงานเท่าไหร่นัก  ทำงานแค่ให้สังคมไม่ตราหน้าว่าเราขี้เกียจ
คนที่คบหาก็พยายามคบเป็นแค่เพื่อน  ไม่กล้าแต่งงาน ไม่กล้ามีลูก ไม่กล้าสร้างหนี้บ้านหนี้รถ

พยายามปลอบใจตัวเองว่า ไม่ได้ต้องการของพวกนี้ อยู่แบบนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว สันโดษดี แต่พอมองลงไปในใจตัวเองจริงๆก็ไม่แน่ใจว่า ตัวเองสันโดษจริงมั้ย เพราะ
ยังคงมองเพื่อนๆแล้วอิจฉา คนที่เค้ามีชีวิตที่ดี มีอาชีพที่สร้างรายได้ดีมีรถบ้านสามี  หรือบางทีก็อิจฉาน้องในมหาวิทยาลัยที่เค้ามีอาชีพในฝันที่อยากทำ

ปล.งานที่ทำอยู่ไม่ได้มีปัญหานะคะ เพราะดันเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่เป็นexpert เป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนเรียนแล้วค่ะ คือ เอ็นทรานซ์ตามคณะฮิตๆมหาวิทยาลัยดังๆ เเต่ก็เรียนจบจนโดยไม่รู้ว่าใช่คณะที่ชอบมั้ย

สรุปคือ กลัวว่าตายไปแล้วไม่มีชาติหน้า
..ชาตินี้จึงอยากรู้"วิธีค้นหา" ว่า ตัวเองต้องการอะไรในชีวิตกันแน่ "วิธีค้นหา"ว่า อะไรคือเป้าหมายในชีวิตที่ตัวเองต้องการค่ะ
ขอความกรุณาคุณหมอค่ะ

..................................................

ตอบครับ

     นานๆก็หยิบจดหมายน้ำเน่าไร้สาระของเด็กๆขึ้นมาตอบซะที แฟนประจำที่เป็นคนสูงอายุไม่ว่ากันนะครับ

     คุณเป็นคนวัยหนุ่มสาวที่มีการศึกษาสูง มีงานมีการที่ดีและมั่นคงทำ และทำงานได้ดี แต่ทำไปสักพักก็รู้สึกว่าชีวิตนี้มันช่างอ้างว้างโหวงเหวง ไม่คุ้มค่าที่เกิดมา เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง นี่เป็นประสบการณ์ชีวิตปกติที่คนส่วนใหญ่ประสบ

    บางคนปักใจเชื่อว่าสิ่งที่ขาดไปคือการได้แต่งงาน มีเซ็กซ์ ก็จึงดิ้นรนขวานขวายไปแต่งงาน ไปมีเซ็กซ์ เพื่อการนี้บางคนไปทำศัลยกรรมตกแต่ง เสริมหรือลดริมฝีปาก เหลาจมูก ตัดกราม ฯลฯ เพื่อให้ได้มีโอกาสแต่งงาน ได้มีเซ็กซ์ แต่เมื่อไปถึงตรงนั้นแล้ว สถิติคนรุ่นคุณปัจจุบันนี้พบว่าประมาณ 50% ไปแล้วก็ถอยกลับเพราะว่านั่นก็..ไม่ใช่

     บางคนปักใจเชื่อว่าสิ่งที่ขาดไปคือการมีลูก ก็ดิ้นรนขวานขวายที่จะมีลูก ไปทำเด็กหลอดแก้วไปทำกิฟท์ทำอิ๊กซี่ พอมีลูกแล้วส่วนหนึ่งก็พบว่าไม่ใช่ ในจำนวนนี้ ส่วนหนึ่งตัดสินใจถอยกลับโดยเอาลูกไปแหมะไว้ให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง ส่วนตัวเองนั้นปร๋อไปค้นหาสิ่งใหม่ต่อไป ซึ่งก็มักจะตกลงไปในร่องเดิมซ้ำซากอย่างกับหนังเรื่องชีวิตบัดซบของนางสาวกิ่งกาญจน์ ภูวดล (ชื่อนางเอกหนังเมื่อราว 50 ปีก่อน) อีกส่วนหนึ่งมีมานะไม่ยอมถอยกลับ แม้จะพบว่าไม่ใช่ก็ต้องหวานอมขมกลืนเลี้ยงลูกไปเพราะยังมีสำนึกผิดชอบชั่วดีว่าตัวเองทำให้เขาเกิดมาแล้วก็ต้องเลี้ยง กลุ่มหลังนี้ที่เป็นแฟนบล็อกหมอสันต์อยู่ก็มีไม่น้อย สังเกตจากจดหมายที่ถามปัญหาเรื่องลูกเข้ามาไม่ขาดสาย

     บางคนปักใจเชื่อว่าการทำงานหาเงินให้ได้มากแล้วเกษียณอายุเร็วๆจะได้มีชีวิตที่สบายในบั้นปลาย พวกนี้จะเป็นกลุ่มผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเช่นความดัน ไขมัน เบาหวาน อ้วน อัมพาต ส่วนหนึ่งได้เกษียณโดยมีเงินสมใจ แต่ก็ไม่พบกับความรู้สึกที่คาดหมายว่าจะพบ เพราะเงินที่เก็บไว้ไม่ว่าจะเก็บได้กี่แสนกี่ล้านก็ตาม ก็พบว่ามันไม่พออยู่ดี แล้วการเกษียณที่คาดหมายว่าจะเป็นช่วงที่ดีของชีวิตนั้น พอเดินทางมาถึงจริงๆกลับพบว่ามันช่างว่างเปล่า บางคนไปเที่ยวแล้วก็ไปเป็นทุกข์เพราะการท่องเที่ยว ไปเที่ยวแสวงบุญที่อินเดียก็ไปเป็นทุกข์เพราะเห็นพระไทยที่อินเดียทำตัวรุ่มร่าม เป็นต้น บางคนดิ้นรนขอต่ออายุในที่ทำงานเดิม หรือไม่ก็ดิ้นรนไปหางานอะไรทำใหม่ ซึ่งก็คือกลับเข้าสู่วงจรความเครียดจากการทำงานและการเกิดโรคเรื้อรังใหม่

     ทั้งหลายทั้งปวงนี้บ่งชี้ว่าใจของคนเรานี้มันเสาะแสวงหาอะไรที่มากกว่า ใหญ่กว่า กว้างกว่า ไกลกว่า ดีกว่า สิ่งที่มีที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อย่างไม่รู้จบไม่รู้สิ้น

     พูดถึงวิธีการขุดค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักชอบจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า passion นั้น วิธีการของฝรั่งก็คือย้อนกลับไปขุดค้นหาความประทับใจในวัยเด็กให้พบว่าตัวเองมีความสุขกับเรื่องอะไร แล้วนำมาเป็นแรงผลักดันให้มีความสุขกับการทำอะไรคล้ายๆกันนั้นในวัยผู้ใหญ่ นี่เป็นสูตรสำเร็จที่เขียนไว้ในหนังสือหรือสอนกันในหลักสูตร motivation ต่างๆของฝรั่ง สูตรนี้มันมีรากฐานมาจากความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยาที่ว่าคนเรานี้สนองตอบต่อสิ่งเร้าด้วยกลไกการสนองตอบเฉียบพลัน (reflex) ซึ่งกลไกนี้ได้เอาประสบการณ์ในอดีตมาเป็นส่วนหนึ่งของวงจรการสนองตอบด้วย เรียกว่า conditioned reflex ยกตัวอย่างเช่นเมื่อสั่นกระดิ่งก่อนให้หมากินอาหาร นานไปหมาได้ยินเสียงกระดิ่งก็น้ำลายไหลแล้ว แม้จะยังไม่เห็นอาหารหรือได้กลิ่นอาหาร เพราะการที่น้ำลายไหลนั้นเป็นการสนองตอบไปตาม conditioned reflex ที่มีความจำเรื่องเสียงกระดิ่งกับการกินอาหารเป็นส่วนหนึ่งของวงจรด้วย เพื่อให้คุณเข้าใจง่ายยิ่งขึ้้น ยกตัวอย่างเด็กเล่นขายของ เด็กคนหนึ่งเล่นขายของแล้วมีความสนุกสนาน สมองก็จะจำไว้ เล่นอีกก็มีแนวโน้มจะสนุกอีก ซ้ำซากๆ โตขึ้นเมื่อได้ไปทำอะไรที่คล้ายๆกันเช่นการทำมาค้าขายก็จะมีความสุขกับการได้ทำอย่างนั้น เปรียบเทียบกับเด็กอีกคนหนึ่งเล่นขายของแล้วถูกเพื่อนโกงหรือโดนเพื่อนเอาเปรียบหรือตัวเองแอบโกงเพื่อนแล้วเกิดความรู้สึกผิด ก็จะไม่ชอบเล่นขายของ เล่นอีกก็ไม่สนุกอีก เลยเลิกเล่น โตขึ้นหากต้องไปมีอาชีพที่คล้ายๆการเล่นขายของเช่นต้องมีเป้าหมายมียอดขายมีการทำกำไรก็จะไม่สนุกกับการต้องทำเช่นนั้น เพราะ conditioned reflex คอยกำกับให้ไปทางที่จะไม่มีความสุขกับมัน

    หลักการแสวงหา passion ของฝรั่งมีหลักเท่านี้เอง คือมองย้อนไปในอดีต มีโมเมนต์ไหนบ้างที่ทำให้เรามีความสุขอย่างโดดเด่น หรือสุขซ้ำๆซากๆ นั่นแหละเป็น passion ของเรา ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องทำให้เหมือนเดิมเด๊ะ แต่อะไรที่คล้ายกัน เช่นคนชอบเล่นกอล์ฟอาจทำงานขายหรือซ่อมไม้กอลฟ์ก็ได้เป็นต้น

     ยกตัวอย่างในชีวิตจริงอีกตัวอย่างหนึ่งผมมีเพื่อนคนหนึ่งเรียนจบแล้วก็เกกมะเหรกเกเร เอาดีอะไรไม่ได้จนพ่อแม่เป็นทุกข์พาลจะตายตาไม่หลับ ตัวเขาเองก็รักพ่อแม่และไม่อยากให้พ่อแม่เป็นทุกข์ แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิตของตัวเองดี เขามานั่งนึกย้อนว่าในอดีตมีโมเม้นท์ไหนบ้างที่มีความสุขจริงจัง เขาคิดได้ถึงโมเม้นท์เดียวคือสมัยที่พวกเราอายุราว 18 ปี ได้พากันเดินป่าไปตามดอยในเชียงใหม่ ไปที่ดอยแม้ว เห็นยายแก่แม้วคนหนึ่งอาศัยในกระต๊อบขนาดห้องส้วมซึ่งเอียงกระเท่เราใกล้พังและหลังคารั่ว พวกเราซึ่งมีสี่คนได้หยุดเดินป่าหนึ่งวันเพื่อช่วยกันซ่อมบ้านให้ยายแก่แม้วคนนั้นจนเสร็จ เพื่อนคนนี้เขาจำความรู้สึกได้ว่าเขาทำกระต๊อบนี้เพื่อยายแก่ที่ลำบากจะได้มีบ้านอยู่ เขาเอาความรู้สึกนั้นพาตัวเองไปเริ่มชีวิตการทำงานด้วยการไปรับจ้างรายวันเป็นคนงานก่อสร้างบ้าน ทุกวันที่ทำงานก็บ่มเพาะความรู้สึกเดิมที่ว่าทำไปเจ้าของบ้านเขาจะได้อยู่อาศัยอย่างมีความสุข จนเขาพัฒนาตัวเองกลายเป็นผู้รับเหมามีฐานะดีมีความสุข นี่เป็นตัวอย่างการเสาะหา passion ให้พบและอยู่กับมัน ตามแบบฉบับที่ฝรั่งเขาว่าไว้

     แต่ถ้าคุณจะเอาคำแนะนำจากหมอสันต์ ผมจะไม่แนะนำอย่างนั้นนะ เพราะไม่ว่าคุณจะจับเอาความประทับใจจากช่วงไหนของวัยเด็กมาเสาะหาสิ่งที่รักชอบและที่จะทำมันได้อย่างมีความสุขตลอดวัยผู้ใหญ่อย่างไร ท้ายที่สุดสิ่งนั้นหรืออาชีพนั้นมันก็เป็นเพียงบทละครเรื่องยาวบทหนึ่งที่คุณเลือกเล่น ตอนท้ายของละครคุณก็จะ "คิดได้" อยู่ดีว่านี่มันเป็นเพียงการเล่นละคร เป็นเพียงการเล่นขายของ แล้วก็เกิดความรู้สึกว่า เบื่อละ กลับบ้านหาแม่ดีกว่า ดังนั้นคำตอบเรื่องเป้าหมายในชีวิตที่คุณอยากได้หากคุณจะเอาในเวอร์ชั่นของหมอสันต์มันไม่เหมือนของฝรั่งและไม่เหมือนในตำราหรือในคอร์ส motivation ทั้งหลายนะ ต้องทำใจไว้ก่อน

