31 ธันวาคม 2563

ทำบอลลูนแล้วทิ้งยาหมด ถูกหมออวยกันใหญ่

แฟนบล็อกวาดให้ อังรีมูโอต์เดินทานผ่านดงพญาเย็น

เรียน คุณ​หมอครับ

มีเรื่องปรึกษาครับ ผมเคยทำบอลลูนใส่ขดลวดเส้นเลือดหัวใจ 2 เส้น เมื่อปลายปี 55 จากนั้นกินยา ออกกำลังกายเบาๆตามหมอแนะนำอยู่ 2 ปี ปี 58 อ่านบล๊อกคุณหมอเรื่องการปรับพฤติกรรม​ชีวิต กินผักผลไม้ปั่นเป็นอาหารเช้า  ออกกำลังกายให้หนัก จัดการอารมณ์ ผมทำตามอย่างมีวินัย เลิกกินยาทุกชนิดตั้งแต่ปี 58 นับถึงวันนี้เกือบ 6 ปีครับ แต่ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีอาการหวัดเล็กๆ แล้วไปเล่นฟุตบอล ช่วงดึกรู้สึกปวดหัวตึบๆ แฟนให้กินยาแก้ปวด หลังจากนั้นวัดความดัน ขึ้นไป 170 สุดท้าย แฟนพาไป ร.พ.(แฟนเป็นพยาบาล)​ หมอสอบถามอาการ ว่ามีโรคประจำตัวไหม ก็บอกไปว่าเคยทำบอลลูน​ แต่หยุดยามาเกือบ 6 ปีล่ะ ใช้การปรับพฤติกรรม​ชีวิต แค่นั้นหล่ะครับ ทั้งหมออินเทอร์​น  หมอประจำ ร.พ.อวยผมกันใหญ่ หัวใจจะวาย เส้นเลือดจะตีบ ให้กลับไปกินยาอีก แล้วให้ไปทำ echo ผลออกมาก็ปรกติ ผมส่งผลการตรวจไขมันในเลือด กับ echo ให้คุณหมอดู ยังคงใช้แนวทาง​เดิมหมอสันต์ได้น่ะครับ ผมไม่อยากกินยา ยาที่เขาจ่ายมา มี 1ยาลดการหลั่งกรดในกระเพราะ​ 2.aspirin 3.ยาลดไขมัน 4.ยาลดความดันโลหิต 5.วิตามิน b1-6-12

รบกวนคุณหมอ​ด้วยครับ

..........................................

ตอบครับ

     ประเด็นที่ 1. การรักษาความดันเลือดสูง หากวินิจฉัยได้ว่าเป็นความดันเลือดสูงจริง (วัดสองครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ในการวัดแต่ละครั้งให้ได้ตัวเลขสามชุด) ก็ควรจะรักษาไปตามขั้นตอนปกติ คือใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์เปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตใน 4 ประเด็น คือ (1) ลดน้ำหนักถ้าอ้วน (2) กินอาหารพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำ (3) ออกกำลังกาย (4) ลดเกลือในอาหาร ครบ 6 สัปดาห์แล้วตรวจวัดความดันเลือดซ้ำ หากยังสูงกว่า 140/90 ก็ควรกินยาลดความดันควบคู่ไปกับการปรับวิธีใช้ชีวิต เมื่อความดันลงต่ำกว่า 135/85 จึงค่อยๆลดยาลง เป้าหมายคือความดันต้องไม่เกิน 140/90 จะด้วยวิธีใดก็ได้ เน้นการปรับเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต แต่หกทำไม่ได้ก็แนะนำให้ใช้ยาช่วย

     ประเด็นที่ 2. การรักษาไขมันในเลือดสูงในคนเป็นโรคแล้ว เช่นคนที่ทำบอลลูนมาแล้วอย่างคุณนี้ มาตรฐานหลักวิชาก็คือให้ได้ไขมันเลว LDL ต่ำกว่า 70 ด้วยการปรับอาหารก่อน หากยังไม่ได้ก็กินยาลดไขมันช่วยควบคู่ไปด้วย เมื่อได้ LDL ต่ำกว่า 70 แล้วก็ปรับอาหารให้เข้มงวดขึ้นพร้อมๆกับค่อยๆลดยาลดไขมันลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องให้ LDL ต่ำกว่า 70 ไว้จะได้อัตราตายที่ต่ำที่สุด นี่ว่าเฉพาะคนเป็นโรคแล้วนะ คนอื่นๆที่ไม่ได้เป็นโรคไม่เกี่ยวกับค่า 70 นี้

     ประเด็นที่ 3. การใช้ยาต้านเกล็ดเลือด (แอสไพริน) ในคนทำบอลลูนมาแล้ว ปัจจุบันนี้มาตรฐานหลักวิชาก็คือใช้ไปตลอดชีวิตยกเว้นมีผลข้างเคียงของยามากจนผลเสียมากกว่าประโยชน์ของยา (เช่นเลือดออกในทางเดินอาหาร) วงการแพทย์ยังไม่เคยมีงานวิจัยเปรียบเทียบคนทำบอลลูนใส่ขดลวดสมัยใหม่ผ่านไปนาน 5-10 ปี แล้วเอามาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งกินยาแอสไพริน อีกกลุ่มหนึ่งกินยาหลอก งานวิจัยแบบนั้นยังไม่มี ดังนั้นจึงไม่สามารถจะตอบได้ว่าหลังทำบอลลูนไป 8 ปีแล้วหากหยุดยาแอสไพรินจะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากขึ้นหรือไม่ ถ้ามากขึ้น มากขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ อันนี้ไม่มีข้อมูลที่จะตอบให้ได้เลย คุณต้องลุยถั่วของคุณเอาเอง 

     กรณีของคุณเป็นการใช้ยาแอสไพรินป้องกันโรคแบบทุติยภูมิ (secondary prevention) มันแตกต่างจากคนที่ไม่เคยป่วยเข้ารพ.ไม่เคยทำบอลลูน ซึ่งคนพวกนั้นเขาใช้แอสไพรินป้องกันโรคแบบปฐมภูมิ (primary prevention) ณ ขณะนี้มาตรฐานใหม่ล่าสุด (ACC/AHA Guidelines 2019) ก็คือการใช้แอสไพรินป้องกันปฐมภูมิไม่มีประโยชน์ จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่การใช้ป้องกันทุติยภูมิยังมีประโยชน์ และยังควรใช้อยู่ หมายความว่าใช้ไปจนมีงานวิจัยใหม่บ่งชี้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด ณ ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยใดๆบ่งชี้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด เท่ากับหมอเขาก็ตั้งใจจะให้คุณกินจนตายแหละครับ เพราะหลักฐานปัจจุบันบ่งชี้ให้ทำอย่างนั้น 

     ประเด็นที่ 4. การใช้วิตามิน ผมไม่ซีเรียส คุณจะกินหรือไม่กินก็เรื่องของคุณ แต่ในกรณีที่คุณกินอาหารแบบวีแกน (มังเข้ม) การกินวิตามินบี 1-6-12 วันละเม็ดก็มีประโยชน์ตรงช่วยป้องกันขาดวิตามินบี.12 ซึ่งงานวิจัยพบว่าคนกินอาหารวีแกนมักมีระดับวิตามินบี.12 ในเลือดต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ

     ประเด็นที่ 5. การกินยาลดการหลั่งกรด (PPI) ไม่ใช่ยารักษาโรคหัวใจ แต่เป็นยาป้องกันผลข้างเคียงของยาต้านเกล็ดเลือด ในกรณีที่กินยาแอสไพรินแล้วไม่มีผลข้างเคียง ยาลดการหลั่งกรดก็ไม่จำเป็น การกินยานี้กันจนลืมไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะยานี้ไม่ใช่ยารักษาโรค และตัวยานี้มีพิษต่อไตทำให้เป็นโรคไตเรื้อรัง ดังนั้นผมแนะนำให้กินยานี้เฉพาะเมื่อมีผลข้างเคียงของยาแอสไพริน (แสบท้อง หรือมีเลือดออก) และกินรอบหนึ่งเมื่อผลข้างเคียงของยาหมดแล้วก็หยุด อย่ากินกันจนลืม เพราะกลไกการออกฤทธิ์ของยานี้จะด้อยลงเพราะร่างกายต่อต้าน (drug tolerance) หากกินยาต่อเนื่องนานเกิน 6 เดือน นอกจากนี้อาจได้ไม่คุ้มเสียเพราะยานี้มีพิษต่อไต ณ ขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยประเมินน้ำหนักความเสี่ยงของผลข้างเคียงของยาแอสไพริน กับความเสี่ยงผลข้างเคียงของยาลดการหลั่งกรด อาจจะพอๆกันหรือข้างใดข้างหนึ่งแย่กว่าก็ได้ไม่มีใครรู้ เพราะข้อมูลยังไม่มี มีแต่ข้อมูลว่ายาลดการหลั่งกรดลดโอกาสเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารในผู้ใช้ยาแอสไพรินลงได้ และขณะเดียวกันก็มีข้อมูลด้วยว่าการกินยาลดการหลั่งกรดไปนานๆจะสัมพันธ์กับการเป็นโรคไตเรื้อรัง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. 2019 ACC/AHA Guideline on the Primary Prevention of Cardiovascular Disease: A Report of the American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Clinical Practice Guidelines. J Am Coll Cardiol 2019;March 17:[Epub ahead of print].
[อ่านต่อ...]

29 ธันวาคม 2563

Let Me Thin หมอสันต์ทำแค้มป์ลดน้ำหนักรูปแบบใหม่

     ในบรรดาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั้งหลาย โรคหนึ่งที่อัตรารักษาหายต่ำอย่างน่าใจหายคือโรคอ้วน ถ้านับกันที่หนึ่งปี ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้ 10% ของน้ำหนักเดิมเป็นเวลานาน 1 ปี มีเพียง 20%เท่านั้น แต่เนื่องจากโรคอ้วนเป็นปากทางไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆเช่นโรคเบาหวาน หัวใจ ความดัน อัมพาต เป็นต้น ดังนั้นการจะแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้คนในระยะยาวอย่างไรเสียก็ต้องเอาโรคอ้วนให้อยู่หมัดให้ได้ ตัวผมเองได้พยายามทำแค้มป์ลดน้ำหนักมาหลายครั้งแล้ว อัตราความสำเร็จในหนึ่งปีก็ไม่หนี 20-30% และปัญหาที่ผมพบก็คือการติดตามกระตุ้นต่อเนื่องในระยะยาวในรูปแบบของแค้มป์ทำได้ยากเย็นอย่างยิ่ง เพราะคนมาเข้าแค้มป์ กลับจากแค้มป์แล้วก็กลับเลย ยากมากที่จะติดตามกันต่อเนื่องได้

     Let Me Thin

     มาในปีใหม่ 2564 นี้ เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม คือฉวยโอกาสขณะอยู่ในมู้ด new year resolution หลังจากที่ได้ซุ่มทดลองทำรุ่นเล็กๆมาแล้วหนึ่งรุ่น ผมได้ตัดสินใจทำโปรแกรมลดน้ำหนักในอีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่า Weight Loss We Care ซึ่งเป็นโปรแกรมลดน้ำหนักผ่านทางอินเตอร์เน็ท คือหมอ เทรนเนอร์ โภชนาการ และสมาชิกผู้เข้าโปรแกรมเจอกันทางอินเตอร์เน็ท ไม่ได้เจอหน้ากันจริงๆ แต่ใช้อินเตอร์เน็ทเป็นสื่อการฝึกทักษะทางด้านอาหาร การออกกำลังกาย และการสร้างความบันดาลใจ ทำแอ๊พมือถือขึ้นมาเป็นเครื่องมือช่วยการติดตามกระตุ้นและรับฟังปัญหา โดยงานนี้ผมได้ร้องขอให้คุณหมอตุ่น (พญ. วริศรา รุทระวณิช) ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีความครบเครื่องทั้งด้านการดูแลผู้ป่วยลดน้ำหนักทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาแล้ว ทั้งทำเรื่องเวชศาสตร์ชลอวัย ทั้งเป็นนักนิยมอาหารพืชเป็นหลัก และทั้งเป็นนักออกกำลังกายเทรนเนอร์ด้วยตนเอง มาเป็นหัวหน้าโครงการนี้และเป็นผู้ติดตามเป็นพี่เลี้ยงให้สมาชิกที่เข้ามาลดน้ำหนักทุกคน โดยให้ชื่อคอร์สแรกนี้ว่า Let Me Thin และมีคอนเซ็พท์หลักว่า “ลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดี” 

     ค่าใช้จ่าย

     คนละ 2500 บาท ต่อคอร์ส 90 วัน (เฉพาะรุ่น 1 ลดจากราคาเต็มที่ตั้งไว้ 5000 บาท)


     สิ่งที่สมาชิกจะได้รับเมื่อเข้าคอร์ส 

     (1) การให้คำปรึกษาทางด้านการลดน้ำหนักแบบเฉพาะบุคคลแบบหนึ่งต่อหนึ่งก่อนเริ่มโปรแกรม 

     (2) การให้คำปรึกษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่องผ่านระบบออนไลน์ตลอดระยะเวลา 90 วัน 

     (3) การเปิดให้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การจัดการความเครียดเพื่อเตรียมพร้อมจิตใจสำหรับการลดน้ำหนัก กิจกรรมออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี และกิจกรรมเรียนทำอาหารสำหรับการลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดี เป็นต้น 

     (4) แจกเครื่องมือหากิน อันได้แก่ เครื่องชั่งน้ำหนักวัดมวลร่างกาย และ Elastic Band ยางยืดสำหรับออกกำลังกาย

     (5) แถมสิทธิพิเศษสำหรับซื้อคอร์สอาหารเพื่อสุขภาพจากร้านอาหารในแนวพืชเป็นหลัก ได้แก่ร้าน Pranaa ร้าน Always และร้านต้นกล้าฟ้าใส 


     กำหนดการเปิดคอร์ส Let Me Thin รุ่น 1

     เปิดรับสมัคร 27 ธ.ค. 2563 – 5 ม.ค. 2564

     ระยะเวลาเข้าคอร์ส 6 ม.ค. 2564 – 4 เม.ย. 2564


     การติดต่อ

     สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือซื้อคอร์ส 

     โทร: 065-586-2660

     Facebook Fanpage: Weight Loss We Care

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

Let Me Thin หมอสันต์ทำแค้มป์ลดน้ำหนักรูปแบบใหม่


     ในบรรดาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทั้งหลาย โรคหนึ่งที่อัตรารักษาหายต่ำอย่างน่าใจหายคือโรคอ้วน ถ้านับกันที่หนึ่งปี ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักได้ 10% ของน้ำหนักเดิมเป็นเวลานาน 1 ปี มีเพียง 20%เท่านั้น แต่เนื่องจากโรคอ้วนเป็นปากทางไปสู่โรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆเช่นโรคเบาหวาน หัวใจ ความดัน อัมพาต เป็นต้น ดังนั้นการจะแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้คนในระยะยาวอย่างไรเสียก็ต้องเอาโรคอ้วนให้อยู่หมัดให้ได้ ตัวผมเองได้พยายามทำแค้มป์ลดน้ำหนักมาหลายครั้งแล้ว อัตราความสำเร็จในหนึ่งปีก็ไม่หนี 20-30% และปัญหาที่ผมพบก็คือการติดตามกระตุ้นต่อเนื่องในระยะยาวในรูปแบบของแค้มป์ทำได้ยากเย็นอย่างยิ่ง เพราะคนมาเข้าแค้มป์ กลับจากแค้มป์แล้วก็กลับเลย ยากมากที่จะติดตามกันต่อเนื่องได้

     Let Me Thin

     มาในปีใหม่ 2564 นี้ เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม คือฉวยโอกาสขณะอยู่ในมู้ด new year resolution หลังจากที่ได้ซุ่มทดลองทำรุ่นเล็กๆมาแล้วหนึ่งรุ่น ผมได้ตัดสินใจทำโปรแกรมลดน้ำหนักในอีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่า Weight Loss We Care ซึ่งเป็นโปรแกรมลดน้ำหนักผ่านทางอินเตอร์เน็ท คือหมอ เทรนเนอร์ โภชนาการ และสมาชิกผู้เข้าโปรแกรมเจอกันทางอินเตอร์เน็ท ไม่ได้เจอหน้ากันจริงๆ แต่ใช้อินเตอร์เน็ทเป็นสื่อการฝึกทักษะทางด้านอาหาร การออกกำลังกาย และการสร้างความบันดาลใจ ทำแอ๊พมือถือขึ้นมาเป็นเครื่องมือช่วยการติดตามกระตุ้นและรับฟังปัญหา โดยงานนี้ผมได้ร้องขอให้คุณหมอตุ่น (พญ. วริศรา รุทระวณิช) ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีความครบเครื่องทั้งด้านการดูแลผู้ป่วยลดน้ำหนักทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาแล้ว ทั้งทำเรื่องเวชศาสตร์ชลอวัย ทั้งเป็นนักนิยมอาหารพืชเป็นหลัก และทั้งเป็นนักออกกำลังกายเทรนเนอร์ด้วยตนเอง มาเป็นหัวหน้าโครงการนี้และเป็นผู้ติดตามเป็นพี่เลี้ยงให้สมาชิกที่เข้ามาลดน้ำหนักทุกคน โดยให้ชื่อคอร์สแรกนี้ว่า Let Me Thin และมีคอนเซ็พท์หลักว่า "ลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดี" 


     ค่าใช้จ่าย

     คนละ 2500 บาท ต่อคอร์ส 90 วัน (เฉพาะรุ่น 1 ลดจากราคาเต็มที่ตั้งไว้ 5000 บาท)


     สิ่งที่สมาชิกจะได้รับเมื่อเข้าคอร์ส 

     (1) การให้คำปรึกษาทางด้านการลดน้ำหนักแบบเฉพาะบุคคลแบบหนึ่งต่อหนึ่งก่อนเริ่มโปรแกรม 

     (2) การให้คำปรึกษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่องผ่านระบบออนไลน์ตลอดระยะเวลา 90 วัน 

     (3) การเปิดให้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การจัดการความเครียดเพื่อเตรียมพร้อมจิตใจสำหรับการลดน้ำหนัก กิจกรรมออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี และกิจกรรมเรียนทำอาหารสำหรับการลดน้ำหนักอย่างมีสุขภาพดี เป็นต้น 

     (4) แจกเครื่องมือหากิน อันได้แก่ เครื่องชั่งน้ำหนักวัดมวลร่างกาย และ Elastic Band ยางยืดสำหรับออกกำลังกาย

     (5) แถมสิทธิพิเศษสำหรับซื้อคอร์สอาหารเพื่อสุขภาพจากร้านอาหารในแนวพืชเป็นหลัก ได้แก่ร้าน Pranaa ร้าน Always และร้านต้นกล้าฟ้าใส 


     กำหนดการเปิดคอร์ส Let Me Thin รุ่น 1

     เปิดรับสมัคร 27 ธ.ค. 2563 - 5 ม.ค. 2564

     ระยะเวลาเข้าคอร์ส 6 ม.ค. 2564 - 4 เม.ย. 2564


     การติดต่อ

     สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือซื้อคอร์ส 

     โทร: 065-586-2660

     Facebook Fanpage: Weight Loss We Care


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์


[อ่านต่อ...]

