30 ตุลาคม 2555

อาหารเย็นหรือความตาย และวันอังคารกับมอรี


สวัสดีครับคุณหมอสันต์ที่นับถือ
ผมเกษียณแล้ว อายุ 66 ปี ได้มีโอกาสชมโทรทัศน์รายการที่คุณหมอสันต์พูดคุยกับคุณดู๋ (สัญญา คุณากร) โดยดูจากที่ช่องห้าเขาอัดไว้ทางคอมพิวเตอร์ ผมได้ฟังที่คุณหมอพูดถึงว่าเมื่อเกษียณแล้วเวลามันจะเหลือมาก ตอนนี้ผมก็มีปัญหานั้นแล้ว ก่อนเกษียณก็เฝ้ารอว่าเมื่อไรจะได้เกษียณ เมื่อได้เกษียณจริงก็ดีใจทำโน่นทำนี่อยู่พักใหญ่ แต่พอผ่านไปได้สองปีกว่าก็รู้สึกว่าตัวเองหมดไฟ มองอะไรมันจะไปทางไม่ดีหมด เช่นคิดถึงอนาคตของลูกหลานก็ออกมาทางไม่ดี คิดเป็นห่วงอนาคตของชาติบ้านเมือง ภาพที่เห็นก็เป็นภาพที่ชาติบ้านเมืองจะแย่ เมื่อเลิกสนใจสิ่งรอบตัว หันมาสนใจในบ้านของตัวเอง บ้านก็มีแต่ความว่างเปล่าเพราะลูกๆเขาก็ไปตั้งครอบครัวมีลูกกันหมดแล้ว เหลือแต่ผมกับภรรยาอยู่สองคนกับหมา 5 ตัว แมวอีก 3 ตัว ของภรรยาเขาทั้งหมด ได้แต่เปิดทีวีทิ้งไว้แล้วนั่งมองออกนอกหน้าต่าง เรื่องเซ็กซ์มันก็ไม่มีใจแล้ว ความจริงผมก็มีความรู้สึกทางเพศอยู่ แต่ว่ามันไม่มีแก่ใจที่จะเอาอกเอาใจคู่นอน ไม่มีใจที่จะทำอะไรให้คู่ขาเขามีความสุขบ้าง อยากจะรีบๆทำให้สำเร็จกิจของเราแล้วต่างคนต่างไป ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนี้ก็เลยอายตัวเองที่จะมีเซ็กซ์กับภรรยา เพราะมันไม่ยุติธรรมกับเขา ความมั่นใจในเรื่องต่างๆก็หดหายไปอย่างรวดเร็ว อย่างจะไปรับเงินบำนาญที่กรมเก่าก็ไม่อยากไปแล้ว เพราะมันรู้สึกไม่มั่นใจ ทั้งๆที่เพื่อนๆเขาก็บอกว่าให้มาเจอกันบ้างเดือนละครั้งก็ยังดี ในความคิดมีแต่ว่าจะเอาอะไรกันอีกมากมาย อีกไม่นานจุดจบก็จะมาถึงแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่บั่นทอนมากคือการที่จำอะไรไม่ค่อยได้ แม้แต่ชื่อเมียบางครั้งยังต้องนั่งนึกอยู่พักใหญ่ เวลาทำอะไรก็ทำผิดๆถูกๆเหมือนคนไม่เคยทำ ไปหาหมอๆเขาก็บอกว่าไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อม เป็นแค่ขี้หลงขื้ลืมแบบคนแก่ธรรมดา แต่ความแก่ที่ว่าเป็นธรรมดามันอย่างนี้เองหรือ มันไม่มีอะไรดีเลย ถ้าเป็นอย่างนี้โดยความสัตย์จริงผมว่าตายๆไปเสียเร็วๆยังดีกว่า ที่ผมเขียนจดหมายมาหาคุณหมอนี้ก็เพราะลูกเขาแนะนำให้อ่านบล็อกของคุณหมอ แต่ว่าไม่เคยมีจดหมายที่เล่าปัญหาแบบของผมเลย ผมจึงขอเป็นคนเล่า หวังว่าคุณหมอคงจะชี้แนะ คุณหมอแนะนำอะไรมา ผมสัญญาว่าจะทำ เพราะผมก็ไม่มีทางไปอย่างอื่นแล้ว นอกจากรอวันตาย

.........................................

ตอบครับ

     อื้อฮือ..อ่านจดหมายของท่านแล้วผมนึกบรรยากาศออกเลย แบบว่า
     “...(กล้องแพนผ่าน) ท้องฟ้าสีเทาหม่น ป้ายบ้านพักคนชรา (ซูมอินตามทางเดินเข้าไป) จับไปที่ภาพของชายชราที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้โยก (ดอลลี่แล้วหยุดจับภาพนิ่งที่ใบหน้า) ใบหน้านั้นเหี่ยวย่นเล็กน้อย แต่ดูดวงตาสิ เขาเหม่อมองอย่างไร้แววผ่านประตูบ้านออกไปอย่างไร้จุดหมาย ประหนึ่งว่าจะรอการมาของอะไรสักอย่างที่คงจะมาถึงแบบไม่เร็วนัก จะเป็นอะไรหรือ อาหารเย็น? หรือความตาย? เหอะน่า อะไรก็ได้ สุดแล้วแต่อย่างไหนจะมาถึงก่อนกัน (เสียงผู้กำกับตะโกน..คัท)

      แหะ..แหะ ขอโทษนะครับ แก้ง่วงยามดึกหนะ อย่าหาว่าผมล้อเลียนคนแก่เลย เพราะผมเองก็หกสิบแล้วและถืออภิสิทธิความเป็นคนแก่เหมือนกัน มีสิทธิล้อเลียนพวกกันเองได้ มาตอบคำถามของคุณพี่ดีกว่านะครับ เรียกว่าพี่ได้นะครับ เพราะแก่กว่าผมหกปีเอ๊ง

    ประเด็นที่ 1. อาการหมดไฟ ผมแนะนำว่าไฟของความเป็นหนุ่มสาวนี้มันไม่ได้อยู่ที่ไหนหรืออยู่ที่ ณ เวลาเมื่อใด แต่มันอยู่ที่ในใจเราตลอดเวลา มันคือความสามารถความคิดสร้างสรรค์ในตัวเราที่เราดึงออกมาใช้เพื่อชีวิตของเราและเพื่อชีวิตของคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งเพื่อโลกที่เรารัก เมื่อใดที่เราเรียนรู้ที่จะแคะไฟนี้ออกมา เมื่อนั้นเราก็ยังเป็นหนุ่มสาวอยู่ ไม่ว่าเราจะอายุเท่าใด และถ้าเราแคะไฟสามารถและไฟสร้างสรรค์นี้มาใช้เมื่อแก่ เราก็เอาชนะความแก่ได้
     ความแก่อาจทำให้เรารู้สึกว่าได้สูญเสียความมีชีวิตชีวาไป แต่จำนี่ไว้นะครับ ถ้าความเป็นหนุ่มเป็นสาวคือสถานะของร่างกายและจิตใจ ความมีชีวิตชีวาก็เป็นสถานะของความรู้สึกและจิตวิญญาณ ถ้าเราห่อหุ้มตัวเราด้วยความมีชีวิตชีวา ความเป็นหนุ่มเป็นสาวก็จะกลับมา ความมีชีวิตชีวาสะท้อนถึงตัวตนที่แท้จริงของเรา ยิ่งเรารู้สึกมีชีวิตชีวามาก ชีวิตก็ยิ่งจะมีความสุข มีสุขภาพดี มีเพื่อนทุกวัย มีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้คน มีอาชีพหรือการงานที่กระตุ้นสมองให้เราตื่นขึ้นมารับวันใหม่ ก่อนที่นาฬิกาปลุกจะดังด้วยซ้ำ ความมีชีวิตชีวาเป็นธาตุแท้ของจิตวิญญาณของเรา มันผลักดันเราไปในทิศทางว่าเราเป็นใครและกำลังจะมุ่งไปทางไหน หญิงที่มีชีวิตชีวาจะเปี่ยมด้วยความมันใจและสวยจากภายใน มีใจที่มุ่งมั่นและเข้มแข็ง ใช้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมและมีความหมาย ชายที่มีชีวิตชีวาจะเปี่ยมไปด้วยพลังมีไฟมีฝัน มีความเพลิดเพลินกับงานที่ทำ ความรัก เพื่อน ครอบครัว กิจกรรม ความสนใจพิเศษ ได้อย่างดี

     ประเด็นที่ 2. อาการคิดแต่ด้านลบ ผมแนะนำว่าความแก่นำหลายอย่างมาสู่ชีวิตเราก็จริง แต่ไม่ได้ปิดกั้นไม่ให้เราคิดบวก ไม่ได้ห้ามเราแชร์ความรักและเสียงหัวเราะกับคนรอบตัว ไม่ได้ห้ามเราให้สิ่งที่เรามีแก่โลก ไม่ได้ห้ามเราส่งยิ้มกว้างๆและสายตาเปี่ยมพลังให้ใคร ไม่ได้ห้ามเราไม่ให้กระตือรือร้นที่จะใช้ชีวิต ไม่ได้ห้ามเราขอบคุณสิ่งดีๆในชีวิต หรือแสดงความรักหรือความขอบคุณใครๆ ความคิดเราเปลี่ยนมันได้ภายในเสี้ยววินาที เปลี่ยนมันเสียสิครับ ติ๊ก ตอก ติ๊ก ตอก เปลี่ยนหรือยัง นี่ผ่านไปหลายเสี้ยววินาทีแล้วนะ

