25 มิถุนายน 2555

ยารักษาความดันสูงในคนเป็นโรคไตเรื้อรัง


เรียนคุณหมอสันต์

หนูเคยอ่านบทความตอบคำถามของคุณหมอ เห็นคุณหมอเขียนละเอียดอ่านเข้าใจดี จะขอรบกวนถามคุณหมอเรื่องยาลดความดันค่ะ หนูเป็นโรคไต ตรวจพบว่าค่าไตสูงกว่าค่าปกติ คือ Cr 2.2 ตั้งแต่ปี 2547 
จนตอนนี้ Cr 5.97 คุณหมอให้ยาลดความดัน  Atenolol 50 mg ทาน 1 เม็ด หลังอาหารเช้ามานานหลายปี จนประมาณปีที่แล้ว คุณหมอเปลี่ยนยาความดันเป็น Amlodipine 5 mg  1 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น (หนูวัดความดันตลอดเช้า-เย็นค่ะ) แต่หนูรู้สึกว่ากินยาตัวใหม่ความดันไม่ค่อยลดและมีอาการหัวใจเต้นถี่มาก เคยขึ้นเป็นร้อยบ่อยๆ เคยปรึกษาคุณหมอๆบอกว่าตัวใหม่ดีกว่าตัวเก่า ทำไมความดันไม่ลง เลยให้หนูกินยา เพิ่มเป็น 2 เม็ด แต่หนูเคยกิน 2 เม็ดครั้งหนึ่งตอนวัดความดัน แล้วความดันสูง ปรากฏว่า หัวใจเต้นถี่ บ่อยกว่าเดิม หนูเลยลองกลับไปกินยาตัวเก่าไม่มีอาการหัวใจเต้นถี่ และความดันก็ลดดี จึงอยากถามคุณหมอว่า ยาตัวใหม่ดีกว่าตัวเก่าจริงหรือไม่ แล้วถ้าหนูจะกินยาตัวเก่าบ้างในกรณีที่เกิดอาการ หัวใจเต้นถี่และความดันสูงมาก หนูจะทำได้หรือไม่อย่างไรค่ะ

ขอความกรุณาคุณหมอด้วยค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ


ตอบครับ

ทีหลังเขียนจดหมายมาหา ช่วยบอกอายุ น้ำหนัก และส่วนสูงมาด้วยนะ การวินิจฉัยมันจะได้ง่ายขึ้น คุณไม่บอกอะไรมาเลยผมต้องอาศัยเดาอายุคุณเอาจากคำว่า หนู ว่าอายุน่าจะอยู่ประมาณไม่เกิน 30 ปี แต่อายุแค่นี้คุณเป็นโรคอะไรนักหนาไตถึงได้เสียการทำงานไปถึงระยะสุดท้ายแล้ว และอะไรเป็นเหตุให้ไตเสื่อมไปอย่างรวดเร็วในชั่วเวลาแค่ 8 ปี เมื่อปี 47 คุณมี creatinine = 2.2 ซึ่งเทียบกับ eGFR = 31 หรือเป็นโรคไตเรื้อรังปลายๆของ stage 3 แต่มาปีนี้ Cr ขึ้นเป็น 5.95 หรือเทียบเท่ากับ eGFR = 10 ซึ่งเข้า stage 5 อันเป็นระยะสุดท้ายที่จวนเจียนจะต้องล้างไตอยู่รอมร่อแล้ว การวินิจฉัยให้ได้ว่าคุณเป็นโรคไตชนิดไหน วินิจฉัยจากหลักฐานอะไร เช่นมีการตัดเนื้อไตออกมาตรวจหรือเปล่า ได้รับการรักษาอะไรไปบ้าง เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากในการคิดอ่านแก้ไขไม่ให้ไตเสื่อมลงรวดเร็วเกินไป และในการวางแผนเลือกยาลดความดันให้คุณ เพราะกลไกการเกิดความดันเลือดสูงในโรคไตแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน กล่าวคือ
1. ถ้าเป็นโรคไตชนิดที่เกิดที่กระจุกหลอดเลือดฝอย (glomerulus) เช่นโรคไตอักเสบ (glomerulonephritis) โรคไตรั่ว (nephrotic syndrome) กลไกการเกิดความดันเลือดสูงคือการที่ปริมาตรเลือดมากขึ้นจากการคั่งของโซเดียม และการผลิตแองจิโอเทนซินจากสารแองจิโอเทนซิโนเจนเพิ่มขึ้น เป็นกรณีที่ควรใช้ยาขับปัสสาวะควบกับยาต้านเอ็นไซม์ผลิตแองจิโอเทนซิน (ACEI) ในกรณีที่ทนฤทธิ์ข้างเคียงของยาใน ACEI ไม่ไหวก็อาจจะใช้ยาต้านตัวรับแองจิโอเทนซิน (ARB) แทน ซึ่งในชื่อยาที่คุณให้มาไม่เห็นมียาใดๆในสามกลุ่มนี้สักตัวเดียว
2. ถ้าเป็นโรคไตเรื้อรังชนิดที่เกิดจากหลอดเลือดอักเสบ (vasculitis) กลไกการเกิดความดันเลือดสูงเกิดจากการที่เนื้อไตขาดออกซิเจนจึงไปกระตุ้นระบบผลิตแองจิโอเทนซินมากขึ้นโดยไม่เกี่ยวกับปริมาตรเลือด ยาที่เลือกใช้จึงเป็นยาในกลุ่ม ACEI โดยไม่ใช้ยาขับปัสสาวะ
3. ถ้าเป็นโรคไตเรื้อรังชนิดที่เกิดตามหลังโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis) หรือโรคหัวใจขาดเลือด หมายความว่าหลอดเลือดแดงแข็งหรือโรคหัวใจขาดเลือดเกิดขึ้นก่อนเหมือนที่เกิดในคนสูงอายุทั้งหลาย แล้วทำให้เกิดความดันเลือดสูง แล้วไปทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง การแก้ไขความดันเลือดสูงในพวกนี้จะมุ่งใช้ยาขยายหลอดเลือดเช่นยาต้านแคลเซียม (เช่นยา amlodipine ที่คุณได้มาใหม่) และยากั้นเบต้า (เช่นยา atenolol ที่คุณเคยได้) แต่ผมเดาเอาว่าคุณไม่ได้เป็นโรคไตชนิดเกิดตามหลังความดันเลือดสูง ดังนั้นยาทั้งสองตัวที่ได้มาจึงไม่ใช่ยาที่เหมาะเจาะเจ๋งเป้งกับโรคไตเรื้อรังของคุณนัก จึงไม่สำคัญนักว่าคุณจะได้ตัวไหน ตัวใหม่หรือตัวเก่า คือตัวไหนก็แปะเอี้ย ตัวเก่า (atenolol) นั้นมีฤทธิ์ลดอัตราการเต้นของหัวใจด้วย หากคุณมีปัญหาหัวใจเต้นเร็ว การกลับไปใช้ตัวเก่าก็จะแก้ปัญหานี้ได้
    