นี่เป็นเวลาที่จะต้องตัดสินใจเรื่องโควิด 19 อีกครั้ง


     ภาพรวมสถานะการณ์โควิด19 ของไทยวันนี้

     ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ ประเทศไทยของเราได้กลับเข้าสู่การระบาดของโควิด19 ในระยะเร่งหรือระยะที่ 4 (acceleration phase) อีกแล้ว หลังจากที่ดับคลื่นระยะเร่งนี้ลงได้สนิทแล้วเมื่อปลายเดือนเมษายน รูปแบบการกระจายตัวของโรคได้เปลี่ยนจากการอยู่ในระยะติดเชื้อกระปริดกระปรอย (sporadic) อย่างคงที่มานานถึง 8 เดือน กลับมาเป็นการติดเชื้อเป็นกลุ่มๆ (cluster of cases) ในชั่วเวลาไม่กี่วัน และกำลังเดินหน้าไปสู่รูปแบบการติดเชื้อในชุมชน (community transmission) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ 

     ก่อนจะพูดอะไรกันต่อ ผมขอซักซ้อมความเข้าใจในสองประเด็นของโรคระบาดก่อนนะ 

     ประเด็นแรก คือระยะ (phase หรือ interval) ของการระบาด ซึ่งหากแบ่งตามศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ ก็แบ่งเป็นหกเฟส คือ (1) ระยะสอบสวนโรค Investigation (2) ระยะรับรู้ศักยภาพโรค Recognition (3) ระยะเริ่มระบาด Initiation (4) ระยะเร่งระบาด Acceleration (5) ระยะแผ่ว Deceleration (6) ระยะกลับมาเฝ้าระวัง Preparation for future waves

     ประเด็นที่สอง คือระดับชั้นการแพร่โรค (transmission classification) ซึ่งแบ่งรูปแบบออกเป็นสี่ชั้นจากน้อยไปหามากคือ (1) ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ (no cases) (2) ติดเชื้อกระปริดกระปรอย (sporadic) (3) ติดเชื่อเป็นกลุ่มๆ (cluster of cases) (4) ติดเชื้อในชุมชน (community infection)

     ผมประเมินเอาจากข้อมูลวันต่อวันที่ทีมงานของรัฐบาลแถลงมาแล้วผมสรุปเอาเองว่าเรากำลังกลับเข้าสู่การระบาดระยะ acceleration อีกครั้ง แต่ยังมีรูปแบบการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มๆ ทั้งหมดนี้เป็นการประเมินสามวันก่อนการชื่นชุมนุมเพื่อรื่นเริงเถลิงศกใหม่นะ 

     นาทีนี้เป็นเวลาที่จะต้องตัดสินใจกันอีกแล้ว

     เมื่อโรคกลับเข้าสู่ระยะเร่ง ก็เป็นเวลาที่จะต้องตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนนโยบายชลอโรค (mitigation) (อันได้แก่สวมหน้ากาก ใช้เจล และ social distancing) กลับไปใช้นโยบายกดโรค (suppression) หรือพูดง่ายๆว่า Lockdown Thailand อีกครั้งหรือไม่ ซึ่งการตัดสินใจนี้ถ้าจะทำแบบหวังผลกันจริงจัง ก็ต้องรีบตัดสินใจทำซะก่อนงานรื่นเริงเถลิงศกใหม่ ซึ่งจะเป็นวาระที่โรคมีโอกาสจะกระจายไประเบิดเถิดเทิงจากการชุมนุมรื่นเริงเถลิงศกใหม่กันเป็นกลุ่มๆเล็กบ้างใหญ่บ้างทั่วประเทศ     

     มีข้อมูลอะไรประกอบการตัดสินใจครั้งนี้บ้าง

     ก่อนจะไปพูดกันถึงว่าตัดสินใจแบบไหนผิดแบบไหนถูก ลองมามองข้อมูลประกอบการตัดสินใจกันหน่อยนะ เพราะหลายแง่หลายมุมได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว

     1. อัตราตายของโรคได้เปลี่ยนไป ความเปลี่ยนแปลงนี้มีในสองมิติ คือ 

     1.1 อัตราตายแปรผันตามประเทศ เมื่อโรคเริ่มระบาดที่จีน มีอัตราตาย 4.95%, อิตาลี 3.51%, อังกฤษ 3.12%,  สหรัฐอเมริกา 1.74%, อินเดีย 1.44% พม่า 2.1%, มาเลย์เซีย 0.4%, สิงค์โปร์ 0.04%, ไทย 0.97% 

     ความแตกต่างของอัตราตายที่ต่างกันได้เป็นร้อยเท่าตัวนี้เป็นข้อมูลที่จริงแท้แน่นอน เพราะหากไม่นับประเทศไทยทึ่มีผู้ป่วยเรือนพัน ประเทศอื่นๆที่ผมยกตัวเลขมาล้วนมีผู้ป่วยเรือนเหยียบแสนหรือเรือนล้านทั้งสิ้น ดังนั้นข้อมูลนี้ถูกต้องจริงแท้แน่นอน และโปรดสังเกตว่าไทยอยู่ในกลุ่มเดียวกับสิงค์โปร์มาเลย์เซียซึ่งมีอัตราตายต่ำมาก 

     1.2 อัตราตายลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เพื่อประหยัดเวลาอ่านของท่าน ผมขอยกข้อมูลเฉพาะของไทยนะ 

     สามเดือนแรกคือนับตั้งแต่เริ่มมีโรคระบาดมาจนถึงปลายเดือนเมษาซึ่งเรามีผู้ป่วย 2,954 คน ตาย 54 คน อัตราตาย 1.82% 

     สามเดือนถัดมา (พค.-กค.) เรามีผู้ป่วย 356 คน ตาย 4 คน อัตราตาย 1.12%

     สามเดือนถัดมา (สค.- ตค.) เรามีผู้ป่วย 470 คน ตาย 1 คน อัตราตาย 0.21%

     สองเดือนสุดท้าย (พย.-28 ธค.) เรามีผู้ป่วย 2,367 คน ตาย 1 คน อัตราตาย 0.04% (หลังจากเขียนบทความนี้หนึ่งวันก็มีคนไข้หัวใจตายจากฮาร์ทแอ็ทแท็คและตรวจพบมีเชื้อโควิด19 ที่ระยองอีก 1 คน หากนับรวมรายนี้ด้วยอัตราตายก็จะเป็น 0.08%

     โปรดสังเกตว่านอกจากอัตราตายจะลดลงต่อเนื่องแล้ว ในสองเดือนสุดท้ายซึ่งเรามีผู้ป่วยสองพันกว่าคน มีอัตราตายเพียง 0.08% ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราตายรวมของสิงค์โปร์ และต่ำกว่าอัตราตายที่หวู่ฮั่นซึ่งอยู่ในใจเราตลอดมาถึง 50 เท่า และเมื่อเทียบกับอัตราตายของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ได้ประมาณไว้ว่าไข้หวัดใหญ่มีอัตราตายราว 0.13% (ป่วย 9-45 ล้านคนต่อปี ตาย 12000 - 61000 คนต่อปี) นั่นหมายความว่ามาถึงวันนี้โควิด 19 ในประเทศไทย สิงค์โปร์ มาเลย์เซีย มีอัตราตายต่ำลงมาจนใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ (influenza) ทำให้การจะใช้มาตรการแรงๆกับการควบคุมโรคไม่ค่อยมีน้ำหนักมากนัก

     2. ประเทศคู่ค้าสำคัญน่าจะเปิดประเทศในปี 2564 นี้ 

      ประเทศหลักๆที่ค้าขายกับเรา โดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกา มีคนติดเชื้อไปแล้ว 18 ล้านคน ติดเชื้อใหม่วันละสองแสน ด้วยอัตราเร่งขนาดนี้ภายในปลายปี 2564 ประเทศแบบนี้ถึงแม้ไม่มีวัคซีนก็จะจบเกมด้วย herd immunity (แปลว่าภูมิคุ้มกันจากการที่สมาชิกของฝูงจำนวนหนึ่งที่เคยติดเชื้อมีภูมิแล้วช่วยบังไม่ให้โรคมาถึงตัวคนที่ยังไม่มีภูมิ ทำให้การระบาดของโรคสงบลงเอง) แต่วันนี้อย.สหรัฐฯได้อนุมัติวัคซีนออกมาฉีดแล้วสองยี่ห้อ การที่วัคซีนมาเร็ว ยิ่งจะทำให้ประเทศแบบนี้จบเกมและเปิดประเทศได้เร็วก่อนสิ้นปีหน้า ดังนั้นในด้านการทำมาค้าขาย เราก็ต้องเล็งให้ดีว่าตอนนั้นเขาเปิดไปมาค้าขายกันได้แล้ว เรายังปิดเพราะกลัวติดโรคอยู่หรือเปล่า

     3. ความล้าหรือดื้อด้านพฤติกรรมใหม่ (behavioral fatigue) อันนี้มันเป็นความเห็นของพวกหมออังกฤษซึ่งผมก็หาหลักฐานวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนไม่ได้แต่เมื่อติดตามข่าวโควิด19 ตลอดมาแล้วผมก็อนุมาณจากข่าวว่าความล้านี้น่าจะมีอยู่จริงกระมัง คือคำว่า behavioral fatigue นี้พวกหมอทางอังกฤษจะเชื่อกันเป็นตุเป็นตะว่าคนเราหากบังคับให้ทำอะไรที่ไม่อยากทำซ้ำซาก (เช่นสวมผ้าปิดจมูก) อยู่เป็นเวลานาน จะเกิดอาการล้า หรือหน่าย แล้วพาลไม่ทำ หมายความว่าหากรัฐบาลเอามาตรการควบคุมโรคเข้มงวดออกมาใช้เป็นเวลานานเกินไปหรือใช้ซ้ำซากเกินไป ประชาชนจะเกิดล้าและดื้อด้านไม่ร่วมมือ งัดมาตรการอะไรออกมาบังคับใช้ก็ไลฟ์บอยเพราะไม่มีใครทำตาม จะจับเข้าคุกก็ไม่มีคุกจะขังเพราะคนล้าหรือดื้อด้านมีเยอะเกิน 

     แล้วจะเอายังไงกันดี

     การตัดสินใจเป็นเรื่องของลุงตู่ครับ ไม่ใช่เรื่องของผม ผมก็ได้แต่ให้ข้อมูลเชิงวิชาการแก่ท่านผู้อ่าน ถามความเห็นของหมอสันต์ว่าหากไม่คำนึงถึงเรื่องเศรษฐกิจ เอาแต่มุมมองด้านการแพทย์ล้วนๆ หมอสันต์มีความเห็นว่าควรทำอย่างไร ตอบว่า ควรเลิกนโยบายกดโรค (suppression) เสีย เลิกพูดถึงล็อคดาวน์ไทยแลนด์ไปเลย เก็บนโยบายนั้นลงหีบล็อคกุญแจได้เลย ควรเดินหน้าไปกับนโยบายชลอโรค (mitigation) คือสวมหน้ากาก เจลแอลกอฮอล์ social distancing อย่างที่เคยทำมา พอวัคซีนมาก็ฉีดวัคซีน พอชาวบ้านเขาเปิดผ้า เอ๊ย..เปิดประเทศ เราก็เปิด นี่เป็นความเห็นของหมอสันต์คนเดียวนะครับผม ควรมิควรก็สุดแล้วแต่คุณลุงท่านจะพิจารณา หิ..หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 

...............................................

จดหมายจากท่านผู้อ่าน

29 ธค. 63

เรียน​ อาจารย์สันต์ที่นับถือ

    ผมติดตามอ่านและได้ประโยชน์จากบทความของอาจารย์มานาน

    แต่ในบทความล่าสุด​ ที่ว่าอัตราตายของโควิดในประเทศไทยต่ำลง​ ผมไม่เห็นด้วยกับการนำมาอ้างอิงว่าความรุนแรงของโรคเหมือนไข้หวัดใหญ่ธรรมดา

    เนื่องจากกลุ่มใหญ่ของโควิดในไทยช่วง​ สค-พย 63​ เป็นกลุ่มประชากรที่​สามารถ​เดินทางผ่านเครื่องบินได้​ ซึ่งอายุน่าจะน้อย​ แข็งแรง​ ได้รับการคัดกรองโควิดมาแล้ว​ ซึ่งไทยมาตรวจเจอภายหลัง​ กลุ่มนี้จึงมีอาการไม่มาก​ ทำให้อาจรู้สึกว่าความรุนแรงของโควิดลดลง

    แต่ถ้าให้มีการแพร่กระจายในชุมชนทั่วไป​ อัตราการตายน่าจะสูงขึ้น​ พิจารณา​เฉพาะจังหวัดระยอง​ ปัจจุบัน​ติดเชื้อ​ 92​ ราย​ ตาย​ 1​ แม้ขณะนี้ยังการติดเชื้อยังไม่ค่อยไปถึงผู้สูงอายุ

    จึงขออนุญาต​ท้วง​ เพื่ออาจารย์พิจารณา

...............................................

[อ่านต่อ...]

24 ธันวาคม 2563

ส่งท้ายปีเก่า 2563 การเผชิญหน้ากับอีโก้ที่ด่านสุดท้าย


      จะผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว ก่อนอื่นขอขอบคุณแฟนๆที่ติดตามอ่านบทความของหมอสันต์มาด้วยดี (โดยปราศจากความรุนแรง หิ หิ) ผมเขียนบล็อกมาราวสิบสองปีแล้ว เขียนไป 1,794 บทความ มีคนเข้ามาอ่านแล้วประมาณ 30 ล้านครั้ง
 
     เท่าที่เขียนมามีปัญหาสามอย่างคือ (1) การเขียนในบล็อกสป็อตซึ่งเป็นของกูเกิ้ลแล้วเอาไปแปะในเพจซึ่งเป็นของเฟซบุ้คมันไม่ค่อยลื่นไหล เพราะสองเจ้านี้เหมือนไม่ถูกกัน ทางเฟซบุ้คชอบตั้งแง่ว่าภาพที่ผมเอามาจากบล็อกสป็อตเป็นภาพลิขสิทธิ์ลงให้ไม่ได้ ทั้งๆที่ภาพนั้นเป็นภาพที่ผมถ่ายเอง (2) ท่านผู้อ่านบ่นมาหลายครั้งว่าอยากค้นหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากหลายๆบทความที่ผมเขียนแต่ทำได้ยาก เพราะมันไม่มีระบบแยกแยะ ได้แต่หาผ่านกูเกิ้ลซึ่งก็หาไม่ค่อยพบ (3) ความที่ผมเปิดอ้าซ่าว่าใครใคร่เอาบทความไปใช้ก็เอาไปได้ จึงมีคนเอาบทความไปใช้มาก เอาไปทำการค้าก็มีซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ที่น่าปวดหัวก็คือเอาบทความไปตัดเหลือเพียงบางส่วนแล้วแจ้งที่มาว่าหมอสันต์เขียนว่าอย่างนี้ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อเรื่องในเชิงหลักฐานวิชาการผิดไปได้แยะ

     เพื่อแก้ปัญหาทั้งสามอย่างนี้ ผมจึงวานให้น้องที่รู้เรื่องไอทีทำเว็บไซท์ใหม่ขึ้นมาชื่อ drsant.com  เพื่อเอาบทความทั้งหมดไปเก็บไว้ที่นั่น แล้วให้เขาใช้หลักวิชาจัดการสาระ (content management) ทำให้มันสะดวกแก่ท่านผู้อ่านในการค้นหาเรื่องที่เขาอยากค้น ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ผมจะโพสต์บทความบน drsant.com ซึ่งมันจะแชร์ไปให้เพจ (Facebook page) ชื่อ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ โดยอัตโนมัติ การทำอย่างนี้จะทำให้ผมทำงานน้อยลงและท่านผู้อ่านเองก็จะค้นหาผ่านกูเกิ้ลได้ง่ายขึ้น โดยที่ท่านที่ติดตามอ่านทางเฟซบุ้คก็ยังติดตามได้เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จะมีเปลี่ยนแปลงบ้างก็คือการอนุญาตให้เอาบทความไปใช้แบบเปิดอ้าซ่านั้นจะขอเลิกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ต่อไปผู้ประสงค์จะเอาบทความไปใช้กรุณาติดต่อ drsant.com ผ่านน้องผู้ดูแลที่เบอร์อีเมล contactdrsant@gmail.com และเฉพาะสำหรับท่านที่ติดตามอ่านตรงทางบล็อกสป็อทต่อแต่นี้ไปจะเหลือแต่บทความเก่า โดยบทความนี้จะเป็นบทความสุดท้าย บทความใหม่และบทความเก่าทั้งหมดจะไปโผล่ที่ drsant.com แทนนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป 

     ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า 2563 นี้ ขอเล่าเรื่องๆหนึ่ง ว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ผมทำแค้มป์ทบทวนการพลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDR-3) ในแค้มป์ตอนเช้าตรู่มีการทำกิจกรรมประจำวันด้วยกันซึ่งมีการฝึกนั่งสมาธิวางความคิดด้วย จบแล้วมีสมาชิกหนุ่มๆท่านหนึ่งวิ่งตามมาถามว่า

     "อาจารย์ครับ เมื่อวางความคิดอยู่กับความรู้ตัวได้..แล้วไงต่อครับ"

     บรรยากาศในวันนั้นไม่เอื้อให้คุยกันได้นานๆ ผมจึงตอบสั้นๆไปแค่ว่า

     "แล้วไงต่อ.. เป็นความคิดนะ มันคือความสงสัย มันเป็นรูปแบบที่สำนึกว่าเป็นบุคคลใช้ดึงคุณให้จำกัดตัวเองไว้ภายในกรอบของคอนเซ็พท์ที่คุณสร้างขึ้นจากประสบการณ์เก่าๆของคุณ ส่วนความรู้ตัวเป็นสิ่งที่อยู่พ้นกรอบนั้นออกไป การจะรู้จักความรู้ตัวให้ลึกซึ้งขึ้น คุณต้องวางความสงสัยลงไปให้ได้ก่อน"

     ตอบไปสั้นๆแค่นั้น เดาเอาว่าคนฟังคงไม่เก็ท มาวันนี้พอจะมีเวลาขยายความ ผมจึงขอพูดถึงประเด็นนี้เพิ่มเติมในโอกาสส่งท้ายปีเก่าอันเปรียบเสมือนการเดินทางมาถึงฝั่งน้ำที่จะข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ

     คนเรา เมื่อเดินทางแสวงหาในชีวิตมาใกล้จะถึงจุดที่จะหลุดพ้นเข้าจริงๆ จะเกิดการข่มขู่ คุกคาม หรือดิ้นรน หรือสะบัด อย่างแรงจากอีโก้หรือสำนึกว่าเป็นบุคคลของเราเอง เพราะอีโก้มันไม่อยากถูกยุบเลิกหน่วยงานหรือถูกสลายตัวไปง่ายๆ มันจึงจะดิ้นแรงมาก จนทำให้ผู้แสวงหาแทบทุกคนหวั่นไหวครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต 

     "ใจคอจะทิ้งกันไปแบบลุ่นๆงี้เลยหรือ 

     อุตส่าห์ปลูกรักฟูมฟักให้ความเป็นบุคคลคนนี้

     เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้

     จะทุบกันทิ้งเสียดื้อๆเลยหรือ 

     จะทำลายกันจนไม่ให้เหลืออะไรเลยหรือ" 

     ความหวั่นไหวนี้ทำให้เกือบทุกคนที่อุตส่าห์เดินทางไกลมาจนถึงจุดนี้ มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ถึงฝั่งน้ำข้างนี้แล้ว แค่ข้ามน้ำไปฝั่งโน้นได้ก็พ้นแล้ว แต่กลับยอมหันหลังกลับไปโดยดุษฎีเพราะถูกอีโก้บีบให้หวั่นไหว หรือบางคนที่อายตัวเองว่าเป็นคนไม่เอาจริงก็ใช้วิธีเปลี่ยนวิธีการเดินจากที่เคยเดินตรงอย่างแหลมคมไปเป็นเดินอ้อมๆ เลียบๆ เคียงๆ ข้างๆ คูๆ ด้วยการเลี้ยงความสงสัยและตั้งคำถามให้ตัวเองคอยตอบเรื่อยไป หรือด้วยการเสาะหาอาจารย์เพิ่ม อ่านหนังสือเพิ่ม ดูวิดิโอเพิ่ม ตลอดชีวิต ซึ่งนั่นก็คือการกลับไปอยู่ในโลกของความคิดเดิมๆอีกครั้ง เพื่อจะได้หลบเลี่ยงการแตกหักกับอีโก้ในโอกาสที่ต้องเผชิญหน้ากันตรงด่านสุดท้ายนี้

     ไฮไลท์ที่ผมจะพูดถึงในโอกาสส่งท้ายปีเก่านี้ก็คือการจะฝ่าด่านตรงนี้ให้ใช้กลยุทธ์สองอย่าง คือ 

     (1) ต้องเดินหน้าแบบมอบกายถวายชีวิต คือพูดง่ายๆว่าถึงจุดนี้ต้องอาศัย"ศรัทธา" ศรัทธาไม่ใช่ "ความเชื่อ" นะ ความเชื่อเป็นความคิด เป็นเขตอิทธิพลของอีโก้ แต่ศรัทธาเป็นการยอมรับเดี๋ยวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขโดยไม่ต้องคิดอะไร เป็นสิ่งที่อยู่เหนืออีโก้ ดังนั้นให้ยอมหมด เปิดอ้าซ่ารับได้หมด เดินหน้าไปแบบคนไม่รู้อะไรเลย ไม่มีวาระอะไรล่วงหน้า ไม่มีข้อบ่งชี้ ไม่มีข้อบ่งห้าม ไม่มีความคาดหวัง มีแต่ความอยากรู้อยากเห็นว่าข้างหน้าจะมีอะไรโผล่เข้ามา เป็นการเดินเข้าหาความตื่นเต้นมหัศจรรย์ ผมแนะนำอย่างนี้จากประสบการณ์ของผมเอง ตัวผมเองมีความก้าวหน้าเพราะกล้าลอง กล้าเสี่ยง กล้าตาย อะไรจะเกิดก็เปิดรับให้มันเกิด จะแตกให้มันแตก จะตายให้มันตาย เพราะเราจะเรียนรู้สิ่งใหม่ได้อย่างไรหากเราหงออยู่แต่ในกรอบคอนเซ็พท์ที่กุขึ้นมาจากประสบการณ์ในอดีตของเราเองเท่านั้น เราต้องกล้าวิ่งออกไปกลางทุ่งของความไม่รู้อะไรเลย ยอมรับว่าในที่อย่างนั้นเราเป็นคนโง่ไม่รู้อะไรเลย เราจึงจะได้ค้นพบสิ่งใหม่ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ซึ่งในทุ่งของความไม่รู้อะไรเลยนี้ อีโก้มันกลัวนักกลัวหนา และมันจะลากเราให้ถอยกลับออกมาอยู่เรื่อย แต่หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้อย่าไปเชื่ออีโก้ เพราะโอกาสที่จะหลุดพ้นจากสิ่งเก่าไปค้นพบสิ่งใหม่กำลังอยู่แค่เอื้อม 

