มีสมาชิกคอร์ส RDBY7 ซึ่งจบครบปีไปแล้ว ได้เขียนจดหมายมาหาเล่าเรื่องของท่าน ผมเห็นว่าบางประเด็นที่มีประโยชน์มากๆแม้กับตัวผมเองซึ่งก็เป็นคนป่วยโรคเดียวกันท่านผู้เขียนนี้ จึงขออนุญาตนำมาเล่าให้ฟัง และขอขอบคุณคุณพิสิฐไว้เป็นอย่างสูงด้วย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
..........................................................
สวัสดีครับผม พิสิฐ เพชรพิเชฐเชียร อายุ 50 ปีครับ
เป็น โรคหัวใจขาดเลือด stable angina class2 โรคไตเรื้อรังระยะที่2 (ไตทำงานข้างเดียว GFR 61.55) แต่ก่อนคิดว่าตัวเราเองเป็นคนดูแลสุขภาพดีมาก ยกตัวอย่างเช่น เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ กาแฟ น้ำอัดลมก็ไม่แตะ กินผักผลไม้เยอะ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แข็งแรงดี แต่นั่นเป็นความคิดที่ถูกเพียงบางส่วนเท่านั้น จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 40 ตรวจพบว่า กรวยไตขวาถูกพังพืดบีบรัด(สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นแต่กำเนิด) รัดจนไตข้างนั้นทำงานไม่ได้ ต้องเข้ารับการผ่าตัด
ครั้งที่สองหลังผ่าตัดได้ 5 ปี ขณะออกกำลังกายตอนเช้า มีอาการแน่นหน้าอกปวดร้าวไปที่กราม อาการไม่มาก พักแล้วหาย จึงไปโรงพยาบาล วิ่งสายพาน ผลออกมาเป็นบวก หมอนัด ฉีดสีสวนหัวใจ เท่านั้นแหละครับความเครียด วิตกกังวลโจมตีทันที สารพัดคำถามความคิดหมุนวนเกิดขึ้นในหัวว่า ดูแลตัวเองขนาดนี้ทำไมเป็นได้ไง เอาไงต่อ ไตก็ไม่ดี ทำงานข้างเดียวอีกข้างที่ถูกรัดก็ฝ่อไปแล้ว ฉีดสีไตพังแน่ จะตายมั้ย ฯลฯ โชคดีที่คิวนัดฉีดสี อีกสามเดือน จึงไปปรึกษาหมอท่านอื่นอีก 2-3 ท่าน ก็รู้ว่าอาการไม่รุนแรงมาก
และช่วงนั้นเริ่มอ่านบล็อกของ อจ.หมอสันต์ ได้ความรู้ว่าโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตีบตันสามารถหายได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง จึงตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะไม่ไปฉีดสีสวนหัวใจ เข็มงวดดูแลตัวเองมากขึ้น แต่กลายเป็นทำด้วยความเอาจริงเอาจังมากไปตึงเกินไป ทั้งยังไม่สามารถจัดการความความวิตกกังวลความคิดหมุนวนได้ เลยได้โรคปวดท้องแถมมาโดยไม่รู้ตัว ช่วงนั้นจึงโฟกัสไปที่การรักษาอาการปวดท้องก่อนเพราะมันเป็นอาการเฉพาะหน้า ปวดจริงเจ็บจริง นอนไม่ได้เลย น้ำหนักลดไป 8 กิโล แต่ทำไงหมอก็รักษาผมไม่ได้ ยังปวดท้องเรื้อรังอยู่ร่วมปี จนเริ่มตระหนักกับประโยคที่หมอว่า
“คุณเครียดมั้ย น่าจะมาจากความเครียด”