ในภาพรวม ไม่ว่าจากคำแนะนำของมูลนิธิโรคไตแห่งชาติ (NKF guideline) ก็ดี งานวิจัยใหญ่ๆที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปก็ดี ล้วนสนับสนุนให้ใช้ยาสองกลุ่มต่อไปนี้ในการรักษาความดันเลือดสูงในคนเป็นโรคไตเรื้อรัง คือ
กลุ่มที่ 1. ยาต้านเอ็นไซม์ผลิตแองจิโอเทนซิน (angiotensin converting enzyme inhibitor - ACEI) ได้แก่ยาแซ่ริ่ลต่างๆ เช่น captopril, elanapril เป็นต้น
กลุ่มที่ 2. ยาต้านตัวรับแองจิโอเทนซิน (angiotensin receptor blocker - ARB) ได้แก่ยาในกลุ่มซาตานทั้งหลาย เช่น losartan (Cozaar), Valsartan (Diovan), telmisartan (Micardis) เป็นต้น

จะเห็นว่าถ้าผมไม่รู้ว่าคุณเป็นโรคไตเรื้อรังชนิดไหน ผมเลือกยาให้คุณไม่ได้ และบอกคุณไม่ได้ด้วยว่าสำหรับคุณแล้วยาตัวไหนดีกว่าตัวไหน ถ้าคุณจะเอาคำตอบชนิดที่เอาไปใช้ได้ คุณต้องบอกข้อมูลโรคไตเพิ่มเติมมาให้ผมก่อนว่าเป็นโรคไตชนิดไหน วินิจฉัยจากหลักฐานอะไร เคยตัดชิ้นเนื้อไตออกมาตรวจหรือเปล่า ได้รับการรักษาโรคไตอะไรไปแล้วบ้าง พูดง่ายๆว่ามีข้อมูลอะไรส่งมาให้หมด แล้วผมสัญญาว่าจะตอบให้ใหม่ครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
     
[อ่านต่อ...]

Dysthymia ความเศร้าเรื้อรัง


เรียน คุณหมอสันต์ ที่นับถือ

     ผมอายุ  49 ปี  นานปีกว่ามาแล้วที่ผมเริ่มมีความรู้สึกไม่มีความสุขในชีวิต เศร้า ท้อ รู้สึกว่าชีวิตผิดไปหมด หลังตีสองแล้วนอนไม่หลับ มีความคิดถึงความตาย ไม่ใช่คิดกลัวตาย แต่คิดอยากตาย เพียงแต่ว่ามันคิดไปไม่ตลอดเพราะยังมีลูกเมียต้องดูแล ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองจะเก็บมาคิดวนเวียนซ้ำซากไม่รู้จบ เช่น ผู้รับเหมาสร้างบ้านแล้วไปมีปัญหากับเพื่อนบ้าน ตัวเองได้บอกผู้รับเหมาว่าให้ทำความตกลงโดยนุ่มนวลโดยตัวเองจะเป็นผู้จ่ายเงินค่าเสียหายให้ แต่เพื่อนบ้านโทรมาใช้คำพูดที่ไม่ดี ก็เก็บมาคิดว่าทำไมพูดอย่างนั้นกับเราได้ ภรรยาป่วย จะต้องรักษากันนาน ก็เก็บมาคิดซ้ำซากและเป็นทุกข์มากกว่าตัวภรรยาเสียอีก ลูกสาวเรียนหนังสือเก่งได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งแต่ยังหางานทำไม่ได้ก็รู้สึกว่าตัวเองผิดที่ลุ้นให้ลูกสาวมาเรียนทางนี้แล้วพาเขามาเจอทางตัน เป็นต้น การตัดสินใจในหน้าที่การงานก็มีความเสียหายบ่อย เพราะประสิทธิภาพการคิดลดลง
     ผมได้พยายามหาทางออกหลายอย่าง เช่น ได้พยายามเลิกธุรกิจ เพราะมีเงินมากแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะชีวิตยิ่งแย่ลง ธุรกิจของผมคือการซื้อขาย พอรับทราบข่าวราคาสินค้าขึ้นลงแล้วตัวเองไม่ได้ตัดสินใจซื้อขายก็มีความรู้สึกผิด รู้สึกว่าชีวิตที่ไม่มีผลตอบแทนเป็นตัวเงินเป็นชีวิตที่ไร้ค่า ตัวผมเป็นคนที่ได้ศึกษาธรรมะมาบ้างพอควร เพราะวัยเด็กเพิ่งแตกหนุ่มก็ต้องช่วยพ่อแม่ค้าขายทำเงินและเครียด ได้ไปที่วัด หัดนั่งสมาธิแล้วรู้สึกว่ามันทำให้ตัวเองดีขึ้น จึงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณวัด ทุกวันนี้ยังบริจาคเงินให้วัดนั้นอยู่ปีละมากๆ ทุกปี นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสไปเข้าแค้มป์วิปัสสนาครั้งละหลายๆวันบ่อย ของอาจารย์โกเอนก้าก็เคยไป เคยบวชอย่างเป็นกิจจะลักษณะจริงจังมาแล้วด้วย แต่สิ่งเหล่านั้นช่วยอะไรไม่ได้เลยตอนนี้ ผมมีเพื่อนน้อย เพื่อนที่ทำธุรกิจค้าขายกันเป็นสังคมของคนโลภมาก ผมป่วยอย่างนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้เลย มีเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่นอกวงการค้าขายและคุ้นเคยกันมานาน ผมระบายให้เขาฟัง แต่พอระบายแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองแย่กว่าเดิม ตั้งแต่มีอาการเซ็งชีวิตมานี้ ผมได้พยายามใช้ชีวิตให้ง่ายๆแบบเพื่อนๆคนอื่นเขาบ้าง เช่นไปกินดื่มและเที่ยวผู้หญิง แต่ก็ไม่เวอร์ค เพราะรู้สึกผิดว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งซึ่งไม่เคยทำและไม่เข้าท่า ได้เคยพบกับจิตแพทย์มาแล้ว แต่ก็ได้รับคำแนะนำว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องใช้ยา

ผมขอโทษที่เขียนยาวมาก แต่ต้องการให้คุณหมอทราบเรื่องของผมให้มากที่สุด เพื่อจะได้แนะนำให้ตรงกับปัญหาของผม

..............................................

ตอบครับ

จดหมายของคุณ ทำให้ผมนึกถึงบทกลอนของจีรนันท์ พิตรปรีชา นานหลายสิบปีมาแล้ว ซึ่งเธอเขียนในอารมณ์เศร้า เขียนได้ไพเราะเสียไม่มี ผมจำได้เลาๆว่าเธอเขียนว่า

...ตัวฉันเหมือนกรวดเม็ดร้าว
แตกแล้วด้วยความเศร้า หมองหม่น
ปรารถนาเป็นธุลี ทุรน
ดีกว่าทนอึดอัดใจ อยู่ใต้น้ำ..”

