อายุ 23 ปีค่ะ น้ำหนัก 44.5 สูง 164
กิจวัตรประจำวันจะตื่นเช้าประมาณ06.30น. หรือไม่ก็ไม่เกิน09.00น. ก็ทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จก็เข้าไปเรียนตามปกติ จะไม่ได้ออกกำลังกายเลย และเป็นคนดื่มน้ำน้อยมาก ต่อวันไม่เกิน 1 ลิตรความดันต่ำเกือบจะตลอดทุกครั้งที่ตรวจ ตัวเหลือง มีหมอเคยบอกว่าเหมือนจะมีภาวะซีด จะเป็นเหน็บชาบ่อยบิเวณปลายนิ้วมือและช่วงขาท่อนบน จะอุจจาระหนาว ช่วงที่อากาศหนาวก็จะมีอาการอีกอย่างหนึ่งคือปวดขามากมากปวดแบบเข้าไปถึงกระดูกอาการนี้เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วบางครั้งปวดจนร้องไห้ ต้องบีบนวดสักพักจึงจะทุเลาอาการปวดไปได้สักครู่ จะปวดทั้ง2ข้างทั้งขาช่วงล่างและชวงบน ท้องผูกบ่อยก็เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วตอนบางครั้งไม่ถ่ายมา5-7วันจนปวดมวนท้องแล้วก็ทนไม่ไหวก็จะเป็นลมหมดสติไปพ่อกับแม่ต้องช่วยกันดูแลตลอดเวลาปวดท้อง เพราะเป็นบ่อยก็ต้องสวน บีบนวด และให้กินยาหอม พอถ่ายอาการก็ดีขึ้น
โรคประจำตัวเท่าที่ทราบ( เป็นโรคกระเพาะ ภูมิแพ้ ไซนัส ไมเกรน )
พอตื่นปุ๊ปจะหิวต้องรีบหาอะไรกินไม่งั้นจะรู้สึกแสบท้องมากแสบมาถึงต้นคอ ยิ่งช่วงนี้บางครั้งมีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมสั่นเล็กน้อยต้องรีบหาอะไรกินทันที ผิดเวลานิดเดียวก็หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม แต่บางครั้งหลังจากกินอาหารตามปกติแล้วก็ยังมีอาการหน้ามืดจะเป็นลมอยู่บ่อยๆวันนึงก็มีอาการหลายครั้ง เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง จะกินได้น้อยเพราะรู้สึกเบื่ออาหารกินนิดเดียวก็อิ่มแล้ว (เป็นมาหลายเดือนแล้ว) และน้ำหนักตัวจากเมื่อก่อน 49 ก็ลดลงมาเรื่อยๆ ถึง44.5 (ตอนนี้) ที่ว่าน้ำหนักลดเป็นมาประมาณ 2 ปีแล้ว ส่วนอาหารที่กินในแต่ละวันก็จะมีผลไม้เกือบทุกวันแต่วันละ1อย่าง (ไม่เยอะ5-6ชิ้น) และก็นมไวตามิ้ลค์ จะดื่มบ่อยเกือบทุกวัน ผักกินในปริมาณน้อย พวกขนมไม่ค่อยจะได้กิน จะนอนหลัง 5ทุ่มเป็นส่วนใหญ่และจะนอนไม่ค่อยหลับ บางคืนก็ครึ่งหลับครึ่งตื่น เป็นมา 2 เดือนแล้วไม่เคยใช้ยานอนหลับ
ยาที่ใช้อยู่บ่อยๆจะเป็นยาแก้แพ้อากาศเม็ดเล็กสีขาวรี ยาภูมิแพ้เม็ดเล็กสีเหลือง ยาอะม็อกซิ
ส่วนเรื่องประจำเดือนจะมานาน7 วัน ที่มามากมากก็4-5วัน เปลี่ยนวันละประมาณ 4 ครั้ง เป็นลิ่มด้วย
ตรวจสุขภาพครั้งล่าสุดประมาณต้นเดือนตุลาปี53 (ด้วยตอนนั้นมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก หายใจลำบากเหมือนมีอะไรหนักๆมาทับที่อกเวลาจะหายใจต้องถอนหายใจอยู่บ่อยๆเพื่อให้หายใจได้เต็มที่ บวกกับอาการสั่นตอนหิว และตอนตื่นนอนตอนเช้ามือขาอ่อนแรงไม่มีแรงแม้แต่จะกำมือ)
เพิ่มเติม ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกันด้วยรึปล่าวนะค่ะแม่หนูมีโรคประจำตัวคือ ไทรอย ภูมิแพ้ ไวรัสตับอักเสบบี
………………………
ตอบครับ
ผมขออนุญาตทำลำดับปัญหาของคุณในเชิงการแพทย์ (problems list) ก่อนนะ ปัญหาของคุณเรียงตามลำดับความสำคัญก่อนหลังมีประมาณนี้
1. น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ (ดัชนีมวลกาย 16.5 ซึ่งปกติอย่างน้อยควรได้ 18.5 หรือน้ำหนัก 50 กก.)