ซึ่งผมไม่ยอมรับเพราะไม่รู้ตัวว่าเครียด คิดว่าตัวเองเป็นคนร่าเริง โกรธใครไม่เป็นจะเครียดได้ไง เมื่อทบทวนตัวเองจึงยอมรับ เริ่มหาทางรักษาตัวเองจากโรคเครียดโดยไม่พึงยา ศึกษาธรรมมะนั่งสมาธิก็ไม่เวิรค์ มันยิ่งฟุ้งยิ่งออกจากความคิดลบที่หมุนวนหยุดไม่ได้ จนไปได้วิธีของฝรั่งเรื่องการโปรแกรมจิตใต้สำนึก เปลี่ยนความคิดลบเป็นคิดบวกด้วยการพูดกับตัวเองในแง่บวกสม่ำเสมอตลอดเวลาที่นึกได้ พร้อมกับจินตนาการว่าได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำเมื่อหายป่วย ผมพูดกับตัวเอง ทั้งวันจริงๆ พูดว่า ฉันดีขึ้น ฉันหายแล้ว ฉันแข็งแรงขึ้น ฉันโน่นนี่นั่นอะไรที่เป็นบวกพูดหมด จนหลับ หลับอยู่เคลิ้มๆก็พูด ตื่นมาพูดต่อ ผมโปรแกรมตัวเองแบบนี้ทุกวันประมาณ 2 เดือน วันนึงก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ขณะนั่งรถอยู่และพูดกับตัวเองนั้น มีความรู้สึกเหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่างลงที่ตัวจนซ่าน ปิติ ขนลุกทั้งตัว หลังจากนั้นอาการปวดท้อง ก็ดีขึ้นๆ จนหาย แต่ความคิดหมุนวนก็ยังอยู่แม้จะเอาความคิดบวกไปสู้ ทำไงอาการปวดท้องก็ยังมาเยี่ยมเป็นพักๆแต่ไม่เจ็บเท่าแต่ก่อนและอยู่ไม่นาน รวมทั้งอาการเจ็บหน้าอกทั้งเวลาออกกำลังกายและเวลาอยู่เฉยก็ยังคงมีอยู่ ผมรู้ว่าคุณภาพชีวิตแบบนี้ไม่ดีแน่ จึงตัดสินใจเข้าคอร์ส พลิกผันโรคด้วยตัวเอง (Reverse Disease by yourself) รุ่นที่7 กับอจ.หมอสันต์ ซึ่งทำให้ผมเข้าใจหลัก 4 ข้อ ของ อจ.ในการพลิกผันโรคด้วยตัวเองอย่างถ่องแท้ และนำมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองทำให้คุณภาพชีวิตผมดีขึ้นมากๆๆ
ข้อ 1 เรื่องอาหาร ก่อนหน้านี้ผมมีความคิดเข้าข้างตัวเองว่ามื้อไหนกินเนื้อสัตว์ก็กินผักเยอะๆ ออกกำลังกายเยอะๆ น่าจะช่วยได้ และคิดว่าน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนล่าเอามาทดแทนน้ำมันอื่นได้ดี ความรู้ที่ได้จากคอร์สทำให้รู้ว่าที่คิดมานั้นถูกแค่บางส่วน ถ้าอยากให้โรคมันหยุดเดินหน้าและย้อนกลับคือรักษาตัวเองได้ต้องทานอาหารที่เป็นพืชผักผลไม้ แบบไม่ขัดสีไม่ปอกเปลือก และไม่ทานน้ำมันทุกชนิด รวมทั้งงดเกลือและน้ำตาล ผมจึงหักดิบงดเนื้อสัตว์ทุกชนิด งดไข่ งดนม และทานผักผลไม้สด ถ้าปรุงก็ต้มนึงหรือผัดด้วยน้ำเท่านั้น เช้าผมจะปั่นน้ำผักผลไม้หนึ่งโถใหญ่ กินรวดเดียวหมด ไม่มีสูตรตายตัว ในครัวมีอะไรก็เอาไปปั่น เที่ยง เย็น ทานอาหารปรุงสุก เปลี่ยนขนมมาเป็นมันเทศ ฟักทอง กล้วยน้ำว้า ทั้งสด ตาก ปิ้ง และ นัทต่างๆ วันไหนมีขนมปังโฮลวีทฟรุตนัทของเวลเนสก็สุขอย่าบอกใครเลย