เข้าเรื่อง..ตอบจดหมายของคุณดีกว่า
1.. อาการของคุณนี้อย่างเบาะๆแพทย์ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นภาวะ Dysthymia ซึ่งนิยามว่าคือภาวะซึมเศร้าเรื้อรังที่ไม่ทำให้ตาย แต่ก็ไม่หายไปไหนสักที หรือถ้าไปเจอแพทย์ที่ห้าวหน่อยอย่างผมนี้ ก็จะวินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคซึมเศร้าขนานแท้ (major depression) แต่ไม่ว่าจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นอะไร การรักษาของแพทย์ยุคจรวดนี้มันก็แปะเอี้ยเหมือนกันหมด คืออัดยาแก้ซึมเศร้าลูกเดียว ผมถึงแปลกใจเล็กน้อยที่คุณบอกว่าไปหาจิตแพทย์แล้วหมอบอกยังไม่ถึงขั้นต้องใช้ยาอะไร ที่แปลกใจเพราะขึ้นชื่อว่าจิตแพทย์ในโลกนี้ไม่ว่าชาติภาษาไหน เห็นคนไข้หน้าเศร้าๆมายังไม่ทันอ้าปากดูลิ้นไก่เลยก็สั่งยาแก้ซึมเศร้าให้แล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะหมอญี่ปุ่นเป็นมากที่สุด คนญี่ปุ่นจึงเป็นชาติที่บริโภคยาแก้ซึมเศร้ามากที่สุดตอนนี้ ขอโทษ..นอกเรื่องแล้ว กลับเข้าเรื่องดีกว่า
2.. คำแนะนำแรกเลยคือ แนะนำให้คุณไปหาจิตแพทย์อีกที หาคนเดิมแล้วถามถึงยาแก้ซึมเศร้าก็ได้ หรือหาอีกคนหนึ่งก็ได้ คือถึงแม้ผมจะชอบค่อนแคะจิตแพทย์ แต่กรณีของคุณนี้ผมเองกลับเห็นว่ามันน่าใช้ยาจริงๆ เพราะยาต้านซึมเศร้าสมัยนี้มันเวอร์คมากนะครับ เพียงแต่ว่าคุณต้องใจเย็นๆเพราะกว่าจะเห็นผมมันจะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ขึ้นไป ดังนั้นหากจะลองยาแก้ซึมเศร้าคุณต้องทำใจลองอย่างน้อยสัก 2 เดือน ซึ่งผมเชื่อว่าคุณจะได้ประโยชน์จากมัน และนี่เป็นคำแนะนำที่อยู่บนมาตรฐานของหลักวิชาแพทย์สากล
3.. การรักษาร่วมที่ได้ผลอีกอย่างหนึ่งคือการทำพฤติกรรมบำบัดแบบสอนให้คิดใหม่ทำใหม่ (cognitive behavior therapy) ซึ่งก็ต้องไปหาจิตแพทย์อีกนะแหละ เขาจะจัดให้คุณได้พบกับนักจิตบำบัดแล้วไปรักษากันเป็นคอร์สๆไป งานวิจัยบอกว่าการรักษาแบบนี้ช่วยได้ เพียงแต่เมืองไทยไม่เป็นที่นิยม ซึ่งผมเองก็ไม่ทราบว่าทำไม อย่างไรก็ตามผมแนะนำให้คุณไปเสาะหาการรักษาแบบนี้ด้วย

4.. คำแนะนำส่วนตัวของผม อันนี้ส่วนตัวนะ ไม่เกี่ยวกับหลักวิชาแพทย์ ผมแยกคำแนะนำของผมออกเป็นสามส่วน คือ