2. น้ำหนักลดโดยยังไม่ทราบสาเหตุ
3. โลหิตจาง (ยังไม่ทราบว่าจากขาดธาตุเหล็กหรือเป็นทาลาสซีเมีย)
4. อาจเป็นตับอักเสบบี.ระยะ immune tolerance phase (จากประวัติที่แม่เป็นโรคนี้)
5. อาจมีภาวะไฮเปอร์ไทรอยด์ (จากประวัตินอนไม่หลับ น้ำหนักลด หิวง่าย)
ผมแนะนำให้คุณทำดังนี้
ขั้นที่ 1. คุณต้องกลับไปพบแพทย์ก่อน คราวนี้จะต้องมีการประเมินข้อมูลต่อไปนี้ให้ได้คำตอบชัดเจน
1. ตรวจ CBC ใหม่ ว่ามีโลหิตจางจริงหรือไม่ ถ้ามีจริง ขนาดและรูปร่างเม็ดเลือดแดงผิดปกติไหม ถ้าผิดปกติก็ต้องตรวจลึกลงไปถึงการวิเคราะห์ฮีโมโกลบินและการตรวจยีนทาลาสซีเมียเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นทาลาสซีเมียแฝงแบบใดแบบหนึ่งหรือเปล่า ต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ก่อนจึงจะรักษาได้ เพราะถ้าเป็นทาลาสซีเมียจะใช้เหล็กทดแทนไม่ได้
2. ตรวจสถานะการติดเชื้อและภูมิคุ้มกันโรคไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg, HBsAb) และตรวจการทำงานของตับ (SGPT) เพื่อพิสูจน์ว่ารับเชื้อมาจากแม่หรือไม่ ถ้ารับมา โรคกำลังอยู่ในระยะไหน มีการอักเสบของเซลตับแล้วหรือยัง) เพราะโรคนี้ ถ้าอยู่คนละระยะ การรักษาไม่เหมือนกัน
3. ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ อย่างน้อยก็ต้องตรวจ TSH และ FT4 เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์หรือไม่ ถ้าเป็นก็จะต้องใช้ยาต้านไทรอยด์ร่วมรักษา
4. ต้องตรวจเอ็กซเรย์ปอดเพื่อวินิจฉัยแยกวัณโรคซึ่งอาจเป็นสาเหตุของน้ำหนักลดได้
เมื่อคุณไปหาหมอ คุณต้องจดประเด็นทั้ง 4 นี้ไปด้วย ถามหมอจนได้คำตอบที่มีหลักฐานประกอบจนมั่นใจทุกประเด็น จึงจะเลิกรา
ขั้นที่ 2. คุณต้องปรับปรุงโภชนาการของคุณใหม่ โดยมีเป้าหมายเพิ่มน้ำหนักขึ้นให้ถึง 50 กก.ในเวลา 6 เดือน สาระหลักของโภชนาการเพื่อแก้ไขภาวะขาดอาหารมันมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก คุณหาอ่านเอาเอง ผมจะเน้นเฉพาะประเด็นสำคัญสามประเด็น
(1) กินสารอาหาร (nutrient) ให้พอ ซึ่งจะได้จากผักผลไม้ ต้องกินผลไม้หั่นวันละสามจาน ผักวันละสองจาน