     ประเด็นที่ 3. ความแก่นำมาซึ่งบ้านร้าง ซึ่งรังอันว่างเปล่าก็จริงอยู่ แต่ขณะเดียวกัน มันก็นำมาซึ่งโอกาสที่จะเริ่มทำอะไรใหม่ๆที่ตื่นเต้นท้าทาย ทำไมไม่ใช้โอกาสและความท้าทายนี้ละครับ นั่นก็น่าลอง นี่ก็น่าทำ อะไรจะเป็นอันต่อไปดีละ What next? โอกาสแบบนี้พี่เคยมองและหยิบฉวยบ้างไหมครับ ถ้าไม่เคย ลองเลย

     ประเด็นที่ 4. ความแก่มาพร้อมกับความโรยราของเซ็กซ์ แต่ว่านั่นเป็นเซ็กซ์ในรูปแบบที่เราเคยรู้จัก ความจริงเซ็กซ์ โดยเฉพาะความเซ็กซี่นี่ มันมีหลายรูปแบบนะครับ ตราบใดที่เรายังมีใจชอบผจญภัยและมีอารมณ์ขัน เราก็จะไม่ขาดความรู้สึกเซ็กซี่ ไม่ขาดความรู้สึกว่าเรายังมีมาด ยังเท่ สง่า และฟู่ฟ่า ตราบนั้น

ประเด็นที่ 5. ความแก่อาจกระทบความมั่นใจ ของเราบ้างไม่มากก็น้อย แต่มันก็ไม่ได้ห้ามเราวาดภาพรูปลักษณ์ในอุดมคติของเราขึ้นมา และไม่ได้ห้ามเราแกล้งทำเป็นว่าเรามีรูปลักษณ์อย่างนั้นจริงๆ ทำไปทำมา เราก็จะกลายเป็นมีรูปลักษณ์อย่างนั้นจริงๆ นั่นคือคนแก่ที่เท่ เปิดเผย โอ่อ่า เผื่อแผ่ความรักความเมตตาแก่ทุกๆคน

ประเด็นที่ 6. ความรู้สึกว่าจุดจบกำลังจะมาถึง แหม ผมชอบที่พี่ใช้คำนี้จังเลย ผมเห็นว่า ณ จุดที่จุดจบกำลังจะมาถึง นั่นคือจุดที่จะได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ ถูกไหมครับ ความแก่นำมาซึ่งความรู้สึกว่าจุดจบกำลังจะมาถึง แต่ไม่ได้ห้ามการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆนะครับ ผมเคยอ่านหนังสือของครูที่ฮาร์วาร์ดคนหนึ่งชื่อโปรเฟสเซอร์มอรี เขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรค multiple sclerosis ระยะท้ายๆซึ่งจะอยู่ไปได้อีกไม่เกินหกเดือน ณ จุดนั้นเขาทำอะไรเองไม่ได้แล้ว เพราะแขนสองข้างเป็นอัมพาต เช็ดก้นตัวเองยังไม่ได้เลย แต่เขาเรียกลูกศิษย์คนหนึ่งมาหา ชวนกันทำวิทยานิพนธ์ชิ้นสุดท้ายของเขา คือวิทยานิพนธ์เรื่อง “หกเดือนก่อนตาย” ลูกศิษย์ของเขาซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวกีฬาก็ตกลง และมาหาเขาทุกวันอังคาร มาจดตามคำบอกถึงเรื่องที่เขาบอกให้เขียน บางจังหวะก็ช่วยเช็ดอึเช็ดฉี่ด้วย บางตอนก็มีการถกเถียงปรึกษาหารือ เมื่อมอรีตาย ลูกศิษย์เขาได้ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ฉบับนั้น ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นหนังสือพอกเก็ตบุ๊คขายดีระดับโลกชื่อ “วันอังคารกับมอรีส์” (Tuesdays with Morrie) ซึ่งกลายเป็นหนังสือเรียนของนักเรียนมหาวิทยาลัยทั่วโลกด้วย

ประเด็นที่ 7. ความขี้หลงขี้ลืม หมอเขาก็บอกแล้วว่าระดับของพี่เนี่ยไม่ถึงกับเป็นโรค แค่เป็นส่วนหนึ่งของความแก่ พี่ก็ปรับตัวสิครับ พี่บอกว่าเมียพี่เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวใช่แมะ เคยแอบดูเมียพี่เขาฝึกสอนหมาสอนแมวไหม ว่าเวลาจะให้มันฉี่อึเป็นที่เป็นทางต้องทำอย่างไร นั่นแหละ หลักเดียวกัน ฝึกทำซ้ำๆ ทำผิดก็ตำหนิแล้วจับทำใหม่ ทำถูกก็ตบหัวให้รางวัล พี่ก็ต้องหัดตัวเองให้เก็บของที่ใช้ให้เป็นที่เป็นทางเหมือนกับเมียพี่ฝึกหมานั่นแหละ ใช้ของแล้วกวดขันตัวเองให้เก็บตรงที่เดิม การทำอะไรที่ต้องมีขั้นมีตอนก็ตั้งสติ ท่องขั้นตอนแบบออกเสียงเวลาจะทำอะไรผิดขั้นตอน จินตนาการภาพตัวเองทำสิ่งนั้นทีละขั้น พูดออกเสียงสองหรือสามครั้ง เช่น ฉันเอากุญแจรถไว้ในลิ้นชักห้องนอนนะ หัดคิดให้เป็นระบบอ้างอิงกับหน่วยเวลา เรื่องเก่าๆจับผูกกับพ.ศ. ให้หมด เวลาของหาย หัดคิดย้อนเวลาไปทีละวินาที แล้วก็จะหาของที่หายพบ เรื่องสำคัญที่จะลืม เช่นจอดรถที่ไหน ต้องจดไว้ ชื่อคนหรือชื่อสิ่งของที่ชอบลืมก็ต้องซ้อมท่องหรือสะกด การจำชื่อเมื่อพบคน ให้สนทนา พูดชื่อเขาบ่อยๆ จดชื่อเขา และรายละเอียดที่จำเป็นทันทีที่จบการสนทนา อะไรที่จะต้องทำวันนี้ก็เขียนรายการจดไว้ เรื่องการพัฒนาความจำเนี่ยมันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ล้ำลึกที่เขาใช้ทำจรวดนะครับ (ผมมีครูเก่าเป็นหมออยู่ที่ฮิวส์ตันซึ่งเป็นเมืองที่เขาทำจรวดกัน ครูคนนี้เล่าให้ฟังว่าพวกที่ทำจรวดก็ไม่มีวิทยาศาสตร์ล้ำลึกเหมือนกัน เพราะครูเล่าว่าบางทีแผ่นสไลด์ติดอยู่ในเครื่องขณะบรรยาย กว่าพวกนักวิทยาศาสตร์ทำจรวดจะแคะออกได้ก็แทบตาย) คือว่าการพัฒนาความจำเนี่ยมันเป็นเรื่องหญ้าปากคอก เป็นคอมมอนเซ็นส์ หรือเป็นสามัญสำนึก ประเด็นมันอยู่ที่ว่าลงมือทำเสียทีสิ เท่านั้นแหละ

     ผมคิดว่าผมตอบคลุมประเด็นที่พี่ตั้งมาครบแล้วนะ ขอผมแถมให้นิดหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมตอบจดหมายของเด็กคนหนึ่ง รู้สึกผมจะตั้งชื่อว่า “หมอสันต์ด่าคนรุ่น Gen-Yพี่ลองย้อนหาอ่านดูนะครับ นั่นแหละ สมมุติตัวพี่เองว่าเป็นเด็กที่ถูกผมด่า รับรองคราวนี้พี่เก็ทเลย แต่อ่านแล้วพี่อย่าด่าผมกลับนะ เพราะกฎของบล็อกผมมีอยู่ว่าใครที่ด่าหมอสันต์ ผมไม่เอาจดหมายลงให้ หิ..หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

คนพะเยา มี infiltration ที่ปอด อยากทำ CT


สวัสดีคุณหมอสันต์ที่เคารพ 

เรื่องมีอยู่ว่า หนูพาพ่อไปตรวจร่างกายประจำปีมาค่ะ
ผล chest (PA upright)
Finding : Lungs :  a focal patchy opacity a the left mid lung zone.
Impression : a focal patchy opacity at the left mid lung zone could be due to infectious process. follow-up is advised.