ส่วนที่ 1. เอาคอนเซ็พท์ใหญ่ก่อน คุณมีปัญหาจากความคิดที่ผูกพันกับอีโก้หรือความยึดถือตัวตนของคุณ เช่นเพื่อนบ้านโทรศัพท์มาด่าคุณก็รับไม่ได้ว่าเอ๊ะเราเป็นคนดีขนาดนี้มาด่าเราอย่างนี้ได้ยังไง ลูกสาวตกงานอีโก้ของคุณก็รับไม่ได้ว่าเราเป็นพ่อที่เก่งขนาดนี้ผลิตลูกสาวออกมาตกงานได้ไง ประมาณนี้ การจะคิดแก้ปัญหาไปข้างหน้าต้องไปในทิศทางลดอีโก้ลง ไม่ใช่เพิ่มอีโก้ขึ้น
ส่วนที่ 2. ตอนนี้ใจคุณเหมือนม้าป่าที่แร่ดไปไหนต่อไหนจนคุณเอาไม่อยู่ ที่คิดจะเอาอานไปใส่เอาบังเหียนไปสวมขี่เล่นเท่ๆนั้นลืมไปได้เลย ขั้นต้นนี้คุณสร้างคอกขังมันไว้ให้ได้ก่อนก็บุญแล้ว คอกที่ว่านี้ก็คือวินัยต่อตนเองในรูปของการแบ่งเวลา ที่คุณเคยคิดจะเลิกทำมาหากินนั่นลองไหม่ไหมละ เลิกครึ่งเดียวก็พอ แบ่งเวลาทำงานครึ่งหนึ่ง และเวลาว่างอีกครึ่งหนึ่ง คอกที่ว่าก็คือแค่เนี้ยะแหละ เอาแค่เวลาว่างอย่าทำงาน แค่นี้พอ ถ้าทำได้แค่นี้ก็เท่ากับว่าเริ่มจับม้าเข้าคอกได้แล้ว
ส่วนที่ 3. ผมมองโรคของคุณว่าเป็นโรคทางใจ  การจะแก้ปัญหาคุณต้องมีเครื่องมือแก้ปัญหาทางใจที่ดี ซึ่งผมมีเครื่องมือที่ดีที่ผมใช้กับตัวเองอยู่ประจำ เครื่องมือนี้มี 7 อย่าง ผมจะเล่าให้ฟัง คุณลอกเลียนไปใช้ได้ ผมไม่สงวนลิขสิทธิ์
เครื่องมือที่  1. การรู้จักเลือกเครื่องมือ (Choosing) ไม่ได้กวนโอ๊ยนะครับ ก็เครื่องมือผมมีตั้งเจ็ดอย่าง ตอนไหนจะหยิบอะไรมาใช้ถ้าคุณหยิบไม่ถูกนี่ก็เจ๊งแล้ว ดังนั้นคุณต้องเฟ้นเครื่องมือเป็น หยิบฉวยให้ถูกอันถูกเวลา ตอนท้ายผมจะบอกเคล็ดให้ว่าเวลาไหนจะหยิบเครื่องมือใด
เครื่องมือที่ 2. ความรู้สึกปลื้ม (Fulfillment) คือ คุณต้องหัดสร้างความรู้สึกปลื้มในตัวเองขึ้นในใจ วิธีการก็คืออย่างน้อยวันละหนึ่งครั้งหรือยิ่งวันละหลายครั้งก็ดี ให้คุณคิดย้อนหลังถึงเหตุการณ์ที่คุณได้ทำอะไรลงไปในลักษณะของการให้ที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน อาจเป็นเรื่องง่ายๆก็ได้ เช่นคุณปลูกต้นไม้แล้วรดน้ำหนึ่งต้น คุณก็ให้กับโลกแล้ว หรือคุณเอ่ยปากขอโทษเพื่อนบ้านแล้วทำให้เขามีความสุขว่าโอ้โหฉันนี่ขนาดเจ้าเศรษฐีข้างบ้านมันต้องมาขอโทษเลยนะ นี่ก็เป็นการให้เขาโดยที่คุณไม่ได้อะไรตอบแทนมีแต่จะเสียอีโก้ของคุณไป หรืออาจจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ความเป็นคนดีโดยเนื้อในของคุณดลใจให้คุณทำไปแล้วเช่นการบริจาคทานเงินทีละมากๆ คุณคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ไม่สำคัญ ขอให้คิดถึงมัน มันจะก่อความรู้สึกปลื้ม หัวใจมันจะพองนิดๆ แล้วใจของคุณมันจะสงบลงไม่ซัดส่ายมาก เพราะใจของคนเรานี้มันจะซัดส่ายดิ้นรนมากถ้ามันรู้สึกไม่ปลื้มหรือไม่ fulfill ถ้ามันมี fulfillment มันก็จะสงบ พอใจมันสงบไม่ซัดส่ายแล้วการจะทำขั้นต่อไปมันก็ง่ายขึ้น
เครื่องมือที่ 3. ความรู้ตัว (Awareness) อันนี้ก็คือสตินั่นแหละ คุณต้องฝึกให้รู้ตัวเองบ่อยๆว่า เมื่อตะกี้นี้คุณมีความคิด (though) อะไร มีอารมณ์ (mood) อย่างไร การรู้ตัวนี้เอาแค่รู้ตัวเฉยๆ ไม่ต้องไปแทรกแซงหรือทำอะไรต่อยอดจากความคิดหรืออารมณ์เดิมทั้งสิ้น เศร้าก็บอกตัวเองให้รู้ตัวว่าเรากำลังเศร้า ตามดูความเศร้าไป แค่นั้น
เครื่องมือที่ 4. ที่นี่เดี๋ยวนี้ (Hear and Now) คือพอเรารู้ตัวว่าคิดอะไร ความคิดนั้นจะฝ่อลง เราต้องหาที่จอดให้ใจเรา ไม่งั้นใจมันก็จะฟุ้งไปเรื่องใหม่อีก ที่จอดของใจที่ดีที่สุดก็คือ "ที่นี่ เดี๋ยวนี้" มีสองมิตินะ คือสถานที่ และเวลา ถ้าที่นี่เดี๋ยวนี้ยังมีอะไรมากมายจนจอดไม่ได้อีกก็ลมหายใจของคุณนั่นแหละ เอาใจไปจอดที่ลมหายใจแบบที่เขาเรียกว่า breathing meditation นั่นแหละ หายใจเข้ารู้ตัวว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ตัวว่าหายใจออก ใจมันจะได้ไม่ฟุ้งไปไกลหรือคิดอะไรซ้ำซากจนกู่ไม่กลับ
เครื่องมือที่ 5. ความกล้าหาญ (Courage) คือบางจังหวะต้องใช้ความกล้า แปลว่าความไม่กลัว สุดยอดของความกลัวก็คือกลัวตาย คุณคิดเสียว่าอย่างมากก็แค่ตาย การตัดสินใจเปลี่ยนวิธีคิดก็ดี เปลี่ยนการกระทำก็ดี การเอาชนะความซึมเศร้าหดหู่ก็ดี หลายครั้งมันต้องใช้ความกล้า คุณต้องฝึกหัดบ่มเพาะเครื่องมือนี้ 
เครื่องมือที่ 6. การผ่อนคลาย (Relax) บ่อยครั้งความพยายามที่จะหนีมากเกินไปทำให้เราอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง ถ้าเรารู้จักหย่อนสายป่าน ถอยเข้ามุม หรือปล่อยวาง ในบางจังหวะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด กลับพบว่าเราหลบหลีกสิ่งร้ายๆได้พ้นไปแบบง่ายๆ
เครื่องมือที่ 7. การเพิกเฉย (Ignore) เป็นเครื่องมือที่มองเผินๆคนดีเขาไม่ใช้กัน แต่ถ้ารู้จังหวะใช้มันมีประโยชน์มาก เพราะในบรรดาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานี้ หลายๆอย่างอยู่ในเขตอำนาจของเราที่เราควบคุมบังคับได้ เช่นการที่เราจะเลือกคิดอะไรไม่คิดอะไรตัวเราบังคับได้ อันนี้เราควรใช้ความกล้าเข้าไปทำไปจัดการ แต่หลายๆอย่างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือเขตอำนาจควบคุมบังคับของเรา เช่นเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองตั้งท่าจะตีกันให้ตายในเดือนสิงหาคมนี้ ถ้าเราไปกังวลหมกมุ่นครุ่นคิดเราก็บ้าตายเพราะเราไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ กรณีเช่นนี้การเพิกเฉยกลับเป็นเครื่องมือที่ดี
เอาละ คุณได้รู้จักเครื่องมือทั้งเจ็ดของผมแล้ว ทีนี้มาประเด็นสำคัญ คือเมื่อใดจะหยิบเครื่องมือใด หลักมีอยู่ว่า "ความรู้ตัว" และ "ที่นี่เดี๋ยวนี้" นั้นเป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ตลอดเวลาไม่ว่าเวลาจิตตกหรือจิตเฟื่องฟู แต่ในยามที่จิตตก คุณต้องเฟ้นเครื่องมืออีกสองตัวมาช่วย นั่นคือ "ความรู้สึกปลื้ม" และ "ความกล้าหาญ" คือยามจิตตกต้องภาคภูมิใจกับสิ่งที่ได้ทำมา และปลุกปลอบจิตใจให้สู้ต่อไปอย่างกล้าแข็ง ไม่ใช่ไปหยิบเครื่องมือ "ถอยเข้ามุม" หรือ "เพิกเฉย" ขึ้นมาใช้ก็จบเห่กันพอดี  การเฟ้นเครื่องมือที่เหมาะขึ้นมาใช้ คือไฮไลท์ของการใช้เครื่องมือแก้ปัญหาทางใจของผม คุณเอาไปลองดูนะครับ
ก่อนจบขอแถมอีกเรื่องหนึ่ง คือการจะเอาชนะความกลัว คุณต้องหัดเอาชนะความกลัวตายก่อน กลเม็ดที่ผมใช้อยู่ผมเลียนแบบมาจากพระท่านหนึ่ง เป็นเทคนิคที่เรียกว่า "ซ้อมตาย" ผมไม่รู้ว่าคุณนับถือศาสนาอะไร แต่นั่นไม่สำคัญ ผมแค่จะเล่าที่มาของเทคนิคนี้ว่ามันมาจากความเชื่อของชาวพุทธที่ว่าคนเราตายแล้วจะไปเกิดใหม่ และความคิดที่อยู่กับเราในโมเมนต์ที่เราตาย จะเป็นตัวพาเราไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน ถ้าตอนจะตายเราใจลอยฟุ้งสร้านไปไหนต่อไหนไม่รู้ โอกาสจะไปเกิดเป็นหมูหมากาไก่ก็สูง แต่ถ้าโมเมนต์ที่เราตายเรามีสติรู้ตัวดีอยู่ เราก็จะไปสู่สุขคติ นี่เป็นความเชื่อของชาวพุทธซึ่งนำมาสู่เทคนิคซ้อมตายนี้ วิธีการก็คือก่อนนอนเราเข้านอนด้วยการบอกตัวเองว่าการนอนหลับครั้งนี้จะเป็นการตายของเรา เราจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว วันพรุ่งนี้ไม่มีความหมายเพราะมันจะไม่มีแล้ว มีแต่ว่าคืนนี้ตายแล้วใครจะพาเราไปไหน จะเป็นความคิดฟุ้งสร้าน หรือจะเป็นสติความรู้ตัวของเราที่จะเป็นตัวพาเราฝ่าความมืดของปรโลกไป นั่นอยู่ที่เราจะเดินทางเข้าไปสู่ความตายในคืนนี้อย่างไร ความที่เรากลัวจะไปเกิดเป็นหมูหมากาไก่เราก็จะเข้านอนด้วยการตั้งสติให้ดี รู้ตัวให้ตลอดว่าไม่คิดฟุ้งสร้านอะไรจนหลับไป ทำเทคนิคนี้บ่อยๆเราจะไม่กลัวตาย และใช้รักษาอาการนอนไม่หลับคิดโน่นคิดนี่ได้ด้วย 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
   

.......................................................
25 มิย. 55
Cool Visa 


คุณหมอค่ะ ได้อ่านแล้ว สำหรับหนูขอบคุณค่ะสำหรับแนวคิดดี ๆ ทั้งหมดมันเยี่ยมมากเลย.. ขออนุญาตินำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ได้มั๊ยค่ะ เพราะว่าแนวคิดของคุณหมอนั้นดีมากเลยค่ะ อยากนำไปให้คนที่เค้าไม่ได้ใช้ Internet อ่านค่ะ เผื่อว่าสำหรับคนที่เค้ากำลังมีปัญหาอยู่ในตอนนี้หรือในภายหน้าอาจช่วยเค้าได้ อนุญาติหรือไม่แล้วแต่คุณหมอจะกรุณาค่ะ


ตอบครับ


บทความของผมทุกบทความเอาไปเผยแพร่ต่อได้ครับ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ แต่อย่าเอาไปเซ็งลี้เอาตังค์ก็แล้วกัน


สันต์


[อ่านต่อ...]

