เรียนอ.สันต์ค่ะ
1. เนื่องจากคุณแม่เป็นความดันมา 4-5 ปีค่ะ ตอนแรกคุณหมอให้ APROVEL 300 mg วันละ 1 เม็ดหลังตื่นนอนตอนเช้า ต่อมาเปลี่ยนเป็น Madiplot 20 mg วันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า ความดันอยู่ที่ประมาณ 138/70 ต่อมาเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาคุณหมอเปลี่ยนเป็น Prenolol 50 mg ทานครั้งละ 1 เม็ด ตอนเช้าและเย็น ตอนนี้ความดันเหลือ 117/47 แบบนี้ทานยา Prenolol มากเกินหรือเปล่าคะ และความดันเท่านี้ถือว่าปกติสำหรับคนอายุ 70 ปีหรือไม่คะ
2. คุณแม่ทานยา Damamine แก้เวียน ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น ทานแล้วรู้สึกง่วงมาก ทานแค่วันละ 2 ครั้งจะได้มั้ยคะ เพราะตอนนี้ไม่เวียน หรือสามารถหยุดยาได้เลยหรือไม่คะ
รบกวน อ.สันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
..................................
ตอบครับ
ก่อนที่จะตอบคำถาม ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ควรรู้จักหลักการรักษาความดันเลือดสูง 6 ประการ ซึ่งเป็นมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ไว้ดังนี้นะครับ
1. หลักการวัดความดันเลือด วิธีวัดมาตรฐานคือ (1) ก่อนวัดสามสิบนาทีควรเลี่ยงบุหรี่ กาแฟ และการออกกำลังกาย (2) วัดด้วยเครื่องแบบโบราณใช้ปรอทแบบบีบฟืดๆเสมอ ถ้าจะวัดด้วยเครื่องอัตโนมัติต้องเป็นเครื่องที่ได้สอบเทียบกับเครื่องโบราณแล้วว่าอ่านค่าได้ถูกต้อง ถ้ามีเครื่องที่ไม่เคยสอบเทียบที่บ้าน อุ้มไปสอบเทียบที่รพ.สักครั้งก็ดี (3) นั่งพักห้านาทีก่อนวัด (4) วัดในท่านั่ง สองเท้าแตะพื้น แขนวางบนโต๊ะเสมอระดับหัวใจ (5) เลือกตัวคัฟ(ถุงลมพันแขน)ให้พอดี ตัวถุงลมต้องกินพื้นที่อย่างน้อย 80%ของรอบแขน (6) วัดหลายๆครั้ง อย่างน้อยสองครั้ง เลือกเอาค่าที่เป็นตัวแทนของค่ารวมได้ดีที่สุด ค่าที่วัดออกมาได้มีสองตัว คือค่าตัวบนเรียกความดันซีสโตลิก ค่าตัวล่างเรียกไดอาสโตลิก สมัยก่อนตัวล่างสำคัญกว่าตัวบน แต่สมัยนี้ตัวบนสำคัญกว่าตัวล่าง สำหรับคนสูงอายุดูแต่ตัวบนตัวเดียวไม่ดูตัวล่างเลยก็ยังได้
2. หลักเป้าหมายความดันเลือด หมายความว่าความดันเลือดในอุดมคติที่เราอยากได้ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือให้ได้ความดันเลือดไม่ต่ำกว่า 100/65 และไม่สูงกว่า 150/100 มม.ปรอท (มาตรฐานใหม่ ปีค.ศ. 2014) มีข้อยกเว้นบ้างในกรณีนักกีฬาและเด็ก ซึ่งความดันอาจปกติอาจจะลงไปได้ต่ำถึง 90/60 ก็ถือว่าโอเค.เช่นกัน
3. หลักจุดตัดที่จะใช้ยา หมายความว่าถ้าสูงไปกว่าจุดตัดนี้ไม่ดี ต้องใช้ยาหรือเพิ่มยาแล้ว ซึ่งจุดตัดนี้แตกต่างกันไปตามความเสี่ยงเฉพาะตัวของแต่ละคนดังนี้
3.1 คนทั่วไป ไม่มีโรคเรื้อรัง ใช้ยาหรือเพิ่มยาเมื่อความดันเกิน 150/100 (ตัวใดตัวหนึ่ง)
3.2 คนเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ใช้ยาหรือเพิ่มยาเมื่อความดันเกิน 140/80
3.3 คนเป็นโรคไตเรื้อรัง ใช้ยาหรือเพิ่มยาเมื่อความดันเกิน 130/80
4. หลักการลดความดันด้วยการไม่ใช้ยา ซึ่งต้องทำทุกคน ไม่ว่าจะใช้ยาแล้วหรือไม่ก็ตาม คือ
4.1 ถ้าอ้วนให้ลดน้ำหนัก ถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กก. จะลดความดันตัวบนลงได้ถึง 20 มม.