    (2) ต้องตีกรอบเวลาในใจให้แคบลง จากเดิมที่ในใจมีมิติของเวลา มีปีเก่า มีปีใหม่ บีบลงมาให้เหลือเป็นมีแค่เดี๋ยวนี้ ทีละวินาที ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เพราะอดีตทำให้ความเศร้าเสียใจมีที่ซุกซ่อนอาศัย อนาคตทำให้ความกลัวและความอยากได้อยากดีมีที่ซุกซ่อนอาศัย เมื่อเหลือแค่เดี๋ยวนี้แล้วการรับรู้และยอมรับทุกอย่างตามที่มันเป็นจะง่ายขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มันสั้นแค่วินาทีเดียว สิ่งที่ซีเรียสในเดี๋ยวนี้มีอย่างเดียวคือมีใครมาบีบคอให้เราหายใจไม่ออกหรือเอาปืนมาจ่อหัวเราอยู่หรือเปล่า อย่างอื่นล้วนไม่ซีเรียส ถ้าไม่มีใครกำลังบีบคอเราให้หายใจไม่ออกอยู่ เราก็ยอมรับเดี๋ยวนี้ได้แล้ว ให้รับรู้ทุกอย่างที่เดี๋ยวนี้ตามที่มันเป็น หมายความว่ารับรู้เป็นภาพ เสียง สัมผัส โดยไม่ต้องมีภาษาเข้ามาเกี่ยวข้อง เหมือนทำตัวเป็นกล้องถ่ายรูปแบบสะแน็ปช็อต กดถ่ายภาพเหตุการณ์ที่เข้าที่เดี๋ยวนี้ แชะ แชะ โดยไม่มีคำบรรยายภาพ ไม่มีการตั้งชื่อ ไม่มีการนิยาม หรือพิพากษา หรือตีความ หรือพาดพิงเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตนใดๆทั้งสิ้น เพราะผลประโยชน์ส่วนตนก็คือโครงสร้างของอีโก้นั่นเอง ให้รับรู้แบบมาแบบไหนรับรู้แบบนั้น รวมทั้งการเข้ามาของความคิดซึ่งชงขึ้นมาโดยอีโก้ด้วย รับรู้แล้วเลือกวิธีสนองตอบอันเป็นการสร้างแต่ละประสบการณ์ใหม่อย่างมีความใส่ใจ สนอกสนใจจริงจังไปทีละประสบการณ์ ทีละช็อต ทีละช็อต ไม่ใช่ปล่อยให้การสนองตอบเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติจากวงจรย้ำคิดย้ำทำที่ปลูกฝังมาแต่อดีต เพราะแบบนั้นจะกลายเป็นการเตะหมูเข้าปากหมา คือเป็นการไปให้อำนาจกับอีโก้ลากเราถอยกลับไปที่เดิม 

     ทั้งสองกลยุทธ์นี้คือของฝากส่งท้ายปีเก่า 2563 จากหมอสันต์ ขอให้แฟนบล็อกทุกท่านมีความสุขกับเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่ ขอแจ้งข่าวด้วยว่า โปรแกรมฟังเปียโนของหมอสันต์ที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ (เวลเนสวีแคร์) วันเสาร์นี้ (26 ธค. 63) ก็ยังเดินหน้าไม่เลิกนะ เพราะลุงตู่ไม่ได้สั่งให้เลิกผมก็จึงไม่เลิก ใครที่ขี้ป๊อดจะไปไหนช่วงคริสตมาสปีใหม่ก็กลัวโควิด19 ให้ไปฟังเปียโนกับหมอสันต์ได้ ไม่มีความเสี่ยง เพราะไม่มีการแออัดยัดเยียด และครัวของหมอสันต์เป็นครัวมังสวิรัติ ไม่ต้องไปซื้อกุ้งที่มหาชัย หิ หิ 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

21 ธันวาคม 2563

จะใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนล่าได้ไหม

บรูเช็ตต้า ทำจากมันเทศม่วง แหมะบนขนมปังงา
(ขออำไพขนมปังมีรอยหนูแทะ)

     จะใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนล่าได้ไหม 

……………………………………………

ตอบครับ

     ถามว่าจะใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนล่าได้ไหม หมอสันต์ตอบว่า..ได้สิครับ ตำรวจไม่จับหรอก

     อ้าว ทำไมตอบอย่างนั้นละ ก็ในยุโรปและอเมริกาเขาห้ามใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารไม่ใช่หรือ เพราะ อย.สหรัฐ (FDA) มีกฎให้ติดฉลากน้ำมันมัสตาร์ดว่าใช้ทาภายนอกเท่านั้น แปลว่าห้ามกิน แต่นี่หมอสันต์จะให้กิน..ได้ไง

     ฮี่ ฮี่ เรื่องมันยาวนะ คือมาจะกล่าวบทไป นานจนจำไม่ได้มาแล้ว ได้มีผู้นำกรดอีรูซิค (erucic acid) ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวชนิดหนึ่งที่ประกอบเป็น 40% ของน้ำมันมัสตาร์ด เอาไปทดลองกรอกปากหนูทุกวันๆ แล้วก็พบว่าหนูเจ้ากรรมเหล่านั้นมีไตรกลีเซอไรด์สูงและมีไขมันแทรกเข้าไปในเนื้อหัวใจ จึงสรุปว่าน้ำมันมัสตาร์ดเป็นอันตรายต่อหัวใจ ดังนั้นห้ามคนกิน..จบข่าว

     “แล้วทำไมหมอสันต์ยืนยันว่าใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารได้”

     เพราะหนูก็คือหนู คนก็คือคน ไม่เกี่ยวกัน งานวิจัยเอากรดอีรูซิคกรอกปากหนูแล้วมีไขมันแทรกในหัวใจหนู จะมาเหมาว่าหากให้คนกินกรดอีรูซิคก็จะเกิดไขมันแทรกในหัวใจคน การสรุปอย่างนี้มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่เป็นตะแบงศาสตร์ มีความผิดพลาดที่เกิดจากการสรุปแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วนในประวัติของวงการแพทย์ การเอาขัณฑสกรกรอกปากหนูแล้วสรุปว่าขัณฑสกรเป็นสารก่อมะเร็งนั่นก็เป็นความผิดพลาดตัวอย่างหนึ่ง 

     ในกรณีของน้ำมันมัสตาร์ดนี้ ต่อมาก็มีงานวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่าร่างกายของหนูต่างจากร่างกายคนตรงที่ร่างกายหนูไม่สามารถเปลี่ยนกรดอีรูซิคเป็นอีรูซิลโคเอ (erucyl-CoA) ทำให้เอ็นไซม์ย่อยไตรกลีเซอไรด์ของหนูทำงานได้ไม่ดีจนทำให้ไขมันสะสมในหัวใจหนูได้ ซึ่งปัญหาแบบนี้ไม่มีในคน และที่สำคัญก็คือไม่เคยมีหลักฐานระดับแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบในคนแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะบ่งชี้ว่าน้ำมันมัสตาร์ดทำให้เกิดโรคใดๆในคนรวมทั้งโรคไขมันแทรกกล้ามเนื้อหัวใจก็ไม่มี อีกอย่างหนึ่งหากมองดูหลักฐานเชิงระบาดวิทยา คนบางชาติพันธ์เช่นอินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ เขาเอาน้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารกินกันทุกวันโครมๆไม่เห็นว่าเขาจะมีไขมันเข้าไปแทรกในหัวใจกันมากกว่าคนชาติอื่นเลย แต่คำสั่งห้ามใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารที่อย.สหรัฐฯออกไปแล้วนั้นจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครไปเปลี่ยน เพราะอะไรอย่าให้ผมเซดเลย เพราะเซดแล้วมันปวดเฮด

     คราวนี้ลองมามองเจาะลึกคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของน้ำมันมัสตาร์ดแบบถอยกลับมาตั้งต้นที่สนามหลวงก่อนนะ ในภาพใหญ่ น้ำมันที่ดีต่อสุขภาพควรมีคุณสมบัติต่อไปนี้คือ

     1. มีไขมันอิ่มตัวน้อยที่สุด เพราะเป็นไขมันก่อโรค

     2. มีไขมันไม่อิ่มตัวมาก โดยเฉพาะไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียว เพราะเป็นไขมันไม่ก่อโรค

     3. ถ้าจะใช้ผัดทอดอาหาร ต้องมีจุดไหม้สูง

     4. (ข้อนี้ยังมีความเห็นแย้งกันอยู่บ้าง) ในบรรดาไขมันไม่อิ่มตัวที่มี ควรมีสัดส่วนไขมันโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 ต่างกันไม่มาก 

     ซึ่งหากพิจารณาทั้งสี่มุมนี้ น้ำมันมัสตาร์ดดีเลิศประเสริฐศรีครบถ้วนทั้งสี่มุม กล่าวคือ

    1. มีไขมันอิ่มตัวน้อย (8%) 

     2. มีไขมันไม่อิ่มตัวมาก คือมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 70% ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 22% 

     3. มีจุดไหม้สูง (250 องศาเซลเซียส สูงกว่าน้ำมันมะพร้าว (177 องศา) สูงกว่าน้ำมันหมู (188 องศา)

     4. มีสัดส่วนไขมันโอเมก้า 3 สูง กล่าวคือสัดส่วนไขมันโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 เท่ากับ 1.2 : 1 จัดเป็นน้ำมันที่มีสัดส่วนไขมันโอเมก้า 3 สูงมาก เทียบกับน้ำมันมะกอกซึ่งมีสัดส่วนโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 เท่ากับ 20:1 เรียกว่าน้ำมันมัสตาร์ดมีโอเมก้า 3 สูงกว่ามากหลายเท่า

     กล่าวโดยสรุป คุณอยากเอาน้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือแทนน้ำมันคาโนล่าหรือแทนน้ำมันเรพซีดก็เชิญเลยครับ เพราะมันมีคุณสมบัติเป็นน้ำมันทำอาหารที่ดีเกือบจะเหมือนกัน (ถ้าคุณทนกลิ่นของมันได้ ฮี่..ฮี่)

     ปล. ย้ำคำแนะนำของหมอสันต์อีกครั้ง ว่าในการทำอาหาร ไม่ใช้น้ำมันทำอาหารเลยดีที่สุด ถ้าจำเป็นต้องใช้ให้ใช้ในปริมาณน้อย ให้น้ำมันโดนความร้อนต่ำๆ ให้โดนความร้อนเป็นเวลาสั้นๆ และให้ใช้น้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เพราะมันเป็นน้ำมันไม่ก่อโรค มีความเสถียรและทนความร้อนได้ดีพอควร

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Mishra S, Manchanda SC. Cooking oils for heart health. J. Preventive Cardiology 2012; 1 (3): 123-133.

[อ่านต่อ...]

จะใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนล่าได้ไหม

บรูเช็ตต้า ทำจากมันเทศม่วง แหมะบนขนมปังงา
(ขออำไพขนมปังมีรอยหนูแทะ)

     จะใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนล่าได้ไหม 

...................................................

ตอบครับ

     ถามว่าจะใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนล่าได้ไหม หมอสันต์ตอบว่า..ได้สิครับ ตำรวจไม่จับหรอก

     อ้าว ทำไมตอบอย่างนั้นละ ก็ในยุโรปและอเมริกาเขาห้ามใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารไม่ใช่หรือ เพราะ อย.สหรัฐ (FDA) มีกฎให้ติดฉลากน้ำมันมัสตาร์ดว่าใช้ทาภายนอกเท่านั้น แปลว่าห้ามกิน แต่นี่หมอสันต์จะให้กิน..ได้ไง

     ฮี่ ฮี่ เรื่องมันยาวนะ คือมาจะกล่าวบทไป นานจนจำไม่ได้มาแล้ว ได้มีผู้นำกรดอีรูซิค (erucic acid) ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวชนิดหนึ่งที่ประกอบเป็น 40% ของน้ำมันมัสตาร์ด เอาไปทดลองกรอกปากหนูทุกวันๆ แล้วก็พบว่าหนูเจ้ากรรมเหล่านั้นมีไตรกลีเซอไรด์สูงและมีไขมันแทรกเข้าไปในเนื้อหัวใจ จึงสรุปว่าน้ำมันมัสตาร์ดเป็นอันตรายต่อหัวใจ ดังนั้นห้ามคนกิน..จบข่าว

     "แล้วทำไมหมอสันต์ยืนยันว่าใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารได้"

     เพราะหนูก็คือหนู คนก็คือคน ไม่เกี่ยวกัน งานวิจัยเอากรดอีรูซิคกรอกปากหนูแล้วมีไขมันแทรกในหัวใจหนู จะมาเหมาว่าหากให้คนกินกรดอีรูซิคก็จะเกิดไขมันแทรกในหัวใจคน การสรุปอย่างนี้มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่เป็นตะแบงศาสตร์ มีความผิดพลาดที่เกิดจากการสรุปแบบนี้นับครั้งไม่ถ้วนในประวัติของวงการแพทย์ การเอาขัณฑสกรกรอกปากหนูแล้วสรุปว่าขัณฑสกรเป็นสารก่อมะเร็งนั่นก็เป็นความผิดพลาดตัวอย่างหนึ่ง 

     ในกรณีของน้ำมันมัสตาร์ดนี้ ต่อมาก็มีงานวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่าร่างกายของหนูต่างจากร่างกายคนตรงที่ร่างกายหนูไม่สามารถเปลี่ยนกรดอีรูซิคเป็นอีรูซิลโคเอ (erucyl-CoA) ทำให้เอ็นไซม์ย่อยไตรกลีเซอไรด์ของหนูทำงานได้ไม่ดีจนทำให้ไขมันสะสมในหัวใจหนูได้ ซึ่งปัญหาแบบนี้ไม่มีในคน และที่สำคัญก็คือไม่เคยมีหลักฐานระดับแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบในคนแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะบ่งชี้ว่าน้ำมันมัสตาร์ดทำให้เกิดโรคใดๆในคนรวมทั้งโรคไขมันแทรกกล้ามเนื้อหัวใจก็ไม่มี อีกอย่างหนึ่งหากมองดูหลักฐานเชิงระบาดวิทยา คนบางชาติพันธ์เช่นอินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ เขาเอาน้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารกินกันทุกวันโครมๆไม่เห็นว่าเขาจะมีไขมันเข้าไปแทรกในหัวใจกันมากกว่าคนชาติอื่นเลย แต่คำสั่งห้ามใช้น้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารที่อย.สหรัฐฯออกไปแล้วนั้นจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครไปเปลี่ยน เพราะอะไรอย่าให้ผมเซดเลย เพราะเซดแล้วมันปวดเฮด

     คราวนี้ลองมามองเจาะลึกคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของน้ำมันมัสตาร์ดแบบถอยกลับมาตั้งต้นที่สนามหลวงก่อนนะ ในภาพใหญ่ น้ำมันที่ดีต่อสุขภาพควรมีคุณสมบัติต่อไปนี้คือ

     1. มีไขมันอิ่มตัวน้อยที่สุด เพราะเป็นไขมันก่อโรค

     2. มีไขมันไม่อิ่มตัวมาก โดยเฉพาะไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดียว เพราะเป็นไขมันไม่ก่อโรค

     3. ถ้าจะใช้ผัดทอดอาหาร ต้องมีจุดไหม้สูง

     4. (ข้อนี้ยังมีความเห็นแย้งกันอยู่บ้าง) ในบรรดาไขมันไม่อิ่มตัวที่มี ควรมีสัดส่วนไขมันโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 ต่างกันไม่มาก 

     ซึ่งหากพิจารณาทั้งสี่มุมนี้ น้ำมันมัสตาร์ดดีเลิศประเสริฐศรีครบถ้วนทั้งสี่มุม กล่าวคือ

    1. มีไขมันอิ่มตัวน้อย (8%) 

     2. มีไขมันไม่อิ่มตัวมาก คือมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 70% ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 22% 

     3. มีจุดไหม้สูง (250 องศาเซลเซียส สูงกว่าน้ำมันมะพร้าว (177 องศา) สูงกว่าน้ำมันหมู (188 องศา)

     4. มีสัดส่วนไขมันโอเมก้า 3 สูง กล่าวคือสัดส่วนไขมันโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 เท่ากับ 1.2 : 1 จัดเป็นน้ำมันที่มีสัดส่วนไขมันโอเมก้า 3 สูงมาก เทียบกับน้ำมันมะกอกซึ่งมีสัดส่วนโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 เท่ากับ 20:1 เรียกว่าน้ำมันมัสตาร์ดมีโอเมก้า 3 สูงกว่ามากหลายเท่า

     กล่าวโดยสรุป คุณอยากเอาน้ำมันมัสตาร์ดทำอาหารแทนน้ำมันมะกอกหรือแทนน้ำมันคาโนล่าหรือแทนน้ำมันเรพซีดก็เชิญเลยครับ เพราะมันมีคุณสมบัติเป็นน้ำมันทำอาหารที่ดีเกือบจะเหมือนกัน (ถ้าคุณทนกลิ่นของมันได้ ฮี่..ฮี่)

     ปล. ย้ำคำแนะนำของหมอสันต์อีกครั้ง ว่าในการทำอาหาร ไม่ใช้น้ำมันทำอาหารเลยดีที่สุด ถ้าจำเป็นต้องใช้ให้ใช้ในปริมาณน้อย ให้น้ำมันโดนความร้อนต่ำๆ ให้โดนความร้อนเป็นเวลาสั้นๆ และให้ใช้น้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เพราะมันเป็นน้ำมันไม่ก่อโรค มีความเสถียรและทนความร้อนได้ดีพอควร

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Mishra S, Manchanda SC. Cooking oils for heart health. J. Preventive Cardiology 2012; 1 (3): 123-133.

[อ่านต่อ...]

20 ธันวาคม 2563

คำถามจากชาวมังสวิรัติ เรื่องการทำอาหารไทยเพื่อสุขภาพ

ทำ

แอบถ่ายหน้าต่างครัวหมอสมวงศ์

คำถาม 1.

น้ำมันมะพร้าวเทียบกับน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าวยังดีกว่าใช่หรือไม่

ตอบ

อะไรดีกว่าอะไรต้องขึ้นอยู่ก้บว่าเราพูดถึงประเด็นไหนของน้ำมัน เพราะเมื่อพูดถึงน้ำมันในฐานะอาหาร เราพูดถึงในสี่ประเด็น คือ (1) การให้แคลอรี่หรือการทำให้อ้วน (2) การทนความร้อน (3) การก่อโรคหลอดเลือด (4) การกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัวผ่านการระงับการสร้างไนตริกออกไซด์ที่เยื่อบุด้านในหลอดเลือด

     ในประเด็นที่ 1. คือการทำให้อ้วน น้ำมันปาลม์และน้ำมันมะพร้าวให้ 9 แคลอรีต่อกรัมเท่ากัน จึงทำให้อ้วนได้เท่ากัน สรุปว่าประเด็นนี้ น้ำมันมะพร้าวแย่พอๆกับน้ำมันปาลม์

     ในประเด็นที่ 2. คือการทนความร้อน น้ำมันปาล์มมีจุดไหม้ (smoke point) 165 องศาเซลเซียส ส่วนน้ำมันมะพร้าว (หีบเย็น) มีจุดไหม้ 177 องศาเซลเซียส ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวทนความร้อนได้ดีกว่าน้ำมันปาล์มเล็กน้อย การทนความร้อนได้ดีกว่าหมายถึงเกิดการไหม้ซึ่งจะก่อโมเลกุลที่เป็นอนุมูลอิสระที่ไม่ดีต่อร่างกายได้น้อยกว่า สรุปว่าประเด็นนี้น้ำมันมะพร้าวดีกว่าน้ำมันปาล์มเล็กน้อย

     ในประเด็นที่ 3. คือการก่อโรคหลอดเลือด ทั้งน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวถูกวงการแพทย์ “เหมาเข่ง” เป็นไขมันอิ่มตัวซึ่งถือว่าเป็นไขมันก่อโรคหลอดเลือด แต่ว่าหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างไขมันอิ่มตัวกับการเป็นโรคนั้นทำวิจัยกับอาหารไขมันจากวัว (เนยและนม) เสียเป็นส่วนใหญ่ นับถึงวันนี้ยังไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะชี้ชัดได้ว่าน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวก่อโรคได้เท่าเนยและนมหรือไม่ และระหว่างน้ำมันปาล์มกับน้ำมันมะพร้าวอย่างไหนก่อโรคมากกว่ากัน ไม่มีหลักฐานวิจัยใดๆที่จะตอบคำถามนี้ได้เลยครับ สรุปว่าประเด็นนี้ไม่รู้คำตอบ

     ในประเด็นที่ 4. คือการกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว ผ่านการระงับการสร้างไนตริกออกไซด์ที่เยื่อบุด้านในหลอดเลือดซึ่งเป็นผลเสียต่อการทำงานของหลอดเลือดนั้น มีแต่งานวิจัยเปรียบเทียบเนย (จากวัว) น้ำมันปาลม์ และน้ำมันถั่วเหลือง ว่าทำให้หลอดเลือดหดตัวเหมือนกันหมด แต่ไม่เคยมีงานวิจัยเปรียบเทียบน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันปาล์มว่าทำให้หลอดเลือดของคนตัวหดมากต่างกันหรือไม่ สรุปว่าประเด็นนี้ยังไม่รู้คำตอบ

คำถาม 2. 

อาจารย์แนะนำให้ใช้น้ำมันมะกอกทำอาหาร แต่ว่ามันมีราคาแพงเกินไป จะไหวหรือ

ตอบ

ผมแนะนำว่า

“ไม่ใช้น้ำมันทำอาหารดีที่สุด ใช้น้ำผัดแทน หรือใช้ลมร้อนทอดแทน หากจำเป็นต้องใช้น้ำมันก็ให้ใช้ในปริมาณที่น้อยที่สุด และให้ใช้ที่ความร้อนต่ำที่สุด และให้น้ำมันถูกความร้อนเป็นระยะเวลาสั้นที่สุด โดยน้ำมันที่แนะนำให้ใช้คือน้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันเรพซีด น้ำมันแคโนลา ด้วยเหตุผลว่าเป็นน้ำมันที่ไม่ก่อโรค และทนความร้อนได้พอสมควร” 

     ย้ำ..ผมแนะนำว่าไม่ควรใช้น้ำมันทำอาหารนะ ไม่ใช้เลยก็ไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว ถูกหรือแพงจึงไม่ใช่ประเด็น

คำถาม 3.  