หมอแปลมาให้ว่า พบรอยทึบรังสีที่กลีบกลางของปอดซ้าย (จากฟิล์มมันเป็นขีดขาวค่ะ หนาประมาณ 2มม ยาว 1ซม) แนะนำ x-ray ตรวจอีก 1-3 เดือน หนูสงสัยค่ะ รบกวนถามลุงหมอ พ่อหนูไม่มีมีอาการของการติดเชื้ออะไร ก็ร่างกายปกติดีนะคะ แต่ประโยคที่ว่า due to infectious process นี่มันคือจากอะไรเหรอคะ ประวัติ พ่ออายุ58ปี ไม่สูบบุหรี่ สูง 156 หนัก55ทำงานเป็นคุมรถรับส่งสินค้า ก็อาจจะมีสูดดมควันพิษบ้าง พนักงานมีสูบบุหรี่เป่าควันแบ่งพ่อดมบ้าง แต่พ่อไมมีอาการไอนะคะ. มีเสมหะบ้างค่ะ กระแอมบ่อย ได้ไปหาหมอปอดมาค่ะ ท่านก็ดูฟิล์ม บอกว่า เป็น infiltration  ไม่สงสัย CA นะ หน้าตาไม่เหมือน ไม่ใช่ nodule or mass
      คุณหมอก็ได้ทำการส่งตรวจ sputum AFB and culture test  ผล afb ออกมา negative ค่ะ แต่ผล culture ยังไม่ออกค่ะ รออีกสองเดือน เอา chest  x-ray ปีก่อนให้หมอดู ก็ปกติค่ะ หมอบอกว่า ก็รอตามดู อีกเดือนนัด ฟังผล culture and follow up chest x-ray หมอบอกว่าคงไม่คุ้มถ้าจะไปทำ scope หรืออะไรที่ invasive หนูก็ถามคุณหมอไปหลายรอบว่า ct chest ไหม เพราะหนูค่อนข้างกังวล แต่หมอก็บอกไม่ต้อง ถึงทำไปลักษณะ infiltration แบบนี้ไม่น่าเห็นอะไร ถ้าทำตอนนี้จะอันตราย รังสีเยอะ ฉีดcontrast media อีก

มาถึงคำถามค่ะ คุณหมอว่าหนูควรทำเช่นไรดีค่ะ ยอมรับว่าหนู ปสด มากค่ะ อาจจะกังวลเกินเหตุหรือเปล่าไม่รู้ คือหนูเข้าใจ (ของหนูเอง) ว่า การทำ ct chest จะช่วย dx ได้ว่า มันไม่ใช่ CA นะ  หนูเข้าใจถูกหรือไม่คะ ? เพราะฉะนั้นการไม่ได้ทำ ct จึงทำให้เกิดความกังวลใจค่ะ  จนกว่าจะรู้ว่ามันไม่ใช่ CA ถึงจะสบายใจค่ะหมอ  ไอ้ครั้นจะไปคะยั้นคะยอหมอให้ส่ง ก็กลัวจะโดนหลังแหวนเอา เฮ้อ ไปไม่เป็นเลยค่ะ  รบกวนคุณหมอสละเวลาปลูกผักมาตอบหนูหน่อยนะคะ. หนูคนพะเยาเหมือนคุณหมอ (เกี่ยวมั๊ยเนี่ย)
ขอบคุณค่ะ

......................................................................

ตอบครับ

     ในโอกาสที่ได้คุยกับคนที่อยู่ไกลปืนเที่ยงถึงพะเยา ขอพูดถึงหัวอกหมอที่ทำงานดูแลผู้ป่วยภายใต้ระบบประกันสุขภาพของเมืองไทยหน่อยนะ ว่ามันเป็นจ๊อบที่ทำยากอย่างยิ่ง เพราะต้องเลี้ยงตัวอยู่บนของแหลมสามด้าน คือ

    ด้านที่ 1. คือหลักวิชา ซึ่งสรุปมาจากงานวิจัยของฝรั่ง ซึ่งบางส่วนก็สปอนเซอร์โดยบริษัทยาและบริษัทเครื่องมือ โดยมักมีผลสรุปออกมาเป็นแนวปฏิบัติชัดเจนว่าอะไรดีที่สุด อะไรเร็วที่สุด (ซึ่งก็บังเอิญมักจะแพงที่สุดด้วย)

     ด้านที่ 2. คือหน้าที่โดยสามัญสำนึก ว่าหมอทุกคนต้องช่วยกันธำรงรักษาระบบประกันสุขภาพไทยที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลกนี้ไว้ไม่ให้ล่มสลาย พูดง่ายๆว่าให้หมอทุกคนช่วยกันประหยัดเพื่อไม่ให้ระบบเจ๊ง เพราะถ้าระบบเจ๊ง จะเป็นบั้นปลายที่มีแต่คนเสีย ไม่มีใครได้ คนที่จะเสียมากที่สุดคือคนไข้ ถ้ามีวิธีวินิจฉัยหรือรักษาสองวิธีที่ได้ผลใกล้เคียงกัน หมอที่เห็นแก่ความอยู่รอดของระบบต้องเลือกวิธีที่ประหยัดกว่าเสมอ นี่ไม่ใช่กฎ แต่เป็นหลักธรรมประจำใจที่หมอถูกคาดหมายว่าพึงมี

     ด้านที่ 3. คือฝ่ายผู้ป่วยหรือผู้รับบริการ ซึ่งบางส่วนยังมีความรู้ความเข้าใจในหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์อย่างจำกัด มีโลกทัศน์ที่คับแคบ แต่ก็มีอัตตาสูง มองเห็นแต่ปัญหาของตนและประโยชน์ที่ตนพึงได้เป็นสำคัญ โดยใช้หน่วยนับทุกอย่างเป็นตัวเงิน ยังมองไม่เห็นความจำเป็นของความอยู่รอดของระบบใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ระบบประกันสุขภาพยังเป็นระบบที่เดินเครื่องอยู่ในระบบการเมืองท้องถิ่นที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ ผู้นำท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็น อบจ. อบต. สจ. สอ. สต. ผสส. อสม ฯลฯ ยังอยู่ในโหมดของการฝึกหัดเอ็กเซอร์ไซส์อภิสิทธิของตัวเองโดยมีแรงผลักดันจากลัทธิพอกพูนการบริโภคส่วนตนในทางวัตถุเป็นแกนชี้นำ โอกาสที่จะมีผู้นำที่สามารถนำพาชุมชนให้เป็นชุมชนอยู่เย็นเป็นสุขที่มีวัฒนธรรมพึ่งตนเองแบบพอเพียงและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้อภัยกันและกันอย่างที่รัฐธรรมนูญคาดหวังนั้น.. อีกน้าน อีกนาน อีกนาน 

     หมอคนไหนก็ตามที่ถูกส่งไปนั่งทำงานอยู่ภายใต้สามง่ามแบบนี้ ในสิ่งแวดล้อมอย่างนี้ พอผ่านไปได้ไม่กี่ปีก็จะมีจุดจบไม่แบบใดก็แบบหนึ่งในสองแบบ คือ

     (1) หงุดหงิด งุ่นง่าย สักพักใหญ่ แล้วก็เผ่นหนีไป หรือ
     (2) สำเร็จวิชาหูทวนลม กลายเป็นเซียนไปเลย

     แหะ แหะ ทั้งหมดที่พูดมานี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคำถามของคุณหรอกครับ โธ่ ผมแก่แล้วก็ให้ผมพร่ำอะไรไร้สาระบ้างตะ  เอาละ มาตอบคำถามของคุณดีกว่า

ประเด็นที่ 1. คนที่ไม่มีอาการอะไรเลย หรือมีแค่คันคอกระแอมบ่อย เมื่อไปเอ็กซเรย์พบว่ามีรอยฝ้า (infiltration) ที่ปอดเกิดขึ้นมาใหม่ (ปีที่แล้วไม่มี) จะมีโอกาสเป็นอะไรได้บ้าง ตอบว่าการวินิจฉัยแยกโรคตามลำดับโอกาสที่จะเป็นมากไปหาน้อยคือ

1.      การติดเชื้อเฉียบพลันในปอดจากบักเตรีหรือไวรัส
2.      การสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าปอด (กรณีอยู่ที่ปอดส่วนล่าง)
3.      วัณโรคปอด
4.      มะเร็งปอด
5.      โรคทางระบบร่างกายอื่นๆที่พบน้อย เช่นโรคของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน โรคแพ้ เป็นต้น

ประเด็นที่สอง 2. ทางเลือกในการสืบค้นต่อหลังจากเห็นว่าภาพเอ็กซเรย์มีปื้นขาวหรือ     infiltration แล้ว ซึ่งปกติติหมอมักทำเรียงลำดับตามความลุกล้ำ (invasiveness)  ได้แก่

1.      รอดูไปเฉยๆ (หากเป็นการติดเชื้อไวรัส หรือโรคบางโรคเช่น โรคภูมิแพ้ จะดีขึ้นเอง
2.      สืบค้นหาวัณโรคโดยการย้อมสีเสมหะ (AFB)
3.      ทดลองรักษาการติดเชื้อบักเตรีด้วยยากิน แล้วติดตามดูผลในเวลา 2-4 สัปดาห์
4.      ทำ CT chest
5.      ส่องตรวจหลอดลม (bronchoscopy) ร่วมกับการล้างหลอดลมเอาน้ำล้างมาตรวจหาเชื้อวัณโรคและเซลมะเร็ง
6.      ทดลองรักษาวัณโรคด้วยยากิน แล้วติดตามดูผลใน 3-6 เดือน
7.      ใช้เข็มแทงผ่านผนังหน้าอกเข้าไปตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อออกมาตรวจ (lung biopsy)

ประเด็นที่ 3. ศักยภาพของ CT scan ในการวินิจฉัยมะเร็งปอดเมื่อเทียบกับการเอ็กซเรย์ปอด ปัจจุบันนี้มีสถิติแน่ชัดแล้วว่า CT scan มีความไวในการวินิจฉัยมะเร็งปอดเหนือกว่าการทำเอ็กซเรย์ปอดชัดเจนกว่าแบบคนละรุ่น จึงถือกันทั่วไปว่าเมื่อใดก็ตามที่สงสัยมะเร็งปอด ก่อนที่จะทำการตรวจที่รุกล้ำเช่นการส่องกล้องตรวจหลอดลม หรือทดลองใช้ยารักษาวัณโรค (ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนมาก) หรือใช้เข็มแทงผ่านหน้าอกเข้าไปตัดชิ้นเนื้อ ควรจะต้องทำ CT chest ก่อนเสมอ