4.2 กินอาหารที่มีไขมันต่ำมีแคลอรี่ต่ำและมีผักและผลไม้มากๆ กินมังสะวิรัติเลยได้ยิ่งดี อาหารลดความดันเลือดที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีคือสูตร DASH diet ประกอบด้วยมังสะวิรัติ + อาหารทะเล + นมไร้ไขมัน สามารถลดความดันได้ถึง 15 มม.
4.3 ออกกำลังกายให้ได้ระดับมาตรฐาน คือออกจนเหนื่อยหอบแฮ่กๆร้องเพลงไม่ได้อยู่นาน 30 นาทีสัปดาห์ละ 5 ครั้ง จะลดความดันได้ถึง 9 มม.
4.4 ลดเกลือในอาหารลงให้เหลือระดับจืดสนิทจะลดความดันลงได้ถึง 8 มม.
4.5 ถ้าดื่มแอลกอฮอล์อยู่มากให้เลิกจะลดความดันลงได้ 4 มม.
5. หลักการค้นหาและขจัดสาเหตุ คือการรักษาความดันเลือดสูงไม่ใช่เอาแต่ให้ยาตะพึด ต้องมุ่งค้นหาปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุที่แก้ไขได้ ง่ายๆก็เช่นนิสัยไม่ดีต่างๆมีหรือเปล่า เช่น เครียด อ้วน ไม่ออกกำลังกาย ไม่กินผัก กินเค็ม ดื่มสุรา ไปจนถึงสาเหตุที่เป็นความผิดปกติของร่างกายเช่นหลอดเลือดไปเลี้ยงไตตีบ มีเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต เป็นต้น
6. หลักการรักษาความดันเลือดสูงด้วยยา อันนี้เป็นเรื่องของหมอเขาแล้ว มันมีประเด็นเยอะแยะมากมาย คุณไม่ต้องรู้ก็ได้
เอาละ ทีนี้มาตอบคำถามของคุณ
1. เดิมความดัน 138/70 ยังต่ำไม่พออีกหรือ ทำไมต้องลดลงไปกว่านั้นอีก ตอบว่าขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของคุณแม่คุณครับ ถ้าท่านมีปัญหาเรื่องการทำงานของไตเสื่อมอยู่ด้วย ถ้าท่านไม่มีความเสี่ยงพิเศษ ไตดี หัวใจดี ความดันขนาดนี้ (ไม่เกิน 150/100) ก็ถือว่ารับได้ครับ
2. หมอลดความดันจนเหลือ 117/47 ต่ำเกินไปหรือเปล่า ตอบว่าดูตัวเลขเชิงคณิตศาตร์ไม่ต่ำเกินไปครับ แต่ต้องดูอาการประกอบด้วย ถ้ามีอาการความดันตกเมื่อเปลี่ยนท่าร่างก็ถือว่าต่ำเกินไป ชนิดของยาที่เลือกใช้ก็มีผลต่ออาการความดันตกด้วยเหมือนกัน หมายความว่าที่ความดันเดียวกัน ยาบางตัวทำให้เกิดอาการ บางต้วไม่เกิด
3. ยา dimenhydrinate (Dramamine) เป็นยาแอนตี้ฮีสตามีน (แก้แพ้) ที่ใช้บรรเทาอาการเมาหัววิงเวียนได้ด้วย การใช้ยาบรรเทาอาการ เมื่ออาการบรรเทาลงสมประสงค์แล้ว ก็เลิกกินยาได้ ไม่ต้องกินตะพึดไปจนยาหมดถุงที่หมอให้
4. ในกรณีคุณแม่ของคุณนี้ ทั้งยา irbesartan (Approvel) และยา manidipine (Madiplot) ต่างก็ทำให้เมาหัววิงเวียนได้ ไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าเกิดจากยาหรือเปล่า นอกจากลองหยุดยาดู นี่เป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมการรักษาความดันเลือดสูงจึงควรพุ่งเป้าไปที่การลดความดันเลือดด้วยวิธีที่ไม่ใช้ยาอย่างเข้มข้นจริงจัง เพราะยามักจะมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ติดมาด้วยเสมอ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Aram V. Chobanian; George L. Bakris; Henry R. Black; William C. Cushman; Lee A. Green; Joseph L. Izzo, Jr; Daniel W. Jones; Barry J. Materson; Suzanne Oparil; Jackson T. Wright, Jr; Edward J. Roccella; Seventh Report of the Joint National Committee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Pressure. Hypertension. 2003;42:1206.