น้ำมันยังจำเป็นต้องใช้อยู่ไม่ใช่หรือ เพราะจะได้นำวิตามินบางอย่างที่ละลายในน้ำมัน(เอ ดี อี เค)เข้าสู่ร่างกายได้ อย่างสลัด ก็ต้องมีน้ำมันเป็นน้ำสลัด

ตอบ

การทำสลัดให้มีไขมันอยู่ในนั้นทำได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมันราด ก็คือใส่อาหารไขมันสูงตามธรรมชาติเช่น ถั่วต่างๆ งา นัท อะโวกาโด ปนเข้าไปในสลัด อยากได้ไขมันแยะก็ใส่ถั่ว งา นัท อะโวกาโด ในสลัดแยะๆ ก็จะมีไขมันเหลือเฟือที่จะพาวิตามิน เอ. ดี. อี. เค. ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย

นอกจากนี้ร่างกายยังมีกลไกการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันอีกกลไกหนึ่งนะ คืออาศัยน้ำดี เพราะในมื้ออาหารน้ำดีจะออกมาปนกับอาหารที่ลำไส้ส่วนต้น แล้วกลับเข้ากระแสเลือดที่ลำไส้ส่วนปลาย โดยพาวิตามินที่ละลายในไขมันเข้าสู่กระแสเลือดด้วย

คำถาม 4. 

ไม่ใช้น้ำมันทำให้อาหารแห้ง ไม่น่ากิน ไม่อร่อย

ตอบ

อาหารที่ครัวปราณาก็ไม่ใช้น้ำมันเลยนะ แต่ก็ไม่ถึงกับแห้งแล้ง และก็มีคนชมว่าอร่อย การทำอาหารให้ฉ่ำก็เหมือนการหุงข้าวให้นุ่ม ต้องอาศัยน้ำ และจังหวะเวลาที่พอดี อุณหภูมิที่พอดีให้อาหารสุกขณะที่ยังดูดีโดยไม่ทันแห้งเกินไป และการกะเวลาเสิร์ฟให้พอดีปรุงเสร็จใหม่ๆขณะที่อาหารยังสดและนุ่มอยู่

คำถาม 5. 

กะทิกล่อง มีฟอร์มาลดีไฮด์หรือไม่ กะทิกล่องเติมไขมันทรานส์หรือไม่

ตอบ

ก่อนตอบขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับอุตสาหกรรมกะทิกล่องนะครับ ข้อมูลทุกอย่างผมเอามาจากฉลากและงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เราอยากรู้ว่าอาหารสำเร็จรูปใส่อะไรลงไปบ้างก็อ่านฉลากเอาได้เลยครับ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะมีฉลากไว้ทำไม แล้วฉลากไม่มีโกหก เพราะมีกฎหมายและมีอย.ควบคุม

ประเด็นแรก กะทิกล่องไม่มีฟอร์มาลดีไฮด์แน่นอน เพราะมันไม่ใช่ของที่อย.อนุญาตให้ใส่เข้าไปในอาหาร ความจริงสิ่งที่คนมักจะระแวงกับอาหารสำเร็จรูปก็คือสารในกลุ่มที่เรียกว่า preservatives หรือสารกันบูดซึ่งคนมักไม่ชอบ แต่กระบวนการทำกระทิกล่องเป็นการทำแบบลดปริมาณแบคทีเรียด้วยการเพิ่มลดอุณหภูมิแล้วบรรจุในกล่องเตตราแพ็คแบบเดียวกับทำนมสดพร้อมดื่มยูเอ็ชที. จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้สารกันบูด เพราะสารกันบูดก็คือสารฆ่าแบคทีเรียนั่นแหละ

ประเด็นที่สอง การใส่ไขมันทรานส์เข้าไปในกะทิกล่องก็ไม่มีครับ เพราะไขมันทรานส์เป็นสิ่งที่อย.ห้ามใส่เข้าไปในอาหาร ยกเว้นไขมันทรานส์ที่ปรากฎในอาหารอยู่แล้วตามธรรมชาติของอาหารชนิดนั้นซึ่งมีเป็นปริมาณต่ำมาก ไม่มีผลต่อสุขภาพ และเป็นสิ่งที่ยอมรับกันทั่วไป

คำถาม 6. 

การหาอะไรมาทดแทนน้ำตาลทราย  น้ำตาลมะพร้าวน้ำตาลโตนดใช้แทนได้ไหม? ใช้มากๆจะต่างกับน้ำตาลทรายไหม? ใช้ผลไม้ท้องถิ่นแทนอินทผาลัมได้ไหม?

ตอบ

ประเด็นที่ 1. อะไรจะแทนน้ำตาลทรายได้โดยหวานใกล้เคียงกันแต่มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือผลไม้ทั้งผล ทุกชนิด ขอให้มีรสหวาน ไม่จำกัดว่าต้องเป็นอินทผลัม เพราะผลไม้ทุกชนิดทำให้ได้คุณค่าอื่นๆเช่นวิตามินเกลือแร่และกากด้วย ส่วนตัวเลือกอื่นๆเช่นน้ำตาลโตนดและน้ำตาลมะพร้าวนั้นมีปริมาณกากไวตามินและแร่ธาตุที่ค่อนข้างต่ำ ย่อมจะไม่ดีเท่าผลไม้

ประเด็นที่ 2. ซึ่งท่านไม่ได้ถาม คือทำอย่างไรจะทำให้ลูกค้าของเราเลิกติดรสหวาน เพราะอย่าลืมว่าอาหารก็เป็นยาเสพย์ติดชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรสหวานและรสมัน การเปลี่ยนแปลงอาหารเพื่อสุขภาพจะไม่สำเร็จหากไม่ยอม “ลงแดง” จากการเลิกเสพย์ของที่เคยติด การลงแดงนี้เกิดในเวลาไม่กี่สัปดาห์ก็หาย หลังจากนั้นการยอมรับอาหารดีๆใหม่ๆ จะง่ายมาก ตรงนี้เป็นการบ้านที่สำคัญกว่าการหาอะไรมาแทนน้ำตาล

คำถาม 7. 

น้ำผักปั่นที่ใส่แต่ผักกับที่ใส่ผลไม้ด้วย มีความแตกต่างกันหรือไม่

ตอบ

เป้าหมายของการปั่นก็คือการเปลี่ยนอาหารที่ต้องการรับประทานให้มาอยู่ในรูปที่รับประทานได้ง่ายหรือสะดวกขึ้น ดังนั้นอยากรับประทานอะไรก็เอาสิ่งนั้นมาปั่น ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือจะพูดแบบแม่ครัวก็ได้ว่ามีอะไรเหลือๆอยู่ในครัวก็เอามาปั่น ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนกว่านั้น

ที่ครัวปราณามีอาหารปั่นสามแบบ คือ

(1) น้ำผลไม้ปั่นไม่ทิ้งกาก เป้าหมายคือเอามาแทนเครื่องดื่มซอฟท์ดริ๊งค์

(2) เครื่องดื่ม trace element ซึ่งได้จากการปั่นผักกินได้หลายสิบชนิดแบบไม่ทิ้งกาก อย่างละนิดอย่างละหน่อย เป้าหมายเพื่อให้ได้แร่ธาตุรอง (trace element) ที่ไม่เคยได้จากอาหารประจำวัน

(3) อาหารกลืนง่ายสำหรับคนป่วย เป็นการปั่นอาหารทุกชนิดรวมทั้งอาหารปกติเช่น ก๋วยเตี๋ยว ผัดกระเพราะราดข้าว ให้อยู่ในสภาพของเหลว แล้วผสมแป้งช่วยกลืน เป้าหมายเพื่อให้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่สำลักอาหารง่าย เช่นผู้ป่วยหลังการฉายแสงหรือเคมีบำบัด หรือหลังเป็นอัมพาต เป็นต้น

คำถาม 8.

มีความกังวลเรื่องของการขาดโปรตีน กินถั่วน้อยมีโอกาสขาดโปรตีนไหม เคยมีคนแก่ไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วหมอบอกว่าขาดโปรตีนอย่างรุนแรง

ตอบ

การกินอาหารพืชธรรมชาติที่หลากหลายและได้รับแคลอรีพอเพียงจะไม่มีการขาดโปรตีน อันนี้เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัด ประเด็นสำคัญคือต้องได้แคลอรีเพียงพอก่อนนะ โปรตีนถึงจะไม่ขาด หากได้แคลอรีไม่เพียงพอ โปรตีนที่มีอยู่ในร่างกายจะถูกเอามาเผาผลาญเพื่อสร้างพลังงาน กรณีเช่นนั้นจะเป็นโรคที่เรียกว่า protein – calorie malnutrition บางทีก็เรียกว่าโรค marasmus อาจจะแปลเป็นภาษาบ้านๆว่าโรคขาดอาหาร แต่บางทีหมอก็เรียกเอาง่ายๆว่าโรคขาดโปรตีน ซึ่งเป็นคำเรียกที่สั้นไปหน่อย เพราะรากของปัญหาของโรคนี้คือการขาดแคลอรีก่อน พูดง่ายๆว่ากินน้อยเกินไป โรคนี้มักเป็นกับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฟันไม่ดี หรือมีภาวะซึมเศร้า หรือมีเหตุให้เสาะหาอาหารมากินเองได้ยาก หรือป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่ร่างกายมีการเผาผลาญแคลอรีสูง

ส่วนโรคที่ขาดโปรตีนแบบของจริงคือขาดโปรตีนทั้งๆที่ร่างกายได้รับแคลอรีเพียงพอนั้นเรียกว่าโรค kwashiorkor เป็นโรคที่มีสาเหตุจากการได้กินแคลอรีมากพอแต่กินโปรตีนไม่พอ มักเป็นกับเด็กที่หย่านมแม่เร็วเกินไปแล้วได้กินแต่อาหารคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างเดียวซ้ำซากไม่หลากหลาย เช่นกินแต่ข้าวโพดบดซ้ำซากๆทุกวัน และตัวเด็กก็ยังไม่โตพอที่จะไปหาอาหารที่หลากหลายตามธรรมชาติกินเองได้ ทำให้ร่างกายขาดโปรตีน มีอาการบวมตามตัวและไขมันแทรกเข้าไปในเนื้อตับ โรคนี้ยังมีอยู่ในประเทศที่ยากจนข้นแค้นหรือทำสงครามกลางเมืองกันไม่รู้จักเลิกเช่นในอัฟริกา ในเมืองไทยเดี๋ยวนี้โรคนี้ไม่มีแล้ว ผมรับประกัน ใครพบเห็นโรคนี้ที่จังหวัดไหนของเมืองไทยช่วยบอกผมเอาบุญด้วยผมจะพาสื่อมวลชนไปทำข่าวเพราะเป็นข่าวใหญ่

ถามว่ากินอาหารแบบมังสวิรัติแล้วกินถั่วกินงาน้อยจะขาดโปรตีนได้ไหม ตอบว่าหลักฐานคนตัวเป็นๆยังไม่มีให้เห็น แต่ว่าก็อาจเป็นไปได้นะครับ เพราะเป็นการกินอาหารแบบกินแต่พืชแต่ว่ากินพืชไม่หลากหลายย่อมจะขาดโปรตีนได้ การเป็นมังสวิรัตหากจะไม่ให้ขาดโปรตีนต้องกินอาหารพืชที่หลากหลาย คือกินทั้งผัก ผลไม้ ถั่ว งา นัท กินให้หมดไม่มีเว้น และประเด็นสำคัญคือต้องกินให้อิ่ม อิ่มหมายความว่าได้แคลอรีพอ ถ้าได้แคลอรีไม่พอร่างกายก็จะไปเอาโปรตีนมาทำเป็นแคลอรี กล้ามเนื้อก็จะหดหายและร่างกายจะผอมลงๆ ย้ำว่าปัญหาแบบนี้ให้แก้ด้วยการกินให้อิ่ม กินให้ได้แคลอรีเพียงพอ และกินพืชให้หลากหลาย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

คำถามจากชาวมังสวิรัติ เรื่องการทำอาหารไทยเพื่อสุขภาพ

แอบถ่ายหน้าต่างครัวหมอสมวงศ์

คำถาม 1.

     น้ำมันมะพร้าวเทียบกับน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าวยังดีกว่าใช่หรือไม่ 

ตอบ

     อะไรดีกว่าอะไรต้องขึ้นอยู่ก้บว่าเราพูดถึงประเด็นไหนของน้ำมัน เพราะเมื่อพูดถึงน้ำมันในฐานะอาหาร เราพูดถึงในสี่ประเด็น คือ (1) การให้แคลอรี่หรือการทำให้อ้วน (2) การทนความร้อน (3) การก่อโรคหลอดเลือด (4) การกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัวผ่านการระงับการสร้างไนตริกออกไซด์ที่เยื่อบุด้านในหลอดเลือด

     ในประเด็นที่ 1. คือการทำให้อ้วน น้ำมันปาลม์และน้ำมันมะพร้าวให้ 9 แคลอรีต่อกรัมเท่ากัน จึงทำให้อ้วนได้เท่ากัน สรุปว่าประเด็นนี้ น้ำมันมะพร้าวแย่พอๆกับน้ำมันปาลม์

     ในประเด็นที่ 2. คือการทนความร้อน น้ำมันปาล์มมีจุดไหม้ (smoke point) 165 องศาเซลเซียส ส่วนน้ำมันมะพร้าว (หีบเย็น) มีจุดไหม้ 177 องศาเซลเซียส ดังนั้นน้ำมันมะพร้าวทนความร้อนได้ดีกว่าน้ำมันปาล์มเล็กน้อย การทนความร้อนได้ดีกว่าหมายถึงเกิดการไหม้ซึ่งจะก่อโมเลกุลที่เป็นอนุมูลอิสระที่ไม่ดีต่อร่างกายได้น้อยกว่า สรุปว่าประเด็นนี้น้ำมันมะพร้าวดีกว่าน้ำมันปาล์มเล็กน้อย

     ในประเด็นที่ 3. คือการก่อโรคหลอดเลือด ทั้งน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวถูกวงการแพทย์ "เหมาเข่ง" เป็นไขมันอิ่มตัวซึ่งถือว่าเป็นไขมันก่อโรคหลอดเลือด แต่ว่าหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างไขมันอิ่มตัวกับการเป็นโรคนั้นทำวิจัยกับอาหารไขมันจากวัว (เนยและนม) เสียเป็นส่วนใหญ่ นับถึงวันนี้ยังไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะชี้ชัดได้ว่าน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าวก่อโรคได้เท่าเนยและนมหรือไม่ และระหว่างน้ำมันปาล์มกับน้ำมันมะพร้าวอย่างไหนก่อโรคมากกว่ากัน ไม่มีหลักฐานวิจัยใดๆที่จะตอบคำถามนี้ได้เลยครับ สรุปว่าประเด็นนี้ไม่รู้คำตอบ

     ในประเด็นที่ 4. คือการกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว ผ่านการระงับการสร้างไนตริกออกไซด์ที่เยื่อบุด้านในหลอดเลือดซึ่งเป็นผลเสียต่อการทำงานของหลอดเลือดนั้น มีแต่งานวิจัยเปรียบเทียบเนย (จากวัว) น้ำมันปาลม์ และน้ำมันถั่วเหลือง ว่าทำให้หลอดเลือดหดตัวเหมือนกันหมด แต่ไม่เคยมีงานวิจัยเปรียบเทียบน้ำมันมะพร้าวกับน้ำมันปาล์มว่าทำให้หลอดเลือดของคนตัวหดมากต่างกันหรือไม่ สรุปว่าประเด็นนี้ยังไม่รู้คำตอบ

คำถาม 2. 

     อาจารย์แนะนำให้ใช้น้ำมันมะกอกทำอาหาร แต่ว่ามันมีราคาแพงเกินไป จะไหวหรือ

ตอบ

    ผมแนะนำว่า 

     "ไม่ใช้น้ำมันทำอาหารดีที่สุด ใช้น้ำผัดแทน หรือใช้ลมร้อนทอดแทน หากจำเป็นต้องใช้น้ำมันก็ให้ใช้ในปริมาณที่น้อยที่สุด และให้ใช้ที่ความร้อนต่ำที่สุด และให้น้ำมันถูกความร้อนเป็นระยะเวลาสั้นที่สุด โดยน้ำมันที่แนะนำให้ใช้คือน้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันเรพซีด น้ำมันแคโนลา ด้วยเหตุผลว่าเป็นน้ำมันที่ไม่ก่อโรค และทนความร้อนได้พอสมควร" 

     ย้ำ..ผมแนะนำว่าไม่ควรใช้น้ำมันทำอาหารนะ ไม่ใช้เลยก็ไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว ถูกหรือแพงจึงไม่ใช่ประเด็น

คำถาม 3.  

     น้ำมันยังจำเป็นต้องใช้อยู่ไม่ใช่หรือ เพราะจะได้นำวิตามินบางอย่างที่ละลายในน้ำมัน(เอ ดี อี เค)เข้าสู่ร่างกายได้ อย่างสลัด ก็ต้องมีน้ำมันเป็นน้ำสลัด

ตอบ

     การทำสลัดให้มีไขมันอยู่ในนั้นทำได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมันราด ก็คือใส่อาหารไขมันสูงตามธรรมชาติเช่น ถั่วต่างๆ งา นัท อะโวกาโด ปนเข้าไปในสลัด อยากได้ไขมันแยะก็ใส่ถั่ว งา นัท อะโวกาโด ในสลัดแยะๆ ก็จะมีไขมันเหลือเฟือที่จะพาวิตามิน เอ. ดี. อี. เค. ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย 

     นอกจากนี้ร่างกายยังมีกลไกการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมันอีกกลไกหนึ่งนะ คืออาศัยน้ำดี เพราะในมื้ออาหารน้ำดีจะออกมาปนกับอาหารที่ลำไส้ส่วนต้น แล้วกลับเข้ากระแสเลือดที่ลำไส้ส่วนปลาย โดยพาวิตามินที่ละลายในไขมันเข้าสู่กระแสเลือดด้วย 

คำถาม 4. 

     ไม่ใช้น้ำมันทำให้อาหารแห้ง ไม่น่ากิน ไม่อร่อย

ตอบ

     อาหารที่ครัวปราณาก็ไม่ใช้น้ำมันเลยนะ แต่ก็ไม่ถึงกับแห้งแล้ง และก็มีคนชมว่าอร่อย การทำอาหารให้ฉ่ำก็เหมือนการหุงข้าวให้นุ่ม ต้องอาศัยน้ำ และจังหวะเวลาที่พอดี อุณหภูมิที่พอดีให้อาหารสุกขณะที่ยังดูดีโดยไม่ทันแห้งเกินไป และการกะเวลาเสิร์ฟให้พอดีปรุงเสร็จใหม่ๆขณะที่อาหารยังสดและนุ่มอยู่  

คำถาม 5. 

     กะทิกล่อง มีฟอร์มาลดีไฮด์หรือไม่ กะทิกล่องเติมไขมันทรานส์หรือไม่

ตอบ

     ก่อนตอบขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับอุตสาหกรรมกะทิกล่องนะครับ ข้อมูลทุกอย่างผมเอามาจากฉลากและงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เราอยากรู้ว่าอาหารสำเร็จรูปใส่อะไรลงไปบ้างก็อ่านฉลากเอาได้เลยครับ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะมีฉลากไว้ทำไม แล้วฉลากไม่มีโกหก เพราะมีกฎหมายและมีอย.ควบคุม 

     ประเด็นแรก กะทิกล่องไม่มีฟอร์มาลดีไฮด์แน่นอน เพราะมันไม่ใช่ของที่อย.อนุญาตให้ใส่เข้าไปในอาหาร ความจริงสิ่งที่คนมักจะระแวงกับอาหารสำเร็จรูปก็คือสารในกลุ่มที่เรียกว่า preservatives หรือสารกันบูดซึ่งคนมักไม่ชอบ แต่กระบวนการทำกระทิกล่องเป็นการทำแบบลดปริมาณแบคทีเรียด้วยการเพิ่มลดอุณหภูมิแล้วบรรจุในกล่องเตตราแพ็คแบบเดียวกับทำนมสดพร้อมดื่มยูเอ็ชที. จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้สารกันบูด เพราะสารกันบูดก็คือสารฆ่าแบคทีเรียนั่นแหละ

     ประเด็นที่สอง การใส่ไขมันทรานส์เข้าไปในกะทิกล่องก็ไม่มีครับ เพราะไขมันทรานส์เป็นสิ่งที่อย.ห้ามใส่เข้าไปในอาหาร ยกเว้นไขมันทรานส์ที่ปรากฎในอาหารอยู่แล้วตามธรรมชาติของอาหารชนิดนั้นซึ่งมีเป็นปริมาณต่ำมาก ไม่มีผลต่อสุขภาพ และเป็นสิ่งที่ยอมรับกันทั่วไป     

คำถาม 6. 

     การหาอะไรมาทดแทนน้ำตาลทราย  น้ำตาลมะพร้าวน้ำตาลโตนดใช้แทนได้ไหม? ใช้มากๆจะต่างกับน้ำตาลทรายไหม? ใช้ผลไม้ท้องถิ่นแทนอินทผาลัมได้ไหม?

ตอบ

     ประเด็นที่ 1. อะไรจะแทนน้ำตาลทรายได้โดยหวานใกล้เคียงกันแต่มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือผลไม้ทั้งผล ทุกชนิด ขอให้มีรสหวาน ไม่จำกัดว่าต้องเป็นอินทผลัม เพราะผลไม้ทุกชนิดทำให้ได้คุณค่าอื่นๆเช่นวิตามินเกลือแร่และกากด้วย ส่วนตัวเลือกอื่นๆเช่นน้ำตาลโตนดและน้ำตาลมะพร้าวนั้นมีปริมาณกากไวตามินและแร่ธาตุที่ค่อนข้างต่ำ ย่อมจะไม่ดีเท่าผลไม้

     ประเด็นที่ 2. ซึ่งท่านไม่ได้ถาม คือทำอย่างไรจะทำให้ลูกค้าของเราเลิกติดรสหวาน เพราะอย่าลืมว่าอาหารก็เป็นยาเสพย์ติดชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรสหวานและรสมัน การเปลี่ยนแปลงอาหารเพื่อสุขภาพจะไม่สำเร็จหากไม่ยอม "ลงแดง" จากการเลิกเสพย์ของที่เคยติด การลงแดงนี้เกิดในเวลาไม่กี่สัปดาห์ก็หาย หลังจากนั้นการยอมรับอาหารดีๆใหม่ๆ จะง่ายมาก ตรงนี้เป็นการบ้านที่สำคัญกว่าการหาอะไรมาแทนน้ำตาล

คำถาม 7. 