ประเด็นที่ 4. ความเสี่ยงของรังสีที่ได้รับจากการทำ CT เทียบกับประโยชน์ที่ได้จากการคัดกรองมะเร็ง มีงานวิจัยด้านนี้มากพอที่จะสรุปได้แล้วว่าในคนที่ความเสี่ยงต่ำที่ไม่มีอาการและเอ็กซเรย์ปอดปกติ การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดด้วย CT ทุกปีมีผลเสียมากกว่าผลดี แต่ในคนที่มีความเสี่ยงสูง (สูบบุหรี่) การใช้ CT chest ตรวจคัดกรองมะเร็งปอดทุกปีมีหลักฐานว่าช่วยลดอัตราตายจากมะเร็งปอดลงได้ แต่จะคุ้มค่ากับผลเสียที่จะต้องจับผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นมะเร็ง หรือเป็นแต่ยังไม่ถึงระยะต้องผ่าตัด ไปผ่าตัดเร็วเกินไปโดยไม่จำเป็นหรือไม่นั้น อันนี้ยังไม่มีหลักฐานสรุปได้ว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม แพทย์เองก็เถียงกัน บ้างก็ว่าคุ้ม บ้างก็ว่าไม่คุ้ม ทั้งหมดที่ว่ามานี้ไม่เกี่ยวกับกรณีของคุณพ่อของคุณซึ่งทราบจากเอ็กซ์เรย์ปอดเรียบร้อยแล้วว่ามีสิ่งผิดปกติ ในกรณีของคุณพ่อของคุณนี้อย่างไรก็คงจะต้องทำ CT แน่นอน เหลือแต่ว่าจะทำเมื่อใดเท่านั้น

โดยสรุป ปัญหาของคุณพ่อของคุณมีทางเลือกให้ทำ สองแบบ คือ

แบบที่ 1. แบบใจเย็น มีสามขั้น คือ

     ขั้นที่ (1) ทดลองกินยาฆ่าเชื้อบักเตรีดูก่อนสักหนึ่งเดือนแล้วเอ็กซเรย์ปอดซ้ำ ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ไป
     ขั้นที่ (2) คือทำ CT ถ้าทำแล้วไม่เหมือนมะเร็งปอดก็จะทดลองให้ยารักษาวัณโรคดู 3 เดือนแล้วตรวจซ้ำ แต่ถ้าทำ CT แล้วเหมือนมะเร็งปอด หรือทดลองยาวัณโรค 3 เดือนแล้วไม่ดีขึ้น ก็ไป
      ขั้นที่ (3) คือเอาเข็มแทงผ่านผนังหน้าอกเพื่อตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจ (percutaneous needle lung biopsy)

แบบที่ 2. แบบใจร้อน มีสองขั้น คือ

     ขั้นที่ (1) ทำ CT เลยทันที ถ้าไม่เหมือนมะเร็งปอดก็ทดลองกินยารักษาบักเตรีทั่วไปหนึ่งเดือนแล้วเอ็กซเรย์ดูซ้ำ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ทดลองกินยาวัณโรคอีก 3 เดือนแล้วเอ็กซเรย์ซ้ำ แต่ถ้าทำ CT แล้วเหมือนมะเร็งปอด หรือทดลองรักษาวัณโรค 3 เดือนแล้วไม่ดีขึ้นก็ไป
     ขั้นที่ (2) คือเอาเข็มแทงผ่านผนังหน้าอกเพื่อตัดชิ้นเนื้อออกมาตรวจ

     ทางเลือกแบบที่ 1 จะทำให้วินิจฉัยมะเร็งปอดได้ช้ากว่าแบบที่ 2 อยู่หนึ่งเดือน ข้อมูลที่วงการแพทย์มีอยู่ถึงวันนี้พบว่าทั้งสองแบบให้ผลบั้นปลายในแง่ของอัตราตายไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ การที่คุณหมอที่รักษาคุณพ่อของคุณที่รพ.พะเยาเขาแนะนำแบบที่ 1 ผมว่าก็เข้าท่าดีแล้ว เป็นคำแนะนำที่ลงตัวระหว่างความเสี่ยงและประโยชน์ที่คุณพ่อของคุณจะได้รับ กับวิธีใช้จ่ายเงินของรัฐแบบพอดีๆไม่สุรุ่ยสุร่ายเกินความจำเป็น ถ้าผมเป็นหมอที่นั่งรักษาคุณพ่อคุณอยู่ที่นั่น ผมก็จะแนะนำแบบนั้นเหมือนกัน ส่วนที่ว่าตัวคุณ ปสด. ใจร้อน รอหนึ่งเดือนไม่ได้ จะชักดิ้นชักงอ นั่นมันเรื่องของคุณ เอ๊ย.. ไม่ใช่ ขอโทษครับ นั่นมันคนละเรื่อง ต้องไปแก้ไขกันคนละเวที

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

29 ตุลาคม 2555

น้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม สิบแปดมงกุฎ


อาจารย์ครับเห็นบทความของสองนายแพทย์คือ นายแพทย์ .... กับ นายแพทย์ .... เขียนเรื่องประโยชน์ของการดื่มน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยม และเห็นมีการจำหน่ายน้ำประเภทนี้ผ่านเครื่องผลิตน้ำด้วย อยากทราบว่าประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆแล้วเป็นอย่างไรครับ (ผมอ่านในคลังบทความของคุณหมอทั้งหมดแล้วไม่พบครับ) ผมจะไม่เชื่อใครนอกจากความรู้ของอาจารย์ครับ ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้า และคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆคนครับ

...........................

ตอบครับ

ขอบคุณมากครับที่อุตสาหะย้อนอ่านดูบทความเก่าจนหมดแล้วยืนยันว่าผมไม่เคยเขียนเรื่องนี้ ตัวผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเขียนอะไรไว้บ้าง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าแล้ว

     1.. เอาประเด็นโมเลกุลของน้ำก่อน คือโมเลกุลของน้ำ มันก็คือโมเลกุลของน้ำ คือมีไฮโดรเจนสองอะตอม ออกซิเจนหนึ่งอะตอม บอกไม่ได้ว่าเป็นกี่เหลี่ยมกี่มุม นึกภาพคุณเอาดินเหนียวกลมๆสามก้อนมาแหมะติดกันมันจะมีได้กี่เหลี่ยมละครับ มันไม่เป็นเหลี่ยมไม่เป็นมุมมากกว่า แล้วก็ไม่มีลิงที่ไหนจะถ่ายรูปโมเลกุลของน้ำออกมาโชว์ชาวบ้านได้หรอกครับ เพราะมันเป็นโครงสร้างที่เล็กจนไม่มีกล้องถ่ายรูปชนิดใดๆจะมองเห็นแม้กระทั่งกล้องจุลทรรศน์อีเล็กตรอน โครงสร้างโมเลกุลของน้ำมันเป็นเช่นนี้นะเธอ และจะเป็นเช่นนี้เสมอ.. ไม่ว่าจะเป็นน้ำดีน้ำเน่าก็มีโครงสร้างโมเลกุลเหมือนกันหมด ส่วนที่ทำให้ดีหรือเน่าคือสิ่งที่ปนเปื้อนเข้ามาในน้ำ

     2.. รูปถ่ายน้ำหกเหลี่ยม หรือกี่เหลี่ยมก็ตาม ที่มีโชว์อยู่ตามหนังสือหรือตามเว็บนั้น มันเป็นรูปถ่ายของผลึกน้ำแข็งนะครับ หรือผลึกหิมะ ไม่ใช่โมเลกุลของน้ำ คำว่า "ผลึก" นี้มันอันโตบะเล่งเท่งมองเห็นด้วยตาเปล่าและเป็นคนละเรื่องกับโมเลกุล ต้องย้ำอีกทีไม่งั้นเดี๋ยวเด็กศิลป์ซึ่งอ่านบล็อกนี้อยู่จำนวนมากจะเข้าใจชีวิตผิดไป การก่อตัวของผลึกของน้ำแข็ง หรือของเกล็ดหิมะ ตามธรรมชาติมันก็อาจมีรูปร่างแตกต่างกันได้อยู่แล้ว เพราะมันมีกลไกการเกิดคล้ายๆกับการเกิดหยาดเม็ดฝน คือน้ำจะเกาะตัวอยู่รอบๆเม็ดฝุ่นหรือสิ่งสกปรก ยิ่งน้ำมีอะไรปนเปื้อนมาก เวลาตกผลึกก็ยิ่งได้ผลึกเป็นรูปพิศดารพันลึกได้มาก ในทางตรงกันข้าม ถ้าน้ำสะอาดบริสุทธิ์มากเวลาแข็งตัวจะก่อตัวเป็นผลึกยาก นอกจากนี้ความแตกต่างในรูปร่างของผลึกน้ำแข็งที่เกิดขึ้นมีผลศึกษาที่สรุปไว้เป็นอย่างดีแล้วว่ามันเป็นไปตามอิทธิพลจากอุณหภูมิและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่นถ้าเราไปถ่ายรูปผลึกน้ำแข็งที่อุณหภูมิ -5 องศาก็จะได้รูปร่างอย่างหนึ่ง ไปถ่ายรูปผลึกที่อุณหภูมิ -20 องศาก็จะได้รูปร่างอีกแบบหนึ่ง การเปลี่ยนรูปทรงของผลึกน้ำแข็งไปตามอุณหภูมินี้เป็นสัจจธรรมในทางวิทยาศาสตร์ที่รู้กันทั่ว แต่ว่าไม่เกี่ยวอะไรกับโครงสร้างทางโมเลกุลของน้ำ การบอกว่าน้ำมีโครงสร้างโมเลกุลต่างกันเมื่อตกผลึกแล้วจะให้ผลึกรูปร่างต่างกันนั้นเป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ฟังแล้วหัวเราะก๊าก เพราะโครงสร้างโมเลกุลซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของน้ำนั้นมีอย่างเดียว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นโครงสร้างแบบอย่างอื่นได้