ข้อ 2 เรื่องออกกำลังกาย ข้อนี้ไม่มีปัญหาสำหรับ ผมปกติผมจะวิ่งเป็นประจำ เพียงแต่ปรับเปลี่ยนวิธีบ้างคือวิ่งช้าลงหรีอเดินบ้างแต่ทำให้นานขึ้น อจ.แนะนำว่าเมื่อมีอาการเจ็บหน้าอกให้ผ่อนลงลดความเร็วหรือเดินจนอาการหายไปค่อยเพิ่มความเร็วชักคะเย่อกันแบบนี้ การออกกำลังกายที่ผมมองข้ามไปคือการเล่นกล้ามเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การที่ผมวิ่งอย่างเดียวทำให้ไม่มีกล้ามเนื้อเลยรูปร่างไม่ดีผอมเหี่ยวๆ ผมเพิ่มการยกดัมเบลตามที่อจ.แนะนำ และการเล่นกล้ามที่ชอบมากคือการเดินบันไดบ้านสองชั้นนี่แหละครับ ผมเดินขึ้นๆลงๆ หนึ่งชั่วโมง ช้าๆไปเรื่อยๆนอกจากได้กล้ามขาและสะโพกแล้ว ยังได้อยู่กับตัวเองดูความคิดที่มันเข้ามาและหายไป หัวเข่าที่เคยมีปัญหาก็หายปวด ช่วงที่มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ผมเดินบันไดในบ้านทุกวันเลย เกือบ 2 เดือน เดินจนพบว่ามันเป็นการออกกำลังกายที่ดีมากๆ
ข้อ 3 อารมณ์ การจัดการความเครียด ข้อนี้ทำยากมากเป็นข้อที่ยากที่สุดสำหรับผม แต่มันคือต้นตอของปัญหาทั้งหมด ต่อให้เราทำข้ออื่นดีแค่ไหนแต่จัดการกับความเครียดไม่ได้ก็จบ ผมตระหนักดีถึงข้อนี้ดังนั้นหลังจากเข้าคอร์ส พลิกผันโรคด้วยตัวเอง ผมเข้า คอร์ส รีทรีททางจิตวิญญาณ ต่อทันที ซึ่งทำให้เข้าใจอะไรๆมากขึ้น ผมปรับจากที่ใช้วิธีโปรแกรมจิตใต้สำนึกมาที่การวางความคิด อยู่กับความรู้ตัวทีละขณะๆ ซึ่งเป็นสุดยอดวิชาของพระพุทธเจ้า เพราะการโปรแกรมจิตใต้สำนึกยังเป็นความคิดอยู่ เป็นคิดบวกคิดดีที่มีความอยากเจือปนที่เอาไปกดทับความคิดลบเอาไว้ ด้วยความที่มันยากขัดกับความเคยชินในการใช้ความคิดมาตลอด และในการที่คิดว่าความคิดคือตัวเรา ทั้งเห็นผลช้ามาก แต่เมื่อมั่นใจในวิธีการแล้วผมเดินหน้าอย่างเดียวทำๆไปเรื่อยๆปฏิบัติอย่างจริงจังมันเหมือนการฝึกวิชา ที่ไม่เห็นผลความก้าวหน้าเลยหากอดทนพอและทำไปๆเรื่อยๆวันไหนท้อจิตมันอยากพักก็พักหายก็ทำต่อไป แล้วผลมันจะบังเกิดให้เห็น ความคิดเริ่มน้อยลง เราสามารถออกจากความคิดไปอยู่กับความรู้ตัวได้นานขึ้น การรับมือกับเหตุการณ์สดๆร้อนๆซึ่งหน้าทำได้ดีขึ้น
ข้อ 4 เข้ากลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน การเข้าคอร์สทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของกลุ่มที่มีหัวอกเดียวกัน สร้างแรงบันดาลใจให้กัน เรียนรู้จากกัน รู้ว่ายังมีคนทำเหมือนเรากินเหมือนเรา ต้องขอบคุณกลุ่มเพื่อน RD7 ที่เป็นกำลังใจให้กันและกันครับ
ผ่านมา 1 ปีครึ่งแล้วที่ผมเปลี่ยนตัวเอง ยังคงสนุกกับวิถีชีวิตใหม่นี้ แม้นปรับตัวหย่อนบ้างในเรื่องอาหาร บางมื้อจำเป็นที่ต้องทานเนื้อสัตว์หรืออาหารผัดน้ำมันถ้าเลือกได้ก็เลือกเป็นปลา อาหารทะเล หรือ ไก่ ตามลำดับ งดเนื้อแดงและเนื้อสัตว์แปรรูปเด็ดขาด และทานแต่น้อย ยังคงยึด หลัก 4 ข้อเป็นแกนกลางปฏิบัติ
สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือ
ผลเลือดดีหมดทุกตัว โดยเฉพาะค่าไตดีขึ้น GFR จาก เดิม 61.55 ขึ้นมา 82.95
อาการเจ็บหน้าอกแบบไม่เกี่ยวกับการออกแรงหายไป
อาการเจ็บหน้าอกเวลาออกกำลังกายในระดับความหนักเท่าเดิมจะเจ็บน้อยลงจนแทบไม่รู้สึก
อาการปวดท้องหายไป
เมื่อก่อนมีอาการบ้านหมุนปีละ 2-3 ครั้งก็ไม่เป็นอีก
เมื่อก่อนเป็นหวัดปีนึง 2-3 ครั้ง ก็ไม่เป็นเลย
ทั้งหมดนี้ผมแค่ทำตาม 4 ข้อ ที่อจ.หมอสันต์บอกเท่านั้น ลืมบอกว่าผมไม่ได้กินยาแผนปัจจุบันหรือสมุนไพรหรืออาหารเสริมใดๆแล้ว กินแค่วิตะมิน B12 เสริมสัปดาห์ละ 2 เม็ด (500mcgx2) ตามที่อจ.แนะนำ เนื่องจาก B12 มีในเนื้อสัตว์ ไข่ นม เท่านั้น จึงจำเป็นต้องกินป้องกันไว้ก่อน
ขอขอบคุณ อจ.หมอสันต์ ที่ให้ความรู้กับผมและทุกๆคน แม้ไม่ได้เข้าคอร์สกับอจ. แต่ความรู้ที่อจ.ให้เป็นสาธารณะ อจ. ให้แบบไม่มีกั๊กเป็นความรู้ที่ครบถ้วนนำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ขอขอบคุณอจ.หมอสมวงศ์ และทีมงานทุกๆท่าน ที่สละทั้งแรงกายแรงใจ ประทับใจมากครับ อยากจะบอกว่าทุกครั้งที่ได้กลับไปมวกเหล็กมีความรู้สึกเหมือนกลับบ้าน มีความอบอุ่น สบายกายและใจมาก
ขอบคุณมากๆๆครับ
พิสิฐ เพชรพิเชฐเชียร
25 พค. 2562
[อ่านต่อ...]
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
..........................................................
สวัสดีครับผม พิสิฐ เพชรพิเชฐเชียร อายุ 50 ปีครับ
เป็น โรคหัวใจขาดเลือด stable angina class2 โรคไตเรื้อรังระยะที่2 (ไตทำงานข้างเดียว GFR 61.55) แต่ก่อนคิดว่าตัวเราเองเป็นคนดูแลสุขภาพดีมาก ยกตัวอย่างเช่น เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ กาแฟ น้ำอัดลมก็ไม่แตะ กินผักผลไม้เยอะ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แข็งแรงดี แต่นั่นเป็นความคิดที่ถูกเพียงบางส่วนเท่านั้น จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 40 ตรวจพบว่า กรวยไตขวาถูกพังพืดบีบรัด(สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นแต่กำเนิด) รัดจนไตข้างนั้นทำงานไม่ได้ ต้องเข้ารับการผ่าตัด