      คือผมมองว่าสำหรับคนที่เรียนหนังสือจบแล้ว มีงานมีการดีๆทำแล้วอยู่ตัวแล้วอย่างคุณนี้ สิ่งที่เหลืออยู่ที่ควรค่าแก่การเสาะแสวงหามากที่สุดมีอยู่อย่างเดียว คือการเรียนรู้เกี่ยวกับตัวคุณเอง ใช่แล้ว ตัวคุณที่ประกอบด้วย (1) ร่างกาย (2) ความคิด และ (3) ความจำจากอดีตนี่แหละ คุณแสวงหาในนี้พอ ไม่ต้องไปเสาะหาอะไรที่ไหนอื่นอีกแล้ว..เชื่อผม

     เพราะปลายทางของการแสวงหาของทุกคนรวมทั้งคุณและผมด้วยก็คือ "ความสุข" ตัวผมเองนี้แก่ได้ที่พอจะเข้าใจแล้วว่าความสุขจากการเล่นละครไม่ว่าจะเป็นบทที่เราชอบมากแค่ไหน มันก็จะสุขเฉพาะตอนเล่นอยู่บนเวที แต่พอละครจบแล้ว มันก็จบ บ๋อแบ๋ ไม่มีอะไรเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่คุณเล่นละคร อินอยู่กับบท บางครั้งมันเกิดความเปลี่ยนแปลงแบบไม่คาดฝันในชีวิตขึ้นแบบนอกบท ความเจนจัดในบทบาทที่คุณฝึกซ้อมมาดีและเล่นได้ดีช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย แต่การเสาะแสวงหาคำตอบจากการเรียนให้รู้จักตัวคุณเอง จะช่วยคุณได้

     ที่ผมพูดว่าให้รู้จักตัวเองผมหมายถึงรู้จักร่างกาย ความคิด และความจำของคุณเอง จิตสำนึกรับรู้ (consciousness) ของคุณเอง รู้ว่ามันมีกลไกการทำงานอย่างไร มันก่อความสุขความทุกข์ให้คุณได้อย่างไร ทำอย่างไรคุณจึงจะอยู่กับมันและใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างมีความสุขและไม่ทุกข์

      ถ้าจะพูดให้ practical ยิ่งขึ้นก็หมายถึงการแยกให้ออกว่าความคิดก็เป็นส่วนหนึ่ง ร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่ง ตัวคุณอันหมายถึงจิตสำนึกรับรู้ (consciousness) ของคุณก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง คุณจะต้องเรียนรู้ที่จะถอยออกมามองความคิดอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองให้เป็น เรียนรู้ที่จะมองดูสถานะของจิต (state of mind) ตัวเอง เรียนรู้ที่จะมองสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวตามที่มันเป็นโดยไม่พิพากษาหรือใส่สีตีไข่ใส่อารมณ์ และคุณจะต้องเรียนรู้ที่จะเข้าถึง "ความสุขสงบจากภายใน (inner peace)" ผ่านการรับรู้พลังงานในร่างกายของคุณด้วยวิธีรับรู้ความรู้สึกบนผิวกายทั่วทั้งตัว และผ่านการมองสิ่งนอกตัวให้เห็นความนิ่ง ความว่าง และความเงียบ ของสรรพสิ่งต่างๆ รายละเอียดเรื่องพวกนี้มันแยะ ผมเคยพูดไปบ้างหลายครั้งแล้ว ผมขออนุญาตไม่พูดถึงอีกในที่นี้

     ทั้งหมดนี้คือทักษะ ซึ่งเปรียบเสมือนการว่ายน้ำ คุณไม่อาจว่ายน้ำเป็นหากคุณอ่านคู่มือว่ายน้ำแต่ไม่ยอมลงน้ำ

     วิธีเริ่มต้นที่ practical อีกวิธีหนึ่งคือให้คุณมาเข้าคอร์สฝึกสติรักษาโรคในชั้นเรียนถัดไปที่กำลังเปิดรับ (MBT3) คือ 18 กพ.60 (http://visitdrsant.blogspot.com/2016/11/mbt3-3.html) ผมขยายจำนวนรับเป็น 30 คน ยังมีที่ว่างเหลืออยู่สองสามที่ คุณน่าจะยังสมัครทัน แต่หากไม่ทัน คุณก็ลองไปหัดว่ายน้ำเองก่อน หากไม่สำเร็จ ก็ลองสมัครมาเรียนชั้นเรียนถัดไปเมื่อเขาเปิด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

13 พฤศจิกายน 2559

ยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะ (PPI) สัมพันธ์กับการเป็นโรคไตเรื้อรังมากขึ้น

     วันนี้อากาศที่มวกเหล็กดีมาก เย็นจัดจนน้ำมันมะพร้าวที่ผมใช้ทาผิวคนแก่กันแห้งเป็นประจำเกิดแข็งเป็นไขสีขาวเทจากขวดไม่ออก ลมเย็นดี ท้องฟ้าเป็นสีบลู แดดก็จัดดี ดอกไม้เริ่มให้สีที่สดใสกว่ายามหน้าฝน แม้แต่ดอกไม้ระดับขี้หมาอย่างต้อยติ่งและดาวกระจายที่หน้ากระต๊อบ เมื่อต้องแสดงแดดปลายฝนยามนี้ก็ยังเปล่งความสดใสได้เหลือเชื่อ ผมถ่ายรูปมาให้ท่านดูด้วย

     เมื่ออากาศเย็นลง ผมก็มีอารมณ์อยากดูของสวยๆงามๆมากกว่าอยากกินของดีๆ จึงได้ตัดสินใจโละผักสวนครัวบนแท่นสวนผักลอยฟ้าที่สนามซึ่งบางส่วนเช่นสะหระแหน่และผักชีฝรั่งนั้นทรุดโทรมได้ที่เพราะโดนฝน ผมโละออกไปส่วนหนึ่ง เพื่อแบ่งพื้น
ที่ให้ดอกไม้ที่มีสีสันเข้าไปอยู่แทน อากาศเพิ่งเริ่มเย็นอย่างนี้ดอกไม้เมืองหนาวสีเจ๋งๆยังไม่ออกดอก เท่าที่พอจะหาได้ตอนนี้ก็มีเบญจมาศหน้าเดิม แต่ว่าเมื่อขึ้นอยู่บนแท่นแข่งกับตะไคร้ใบโหระพาในกระเพาแล้ว ก็ถือว่า..สวยเกินพอ ไม่เชื่อดูรูปก็ได้

     วันเบาๆอย่างนี้ขอตอบจดหมายค้างสต๊อคฉบับนี้ก่อนนะ เขียนมานานมาก ผมเพิ่งได้จังหวะหยิบขึ้นมาตอบวันนี้

.......................................................

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ

     ผมอายุ 66 ปี อยู่ที่แคลิฟอร์เนีย เคยทำบอลลูนใส่ stent สามตัวเมื่อปี 2012 หลังทำก็สบายดี กินยาอยู่น้อยมาก คือ lipitor, aspirin, clopidogrel และ omeprazol เท่านั้นเอง แต่ปัญหาที่เขียนมาปรึกษาคุณหมอสันต์ก็คือหมอที่นี่วินิจฉัยว่าผมเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 คือมี GFR ค่อยๆลดลงมาจากหลังผ่าตัดใหม่ๆ 72 ลงมาเป็น 60 เมื่อสองปีก่อน แล้วมาเหลือแค่ 51 ในปีนี้ ผมได้อ่านบล็อกที่คุณหมอสันต์เขียนเรื่องโรคไตเรื้อรัง พยายามหาสาเหตุว่าของตัวเองเกิดจากอะไรก็ไม่พบ เว้นเสียแต่การฉีดสีทำ coronary angiogram แต่หลังจากฉีดใหม่ๆ GFR ก็ยังเจ็ดสิบกว่าอยู่เลย ยาแก้ปวดแก้อักเสบพวก NSAID ผมก็ไม่เคยกิน ยาปฏิชีวนะผมก็หลีกเลี่ยงไม่ใช้มาตลอด อายุขนาดนี้ผมก็ยังไปออกกำลังกายในยิมทุกวัน เบาหวานผมก็ไม่ได้เป็น ความดันผมก็ไม่สูง คุณหมอสันต์บอกว่าหากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำจะทำให้ไตเสียหาย ผมก็ระวังให้ร่างกายได้รับน้ำพอเพียงตลอดมา แต่ทำไมการทำงานของไตจึงเสื่อมลง ซึ่งหมอไตที่นี่บอกว่ามันเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว แต่หมอที่นี่ผมพูดอะไรกับเขามากก็ไม่ค่อยได้ เพราะเขาแค่อยากให้ผมตั้งใจฟังสิ่งที่เขาจะพูดเท่านั้น ซึ่งเขาก็พูดแค่ว่าไตเสื่อมลงเร็วอย่างนี้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้างให้ผมเตรียมใจ แต่ไม่เห็นบอกผมเลยว่าผมจะต้องทำอย่างไรไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น คือพูดง่ายๆว่าผมรู้สึกว่าหมอที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น family doctor หรือ nephrologist เอง ไม่ค่อยช่วยอะไรผมได้เลย

อยากปรึกษาคุณหมอสันต์ว่าทำอย่างไรผมจึงจะชลอการเสื่อมของไตได้ครับ

....................................................

ตอบครับ

     1. มาถึงตอนนี้แล้ว อย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บเลยนะว่าอะไรทำให้ไตพังมาเมื่อในอดีต มาเริ่มเอาตรงสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ ณ วันนี้ก็แล้วกัน สาเหตุที่จะทำให้ไตเสื่อมได้ต่อเนื่องนั้น นอกจากการฉีดสี การกินยาแก้ปวดแก้อักเสบ (NSAID) การกินยาปฏิชีวนะบางชนิด การเป็นเบาหวาน และการปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำอย่างที่คุณจาระไนมาแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นได้อีกหลายอย่างนะ เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ การเป็นโรคกลุ่มภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง การมีนิ่วในไต การมีถุงน้ำในไต การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอลมาก เป็นต้น ซึ่งผมไม่ทราบว่าคุณมีเหตุอะไรเหล่านี้บ้าง แต่ที่แน่ๆเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเป็นโรคไตเรื้อรังได้ในกรณีของคุณก็คือการกินยาลดการหลังกรดในกระเพาะในกลุ่ม proton pump inhibitor (PPI) ซึ่งในกรณีของคุณก็คือยา omeprazol ที่หมอเขาให้คุณกินตลอดมานับตั้งแต่หลังทำบอลลูนใส่ขดลวดถ่างนั่นแหละ

     คือคนทั่วไป แม้แต่แพทย์ส่วนใหญ่ ก็ยังค่อยไม่ตระหนัก ว่ายาลดการหลั่งกรดในกระเพาะในกลุ่ม PPI อย่าง omeprazol นี้มีความสัมพันธ์กับการที่ไตจะพังจนกลายเป็นโรคไตเรื้อรังมากขึ้น แต่ว่าหลักฐานวิทยาศาสตร์นั้นมีมาพักใหญ่แล้ว และมาชัดเจนมากขึ้นในปัจจุบัน กล่าวคืองานวิจัยใหม่ที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร JAMA งานหนึ่งได้ติดตามคนที่แต่เดิมไม่เป็นโรคไตแต่ต่อมากลายเป็นโรคไตจำนวน 10,482 คน ตามอยู่นานสี่ปี พบว่าคนกินยาลดการหลั่งกรดกลุ่ม PPI มีอุบัติการณ์เป็นโรคไตสูงกว่าคนไม่กินยานี้ถึง 24% กรณีกินยาไม่สม่ำเสมอ และสูงกว่าถึง 46% กรณีกินยาลดการหลั่งกรดวันละสองครั้งขึ้นไป ทั้งนี้เป็นการประเมินหลังจากได้วิเคราะห์แยกปัจจัยกวนเช่นโรคซึ่งเป็นสาเหตุให้ต้องใช้ยาลดการหลั่งกรดออกไปแล้ว

