เดี๋ยวนี้จดหมายของท่านผู้อ่านกองสุมมากขึ้นทุกวัน
บางท่านก็ขยันเขียนมากดดันว่า
“..ผมเห็นจดหมายของวันที่...อาจารย์ตอบไปแล้ว ทำไมของผมเขียนมาสองรอบแล้วไม่ตอบสักที”
แหะ
แหะ คบกับหมอสันต์ต้อง make your heart คือทำใจซะ.. นะครับ
เพราะการตอบจดหมายเป็นงานอดิเรกคลายเครียด ดังนั้นผมจึงตอบแบบเอาฮอร์โมนของตัวเองเป็นที่ตั้ง เรื่องไหนอยากตอบก็ตอบ
ไม่อยากตอบก็ตากแห้งเอาไว้ก่อน หลายๆเอาไว้ก่อน พอไปถึงสิ้นปีก็กลายเป็นโละทิ้งไปก่อน
เนี่ย มันเป็นยังงี้แหละค่าท่านสารวัตร ฉบับนี้ผมเลือกตอบปัญหาไร้สาระก่อนอีกละ
เพราะผมเพิ่งเครียดมา ตอบคำถามไร้สาระแล้วมันหนุกดี จดหมายฉบับนี้มีว่า
“..คือ หนูมีปัญหาเล็กน้อยที่มันวุ่ นวายในใจมากเลยคะ หนูเป็นน้อง พี่ๆทุกคนจะมีงานวานให้ช่วยนิ ดๆหน่อยๆตลอดคะ บางทีก็รู้สึกว่ามันน่ารำคาญไม่ อยากทำให้เลย ใกล้สอบก็จะมีงานมาไหว้วานตลอด จิงๆมันเป็นมาตั้งแต่เรื่ องงานบ้านแล้วคะ ตั้งแต่เล็กจนโตบ้านเราแม่เป็ นคนทำให้ทุกอย่างคะ
ไม่มีการแบ่งหน้าที่ เพราะแบ่งแล้วก็มักจะล่มตลอด พอหนูมาช่วยแม่ทำ มันก็เลยกลายเป็นหน้าที่หนูไป
ห้องน้ำใช้ด้วยกันถ้าหนูไม่ถู แม่ก็จะถูให้ พี่ๆไม่เคยถูเลยคะ พอแสดงท่าทางบอกพ่อแม่ว่าไม่ อยากทำ
ก็จะเจอกับคำถามที่ว่ามันหนักหนามากเลยรึไง งานแค่นี้ช่วยพี่เค้าหน่อยไม่ ได้เ หรอ
งานมันไม่หนักหรอกคะ เช่นพิมพ์ชื่อลงบนซองร้อยกว่ าซอง แต่ประสบการณ์ที่เคยเจอมามันไม่ ธรรมดาคะ พี่เคยไปรอรับหนูวันรับประกาศนี บัตรของหนู เค้าก็เดินช้อปปิ้งรอไป พอออกมา พี่บอกให้ช่วยออกค่าที่จอดรถด้ วยคะ 100บาท
อึ้งไปซักครู่
อึ้งอีกรอบตอนช่วยขนของลงจากรถ ของที่เธอช้อปปิ้งมาเต็มหลั งรถเลยคะ
(ปล.พี่เป็นหมอเงิน+จ๊อบ น่าจะเกินแสนต่อเดือน ส่วนหนูยังไม่มีรายได้คะ
ปล.2 เรื่องเก็บเงิน100บาท ไม่ได้บอกแม่คะ ถ้ารู้ แม่คงว่าพี่อะคะ แต่ไม่อยากให้แม่เครียดและก็ไม่ อยากให้เป็นเรื่อง
อดีตแฟนหนูเค้าบอกว่า บ้านหนูประหลาดคะ แล้วชีวิตจริงเค้าก็ไม่ได้ อยากได้นางเอกในนิยาย เลยเลิกกันแบบงงๆคะ 555)