     น้ำผักปั่นที่ใส่แต่ผักกับที่ใส่ผลไม้ด้วย มีความแตกต่างกันหรือไม่ 

ตอบ

     เป้าหมายของการปั่นก็คือการเปลี่ยนอาหารที่ต้องการรับประทานให้มาอยู่ในรูปที่รับประทานได้ง่ายหรือสะดวกขึ้น ดังนั้นอยากรับประทานอะไรก็เอาสิ่งนั้นมาปั่น ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือจะพูดแบบแม่ครัวก็ได้ว่ามีอะไรเหลือๆอยู่ในครัวก็เอามาปั่น ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนกว่านั้น

     ที่ครัวปราณามีอาหารปั่นสามแบบ คือ 

     (1) น้ำผลไม้ปั่นไม่ทิ้งกาก เป้าหมายคือเอามาแทนเครื่องดื่มซอฟท์ดริ๊งค์

     (2) เครื่องดื่ม trace element ซึ่งได้จากการปั่นผักกินได้หลายสิบชนิดแบบไม่ทิ้งกาก อย่างละนิดอย่างละหน่อย เป้าหมายเพื่อให้ได้แร่ธาตุรอง (trace element) ที่ไม่เคยได้จากอาหารประจำวัน 

     (3) อาหารกลืนง่ายสำหรับคนป่วย เป็นการปั่นอาหารทุกชนิดรวมทั้งอาหารปกติเช่น ก๋วยเตี๋ยว ผัดกระเพราะราดข้าว ให้อยู่ในสภาพของเหลว แล้วผสมแป้งช่วยกลืน เป้าหมายเพื่อให้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่สำลักอาหารง่าย เช่นผู้ป่วยหลังการฉายแสงหรือเคมีบำบัด หรือหลังเป็นอัมพาต เป็นต้น

คำถาม 8.

     มีความกังวลเรื่องของการขาดโปรตีน กินถั่วน้อยมีโอกาสขาดโปรตีนไหม เคยมีคนแก่ไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วหมอบอกว่าขาดโปรตีนอย่างรุนแรง 

ตอบ

     การกินอาหารพืชธรรมชาติที่หลากหลายและได้รับแคลอรีพอเพียงจะไม่มีการขาดโปรตีน อันนี้เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัด ประเด็นสำคัญคือต้องได้แคลอรีเพียงพอก่อนนะ โปรตีนถึงจะไม่ขาด หากได้แคลอรีไม่เพียงพอ โปรตีนที่มีอยู่ในร่างกายจะถูกเอามาเผาผลาญเพื่อสร้างพลังงาน กรณีเช่นนั้นจะเป็นโรคที่เรียกว่า protein - calorie malnutrition บางทีก็เรียกว่าโรค marasmus อาจจะแปลเป็นภาษาบ้านๆว่าโรคขาดอาหาร แต่บางทีหมอก็เรียกเอาง่ายๆว่าโรคขาดโปรตีน ซึ่งเป็นคำเรียกที่สั้นไปหน่อย เพราะรากของปัญหาของโรคนี้คือการขาดแคลอรีก่อน พูดง่ายๆว่ากินน้อยเกินไป โรคนี้มักเป็นกับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฟันไม่ดี หรือมีภาวะซึมเศร้า หรือมีเหตุให้เสาะหาอาหารมากินเองได้ยาก หรือป่วยเป็นโรคเรื้อรังที่ร่างกายมีการเผาผลาญแคลอรีสูง

     ส่วนโรคที่ขาดโปรตีนแบบของจริงคือขาดโปรตีนทั้งๆที่ร่างกายได้รับแคลอรีเพียงพอนั้นเรียกว่าโรค kwashiorkor เป็นโรคที่มีสาเหตุจากการได้กินแคลอรีมากพอแต่กินโปรตีนไม่พอ มักเป็นกับเด็กที่หย่านมแม่เร็วเกินไปแล้วได้กินแต่อาหารคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างเดียวซ้ำซากไม่หลากหลาย เช่นกินแต่ข้าวโพดบดซ้ำซากๆทุกวัน และตัวเด็กก็ยังไม่โตพอที่จะไปหาอาหารที่หลากหลายตามธรรมชาติกินเองได้ ทำให้ร่างกายขาดโปรตีน มีอาการบวมตามตัวและไขมันแทรกเข้าไปในเนื้อตับ โรคนี้ยังมีอยู่ในประเทศที่ยากจนข้นแค้นหรือทำสงครามกลางเมืองกันไม่รู้จักเลิกเช่นในอัฟริกา ในเมืองไทยเดี๋ยวนี้โรคนี้ไม่มีแล้ว ผมรับประกัน ใครพบเห็นโรคนี้ที่จังหวัดไหนของเมืองไทยช่วยบอกผมเอาบุญด้วยผมจะพาสื่อมวลชนไปทำข่าวเพราะเป็นข่าวใหญ่

     ถามว่ากินอาหารแบบมังสวิรัติแล้วกินถั่วกินงาน้อยจะขาดโปรตีนได้ไหม ตอบว่าหลักฐานคนตัวเป็นๆยังไม่มีให้เห็น แต่ว่าก็อาจเป็นไปได้นะครับ เพราะเป็นการกินอาหารแบบกินแต่พืชแต่ว่ากินพืชไม่หลากหลายย่อมจะขาดโปรตีนได้ การเป็นมังสวิรัตหากจะไม่ให้ขาดโปรตีนต้องกินอาหารพืชที่หลากหลาย คือกินทั้งผัก ผลไม้ ถั่ว งา นัท กินให้หมดไม่มีเว้น และประเด็นสำคัญคือต้องกินให้อิ่ม อิ่มหมายความว่าได้แคลอรีพอ ถ้าได้แคลอรีไม่พอร่างกายก็จะไปเอาโปรตีนมาทำเป็นแคลอรี กล้ามเนื้อก็จะหดหายและร่างกายจะผอมลงๆ ย้ำว่าปัญหาแบบนี้ให้แก้ด้วยการกินให้อิ่ม กินให้ได้แคลอรีเพียงพอ และกินพืชให้หลากหลาย  

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

19 ธันวาคม 2563

นิทานแขก เรื่องการเสาะหาความสุข

บึงเล็กท้ายสวนของเวลเนสวีแคร์..ที่รอการพัฒนา
     ตั้งแต่คบเพื่อนแขก หมายถึงเพื่อนชาวอินเดีย เดี๋ยวนี้หมอสันต์นิยมแขกมากขึ้น เช่น หลักโภชนาการบอกว่าต้องสร้างความหลากหลายให้อาหาร ตัวบอกความหลากหลายคือสี รสชาติ และฤดูกาล หมอสันต์ก็เสาะหาเครื่องเทศรสชาติใหม่ๆมาใส่อาหารให้หลากหลายขึ้น ทั้งรสฝรั่ง รสแม็กซิกัน รสเกาหลี แต่ท้ายที่สุดก็มาติดใจที่รสแขก ทำให้ลูกค้าเวลเนสวีแคร์พลอยต้องมีเมนูอาหารรสแขกๆไปด้วย 

     หรือเช่นสมัยก่อนหมอสันต์ฟังพังเพยไทยที่ว่า

     "เจองู กับเจอแขก ให้ตีแขกก่อน"

     ฟังแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ แต่เดี๋ยวนี้หมอสันต์ฟังความสองข้าง จึงเดาว่าคนคิดคำพังเพยนี้คงจะเป็นลูกหนี้เงินกู้รายวันของนายทุนแขกแน่นอน และเดาเอาว่าฝ่ายนายทุนเงินกู้แขกคงต้องให้การโต้แย้ง 

     "อีนี่..คนไทยนะนาย 

ปล่อยกู้ฉิบบาทไปฉิบเอ็ดบาทมา 

ร้อยบาทไป ร้อยฉิบบาทมา 

พันบาทไป พันหนึ่งร้อยบาทมา 

หมื่นบาทไป หมื่นบาท หายแช้บ..บ"

     (ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)

     และหมอสันต์เห็นด้วยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนไทยที่มีชื่อเสียงในระดับประเทศและจบด๊อกเตอร์มาจากอินเดีย ซึ่งพูดให้ฟังถึงความจริงอีกด้านหนึ่งว่า

     "พระพุทธเจ้าที่เราไหว้ประลกๆอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นแขกนะ"

     สรุปว่าเดี๋ยวนี้หมอสันต์โปรแขก แม้แต่นิทานเดี๋ยวนี้ก็ชอบนิทานแขก รวมทั้งเรื่องที่ตั้งใจจะเล่าให้ฟังในวันนี้ด้วย เรื่องนี้เล่าไว้ในหนังสือเวดะ เรื่องมีอยู่ว่าโยคีแก่ตนหนึ่งสอนลูกศิษย์สามเณรสิบรูป วันหนึ่งเมื่อเห็นว่าสามเณรจบภาคทฤษฎีบทที่ 1 แล้วก็เรียกทั้งหมดมาสั่งว่า

     "พวกเจ้าจะต้องเริ่มออกธุดงค์แสวงบุญ โดยให้มุ่งไปที่วัดเก่าแก่ที่ทางภาคเหนือให้ทันงานเฉลิมฉลองใหญ่ประจำปี ตัวข้าแก่แล้วไปกับพวกเจ้าไม่ได้เพราะมันต้องเดินหลายวัน พวกเจ้าต้องไปกันเอง" 

     เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องออกธุดงค์ สามเณรทั้งสิบพากันออกเดินทางโดยเกาะกลุ่มกันแจเพราะกลัวหลง รอนแรมขึ้นเขาลงห้วยผ่านชนบทหมู่บ้านจนมาถึงลำน้ำแห่งหนึ่งซึ่งลึก กว้าง และเชี่ยว ต้องว่ายน้ำข้ามไปกัน พอข้ามไปถึงอีกฝั่งเณรรูปหนึ่งก็ขอนับยอดให้แน่ใจว่ามากันได้ครบ แต่ก็นับได้แค่เก้ารูป เพราะลืมนับตัวเอง รูปอื่นข้องใจก็ออกมานับบ้าง ก็นับได้เก้ารูปอีก จึงพากันสติแตกว่าเพื่อนหาย ช่วยกันกระจายค้นหาทั้งสองฝั่งน้ำและเลาะลำน้ำไปทางปลายน้ำเผื่อพบศพเพื่อนจมน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าหาให้ตายก็ไม่พบ เพราะสามเณรรูปที่ขาดไปนั้นคือตัวเขาเอง เขาไปค้นหาตัวเองที่ข้างนอก เขาจะหาพบได้อย่างไร เพราะมันเป็นการไปค้นหาผิดที่

     ฉันใด ก็ฉันเพล ผู้คนที่ล้วนมุ่งหน้าไปเสาะหาความสุขที่ข้างนอกจะไปเจอความสุขได้อย่างไร เพราะมันเป็นการไปค้นหาผิดที่ ความสุขนั้นมันอยู่ที่ข้างใน ความสุขมันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของความรู้ตัว ซึ่งมีธรรมชาติสงบเย็บเบิกบานของมันอยู่แล้ว แต่มันถูกคลุมไปด้วยความคิดสาระพัดสาระเพอย่างหนาจนเจ้าตัวมองเข้าไปข้างในแล้วไม่เห็นอะไรนอกจากจะเห็นแต่ความคิด แต่ถ้าค่อยๆแกะความคิดออกทิ้งไปทีละชั้นๆในที่สุดก็จะเห็นความรู้ตัวยิ้มเผล่อยู่ตรงนั้นเอง มันอยู่ที่นั่นมานานแล้ว เพียงแต่ถูกความคิดบังไม่ให้เห็นมัน

      ถ้าการค้นหาอะไรที่ข้างนอกมันสนุกสนานเหมือนกับการเล่นซ่อนหาก็ดีอยู่หรอก ชีวิตนี้แม้จะหาอะไรไม่เจอแต่ก็ยังมีความสนุกสนานกับชีวิตมันก็คุ้มอยู่ แต่ชีวิตจริงมันไม่สนุก ดั่งเหมือนสามเณรทั้งสิบที่กำลังค้นหาเพื่อนอย่างมีความทุกข์อย่างยิ่งนั่นไง เพราะพวกเขากำลังคิดกังวลว่าเพื่อนสามเณรรูปหนึ่งจมน้ำตายไป จะค้นหาอย่างมีความสุขได้อย่างไร

     เมื่อสามเณรทั้งสิบค้นหาเพื่อนไปหลายชั่วโมงแล้วไม่พบก็มาตั้งวงสรุปว่าเพื่อนคงจมน้ำตายไปเสียแล้วและนั่งร้องไห้กันอยู่ มีตาแก่คนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นและสอบถามเรื่องราวแล้วก็เข้าใจในทันทีว่าพวกสามเณรนับเลขผิดเพราะลืมนับตัวเอง จึงชี้ให้เห็นว่ามีสามเณรครบสิบรูปแล้ว ก็นั่งล้อมวงกันอยู่นี่ไงแล้วชี้ไปทีละรูปนับหนึ่งถึงสิบให้ดู พวกสามเณรก็นับกันเองอีก ก็ไม่ครบอีก เลยพาลโกรธตาแก่ว่ามาล้อเล่นผิดกาละเทศะ 

     ฉันใดก็ฉันเพล ท่านสาธุชนทั้งหลาย คนเราซึ่งกำลังมุ่งไปค้นหาความสุขผิดที่ แม้จะมีคนมาบอกความจริงให้ว่าความสุขมันอยู่ที่ข้างในไม่ได้อยู่ข้างนอกก็ยังไม่เห็นอยู่ดี ก็ยังไปค้นหาผิดที่อยู่นั่นแหละ แสดงว่าการบอกอย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นจึงจะทำให้คนเราเห็นสิ่งที่ถูกความคิดปิดบังไว้ได้

     "พูดชุ่ย อีตาลุง พวกฉันนับกี่ครั้งก็มีแค่เก้า"

     ลุงแก่คนนั้นจึงเรียกสามเณรรูปหนึ่งออกมาอยู่นอกกลุ่ม แล้วให้นับใหม่ ก็นับได้เก้า แล้วลุงแก่ก็ชี้ไปที่ตัวสามเณรผู้นับว่าเณรรูปที่สิบก็คือตัวเจ้านี่ไง

     "คนที่หายไปคือตัวเจ้า แต่เจ้าไปหาที่ข้างนอก การค้นหาของเจ้าจึงไม่สำเร็จสักที"

     เหล่าสามเณรได้ยินก็ตรัสรู้ขึ้นมาทันทีว่า อ้อ.. (หิ หิ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)

     นิทานแขกเรื่องนี้นอกจากจะสอนเรื่องวิธีค้นหาความสุขว่ามันต้องหาที่ข้างในแล้ว ยังสอนให้รู้ว่าการที่คนเราจะเก็ทอะไรนั้นการบอกอย่างเดียวมันไม่พอ มันต้องมีวิธีแสดงให้เห็นแบบให้เขาค้นพบความจริงนั้นด้วยตัวเองไปทีละขั้น ทีละขั้นด้วย หมายความว่าวิชาชีวิตนี้คำบอกเล่าไม่สำคัญเท่าวิธีสอนแสดงให้ไปค้นพบด้วยตัวเอง หนังสือ คัมภีร์ วิดิโอ ยูทูป เป็นเพียงคำบอกเล่า บอกให้ตายหากไม่มีวิธีสอนแสดงให้ค้นพบความจริงด้วยตัวเองไปทีละขั้น ผู้คนก็ไม่เก็ท

     การบอกว่าตัวคุณที่แท้จริงซึ่งคือความรู้ตัวนี้ เป็นคนละอันกับความคิด ความรู้ตัวเป็นผู้สังเกต ความคิดเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต และความรู้ตัวจะไม่ถูกแปดเปื้อนด้วยความคิดที่ถูกสังเกต พูดไปให้ตายคุณก็ไม่เก็ท เปรียบเหมือนถ้าผมถือลูกแก้วใสแนบกับเสี้อสีแดงที่ผมใส่อยู่ คุณมองอย่างไรก็เห็นลูกแก้วนั้นเป็นสีแดง มิใยที่ผมจะบอกเล่าอย่างไรว่าลูกแก้วมันเป็นสีใสนะ แต่คุณก็ไม่เก็ท เพราะคุณเห็นลูกแก้วเป็นสีแดงอยู่ทนโท่ ตราบจนผมชูลูกแก้วขั้นเหนือศรีษะให้พ้นผ้าสีแดงนั้น เมื่อคุณเห็นลูกแก้วนั้นกลับเป็นสีใส คุณจึงจะเก็ท

     ฉันใดก็ฉันเพล ถึงใครจะพร่ำบอกว่าความรู้ตัวเป็นคนละอันกับความคิดและจะไม่แปดเปื้อนด้วยความคิด คุณก็ไม่เก็ท แต่หากคุณฝึกนั่งสมาธิด้วยตนเองจนอย่างน้อยคุณนั่งสมาธิได้นิ่งแป๊บหนึ่งพอวางความคิดลงได้หมดแม้จะชั่ววินาทีเดียวก็ตาม คุณก็จะมีประสบการณ์ด้วยตนเองว่าความรู้ตัวยามที่ไม่มีความคิดห่อหุ้มอยู่นั้นมันไม่ได้แปดเปื้อนหรือมีสีหรือกลิ่นอายของความคิดติดอยู่เลย และมันมีแคแรคเตอร์ที่สงบเย็นเบิกบานของมันเอง คุณจึงจะเก็ทด้วยตัวของคุณเอง

     หมดประเด็นที่นิทานตั้งใจจะชี้แล้ว

     เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่แฟนบล็อกหมอสันต์ผู้อ่านนิทานนี้ทุกๆท่านเทอญ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

18 ธันวาคม 2563

ผู้พลิกผันโรคด้วยตนเอง


ช่วงนี้อากาศที่มวกเหล็กเย็นสบายดีมาก

     มีบันทึกเผยแพร่ประสบการณ์จริงจากสมาชิกของแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเองท่านหนึ่ง ซึ่งผมเห็นว่าจะมีประโยชน์มากกับแฟนๆบล็อกที่เป็นโรคหัวใจระดับเป็นมากแล้ว จึงเอามาบอกเล่าต่อ ที่ผมชอบมากคือแม้จะอายุเจ็ดสิบแล้วแต่ก็ยังสร้างอิสรภาพให้ตัวเองในเรื่องอาหาร ทำอาหารทานเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร ขอขอบพระคุณเจ้าตัวที่กรุณาให้เผยแพร่เรื่องของตัวเองเป็นวิทยาทานด้วยนะครับ

.........................................

     "..ผม สมชาย​ โพธิวิช​ยา​นนท์ ครับ เคยทำงานเป็นผู้จัดการ​โครงการ​พิเศษ​ในเครือ​บริษัท​ที่​มี​ชื่อ​เสียงแห่งหนึ่ง ตอนนี้ อายุ 70 ปี อาการป่วยของผมเริ่มจากอาการเหนื่อยขึ้นมาฉับพลัน บวม ท้องผูก โดยที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วคือ เบาหวาน ความดันสูง ไขมันสูง โรคไตเรื้อรัง และเคยมีเลือดออกที่จอประสาทตา ครั้งนี้แพทย์ตรวจด้วยการฉีดสีพบเส้นเลือดหัวใจตีบ 3 เส้นและมีหัวใจล้มเหลว แพทย์นัดทำผ่าตัดบายพาส โดยให้รอคิว ระหว่างรอคิวทำผ่าตัดผมเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่ตัวเองเป็นทางอินเตอร์เนทจนมาพบการปรับเปลี่ยนชีวิตจากการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย​ จากคุณ​หมอ​สันต์​ ใจ​ยอด​ศิลป์​

     ขั้นตอนการปรับเปลี่ยนที่ทำไปคืออาหารรับประทานใช้น้ำปรุงอาหาร​แทนน้ำ​มัน​ รับประทาน​อาหารเจไขมันต่ำ เน้นถั่วและธัญพืช งดของทอด งดอาหารเนื้อสัตว์​ บางครั้งทานอาหารนอกบ้านมีเนื้อสัตว์ 20% ทานผักผลไม้แต่ละวัน 4- 5 เสริฟวิ่ง ทานน้ำผักปั่นทุกวัน

     ช่วงแรกๆจะค่อนข้างลำบากต้องซื้อจากข้างนอกบางครั้งมีน้ำมัน กอร์ป​กับ​ตัวเองเกษียณจากงานมาจึงมีเวลาทำให้หันมาทำอาหารทานเองตามเมนูต่างๆที่ตนเองสร้างสรรค์เอง การคิดเมนูอาหารล่วงหน้า ช่วงแรกๆค่อนข้างลำบากเล็กน้อยอุปกรณ์ไม่ครบ แต่ปัจจุบันนี้ค่อนข้างลงตัวในเรื่องอาหาร 

     ด้านการออกกำลังกาย พยายามใช้วิธีการเดินช้าระยะเวลาสั้นใกล้ๆ หากเดินเร็วกระทันหันจะรู้สึกเสียดหน้าอกเล็กน้อย จะพยายามเดินช้าลง และผ่อนลมหายใจพร้อมอาศัยการแกว่งแขนไปเรื่อยๆบางวันใช้การขี่จักรยาน 30 นาที

     ด้านการจัดการกับความเครียดใช้วิธีการฟังเพลง สวดมนต์ ใส่บาตร นั่งสมาธิ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงไก่ไข่ เลี้ยงสุนัข

     หลังจากทดลองปฏิบัติตัวอยู่ระยะหนึ่งระหว่างรอเข้าแคมป์พลิกผันโรคด้วยตนเองรุ่นที่ 15 และมาเข้าแคมป์กลับไปนำไปปฏิบัติมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จากความมีวินัยและมุ่งมั่นในเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย การจัดการความเครียดทำให้เกิดผลลัพธ์ต่อร่างกาย คือ

     1. ผลเลือดอยู่ในระดับดี สามารถปรับลดขนาดยาได้อย่างเห็นได้ชัด

     2. อาหารที่ทานมีความลงตัว สามารถทำอาหารทานเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร

     3. การออกกำลังกายทั้งการทำชี่กง ไทชิ เล่นกล้ามฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การเดินวิ่งเหยาะๆรอบหมู่บ้านวันละ 3 กม โดยไม่มีอาการเสียดหน้าอก  สามารถสมัครลงวิ่ง 5 กมใช้ระยะเวลา 1 ชมกับ Run for the animals2020 เมื่อวันที่29 พย 63

     4. จากการรอเข้าคิวทำ บายพาส ปัจจุบันนี้ผมให้คำยืนยันกับแพทย์ว่าไม่ทำผ่าตัดแน่นอน

     5. ความสงบทางใจที่ดี จากการรักตนเองทำให้คนรอบข้างมีรอยยิ้ม และยินดี สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีในการรักสุขภาพ role model

     6. โรคNCD อื่นๆ มีแนวโน้มดีขึ้น แต่​ก็เสื่อมไปตามอายุ

     นี่คือตัวอย่าง​ของคนที่เข้าคิวรอผ่าตัดบายพาส ใช้เวลาการปรับพฤติกรรมจากเดิมที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆภายในระยะเวลา​ 1 ปี​ ไม่มากไปและไม่น้อยไป ซึ่ง​แสดงให้เห็นชัดว่าโรคมันสามารถหายได้จริงๆ ตรงตามการวิจัยที่คุณหมอสันต์​ ใจ​ยอด​ศิลป์​ท่านแนะนำอยู่บนพื้นฐานงานวิจัยจริงแท้แน่นอน

 สมชาย​ โพธิวิช​ยา​นนท์ (​ผู้พลิกผันโรคด้วยตนเอง).."