(2) กินโปรตีนเข้าไปให้พอ ประมาณวันละอย่างน้อย 50 กรัม หมายถึง 50 กรัมของโปรตีน ไม่ใช่กรัมของเนื้อนมไข่ ยกตัวอย่างคุณกินเนื้อหมู 100 กรัม (สะเต๊กชิ้นโตหนึ่งชิ้น)คุณจะได้โปรตีน 20% คือ 20 กรัมเท่านั้นเอง หรือถ้าคุณกินไข่ใบโตหนึ่งฟอง (70 กรัม) คุณจะได้โปรตีน 10% คือ 7 กรัมเท่านั้นเอง คุณดื่มนม 1 แก้ว (250 ซีซี.) คุณจะได้โปรตีนประมาณ 3.3% คือ 8.2 กรัมเท่านั้นเอง ดังนั้นวันหนึ่งถ้าคุณอยากได้โปรตีน 50 กรัมคุณต้องกินกินสเต๊กชิ้นโตหนึ่งชิ้น ไข่สองฟอง นม 2 แก้ว ประมาณนี้
(3) ต้องออกกำลังกายจริงจัง เพื่อให้กลไกการเผาผลาญอาหารของร่างกายกลับมาเป็นปกติ คือต้องออกกำลังกายให้ได้ระดับมาตรฐาน หมายถึงออกกำลังกายแบบต่อเนื่องจนหนักพอควร (คือเหนื่อยแฮ่กๆร้องเพลงไมได้) นาน 30 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง และเล่นกล้ามอีกสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย
คุณเอาทั้งสองขั้นตอนนี้ไปทำก่อนสักสามเดือน มีปัญหาค่อยเขียนมาอีกที แต่ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ต้องเขียนมาก็ได้ครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]
กิจวัตรประจำวันจะตื่นเช้าประมาณ06.30น. หรือไม่ก็ไม่เกิน09.00น. ก็ทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จก็เข้าไปเรียนตามปกติ จะไม่ได้ออกกำลังกายเลย และเป็นคนดื่มน้ำน้อยมาก ต่อวันไม่เกิน 1 ลิตรความดันต่ำเกือบจะตลอดทุกครั้งที่ตรวจ ตัวเหลือง มีหมอเคยบอกว่าเหมือนจะมีภาวะซีด จะเป็นเหน็บชาบ่อยบิเวณปลายนิ้วมือและช่วงขาท่อนบน จะอุจจาระหนาว ช่วงที่อากาศหนาวก็จะมีอาการอีกอย่างหนึ่งคือปวดขามากมากปวดแบบเข้าไปถึงกระดูกอาการนี้เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วบางครั้งปวดจนร้องไห้ ต้องบีบนวดสักพักจึงจะทุเลาอาการปวดไปได้สักครู่ จะปวดทั้ง2ข้างทั้งขาช่วงล่างและชวงบน ท้องผูกบ่อยก็เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วตอนบางครั้งไม่ถ่ายมา5-7วันจนปวดมวนท้องแล้วก็ทนไม่ไหวก็จะเป็นลมหมดสติไปพ่อกับแม่ต้องช่วยกันดูแลตลอดเวลาปวดท้อง เพราะเป็นบ่อยก็ต้องสวน บีบนวด และให้กินยาหอม พอถ่ายอาการก็ดีขึ้น