17 มิถุนายน 2555

Colic ในเด็กโต


ขอเวลานอก

ก่อนเปิดจดหมาย ผมขอเวลานอกพูดถึงจดหมายของหลายท่านที่เขียนมาโดยขอให้ผมตอบอีเมลส่วนตัวโดยขอไม่เอาลงในเว็บ ซึ่งผมต้องขอโทษที่ทำให้ไม่ได้ เพราะผมไม่มีเวลา จดหมายเหล่านั้นจึงถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดายทั้งๆที่บางฉบับมีสาระน่าจะมีประโยชน์กับผู้อื่นอีกมาก ขอทำความตกลงกฎกติกาก่อนนะว่าการตอบจดหมายของผมทุกครั้งผมต้องเอาลงบล็อกนี้ เพื่อให้คุ้มค่ากับเวลาที่ผมใช้ตอบจดหมาย เพราะว่าได้อ่านกันทีละหลายคน ดีกว่าได้อ่านคนเดียว ผมรับปากให้ได้อย่างเดียวว่าจะช่วยปกปิด privacy ให้กับจดหมายทุกฉบับ แต่ถ้าจะให้ผมตอบ ต้องยอมให้ผมเผยแพร่เรื่องของท่านเป็นการแลกเปลี่ยนนะครับ

เอาละมาตอบจดหมายกันต่อ ฉบับนี้คุณแม่ถามเรื่องลูกสาว

...........................................

เรียน คุณหมอสันต์ที่เคารพ

ลูกสาวหนูคนโต อายุ 6 ปี ส่วนสูง 121 ซม น้ำหนัก 27 กิโลกรัม มีอาการปวดท้องบริเวณสะดือ มาได้สองสัปดาห์ ขับถ่ายเป็นปกติ วันละสองครั้ง แต่บางวันอุจจาระเป็นก้อนเล็กๆความยาวประมาณ 2-3 ซม บางวันเป็นเส้นปกติ ไม่มีอาการอาเจียน ไม่มีไข้ ยังคงร่าเริงดี เล่นดี แต่บ่นปวดท้องบ่อยขึ้นเรื่อยๆ  ตอนเย็นๆ หนูได้พาไปหาคุณหมอทางเดินอาหารเด็ก คุณหมอแจ้งว่าเป็นโคลิคในเด็กโต ลำไส้ทำงานเร็วมาก เมื่อคืนนี้ตอนประมาณสามทุ่ม ลูกปวดท้องจนร้องไห้ หนูเลยใจไม่ดี

ขอเรียนถามคุณหมอดังนี้

     1. ในเด็กวัยนี้ เราสามารถทำอัลตราซาวด์ x-ray หรือส่องกล้องได้มั๊ยคะ ให้รู้แน่ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่ เพราะหนูไม่สบายใจเลย ไปหาคุณหมอมาแล้วสองท่านทั้งสองท่านยืนยันว่าเป็นโคลิค ไม่อันตรายแต่หนูกลัวว่าอาการนี้จะรบกวนการเรียนหนังสือของลูกทำให้ลูกเรียนไม่รู้เรื่อง (ปกติลูกสาวเป็นเด็กดีมาก อารมณ์ดี ร่าเริงมากๆ ตั้งใจเรียนสมาธิดีมาก มาโดยตลอด)
     2. สามารถเป็น symptom ของโรคอะไรที่รุนแรงในเด็กม้๊ยคะ ลูกปวดเฉพาะที่สะดือ เวลาลูกปวดไม่ถึงกับปวดตัวงอ ยังคงเดินตัวตรงๆ ทำกิจกรรมได้ปกติ แต่จะทำหน้านิ่วเล็กน้อย มีเมื่อคืนครั้งเดียวที่ปวดจนร้องไห้
     3. เป็นไปได้มั๊ยคะว่าเกิดจากความเครียด ตอนนี้ ลูกขึ้นป 1 ต้องปรับตัวมาก เรียนหนักกว่าอนุบาล และ คุณครู ให้ทำงานค่อนข้างมาก ตามสไตล์เด็กสาธิต แต่หนูถามเค้าว่า ลูกเครียดเรื่องอะไรมั๊ยคะ ลูกตอบว่า หนูว่าหนูเรียนหนักแต่ไม่เครียดนะมาม๊า  

ขอบพระคุณคุณหมอมากค่ะ

……………………………………………………

ตอบครับ

1.. ในเด็กอายุ 6 ขวบ การทำอัลตราซาวด์ ก็ดี  x-ray ก็ดี ส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารก็ดี สามารถทำได้หมด แต่ไม่ควรทำ เพราะประโยชน์ของการตรวจเหล่านี้มีน้อยจนไม่คุ้มทำ กล่าวคือ
1.1.การทำเอ็กซ์เรย์ท้องนั้นจะช่วยวินิจฉัยโรคเฉพาะกรณีมีนิ่วในทางเดินปัสสาวะหรือกรณีลำไส้อุดตัน (gut obstruction) จากสาเหตุต่างๆเช่นลำไส้กลืนกัน ลำไส้หมุนบิดรอบขั้ว เป็นต้น ซึ่งในกรณีของลูกสาวคุณ หมอเขาสามารถวินิจฉัยแยกจากอาการได้แต่แรกแล้วว่าไม่ใช่ลำไส้อุดตัน ส่วนการมีนิ่วในทางเดินปัสสาวะนั้น ถ้าจะตรวจก็ควรจะเริ่มที่การวิเคราะห์ปัสสาวะ (UA)ก่อนดีกว่า เพราะทำง่าย ไม่ต้องปล้ำเด็ก ไม่เจ็บ ไม่ต้องโดนรังสีเอ็กซ์เรย์
1.2.การทำอุลตร้าซาวด์ท้องจะมีประโยชน์มากในการช่วยวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบโดยเฉพาะในระยะแรก ซึ่งในกรณีของลูกสาวของคุณหมอเขาวินิจฉัยได้จากอาการแล้วเช่นกันว่าไม่ใช่กรณีไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน
1.3. การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารในเด็กอายุขนาดนี้มีโอกาสที่จะพบพยาธิสภาพในกระเพาะอาหารและหลอดอาหารน้อยมาก เพราะสาเหตุของการปวดท้องในเด็กวัยนี้เช่นแก้ส หรือกรดในกระเพาะมาก จะไม่ไม่ทิ้งร่องรอยพยาธิสภาพใดๆไว้ให้ส่องเห็น ส่องไปก็ไลฟ์บอย จึงไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่ต้องจับเด็กดมยาสลบเพื่อตรวจ เพราะเด็กทั่วไปในวัยนี้จะกลัวและร้องจนไม่ยอมให้ตรวจดีๆแน่นอน