     2. คุณไม่ได้เล่าเรื่องอาหารการกินของคุณให้ผมฟัง แต่ประเด็นสำคัญในเรื่องอาหารกับการเป็นโรคไตเรื้อรังนั้น ตอนนี้เรามีหลักฐานในคนที่ชัดแล้วว่าการกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์ (เนื้อ นม ไข่ ไก่ ปลา) เป็นพื้น จะทำให้คนเป็นโรคไตเรื้อรังไตเสื่อมเร็วและตายมากกว่าคนที่กินมังสะวิรัติหรือกินอาหารพืชเป็นพื้น ทั้งนี้เราทราบจากงานวิจัยสุขภาพประชาชนสหรัฐ (NHANES-III) ตีพิมพ์ไว้ในวารสารโรคไตอเมริกัน (Am J of Kidney Dis) ซึ่งติดตามเรื่องอาหารและการป่วยและตายของผู้เป็นโรคไตเรื้อรังที่ได้ติดตามดูต่อเนื่องเกิน 6-8 ปีขึ้นไปจำนวน 1,065 คน พบว่ากลุ่มผู้กินโปรตีนจากสัตว์มากมีอัตราตาย 59.4% ขณะที่กลุ่มผู้กินโปรตีนจากพืชมากมีอัตราตาย 11.1% โดยที่แม้จะแยกปัจจัยกวนเช่นการมีอายุมาก สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นโรคร่วม อ้วน ไม่ออกกำลังกาย กินแคลอรี่มากเกิน ออกไปแล้ว ก็ยังเห็นความแตกต่างของอัตราตายที่ชัดเจนเช่นนี้อยู่ดี กล่าวคือคนเป็นโรคไตเรื้อรังถ้ากินสัตว์จะตายมาก ถ้ากินพืชจะตายน้อย

     ไหนๆก็พูดถึงเรื่องอาหารพืชกับคนเป็นโรคไตเรื้อรังแล้ว ผมขอพูดดักคอไว้ตรงนี้เลยว่าเมื่อผู้ป่วยคิดจะกินพืชเป็นหลัก หมอจะคัดค้านโดยให้เหตุผลว่าอาหารพืชโดยเฉพาะถั่วจะทำให้ฟอสฟอรัสหรือฟอสเฟตคั่งในร่างกาย ซึ่งความกลัวนี้เป็นความกลัวที่ไม่มีรากฐานอยู่บนข้อมูลหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงเลย ของจริงคือมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารคลินิกสมาคมโรคไตอเมริกัน (CJASN) ซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยวิธีแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม ยกแรกให้กินคนละแบบคือกลุ่มหนึ่งกินโปรตีนจากสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งกินโปรตีนจากพืช แล้วยกที่สองไขว้กัน (cross over) คือต่างกลุ่มต่างย้ายไปกินของกลุ่มตรงข้าม สรุปได้ผลว่าในน้ำหนักโปรตีนที่เท่ากัน ในช่วงที่คนกินโปรตีนจากพืชเป็นหลัก จะมีระดับฟอสเฟตในเลือดและในปัสสาวะต่ำกว่าในช่วงที่คนๆนั้นกินโปรตีนจากสัตว์เป็นหลัก ทั้งนี้คาดว่าเป็นเพราะโปรตีนจากพืชอยู่ในรูปของไฟเตท (phytate) ซึ่งดูดซึมสู่ร่างกายมนุษย์ได้น้อย ความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ได้จากห้องปฏิบัติการก็คือหากวิเคราะห์สัดส่วนฟอสเฟตต่อโปรตีนในอาหารโปรตีนจากสัตว์เทียบกับอาหารธัญพืชแล้ว อาหารธัญพืชมีสัดส่วนฟอสเฟตต่อโปรตีนต่ำกว่าโปรตีนจากสัตว์ ดังนั้น ตามหลักฐานทั้งสองอย่างนี้ อาหารโปรตีนจากพืชกลับจะดีกว่าโปรตีนจากสัตว์ในแง่ที่ลดการคั่งของฟอสเฟตได้ดีกว่าเสียอีก

     กล่าวโดยสรุป ผมแนะนำตามข้อมูลเท่าที่คุณให้มา ว่าคุณควรจะทำสองอย่างคือ

     อย่างที่หนึ่ง เลิกกินยาลดการหลั่งกรด omeprazol เสีย นี่เป็นการชั่งน้ำหนักความเสี่ยงของการกินกับการไม่กิน เพราะกรณีของคุณ ผลเสียของยาลดการหลั่งกรดมันมากกว่าประโยชน์ที่จะได้ หมอให้คุณกินยาลดการหลั่งกรดเพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดเลือดออกในกระเพาะอันเกิดจากการควบยาต้านเกล็ดเลือดสองตัว (aspirin กับ clopidogrel) วิธีเลิกยานี้ก็คือคุยกับหมอขอลดยาต้านเกล็ดเลือดเหลือตัวเดียว เพราะคุณทำบอลลูนมาตั้งหลายปีแล้ว การควบยาต้านเกล็ดเลือดสองตัวไม่จำเป็นหรอกครับ เพราะหลักฐานไม่ชัดว่ามีประโยชน์มากกว่ากินตัวเดียวจริงหรือไม่ เมื่อลดเหลือตัวเดียวแล้ว อุบัติการณ์เลือดออกในกระเพาะก็จะลดลง การเลิกยาต้านการหลั่งกรดก็จะมีความเสี่ยงน้อยลงกว่าอันตรายของยาที่ทำให้ไตพัง พูดง่ายๆว่ากินเสี่ยงไตพังเร็วขึ้น ไม่กินเสี่ยงเกิดลิ่มเลือด แต่ความเสี่ยงอย่างแรกมากกว่าอย่างหลัง ดังนั้นเลิกกินดีกว่า อนึ่ง โปรดอ่านฉลากยา omeprazol ให้ดี ยานี้เขาแนะนำว่าไม่ให้ใช้นานเกิน 1 ปีนะครับ ไม่ใช่ใช้กันเพลินจนลืมเลิกอย่างนี้

     อย่างที่สองที่คุณควรทำคือ ปรับอาหารการกินของคุณไปกินพืชให้มากขึ้น กินมังสะวิรัติได้ยิ่งดี

     ผมแนะนำคุณได้เท่านี้แหละ คำแนะนำของผมไม่ใช่กฎหมาย เป็นแค่คำแนะบนหลักฐานวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ควรมิควรก็แล้วแต่จะโปรด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

..................................................

จดหมายจากท่านผู้อ่าน

คุณหมอคะ ต้องทานตัวไหนแทนคะ ถึงลดผลข้างเคียงตรงนี้ แม่เป็นกรดไหลย้อนค่ะ ต้องทานวันละเม็ด

........................................................
ตอบครับ

     ข้อมูลงานวิจัย ณ ขณะนี้ ยาลดการหลั่งกรด (PPI) ตัวไหนก็สัมพันธ์กับการเพิ่มอุบัติการณ์โรคไตเรื้อรังไม่แตกต่างกัน แต่ผมอยากให้คุณสนใจประเด็นที่ว่าจำเป็นต้องกินยาลดการหลั่งกรดจริงหรือไม่มากกว่า เมื่อปีกลายองค์กร Ontario Pharmacy Reseach Collaboration ที่ออนตาริโอได้จัดประชุมผู้เชี่ยวชาญโรคไตและโรคทางเดินอาหารเจ็ดสิบกว่าคนเพื่อหาทางลดการใช้ยาลดการหลั่งกรดกลุ่ม PPI ลง ที่ประชุมได้สรุปแผนการใช้ยาซึ่งผมเห็นว่าเข้าท่าดีมาก คุณและท่านผู้อ่านท่านอื่นสามารถนำไปใช้ดูแลตัวเองได้ ดังนี้

     1. ให้ตรวจสอบหลักฐานที่ใช้เป็นข้อบ่งชี้ในการให้ยา PPI ถ้าไม่มีหลักฐานที่จะใช้เป็นข้อบ่งชี้ในการสั่งใช้ยาอย่างแท้จริง ให้หยุดยา

     2. ถ้าสั่งใช้ยาเพราะเป็นหลอดอาหารอักเสบ (esophagitis) จากกรดไหลย้อน ให้ใช้ยาไม่เกิน 4-8 สัปดาห์ แล้วส่องกระเพาะซ้ำ เมื่อภาวะหลอดอาหารอักเสบหายให้หยุดยา

     3. ถ้าเป็นแผลในกระเพาะอาหารไม่ว่าจะเกิดจากยาแก้ปวดข้อ (NSAID) หรือเชื้อบักเตรี H. pylori ที่รักษาด้วยยาลดการหลั่งกรดครบ 2-12 สัปดาห์แล้วและอาการหมดแล้วให้หยุดยาเลย

     4. กรณีให้ยาเพื่อบรรเทาอาการโดยไม่ได้ส่องตรวจกระเพาะอาหาร แล้วอาการนั้นหายไปนานเกินสามวัน ให้หยุดยาเลย

     5. การให้ยาเพื่อป้องกันแผลในกระเพาะจากความเครียดใน ICU ให้เลิกใช้เสีย เพราะไม่มีหลักฐานว่ามันลดอุบัติการเกิดแผลได้จริงหรือเปล่า

     6.  กรณีที่ยังต้องกินยาโดยหยุดไม่ได้คือกรณีมีหลักฐานว่าเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น หรือส่องกล้องพบภาวะหลอดอาหารอักเสบรุนแรง (severe esophagitis) หรืออักเสบชนิดจะเป็นมะเร็ง (Barrett’s esophagus)

     7. กรณีที่หยุดยาแล้วให้ตามดูนาน 4-12 สัปดาห์ หากผู้ป่วยบอกว่ากลับมามีอาการ (แสบหน้าอก ท้องอืดอาหารไม่ย่อย เรอเปรี้ยว เจ็บแน่นลิ้นปี่) หรือตรวจร่างกายพบว่าน้ำหนักลด หรือกระวนกระวาย ให้รักษาด้วยมาตรการไม่ใช้ยา ดังนี้

7.1 งดอาหาร 3 ชั่วโมงก่อนนอน
7.2 หนุนขาเตียงด้านศีรษะให้สูงขึ้น
7.3 หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
7.4 จำกัดการให้ยาเหลือแค่บรรเทาอาการเป็นครั้งคราว เน้นยาลดกรดทั่วไปที่ผู้ป่วยหาซื้อเองได้ หรือยาในกลุ่ม alginate (เช่น Tums®, Rolaids®, Zantac®, Olex®, Gaviscon®)

     8. ถ้าใช้มาตรการในข้อ 7 แล้วยังมีอาการมากจนรบกวนคุณภาพชีวิตรุนแรง ให้กลับไปตรวจหาเชื้อ H. pylori ใหม่ หรือยอมให้กลับไปกินยา PPI ใหม่อีกรอบ

     อนึ่ง หมอสันต์ขอย้ำไว้ตรงนี้นิดหนึ่งว่าการที่ความเชื่อในปัจจุบันเฮโลหนีไปจากความเชื่อเดิมที่ว่าโรคแผลในกระเพาะอาหารเป็นโรคของความเครียด ไปสู่ความเชื่อใหม่ที่ว่าเชื้อ H. pylori เป็นเหตุที่แท้จริงหนึ่งเดียวของแผลในกระเพาะอาหารนั้น เป็นการโยกความเห็นที่สุดโต่งเกินไป ความเป็นจริงคือเชื้อ H. pylori เป็นเชื้อที่ทนภาวะมีกรดสูง และจะกลับเป็นซ้ำหลังการรักษาหากสภาพกรดในกระเพาะอาหารยังสูง และเป็นความจริงที่ว่าความเครียดทำให้กรดในกระเพาะอาหารสูง ดังนั้นโรคแผลในกระเพาะอาหารยังมีความเครียดเป็นสาเหตุร่วมหรือสาเหตุเสริมอยู่ ไม่ใช่เป็นเรื่องของเชื้อ H. pylori อย่างเดียว ดังนั้นอย่าหวังพึ่งแต่จะให้ยากำราบเชื้อ โดยไม่ใส่ใจจัดการความเครียด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Lazarus ฺฺ ฺB, Chen Y, Wilson FP, et al. Proton Pump Inhibitor Use and the Risk of Chronic Kidney Disease. JAMA Intern Med. 2016;176(2):238-246. doi:10.1001/jamainternmed.2015.7193
2. Chen X, Wei G, Jalili T, Metos J, Giri A, Cho ME, Boucher R, Greene T, Beddhu S.
The Associations of Plant Protein Intake With All-Cause Mortality in CKD.  Am J Kidney Dis. 2016 Mar;67(3):423-30. doi: 10.1053/j.ajkd.2015.10.018.
3. Sharon M. Moe, Miriam P. Zidehsarai, Mary A. Chambers, Lisa A. Jackman, J. Scott Radcliffe, Laurie L. Trevino, Susan E. Donahue, and John R. Asplin. Vegetarian Compared with Meat Dietary Protein Source and Phosphorus Homeostasis in Chronic Kidney Disease. Clinical Journal of the American Society Nephrology, December 23, 2010 DOI: 10.2215/CJN.05040610
4. Ontario Pharmacy Research Collaboration. Evidence-based for deprescribing algorithm proton pump inhibiors. Acccessed on November 14, 2016 at http://www.open-pharmacy-research.ca/wordpress/wp-content/uploads/ppi-deprescribing-algorithm-cc.pdf 
[อ่านต่อ...]