โรคประจำตัวเท่าที่ทราบ( เป็นโรคกระเพาะ ภูมิแพ้ ไซนัส ไมเกรน )
พอตื่นปุ๊ปจะหิวต้องรีบหาอะไรกินไม่งั้นจะรู้สึกแสบท้องมากแสบมาถึงต้นคอ ยิ่งช่วงนี้บางครั้งมีอาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมสั่นเล็กน้อยต้องรีบหาอะไรกินทันที ผิดเวลานิดเดียวก็หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม แต่บางครั้งหลังจากกินอาหารตามปกติแล้วก็ยังมีอาการหน้ามืดจะเป็นลมอยู่บ่อยๆวันนึงก็มีอาการหลายครั้ง เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง จะกินได้น้อยเพราะรู้สึกเบื่ออาหารกินนิดเดียวก็อิ่มแล้ว (เป็นมาหลายเดือนแล้ว) และน้ำหนักตัวจากเมื่อก่อน 49 ก็ลดลงมาเรื่อยๆ ถึง44.5 (ตอนนี้) ที่ว่าน้ำหนักลดเป็นมาประมาณ 2 ปีแล้ว ส่วนอาหารที่กินในแต่ละวันก็จะมีผลไม้เกือบทุกวันแต่วันละ1อย่าง (ไม่เยอะ5-6ชิ้น) และก็นมไวตามิ้ลค์ จะดื่มบ่อยเกือบทุกวัน ผักกินในปริมาณน้อย พวกขนมไม่ค่อยจะได้กิน จะนอนหลัง 5ทุ่มเป็นส่วนใหญ่และจะนอนไม่ค่อยหลับ บางคืนก็ครึ่งหลับครึ่งตื่น เป็นมา 2 เดือนแล้วไม่เคยใช้ยานอนหลับ
ยาที่ใช้อยู่บ่อยๆจะเป็นยาแก้แพ้อากาศเม็ดเล็กสีขาวรี ยาภูมิแพ้เม็ดเล็กสีเหลือง ยาอะม็อกซิ
ส่วนเรื่องประจำเดือนจะมานาน7 วัน ที่มามากมากก็4-5วัน เปลี่ยนวันละประมาณ 4 ครั้ง เป็นลิ่มด้วย
ตรวจสุขภาพครั้งล่าสุดประมาณต้นเดือนตุลาปี53 (ด้วยตอนนั้นมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออก หายใจลำบากเหมือนมีอะไรหนักๆมาทับที่อกเวลาจะหายใจต้องถอนหายใจอยู่บ่อยๆเพื่อให้หายใจได้เต็มที่ บวกกับอาการสั่นตอนหิว และตอนตื่นนอนตอนเช้ามือขาอ่อนแรงไม่มีแรงแม้แต่จะกำมือ)
เพิ่มเติม ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกันด้วยรึปล่าวนะค่ะแม่หนูมีโรคประจำตัวคือ ไทรอย ภูมิแพ้ ไวรัสตับอักเสบบี
………………………
ตอบครับ
ผมขออนุญาตทำลำดับปัญหาของคุณในเชิงการแพทย์ (problems list) ก่อนนะ ปัญหาของคุณเรียงตามลำดับความสำคัญก่อนหลังมีประมาณนี้
1. น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ (ดัชนีมวลกาย 16.5 ซึ่งปกติอย่างน้อยควรได้ 18.5 หรือน้ำหนัก 50 กก.)