[อ่านต่อ...]

15 ธันวาคม 2563

เบื่อหน้าที่ อยากจะทิ้งหน้าที่ไปดื้อๆ


อาจารย์สันต์คะ

อาจารย์บอกว่าชีวิตเป็นเรื่องสมมุติ แล้วในการทำหน้าที่ในละครสมมุตินี้เราควรจะทำอย่างจริงจังประมาณไหนคะ จะทิ้งไปดื้อๆได้ไหม

........................................................

ตอบครับ

     ถามอย่านี้แสดงว่ากำลังเบื่อวิถีชีวิตแบบฆราวาส เหมือนกับที่ฝรั่งเรียกว่ากำลังมี midlife crisis คือทำหน้าที่ในชีวิตมาถึงจุดหนึ่งก็เกิดความรู้สีกว่าทำไปทำไมวะ ช่างงี่เง่า ช่างน่าเบื่อ แต่ก็ไม่รู้จะหยุดหรือจะเลิกตรงไหน ได้แต่ทำต่อไปแกนๆแบบว่าเบื่อๆอยากๆ จนตายไปด้วยความเฉาหรือด้วยความแก่ สุดแล้วแต่ว่าอะไรจะมาเป็นสาเหตุการตายก่อนกัน

     การเซ็งหรือเบื่อหน้าที่ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดกับคนยุคนี้ มันมีในใจคนมานานแล้ว ในหนังสือเล่มเก่าแก่ของอินเดียที่ชื่อเวดะ ซึ่งว่ากันว่าเก่าถึง 3,500 ปี หนังสือนี้เป็นหนังสือแบบว่าใครรู้อะไรหรือคิดอะไรได้ก็มาเขียนไว้ หนังสือนี้จึงมีสารพัดเรื่อง มีนิยายปรัมปราเรื่องหนึ่งชื่อมหาสงครามภารตะยุทธ์ ได้เล่าเรื่องแบบคลาสสิกของความเซ็งในหน้าที่ของมนุษย์ไว้ได้เก๋ไก๋มาก เรื่องมีอยู่ว่าพี่น้องสองสกุลคือสกุลปานฑพ และสกุลเการพ ต้องมาทำสงครามหักล้างกัน อรชุนซึ่งเป็นพระเอกของนิทานเรื่องนี้ เป็นแม่ทัพฝ่ายปานฑพ มีคนขับรถม้าชื่อกฤษณะ กฤษณะตัวจริงนั้นเป็นพระเจ้าอวตารลงมา มีศักดิ์เป็นลุงของทั้งสองฝ่ายที่ตั้งท่าจะรบกัน แต่ว่าถือหางข้างหลานปานฑพ ผมแปลเรื่องนี้ตามสำนวนของผมจากต้นฉบับภาษาอังกฤษนะ ผิดถูกอย่าว่า  

       ก่อนการประจันบาน อรชุนสั่งให้กฤษณะเดินรถม้าไปในระหว่างทัพอันมหึมาของทั้งสองฝ่ายเพื่อดูหน้าฝ่ายตรงข้ามว่ามีใครบ้าง เมื่อเห็นว่ามีแต่ "เคง-กัน-อน" (คนกันเอง) ทั้งนั้น อรชุนก็เกิดความเซ็งมะก้องด้องขึ้นในใจ จึงพูดกับคนขับสามล้อ..เอ๊ยไม่ใช่ คนขับราชรถว่า

     “...นี่มันอะไรกันลุงกฤษณะ เขาเหล่านั้นก็เป็นพี่น้องของเราทั้งนั้น ใยต้องมาเข่นฆ่ากันให้เป็นบาปกรรมไปภายหน้าด้วยเล่า ข้าเกิดความเซ็งในหัวใจเหลือเกิน ไม่รบไม่เริ้บมันละ กลับไปอยู่บ้านขายเต้าฮวยดีกว่า..”

     ว่าแล้วก็ทิ้งคันศรและธนูลงกับพื้นรถ

     กฤษณะเห็นท่าไม่ดีก็ร้องปรามว่า

     “...เฮ้ย อะไรกันอรชุน เอ็งจะมาท้อถอยตอนหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ได้อย่างไร คนเราเกิดมาเป็นคนก็ต้องทำหน้าที่ การจะเกิดจะตายนั้นมีใครบ้างเกิดมาแล้วไม่ตาย รบไม่รบท้ายที่สุดก็ตายกันหมดทุกคนแหละ แต่ว่าคนเราตายก็แค่ตัว แต่อาตมันไม่มีวันตาย มันเป็นแก่นแท้อันนิรันดร์ที่เพียงแค่ละร่างเก่าไปสู่ร่างใหม่ กะอีแค่หนาวร้อนสุขทุกข์ต่อร่างกายและจิตใจนี้มันก็เป็นเพียงสิ่งภายนอกผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ของอาตมันชั่วคราว จะหาแก่นสารความแน่นอนได้ที่ไหน ใยเอ็งไม่หัดทำใจให้นิ่งต่อโลกธรรมเหล่านี้เสียบ้าง จะมามัวหดหู่กับมันอยู่ทำไม

     อรชุน.. เมื่อรู้ว่าชีวิตมีอาตมันเป็นนิรันดร์เป็นแก่นแท้เช่นนี้แล้ว ควรหรือจะมามัวกังวลกับชีวิต จงทำหน้าที่ของตนให้มั่นอย่าหวั่นไหว เพราะเกิดมาเป็นชายชาติกษัตริย์จะมีเกียรติอะไรเสมอการทำธรรมสงครามอีกเล่า

      รบเถิดอรชุน อย่าไปห่วงว่าฆ่าคนแล้วจะเป็นบาปเลย เพราะปรัชญาโยคะมีหลักว่าไม่เสียใจกับสิ่งที่เสียไป ไม่ดีใจกับสิ่งที่ได้มา อรชุน จิตที่เป็นอุเบกขาที่ข้ามพ้นสภาวะธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นได้เพราะการลงมือปฏิบัติฝึกฝนจิตให้นิ่งเท่านั้น ไม่ใช่การนั่งรอผลแห่งกรรมในอดีต หรือการไม่ยอมปฏิบัติการใดๆเพราะกลัวกรรมจะตามไปในอนาคต ดังนั้น รบเถิดอรชน ลุยเถอะอรชุน...” 

      อรชุนได้ฟังดังนั้น แม้ในใจจะคิดว่าที่คนขับสามล้อพูดมานั้นไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหนเลย แต่ก็ทำใจว่าเอาเถอะ เอาเถอะ ไม่รบก็ไม่จบ กลับบ้านไม่ได้สักที จึงสั่งเดินหน้าลุยถั่วทำสงครามเสียสิบกว่าวัน ลูกน้องทั้งสองฝ่ายตายกันเป็นเบือเลือดท่วมทุ่ง โดยฝ่ายอรชุนเป็นฝ่ายชนะในที่สุด เอวังของเรื่องภารตะยุทธ์ก็มีเพียงเท่านี้

     มีหลายประเด็นเป็นคำตอบให้คำถามของคุณอยู่ในนิทานภารตะยุทธ์นี่แล้ว ผมจะไฮไลท์ให้นะ 

     (1) เรื่องทั้งหลายในชีวิตนี้ไม่ว่าจะเป็นหนาวร้อนสุขทุกข์ล้วนเป็นสิ่งภายนอกที่ผ่านมาสู่การรับรู้ของอาตมัน (ความรู้ตัว) แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น 

     (2) มีอะไรที่ตรงหน้าซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำตามหน้าที่ตามบทบาทของตัวละครในละครสมมุติก็จงทำไป

     (3) ไม่พึงไปอินหรือจริงจังกับการทำหน้าที่มากเกินไป ตัวตัดสินว่าอินมากเกินไปก็คือในชีวิตนี้เมื่อใดที่เกิดความเสียใจกับอดีตขึ้น หรือเกิดกังวลถึงอนาคตขึ้น นั่นแปลว่าอินมากเกินไปแล้ว 

     (4) สิ่งที่คนเราพึงฉวยโอกาสทำเมื่อเกิดมาเป็นคนและกำลังทำหน้าที่อยู่นี้ คือการหมั่นฝึกฝนจิตใจให้นิ่ง ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมอันเป็นสิ่งสมมุติเหล่านี้ แม้กระทั่งเกียรติในฐานะชายชาติกษัตริย์ที่คนขับสามล้อพูดโปรนักหนาก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่ไม่พึงไปหวั่นไหวกับมัน 

    ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่คนขับสามล้อไม่ได้สอนไว้ในนิทานภารตะคือคำถามของคุณที่ว่าก็ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนเป็นสิ่งสมมุติ หากเราเอียนเต็มทีแล้ว เราจะทิ้งหน้าที่ไปเสียกลางคันตอนนี้เลยจะได้ไหม ไม่ทำไม่เทิมมันละ ผมจะตอบคำถามนี้ให้นะ ไม่เกี่ยวกับคำสอนในภารตะยุทธ์ เป็นคำตอบของผมเอง ผมตอบว่าคุณทิ้งหน้าที่ไปได้ อยากทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ทิ้งไปได้ ไม่ว่าหน้าที่ของคุณจะสำคัญล้นฟ้าอย่างไรหากคุณอยากทิ้งก็ทิ้งไปได้เลย เพราะมันล้วนเป็นสิ่งสมมุติ แต่..ให้คุณสังวรไว้นิดเดียว ว่าไม่ว่าจะทำหน้าที่ หรือทิ้งหน้าที่ ก็ล้วนสัมพันธ์กับความหวั่นไหวในโลกธรรมเสมอ ดังนั้นคุณจะเลือกทางไหนดี คุณต้องชั่งน้ำหนักตรงนี้ก่อน ว่าคุณได้ฝึกฝนจิตใจของคุณมาให้นิ่งพอที่จะไม่หวั่นไหวในโลกธรรมอันจะตามหลังมาจากทั้งการทำหน้าที่หรือการทิ้งหน้าที่แล้วหรือยัง ถ้าคุณยังไม่ได้ฝึกฝนจิตใจของคุณมาจนนิ่งพอ ก็อย่าเพิ่งไปทำอะไรแหกคอกตอนนี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวคุณจะยิ่งหวั่นไหวหนักจนประสาทรับประทานได้ ควรที่คุณจะลงมือฝึกฝนจิตใจของตัวเองให้นิ่งจนไม่หวั่นไหวในโลกธรรมใดๆให้ได้ชัวร์ๆก่อน แล้วอยากจะทำหน้าที่ หรืออยากจะทิ้งหน้าที่ คราวนี้เชิญตามสะดวกเลยพะยะค่ะ ไม่ต้องไปห่วงคนอื่นหรอกว่าคุณทิ้งหน้าที่ไปแล้วพวกเขาจะเป็นจะตายกันอย่างไร เพราะมันเป็นแค่เรื่องสมมุติ ห่วงแต่ว่าทิ้งหน้าที่ไปแล้วตัวคุณเองจะเป็นบ้าหรือเปล่าก็พอแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 

[อ่านต่อ...]

14 ธันวาคม 2563

หนูเกลียดตัวเอง


กราบเรียนคุณหมอสันต์
หนูมองคุณหมอเป็นญาติผู้ใหญ่เพราะตัวเองไม่มีญาติผู้ใหญ่ มีแต่ผู้ใหญ่ที่คอยซ้ำเติมว่าหนูเกิดมาเป็นเสนียดจัญไรของครอบครัว ชีวิตของหนูแตกแล้วด้วยความเศร้า หมองหม่น ได้แต่ทุรายทุรนแต่ก็หาทางออกไม่ได้ หนูทำอะไรไม่ดีไว้แยะ จนเป็นเหตุให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ถึงกับฆ่าตัวตาย หนูเข้าใจว่าเขาอ่อนแอไม่ใช่ความผิดของหนู บางครั้งหนูก็บอกตัวเองว่าช่วยไม่ได้ เพราะฉันยากจน แต่หนูก็เกลียดตัวเอง ว่าเกิดมาทำไม ทำได้แค่นี้หรือ คือแค่เที่ยวทำให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ โดยที่ตัวเองก็ไม่เห็นจะสุขเลย 
หนูไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนมาหาคุณหมอทำไม 

........................................................

ตอบครับ

     เกลียดตัวเองเป็นการเริ่มต้นชีวิตที่ดีนะ อย่างน้อยก็ทำให้ได้เริ่มมองเห็น "ตัวเอง" แม้ว่าจะเป็นการมองเห็นด้วยความเกลียด ให้คุณมองให้ลึกเข้าไปอีกหน่อย "ตัวเอง" นั้นมันเป็นความคิดนะ มันเป็นคอนเซ็พท์ที่ก่อร่างขึ้นมาในใจคุณว่านี่คือตัวตนของคุณ ชื่อนี้ มีร่างกายอย่างนี้ มีความร้ายกาจอย่างนี้ ทั้งหมดนี้เป็นความคิด ไม่ใช่สิ่งที่ดำรงอยู่อย่างถาวร มีอยู่แต่ในฐานะที่เป็นสมมุติอยู่ในใจคุณชั่วคราว เมื่อคุณเริ่มมองเห็นมันนั้นดีแล้ว เพราะสิ่งที่คุณมองเห็นซึ่งก็คือความคิดนี้เป็นปัญหาของมนุษยชาติ  

     ความจนไม่ใช่ปัญหาของมนุษยชาติ แต่ความคิดคือปัญหาของมนุษยชาติ นักการเมืองที่ดีคิดว่าหากเขาสร้างระบบสังคมที่ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไปได้เสียอย่างเดียว ให้ทุกคนมีเงินใกล้เคียงกัน หรือให้ทุกคนหายยากจนเหมือนๆกัน ทุกคนก็จะมีความสุข หิ หิ ฝันไปซะแล้วท่านขา มนุษย์เราไม่เหมือนแมว หมา กา ไก่ ที่พอท้องอิ่มแล้วปัญหาก็หมดเกลี้ยง สามารถนอนเขลงอาบแดดสบายใจเฉิบ แต่มนุษย์นี้ตอนท้องหิวดูเหมือนชีวิตมีปัญหาเดียว แต่พอท้องอิ่มคราวนี้ชีวิตมีอีกนับสิบปัญหา เพราะความคิดจินตนาการนี้เป็นพรสวรรค์ที่สัตว์อื่นไม่มีแต่มนุษย์มี น่าเสียใจที่การมีของดีที่สัตว์อื่นไม่มีนี้กลับทำให้มนุษย์เราเป็นทุกข์มากกว่าสัตว์อื่นๆที่ต่ำกว่าเราเสียอีก  

     ความคิดเป็นพื้นฐานการเคลื่อนไหวทุกชนิดของคนเราไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวในรูปของการทำ การพูด และการคิดเอง ความคิดเป็นตัวปั้นแต่งสิ่งที่เรามอง ทำให้เราเห็นไปในทางบิดเบือนไปจากเดิม คือเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เราเห็นว่าชีวิตเราแปลกแยกแตกต่างออกมาจากชีวิตอื่น ตัวเราแปลกแยกแตกต่างออกมาจากคนอื่น เป็นคนละคนกัน เป็นคนละส่วนกัน ครอบครัวของเราแปลกแยกออกมาจากครอบครัวอื่น สถาบันการศึกษาของเราแตกต่างจากสถาบันอื่น ศาสนาของเราแยกออกมาจากศาสนาอื่น ชาติของเรา แยกออกมาจากชาติอื่นๆ ด้วยความคิดพื้นฐานอย่างนี้ ความเคลื่อนไหวต่างๆในรูปของการทำการพูดการคิด ก็เกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มีทิศทางที่จะปกป้องตัวเรา ครอบครัวของเรา สถาบันของเรา ศาสนาของเรา ชาติของเรา แล้วความทุกข์ยากในชีวิตมนุษย์ในรูปแบบต่างๆก็เกิดขึ้นตามมา เพราะในความพยายามจะปกป้องนี้อย่างเบาะก็ทำลายตัวเองในรูปความรู้สึกผิด ความเศร้าเสียใจ และความกลัวอนาคต  อย่างใหญ่กว่านั้นคือมันจะทำลายชีวิตอื่นด้วยในรูปของการสร้างปราการ การกักตุน สะสม อิจฉา แย่งชิง กีดกัน กดขี่ ขูดรีด ปล้น ฆ่า ทำลายล้าง นี่เป็นกลไกการเกิดความทุกข์ที่แท้จริงของมนุษยชาติ
  
     "ตัวเอง" ที่คุณเกลียดนั้นไม่ใช่คุณนะ มันเป็นแค่ความคิด ความคิดไม่ใช่คุณ คุณเป็นความรู้ตัว คุณไม่ได้กุความคิดนี้ขึ้นมา มันมาเอง แต่เมื่อมันมาแล้วคุณก็ไม่ต้องไปเบรก ไม่ต้องไปห้าม ไม่ต้องไปไล่ ปล่อยให้มันเข้ามา แต่ ลองมาเล่นเกมแอบดูความคิด แค่ชำเลืองอยู่ รู้ว่ามันมา แอบดู แต่ไม่เข้าไปผสมโรงคิด ไม่ log in เข้าไปในความคิดนั้น ไม่ subscribe เป็นสมาชิกความคิดนั้น ปล่อยให้ความคิดมันพร่างพรูไปของมันเหมือนนั่งดูหนังแบบไม่อินไปกับเรื่องราว แค่ดูว่าเรื่องราวของหนังมันเป็นอย่างไร ถ้าคุณไม่ไปเข้าด้วย หรือไม่ไป identify กับมัน ไม่ไปให้ราคามัน แค่สังเกตดู มันก็จะค่อยๆฝ่อไป จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณจะต้องหัดสังเกตความคิด อย่ามัวแต่พลัดหลงเข้าไปอวยกับความคิดที่โวยวายว่าเกลียดตัวเองอยู่ร่ำไป

     ความคิดมีที่มาสามระดับนะ คือ 

     (1) มาจากสัญชาติญาณ (instinct) ซึ่งฝังแฝงอยู่ในเซลร่างกายในรูปของฮอร์โมนและดีเอ็นเอ. แล้วโผล่มาในรูปของความอยาก เช่นอยากกิน อยากมีเซ็กซ์ มาทีก็มาแรงซะจนพัดพาเอาคุณไปกับมันได้ง่ายๆถ้าคุณไม่ตั้งหลักสังเกตให้มั่นเหมาะ พอเผลอไปกับมันแบบสุดๆแล้วก็มานั่งเกลียดตัวเองภายหลังครั้งแล้วครั้งเล่า 

     (2) มาจากความคิดอ่านเชาว์ปัญญา (intellect) ซึ่งชงหรือกำกับโดยความจำจากการเรียนรู้ที่ผ่านมาในอดีตที่เป็นการยัดเยียดให้ยอมรับคอนเซ็พท์ของการเปรียบเทียบระหว่างสองสิ่ง ดี-ชั่ว ถูก-ผิด ฉลาด-โง่ รวย-จน ฟังดูเป็นเรื่องสูงส่งกว่าสัญชาติญาณ แต่ก็ทำให้คุณเป็นทุกข์พอๆกัน ในรูปของความรู้สึกผิด เสียใจ เศร้าใจ หวาดกลัว

    (3) มาจากความเงียบยามที่ปลอดความคิด (intuition) คือไม่รู้มาจากไหน ราวกับดาวน์โหลดมาจากท้องฟ้า คุณไม่ได้เชิญ มันมาเอง มักจะเป็นการมาชี้ให้เห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็นอย่างไม่อคติ เป็นการเปิดทางเลือกที่คุณไม่เคยคิดถึงมาก่อนให้คุณเห็น