10 พฤศจิกายน 2559

ตำรวจมา (แต่ไม่ต้องเผ่นก็ได้)

สวัสดีคุณหมอครับ ผมชื่อ พันตำรวจโท ... อายุ 41 ปี รับราชการ ที่สถานีตำรวจภูธร ... ตำแหน่งสารวัตรป้องกันปราบปราม ครับ ผมได้อ่านข้อความทางบลอกของคุณหมอ สนใจมาก ได้ความรู้เรื่องการปฏิบัติตัวเพื่อให้มีสุขภาพดี
งานตำรวจที่ผมทำอยู่เป็นงานที่ต้องพบกับความเครียด ต้องเข้าไปรับรู้ปัญหาของประชาชน และแก้ไขช่วยเหลือเบื้องต้น ปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ ทำงานไม่เป็นเวลา ซึ่งผมเป็นคนชอบทำงาน ทำอะไรต้องตั้งใจ และทำจริง ทำให้เวลาพักผ่อนน้อย ทานอาหารไม่ครบ  และไม่ตรงเวลา ออกกำลังกายน้อย ซึ่งเมื่อมาเทียบดูแล้ว ตรงกันข้ามกับที่คุณหมอแนะนำ แต่ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี คิดบวก ชอบร้องเพลง (ได้รับจากคุณพ่อที่ชอบร้อง) แต่สุขภาพของผมก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่พอผมผม
อายุ 41 ย่าง 42 เริ่มมีอาการ ลงพุงนิดๆ น้ำหนักเพิ่มขึ้น ( ผมสูง 172) จากเดิม 59-60 กก.
เป็น 62  -  63  - 64  ตอนนี้ประมาณ 66 กก. มีอาการปวดเข่าทั้ง 2 ข้าง พร้อมกัน ดูจากการลุกยืนจากท่านั่ง ได้ยินเสียงกร้อบๆ จากในข้อเข่า ลุกลำบาก เวลาวิ่งปวด ได้ตรวจแพทย์กระดูกที่ รพ ชุมพร พบว่าไม่ได้เป็นเก๊าต์ แต่เป็นไขข้อเสื่อม ให้แคลเซียมมาทาน ( ผงละลายน้ำ) เลี่ยงการยกของหนัก อาการก็ดีขึ้นบ้างแต่ช้า  ออกกำลังกายโดยการยืด และบริหารกล้ามเนื้อเข่า  กาแฟผมทานน้อย แต่ตอนนี้เริ่มมีอาการปวดตามข้อนิ้วมือ ตรงกลาง(ข้อ2 นับจากปลายนิ้ว) แต่ไม่มาก
จึงเรียนปรึกษามายังคุณหมอว่าอาการแบบนี้เป็นสาเหตุมาจากอะไร หรือเป็นความผิดปกติแบบไหน และควรปฏิบัติตัวอย่างไร ครับ
** หมายเหตุ ผลการตรวจสุขภาพประจำปี
- โคเลสเตอรอล เกินมาตรฐาน ไม่มาก
- น้ำตาลเกินมาตรฐาน ไม่มาก
ส่วนรายการอื่นปกติ

ผมมองในภาพรวมว่า ตำรวจที่ทำงานอยู่ลักษณะเดียวกับผมทั่วประเทศก็น่าจะใช้ชีวิตแบบเดียวคล้ายๆกัน จึงอยากที่จะหาวิธีแนะนำ หรือจัดกิจกรรมที่ลดความเครียด และให้เขาได้หันมาปรับวิธีการใช้ชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพดี และมีชีวิตที่ปกติสุขไม่มีโรคภัย มีชีวิตที่ยืนยาว ขอรับคำแนะนำจากคุณหมอครับ เพื่อผมจะได้ไปถ่ายทอด และดำเนินการจัดกิจกรรมที่ทำได้ในกลุ่มเล็กๆที่ผมทำอยู่ก่อน และค่อยขยายออกสังคมกว้างๆต่อไป ผมเคยเข้าอบรมการช่วยชีวิตเบื้องต้น cpr ก็มีประโยชน์ สามารถช่วยคนอื่นได้ จึงได้แนะนำให้ตำรวจฝึกเพื่อช่วยเหลือคนอื่นและเพื่อนร่วมงานได้ ครับ

ขอกราบขอบพระคุณคุณหมออีกครั้งครับที่ได้ให้ความรู้ดีๆ และแนวคิดในการใช้ชีวิต เรื่องอาหาร  พักผ่อน ออกกำลังการ ไม่เครียด ผมจะเอาหลักพวกนี้ไปปรับใช้ก่อน และจะได้ติดตามคำแนะนำของคุณหมอต่อไป ขอให้คุณหมอและครอบครัว มีความสุข สุขภาพแข็งแรง ตลอดไปนะครับ สวัสดีครับ

พันตำรวจโท .....
โทรศัพท์ ......

......................................................

ตอบครับ

     ใครจะว่ายังไงตำรวจก็ช่าง แต่ผมมองเห็นตำรวจว่าเป็นคนหัวอกเดียวกัน สมัยผมเป็นหมอหนุ่มๆทำงานอยู่ในห้องฉุกเฉินกลางดึกกลางดื่น คนที่เห็นหน้ากันประจำนอกจากพยาบาลและยามเฝ้าห้องแล้ว ก็มีตำรวจนี่แหละครับ ที่ต้องอดตาหลับขับตานอนขยันทำงานเอาลูกค้ามาส่งให้หมอ

     ในแง่ของประสิทธิภาพของตำรวจ คนสมัยนี้ชอบว่าตำรวจไทยยังโง้นยังงี้ แต่ผมเนี่ยอยู่มานานจนพอจะให้การเป็นพยานเข้าข้างตำรวจได้ว่าสมัยก่อนที่ผมยังเป็นเด็ก ผู้ร้ายเต็มบ้านเต็มเมือง เสือนั่น เสือนี่ เสือใบ เสือดำ ชาวบ้านเลี้ยงหมูตกกลางคืนต้องเอาหมูขึ้นนอนบนบ้านเพราะไม่งั้นโจรขะโมยหมูเสียฉิบ พอผมโตขึ้นเป็นหนุ่ม สมัยผมเป็นหมอบ้านนอกอยู่นครศรีธรรมราช ประมาณพศ. 2524 ต้องออกไปชัญสูตรศพที่เป็นผลจากการฆาตกรรมไม่เว้นแต่ละวันเพราะโจรแยะ เป็นชีวิตที่น่าเบื่อมาก คนไข้ของผมคนหนึ่งที่รพ.นครศรีธรรมราช ขาเดินทางจาก อ. ชะอวดเข้าเมืองถูกโจรปล้นยิงกระดูกขาแตก ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นเดือน พอรักษาเสร็จจำหน่ายกลับ เดินทางขากลับยังไม่ถึงบ้านถูกปล้นอีกแล้ว โดนยิงอีกแล้วต้องถูกหามกลับมารพ.อีก เนี่ย โจรมันชุกขนาดนี้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว นี่คือผลงานที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ใช่ไหมครับ เปรียบเทียบกับกรมอื่น เอาใกล้ๆตัวผมพวกเกษตรลูกสีเขียวด้วยกันนี่ก็ได้ (เพราะผมเคยเรียน ม. เกษตรอยู่หนึ่งปี) เอ้า..เอากรมป่าไม้ก็ได้ สมัยผมเป็นเด็ก มีป่าเต็มไปหมด ไปทางไหนก็มีแต่ป่าต้องระวังงูระวังเสือ แต่สมัยนี้มีป่าเหลืออยู่ที่ไหนบ้างละครับ แหะ..แหะ ปล่าวแขวะนะ แค่แซวพวกกันเองเล่นเท่านั้นเอง

     พูดถึงตำรวจก็ดีแล้ว ขอนอกเรื่องต่ออีกหน่อยนะ ตำรวจเป็นครูวิชายุทธศาสตร์คนแรกของผม กล่าวคือช่วงประมาณปีพ.ศ. 2516-19 ผมมีอายุประมาณ 20 ปี เป็นนักศึกษาแพทย์ปีที่ 2 และเป็นรองนายกองค์การนักศึกษาของมหาวิทยาลัยด้วย สมัยนั้นมีการเดินขบวนต่อต้านโน่นนี่นั่นประจำ มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ กะเอากันถึงเลือดถึงเนื้อ มีการเตรียมเปลสนามไว้ขนนักศึกษาด้วยกันที่คาดหมายว่าจะถูกตำรวจทหารยิงด้วย ผมกับนายกองค์การได้แอบนัดพบประชุมลับกับ พตท... ซึ่งเป็นสวญ.หาดใหญ่สมัยนั้น กับนายตำรวจระดับร้อยโทร้อยเอกของเขาอีกสองคน สวญ.ได้เสนอแผนปฏิบัติการณ์แบบ "เกี้ยเซี้ย" คือนักศึกษาก็เดินขบวนประท้วงกันขึงขังจริงจัง ตำรวจก็ปฏิบัติหน้าที่พรึบพรับจริงจัง แบบว่าต่างคนต่างทำหน้าทีแต่มีลูกเล่นที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าหนึ่งสองสามสี่ห้าไม่ให้ได้ปะทะกัน ในการประชุมนั้นผมซึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ก็เพิ่งได้ยินคำว่า "ยุทธศาสตร์" และ "ยุทธวิธี" เป็นครั้งแรกในชีวิตจากปากของสวญ.หาดใหญ่นั่นเอง

     กลับมาเรื่องของเรา ตอบคำถามของคุณดีกว่า

     1. ถามว่าคนทำงานไม่เป็นเวลาอย่างคุณตำรวจนี้ กินอาหารได้ไม่ครบ  และไม่ตรงเวลา จะต้องทำอย่างไร ผมแยกตอบเป็นสองประเด็นนะ

     ประเด็นอาหารที่ดี อาหารที่ดีไม่ได้หมายความว่ามันต้องเป็นอาหารที่มีเวลาปรุงมากมาย มีรสชาติวิลิศมาหรา แต่อาหารที่ดีเป็นอาหารพืชเป็นหลักแบบธรรมชาติ ปรุงน้อยที่สุด ซึ่งหาได้ง่ายทั่วไป เช่นผลไม้ ผัก ถั่ว ในกรณีที่จะต้องปรุง ก็ไม่ต้องใช้เวลาปรุงมากหากมีวิธีที่ดี เช่น

     1.1 ลองทำข้าวต้มสาระพัดถั่วสัปดาห์ละ 1 ครั้งแล้วแบ่งเป็นถุงๆขนาดพอมื้อไว้ 7 ถุงใส่ช่องแข็งไว้ แล้วเอาออกมาอุ่นกินวันละถุง ก็เท่ากับว่าปรุงสัปดาห์ละครั้งเดียวกินได้ 7 วัน

     1.2 ยิ่งพวกสลัดยิ่งง่ายใหญ่ วัตถุดิบอย่างพวกผักต่างๆนี้อยู่ในตู้เย็นได้นานหลายสัปดาห์ ถึงเวลาจะกินก็เอามารวมๆกันหลายชนิดผักบ้าง ผลไม้บ้าง บางอย่างเช่นมะเขือเทศก็ใส่ลงไปเป็นลูกๆอย่างนั้นแหลเะ ใส่ลงไปให้เต็มจานแล้วเอาน้ำสลัดราด การทำน้ำราดสลัดก็ทำใส่ขวดไว้ครั้งหนึ่งอยู่ในตู้เย็นได้ 2-3 สัปดาห์ ถ้าขี้เกียจทำก็ซื้อน้ำราดสำเร็จรูปก็ได้ หรือขี้เกียจมากก็ไม่ต้องราดอะไรเลยก็ได้