[อ่านต่อ...]
1. เนื่องจากคุณแม่เป็นความดันมา 4-5 ปีค่ะ ตอนแรกคุณหมอให้ APROVEL 300 mg วันละ 1 เม็ดหลังตื่นนอนตอนเช้า ต่อมาเปลี่ยนเป็น Madiplot 20 mg วันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า ความดันอยู่ที่ประมาณ 138/70 ต่อมาเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมาคุณหมอเปลี่ยนเป็น Prenolol 50 mg ทานครั้งละ 1 เม็ด ตอนเช้าและเย็น ตอนนี้ความดันเหลือ 117/47 แบบนี้ทานยา Prenolol มากเกินหรือเปล่าคะ และความดันเท่านี้ถือว่าปกติสำหรับคนอายุ 70 ปีหรือไม่คะ
2. คุณแม่ทานยา Damamine แก้เวียน ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น ทานแล้วรู้สึกง่วงมาก ทานแค่วันละ 2 ครั้งจะได้มั้ยคะ เพราะตอนนี้ไม่เวียน หรือสามารถหยุดยาได้เลยหรือไม่คะ
รบกวน อ.สันต์ช่วยตอบด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ
..................................
ตอบครับ
ก่อนที่จะตอบคำถาม ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ควรรู้จักหลักการรักษาความดันเลือดสูง 6 ประการ ซึ่งเป็นมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ไว้ดังนี้นะครับ
1. หลักการวัดความดันเลือด วิธีวัดมาตรฐานคือ (1) ก่อนวัดสามสิบนาทีควรเลี่ยงบุหรี่ กาแฟ และการออกกำลังกาย (2) วัดด้วยเครื่องแบบโบราณใช้ปรอทแบบบีบฟืดๆเสมอ ถ้าจะวัดด้วยเครื่องอัตโนมัติต้องเป็นเครื่องที่ได้สอบเทียบกับเครื่องโบราณแล้วว่าอ่านค่าได้ถูกต้อง ถ้ามีเครื่องที่ไม่เคยสอบเทียบที่บ้าน อุ้มไปสอบเทียบที่รพ.สักครั้งก็ดี (3) นั่งพักห้านาทีก่อนวัด (4) วัดในท่านั่ง สองเท้าแตะพื้น แขนวางบนโต๊ะเสมอระดับหัวใจ (5) เลือกตัวคัฟ(ถุงลมพันแขน)ให้พอดี ตัวถุงลมต้องกินพื้นที่อย่างน้อย 80%ของรอบแขน (6) วัดหลายๆครั้ง อย่างน้อยสองครั้ง เลือกเอาค่าที่เป็นตัวแทนของค่ารวมได้ดีที่สุด ค่าที่วัดออกมาได้มีสองตัว คือค่าตัวบนเรียกความดันซีสโตลิก ค่าตัวล่างเรียกไดอาสโตลิก สมัยก่อนตัวล่างสำคัญกว่าตัวบน แต่สมัยนี้ตัวบนสำคัญกว่าตัวล่าง สำหรับคนสูงอายุดูแต่ตัวบนตัวเดียวไม่ดูตัวล่างเลยก็ยังได้
2. หลักเป้าหมายความดันเลือด หมายความว่าความดันเลือดในอุดมคติที่เราอยากได้ ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน คือให้ได้ความดันเลือดไม่ต่ำกว่า 100/65 และไม่สูงกว่า 150/100 มม.ปรอท (มาตรฐานใหม่ ปีค.ศ. 2014) มีข้อยกเว้นบ้างในกรณีนักกีฬาและเด็ก ซึ่งความดันอาจปกติอาจจะลงไปได้ต่ำถึง 90/60 ก็ถือว่าโอเค.เช่นกัน
3. หลักจุดตัดที่จะใช้ยา หมายความว่าถ้าสูงไปกว่าจุดตัดนี้ไม่ดี ต้องใช้ยาหรือเพิ่มยาแล้ว ซึ่งจุดตัดนี้แตกต่างกันไปตามความเสี่ยงเฉพาะตัวของแต่ละคนดังนี้
3.1 คนทั่วไป ไม่มีโรคเรื้อรัง ใช้ยาหรือเพิ่มยาเมื่อความดันเกิน 150/100 (ตัวใดตัวหนึ่ง)
3.2 คนเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ใช้ยาหรือเพิ่มยาเมื่อความดันเกิน 140/80
3.3 คนเป็นโรคไตเรื้อรัง ใช้ยาหรือเพิ่มยาเมื่อความดันเกิน 130/80
4. หลักการลดความดันด้วยการไม่ใช้ยา ซึ่งต้องทำทุกคน ไม่ว่าจะใช้ยาแล้วหรือไม่ก็ตาม คือ
4.1 ถ้าอ้วนให้ลดน้ำหนัก ถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กก. จะลดความดันตัวบนลงได้ถึง 20 มม.