สรุปก็คือ ไอ้งานเล็กๆน้อยที่หนูเกิ ดความรู้สึกว่าไม่อยากทำให้พี่ ๆเนี่ยมันเป็นเพราะพื้นฐานจิตใจหนูเป็ นคนเห็นแก่ตัว งานแค่เนี้ยทำให้เค้าไม่ได้ ช่วยแค่นี้แล้วทำท่าอยากจะตาย( อันนี้แม่บอก) รึป่าวคะหรือว่าหนูมีสิทธิเลือกที่ จะทำให้หรือไม่ทำให้เค้าได้คะ แล้วจะบอกพ่อแม่ พี่ให้เข้าใจได้ยังไงดีคะ พ่อก็พร่ำแต่บอกว่าทำไมละ งานมันหนักหนามากเลยหรอลูก ช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป พี่น้องก็เหมือนแขนขา -.-ดูอย่างพ่อซิ ยังช่วยคุณป้า(พี่สาวพ่อ)ทำนู่ นทำนี่เลย ช่วยกันได้ก็ช่วยกันไปนะ ถ้ามันหนักหนามากกก หนูไม่อยากทำเดี๋ยวพ่อจะวานเพื่ อนพ่อช่วยทำให้แทน บลาๆ -.-*ตอนนี้อยากรู้มากคะว่า ไอ้งานแค่เนี้ย เราควรจะจัดการยังไดี ทำให้ก็ได้นะ แต่ต้องแบบตัวกูไม่ใช่ขี้ข้ าและตัวเราก็ไม่เครียด ได้บ้างคะ ขอบคุณคะ
อึ้งไปซักครู่
อึ้งอีกรอบตอนช่วยขนของลงจากรถ ของที่เธอช้อปปิ้งมาเต็มหลั
(ปล.พี่เป็นหมอเงิน+จ๊อบ น่าจะเกินแสนต่อเดือน ส่วนหนูยังไม่มีรายได้คะ
ปล.2 เรื่องเก็บเงิน100บาท ไม่ได้บอกแม่คะ ถ้ารู้ แม่คงว่าพี่อะคะ แต่ไม่อยากให้แม่เครียดและก็ไม่
อดีตแฟนหนูเค้าบอกว่า บ้านหนูประหลาดคะ แล้วชีวิตจริงเค้าก็ไม่ได้
สรุปก็คือ ไอ้งานเล็กๆน้อยที่หนูเกิ
……………………..
ตอบครับ
ผมชอบใจที่แฟนคุณทิ้งท้ายก่อนบอกศาลา ว่า
“ในชีวิตจริงผมไม่อยากได้นางเอกในนิยาย”
แหม มันเป็นวลีก่อนจากที่จ๊าบจริงๆ ถูกหรือผิดไม่รู้
แต่ฟังแล้วแซ่บอีหลี
คำพูดของแฟนคุณทำให้ผมคิดถึงสมัยผมเป็นอินเทอร์น ผมมีเพื่อนเป็นพยาบาลคมขำไม่สวยแต่ใจดีคนหนึ่งชื่อ “นางแก้ว” แล้วเชื่อหรือไม่ มีพี่เรสิเด้นท์หนุ่มนักมนุษยธรรมรูปหล่อพ่อรวยมีรถเก๋งขี่ (สมัยนั้นหมอน้อยไม่มีรถเก๋งขี่กันง่ายๆหรอก) มาปิ๊งนางแก้ว เพื่อนๆทุกคนก็ ลู้น..น...น ว่า นางแก้วเอ๋ย เป็นวาสนาของคนรูปชั่วตัวดำอย่างเอ็งแล้วที่คุณโดมผู้สูงศักดิ์โน้มมาหา ไม่ลุ้นเปล่าพวกเราจัดฉากสารพัดเพื่อให้หนังจบแฮปปี้เอนดิ้งให้ได้ แล้วเชื่อหรือไม่ครับท่านผู้อ่าน พี่เรสิเด้นท์ท่านนั้นออกปากขอความรักจากนางแก้วจริงๆ ผมรู้เพราะอีกด้านหนึ่งพี่เขาก็สนิทกับผมด้วย หลังจากฉากขอความรักผ่านไปแล้วพี่เขาทำหน้าจ๋อยมาปรับทุกข์กับผมว่านางแก้วปฏิเสธเขา โอ้โฮ.. เป็นไปได้ไงเนี่ย คืนหนึ่งผมอุตสาห์รอถึงเที่ยงคืนให้นางแก้วลงเวรอี.อาร์.เพื่อจะได้คุยกันแบบเอ็กซ์คลูสีฟ แล้วก็อัดเธอเต็มๆว่าเธอปฏิเสธพี่เขาได้ไง บ้ารึเปล่า มีเหตุผลอะไรนอกเหนือปกตินักรึไงวะ คำตอบที่ผมได้จากนางแก้วคือ
“..พี่เขาดีเกินไป”