     1.3 ลองเอาพวกถั่วสาระพัดชนิดมาอบด้วยเตาอบให้แห้งและส่งกลิ่นหอมโดยไม่ต้องเคลือบเกลือ หรือเนยหรือน้ำตาล แล้วใส่ขวดโหลเก็บไว้ หรือใส่ตลับพลาสติกใส่กระเป๋าไปกินเป็นอาหารว่างเวลาทำงาน กินกับกาแฟ หรือหิวก็กินขณะขับรถ เก็บได้นานเป็นเดือน เป็นอาหารว่างที่ดีและมีคุณค่าครบถ้วนทุกอย่างทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ กาก และไขมันดี

     1.4 เมื่อออกนอกบ้านก็ใช่ว่าจะหาอาหารที่ดียาก ผลไม้สดและสะอาดหาซื้อได้ทุกหัวระแหง แม้ร้านอย่างเซเว่นหรือแมคโดนัลด์ก็มีผลไม้สดและสลัดขาย มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกซื้อแต่อาหารที่ดีหรือเปล่า

     ประเด็นเวลากินอาหาร มันไม่จำเป็นว่าจะต้องกินตรงเวลา โดยหลักการที่สอดคล้องกับธรรมชาติของร่างกายคือหิวเมื่อไหร่ก็กิน พอกินใกล้จะอิ่มแล้วก็หยุด หลักการมีอยู่แค่นี้ ดังนั้นการจะต้องกินอาหารที่ไหนเมื่อไหร่นั้นมันปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะ แต่ขอให้เป็นอาหารที่ดี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เวลากินไม่ถูกต้อง แต่อยู่ที่อาหารที่เอามากินไม่ถูกต้อง ผมเคยเอารถไปซ่อม แล้วเห็นช่างซ่อมรถซึ่งซ่อมไปด้วยกินอาหารกลางวันไปด้วย วิธีกินของเขาก็คือเอามือที่เปื้อนน้ำมันเครื่องปลิ้นถุงพลาสติกเอาข้าวเหนียวใส่ปากโดยไม่ให้น้ำมันไปเปื้อนข้าวเหนียว อีกมือหนึ่งก็ถือหมูปิ้งกัดกิน มีบ่อยครั้งผมไปราวด์วอร์ดเห็นพยาบาลแอบกินอาหารอยู่หลังห้องแบบเดียวกัน คือข้าวเหนียวหมูปิ้ง การที่สุขภาพของช่างและของพยาบาลจะเสียนั้นไม่ได้อยู่ที่การไม่มีเวลาไปนั่งกินบนโต๊ะที่มีผ้าปูเป็นกิจจะลักษณะ แต่อยู่ที่อาหารที่เลือกมากินคือข้าวเหนียวหมูปิ้งซึ่งเป็นอาหารให้แคลอรี่สูงและขาดวิตามินเกลือแร่และกาก

     2. ถามว่าอาชีพแบบตำรวจนี้ไม่มีเวลาออกกำลังกายจะทำอย่างไร ผมแนะนำสามอย่าง

     2.1 จัดให้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของงานอาชีพ ตำรวจทหารเป็นอาชีพที่ได้เปรียบในแง่ของการออกกำลังกาย เพราะความฟิตถือเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพ ดังนั้นจึงต้องจัดตารางออกกำลังกายให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำอาชีพ ซึ่งอย่างทหารเขาก็ทำอยู่แล้ว เขาจัดวันพุธเป็นวันกีฬาซึ่งวันนั้ันทั้งวันให้กำลังพลไปออกกำลังกาย เพื่อนบ้านของผมท่านหนึ่งเป็นนายพลเอกทหารใหญ่ ท่านพูดตลกๆกับผมว่า สำหรับทหาร

     "  วันพุธ..วันกีฬา 
     วันธรรมดา..ตีกอล์ฟ" 

     คือการที่ทหารจัดการออกกำลังกายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการทำอาชีพ ผมว่าดี แต่มีหลายท่านเมื่อหน่วยงานเขาจัดให้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของงานอาชีพ พอถึงเวลากลับพากันหลบเหมือนนักเรียนที่บ้าเรียนแบบหนอนหนังสือชอบหลบวิชาพลศึกษา สมัยผมเป็นหมอบ้านนอกอยู่ที่อำเภอปากพนัง ตำรวจเขาจะมีฤดูกาลฝึกทบทวน ปีละประมาณ 3 สัปดาห์ที่ตำรวจทั้งโรงพักต้องเข้าแถวฝึกออกกำลังกายเข้มแข็ง แต่ก็จะมีตำรวจจำนวนหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่อายุมากและพุงพลุ้ยแล้วมาขอให้ผมออกใบรับรองแพทย์ให้เพื่อจะได้ไม่ต้องไปเข้ารับการฝึกทบทวน ซึ่งเป็นการเสียโอกาสทั้งๆที่หน่วยงานเขาจัดให้แล้ว

     2.2 การฉวยโอกาสออกกำลังกายขณะทำงานอาชีพ คือทุกอาชีพจะเปิดช่องให้มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวขณะทำงาน หากคนทำงานจะรู้จักฉวยโอกาส นั่นก็คือเปลี่ยนนั่งเป็นยืนได้เมื่อไหร่ ให้รีบทำ เปลี่ยนยืนเป็นเดินได้เมื่อไหร่ให้รีบทำ เปลี่ยนขับรถไปเป็นเดินไปได้เมื่อไหร่ ให้รีบทำ เปลี่ยนขึ้นลิฟท์เป็นขึ้นบันไดได้เมื่อไหร่ให้รีบทำ

     มีอยู่ครั้งหนึ่งประมาณปีพ.ศ. 2540 ผมไปบรรยายวิชาการเรื่องการผ่าตัดหัวใจให้หมอญี่ปุ่นฟังที่เมืองโอซาก้า พอบรรยายเสร็จเพื่อนเก่าที่เป็นหมอญี่ปุ่นพาผมไปดูโรงพยาบาลและสถานที่สำคัญต่างๆของเมือง ผมเห็นคนถูพื้นซึ่งเป็นพนักงานชาย เขาเดินไถไม้ถูพื้นกลับไปกลับมาในโถงไม่รู้จักหยุดหย่อน ทั้งๆที่พื้นมันก็สะอาดเกลี้ยงเกลาอยู่แล้ว ผมเปรยกับเพื่อนว่าคนถูพื้นที่นี่ช่างขยันจริงนะ เพื่อนผมยิ้มและตอบว่านั่นเขากำลังฉวยโอกาสออกกำลังกาย ผมรู้สึกว่าช่างเป็นวิธีทำงานที่ชาญฉลาดและไม่ธรรมดา เพราะคนธรรมดาพอจะต้องออกแรงทำอะไรหน่อยในหน้าที่การงานแท้ๆก็หาทางอู้หลบๆเลี่ยงๆกลัวเปลืองแรงงาน แต่คนไม่ธรรมดากลับหาโอกาสใช้การทำงานเป็นการออกกำลังกาย

     2.3 การใช้กิจกรรมออกกำลังกายเป็นสื่อการสังคม ตำรวจเป็นผู้นำสังคมโดยธรรมชาติ วันหนึ่งผมขับรถผ่านสถานที่แห่งหนึ่งในอำเภอมวกเหล็ก เขาทำเป็นสนามว่างๆ เห็นมีตำรวจสองสามคนกำลังเตะฟุตบอลอยู่กับพวกกลุ่มเด็กวัยรุ่น ผมไม่ทราบว่าเป็นกิจกรรมอะไรกัน อาจจะเป็นการป้องกันยาเสพย์ติดหรืออะไรสักอย่าง แต่ว่าการใช้กีฬาหรือการออกกำลังกายเป็นสื่อการสังคมนี้มันเป็นอะไรที่ดีมาก คุณเป็นคนที่ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว การผสานการร้องเพลงหรือดนตรีเข้ากับกิจกรรมออกกำลังกายเช่นเต้นรำ เต้นไลน์ด้านซ์ก็ยิ่งดี กิจกรรมสังคมอื่นๆเช่นรำมวยจีนก็เป็นกิจกรรมร่วมทางสังคมที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย

     3. ถามว่าอาชีพแบบตำรวจจะจัดการความเครียดอย่างไรดี ตำรวจกับหมออีอาร์. (ห้องฉุกเฉิน)ในรพ.ของรัฐ จะแชร์ความรู้สึกเดียวกันอยู่อย่างหนึ่ง คือทำไมชีวิตนี้จึงถูกลิขิตมาให้เจอแต่คนซังกะบ้วย หมายถึงคนไม่ดี ขี้เหล้า เมายา ไร้ค่า พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง แต่ยิ่งเราตั้งข้อรังเกียจขยะแขยง ยิ่งเราแยกตัวเองออกมาจากคนที่เราจำเป็นต้องให้บริการช่วยเหลือหรือต้องยุ่งเกี่ยวด้วย ชีวิตเราจะยิ่งเครียดจนท้ายที่สุดทนไม่ไหวต้องเลิกอาชีพไปหางานใหม่ทำ หมออีอาร์.ส่วนหนึ่งจะจบอาชีพของตัวเองลงแบบนั้น ผมเข้าใจความทุกข์ใจในข้อนี้ดี เพราะส่วนหนึ่งของชีวิตในอดีตผมเป็นหมออีอาร์.อยู่หลายปี

     คำแนะนำของผมมีอยู่อย่างเดียวคือ..เมตตาธรรม คือเมื่อใดที่เรามองว่าคนไม่ดี ขี้เหล้า เมายา คนไร้ค่า หรือคนที่เราเห็นว่าเป็นขยะสังคมนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ใครที่ไหนไกล ก็คือส่วนหนึ่งของความเป็นตัวเรานั่นแหละ เพราะว่าสรรพสิ่งที่มีชีวิตอยู่ล้วนแชร์วัตถุดิบหลักพื้นฐานเดียวกัน กล่าวคือหายใจจากอากาศเดียวกัน กินอาหารจากดินเดียวกัน ดื่มน้ำจากแหล่งเดียวกัน สิ่งที่เขาถ่ายทิ้งลงไปในดิน กลายเป็นต้นไม้หรือสัตว์ที่เป็นอาหารมาให้เรากินแล้วก็กลายมาเป็นร่างกายเนื้อหนังของเราในเวลาต่อมา อย่างนี้มันจะไปแยกกันออกให้เด็ดขาดว่าเป็นเราเป็นเขาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น จิตสำนึกรับรู้ที่เป็นเครื่องหมายว่าเป็นตัวเรานี้มันเป็นพลังงานซึ่งซ้อนทับอยู่ในร่างกายของเราก็จริง แต่ก็เชื่อมโยงกับ "บ่อ" พลังงานภายนอกด้วย นั่นหมายความว่าชีวิตคนสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะชั่วดีถี่ห่างท้ายที่สุดแล้วก็ล้วนจะไปพบกันที่บ่อรวมแห่งนั้น ดังนั้นการแผ่เมตตาธรรมอย่างไม่มีขอบเขตขีดคั่นจึงเป็นความสงบเย็นที่คนอาชีพอย่างเราจะใช้จัดการความเครียดได้ดีที่สุด

     4. ถามว่าปวดเข่าเสียงดังก๊อบแก๊บจะทำอย่างไรดี เรื่องข้อเข่าเสื่อมนี้ ผมเคยเขียนอย่างละเอียดไปหลายครั้งแล้ว หากคุณสนใจลองอ่านดูได้ที่
http://visitdrsant.blogspot.com/2014/03/knee-osteoarthritis.html
และเคยมีคนเอาวิดิโอคลิปเรื่องเจ็บหัวเข่าของผมขึ้นไว้ใน YouTube คุณลองหาดูได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=hr8PsRcrDwE&t=18s

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

04 พฤศจิกายน 2559

สัจจะธรรมสามข้อ เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดหัวใจ (CAD)

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ

ผมขอเรียนถามคุณหมอเรื่องอาการหัวใจขาดเลือด ดังนี้ครับ
ผมอายุ 56 ปี เป็นคนไข้ของโรงพยาบาล... แผนกโรคหัวใจ โดยกินยาลดความดัน (diovan) มาประมาณสามปีแล้ว และจะไปพบแพทย์เพื่อรับยาประมาณสามเดือนครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณเดือนสิงหาคมปีนี้ แพทย์ผู้ทำการรักษานัดให้มาวิ่งสายพานเพื่อตรวจคัดกรองการทำงานของหัวใจ

วันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมาผมได้เข้ารับการตรวจคัดกรองตามนัด โดยวิ่งบนสายพานประมาณ 10 นาทีเศษ ระหว่างนั้นคุณหมอและพยาบาลจะคอยสอบถามผมว่าเหนื่อยไหม และเจ็บหน้าอกไหม ซึ่งผมตอบว่าผมไม่แทบไม่เหนื่อยเลย (ผมเคยวิ่งมินิมาราธอน และฮาล์ฟมาราธอนหลายครั้ง แต่หยุดไปเพราะภารกิจอื่น) และไม่เจ็บหน้าอก ในระหว่างอ่านรายงานผลการตรวจ คุณหมอแจ้งว่าข้อมูลจากรายงานแสดงว่าผมอาจมีอาการหัวใจขาดเลือด จึงนัดให้ผมมาทำเอ็มอาร์ไอในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ โดยคุณหมอแจ้งว่าหากผลออกมาเป็นบวก อาจจะรักษาด้วยยา การใส่ขดลวดหรือทำบอลลูน จนกระทั่งการผ่าตัด

ผมได้แนบรายงานดังกล่าวมาพร้อมอีเมลฉบับนี้ครับ

ในขณะที่ผมยินดีที่จะเข้าทำเอ็มอาร์ไอ แต่ผมคิดในเบื้องต้นว่าแม้จะมีอาการหัวใจขาดเลือดก็จะไม่รับการรักษาตามวิธีการที่แพทย์แนะนำ เพราะคิดว่ามีความเสี่ยง และมีความเชื่อว่าร่างกายเราสามารถฟื้นฟูตัวเอง ผมได้อ่านหนังสือ “ป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตัวคุณเอง” ของคุณหมอแล้ว ผมคิดว่าผมมีความพร้อมและกำลังใจที่จะรักษาและฟื้นฟูตนเองตามที่คุณหมอแนะนำ ดังนั้น ผมจึงขออนุญาตเรียนถามคุณหมอสองข้อครับ
1.    จากรายงานที่แนบมานี้ผมมีอาการหัวใจขาดเลือดในระดับใดครับ (ผมไม่มีอาการแน่นหน้าอกแต่อย่างใด) และยังพอที่จะฟื้นฟูโดยวิธีการทางเวชศาสตร์ที่คุณหมอแนะนำในหนังสือหรือไม่
2.    คุณหมอจัดโปรแกรมการรักษาและฟื้นฟูตามที่กล่าวถึงไหนหนังสือไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นแบบกลุ่มหรือแบบบุคคล ผมติดตามหรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ไหนครับ

สุดท้ายนี้ผมขอเรียนขอบคุณคุณหมอมาอีกครั้งครับ

ขอแสดงความนับถือ
นาย........

..............................................................

ตอบครับ

     ก่อนตอบคำถามของคุณ ผมขออธิบายให้คุณและท่านผู้อ่านท่านอื่นได้เข้าใจแจ่มแจ้งถึงสัจจะธรรมในวิชาโรคหัวใจสามข้อก่อน คือ

     ข้อที่ 1. การวินิจฉัยว่าใครเป็นโรคหัวใจขาดเลือด (IHD) หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (CAD) ซึ่งเป็นโรคเดียวกันนี้ มันไม่ใช่การวินิจโรคแบบโรคมะเร็งที่มุ่งแต่จะฟันธงทันทีโชะเด๊ะว่า “เป็นโรค” หรือ “ไม่เป็นโรค” แล้วจบข่าว มันไม่ใช่อย่างนั้น

     เพราะโรคหัวใจขาดเลือดนี้ สถิติจากการผ่าศพคนที่ตายแบบผิดธรรมชาติ [1,2] พบว่าคนวัยผู้ใหญ่ที่แม้ไม่มีอาการอะไรเลยส่วนใหญ่เกือบทุกคนเป็นโรคนี้กันเรียบร้อยไปหมดแล้ว คือหลอดเลือดที่หัวใจมีตุ่มไขมันพอกบนผนังกันหมดแล้วมากบ้างน้อยบ้าง เพียงแต่ว่าที่เป็นหนักถึงขั้นการไหลของเลือดติดขัดนั้นมีประมาณ 10% นั่นเป็นผลวิจัยในคนฝรั่ง แต่คนไทยปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากฝรั่งในเรื่องนี้ เผลอๆจะแซงหน้าฝรั่งในเวลาอีกไม่ช้าไม่นาน เพราะงานวิจัยในคนไทยทุกงานให้ผลสรุปตรงกันว่าปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือดในคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมเองเคยศึกษาสถิติในคนอายุเกิน 40 ปีที่ไม่ได้ป่วยเป็นอะไรจำนวนสามพันกว่าคนที่มาตรวจสุขภาพที่รพ.พญาไท 2 พบว่า 56% เป็นโรคไขมันในเลือดสูงถึงเกณฑ์ที่แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยารักษา คือเรียกว่าแค่ดูไขมันในเลือดก็เอาปูนกาหัวได้แล้วว่า 56% ขอโทษ...จะไม่ได้ตายดี ไม่ต้องไปตรวจวินิจฉัยอะไรให้ยุ่งยากเลย

     ดังนั้นการวินิจฉัยโรคนี้จึงไม่ใช่เพื่อที่จะบอกว่าใคร "เป็นโรค" หรือใคร "ไม่เป็นโรค" แต่วินิจฉัยเพื่อที่จะบอกว่าใครเป็นโรคหนักถึงขั้นที่ควรจะคัดกรองเอาไปลงไม้ลงมือรักษาด้วยวิธีที่รุกล้ำรุนแรง หมายถึงด้วยการทำบอลลูนใส่สะเต้นท์หรือผ่าตัดบายพาส เพราะถ้าจะแค่วินิจฉัยว่าใคร "เป็น" โรคนี้บ้างนั้น ดูโหงวเฮ้งประกอบกับปัจจัยเสี่ยงที่ประเมินจากลักษณะการกินการอยู่ก็วินิจฉัยได้แล้วด้วยความแม่นยำพอควร แม้ตัวคนไข้ก็วินิจฉัยตัวเองได้ ไม่ต้องไปเสียเวลาตรวจอะไรเป็นพิเศษดอก แต่ที่หมอในโรงพยาบาลพยายามตรวจวินิจฉัยทุกวันนี้เป็นการตรวจเพื่อจัดชั้นความเสี่ยงของคนที่เป็นโรคแล้ว ว่าใครเป็นโรคมากถึงขั้นที่ควรจะเอาไปรักษาซะก่อนที่โรคจะสำแดงเดชบ้าง คือพูดง่ายๆว่าตรวจเพื่อคัดกรองคนหาคนเป็นโรคระดับ "มาก"

     ข้อที่ 2. ปัจจุบันนี้มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆว่ามีผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันระดับหนักปางตายจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่อายุยังน้อย ที่แม้จะมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายรุนแรงระดับนั้นแล้วแต่เมื่อตรวจสวนหัวใจดูกลับพบว่าโรคที่หลอดเลือดหัวใจเพิ่งเป็นในระยะตั้งต้นเท่านั้นเอง ไม่ได้มีรอยตีบชัดเจนถึงเกณฑ์ดั้งเดิมที่ว่าตีบเกิน 50% ของเส้นผ่าศูนย์กลางด้วยซ้ำ แต่ทำไมจึงเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันรุนแรงขึ้นได้ อันนี้วงการแพทย์ก็ยังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง ได้แต่เดาเอาว่าอาจเป็นเพราะ

     (1) ตุ่มไขมันระยะต้นของโรค มีเยื่อบุที่ผิวของมันไม่เหนียวจึงขาดชะเวิกออกได้ง่าย (vulnerable plaque) หรือ

     (2) เกิดการหดตัวของหลอดเลือดจากสาเหตุอื่นที่วงการแพทย์รู้อยู่แล้วว่าทำให้หลอดเลือดหดตัวได้ เช่น (1.2) ความเครียด (1.2) การที่ร่างกายขาดน้ำ (1.3) การสูงขึ้นของไขมันในเลือด (1.4) การสูงขึ้นของเกลือโซเดียมในเลือด (1.5) การมีสารพิษในเลือด เช่นสารจากบุหรี่

     แต่ประเด็นที่ว่าคนอายุน้อยเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายระดับปางตายหรือตายจริงๆได้เพราะเหตุใดนั้นไม่ใช่สารัตถะสำคัญที่ผมจะชี้ให้เห็น สารัตถะสำคัญอยู่ที่คนเหล่านี้มีการดำเนินของโรคที่หลอดเลือดหัวใจยังอยู่ในระยะไม่มากเลย จนเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจคัดกรองด้วยวิธีใดๆให้่พบเพราะโรคเป็นระยะแรกขนาดนั้นตรวจด้วยวิธีไหนก็ไม่พบ ก็ถ้าการตรวจคัดกรองไม่สามารถค้นพบคนที่ใกล้ตายเพื่อเอาไปรักษาเสียก่อนได้ คุณจะไปหวังจัดการโรคนี้ด้วยวิธีตรวจคัดกรองไม่ได้นะครับ ต้องไปหวังพึ่งการจัดการปัจจัยเสียงของโรคด้วยตัวคุณเองแทน

     ข้อที่ 3. หลักฐานระดับสูงทุกวันนี้บ่งชี้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วว่าการเอาผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดซึ่งมีอาการเจ็บหน้าอกระดับไม่มาก (คือเจ็บหน้าอกระดับ 1-3 จากทั้งหมด 4 ระดับ) ไปรักษาแบบรุกล้ำเช่นทำบอลลูนใส่สะเต้นท์ ไม่ได้ช่วยให้คนไข้มีอายุยืนยาวขึ้นแต่อย่างใด (COURAGE trial) และมีหลักฐานระดับสูงบ่งชี้ได้แบบเบ็ดเสร็จอีกเหมือนกันว่าการเอาผู้ป่วยที่เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute MI) ที่รอดตายมาแล้วและหายจากช็อคแล้ว มีอาการคงที่แล้วเกิน 24 ชั่วโมงขึ้นไป ไปรักษาแบบรุกล้ำด้วยการทำบอลลูนใส่สะเต้นท์ก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวขึ้นมากไปกว่าการไม่ทำบอลลูนใส่สะเต้นท์แต่อย่างใด (OAT trial)

     พูดง่ายๆว่าการทำบอลลูนใส่สะเต้นท์หรือผ่าตัดหัวใจมีประโยชน์เฉพาะแก่คนที่เกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันและมีอาการไม่คงที่ คือช็อกหรือเจ็บหน้าอกมากอยู่เท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์สำหรับคนที่มีอาการน้อย ยิ่งสำหรับคนที่ไม่มีอาการอะไรเลย ก็ยิ่งไม่มีหลักฐานเลยว่ามันมีประโยชน์ใดๆ

     เออ..ก็ในเมื่อการทำบอลลูนใส่สะเต้นท์ไม่มีประโยชน์ในคนที่มีอาการน้อยระดับ 1-3 และคนที่แม้จะหัวใจวายไปแล้วแต่ฟื้นตัวเองดีแล้วเช่นนี้ เราจะไปพยายามคัดกรองคนเป็นโรคหัวใจที่มีอาการน้อยหรือยังไม่มีอาการอะไรเลยอย่างคุณนี้ เพื่อส่งไปทำบอลลูนใส่สะเต้นท์ทำพรื้อละครับ

    โอเค. ได้เผยแพร่สัจจะธรรมทั้งสามเรื่องนี้ให้แฟนๆบล็อกทราบแล้ว หมอสันต์สบายใจละ คราวนี้ก็มาตอบคำถามของคุณ

     1. ถามว่าการตรวจสมรรถนะหัวใจด้วยการวิ่งสายพาน (EST) มีความเชื่อถือได้เพียงใดในแง่ของการคัดเอาคนเป็นโรคมากไปรักษา ตอบว่า EST มีความไว 68% มีความจำเพาะ 77% หมายความว่าใน 100 คนที่ตรวจได้ผลพบว่าเป็นโรคมาก ในความเป็นจริงจะเป็นโรคมากจริงๆเพียง 68 คน อีก 32 คนเป็นผลบวกเทียมคือไม่ได้เป็นโรคมาก แต่ตรวจได้ผลผิดว่าเป็นโรคมาก

     แต่ถ้าเอาคนที่เป็นโรคระดับมากแล้วจริงแท้แน่นอนทุกคนมา 100 คน แล้วแกล้งเอามาตรวจ EST ทั้ง 100 คน จะตรวจได้ผลว่าเป็นโรคมากเพียง 77 คน อีก 23 คนเป็นผลลบเทียม คือป่วยแต่ผลตรวจบอกว่าไม่ป่วย [3-6]