2.. อาการปวดท้องในเด็กอายุหกขวบ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ แต่ที่สาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้
2.1. มีแก้สในท้อง จะในกระเพาะ หรือในลำไส้ก็ทำให้ปวดได้ การนวดคลึงท้อง หรือกินยาตีฟองแก้สเช่น Simethicone อาจช่วยได้บ้าง
2.2. ติดเชื้อไวรัสอะไรสักอย่าง เช่น ไข้หวัดใหญ่ พวกนี้มักทำให้ปวดท้องได้ ส่วนใหญ่โดยผ่านกลไกทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วลำไส้อักเสบ (mesenteric lymphadenitis)
2.3 อาหารเป็นพิษ หมายถึงว่ามีเชื้อบักเตรีหรือไวรัสที่ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย อยู่ในอาหาร
2.4 กรดในกระเพาะมากชั่วคราว แบบที่ผู้ใหญ่เป็น heartburn คือจุกเสียดแน่นเฟ้อเรอเปรี้ยว
2.5 แพ้อาหาร ที่แพ้กันบ่อยที่สุดและทำให้ปวดมวนท้องมากที่สุดได้แก่ นม ถั่ว ปลา ข้าวสาลี หรือแม้กระทั่งไข่ก็มีแพ้กันบ่อยๆ
2.6 ปวดเพราะอาหารเป็นกรด เช่นซอสมะเขือเทศ ส้ม น้ำส้ม เป็นต้น
2.7 ท้องผูก
2.8 ปวดกล้ามเนื้อผนังหน้าท้อง ซึ่งทำให้ปวดท้องไปนานเป็นเดือนๆได้เหมือนกัน ลองมองหารอยฟกช้ำบนกล้ามเนื้อหน้าท้อง สีข้าง และหลัง แสะเลียบเคียงถามเรื่องการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุที่โรงเรียน ถ้ามีร่องรอยฟกช้ำผิดสังเกต อย่าลืมคิดเผื่อไปถึงการทำทารุณกรรมเด็ก (child abuse) ไว้ด้วย เพราะทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็น พี่เลี้ยง ครู เพื่อนตัวโตๆ รุ่นพี่ ล้วนอยู่ในข่ายที่จะทำทารุณกรรมต่อเด็กได้ทั้งนั้น
2.9 ปวดประจำเดือน เคยมีรายงานว่าเกิดในเด็กอายุ 8 ขวบ ผมยังไม่เคยได้อ่านหรือได้ยินว่ามีในเด็กอายุ 6 ขวบ 
2.10 สาเหตุรุนแรงที่สุดของการปวดท้องในเด็กสองประการ (ซึ่งวินิจฉัยได้ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่าไม่ใช่ในกรณีลูกสาวของคุณ) คือ ไส้ติ่งอักเสบ และลำไส้อุดตัน  

3. การปวดท้องจากความเครียดเป็นไปได้ในคนทุกอายุ รวมทั้งเด็กอายุหกขวบด้วย

4. คำแนะนำของผมก็คือคุณลองไล่สาเหตุข้างต้นว่าจะเป็นอะไรได้บ้าง ถ้าไล่แล้วก็ไม่พบว่าจะมีสาเหตุอะไรเป็นตุเป็นตะสักอย่าง ก็ให้ทำตามที่หมอของคุณแนะนำ คือ...เฉยเอาไว้ก่อน เดี๋ยวดีเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

14 มิถุนายน 2555

Bulimia Nervosa เศร้ามาก และ..กลัวตาย


สวัสดีคะคุณหมอสันต์

หนูชื่อ......
หนูทรมานมาก
ล้วงคออ๊วกซ้ำซากมานานกว่า 8 ปี
เศร้ามาก
เหมือนหาทางออกไม่ได้
และกลัวตาย

หนูควรทำอย่างไรดีคะ

(ชื่อ)......

(เบอร์โทรศัพท์) .........

..................................................

ตอบครับ

1.. โรคที่คุณเป็นหมอเขาเรียกว่า Bulimia nervosa ซึ่งหมายถึงคนที่กลัวอ้วน และมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตัวเอง แล้วใช้วิธีกินแล้วรีบชดเชยด้วยการเอาออก จะด้วยการอ๊วก หมายถึงล้วงคอให้อาเจียน หรือกินยาระบาย ยาถ่าย ยาขับปัสสาวะ ก็แล้วแต่ ทั้งหมดนี้ทำไปเพราะอารมณ์เครียดและคุมตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ตั้งใจจะล้วงคอ แต่มันมีแรงผลักดัน (impulse) ในใจ ซึ่งไม่อาจต้านทานได้ เหมือนกับคนลืมตัวขาดสติชั่วคราวแต่ว่าเกิดขึ้นซ้ำซาก คนเป็นโรคนี้ ส่วนหนึ่งจะมีความผิดปกติของอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีภาวะซึมเศร้า (depression) และภาวะกังวล (anxiety disorder) อยู่ด้วย ซึ่งผมชั่งน้ำหนักจากจดหมายสั้นๆที่ส่งมา คุณมีเรียบร้อยแล้วครบทุกประการไม่ว่าจะเรื่องซึมเศร้าทุกข์ทรมาน หรือเรื่องกังวลกลัวตาย

2.. ถามว่าควรจะทำอย่างไรดี คำแนะนำคำแรกเลยคือให้คุณไปหาความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ เพราะโรคนี้เป็นโรคทางจิตเวช มีความละเอียดอ่อนอยู่ในทุกขั้นตอนของกระบวนการช่วยเหลือรักษา และเป็นโรคที่หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะมีการพยากรณ์โรคที่ดี หมายความว่าส่วนใหญ่จะหายได้

3.. หลักการดูแลรักษาของแพทย์สำหรับคนเป็นโรคนี้มีสองอย่าง

     อย่างที่หนึ่ง คือการดูแลร่างกาย คนเป็นโรคนี้มักมีปัญหาทางร่างกายหลายอย่างเช่น เช่นฟันเสีย หลอดอาหารอักเสบเรื้อรัง ประจำเดือนไม่มา การให้โภชนะบำบัดเพื่อแก้ไขการขาดสารอาหารที่จำเป็น เป็นต้น

     อย่างที่สอง คือการแก้ไขจิตใจ ซึ่งประกอบด้วยการทำจิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัดแบบ Cognitive behavioral psychotherapy (CBT) เช่น การสอนให้คิดใหม่ การสร้างพฤติกรรมใหม่ เช่นจดบันทึกอาหารที่ทาน (diary keeping) การวิเคราะห์เหตุนำเหตุร่วมของการชอบล้วงคอเพื่อนำไปสู่การแก้ไข การปรับความคิดและมุมมองเรื่องน้ำหนักและภาพลักษณ์ เป็นต้น ในกรณีที่ความเครียดเกิดจากความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ก็ต้องรักษาด้วยการปรับความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด (Interpersonal psychotherapy -IPT) และที่ขาดไม่ได้ก็คือการรักษาครอบครัว (family therapy) ไปด้วย เพื่อปรับเจตคติของคนในครอบครัวให้สนับสนุนการรักษา ไม้สุดท้ายซึ่งหมอมักจะเผลอใช้เป็นไม้แรกเสมอก็คือการใช้ยา เช่นยาต้านซึมเศร้า ยาคลายกังวล