     3.. เมื่อประมาณปี 1999 ซึ่งก็สิบกว่าปีมาแล้ว มีพ่อค้าและนักเขียนชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งซึ่งเรียนจบการแพทย์ทางเลือกที่อินเดียชื่ออีโมโต้ (Dr. Masaru Emoto) เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ  Hidden Messages in Water ซึ่งก็สิบกว่าปีมาแล้ว มีเพื่อนคนหนึ่งส่งมาให้ผมอ่าน แต่ผมอ่านได้สี่ห้าหน้าแล้วก็ทิ้งไปเพราะเป็นหนังสือที่ผมมองเห็นว่าไร้สาระ อีโมโต้ถ่ายรูปผลึกเกล็ดของหิมะและผลึกน้ำแข็งแบบต่างๆ แล้วบอกว่าน้ำเนี่ยมันอ่านหนังสือออก รับความรู้สึกได้ ถ้าพูดดีๆกับน้ำ หรือเขียนคำดีๆแปะไว้ข้างแก้วน้ำ หรือสวดมนต์ให้น้ำฟัง น้ำนั้นจะกลายเป็นน้ำชนิดดีมีพลัง เวลาน้ำนั้นกลายเป็นน้ำแข็งมันจะตกผลึกเป็นรูปสวยงามไม่ใช่ผลึกมั่วซั่วเละเทะ แล้วถ้ากินน้ำดีๆมีพลังอย่างที่ว่านี้สุขภาพก็จะดี สาระหลักของหนังสือมีประมาณนี้ แต่ที่ผมโยนหนังสือทิ้งก่อนที่จะอ่านจบก็เพาะอีโมโต้พยายามปลอมความคิดของเขาให้เป็นวิทยาศาสตร์ อย่างตอนหนึ่งของหนังสือเขาอธิบายการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างผลึกของน้ำด้วยกฎความไม่แน่นอนของไฮเซนเบอร์ก (Heisenberg’s Uncertainty Principle) แหม ท่านผู้อ่านครับ ผมเนี่ยตอนเรียนหนังสือสอบตกวิชาฟิสิกส์นะ (เพราะไปเอาการบ้านเพื่อนมาถ่ายเอกสารแล้วส่งให้ครู แบบว่าลอกการบ้านแบบไฮเทคประชดครู ฮิ ฮิ) แต่ว่าเมื่อได้มาอ่านวิธีประยุกต์ใช้หลักไฮเซนเบอร์กของอีโมโต้มาหลอกคนแล้ว ผมเกิดความรู้สึก “งืด” ว่าแหม พี่ยุ่นนี่แกคิดได้ไงเนี่ย  

     หมายเหตุ: สำหรับเด็กศิลป์ กฎความไม่แน่นอนของไฮเซนเบอร์กเป็นความพยายามอธิบายข้อจำกัดของคณิตศาสตร์เมื่อเอามาคำนวณพฤติกรรมของอนุภาค (เช่นอีเล็กตรอน) ว่าเราจะไม่สามารถคำนวณให้ได้ผลเที่ยงตรงทั้งสองพฤติกรรมในขณะเดียวกันได้ เช่นสมมุติว่าเราทราบตำแหน่ง (position) ที่แน่นอนของอนุภาค เราก็ไม่มีทางทราบโมเมนตัม (มวลกับความเร็ว) ที่แน่นอนของมันในขณะนั้นได้ แต่ถ้าเราทราบว่าโมเมนตัมที่มันวิ่งอยู่ว่าเป็นเท่าไร เราก็ไม่อาจจะบอกตำแหน่งที่แท้จริงของมันได้ อย่างนี้เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นหลักพื้นฐานในวิชาควันตัมฟิสิกส์ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการตกผลึกของน้ำแข็งเลย..พระเจ้าค่ะ

     4.. ถามว่าเคยมีงานวิจัยไหมว่าถ้าพูดดีๆกับน้ำแล้ว เวลาน้ำนั้นกลายเป็นน้ำแข็งมันจะตกผลึกสวยๆให้ดู ตอบว่ามีครับ มีตีพิมพ์ไว้สองรายการ ซึ่งเป็นงานวิจัยของอีโมโต้และคณะทั้งคู่ ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือวารสารการแพทย์ทางเลือกซึ่งวงการแพทย์แผนปัจจุบันไม่ค่อยมีใครอ่านกัน แต่ผมอ่าน เพราะผมชอบอ่านอะไรบ้าๆบอๆแก้เซ็ง ผลวิจัยของอีโมโต้สรุปไปทางสนับสนุนความคิดของอีโมโต้ คือสรุปว่าถ้าพูดดีๆกับน้ำ สวดมนต์ให้น้ำฟัง เวลาเอาน้ำนั้นไปทำให้แข็งหรือตกผลึกแล้ว จะได้ผลึกที่สวยงามกว่าน้ำที่ไม่มีคนพูดอะไรให้ฟัง แต่ว่าไม่มีใครที่ไหนอื่นมาทำวิจัยนี้ซ้ำเพื่อพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ ผมเข้าใจว่าวงการวิทยาศาสตร์คงมองเห็นอีโมโต้ว่าเป็นอะไรที่ไร้สาระจนไม่ยอมเสียเวลายุ่งด้วย ซึ่งผมก็เข้าใจ อย่างสมมุติว่าถ้ามีใครสักคนรายงานผลวิจัยของเขาในวารสาร อะรูมิไร้ (อะไรมิรู้) ว่าเขาสามารถสาปผู้ชายให้กลายเป็นผู้หญิงได้ ถามว่าผมอยากจะไปทำวิจัยนั้นซ้ำเพื่อพิสูจน์ไหม ผมก็คงไม่ทำครับ เพราะมันเป็นเรื่องไร้สาระที่นอกเส้นทางวิทยาศาสตร์ไปไกลมากเกินไป

     5.. ถามว่าถ้าขยันดื่มน้ำมนต์ หรือน้ำที่มีคนพูดดีๆด้วย ทำดีๆด้วย หรือเอาไปผ่านเครื่องทำน้ำมนต์อัตโนมัติ ผ่านหินวิเศษ แช่เหรียญวิเศษ ให้กลายเป็นน้ำดีมีพลัง จะเรียกว่าเป็นน้ำหกเหลี่ยม น้ำแปดเหลี่ยม หรือน้ำสิบแปดมงกุฎก็ตาม แล้วสุขภาพจะดีขึ้นไหม แหะ..แหะ ตอบว่า วงการวิทยาศาสตร์ไม่มีข้อมูลเรื่องอย่างนี้หรอกครับ ผมว่าท่าทางคุณจะมาหาผิดที่ซะแล้วมั้ง ถ้าคุณจะหาผีนางนาค คุณก็ต้องไปศาลแม่นาคที่ซอยอ่อนนุช ถูกแมะ ไม่ใช่ไปเดินหาที่ห้างพารากอน มันคนละทิศคนละทางกัน แปลไทยเป็นไทยก็คือว่าไม่เคยมีใครทำวิจัยเรื่องผลขอ
งน้ำมนต์หรือน้ำหกเหลี่ยมต่อสุขภาพไว้เลยครับ

    6.. ถามว่าเป็นนายแพทย์แล้วจะชักจูงให้คนทำอะไรที่ไม่สอดคล้องกับหลักวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน หรือที่ไม่มีหลักฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์รองรับ ได้ไหม ตอบว่า

“..เมืองไทยนี้ แสนดีหนักหนา
ใครใคร่ค้าช้าง ค้า
ใครใคร่ค้าม้า ค้า
อย่าเหยียบตาปลากันเข้าก็แล้วกัน..เป็นเรื่อง
ผมจึงต้องลบชื่อคุณหมอในจม.ของคุณออกไงครับ.. ”

     7. พูดถึงอีตาอีโมโต้นี้ นอกจากจะเขียนหนังสือแล้วแกยังขายของทางอินเตอร์เน็ทสาะพัดสาระเพ ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับทฤษฏีน้ำดีน้ำเสียของแกทั้งสิ้น

     8. ผมแถมให้อีกประเด็นหนึ่งเพราะเคยมีคนถามมานานแล้วแต่ผมไม่มีเวลาตอบ คือถามว่าจริงไหมที่ว่าน้ำโมเลกุลหกเหลี่ยมนี้ดูดซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อของร่างกายได้ดีกว่าน้ำที่เราดื่มกินกันตามปกติหลายเท่า อันนี้ผมตอบได้ตามหลักฐานวิทยาศาสตร์ว่า "ไม่จริงครับ" เพราะโมเลกุลของน้ำหน้าตามันเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำมนต์หรือน้ำธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่เมื่อแข็งตัวแล้วจะให้ผลึกรูปกี่เหลี่ยมก็ตาม หรือให้ผลึกสวยไม่สวยก็ตาม คือโมเลกุลน้ำที่เหมือนกันหมดนี้มันก็ผ่านเยื่อบางที่บุหุ้มรอบเซลได้อิสระเสรี กลไกที่จะทำให้มันเข้าสู่เนื้อเยื่อได้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับแรงสองแรงที่ช่วยกันอยู่ในที แรงแรก ก็คือแรงดูดจากความเข้มข้นของของเหลวในเซล (osmosis) คือน้ำมีธรรมชาติวิ่งจากของเหลวที่มีความเข้มข้นต่ำ (นอกเซล) ผ่านเยื่อบุไปหาของเหลวที่มีความเข้มข้นสูง (ในเซล) เช่นถ้าร่างกายขาดน้ำ เซลเหี่ยว ของเหลวในเซลมีความเข้มข้นมาก น้ำก็จะเข้าเซลได้เร็ว แรงที่สอง คือแรงดันจากปริมาตรของน้ำในหลอดเลือด (hydrostatic pressure) ซึ่งเปรียบเสมือนแรงดันน้ำประปาในท่อ ถ้าแรงดันดี น้ำก็ถูกอัดออกไปสู่เซลได้เร็ว ดังนั้นคนที่ไม่ชอบดื่มน้ำ ปริมาตรน้ำที่ไหลเวียนในระบบเลือดมีน้อย แรงอัดน้ำออกไปสู่เซลก็มีน้อยตามไปด้วย เซลจึงมีโอกาสขาดน้ำมากกว่าคนที่ชอบดื่มน้ำ 