2. น้ำหนักลดโดยยังไม่ทราบสาเหตุ
3. โลหิตจาง (ยังไม่ทราบว่าจากขาดธาตุเหล็กหรือเป็นทาลาสซีเมีย)
4. อาจเป็นตับอักเสบบี.ระยะ immune tolerance phase (จากประวัติที่แม่เป็นโรคนี้)
5. อาจมีภาวะไฮเปอร์ไทรอยด์ (จากประวัตินอนไม่หลับ น้ำหนักลด หิวง่าย)
ผมแนะนำให้คุณทำดังนี้
ขั้นที่ 1. คุณต้องกลับไปพบแพทย์ก่อน คราวนี้จะต้องมีการประเมินข้อมูลต่อไปนี้ให้ได้คำตอบชัดเจน
1. ตรวจ CBC ใหม่ ว่ามีโลหิตจางจริงหรือไม่ ถ้ามีจริง ขนาดและรูปร่างเม็ดเลือดแดงผิดปกติไหม ถ้าผิดปกติก็ต้องตรวจลึกลงไปถึงการวิเคราะห์ฮีโมโกลบินและการตรวจยีนทาลาสซีเมียเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นทาลาสซีเมียแฝงแบบใดแบบหนึ่งหรือเปล่า ต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ก่อนจึงจะรักษาได้ เพราะถ้าเป็นทาลาสซีเมียจะใช้เหล็กทดแทนไม่ได้
2. ตรวจสถานะการติดเชื้อและภูมิคุ้มกันโรคไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg, HBsAb) และตรวจการทำงานของตับ (SGPT) เพื่อพิสูจน์ว่ารับเชื้อมาจากแม่หรือไม่ ถ้ารับมา โรคกำลังอยู่ในระยะไหน มีการอักเสบของเซลตับแล้วหรือยัง) เพราะโรคนี้ ถ้าอยู่คนละระยะ การรักษาไม่เหมือนกัน
3. ตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ อย่างน้อยก็ต้องตรวจ TSH และ FT4 เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นไฮเปอร์ไทรอยด์หรือไม่ ถ้าเป็นก็จะต้องใช้ยาต้านไทรอยด์ร่วมรักษา
4. ต้องตรวจเอ็กซเรย์ปอดเพื่อวินิจฉัยแยกวัณโรคซึ่งอาจเป็นสาเหตุของน้ำหนักลดได้
เมื่อคุณไปหาหมอ คุณต้องจดประเด็นทั้ง 4 นี้ไปด้วย ถามหมอจนได้คำตอบที่มีหลักฐานประกอบจนมั่นใจทุกประเด็น จึงจะเลิกรา
ขั้นที่ 2. คุณต้องปรับปรุงโภชนาการของคุณใหม่ โดยมีเป้าหมายเพิ่มน้ำหนักขึ้นให้ถึง 50 กก.ในเวลา 6 เดือน สาระหลักของโภชนาการเพื่อแก้ไขภาวะขาดอาหารมันมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก คุณหาอ่านเอาเอง ผมจะเน้นเฉพาะประเด็นสำคัญสามประเด็น
(1) กินสารอาหาร (nutrient) ให้พอ ซึ่งจะได้จากผักผลไม้ ต้องกินผลไม้หั่นวันละสามจาน ผักวันละสองจาน
(2) กินโปรตีนเข้าไปให้พอ ประมาณวันละอย่างน้อย 50 กรัม หมายถึง 50 กรัมของโปรตีน ไม่ใช่กรัมของเนื้อนมไข่ ยกตัวอย่างคุณกินเนื้อหมู 100 กรัม (สะเต๊กชิ้นโตหนึ่งชิ้น)คุณจะได้โปรตีน 20% คือ 20 กรัมเท่านั้นเอง หรือถ้าคุณกินไข่ใบโตหนึ่งฟอง (70 กรัม) คุณจะได้โปรตีน 10% คือ 7 กรัมเท่านั้นเอง คุณดื่มนม 1 แก้ว (250 ซีซี.) คุณจะได้โปรตีนประมาณ 3.3% คือ 8.2 กรัมเท่านั้นเอง ดังนั้นวันหนึ่งถ้าคุณอยากได้โปรตีน 50 กรัมคุณต้องกินกินสเต๊กชิ้นโตหนึ่งชิ้น ไข่สองฟอง นม 2 แก้ว ประมาณนี้
(3) ต้องออกกำลังกายจริงจัง เพื่อให้กลไกการเผาผลาญอาหารของร่างกายกลับมาเป็นปกติ คือต้องออกกำลังกายให้ได้ระดับมาตรฐาน หมายถึงออกกำลังกายแบบต่อเนื่องจนหนักพอควร (คือเหนื่อยแฮ่กๆร้องเพลงไมได้) นาน 30 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง และเล่นกล้ามอีกสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย
คุณเอาทั้งสองขั้นตอนนี้ไปทำก่อนสักสามเดือน มีปัญหาค่อยเขียนมาอีกที แต่ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ต้องเขียนมาก็ได้ครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์