4. นอกจากการไปรักษากับจิตแพทย์แล้ว ผมแนะนำให้คุณทำจิตบำบัดและพฤติกรรมบำบัดให้ตัวเอง คุณทำได้ ไม่ยากหรอก หลักกว้างๆก็คือความคิดก่อให้เกิดพฤติกรรม โดยมีแรงผลักดัน (impulse) เป็นตัวเชื่อมจากความคิดไปหาพฤติกรรม impulse นี้มักผลักดันเราไปสู่พฤติกรรมที่มากเกินพอดีในเรื่องอื่นๆด้วย เช่นเรื่องการใช้จ่ายเงิน หรือแม้กระทั่งเรื่องเซ็กซ์ กระบวนการนี้เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว หรือเกิดขึ้นในใจเราตอนที่เราเผลอ ดังนั้นหัวใจของการรักษาแบบ CBT คือการตามความคิดให้ทันก่อน โดยหัดให้คุ้นกับ “ที่นี่” และ “เดี๋ยวนี้” สนใจแต่อะไรก็ตามที่อยู่ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ อะไรที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ และไม่ใช่เรื่องของเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปคิดถึงหรือสนใจ การจะทำอย่างนี้ได้ต้องมีทักษะ หมายความว่าต้องหัดทำซ้ำๆซากๆจนทำเป็น เมื่อใจอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ได้บ้างแล้ว จึงค่อยนำความคิดเก่าๆที่เป็นเหตุให้เราต้องล้วงคออ๊วกขึ้นมาท้าทาย ขึ้นมาคิดใหม่ (re-conceptualization) ท้าทายความเชื่อเดิม ความคิดเดิม ทดแทนด้วยความคิดใหม่ที่มีเหตุผล วางแผนพฤติกรรมใหม่ที่เข้าท่ากว่าพฤติกรรมเดิม ในการนี้ย่อมจะต้องมีการสอนตัวเองบ้าง คุยกับตัวเองบ้าง และฝึกตัวเองให้รู้จักสนองตอบต่อสิ่งเร้าแบบใจเย็นๆและผ่อนคลายแทนการสนองตอบแบบรีบร้อนลนลานและเคร่งเครียด

     ผมช่วยคุณได้แค่นี้แหละ คือเป็นแค่ผู้ชี้ทาง คุณต้องออกเดิน ตนแลเป็นที่พึ่งของตน อย่างไรก็ตามคนรอบข้างก็อาจช่วยคุณได้บ้าง หากคุณรู้จักเลือกคบ คนพันธ์ตะกวดที่คอยแต่จะใส่ไฟเอาประโยชน์จากการที่คุณมักขาดสติเผลอไผลตาม impulse คนอย่างนั้นอย่าไปคบ โบราณเขาถึงว่า “คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” นั่นเรื่องจริงนะ ผมละเป็นห่วงคุณจริงๆ ขอให้คุณมีพลังดูแลตัวเองได้จนหายจากโรคนี้ และขอให้มีความสุขในชีวิตนะครับ


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์     
[อ่านต่อ...]

05 มิถุนายน 2555

DASH Diet มาอีกละ อาหารด่วน


 (บทความเขียนให้หนังสือ Guitar Affection)

คนทั่วไปเข้าใจว่า Dash แปลว่าด่วน Diet แปลว่าอาหาร Dash Diet ก็คงแปลว่าอาหารจานด่วน หรืออาหารแบบฟาสท์ฟูดที่มีผู้หวังดีแปลให้เข้าใจง่ายว่า “แดกด่วน” เช่นแฮมเบอร์เก้อร์ เฟร้นชไฟรด์ หรืออาหารไทยจานเดียวเช่นข้าวราดแกง ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยวผัด  ผัดไทย ที่พวกเรากินกันตายกันอยู่ทุกวันนี้...ใช่หรือไม่

ตอบว่าไม่ใช่ครับ

แด็ชแปลว่ารวดเร็วพรวดพราดก็จริงอยู่ แต่ DASH ในที่นี้เป็นคำย่อ ถ้าจะเขียนให้ถูกต้องก็ต้องเขียนว่า D.A.S.H. ย่อมาจาก Dietary Approaches to Stop Hypertension แปลว่า การกินเพื่อหยุดความดันเลือดสูงแปลไทยให้เป็นไทยอีกทีก็คือแด็ชไดเอ็ทนี้คือสูตรอาหารลดความดันเลือดสูงนั่นเอง
ปัจจุบันนี้แด็ชไดเอ็ทเป็นสูตรอาหารยอดนิยมหมายเลขหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ถือเอาจากการจัดลำดับของ US News and World Reports การที่แดชไดเอ็ทได้ขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งได้นี้ไม่ใช่เรื่องฟลุ้ค เพราะแด็ชไดเอ็ทเป็นของจริงแท้ไม่ใช่ขี้ไก่หรือขี้หมา มีงานวิจัยที่เชื่อถือได้มากมายยืนยันว่าแด็ชไดเอ็ทลดความดันเลือดได้จริง งานวิจัยดั้งเดิมคลาสสิกเลยที่ตีพิมพ์ในวารสารนิวอิงแลนด์เจอร์นาลพบว่าแด็ชไดเอ็ทลดความดันตัวบน (systolic pressure) ได้มากถึง 14 มม. ซึ่งมากพอที่จะช่วยให้คนป่วยด้วยโรคความดันเลือดสูงส่วนใหญ่ที่ความดันตัวบนอยู่ระดับไม่เกิน 155 มม.ไม่ต้องใช้ยาเลย ฟังข้อมูลตัวเลขแล้วน่าเลื่อมใสนะครับ แต่คุณจะทานอย่างเขาได้จริงหรือไม่นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ เพราะสูตรอาหารของแด็ชไดเอ็ทนั้น หากเป็นคนรูปร่างเล็กอย่างคนไทยเราซึ่งต้องใช้แคลอรี่วันละไม่เกิน 2,000 แคลอรี่ ก็ต้องทำดังนี้ คือ

1. ดื่มนมไร้ไขมันวันละ 2-3 แก้ว หมายความว่า zero fat นะ คือไม่มีไขมันเลย เวลาซื้อต้องดูฉลากให้ดี 
2. ทานผลไม้วันละ 4-5 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งของผลไม้เทียบได้กับผลไม้หั่นจานเล็กหนึ่งจานหรือแอปเปิ้ลหนึ่งลูก 
3. ทานผักวันละ 4-5 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งของผักเทียบได้กับผักสดทำสลัดได้ 1 จานสลัดแบบไทยๆ (ไม่ใช่จานสลัดแบบฝรั่งที่มีขนาดน้องๆกระด้ง)
4. ทานอาหารโปรตีนที่ไม่มีมันติดเช่น ปลา เนื้อแดง ไก่ที่ไม่ติดมัน วันละไม่เกิน 2 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งของอาหารเนื้อก็คือประมาณ 30 กรัม หรือขนาดประมาณเท่าไข่ไก่เล็กๆฟองหนึ่ง เรียกว่าจำกัดเนื้อกันเสียจนเกือบเป็นมังสะวิรัติเลยละ
5. พยายามทานพวกถั่วและพวกนัทและเมล็ดพืช (เช่นมูสลี่ที่อบแห้งใส่ในนมตอนเช้า)ให้ได้สัปดาห์ละ 4-5 ครั้ง
6. เปลี่ยนธัญพืชที่ทานอยู่เช่นขนมปังขาว ข้าวขาว เป็นธัญพืชแบบไม่ขัดสีเช่นขนมปังโฮลวีท ข้าวซ้อมมือ ทั้งหมด
7. จำกัดอาหารพวกไขมันอิ่มตัวเช่นน้ำมันที่ใช้ผัดทอด รวมไปถึงไขมันทรานส์ที่ใช้ในอาหารอุตสาหกรรมเช่นเค้กคุ้กกี้ขนมกรุบกรอบ และของหวานๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำตาลในเครื่องดื่ม ให้เหลือน้อยที่สุด