     สาเหตุที่ผลบวกเทียมสูงถึง 32% นั้นเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงคลื่นหัวใจที่บ่งบอกว่าเลือดส่งเข้าไม่ทัน (ST depression) นั้น เกิดขึ้นได้แม้ในคนปกติที่ชีวิตประจำวันไม่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หัวใจไม่คุ้นเคยกับการออกกำลังกายมากๆ ดังนั้นคนที่ตรวจครั้งนี้ได้ผลเป็นบวก หากให้ไปหัดออกกำลังกายทุกวัน ครั้งหน้ามาตรวจผลก็อาจกลับเป็นลบได้

     อนึ่ง ในการประเมินผลการตรวจ EST นี้ คำว่าผลบวกยังมีบวกมากหรือบวกน้อย โดยมีหลักพิจารณาสองแง่คือ

     แง่ที่ 1. หากการเปลี่ยนแปลงของคลื่นหัวใจในลักษณะ ST depression ไปเกิดเอาตอนออกกำลังกายไปแล้วมากๆ ก็ถือว่าบวกน้อย (ผิดปกติน้อย) แต่ถ้าเกิดตั้งแต่เพิ่งเริ่มออกกำลังกายได้ไม่ทันไรก็เรียกว่าบวกมาก (ผิดปกติมาก) อย่างของคุณนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงคลื่นหัวใจหลังจากออกกำลังกายไปได้มากแล้ว (stage 4 ของ Bruce Protocol) ก็ถือว่าบวกน้อย

     แง่ที่ 2. หากการเปลี่ยนแปลงของคลื่นหัวใจในลักษณะ ST depression เกิดขึ้นพร้อมกับอาการของหัวใจขาดเลือด เช่นเจ็บแน่นหน้าอก หรือความดันเลือดตก ก็ถือว่าบวกมาก หากไม่มีอาการอะไรเกิดควบคู่กันเลยก็ถือว่าบวกน้อย ในกรณีของคุณนี้ตลอดการตรวจไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลยก็จัดว่าบวกน้อย

     โดยสรุปผลการตรวจสมรรถนะหัวใจของคุณเป็นผลบวกระดับน้อย มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นผลบวกเทียม (20-32%) หรืออาจจะเป็นโรคระดับน้อย

     2. ถามว่าคุณปักใจตั้งแต่ในมุ้งแล้วว่ายังไงก็จะไม่ไปทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาส แล้วจะไปตรวจเอ็มอาร์ไอ. หรือ SPECT ดีไหม ตอบว่าคุณจะตรวจไปทำพรือละครับ ในเมื่อไม่ว่าผลการตรวจจะเป็นบวกหรือลบคุณก็จะไม่เปลี่ยนแผนการรักษาตัวคุณอยู่ดี ผมว่าสิ่งที่น่าจะมีประโยชน์สำหรับคุณในแง่ของการเป็นคนชอบตรวจก็คือคุณตั้งใจไปออกกำลังกายทุกวัน ออกกำลังกายแบบแอโรบิกให้ถึงระดับหนักพอควร (หอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้) วันละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 ครั้ง สักสามเดือน แล้วถ้าอยากตรวจก็กลับไปตรวจ EST ใหม่ว่าผลจะเปลี่ยนจากบวกเป็นลบหรือเปล่า อย่างนี้จะมีประโยชน์มากกว่า อย่างน้อยการจะตรวจก็ทำให้คุณได้ออกกำลังกาย ส่วนการตรวจอะไรก็ตามที่ตรวจเพราะอยากรู้ รู้แล้วก็นิ่งเฉย แบบนั้นไม่คุ้มค่าเสียเงินเสียเวลาหรอกครับ อยู่เปล่าๆดีกว่า

     3. ถามว่าหมอสันต์จัดโปรแกรมการรักษาและฟื้นฟูตามที่กล่าวถึงในหนังสือไหม ตอบว่าผมเปิดสอนผู้ป่วยโรคเรื้อรังหกโรค (หัวใจ เบาหวาน ความดัน ไขมัน อัมพาต อ้วน) เป็นโปรแกรมยาวหนึ่งปี เข้าแค้มป์สองครั้งแล้วตามดูตลอดปี ชื่อว่าโปรแกรมพลิกผันโรคด้วยตัวเอง (Reverse Disease By Yourself - RDBY) เปิดสอนเป็นระยะๆ ตอนนี้กำลังเปิดรับรุ่นที่ 3 (RD3) ซึ่งจะเริ่มเข้าแค้มป์ครั้งแรก วันที่ 9 - 11 ธค. 59 ถ้าคุณสนใจก็สมัครมาเรียนได้ โดยดูรายละเอียดได้ที่ http://visitdrsant.blogspot.com/2016/08/rd3.html


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Nemetz PN, Roger VL, Ransom JE, et al. Recent trends in the prevalence of coronary disease: a population-based autopsy study of nonnatural deaths. Arch Intern Med. 2008;168:264–70. [PubMed]
2. Tuzcu EM, Kapadia SR, Tutar E, et al. High prevalence of coronary atherosclerosis in asymptomatic teenagers and young adults: evidence from intravascular ultrasound. Circulation. 2001;103:2705–10.[PubMed]
3. Gianrossi R, Detrano R, Mulvihill D, et al. Exercise-induced ST depression in the diagnosis of coronary artery disease. A meta-analysis. Circulation. 1989;80:8798.
4. Fleischmann KE, Hunink MG, Kuntz KM, Douglas PS. Exercise echocardiography or exercise SPECT imaging? A meta-analysis of diagnostic test performance. JAMA. 1998;280:91320.
5. Geleijnse ML, Krenning BJ, van Dalen BM, et al. Factors affecting sensitivity and specificity of diagnostic testing: dobutamine stress echocardiography. J Am Soc Echocardiogr. 2009;22:1199208.

6. Schwitter J, Wacker CM, van Rossum AC, et al. MR-IMPACT: Comparison of perfusion-cardiac magnetic resonance with single-photon emission computed tomography for the detection of coronary artery disease in a multicentre, multivendor, randomized trial. Eur Heart J. 2008;29:4809.
7. Hochman JS, et al. Coronary intervention for persistent occlusion after myocardial infarction (OAT trial). N Engl J Med. 2006;355(23):2395-2407.
8.  Boden WE, O'rourke RA, Teo KK, et al; COURAGE Trial Co-Principal Investigators and Study Coordinators.The evolving pattern of symptomatic coronary artery disease in the United States and Canada: baseline characteristics of the Clinical Outcomes Utilizing Revascularization and Aggressive DruG Evaluation (COURAGE) trial. Am J Cardiol. 2007;99:208-212.
9. Stergiopoulos K1, Boden WE2, Hartigan P3, Möbius-Winkler S4, Hambrecht R5, Hueb W6, Hardison RM7, Abbott JD8, Brown DL. Percutaneous coronary intervention outcomes in patients with stable obstructive coronary artery disease and myocardial ischemia: a collaborative meta-analysis of contemporary randomized clinical trials. JAMA Intern Med. 2014 Feb 1;174(2):232-40. doi: 10.1001/jamainternmed.2013.12855.
[อ่านต่อ...]

03 พฤศจิกายน 2559

MBT3 ชั้นเรียนฝึกสติรักษาโรครุ่นที่ 3

     เช้าวันนี้ผมไม่ต้องไปทำงาน เพราะปลดชราแล้วจึงทำงานบ้าง ไม่ทำบ้าง ตื่นขึ้นมาที่บ้านกรุงเทพฯ ตั้งใจว่าจะเตรียมสอนฝึกสติรักษาโรคในวันพรุ่งนี้ แต่เหลือบไปเห็นหญ้าในสนามหน้าบ้านสูงสะดุดตา คือสูงครึ่งหน้าแข้งเชียว ที่เป็นเช่นนี้ทั้งๆที่มีผู้รับเหมาดูแลสนามหญ้าเป็นประจำก็เพราะว่าหน้านี้เป็นหน้าฝน ผู้รับเหมาตัดหญ้าจะหลบหน้า เพราะลูกค้าแยะ ตามแล้วตามอีกก็ยังไม่ว่าง เป็นเช่นนี้ทุกปี ต่างจากหน้าแล้งที่เขาจะโผล่มาทุกสองสัปดาห์ทั้งๆที่หญ้าก็ไม่มีจะให้ตัด แต่ผมเข้าใจและไม่บ่น จะบ่นได้ไงละครับ ภรรยาผมตั้งเพดานค่่าจ้างตัดไว้ที่ครั้งละไม่เกิน 1,500 บาท ผมเข้าใจว่าหน้าฝนเป็นหน้าทำมาหากิน ผู้รับจ้างเขาก็ต้องไปใส่ใจตัตให้ผู้ว่าจ้างที่จ่ายแพงกว่า ส่วนครั้งละ 1,500 นั้นเอาไว้ตัดหน้าแล้งละกัน หิ..หิ

      ผมไปเปิดเอาเครื่องตัตหญ้าแบบสะพายแกว่งออกมาจากห้องเก็บของเพื่อตัดหญ้าเอง มันจะได้ไม่ยาวมากเกินไประหว่างทีคนรับจ้างไม่มา แต่พอดึงสายสตาร์ทเครื่องตัดหญ้าไปได้สักยี่สิบครั้ง ก็สรุปได้ว่ามันสตาร์ทไม่ติด ผมนึกถึงหนังโฆษณาในโทรทัศน์นานมาแล้ว ที่มีคนขี่มอเตอร์ไซค์ไปเครื่องดับหน้าวัดแม่นาคพระโขนงตอนกลางดึก สตาร์ทยังไงก็ไม่ติด จนแม่นาคต้องออกมาชี้แนะด้วยเสียงโหยหวลว่า

     "...สงสัย..ย หัวเทียนบอด..ด..ด.."

     ผมจึงไปเอาหัวเทียนสำรองซึ่งมีค้างอยู่ในห้องเก็บของมาเปลี่ยน แล้วสตาร์ทใหม่ มันก็ไม่ติดอีก จึงตัดสินใจเอาไขควงมาไขเข้าไปดูในคาร์บูเรเตอร์ของเครื่อง เพราะคนเขาพูดกันเสมอว่าเครื่องยนต์สองจังหวะแบบนี้ ถ้าไม่หัวเทียบบอร์ดก็ลูกลอยในคาร์บูค้างหรือนมหนูในคาร์บูตัน ผมไขเข้าไปโดยที่ไม่เคยซ่อมคาร์บูมาก่อนเลยในชีวิต เหอะน่า ถือว่าเป็นการฝึกสมองคนแก่ อย่างมากก็แค่ซ่อมไม่ได้

     ค่อยๆบรรจงไขเข้าไปทีละชั้น แกะฝาครอบออก เอาลูกลอยออกมาดูก็ไม่เห็นจะติดขัดหรือสกปรกตรงไหน เห็นมีรูเล็กๆที่เป็นทางน้ำมันไหลออกมา ผมเข้าใจว่าตรงนี้ละมังที่เรียกกันว่านมหนู จึงแคะเอาลิ่มที่ปิดเปิดรูออกมาล้าง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแก๊ง ชิ้นส่วนของคาร์บูหล่นออกมา แต่หาได้ไม่ครบ หายไปชิ้นหนึ่ง ที่รู้ว่าหายเพราะมันเป็นสลักที่ชิ้นอื่นต้องอาศัยเกาะจึงจะห้อยอยู่ได้ หาอยู่นานจึงพบว่ามันหล่นเข้าไปในฝาครอบเครื่อง กว่าจะงมหาของเจอ เอาชิ้นส่วนกลับเข้าที่ได้อีกก็นานโข แล้วสตาร์ทใหม่.. ไม่ติด

     คราวนี้เป็นไม้สุดท้ายแล้ว ผมยกเครื่องตัดหญ้าใส่ท้ายรถขับไปปากเกร็ด เพราะเครื่องแบบนี้ในเมืองไม่มีใครซ่อมได้หรอก ต้องไปบ้านนอก ผมขับหาร้านซ่อมแถวห้าแยกปากเกร็ดไม่เห็นมี จึงขับเข้าไปในซอยวัดกู้ เห็นร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ร้านหนึ่งกำลังเปิดดำเนินการอยู่ จึงจอดตะโกนถาม

     "น้อง..ซ่อมเครื่องตัตหญ้าได้ไหม" ช่างซึ่งมีอายุราวสี่สิบตอบว่า

     "ผมไม่เคยนะพี่ แต่พี่เอามาดูก็ได้" 