ครั้งที่สองหลังผ่าตัดได้ 5 ปี ขณะออกกำลังกายตอนเช้า มีอาการแน่นหน้าอกปวดร้าวไปที่กราม อาการไม่มาก พักแล้วหาย จึงไปโรงพยาบาล วิ่งสายพาน ผลออกมาเป็นบวก หมอนัด ฉีดสีสวนหัวใจ เท่านั้นแหละครับความเครียด วิตกกังวลโจมตีทันที สารพัดคำถามความคิดหมุนวนเกิดขึ้นในหัวว่า ดูแลตัวเองขนาดนี้ทำไมเป็นได้ไง เอาไงต่อ ไตก็ไม่ดี ทำงานข้างเดียวอีกข้างที่ถูกรัดก็ฝ่อไปแล้ว ฉีดสีไตพังแน่ จะตายมั้ย ฯลฯ โชคดีที่คิวนัดฉีดสี อีกสามเดือน จึงไปปรึกษาหมอท่านอื่นอีก 2-3 ท่าน ก็รู้ว่าอาการไม่รุนแรงมาก
และช่วงนั้นเริ่มอ่านบล็อกของ อจ.หมอสันต์ ได้ความรู้ว่าโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตีบตันสามารถหายได้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง จึงตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะไม่ไปฉีดสีสวนหัวใจ เข็มงวดดูแลตัวเองมากขึ้น แต่กลายเป็นทำด้วยความเอาจริงเอาจังมากไปตึงเกินไป ทั้งยังไม่สามารถจัดการความความวิตกกังวลความคิดหมุนวนได้ เลยได้โรคปวดท้องแถมมาโดยไม่รู้ตัว ช่วงนั้นจึงโฟกัสไปที่การรักษาอาการปวดท้องก่อนเพราะมันเป็นอาการเฉพาะหน้า ปวดจริงเจ็บจริง นอนไม่ได้เลย น้ำหนักลดไป 8 กิโล แต่ทำไงหมอก็รักษาผมไม่ได้ ยังปวดท้องเรื้อรังอยู่ร่วมปี จนเริ่มตระหนักกับประโยคที่หมอว่า
“คุณเครียดมั้ย น่าจะมาจากความเครียด”
ซึ่งผมไม่ยอมรับเพราะไม่รู้ตัวว่าเครียด คิดว่าตัวเองเป็นคนร่าเริง โกรธใครไม่เป็นจะเครียดได้ไง เมื่อทบทวนตัวเองจึงยอมรับ เริ่มหาทางรักษาตัวเองจากโรคเครียดโดยไม่พึงยา ศึกษาธรรมมะนั่งสมาธิก็ไม่เวิรค์ มันยิ่งฟุ้งยิ่งออกจากความคิดลบที่หมุนวนหยุดไม่ได้ จนไปได้วิธีของฝรั่งเรื่องการโปรแกรมจิตใต้สำนึก เปลี่ยนความคิดลบเป็นคิดบวกด้วยการพูดกับตัวเองในแง่บวกสม่ำเสมอตลอดเวลาที่นึกได้ พร้อมกับจินตนาการว่าได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำเมื่อหายป่วย ผมพูดกับตัวเอง ทั้งวันจริงๆ พูดว่า ฉันดีขึ้น ฉันหายแล้ว ฉันแข็งแรงขึ้น ฉันโน่นนี่นั่นอะไรที่เป็นบวกพูดหมด จนหลับ หลับอยู่เคลิ้มๆก็พูด ตื่นมาพูดต่อ ผมโปรแกรมตัวเองแบบนี้ทุกวันประมาณ 2 เดือน วันนึงก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ขณะนั่งรถอยู่และพูดกับตัวเองนั้น มีความรู้สึกเหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่างลงที่ตัวจนซ่าน ปิติ ขนลุกทั้งตัว หลังจากนั้นอาการปวดท้อง ก็ดีขึ้นๆ จนหาย แต่ความคิดหมุนวนก็ยังอยู่แม้จะเอาความคิดบวกไปสู้ ทำไงอาการปวดท้องก็ยังมาเยี่ยมเป็นพักๆแต่ไม่เจ็บเท่าแต่ก่อนและอยู่ไม่นาน รวมทั้งอาการเจ็บหน้าอกทั้งเวลาออกกำลังกายและเวลาอยู่เฉยก็ยังคงมีอยู่ ผมรู้ว่าคุณภาพชีวิตแบบนี้ไม่ดีแน่ จึงตัดสินใจเข้าคอร์ส พลิกผันโรคด้วยตัวเอง (Reverse Disease by yourself) รุ่นที่7 กับอจ.หมอสันต์ ซึ่งทำให้ผมเข้าใจหลัก 4 ข้อ ของ อจ.ในการพลิกผันโรคด้วยตัวเองอย่างถ่องแท้ และนำมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองทำให้คุณภาพชีวิตผมดีขึ้นมากๆๆ