โอ้..โฮ ผมงี้หมดมู้ดเลย อ้าว
ขอโทษ ผมนอกเรื่องละ มาตอบคำถามของคุณดีกว่า
ถามว่า ที่หนูเกิ ดความรู้สึกว่าไม่อยากทำให้พี่ ๆเนี่ย มันเป็นเพราะพื้นฐานจิตใจหนูเป็ นคนเห็นแก่ตัวรึป่าวคะ
ตอบว่าไม่ใช่หรอกครับ คุณไม่อยากทำอะไรให้พี่ๆ เพราะคุณรู้สึกว่ามันเครียดที่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อแบกความคาดหวังของคนอื่น
คุณอยากมีชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่มีใครมาคาดหวังอะไรกับตัวคุณ
ไม่ได้หมายความว่าคุณเห็นแก่ตัว
ถามว่าหนูมีสิทธิเลือกที่ จะทำให้หรือไม่ทำให้เค้าได้ไหมคะ ตอบว่า มีสิครับ ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นคือก่อนที่จะเลือกทำหรือไม่ทำให้พี่เขา
มันมีอีกขั้นตอนหนึ่ง คือการสนองตอบ (ด้วยการคิด) ต่อคำขอหรือความคาดหวังของพี่เขา
ตรงนี้แหละที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ เรื่องจะทำหรือไม่ทำเอาไว้ก่อนนะ
แต่การสนองตอบต่อคำขอหรือความคาดหวังของพี่ๆอย่างขาดสติ (แบบปี๊ด..ด) ทำให้คุณเป็นทุกข์
ไม่ใช่การทำหรือไม่ทำอะไรให้พี่เขา คุณมีเสรีภาพที่จะสนองตอบต่อสิ่งเร้าทุกชนิดที่เข้ามาหาตัวคุณในทางที่ไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์
จิตแพทย์ชาวออสเตรียชื่อวิคเตอร์ แฟรงเคิล (Victor Frankle) เรียกมันว่าเป็นเสรีภาพชิ้นสุดท้ายของมนุษย์ชน (Last freedom of human) ซึ่งไม่มีใครมาริบไปจากคุณได้
คุณเรียนรู้ที่จะใช้เสรีภาพชิ้นนี้ให้เป็น เรื่องทั้งหมดก็จะเป็นของกล้วยๆ
ถามว่าถ้าไม่ทำ จะบอกพ่อแม่และพี่ให้เข้าใจได้ยังไงดี ตอบว่าการบอกว่าจะไม่ทำนั้นไม่จำเป็น
เพราะพูดไปก็ไลฟ์บอยหาประโยชน์ไม่ได้ แต่การค่อยๆสร้างภาวะวิสัยให้ทุกคนปรับตัวกับสภาพใหม่เป็นสิ่งจำเป็น
แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น คุณต้องเข้าใจก่อนนะว่าคุณกำลังอยู่ในจุดกึ่งกลางระหว่างความขัดแย้งในใจพื้นฐานสองด้าน
ด้านหนึ่งก็คือการโหยหาอิสระภาพ อีกด้านหนึ่งก็คือความกลัวเหงา กลัวว้าเหว่
กลัวไร้ที่พึ่ง นักปรัชญาชาวอังกฤษชื่อเบอรทรัลด์ รัสเซล (Bertrand
Russell) บอกว่า
“..คนเราก็เป็นงี้แหละ
พอมีความอบอุ่นก็โหยหาเสรีภาพ
แต่พอมีอิสระเสรีก็ทนความเหงาและว้าเหว่ไม่ได้
ต้องเที่ยวเสาะหาความรักความเอาใจใส่อีกหละ..”