     ทั้งสามแบบนี้ ใหม่ๆที่เริ่มต้นสังเกตความคิด คุณจะยังแยกแยะไม่ได้หรอกว่าอันใหนเป็นแบบไหน แต่หากหมั่นสังเกตความคิดนานไป สังเกตอย่างใจเย็นๆ อย่างตั้งใจมอง คุณจะแยกได้ ถ้าเป็นสองแบบแรกคุณควรแค่สังเกตดูมัน รู้ว่ามันมา แล้วก็ดูมันจนมันไป อย่าเผลอเปิดช่องให้มีความคิดอื่นมาต่อยอดแล้วเผลอไหลไปด้วยกันเหมือนเวลาหนุ่มมอไซค์มาแวะหน้าบ้านแล้วคุณก็เผลอซ้อนท้ายตามเขาไปทุกที แต่หากเป็นความคิดแบบที่สามที่เกิดขึ้นมาในความเงียบขณะคุณไร้ความคิด ให้คุณเรียนรู้จังหวะที่จะเลือกหยิบมันไว้ใช้

     กล่าวโดยสรุป ผมแนะนำให้คุณแยกตัวเองออกมาเป็นผู้สังเกตดู "ตัวเอง" ที่คุณเกลียดนักเกลียดหนานั่นแหละ การสังเกตนี้มันเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยทำแต่คุณจำเป็นต้องหัดทำอย่างตั้งใจเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้  ยิ่งตอนกำลังเกลียดตัวเองยิ่งต้องรีบหัดสังเกตความคิดเพราะมันยิ่งเห็นชัดดี ทำใหม่ๆจะถูกดูดเข้าไปอยู่ในความคิดคือไปผสมโรงคิดบ่อยมากแล้วก็ทุกข์มาก แต่ก็ต้องหัดไปด้วยความพยายาม ยิ่งความคิดแรงยิ่งหัดสังเกตได้ง่าย ยกตัวอย่างความคิดอยากมีเซ็กส์ มันมาแรงเสียจนร่างกายของคุณเป็นไปด้วยกับมันหมดราวกับว่าไม่มีทางเลือกอื่นเหลือให้คุณเลย แต่ถ้าคุณปักหลักสังเกตดูนิดเดียวก็จะเห็นมันได้โดยง่าย ยิ่งความคิดแรง ยิ่งเป็นครูที่ดี ขอให้เชื่อผมไปพลางก่อนว่าชื่อว่าความคิด ไม่ว่าจะมาแรงแค่ไหน แต่เมื่อปักหลักสังเกตอยู่อย่างใจเย็น ในที่สุดมันก็จะฝ่อหายไปแบบหมดฤทธิ์ดื้อๆ ถ้ามันมาอีก ก็สังเกตอีก เอาจนมันห่างไปๆเพราะความเขิน ในที่สุดคุณก็จะได้อยู่กับความรู้ตัวที่ปลอดความคิด ซึ่งเป็นที่ที่สงบเย็นเบิกบานดี และ "ตัวเอง" ที่ขยันโผล่มาให้คุณเกลียดก็จะหายหน้าไป เมื่อคุณรู้ตัวแล้ว ทางเลือกที่หลากหลายในชีวิตจะโผล่มาให้เลือกเอง ดีดีทั้งนั้น ถึงตอนนั้นคุณค่อยๆบรรจงเลือกเอาได้

     ที่เขียนมานี้ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเก็ทหรือเปล่า คุณเขียนมาสั้นผมประเมินน้ำยาของคุณไม่ถูก ความสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่อยู่ที่ความเข้าใจ แต่อยู่ที่การลงมือทดลองปฏิบัติในสถานะการณ์จริงบ่อยๆซ้ำๆเนืองๆ หากทดลองปฏิบัติแล้วก็ยังไม่เก็ทเลย ก็ให้หาเวลามาเข้า Spiritual Retreat

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์       
[อ่านต่อ...]

13 ธันวาคม 2563

จะตรวจหัวใจตนเองด้วยการขึ้นบันไดแทน EST คุณต้องมีบันได 84 ขั้น


เรียนคุณหมอสันต์

ผมเป็นผู้บริหารของบริษัท ... ซึ่งต้องไปตรวจสุขภาพด้วยการวิ่งสายพานที่โรงพยาบาลทุกปี เป็นเรื่องที่เสียเวลาและน่าเบื่อมาก ผมอยากเรียนถามคุณหมอว่าเรามีวิธีตรวจหัวใจของเราเองโดยไม่ต้องไปวิ่งสายพานที่โรงพยาบาลทุกปีได้ไหมครับ

.............................................

ตอบครับ

     ถามว่ามีวิธีตรวจสุภาพหัวใจของตนเองที่บ้านแทนการวิ่งสายพานที่โรงพยาบาลไหม ตอบว่ามีครับ ก็การวิ่งด้วยตัวเองที่บ้านนั่นแหละ โดยต้องวิ่งให้ถึงระดับหนักพอควร คือหอบแฮ่กๆร้องเพลงไม่ได้ ติดต่อกันเป็นเวลาสัก 30 นาที หากทำได้โดยไม่มีอาการเจ็บหน้าอกก็ถือว่าการทำงานของหลอดเลือดหัวใจใช้การได้ดีอยู่

     ถ้าคุณต้องการผลตรวจด้วยตัวเองที่ละเอียดเทียบเท่าการตรวจด้วยการเดินสายพานในโรงพยาบาล คุณต้องเดินขึ้นบันได 84 ขั้นให้ได้ในเวลาไม่เกินนาทีครึ่ง เพื่อให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ ผมขออธิบายลึกสักหน่อย คุณค่อยๆทำความเข้าใจไปนะ อย่างน้อยก็มีประโยชน์ต่อคุณในแง่ที่จะทำให้คุณอ่านผลตรวจวิ่งสายพานด้วยตัวเองได้

     1. การตรวจวิ่งสายพาน Exercise stress test (EST)

     หลักพื้นฐานของการวิ่งสายพาน หรือ exercise stress test (EST) คือให้เดินสายพานโดยติดคลื่นไฟฟ้าหัวใจต่อเนื่องไว้และวัดความดันเลือดเป็นระยะๆ โดยค่อยๆเพิ่มความเร็วของสายพานและความชันของสายพานขึ้น เป้าหมายคือการบังคับให้หัวใจทำงานหนักขึ้นๆจนถึงระดับหนักมาก (high intensity) เพื่อดูว่าหัวใจแสดงอาการขาดเลือดหรืออาการล้มเหลวหรือไม่ โดยดูเอาจาก (1) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (2) อาการเจ็บแน่นหน้าอก (3) อาการหอบเหนื่อยหายใจไม่อิ่ม (4) ความดันเลือดตกวูบลง (5) หัวใจเต้นผิดปกติ

     2. หน่วยนับปริมาณพลังงาน Metabolic Equivalents (METs)

     หน่วยนับพลังงานที่ทำได้ขณะวิ่งเรียกว่า MET ย่อมาจาก metabolic equivalents แปลว่าปริมาณพลังงานที่ร่างกายใช้เมื่อนั่งอยู่เฉยๆ ซึ่งเราก็ต้องใช้พลังงานเพื่อการเผาผลาญของเซลอยู่ปริมาณหนึ่งจึงจะทำให้ร่างกายนี้มีชีวิตอยู่ได้ สมมุติว่าการออกกำลังกายใดๆใช้พลังงานมากเป็น 3 เท่าของพลังงานที่ร่างกายใช้ขณะนั่งอยู่เฉยๆ ก็เรียกว่าการออกกำลังกายนั้นใช้พลังงานไป 3 METs เป็นต้น

     3. ระดับความหนักการออกแรง Exercise Intensity

     วิชาแพทย์ในสาขาเวชศาสตร์การกีฬาได้เอาหน่วยนับพลังงานเป็น MET นี้มาใช้แบ่งระดับชั้นความหนักของการออกกำลังกาย ระดับความหนักของการออกกำลังกาย โดยแบ่งระดับความหนักของการอออกกำลังกายเป็นสามระดับคือ

     ระดับเบา (low intensity) คือใช้พลังงาน ต่ำกว่า 3 METs ซึ่งจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราการหายใจและชีพจรให้เห็น เช่น ไปเดินเล่นศูนย์การค้า ทำงานเล็กๆน้อยๆในบ้านที่ไม่ต้องออกแรงมากเช่นทำครัว กวาดบ้าน เป็นต้น

     ระดับหนักปานกลาง (moderate intensity) คือใช้พลังงาน 3 - 5.9 METs ซึ่งการหายใจและชีพจรจะเร็วขึ้น วัดแบบบ้านๆก็คือยังพูดได้แต่หอบเหนื่อยจนร้องเพลงไม่ได้ เช่น เดินจ้ำอ้าว วิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำเบาๆ เป็นต้น

     ระดับหนักมาก (high intensity) คือใช้พลังงาน 6 METs ขึ้นไป ซึ่งจะหายใจเร็วมากและชีพจรเร็วมาก วัดแบบบ้านๆก็คือเหนื่อยจนพูดไม่ได้ เช่น การเล่นกีฬาแบบแข่งขันต่างๆเช่นเทนนิส แบตมินตัน วิ่งแข่ง เป็นต้น

     4. วิธีตรวจของหมอบรู้ซ Bruce Protocol

     ในการตรวจ EST นี้ใช้วิธีการแบ่งชั้นของความหนักของหมอบรู้ซ (Bruce Protocol) ซึ่งแบ่งความหนักของการเดินสายพานขั้นละ 3 นาทีเป็น 7 ขั้น (stage) โดยแต่ละขั้นนิยามประเด็นหลักไว้สามประเด็นคือ (1) ปริมาณพลังงาน METs ที่ใช้ (2) เปอร์เซ็นต์ความชันของสายพาน (grade) (3) ความเร็วของสายพาน (speed) ผมให้ดูรายละเอียดแค่ 4 ขั้นแรกซึ่งใช้บ่อยที่สุด ดังนี้

Stage 1. เดินสายพานนาน 3 นาที ความชัน 10% ความเร็วสายพาน 2.7 กม/ชม. ใช้พลังงานรวม 3 METs 

Stage 2. เดินสายพานนาน 3 นาที ความชัน 12% ความเร็วสายพาน 4.0 กม/ชม. ใช้พลังงานรวม 4-5 METs

Stage 3. เดินสายพานนาน 3 นาที ความชัน 14% ความเร็วสายพาน 5.5 กม/ชม. ใช้พลังงานรวม 7 METs 

Stage 4. เดินสายพานนาน 3 นาที ความชัน 16% ความเร็วสายพาน 6.8 กม/ชม. ใช้พลังงานรวม 10 METs  

     เนื่องจากผลวิจัยในภาพรวมมีอยู่ว่าใครก็ตามที่สามารถออกแรงได้ถึง 10 METs จะมีอัตราตายเฉลี่ยในหนึ่งปีต่ำกว่า 1% หรืออัตราตายในสิบปีต่ำกว่า 10% ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงตายในระดับใกล้เคียงปกติ ดังนั้นในการตรวจวิ่งสายพานจึงมักจะปักหมุดเอาให้ถึง Stage 4 ซึ่งได้พลังงาน 10 METs เป็นเป้าหมายต่ำสุด ใครที่ทำได้ถึงตรงนี้ก็ถือว่าหัวใจฮ้อแร่ดใช้การได้เท่าคนปกติทั่วไป แต่ก็มีบ่อยเหมือนกัน โดยเฉพาะในการตรวจสุขภาพประจำปีแก่คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ ถ้าหมอหัวใจเห็นว่าผู้ป่วยผอมแห้งแรงน้อยหรือไม่ฟิต ก็อาจจะให้วิ่งแค่ Stage 3 แล้วก็สรุปว่าโอเค.พอละ แล้วรวบรัดเอาดื้อๆว่าปกติ หิ หิ นี่ถือว่าเป็นความปกติแบบผสมการคาดเดา ซึ่งก็กล้อมแกล้มยอมรับกันได้ในชีวิตจริง แต่หากจะเอาปกติตามสถิติของแท้แล้วต้องวิ่งให้ถึง Stage 4 หรือให้ได้ 10 METs 

     5. การเทียบการตรวจเดินสายพานกับการขึ้นบันไดบ้าน

     ไม่นานมานี้ พวกหมอที่สเปญได้ทำวิจัยกับคนไข้หัวใจ 167 คน ให้แต่ละคนทั้งเดินสายพานด้วย เดินขึ้นบันไดตึกด้วย แล้วเทียบพลังงานที่ใช้ในการเดินสายพานกับการขึ้นบันไดตึก พบว่าการจะเดินขึ้นบันไดตึกให้ได้ 10 METs หรือ stage 4 ต้องเดินขึ้นให้ได้ 4 ชั้นโดยใช้เวลาขึ้นถึงไม่เกินนาทีครึ่ง (90 วินาที) 

     ดังนั้นหากคุณจะตรวจวัดหัวใจของตัวเองที่บ้านโดยให้ได้ความแม่นยำใกล้เคียงกับการวิ่งสายพานที่โรงพยาบาล คุณก็ต้องไปหาที่ที่มีบันไดที่เดินขึ้นลูกเดียวได้อย่างน้อย 84 ขั้น เพราะชั้นหนึ่งมีบันได 21 ขั้น หากคุณเดินขึ้นครบ 84 ขั้นได้ในเวลาไม่เกินนาทีครึ่ง ก็เท่ากับว่าผลตรวจสมรรถนะหัวใจของคุณได้ผลลบ หรือได้ผลปกติ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. European Society of Cardiology. "Test your heart health by climbing stairs." ScienceDaily. ScienceDaily, 11 December 2020. <www.sciencedaily.com/releases/2020/12/201211083104.htm>.

[อ่านต่อ...]

11 ธันวาคม 2563

อยากตายแบบไปนิพพานแต่เข้าฌาณไม่เป็น

ลูกเป็ดออโตมาตรอนรุ่นเก๋า
เรียนคุณหมอสันต์
ผมอยากจะเลิกอยากจะปล่อยวางความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆแต่ก็ทำไมได้ ชีวิตจึงวนเวียนอยู่ในความกังวล พยายามจะหยุดคิดก็ไม่สำเร็จ ควรทำอย่างไรดี ผมเป็นคนกิเลสหนาแต่ตัดกิเลสไม่ขาด อยากจะไปศึกษาเรียนรู้วิธีปฏิบัติธรรมตามวัดก็ไม่มีเวลาเสียแล้ว ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี เพราะร่างกายก็อาจจะป่วยเกินจุดที่จะกลับมาใช้การได้อีกแล้ว ถ้าร่างกายอ่อนแอเกินกว่าที่จะกลับมาใช้การได้อีกแล้ว ผมจะทำอย่างไรกับร่างกายดี เมื่อถึงเวลาตายผมอยากจะตายแบบพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่สามารถเข้ารูปฌาณ อรูปฌาณ ได้ ก็คงจะหมดโอกาสที่จะไปนิพพานใช่ไหมครับ ถ้าเข้าฌาณไม่เป็นผมควรจะตายอย่างไรดี

........................................................

ตอบครับ 

     การใช้ชีวิตของมนุษย์เราส่วนใหญ่ทุกวันนี้เปรียบไปก็เหมือนหุ่นยนต์รุ่นโบราณสมัยไม่มีคอมพิวเตอร์ซึ่งนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เรียกว่าออโตมาตรอน (automatron) ที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตลอดเวลาตามสิ่งเร้าแต่ไม่มีการพัฒนาอะไรในสาระสำคัญเลยตั้งแต่เกิดมา ผมเอารูปของออโตมาตรอนรุ่นเก่ามาให้ดูด้วยว่ามันซิมเปิ้ลขนาดไหน ชีวิตแต่ละขณะถูกกำหนดโดยสิ่งเร้าภายนอกอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามวงจรย้ำคิดย้ำทำโดยไม่มีความรู้ตัว ชีวิตของคนที่เทียบได้กับหุ่นยนต์รุ่นโบราณนี้เหมือนกับอาณาจักรเล็กๆในนิทานหลอกเด็กที่ประชาชนผลัดกันขึ้นมานั่งบัลลังก์เป็นกษัตริย์คนละไม่กี่นาที คนนี้ขึ้นมามีอำนาจมาก็บ้องหูคนเก่าให้ตกบัลลังก์ไปแล้วสั่งการเอาอย่างหนึ่ง คนนั้นขึ้นมามีอำนาจก็บ้องหูคนอยู่เดิมให้ตกบัลลังก์ไปอีกแล้วตัวเองก็สั่งการเอาอีกอย่างหนึ่ง ความคิดที่โผล่ขึ้นมาแสดงตัวเป็น "ฉัน" ในแต่ละวินาทีแบบอัตโนมัติในตัวเรานี้ก็เปลี่ยนหน้ากันไปตามแต่จะถูกสิ่งเร้าแหย่อะไรเข้ามาวันหนึ่งๆไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยความคิด เหมือนกับประชาชนที่ผลัดขึ้นมาเป็นกษัตริย์ในดินแดนของนิทานหลอกเด็กนั่นแหละ  

     แล้วที่ว่าคนเหมือนหุ่นยนต์รุ่นโบราณตัวนี้ตรงที่ไม่มีการพัฒนาเลยนั้นก็เพราะการพัฒนาจริงมันต้องมีสองอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน คือด้านความรู้ และด้านความรู้ตัวซึ่งเป็นสารัตถะ (essence) ที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ ด้านความรู้ของคนเราอาจจะมีการพัฒนาไม่หยุด แต่ด้านความรู้ตัวนั้นไม่มีการพัฒนาเลย เช่นแม้จะเรียนจบปริญญาโทปริญญาเอก หรือปริญญาเยอะแยะ จากเดิมขับรถไม่เป็นมาขับรถเป็น จากเดิมตีเทนนิสไม่ได้มาตีได้ จากเดิมมีคำนำหน้าว่าคุณมาเป็นคำว่าท่าน แต่ก็ยังเป็นคนที่หมกมุ่นในเซ็กซ์ ขี้ลืม ขี้ใจลอย จินตนาการฟุ้งสร้าน มือถือสาก ปากถือศีล โกรธง่าย และชอบอิจฉาริษยาอยู่เหมีย..น เดิม หุ่นยนต์รุ่นโบราณแบบนี้ความรู้ของเขาอาจเอาไปสร้างอาวุธมหาประลัยได้ แต่การที่ความรู้ตัวไม่ได้พัฒนาเขาจะกลายเป็นหุ่นยนต์อันตรายที่อาจทำให้โลกนี้ฉิบหายได้ ถ้าเกิดมาเป็นได้แค่นี้มันเสียเที่ยวที่เกิดมานะ ไปเป็นขี้ข้าของหุ่นยนต์ AI รุ่นใหม่ๆที่มีคอมพิวเตอร์กำกับเสียยังจะดีกว่า

     เอาเถอะ เอาเถอะ เลิกพล่ามไร้สาระเสียทีสิลุง ตอบคำถามเหอะ 

     1. ถามว่าพยายามที่จะหยุดคิดแต่มันหยุดไม่ได้จะทำอย่างไร ตอบว่าความพยายามจะหยุดคิดเป็นความคิด คุณจะไปหยุดคิดด้วยการพยายามคิดได้อย่างไร เมื่อมีความคิดคุณไม่ต้องไปพยายามหยุดคิด แค่สังเกตดูว่ามีความคิดเกิดขึ้นมา สังเกตดูเฉยๆ แล้วความคิดที่ถูกเฝ้าสังเกตมันจะฝ่อหายไปเอง ถ้ามันไม่ยอมฝ่อหายก็หันหลังให้มันเสีย ดึงความสนใจออกมาจากมัน มาสนใจร่างกายเช่นสนใจลมหายใจแทน ในที่สุดมันก็จะฝ่อหายไปเอง

     2. ถามว่าเป็นคนกิเลสหนา กะโหลกกะลา จะตัดกิเลสขาดได้อย่างไร ตอบว่าไม่มีใครตัดกิเลสขาดได้ดอก เพราะสิ่งที่คุณเรียกว่ากิเลสนั้นก็คือความคิดนั่นเอง ผมบอกแล้วไงว่าไม่มีใครหยุดความคิดได้ แต่ทุกคนสามารถสังเกตเห็นหรือรู้ทันความคิดได้ เมื่อรู้ทันมัน แล้วมันก็จะฝ่อหายไป เมื่อความคิดฝ่อหายไป ความรู้ตัวซึ่งอยู่ที่นั่นแล้วก็จะฉายแสงออกมาเอง

     3. ถามว่าไม่มีเวลาศึกษาธรรมะแล้วจะทำอย่างไรดี ตอบว่าคุณไม่ต้องศึกษาธรรมะ ผมพูดแบบนี้บ่อยมาก ไม่ต้องเลย ไม่ต้องตระเวณไปตามสำนักต่างๆด้วย ไม่ต้องอ่านหนังสือ ไม่ต้องดูวิดิโอ ยิ่งคุณไปบ้าอาจารย์ ไปบ้าตำรา คุณยิ่งจะไม่หลุดพ้นไปไหน มันไม่มีประโยชน์ดอก เหมือนคุณออกธุดงค์แสวงหาความหลุดพ้น แต่ใจคุณยังปักหลักอยู่กับความคิดยึดมั่นในสำนึกว่าเป็นบุคคลเดิมๆนี้ไม่ได้ออกไปธุดงค์ที่ไหนด้วย แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นคุณแค่ลงมือวางความคิดด้วยการถอยความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับลมหายใจหรืออยู่กับความรู้สึกบนร่างกายก่อน ครั้งละสักหนึ่งนาที ทำแค่นี้ให้ได้ก่อน แล้วคุณก็จะพบทางไปต่อของคุณเอง

     4. ถามว่าถ้าไม่มีเวลาฝึกปฏิบัติธรรมแล้ว จะให้ทำทางลัดอย่างไรดี ตอบว่า แล้วคุณมีเวลาหายใจหรือเปล่าละ ถ้าคุณมีเวลาหายใจ คุณก็มีเวลาฝึกวางความคิดได้ เพราะการฝึกวางความคิดก็แค่ถอยความสนใจออกจากความคิดมาอยู่กับลมหายใจ ไม่ต้องไปทำอย่างอื่น