         ทั้งเจ็ดข้อนี้คือกฎหมาย เอ๊ย..ไม่ใช่ ข้อกำหนด ว่าถ้าคุณจะคุยว่าได้ทานแด็ชไดเอ็ทได้จริง คุณต้องทำได้ทั้งเจ็ดประการตามนี้ ผลเคยลองดูแล้ว วิธีของผมคือทำเป็นขั้นๆดังนี้
ขั้นที่หนึ่ง ก็คือการเปลี่ยนนมจากเต้าที่เคยดื่มอยู่ทุกวันไปดื่มนมไร้ไขมัน ตอนแรกผมนึกว่านมพร่องมันเนยกับนมไร้ไขมันนั้นเหมือนกัน จึงดื่มนมพร่องมันเนยแทนอยู่พักใหญ่แล้วก็ภูมิใจว่าได้ดื่มนมไร้ไขมันแล้ว แต่มีวันหนึ่งตามเมียไปร้านมาโคร ไปเห็นนมพาสเจอไรซ์เขียนไว้ข้างขวดตัวเบ้งว่า Zero fat เมื่อกลับมาอ่านหนังสือจึงถึงบางอ้อว่านมพร่องมันเนยนั้นมีไขมันอยู่ประมาณ 50% ของปกติ แต่นม Zero fat นั้นไม่มีเลย ผมจึงเปลี่ยนตั้งแต่เดี๋ยวนั้น ซึ่งก็ไม่ลำบากอะไร เพียงแต่ว่านม Zero fat นี้มีแต่ในรูปแบบของนมพาสเจอไรซ์ซึ่งต้องใส่ในตู้เย็นตลอดเวลาเท่านั้น จะเอามาวางเปะปะทั่วไปแบบนมเตตราแพคไม่ได้
ขั้นที่สอง ก็คือการเลิกทานเค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบ อันเป็นแหล่งของไขมันทรานส์ มันอาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่นอนหัวค่ำ แต่สำหรับคนที่นอนดึกอย่างผม พอหลังเที่ยงคืนแล้วก็มีอันต้องค้นตู้เย็นกุกกัก และอะไรจะอิ่มอร่อยรวดเร็วสะใจเท่าเค้กเป็นไม่มี จะเป็นเค้กอะไรก็ได้ ใหม่ๆเมียก็จัดเค้กหน้าสวยๆงามๆไว้ให้ แต่นานไปเธอคงเห็นเปลืองเงินนักจึงซื้อเค้กชนิดยัดทะนานอยู่ในกล่องอลูมิเนียมประเภทเก็บได้นานเป็นชาติไว้ให้แทน ซึ่งผมก็โอเพราะผมเป็นคนติดเค้ก เมื่อตัดสินใจจะเลิกทานเค้ก ผมเลิกแบบหักดิบ คือออกกฎหมายห้ามซื้อเค้กเข้าบ้าน นึกว่าไม่ได้ทานเค้กแล้วจะตาย แต่มันก็ไม่ตายแฮะ   
ขั้นที่สาม คือเลิกน้ำตาลในเครื่องดื่ม คือตัวผมนี้เป็นสาวกของโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตร เรียกว่าดื่มโค้กแทนน้ำมาตั้งแต่หนุ่มและภาคภูมิใจว่ามีเงินซื้อหงะ ใครจะทำไม พอจะเลิกน้ำตาลก็ลองหันไปหาไดเอ็ทโค้กบ้าง เป็ปซี่แมกซ์บ้าง ปรากฏว่ามันไม่เฟรช คือดื่มแล้วไม่หายเซ็ง จึงหันมาดื่มน้ำเปล่า ก็ยิ่งจืดชืดเซ็งหนักเข้าไปอีก หันรีหันขวางว่าจะหาอะไรมาแทนดี ก็พอดีตามกฎหมายใหม่แด็ชไดเอ็ทนี้ต้องกินผักกินหญ้าให้ได้แบบวัว เพราะผลไม้วันละ 5 จาน ผักอีก 5 จาน โธ่ ถัง พูดเป็นลิเกไปได้ จะเอาเวลาที่ไหนมาเคี้ยวกันละครับ ทุกเวลานี้เวลาจะนอนยังแทบไม่มี ถ้าต้องมานั่งเคี้ยวเอื้องกินผักอยู่ทั้งวันก็ไม่ต้องนอนกัน ก็พอดีเมียอีกนะแหละ หาเครื่องปั่นความเร็วสูงระดับสามหมื่นรอบต่อนาทีมาปั่นผักผลไม้ให้กลายเป็นน้ำ แบบว่ามีอะไรก็ยัดๆลงไป ไม่ต้องปอกเปลือก ไม่ต้องแกะเมล็ด ไม่ต้องถู ไม่ต้องขยี้ ปั่นโครมๆลูกเดียว ออกมาเป็นน้ำดื่มได้เลย แล้วดื่มทั้งหมด ไม่ทิ้งกาก ตามโควตาที่เมียกำหนดให้คือต้องดื่มวันละหนึ่งลิตรไม่ให้ขาด อิ่มตื้อ ไม่ต้องถามหาโค้กอีกเลย เรียกว่าแก้ปัญหาได้สามเด้ง คือเลิกน้ำตาลในเครื่องดื่มได้ รักษาท้องผูกหาย แถมผ่าน ขั้นที่สี่ คือได้ทานผักและผลไม้ครบตามกฎหมาย
ขั้นที่ห้า คือต้องเลิกธัญพืชที่ขัดสีซึ่งเป็นอาหารหลักมื้อกลางวันของผมทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นข้าว (ขาว) ราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัด ผัดไทย ฟังดูไม่น่าจะเลิกได้นะครับ แต่เอาเข้าจริงๆความที่กฎหมายบังคับให้ดื่มน้ำผักผลไม้ปั่นวันละลิตรผมจึงอิ่มตื้อจากเช้ายันกลางวันไม่ถามหามื้อกลางวันเลย พอตกมื้อเย็นก็ต้องไปเจอกฎหมายบังคับลดน้ำหนักที่ห้ามทานข้าวมื้อเย็นอีก ก็เลยไม่มีธัญพืชขัดสีให้ผมทานโดยปริยาย
ส่วนที่เหลือคือการหาอาหารปลาอาหารเนื้อไม่ติดมันทานก็ดี การหาพวกถั่วพวกนัทมาทานก็ดี อันนี้เป็นหน้าที่ของเมียเขา ผมมีหน้าที่หยิบของที่มีอยู่บนโต๊ะทาน ดังนั้นการทานแด็ชไดเอ็ทนี้ต้องมีเมียประเภทคุมอำนาจ จึงจะทำได้สำเร็จ  

ตอนนี้ความดันเลือดของผมซึ่งเดิมขึ้นไปอยู่ในย่านใกล้เป็นความดันเลือดสูง ได้ลดลงมาอยู่ในระดับปกติ คือต่ำกว่า 120/80 แล้ว แด็ชไดเอ็ทนี้ ของเขาดีจริงๆ..ขอบอก


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]