4.2 กินอาหารที่มีไขมันต่ำมีแคลอรี่ต่ำและมีผักและผลไม้มากๆ กินมังสะวิรัติเลยได้ยิ่งดี อาหารลดความดันเลือดที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีคือสูตร DASH diet ประกอบด้วยมังสะวิรัติ + อาหารทะเล + นมไร้ไขมัน สามารถลดความดันได้ถึง 15 มม.
4.3 ออกกำลังกายให้ได้ระดับมาตรฐาน คือออกจนเหนื่อยหอบแฮ่กๆร้องเพลงไม่ได้อยู่นาน 30 นาทีสัปดาห์ละ 5 ครั้ง จะลดความดันได้ถึง 9 มม.
4.4 ลดเกลือในอาหารลงให้เหลือระดับจืดสนิทจะลดความดันลงได้ถึง 8 มม.
4.5 ถ้าดื่มแอลกอฮอล์อยู่มากให้เลิกจะลดความดันลงได้ 4 มม.
5. หลักการค้นหาและขจัดสาเหตุ คือการรักษาความดันเลือดสูงไม่ใช่เอาแต่ให้ยาตะพึด ต้องมุ่งค้นหาปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุที่แก้ไขได้ ง่ายๆก็เช่นนิสัยไม่ดีต่างๆมีหรือเปล่า เช่น เครียด อ้วน ไม่ออกกำลังกาย ไม่กินผัก กินเค็ม ดื่มสุรา ไปจนถึงสาเหตุที่เป็นความผิดปกติของร่างกายเช่นหลอดเลือดไปเลี้ยงไตตีบ มีเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต เป็นต้น
6. หลักการรักษาความดันเลือดสูงด้วยยา อันนี้เป็นเรื่องของหมอเขาแล้ว มันมีประเด็นเยอะแยะมากมาย คุณไม่ต้องรู้ก็ได้
เอาละ ทีนี้มาตอบคำถามของคุณ
1. เดิมความดัน 138/70 ยังต่ำไม่พออีกหรือ ทำไมต้องลดลงไปกว่านั้นอีก ตอบว่าขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของคุณแม่คุณครับ ถ้าท่านมีปัญหาเรื่องการทำงานของไตเสื่อมอยู่ด้วย ถ้าท่านไม่มีความเสี่ยงพิเศษ ไตดี หัวใจดี ความดันขนาดนี้ (ไม่เกิน 150/100) ก็ถือว่ารับได้ครับ
2. หมอลดความดันจนเหลือ 117/47 ต่ำเกินไปหรือเปล่า ตอบว่าดูตัวเลขเชิงคณิตศาตร์ไม่ต่ำเกินไปครับ แต่ต้องดูอาการประกอบด้วย ถ้ามีอาการความดันตกเมื่อเปลี่ยนท่าร่างก็ถือว่าต่ำเกินไป ชนิดของยาที่เลือกใช้ก็มีผลต่ออาการความดันตกด้วยเหมือนกัน หมายความว่าที่ความดันเดียวกัน ยาบางตัวทำให้เกิดอาการ บางต้วไม่เกิด
3. ยา dimenhydrinate (Dramamine) เป็นยาแอนตี้ฮีสตามีน (แก้แพ้) ที่ใช้บรรเทาอาการเมาหัววิงเวียนได้ด้วย การใช้ยาบรรเทาอาการ เมื่ออาการบรรเทาลงสมประสงค์แล้ว ก็เลิกกินยาได้ ไม่ต้องกินตะพึดไปจนยาหมดถุงที่หมอให้
4. ในกรณีคุณแม่ของคุณนี้ ทั้งยา irbesartan (Approvel) และยา manidipine (Madiplot) ต่างก็ทำให้เมาหัววิงเวียนได้ ไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าเกิดจากยาหรือเปล่า นอกจากลองหยุดยาดู นี่เป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมการรักษาความดันเลือดสูงจึงควรพุ่งเป้าไปที่การลดความดันเลือดด้วยวิธีที่ไม่ใช้ยาอย่างเข้มข้นจริงจัง เพราะยามักจะมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ติดมาด้วยเสมอ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Aram V. Chobanian; George L. Bakris; Henry R. Black; William C. Cushman; Lee A. Green; Joseph L. Izzo, Jr; Daniel W. Jones; Barry J. Materson; Suzanne Oparil; Jackson T. Wright, Jr; Edward J. Roccella; Seventh Report of the Joint National Committee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Pressure. Hypertension. 2003;42:1206.