    5. ถามว่าถ้าร่างกายป่วยมากทำอะไรก็ไม่ได้ จะทำอย่างไรต่อไปดี ตอบว่าก็ถ้าคุณซื้อรถยนต์มาคันหนึ่งหากถึงวันหนึ่งมันเก่ามากซ่อมยังไงก็วิ่งต่อไม่ได้แล้วคุณจะทำยังไงกับมันดี คุณก็ขายทิ้งเป็นเศษเหล็กใช่ไหม ร่างกายก็เช่นเดียวกัน คุณดูแลมันเต็มที่ ใช้มันให้เป็นประโยชน์เต็มที่ให้สมกับที่เกิดมามีร่างกายให้ใช้ แต่เมื่อทำอย่างไรมันก็ใช้การต่อไปไม่ได้แล้ว คุณก็ต้องทิ้งมันไป อย่าลืมว่าร่างกายนี้ไม่ใช่คุณนะ คุณคือความรู้ตัว เมื่อคุณทิ้งร่างกายก็คือคุณถอยความสนใจจากร่างกายไปอยู่กับความรู้ตัว ตัดหางปล่อยร่างกายนี้ไปซะ ขอบคุณนะที่รับใช้กันมา ถึงตอนนี้ไปกันต่อไม่ได้แล้ว ต้องจากแล้ว ลากันไปก่อนนะ เมื่อคุณทำอย่างนี้ ถ้าคุณส่งสัญญาณถอยจริงจัง และถ้าร่างกายมันหมดสภาพแล้วจริงๆ พลังชีวิตที่เคยถูกความสนใจของคุณปลุกเร้าให้ขับเคลื่อนร่างกายอยู่ก็จะค่อยๆถอยออกจากร่างกายไปด้วย แล้วคุณก็จะตายไปอย่างสงบ เหมือนงูเห่าที่เวลามันจะตาย มันจะเลื้อยไปนอนบนคาคบไม้ ไม่ออกหาเหยื่อ ไม่กิน ไม่ดื่ม แล้วมันก็ตายไปอย่างสงบ

     6. ถามว่าอยากตายแบบพระพุทธเจ้า แต่เข้าฌาณไม่เป็น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าถึงนิพพานใช่ไหม ตอบว่า ฮี่..ฮี่ ผมเผอิญไม่รู้คำสอนของศาสนาพุทธลึกซึ้ง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพระพุทธเจ้านิพพานอย่างไร เข้าฌาณไหนก่อน ออกจากฌาณไหนแล้วไปต่อฌาณไหนอย่างไร ผมไม่รู้เลย ตรงนี้ผมตอบคุณไม่ได้เลยจริงๆ เพราะผมไม่รู้ 

     แต่ถ้าถามถึงประสบการณ์ของผมเองเท่าที่ผมเคยลองซ้อมตายก่อนนอนหลับมา ผมพอแนะนำคุณได้นะ ว่าเวลาจะตายคุณควรทำอย่างไร คุณลองวิธีง่ายๆของผมก็ได้ วิธีของผมคุณไม่ต้องไปพะวงเรื่องเข้าฌาณนั้นออกฌาณนี้ แต่คุณต้องขยันซ้อมก่อนนอนหลับ คือให้คุณสมมุติเอาว่าการนอนหลับคือการตาย คือคุณก็ผ่อนคลายร่างกาย วางความคิดลง เอาความสนใจมาอยู่กับความว่างที่ตรงหน้าให้มันเหลือแต่ความว่างหนึ่งเดียวนี้ก่อน ต่อจากนั้นจึงหยุดเพ่งอะไรเสียทั้งหมด ปล่อยจิตไปไม่ต้องควบคุมอะไร แค่รู้ตัวอยู่กับความว่างที่ตรงหน้า อย่าไปอยู่กับความคิด ปล่อยวางความคิดไปให้หมด แค่นี้แหละ เมื่อใจคุณเป็นอิสระจากความคิดทั้งมวลแล้ว ใจมันจะยิ้มได้เองโดยไม่ต้องเล่าเรื่องตลกให้มันฟังเลย มันยิ้มเพราะมันไม่ต้องกังวลกับเรื่องราวใดๆอีกแล้ว คุณก็จะตายไปพร้อมกับรอยยิ้ม ถ้าคุณตายแบบนี้ได้ ผมว่าก็โอแล้วนะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

10 ธันวาคม 2563

ส่งท้ายปีเก่า 2020 แต่จะต้อนรับการกลับมาใหม่ของโควิด19 ด้วยไหม



      เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ ผมได้เขียนถึงตัวเปลี่ยนเกม (Game Changer) ของสถานะการณ์โรคโควิด19 ว่ามีอยู่ 7 ตัว ตัวเบ้งตัวหนึ่งในเจ็ดตัวนั้นก็คืออุณหภูมิและความชื้น เพราะงานวิจัยกับเชื้อไวรัสซาร์สโควี1ซึ่งเป็นญาติพี่น้องกับซาร์โควี2ที่ทำให้เกิดโรคโควิด19นี้ พบว่ามันทนมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวแห้งนอกร่างกายคนได้นานถึงมากกว่า 5 วันหากอุณหภูมิต่ำอยู่ระหว่าง 22-25 องศาและอากาศแห้งระดับความชื้น 40-50% ซึ่งก็คือบรรยากาศในห้องแอร์ แต่หากอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 38 องศาซี.และความชื้นสูงถึง 95% ขึ้นไปมันจะตายเกือบเกลี้ยง แต่โปรโมชั่นหน้าร้อนที่ผ่านมานึกว่ามันจะพาโควิด19ตายเกลี้ยงแต่ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ บัดนี้หน้าหนาวได้กลับมาเยือนอีกแล้ว ประเทศที่สำลักโควิดส่วนใหญ่อยู่บนซีกโลกเหนือรวมทั้งไทยเราด้วย วันนี้เรามาประเมินสถานะการณ์โควิด19 กันอีกสักครั้งเพื่อจะได้ทำตัวของเราได้ถูก

สถานะกาณณ์ของโลก ณ วันนี้

     นับถึงวันนี้ โลกนี้ยังอยู่ภายใต้อุ้งบาทาของโควิด 19 อยู่อย่างสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ โดยผมจะแบ่งโลกนี้ได้ออกเป็นสามย่าน หรือสามกลุ่มประเทศ ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก คือ

     1. ประเทศที่เอาโควิด19ไม่อยู่แล้ว เรียกตามการจำแนกขั้นตอนการกระจายโรคว่าอยู่ในขั้นแพร่กระจายในชุมชนแล้ว (community transmission) หากเรียงตามลำดับความสาหัสจากมากไปหาน้อยก็ได้แก่ประเทศ สหรัฐอเมริกา บราซิล ฝรั่งเศส อังกฤษ สเปญ อาร์เจนตินา โคลัมเบีย เม็กซิโก โปแลนด์ อิหร่าน เปรู ตุรกี ยูเครน อัฟริกาใต้ เบลเยียม อินโดนีเซีย เนเธอร์แลนด์ อิรัค ชิลี เช็ค โรมาเนีย บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ แคนาดา สวิส อิสราเอล ออสเตรีย สวีเดน ฮังการี จอร์แดน เซอร์เบีย เป็นต้น 

     ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ โอกาสที่จะควบคุมโควิด19 ให้อยู่หมัดในหน้าหนาวนี้นั้นมันช่างริบหรี่เหลือเกิน ทางไปของกลุ่มประเทศเหล่านี้คือใช้ยุทธศาสตร์บรรเทาโรค (mitigation) ไปตามมีตามเกิด ที่ป่วยก็รักษากันไป ที่ตายก็ตายกันไป จนกว่าการฉีดวัคซีนจะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งตอนนี้หลายประเทศได้นำวัคซีนลงฉีดแล้วแม้ว่าการวิจัยเฟสสามจะยังไม่เสร็จก็ไม่รอกันแล้ว หากวัคซีนดี การฉีดวัคซีนและผลของวัคซีนจะใช้เวลาจากนี้ไปจนถึงประมาณเดือน สค. 64 ในช่วงเวลานี้โลกในย่านนี้ก็ยังจะมั่วอยู่กับโควิดอยู่ไม่เลิก

     2. ประเทศที่มีโควิด19 เกิดเป็นหย่อมๆ (cluster of cases) หากเรียงตามความรุนแรงจากมากไปหาน้อยก็ได้แก่ อินเดีย รัสเซีย อิตาลี เยอรมัน ปากีสถาน มอร็อคโค โปรตุเกส เนปาล คาซัคสถาน บุลกาเรีย ญี่ปุ่น อาเซอร์ไบจัน อียิปต์ สโลวาเกีย พม่า จีน สโลเวเนีย มาเลเซีย อุซเบกิสถาน อัฟกานิสถาน อัลบาเนีย เกาหลี ศรีลังกา ออสเตรเลีย ไซปรัส มาลดีฟ ไทย นิวซีแลนด์ เวียดนาม มองโกเลีย

     ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ ยุทธศาสตร์มาตรฐานที่ใช้คือการกดโรค (suppression) คือโผล่มาก็ไล่จับเลยไม่ให้กระจายออกไป ซึ่งได้ผลดีมาก แม้ในประเทศที่โรคแพร่ไปมากอย่างอินเดียก็ยังได้ผลดี คือเริ่มจะเอาโรคอยู่ ถึงติ๊งต่างว่าไม่มีวัคซีนก็ยังมีอนาคตว่าจะเอาโรคอยู่ เกือบทั้งหมดของประเทศในกลุ่มนี้จะเปิดให้ผู้คนไปมาหาสู่ค้าขายกันภายในประเทศได้ รวมทั้งประเทศไทย เพราะไทยนั้นเอาโรคอยู่มาตั้งแต่เดือนมิย. 63 แล้ว

     3. ประเทศที่มีโควิดกระเด็นเข้ามาติดเล็กๆน้อยๆ (sporadic cases) ได้แก่ ซาอุดิอาราเบีย สิงคโปร์ เฟรนซ์โพลินีเซีย โซมาเลีย เยเมน ลิกเกนสไตน์ กัมพูชา ลาว

     ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็ใช้ยุทธศาสตร์กดโรคเช่นกัน แต่สถานะการณ์เบาบางกว่ามาก คือมีผู้ติดเชื้อน้อยมาก และยังไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตเลย

     ทอดสายตาดูแล้วจะเห็นว่าในปีหน้าเกินครึ่งหนึ่งของโลกนี้ในแง่ของพื้นที่ และเกือบสองในสาม ในแง่ของความสำคัญทางเศรษฐกิจ ยังตกอยู่ในกลุ่มที่ 1 คือเอาโควิด19 ไม่อยู่แล้ว และไม่มีวิธีไหนจะออกจากตรงนี้ได้นอกจากรอการมาของวัคซีน..หรือการมาของความตายในอัตรา 2.3% ของผู้ติดเชื้อ สุดแล้วแต่ว่าอย่างไหนจะมาถึงก่อนกัน ดังนั้นในปีหน้าอย่าคาดหวังถึงขั้นจะได้เดินทางไปมาหาสู่กับโลกภายนอกเลยเพราะโลกข้างนอกมันยังไม่สงบ มามองแค่ทำอย่างไรจะกดโรคภายในประเทศไทยของเราให้สงบจนการฉีดวัคซีนแล้วเสร็จดีกว่า 

ผู้ติดเชื้อสะสมของไทยตั้งแต่มค. ถึง ธค. 63

สถานะการณ์ของประเทศไทย ณ วันนี้

     ในภาพรวม ไทยนับถึง 8 ธค. 63 มีผู้ติดเชื้อสะสม 4126 คน ตายไป 60 คน ในวันสุดท้าย (8 ธค. 63) มีผู้ติดเชื้อใหม่ 19 คน มองภาพรวมอย่างนี้ หากไม่นับช่วงเดือนมีนาคมที่การกระจายเชื้อเกิดพรวดพราด (ซึ่งเราประสบความสำเร็จในการกดโรคเอาไว้ได้) ในภาพรวมถือว่าเป็นสถานะการณ์ราบเรียบสงบเงียบตลอดช่วงหน้าร้อน แต่หากมองปลายของเส้นกร๊าฟช่วงเดือนพย.และธค.ซึ่งเป็นหน้าหนาว จะดูเหมือนว่าความชันของมันกระดกขึ้นพิกลผิดสังเกตนิดหนึ่ง ซึ่งหากเข้าไปไล่ดูรายละเอียดวันต่อวันจะเป็นภาพที่ชัดขึ้นดังนี้

จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด19 ใหม่ รายวันช่วง พย.-ธค.63

     ผู้ติดเชื้อรายวันแอบเพิ่มขึ้น 

    จะเห็นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันได้ค่อยๆเพิ่มขึ้นจาก 2 รายต่อวันมาเป็น 25 รายต่อวันในเวลา 17 วันเท่าที่ผมเก็บสถิติย้อนหลังไว้ อัตราการเพิ่มหรือความชันของกราฟมากขึ้นชัดเจนแต่ยังไม่มากจนน่าตกใจเหมือนช่วงมีค. - พค. ที่ผ่านมาซึ่งมีการเพิ่มผู้ป่วยรายใหม่วันละเป็นร้อย แต่อย่างไรก็ตาม การที่ตรวจพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นเร็วในสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้มันนัยสำคัญอยู่ตรงที่ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อรายใหม่นำเชื้อเข้ามาจากทางประเทศพม่า ไม่ว่าจะโดยคนพม่าหรือโดยคนไทยเองที่ไปหากินในพม่าก็ตาม ดังนั้นจึงน่าจะมีประโยชน์หากเราชำเลืองมองสถานะการณ์ในประเทศพม่าไว้สักหน่อย

     การติดเชื้อจากทางพม่ามีแนวโน้มลดลง

    ในภาพรวมพม่ามีผู้ติดเชื้อยืนยันแล้ว 100,431 คน เมื่อวานนี้ (8 ธค. 63) มีผู้ติดเชื้อใหม่ 1,276 คน ตายไปแล้วรวม 2,132 คน เฉพาะเมื่อวานนี้ตายไป 22 คน ซึ่งมองภาพรวมอาจจะน่าตกใจ แต่หากมองแนวโน้มจากกราฟนี้

แนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิด19 ของพม่าตั้งแต่ กค.-ธค. 63

จะเห็นได้ว่าพม่าอยู่อย่างสงบไม่มีการติดเชื้อเลยมาจนถึงเดือนกค.63  แล้วก็มีการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้ออย่างพรวดพราดในเดือน สค.ต่อเดือน กย. คือเพิ่มวันหนึ่งเป็นพัน แต่รัฐบาลพม่าก็เริ่มคุมโรคได้ในเดือนตค.63 และยังคุมได้ในระดับไม่ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยมาจนถึงเดือนธค.63 โรคมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่เดือนพย.63เป็นต้นมา แม้แนวโน้มการลดโรคยังไม่ชัดเจนมาก แต่ชัดเจนว่าโรคคุมอยู่และผู้ติดเชื้อไม่เพิ่มขึ้น สถานะการณ์เป็นอย่างนี้มาสามเดือนแล้ว ยังไม่มีอะไรบ่งชี้ว่ามันจะแย่ไปกว่านี้ ดังนั้นจากหลักฐานที่มี สถานะการณ์ทางด้านพม่าจะไม่กระทบประเทศไทยมากกว่าเท่าที่เป็นอยู่ในสามเดือนที่ผ่านมา   

     สถานะการณ์ทางลาวและกัมพูชา

     ทางด้านลาวและกัมพูชานั้นยังไม่มีอะไรที่น่าห่วงว่าจะมากระทบไทยเลย เพราะทั้งลาวและกัมพูชามีสถานะการระบาดของโรคอยู่ในระดับ sporadic คือมีเคสกระเส็นกระสายเข้ามาประปรายน้อยมากและไม่มีคนตายจากโรคนี้เลย จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะแพร่เชื้อให้ประเทศเพื่อนบ้านได้ มีก็แต่จะได้รับเชื้อจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าไปเท่านั้น ส่วนข้อกังวลที่ว่าข้อมูลจากสองประเทศนี้เป็นข้อมูลไม่จริงนั้นเป็นข้อกังวลที่ไร้สาระ เพราะการควบคุมโรคโควิดในระดับนานาชาติบริหารโดยองค์การอนามัยโลกซึ่งประเมินข้อเท็จจริงจากหลายด้านแบบวันต่อวัน ทั้งการตรวจหาและเฝ้าระวังโรคในประเทศกัมพูชาก็ได้รับความช่วยเหลือจากแล็บของสถาบันปาสเตอร์ของฝรั่งเศสซึ่งเป็นสถาบันที่ก่อกำเนิดวัคซีนให้แก่โลกนี้ในอดีต มีความเชื่อถือได้แน่นอน ดังนั้นข้อมูลโรคจากทั้งสองประเทศนี้เชื่อถือได้ในระดับเดียวกับข้อมูลจากประเทศอื่นๆ ส่วนข่าวไร้ที่มาที่ร่อนกันในอินเตอร์เน็ทนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ

     ตัวเปลี่ยนเกม (Game Changers) สามอย่าง 

     บทสรุปในภาพรวมคือเมื่อวิเคราะห์ปัจจัยรอบด้านแล้ว ประเทศไทยยังคงไปได้ฉลุยในแง่ของการควบคุมโรค เพราะสถานการณ์โดยรอบไม่มีอะไรส่อไปทางร้าย และสถานะการภายในยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ระบบการสอบสวนควบคุมโรคยังเวอร์คดีมาก ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ที่กระดกขึ้นในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ยังอยู่ในปริมาณที่น้อย และอยู่ในความชัน (อัตราเพิ่ม) ที่ไม่ต่างจากหกเดือนที่ผ่านมามากนัก แต่อาจมีตัวเปลี่ยนเกมที่สำคัญสามตัวที่อาจเปลี่ยนสถานะการณ์ดีนี้ให้เป็นร้ายได้ คือ

     1. การเข้ามาของผู้ติดเชื้อรายใหม่แบบเนียนๆไม่มีใครรู้ หมายถึงเข้ามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางพม่า เพราะแม้พม่าจะคุมโรคภายในได้ แต่พม่ามีผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับแสนคน ในจำนวนนี้หากมีบ้างที่เล็ดลอดผ่านด่านคัดกรองเข้ามาปะปนกับฝูงชนที่เราคิดว่าปลอดเชื้อ ก็อาจจะเปลี่ยนเกมได้ 

     2. การชื่นชุมนุมในเทศกาลคริสต์มาสปีใหม่ การชื่นชุมนุมในเทศกาลจะไม่มีปัญหาเลย หากไม่มีผู้ติดเชื้อเข้าไปร่วมชื่นชุมนุมด้วย จะเบียดกันเอาให้แน่นขนัดหรือเอาให้มันสะแด่วแห้วอย่างไรก็ได้ แต่หากมีผู้ติดเชื้อเหน่งๆเล็ดลอดเข้าไปร่วมเบียดเสียดชื่นชุมนุมได้แม้เพียงคนเดียว เกมก็อาจจะเปลี่ยนได้ทันที

     3. ความเย็นและความชื้นของอากาศ หลักฐานเรื่องอุณหภูมิและความชื้นต่อการแพร่กระจายเชื้อซาร์โควี2 (โควิด19) ยังไม่มี มีแต่ว่าซาร์สโควี1ซึ่งเป็นพี่น้องกันนั้นกระจายเร็วในอากาศเย็นระดับ 22-25 องศา และความชื้นระดับ 40-50% พูดง่ายๆว่าชอบหน้าหนาว และหากเราย้อนดูอดีตตอนที่โควิด19 ระบาดระเบิดระเบ้อทั่วโลกนั้นเป็นช่วงเดือนมีค. 63 รวมทั้งในประเทศไทยเราด้วย ดังนั้นความเย็นและความชื้นก็เป็นตัวเปลี่ยนเกมอีกตัวหนึ่ง

     บทสรุป

     สรุปว่าสถานะการณ์โควิด19 นับถึงวันนี้ยังชิลๆอยู่ แต่มีตัวเปลี่ยนเกมที่คาดเดาไม่ได้จ่ออยู่สามตัว ในฐานะแพทย์ผมทราบแต่การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงของโรคและการป้องกันโรคด้วยการจัดการปัจจัยเสี่ยงซึ่งผมเล่าให้ฟังหมดแล้ว แต่หากถามผมว่าอนาคตของโควิด19ปลายปีนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็ได้แต่ร้องเพลงให้ฟังว่า

     "ต่อไปจะเป็นฉันใด..ม่าย..ย...รู้"

     ตัวหมอสันต์เองจะเป็นเจ้าภาพจัดฟังเปียโนคลาสสิกในสวนที่มวกเหล็กในวันที่ 26 ธค. 63 ซึ่งก็คือการทำตัวเป็นคนมือบอนสร้างตัวเปลี่ยนเกมตัวที่สองขึ้นมา คือการชื่นชุมนุมในเทศกาลคริสตมาสปีใหม่ นั่นเอง หิ..หิ รู้ รู้อยู่ ว่าถ้าให้ทุกคนอยู่บ้านเฉยๆไปจนโลกแตกก็จะเป็นวิธีป้องกันโควิด19ที่ดีที่สุด แต่ไหนๆปีใหม่ทั้งทีมันอดมือบอนไม่ได้ 

     อย่างไรก็ตาม ขอถือโอกาสนี้ป่าวประกาศให้แฟนบล็อกหมอสันต์ที่จะมาฟังเปียโนเสียเลยว่าทุกท่านจะต้องมาพร้อมกับมาสก์ ไม่งั้นต้องซื้อของแพงที่หน้าบ้านไม่รู้ด้วยนะ และจะต้องถูกส่องอุณหภูมิก่อนทุกคน อย่าว่ากันว่าจุกจิกหยุมหยิม ส่วนการจะนั่งใกล้ชิดอี๋อ๋อแบบซึ้งๆนั้นไม่ห้าม เพราะถ้าขืนห้ามความโรแมนติกก็ไม่รู้จะมีเทศกาลคริสตมาสปีใหม่ไปทำไม

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 

[อ่านต่อ...]