    9.. ไหนๆก็พูดถึงเรื่องน้ำแล้ว สิ่งที่วงการแพทย์รู้แน่ชัดว่าแล้วมีประโยชน์จริงๆ มีสองประเด็น คือ

    9.1 การลงทุนจัดหาน้ำสะอาดไว้ให้คนดื่ม เป็นการลงทุนทางการแพทย์และสาธารณสุขที่คุ้มค่าที่สุด นี่ผมไม่ได้พูดเอง แต่องค์การอนามัยโลกสรุปไว้ ความรู้ที่ง่ายๆเสมือนหญ้าปากคอกข้อนี้อาจมีประโยชน์และช่วยให้ผู้บริหารท้องถิ่นจัดลำดับการใช้ทรัพยากรได้ดียิ่งขึ้น เพราะบางแห่งทำถนนซะกว้างใหญ่ แต่พอเปิดน้ำประปามีหญ้ากอน้อยๆวิ่งพรวดออกมาจากก๊อกเลยก็มี หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือแถวบ้านพักของผมที่เขาใหญ่ เทศบาลก่อสร้างอะไรต่อมิอะไรอลังการ์เยอะแยะ แต่ถ้าเปิดน้ำประปาดู บางวันบางเวลาน้ำก๊อกที่ไหลออกมาขอโทษ.. สียังกับฉี่ของคนเป็นกรวยไตอักเสบ คำว่าน้ำสะอาดนี้ผมหมายถึงน้ำที่ไม่มีเชื้อโรค ไม่มีสารปนเปื้อนเช่นอึวัว ไม่มีของแถมไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่างเช่นน้ำตาลในเครื่องดื่มต่างๆเนี่ยถือว่าเป็นตัวอย่างของๆแถมที่ทำให้น้ำดีๆกลายเป็นน้ำให้โทษไป

    9.2 ร่างกายต้องการน้ำไปบำรุงรักษาการทำงานของทุกอวัยวะ โดยเฉพาะไต ซึ่งจะเจ๊งก่อนเพื่อนถ้าร่างกายได้รับน้ำไม่พอ ดังนั้นการดื่มน้ำสะอาดให้มากเพียงพอ คือวันละอย่างน้อยสองลิตร จึงเป็นสาระหลักที่ทุกคนควรทำ หากคิดจะทำนุบำรุงสุขภาพตัวเองด้วยน้ำ 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1.     Radin, D, Gail H, Emoto M, Kizu T  "Double-Blind Test of the Effects of Distant Intention on Water Crystal Formation". The Journal of Science and Healing 2006: 2 (5): 408–11. doi:10.1016/j.explore.2006.06.004. PMID 16979104.
2.     Radin, D., Lund, N., Emoto, M., Kizu, T. (2008). Effects of distant intention on water crystal formation: A triple-blind replication.Journal of Scientific Exploration 2008 : 22(4), 481-493.
[อ่านต่อ...]

26 ตุลาคม 2555

ยา Bromocriptine กับอาหมวยนักเรียนนอกที่ภูเก็ต


สวัสดีค่ะ คุณหมอ

หนูพึ่งมาเจอบล็อกของคุณหมอวันนี้เองค่ะ อ่านแล้วได้ประโยชน์มาก เลยอยากจะขอปรึกษากะเค้ามั่ง หนูอายุ 28 ปีนะคะ เคยเห็นคุณหมอเขียนอธิบายเรื่องเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองที่สร้างฮอร์โมนโปรแลคติน หนูพยายามหาสาเหตุแต่ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร อยู่ๆมันก็มาซะงั้น ทำ MRI ตอนแรกขนาดประมาณ 2.5 (หน่ายวัดจำไม่ได้ค่ะ) หนูเป็นมาประมาณ 3 ปีกว่าแล้วค่ะ เรียกได้ว่าเพื่อนคู่ใจคือ Bromocriptine วันละสองเม็ดก่อนนอนสวยๆ จริงๆคุณหมอศัลยกรรมประสาทเจ้าของไข้ที่โรงพยาบาลวชิภูเก็ตปัจจุบันท่านให้ทานเช้าสองเม็ด ก่อนนอนสองเม็ดเลย แต่หนูทานไม่ไหวค่ะ ทานตอนเช้าจะง่วงมาก ทำอะไรไม่ได้เลย เลิกทานกาแฟแล้วด้วยเพราะเป็นไมเกรน ทีนี้เลยไม่มีตัวช่วย เลยขอคุณหมอทานแค่สองเม็ดก่อนนอนค่ะ ส่วนปัญหาที่ก่อนหน้าประจำเดือนไม่มาเลยเกือบปีก็ได้ยาคุมกำเนิดช่วยอยู่ค่ะ ซึ่งตอนนี้ประจำเดือนก็มาปกติ แต่ถ้าหยุดยาก็จะไม่มีประจำเดือน

ประเด็นคือ ครั้งแรกที่ตรวจเจอระดับโปรแลคตินท่านพุ่งไปเจ็ดร้อยกว่า พอครบคอร์สแรกที่ทานยา เริ่มจากครึ่งเม็ดจนครบสองเม็ด 12 เดือน ไปตรวจเลือด มันก็ลดลงมาเหลือร้อยกว่าปลายๆค่ะ หมอเลยให้หยุดยาเป็นวันละเม็ดก่อนนอน พอหลังจากนั้นสามเดือนไปตรวจใหม่ ผลปรากฎว่าระดับฮอร์โมนพุ่งขึ้นมาเป็นสี่ร้อยกว่า เลยต้องกลับไปทาน dose เดิม คือสองเม็ดก่อนนอน แบบลดยาไม่ได้เลยมันดีดขึ้นตลอด ตอนนั้นคุณหมอเลยแนะนำให้ผ่าส่องกล้อง แต่หนูปอดแหกเพราะกลัวโรคแทรกซ้อน เลยตัดสินใจไม่ผ่าค่ะ -"-

ตอนนี้หนูเรียนปริญญาโทอยู่ต่างประเทศค่ะ พึ่งกลับไปเยี่ยมบ้านช่วงสองเดือนก่อน ก็ไปตรวจเลือด ทำ MRI ตามหมอนัด เจ้าโปรแล็คตินมันลดลงมาอยู่ที่ร้อยกว่า แต่ก็ยังเกินอยู่ดี ผลตรวจทั่วไปปกติแต่หมอบอกว่าระดับฮอร์โมนในเลือดต่ำเลยยังจะเป็นต้องทานยาคุมชนิดออร์โมนไม่สูงมากช่วยอยู่ค่ะ (Yasmin) ถึงตอนนี้ทานมาเกือบสองปีแล้ว

หนูกังวลอยู่เรื่องที่ต้องทานยาคุมต่อเนื่องและก็เจ้า Bromocriptine เพราะกลัวผลข้างเคียง เนื่องจากถึงตอนนี้ทานมาสามปีกว่าแล้ว ตอนนี้คุณหมอบอกว่าดูจากฟิล์มเอกซ์เรย์ล่าสุดมันเล็กมาก ไม่ถึง 1.2 ซึ่งคุณหมอบอกว่ามันเล็กเกินไปที่จะผ่า ไม่คุ้มเสี่ยง ทานยาเอาจะดีกว่า แต่หนูไม่อยากทานยาแบบนี้ไปตลอดชีวิตค่ะ คุณหมอพอจะมีคำแนะนำอะไรมั้ยคะ อย่างธรรมชาติบำบัดที่มันจะช่วยในระยะยาว ไม่ใช่แบบหยุดยาก็ขึ้นมาอีก จะได้ไปควบคุมที่ต้นเหตุมันค่ะ

ขอขอบพระคุณคุณหมอล่วงหน้าที่ตอบจดหมายนะคะ

(ลงชื่อ) ……………….

ปล. ขอโทษนะคะ รบกวนคุณหมอลงเฉพาะชื่อเล่นนะค้าา
ขอบคุณค่ะ

ปล.2 ลืมเขียนถามเรื่องที่สำคัญไปค่ะ พึ่งเห็นว่าเขียนไม่ครบ ล่าสุดขนาดช่วงทานยาคุมกำเนิด 21 วันแรก ก็แอบมีเลือดออกกระปริบกระปรอย และตั้งแต่หนูเป็นโรคนี้มา จากคนผมดกตัวเล็ก กลายเป็นคนผมบางมากแล้วก็อวบระยะสุดท้ายค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะยาที่ทานหรือฮอร์โมนที่มันผิดปกติคะ ขอประทานโทษที่ส่งเมล์รบกวนหลายรอบค่ะ
………………………..