ข้อ 1 เรื่องอาหาร ก่อนหน้านี้ผมมีความคิดเข้าข้างตัวเองว่ามื้อไหนกินเนื้อสัตว์ก็กินผักเยอะๆ ออกกำลังกายเยอะๆ น่าจะช่วยได้ และคิดว่าน้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนล่าเอามาทดแทนน้ำมันอื่นได้ดี ความรู้ที่ได้จากคอร์สทำให้รู้ว่าที่คิดมานั้นถูกแค่บางส่วน ถ้าอยากให้โรคมันหยุดเดินหน้าและย้อนกลับคือรักษาตัวเองได้ต้องทานอาหารที่เป็นพืชผักผลไม้ แบบไม่ขัดสีไม่ปอกเปลือก และไม่ทานน้ำมันทุกชนิด รวมทั้งงดเกลือและน้ำตาล ผมจึงหักดิบงดเนื้อสัตว์ทุกชนิด งดไข่ งดนม และทานผักผลไม้สด ถ้าปรุงก็ต้มนึงหรือผัดด้วยน้ำเท่านั้น เช้าผมจะปั่นน้ำผักผลไม้หนึ่งโถใหญ่ กินรวดเดียวหมด ไม่มีสูตรตายตัว ในครัวมีอะไรก็เอาไปปั่น เที่ยง เย็น ทานอาหารปรุงสุก เปลี่ยนขนมมาเป็นมันเทศ ฟักทอง กล้วยน้ำว้า ทั้งสด ตาก ปิ้ง และ นัทต่างๆ วันไหนมีขนมปังโฮลวีทฟรุตนัทของเวลเนสก็สุขอย่าบอกใครเลย
ข้อ 2 เรื่องออกกำลังกาย ข้อนี้ไม่มีปัญหาสำหรับ ผมปกติผมจะวิ่งเป็นประจำ เพียงแต่ปรับเปลี่ยนวิธีบ้างคือวิ่งช้าลงหรีอเดินบ้างแต่ทำให้นานขึ้น อจ.แนะนำว่าเมื่อมีอาการเจ็บหน้าอกให้ผ่อนลงลดความเร็วหรือเดินจนอาการหายไปค่อยเพิ่มความเร็วชักคะเย่อกันแบบนี้ การออกกำลังกายที่ผมมองข้ามไปคือการเล่นกล้ามเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การที่ผมวิ่งอย่างเดียวทำให้ไม่มีกล้ามเนื้อเลยรูปร่างไม่ดีผอมเหี่ยวๆ ผมเพิ่มการยกดัมเบลตามที่อจ.แนะนำ และการเล่นกล้ามที่ชอบมากคือการเดินบันไดบ้านสองชั้นนี่แหละครับ ผมเดินขึ้นๆลงๆ หนึ่งชั่วโมง ช้าๆไปเรื่อยๆนอกจากได้กล้ามขาและสะโพกแล้ว ยังได้อยู่กับตัวเองดูความคิดที่มันเข้ามาและหายไป หัวเข่าที่เคยมีปัญหาก็หายปวด ช่วงที่มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ผมเดินบันไดในบ้านทุกวันเลย เกือบ 2 เดือน เดินจนพบว่ามันเป็นการออกกำลังกายที่ดีมากๆ
ข้อ 3 อารมณ์ การจัดการความเครียด ข้อนี้ทำยากมากเป็นข้อที่ยากที่สุดสำหรับผม แต่มันคือต้นตอของปัญหาทั้งหมด ต่อให้เราทำข้ออื่นดีแค่ไหนแต่จัดการกับความเครียดไม่ได้ก็จบ ผมตระหนักดีถึงข้อนี้ดังนั้นหลังจากเข้าคอร์ส พลิกผันโรคด้วยตัวเอง ผมเข้า คอร์ส รีทรีททางจิตวิญญาณ ต่อทันที ซึ่งทำให้เข้าใจอะไรๆมากขึ้น ผมปรับจากที่ใช้วิธีโปรแกรมจิตใต้สำนึกมาที่การวางความคิด อยู่กับความรู้ตัวทีละขณะๆ ซึ่งเป็นสุดยอดวิชาของพระพุทธเจ้า เพราะการโปรแกรมจิตใต้สำนึกยังเป็นความคิดอยู่ เป็นคิดบวกคิดดีที่มีความอยากเจือปนที่เอาไปกดทับความคิดลบเอาไว้ ด้วยความที่มันยากขัดกับความเคยชินในการใช้ความคิดมาตลอด และในการที่คิดว่าความคิดคือตัวเรา ทั้งเห็นผลช้ามาก แต่เมื่อมั่นใจในวิธีการแล้วผมเดินหน้าอย่างเดียวทำๆไปเรื่อยๆปฏิบัติอย่างจริงจังมันเหมือนการฝึกวิชา ที่ไม่เห็นผลความก้าวหน้าเลยหากอดทนพอและทำไปๆเรื่อยๆวันไหนท้อจิตมันอยากพักก็พักหายก็ทำต่อไป แล้วผลมันจะบังเกิดให้เห็น ความคิดเริ่มน้อยลง เราสามารถออกจากความคิดไปอยู่กับความรู้ตัวได้นานขึ้น การรับมือกับเหตุการณ์สดๆร้อนๆซึ่งหน้าทำได้ดีขึ้น
ข้อ 4 เข้ากลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน การเข้าคอร์สทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของกลุ่มที่มีหัวอกเดียวกัน สร้างแรงบันดาลใจให้กัน เรียนรู้จากกัน รู้ว่ายังมีคนทำเหมือนเรากินเหมือนเรา ต้องขอบคุณกลุ่มเพื่อน RD7 ที่เป็นกำลังใจให้กันและกันครับ
ผ่านมา 1 ปีครึ่งแล้วที่ผมเปลี่ยนตัวเอง ยังคงสนุกกับวิถีชีวิตใหม่นี้ แม้นปรับตัวหย่อนบ้างในเรื่องอาหาร บางมื้อจำเป็นที่ต้องทานเนื้อสัตว์หรืออาหารผัดน้ำมันถ้าเลือกได้ก็เลือกเป็นปลา อาหารทะเล หรือ ไก่ ตามลำดับ งดเนื้อแดงและเนื้อสัตว์แปรรูปเด็ดขาด และทานแต่น้อย ยังคงยึด หลัก 4 ข้อเป็นแกนกลางปฏิบัติ
สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือ
ผลเลือดดีหมดทุกตัว โดยเฉพาะค่าไตดีขึ้น GFR จาก เดิม 61.55 ขึ้นมา 82.95
อาการเจ็บหน้าอกแบบไม่เกี่ยวกับการออกแรงหายไป
อาการเจ็บหน้าอกเวลาออกกำลังกายในระดับความหนักเท่าเดิมจะเจ็บน้อยลงจนแทบไม่รู้สึก
อาการปวดท้องหายไป
เมื่อก่อนมีอาการบ้านหมุนปีละ 2-3 ครั้งก็ไม่เป็นอีก
เมื่อก่อนเป็นหวัดปีนึง 2-3 ครั้ง ก็ไม่เป็นเลย
ทั้งหมดนี้ผมแค่ทำตาม 4 ข้อ ที่อจ.หมอสันต์บอกเท่านั้น ลืมบอกว่าผมไม่ได้กินยาแผนปัจจุบันหรือสมุนไพรหรืออาหารเสริมใดๆแล้ว กินแค่วิตะมิน B12 เสริมสัปดาห์ละ 2 เม็ด (500mcgx2) ตามที่อจ.แนะนำ เนื่องจาก B12 มีในเนื้อสัตว์ ไข่ นม เท่านั้น จึงจำเป็นต้องกินป้องกันไว้ก่อน
ขอขอบคุณ อจ.หมอสันต์ ที่ให้ความรู้กับผมและทุกๆคน แม้ไม่ได้เข้าคอร์สกับอจ. แต่ความรู้ที่อจ.ให้เป็นสาธารณะ อจ. ให้แบบไม่มีกั๊กเป็นความรู้ที่ครบถ้วนนำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ขอขอบคุณอจ.หมอสมวงศ์ และทีมงานทุกๆท่าน ที่สละทั้งแรงกายแรงใจ ประทับใจมากครับ อยากจะบอกว่าทุกครั้งที่ได้กลับไปมวกเหล็กมีความรู้สึกเหมือนกลับบ้าน มีความอบอุ่น สบายกายและใจมาก
ขอบคุณมากๆๆครับ
พิสิฐ เพชรพิเชฐเชียร
25 พค. 2562