คุณจึงต้องชั่งน้ำหนักใจของคุณก่อน
ว่าต่อแต่นี้ไปจะหนักไปทางเสรีภาพนะ แล้วก็ลงมือ ด้วยการออกจากบ้านไปหางานทำ (เรียนหนังสือจบแล้วไม่ใช่เรอะ)
ย้ายไปอยู่นอกบ้าน กัดก้อนเกลือกินตามประสาเสรีชน
ก็ไม่ต้องทำอะไรให้ใครโดยไม่ต้องบอกต้องกล่าวอะไรให้ผิดใจกันด้วย
ถามว่าถ้าจะทำให้ โดยไม่รู้สึกว่าตัวกูเป็นขี้ข้ า และตัวเราก็ไม่เครียด
มีวิธีใดจะทำอย่างนี้ได้บ้างคะ ตอบว่ามีครับ คุณต้องเปลี่ยนมุมมองในการทำอะไรให้ใครเสียใหม่
คุณเรียนรู้เอาจากคุณแม่ของคุณก็ได้ คุณแม่ของคุณทำทุกอย่างให้ทุกคนในบ้านเพราะท่านรักลูกๆ
ท่านทำไปเพราะความรัก จึงไม่มีความลำบากใจหรือฝืนใจใดๆเลย ไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่านี่เป็นชีวิตที่เกิดมาเป็นขี้ข้าเขา
ถ้าคุณจะทำอะไรให้พี่ๆ คุณก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าทำเพราะความรักพี่ อยากจะให้พี่ได้สิ่งดีๆ
จากฝีมือเรา หรือทำเพราะจำใจทำเพื่อให้พี่มารักเราหรือยอมรับเรา ถ้าเป็นอย่างหลังนี้ก็ไม่ต้องทำ
ให้รีบหางานของตัวเองให้ได้ แล้วย้ายออกไปอยู่นอกบ้านให้พ้นจากพี่ๆเสีย เพราะคาริล
ยิบราน เขียนกลอนสอนว่า
“..และการงานก็จะว่างเปล่า เมื่อไม่มีความรัก
และเมื่อเธอทำงานด้วยความรักนั้น เธอได้โอบตนเองเข้ากับตนเอง เข้ากับผู้อื่น และเข้าสู่พระผู้เป็นเจ้าแล้ว
ก็การงานที่จะทำด้วยความรักนี้ คืออย่างไรเล่า
คือการทอผ้าด้วยเส้นด้ายที่ดึงจากดวงใจของเธอ
ราวกับว่าผ้าผืนนั้นจะเป็นเครื่องนุ่งห่มของคนรักของเธอ
คือการสร้างบ้านขึ้น ด้วยดวงใจเอิบอิ่มในความรัก
ประหนึ่งว่าสร้างบ้านนั้นเพื่อคนรักของเธออยู่
เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ ก็ด้วยความละมุนละไม และเก็บเกี่ยวผลอันผุดขึ้นด้วยความปราโมทย์ ดุจดังว่าที่รักของเธอจะเป็นผู้บริโภคผลนั้นๆ
คือการอาบรดทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอจับทำด้วยลมหายใจจากวิญญาณของเธอ
และถ้าเธอไม่อาจประกอบการงานได้โดยมีความรัก
แต่ด้วยความจำเจเบื่อหน่าย
เธอก็ควรวางมือ และไปนั่งตามประตูโบสถ์ ขอทานท่านผู้ทำงานด้วยใจรักดีกว่า..”
และเมื่อเธอทำงานด้วยความรักนั้น เธอได้โอบตนเองเข้ากับตนเอง เข้ากับผู้อื่น และเข้าสู่พระผู้เป็นเจ้าแล้ว
ก็การงานที่จะทำด้วยความรักนี้ คืออย่างไรเล่า
คือการทอผ้าด้วยเส้นด้ายที่ดึงจากดวงใจของเธอ
ราวกับว่าผ้าผืนนั้นจะเป็นเครื่องนุ่งห่มของคนรักของเธอ
คือการสร้างบ้านขึ้น ด้วยดวงใจเอิบอิ่มในความรัก
ประหนึ่งว่าสร้างบ้านนั้นเพื่อคนรักของเธออยู่
เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ ก็ด้วยความละมุนละไม และเก็บเกี่ยวผลอันผุดขึ้นด้วยความปราโมทย์ ดุจดังว่าที่รักของเธอจะเป็นผู้บริโภคผลนั้นๆ
คือการอาบรดทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอจับทำด้วยลมหายใจจากวิญญาณของเธอ
และถ้าเธอไม่อาจประกอบการงานได้โดยมีความรัก
แต่ด้วยความจำเจเบื่อหน่าย
เธอก็ควรวางมือ และไปนั่งตามประตูโบสถ์ ขอทานท่านผู้ทำงานด้วยใจรักดีกว่า..”
ท่อนท้ายเนี่ย เจ็บดีนะ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์