ตอบครับ

     ก่อนตอบคำถาม ขอพูดถึงโรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองสำหรับท่านผู้อ่านทั่วไปให้ทราบเป็นแบ๊คกราวด์ก่อนนะ โรคนี้เกิดจากอยู่ๆเนื้อดีๆของต่อมใต้สมองก็กลายเป็นเนื้องอกแบบไม่ใช่มะเร็ง (adenoma) ขึ้นมาโดยไม่มีเล่าปี่ ไม่มีขงเบ้ง หมายความว่าไม่ทราบสาเหตุ บ้างก็โต (macro) บ้างก็เล็ก (micro) บ้างก็หลั่งฮอร์โมนเช่นโปรแล็คติน (functioning) ทำให้น้ำนมไหลและประจำเดือนหดหาย บ้างก็ไม่หลั่ง (non functioning) โรคนี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อเนื้องอกมันโตจนคับสมองแล้วกดเนื้อเยื่อข้างๆให้เสียการทำงานเช่นทำให้ตามัวมองอะไรไม่เห็น หรือเมื่อฮอร์โมนที่มันหลั่งออกมาก่อปัญหาจนชีวิตไม่เป็นปกติ ถ้ามันทั้งโตก็ไม่โต หลั่งก็ไม่หลั่ง ทางแพทย์ก็จะทิ้งเนื้องอกนั้นไว้เฉยๆโดยไม่ทำอะไร เพราะคนเดินดินกินข้าวแกงตามถนนถ้าจับมาตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก (MRI) จะพบว่ามีเนื้องอกของต่อมใต้สมองชนิดเล็กและไม่หลั่งนี้เสียหนึ่งคนในทุกๆสิบคน

     เอาละทีนี้มาตอบคำถามของคุณ  

     1.. ถามว่าโรคพี่ตุ๋ย (pituitary adenoma) นี้เกิดจากสาเหตุอะไร ตอบว่าไม่ทราบครับ แล้วคุณไม่ต้องไปตระเวณถามใครที่ไหนหรอก เพราะพระเจ้ายังไม่ทราบเลย

     2.. ถามว่ากินยา Bromocriptine ไปนานๆจะมีผลเสียอะไรบ้างไหม ตอบว่าผลข้างเคียงของยานี้ส่วนใหญ่เป็นผลที่เกิดขึ้นทันที เช่น คลื่นไส้ ความดันเลือดตกหรือไม่ก็ความดันเลือดสูง ปวดหัว เวียนหัว ปวดท้อง ท้องผูก เบื่ออาหาร แน่นลิ้นปี่ เลือดออกในทางเดินอาหาร ง่วง ประสาทหลอน ที่หนักถึงขั้นโรคบ้าเก่ากำเริบก็มี (เพราะยานี้ออกฤทธิ์ตรงข้ามกับยารักษาโรคบ้า) นอกจากนี้อาจทำให้หัวใจเต้นช้า ชัก หลอดเลือดหด ปวดนิ้ว เป็นลม คัดจมูก ตะคริวกิน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่นับเรื่องความดันเลือดสูงและโรคบ้าแล้ว ผลเสียระยะยาวอย่างอื่นที่เป็นเนื้อเป็นหนังนั้นยังไม่เห็นมีใครรายงานไว้ครับ ดังนั้นเมื่อจำเป็นต้องกินก็กินไปเถอะ

     3.. ถามว่ามียาอื่นทดแทน Bromocriptine ไหม ตอบว่า

3.1 ในกรณีที่ผลข้างเคียงของยาอันเนื่องมาจากการกิน (เช่นคลื่นไส้) มีมาก ก็ให้เปลี่ยนไปใช้ยาเดียวกันนี้แต่เหน็บเข้าไปช่องคลอดแทนการกิน ซึ่งก็ได้ผลดีเท่ากับกิน

3.2 ในกรณีที่กินยานี้แล้วไม่ได้ผล พบว่า 70% ของคนที่กินยานี้แล้วไม่ได้ผลหากเปลี่ยนไปกินยาอีกตัวคือ carbergoline ซึ่งกินน้อยกว่าคือสัปดาห์ละ 2 ครั้งเท่านั้นพบว่าจะได้ผล แถมบางงานวิจัยพบว่าได้ผลดีกว่า Bromocriptine และมีผลข้างเคียงต่ำกว่าด้วย ยาตัวหลังนี้เมืองไทยไม่มีคนนำเข้ามาขายต้องซื้อที่อเมริกา

     4.. คุณบอกว่าเป็นไมเกรนด้วย คุณต้องระวังไว้ด้วยนะว่ายา ergotamine (Carfergot) ซึ่งเป็นยายอดนิยมที่ใช้รักษาไมเกรนนั้นใช้ควบกับยา bromocriptine นี้ไม่ได้ เพราะมันเป็นยาที่มาจากพืชตัวเดียวกันและออกฤทธิ์แบบเดียวกัน ถ้าใช้ควบกันจะเจอพิษของยาได้ง่ายๆ

     5.. ถามว่ามีสมุนไพร หญ้าแห้ง หรือวิธีการแบบหมอพื้นบ้านหรือการแพทย์ทางเลือกอื่นใดที่รักษาเนื้องอกในสมองนี้แทนยา bromocriptine แบบได้ผลด้วยไหม ตอบว่า..ไม่มีครับ

     6.. ถามว่าทำไมจึงอ้วน คุณเรียกว่าอะไรนะ อวบเบอร์ใหญ่สุด (หิ หิ เพิ่งรู้ว่ามีหน่วยนับดัชนีมวลกายแบบนี้ด้วย) ตอบว่าความอ้วนในกรณีของคุณนี้มีเหตุที่ต้องจัดการเป็นสามขั้นตอนคือ

     6.1 ต้องจัดการเรื่องดุลของแคลอรี่เช่นเดียวกับคนอ้วนทั้งหลาย คือความอ้วนเกิดจากดุลแคลอรี่เป็นบวก หมายความว่ากินเข้ามามากกกว่าที่เผาผลาญออกไป ต้องลดอาหารให้แคลอรี่ลง แล้วเพิ่มการออกกำลังกายและเล่นกล้ามเพื่อเผาผลาญให้มากขึ้น รายละเอียดผมเคยเขียนไปแล้วหลายครั้ง หาอ่านเอาได้
     
     6.2 ต้องเจาะเลือดตรวจสถานะของฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ (FT4, TSH) เพราะคนเป็นโรคเนื้องอกสมองอาจมีฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ผิดปกติ เช่นฮอร์โมนต่ำ (ไฮโปไทรอยด์) ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งของโรคอ้วน

      6.3 ต้องตรวจสถานะของฮอร์โมนของต่อมหมวกไต (cortisol) เพราะเนื้องอกต่อมใต้สมองบางชนิดปล่อยฮอร์โมนกระตุ้นต่อมหมวกไต (ACTH) ด้วย ทำให้ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลมาก ทำให้อ้วนกลางตัวหน้ากลมเป็นพระจันทร์ หรือที่เรียกว่าเป็นโรคคุชิ่ง (Cushing disease)  

     7.. ถามว่าทำไมจึงผมร่วงจากดกเป็นบาง อันนี้ปกติฮอร์โมนโปรแลคตินไม่ได้ทำให้ผมร่วง และยา bromocriptine ก็ไม่ทำให้ผมร่วง แต่ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำที่พบร่วมในโรคนี้มักทำให้ผมร่วง ดังนี้การจะตอบคำถามนี้ก็ต้องไปเจาะเลือดตรวจสถานะของฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ให้ได้ก่อนครับ

     8.. ถามว่าที่เลือดออกกะปริบกะปรอยขณะทานยาคุมกำเนิดหมายความว่าอย่างไร ตอบว่า เกิดได้จากสองอย่างคือ

     8.1 เกิดจากการคุมระดับโปรแลคตินยังไม่ดี คือประจำเดือนไม่มา ประจำเดือนมาน้อย ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เป็นเอกลักษณ์ของคนมีฮอร์โมนโปรแล็คตินสูง การกินยาคุมกำเนิดอาจช่วยกลบปัญหานี้ได้เพียงบางส่วน
     
     8.2 เกิดจากตัวยาคุมเอง เพราะยาคุมกำเนิดเป็นฮอร์โมนจากภายนอก เมื่อกินไปนานๆก็จะมีผลข้างเคียงเช่นประจำเดือนหายไปเลย หรือเลือดออกกะปริบกะปรอยเป็นประจำ แต่ในเมื่อจำเป็นต้องกินเพื่อทดแทนฮอร์โมนที่หายไปก็กินไปเถอะโดยทำใจยอมรับผลเสียของมันเสีย   
  
       จบคำถามแล้วนะ มาคุยกันเล่นดีกว่า คุณบอกว่าตัวเองเป็นอาหมวยนักเรียนนอกบ้านอยู่ที่ภูเก็ตเหรอ จดหมายของคุณทำให้ผมนึกถึงคนที่ผมเคารพนับถือคนหนึ่ง จะเล่าให้ฟังนะ