     เขาลงมือไปทีละลำดับอย่างเชี่ยวชาญ ไขหัวเทียนออกมาตรวจ ชักเชือกสตาร์ทดูไฟที่หัวเทียน เห็นว่าไฟมาเป็นปกติแล้วก็ใส่หัวเทียนกลับเข้าไปใหม่ ชักเชือกสตาร์ทอีกราวสิบหน ไม่ติด เขาเปิดหัวเทียนออกมาเหล่ดู สลับกับดม..แล้วเหล่ ดม..แล้วเหล่

     "มันแห้ง" ผมบอก เขาพยักหน้าและว่าน้ำมันไม่มาที่หัวเทียน แล้วเขาก็เปิดหูกระต่ายที่ก้นคาร์บูดูว่ามีน้ำมันไหลออกมาไหม เมื่อเห็นน้ำมันไหล คราวนี้เขาตัดสินใจเปิดคาร์บู ผมแอบดูเห็นว่าชิ้นส่วนที่ผมใส่กลับเข้าไปยังอยู่ครบ เขาตรวจดูรูที่น้ำมันไหลลงคาร์บูแล้วก็บอกว่าน้ำมันก็ไหลลงลูกลอยดี ผมถามว่า

     "แสดงว่านมหนูไม่ตันหรือ" เขาบอกว่า

     "เปล่า ลูกลอยก็ลูกลอย 
     นมหนูก็นมหนู ไม่เกี่ยวกัน"

     ว่าแล้วเขาก็เอาไขควงไขเอาสิ่งที่ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าตรงนี้ต่างหากที่ชาวบ้านเรียกกันนมหนูออกมาดู เขาเหล่ดู แล้วเอาเครื่องเป่า แล้วเอาลวดแยง แล้วเหล่ แล้วใส่เข้าไป

     ระหว่างทำการซ่อม มีมอไซค์รับจ้างในซอยและชาวบ้านแวะมารับบริการเป็นระยะๆ ส่วนใหญ่เป็นการคอนซัลท์ (ปรึกษา) ซึ่งเขาก็บอกวิธีแก้ปัญหาไป หรือทำให้ดูเดี๋ยวนั้น โดยไม่เก็บเงิน

     แล้วเขาก็สตาร์ทเครื่องตัดหญ้าของผมใหม่ คราวนี้สตาร์ทติด เขาค่อยๆเอาไขควงปรับรอบเครื่องอยู่พักใหญ่ รวมเวลาที่เขาซ่อมก็นานเป็นชั่วโมง

     "ค่าซ่อมเท่าไหร่น้อง" เขาบอกว่า

     "แปดสิบบาท" ผมรู้สึกว่ามันถูกเกินไป จึงยื่นเงินให้และบอกว่า

     "พี่ให้สามร้อยก็แล้วกัน" เขาผงะ แต่ยิ้ม แล้วส่ายหัว

     "ผมรับไว้ร้อยหนึ่งละกัน" ว่าแล้วยื่นสองร้อยกลับมาให้ผม ผมยื่นกลับไปให้เขาใหม่และว่า

     "ค่าซ่อมหนึ่งร้อย ค่าสอนพี่ให้รู้จักนมหนูอีกสองร้อย" เขายิ้มปากกว้างและรับเงินไว้ด้วยท่าทางแบบยังรู้สึกผิดอยู่นิดๆ

     กลับมาถึงบ้าน ทั้งหมดนี้ผ่่านไปจนเกือบเที่ยงวันแล้ว แต่ผมเครื่องกำลังร้อน จึงลงมือตัดหญ้ากลางแดดเปรี้ยงจนเสร็จ เผอิญภรรยาแอบถ่ายรูปไว้ จึงเอารูปมาลงให้ดูเป็นหลักฐาน

     ตัดหญ้าเสร็จสบายใจแล้วก็มานั่งเตรียมการสอนวันพรุ่งนี้ คือคอร์สฝึกสติรักษาโรค (Mindfulness based treatment - MBT2) เอาประสบการณ์จากการสอนชั้นเรียนแรก (MBT1) มาแก้ไข พบว่าต้องแก่ไขแยะมาก สาระหลักก็คือจะลดการพูดกันถึงทฤษฎีให้น้อยลง ลงมือทำให้มากขึ้้น และเอาการจดบันทึกประสบการณ์แบบฝรั่งมาใช้บ้างแต่ไม่มากเกินไป หน้าตาหลักสูตรของคอร์สใหม่เป็นอะไรที่อาจจะมีประโยชน์กับผู้ไม่มีโอกาสได้มาเรียน ผมจึงเอามาลงให้ดูด้วย

........................................................................

แค้มป์ฝึกสติรักษาโรครุ่นที่2 (MBT2 day camp)
Wellness We care Center มวกเหล็ก – เขาใหญ่
4 พย. 59

     วัตถุประสงค์คือให้มีความรู้และทักษะการพัฒนาสติตนเองตามแนวทาง MBSR ของ U. of Mass. ที่ประยุกต์ให้เหมาะกับคนไทยโดยใช้ชื่อ MBT แทน โดยมุ่งให้ผู้เรียนมีทักษะพอที่จะเอาไปฝึกปฏิบัติต่อในชีวิตประจำวันของแต่ละคนด้วยตนเอง จนใช้ป้องกัน บรรเทา และรักษาโรคเรื้อรังของตนได้

ตารางเรียน

9.00 – 9.30 Opening session. บรรยายนำเรื่องการแยกส่วน ความคิด ร่างกาย และจิตสำนึกรับรู้
9.30 – 10.00 Workshop1. Aware of a thought ฝึกรับรู้ความคิดด้วยวิธีเฝ่าดูจากภายนอก
10.00 – 10.30 Workshop2. Recall ฝึกย้อนดูความคิด (สติ) และการสลายตัวของความคิด
10.30- 10.45 Workshop3. Conscious without thought ฝึกอยู่กับจิตสำนึกรับรู้ที่ปลอดความคิด
10.45-11.00 Workshop4. Breathing meditation ฝึกประสานสติกับลมหายใจ

11.00-11.15 Morning break พักรับประทานน้ำชา

11.00 – 11.15 Workshop5. Hands movement ฝึกประสานสติกับการเคลื่อนไหว
11.15 – 11.30 Workshop6 Just walk ฝึกสามประสาน สติ-ลมหายใจ-การเคลื่อนไหว
11.30 – 12.00 Workshop7. Muscle relaxation ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
12.00 – 12.15 Workshop8. Relax movement ฝึกสี่ประสาน (สติ-การหายใจ-การเคลื่อนไหว-การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ)
12.15 – 12.30 Workshop9. Chi ฝึกรับรู้พลังงานภายในร่างกาย

12.30-13.30 Lunch break พักรับประทานอาหารกลางวัน

13.30 – 13.45 Workshop10. Chi movement ฝึกห้าประสาน สติ-การหายใจ-การเคลื่อนไหว-การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ-พลังงานภายในร่างกาย
13.45 – 14.05 Workshop11. Full Tai Chi ฝึกรับรู้พลังงานภายในด้วยวิธี ไทชิชี่กง
14.05 – 14.15 Workshop12. Here and now equanimity ฝึกรับรู้ปัจจุบันอย่างอุเบกขา
14.15 – 14.30 Workshop13. Awareness expansion ฝึกขยายจิตรับรู้ (แผ่เมตตา)
14.30 – 14.45 Workshop14. Acceptance and thanks. ฝึกรับรู้ ยอมรับ และขอบคุณปัจจุบัน
14.45 – 15.15 Workshop15. Coping with pain ฝึกรับรู้ความเจ็บปวดอย่างอุเบกขา

15.15-15.30 Evening break พักรับประทานน้ำชา

15.30 – 16.00 Workshop15. Daily wrap-up สรุปสิ่งที่ฝึกเรียนมาตลอดวัน
16.00 ปิดคอร์ส

สำหรับผู้สนใจสมัครเรียน

     สำหรับท่านที่สนใจจะมาเรียน คอร์ส MBT2 ซึ่งจะสอนวันพรุ่งนี้นั้นเต็มหมดแล้ว รับเพิ่มไม่ได้แล้ว

     แต่ท่านสามารถไปเข้าเรียนคอร์สที่จะเปิดใหม่ MBT3 (18 กพ. 60 เวลา 9.00 - 16.00 น.) ใช้หลักสูตรเดียวกัน ขยายจำนวนรับเป็น 30 คน ท่านที่สนใจก็สมัครมาเรียนได้ รายละเอียดตามข้างล่างนี้

ค่าเรียน

คนละ 2,500 บาท (ราคานี้เป็นราคาปีใหม่ ขอโทษที่ต้องเปลี่ยนจากราคาปีเก่า 2,000 บาท) ราคานี้รวมค่าอาหารกลางวัน อาหารว่างสองเบรก ค่าวิทยากร ผู้ช่วยวิทยากร ค่าสถานที่ ค่าห้องแอร์ และอุปกรณ์การเรียนที่ต้องใช้ในศูนย์ แต่ไม่รวมค่าเดินทาง เพราะทุกคนต้องเดินทางไปเอง

ที่พักค้างคืน

     ไม่จำเป็นต้องพักค้างคืนที่เวลเนสวีแคร์ เพราะการเดินทางด้วยรถยนต์ไปจากกทม.ใช้เวลา 2 ชม. แต่ถ้าจะพักที่เวลเนสวีแคร์ก็ได้โดยต้องยอมจ่ายค่าที่พักแพง (3,000 บาทต่อห้องสองเตียงต่อคืนรวมอาหารเช้าสำหรับสองคน กรณีไม่ต้องการแชร์ห้องกับใคร ต้องการนอนทั้งห้องคนเดียวลดให้ 500 บาท คือต้องจ่าย 2,500 บาทต่อห้องรวมอาหารเช้าสำหรับหนึ่งคน) 

     กรณีจำเป็นต้องพักแต่ไม่อยากเสียเงินแพง แนะนำไปพักตามโรงแรมหรือรีสอร์ทอื่นใกล้ๆ เช่นที่ "ชิดลมรีสอร์ท" ห่างออกไปสองกม. ค่าห้องพักประมาณ 700 - 800 บาทต่อห้องต่อสองคนต่อคืน 

วิธีลงทะเบียนเข้าเรียน

1. แจ้งสำรองที่เรียน

     1.1 ทางโทรศัพท์ที่ พญ.สมวงศ์ ใจยอดศิลป์ โทร. 086 8882521 
     1.2 ทางอีเมล somwong10@gmail.com

2. ชำระเงินค่าลงทะเบียน

     โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกรุงเทพ สาขาเมืองทองธานี เลขบัญชี 931 0 06792 2 ชื่อบัญชี นายสันต์ ใจยอดศิลป์

3. ยืนยันการรับลงทะเบียน

     ส่งภาพถ่ายสลิปใบโอนเงินที่เขียนชื่อของท่านด้วยปากกาทับไว้อย่างชัดเจนบนใบสลิปนั้นด้วย ส่งไปยังพญ.สมวงศ์ทางอีเมล somwong10@gmail.com  ในกรณีไม่สะดวกในการส่งภาพถ่าย จะโทรศัพท์บอกกับพญ.สมวงศ์ที่หมายเลข 086 8882521 โดยตรงด้วยตนเองก็ได้

     ขอความกรุณาอย่าส่งใบสลิปมาโดยไม่เขียนชื่อว่าเป็นเงินของใคร เพราะทางเวลเนสวีแคร์ได้รับใบสลิปแล้วก็ยังไม่รู้จะลงทะเบียนในชื่อใครอยู่ดี 

     การลงทะเบียนจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อทางเวลเนสวีแคร์ได้รับทั้งเงินและชื่อผู้ส่งเงินแล้วเท่านั้น

4. เงินค่าลงทะเบียนรับแล้วไม่มีคืน ถ้ามาไม่ได้ก็ไม่คืน เพราะเอาไปจ่ายค่าจ้างคนค่าสถานที่ค่าอาหารไปแล้ว

   การลงทะเบียนเรียนใช้สูตรมาก่อนได้ก่อน เต็มแล้วปิด เพราะถ้ามากกว่านั้นกลัวจะเป็นสติแตกไม่ใช่สติรักษาโรค 

สถานที่ 

เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์  อยู่ในมวกเหล็กวาลเลย์ ย่านมวกเหล็ก-เขาใหญ่

(สถานที่หายากนิดหน่อย ให้สังเกตป้ายบอกทาง Wellness We care มันอยู่ในหมู่บ้านร้างพงรก ท่านต้องคลำทางไปเอาเอง ตามแผนที่ข้างล่าง)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]