      ตอนนั้นเป็นปลายปี พ.ศ. 2547 ผมเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ที่ประชาชื่น เช้าตรู่ผมกำลังขับรถจะไปทำงานแล้วได้ยินวิทยุประกาศหาแพทย์ให้ลงไปช่วยที่ภูเก็ตซึ่งเพิ่งโดนคลื่นยักษ์ซูนามิถล่มเมื่อค่ำวันที่ผ่านมา โดยจะมีเครื่องบินฟรีพาไปเช้าวันนั้น ผมจึงตัดสินใจกลับรถขับไปดอนเมืองแทน เมื่อไปถึงภูเก็ตแล้ว  เพื่อความรวดเร็วผมจะขอข้ามไปไม่เล่าถึงภาพต่างๆเช่นศพคนตายลอยฟ่องนะครับ เพราะมันไม่ใช่ประเด็น แต่จะเล่าข้ามไปถึงตอนบ่ายของวันนั้น เมื่อผมเข้าร่วมกับทีมงานของกระทรวงสาธารณสุข และได้รับมอบภารกิจให้เป็น ศัลยแพทย์ทรวงอกสะแตนบาย ที่ศูนย์บัญชาการช่วยชีวิตชั่วคราวของรัฐบาล ซึ่งตั้งขึ้นที่รพ.วชิระภูเก็ตเรียบร้อยแล้ว  ด้วยวิทยุนเรนทรในมือที่พร้อมว.เข้ามาตรวจสอบว่ามีอะไรในรพ.หรือไม่ทุก 15 นาที ผมก็มีอิสระพอที่จะแร่ดไปไหนๆได้โดยไม่ต้องเจ่ารออยู่ในรพ.  ผมหิ้วกระเป๋าเดินออกจากรพ.ไปหาเช่าห้องพักเพื่อเอาเสื้อผ้าไปเก็บก่อน เพราะในรพ.ไม่มีที่พัก แต่พอเข้ามาในโรงแรมก็ต้องตกใจกับสภาพที่เหมือนค่ายผู้อพยพ และพบว่าห้องพักเต็มหมด มีฝรั่งหนีจากชายหาดและเกาะแก่งเข้ามาอยู่ในเมืองแน่นไปหมด บรรยากาศในโรงแรมเครียดมาก ฝรั่งบ๊งเบ๊งพนักงาน พนักงานซึ่งผมเข้าใจว่าคงทำงานกันมาทั้งคืนก็ดูจะอ่อนล้าและหมดความอดทน ข้างหนึ่งแหลงภาษาใต้ อีกข้างพูดฝรั่ง จับความได้ว่าฝรั่งโมโหที่เจ้าหน้าที่โรงแรมหลอกให้ฝรั่งสองร้อยคนไปที่ศาลากลางเพื่อทำพาสปอร์ตทดแทนของเก่าที่หาย แต่พอไปถึงก็ทำไม่ได้ ต้องถูกส่งกลับมาโรงแรมใหม่

                ผมจึงอาสากับเจ้าของโรงแรมว่าให้พนักงานคนหนึ่งไปกับผม ไปดูกันว่าปัญหามันคืออะไร เมื่อมาถึงศาลากลางจังหวัด โอ้โฮ มันยุ่งเหยิงแบบที่คนเหนือเรียกว่า สุนอ๊ะสุนอาน ทางศาลากลางจังหวัดจัดโต๊ะแยกออกเป็นประเทศๆ มีฝรั่งมารอขอความช่วยเหลือเยอะมาก อีกด้านหนึ่งก็มีชาวบ้านไทยที่อพยพหนีคลื่นยักษ์มาอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวเพราะไร้ที่อยู่ มีชาวภูเก็ตที่เอาของมาบริจาคบ้าง เข้ามาช่วยงานบ้างเป็นจำนวนมาก ผมเพิ่งเห็นประจักษ์กับตาว่าคนภูเก็ตเป็นคนมีน้ำใจงามจริงๆ ยามนี้ความเห็นอกเห็นใจกันยิ่งมีมากเป็นทวีคูณ ถ้ามีฝรั่งคนหนึ่งค้นหาเหรียญสิบบาทมาจ่ายเงินค่าธรรมเนียม คนไทยรอบๆ จะแห่กันส่งเหรียญสิบบาทของตัวเองมาให้จากทุกทิศทุกทางนับได้สี่ห้าเหรียญ ถึงคนภูเก็ตน้ำใจงามอย่างนี้ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ เพราะไม่มีผู้ประสานงานให้การแก้ปัญหาขับเคลื่อนไปอย่างเป็นกระบวน มีผู้ชายอาวุโสคนหนึ่ง ดูจากการแต่งกายคงจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจังหวัด ยืนสูงเด่นเป็นสง่าอยู่  ดูเขาจะใหญ่กว่าทุกคนในนี้ ทุกคนไม่ว่าจะเป็นข้าราชการจากหน่วยอื่นหรือประชาชนผู้หวังจะมาช่วย ต่างไปขอคำแนะนำจากเขาว่าจะให้ทำอะไรบ้าง บ้างก็บีบเอาคำตอบจากเขา บ้างก็รบเร้าเขา มีอยู่จุดหนึ่งเขาก็น็อตหลุด โพล่งออกมาด้วยเสียงอันดังว่า

                คุณรับมอบภารกิจอะไรมาก็ไปทำภารกิจนั้นเอาเอง อย่ามาเพิ่มภารกิจให้ผม เพราะของผมก็เต็มที่อยู่แล้ว

                ฟังเนื้อความที่เขาโพล่งออกมาแล้ว เขาคงจะเต็มกลืนกับสถานการณ์แล้วจริงๆ เป็นเรื่องชัดเจนว่าไม่มีใครสามารถบริหารจัดการสถานการณ์ขณะนี้ได้
                แต่ในความวุ่นวายนั้นผมก็สังเกตเห็นว่ามีเด็กสาวหน้าตาสะสวยแบบอาหมวยคนหนึ่ง อายุประมาณยี่สิบปลายๆ สวมกางเกงบลูยีนส์ และเสื้อยืดคอกลมสีขาวเอวลอยพ้นสะดือซึ่งเป็นแฟชั่นปกติของสมัยนั้น เธอปฏิบัติงานอย่างคล่องแคล่ว รับปัญหาของฝรั่งจากทางนี้ เดินไปหาโต๊ะโน้นโต๊ะนี้ แล้วก็ดูเหมือนจะสำเร็จจนฝรั่งพอใจ เดี๋ยวเธอพูดอังกฤษ เดี๋ยวเธอพูดเยอรมัน แล้วเธอก็ไปรับงานจากฝรั่งคนอื่นมาอีก จนฝรั่งหลายคนมายืนต่อคิวใช้บริการจากเธอเพราะเห็นว่าเธอมีประสิทธิภาพสูงเชื่อถือได้ พอได้จังหวะผมจึงเข้าประกบและถามเธอว่า

                คุณมาจากกระทรวงไหนหรือครับ

                เปล่าค่ะ หนูแวะมากเยี่ยมบ้าน เห็นเขายุ่งกันอยู่จึงมาช่วย

     อ้อ เป็นนักเรียนนอก เผอิญกลับมาบ้านช่วงเทศกาลปีใหม่นี่เอง

                แล้วทำไมคุณรู้ระเบียบขั้นตอนดีจัง ผมอดกังขาไม่ได้

                หนูไม่รู้หรอกค่ะ ก็เพิ่งเรียนเอาจากรายแรกๆ พอรายต่อๆมา ก็พอจับทางได้ว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร
     เธอตอบ
                ความแตกต่างของสาวน้อยคนนี้กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านนั้นอยู่ตรงนี้นี่เอง คือความสามารถในการคลำหาทางแก้ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อน ความแตกต่างนี้ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อผมกับพนักงานโรงแรมเข้าไปติดต่อขอทราบปัญหาอุปสรรคการออกหนังสือเดินทางทดแทนของฝรั่งที่โรงแรมกับข้าราชการผู้ใหญ่ที่สุดท่านนั้น

                ทำพาสสปอร์ตทดแทนทำอย่างไรผมไม่เคยทำ ท่านรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ทางวิทยุว่าให้ทำพาสสปอร์ตทดแทน แต่เบื้องบนก็ไม่บอกว่าทำอย่างไร จะให้ผมเซ็นหรือ จะเซ็นไปได้อย่างไร กฎหมายบอกชัดอยู่แล้วว่าใครถึงจะมีอำนาจเซ็น ผมเซ็นไป ตม. เขาก็ไม่ผ่านให้อยู่ดี เพราะมันผิดกฎระเบียบ..”

     นั่นคือคำอธิบายที่ทำให้ผมถึงบางอ้อ  รัฐมนตรีซึ่งเป็นนักการเมืองสั่งการโดยพูดออกวิทยุกระจายเสียง (ช่วงซูนามิโทรศัพท์เข้าภูเก็ตไม่ได้เลย) โดยให้แนวทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าว่าให้ออกหนังสือเดินทางทดแทนไปก่อน แต่ข้าราชการประจำทำให้ไม่ได้เพราะไม่มีระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจน ต้องรอให้เบื้องบนบอกวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนมาก่อน ความสามารถที่จะคลำหาทางแก้ปัญหาไม่ต้องไปถามถึง เพราะราชการทำกันไปตามระเบียบปฏิบัติ ไม่ใช่ทำกันแบบค้นหาทางแก้ปัญหา
          ผมนึกเปรียบเทียบภาพของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่กับสาวน้อยเสื้อเอวลอยอยู่ในใจ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีคำสั่งหรือระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจน ตามหลักวิชาการบริหารจึงนับเขาเป็นเพียง พนักงานธรรมดา แม้เครื่องแบบและความภูมิฐานของเขาจะบอกว่าเขาเป็นใหญ่ที่สุดในนี้ก็ตาม  แต่อาหมวยสาวน้อยเสื้อเอวลอยคนนั้น ทำงานแก้ปัญหาได้สำเร็จ แม้ไม่ไม่มีกฎระเบียบหรือไม่เคยรู้เคยเห็นปัญหาเช่นนี้มาก่อนก็คลำทางเอาเองได้ ตามหลักวิชาการบริหารต้องจัดเธอเป็น มืออาชีพ โดยสมบูรณ์ เพราะคำว่า มืออาชีพ ก็หมายถึงผู้ที่สามารถแก้ปัญหาได้เสร็จสมบูรณ์ไม่ว่าในสถานการณ์เช่นใด

นาทีนั้น ผมก้มหัวให้เกียรติแก่สาวน้อยชาวภูเก็ตผู้เป็น มืออาชีพ ด้วยความเคารพนับถือเต็มหัวใจ


                                                                                                นพ. สันต์ ใจยอดศิบป์ 
[อ่านต่อ...]