สวัสดีค่ะอ.หมอสันต์
ก่อนอื่นขอชื่นชมและสนับสนุนแนวทางที่คุณหมอทำอยู่ในการดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นหลักการรักษาแทบทุกโรค เป็นที่น่าเสียดายที่ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันกลับทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก และมุ่งเน้นไปในแนวทางการรักษาด้วยยา และเทคโนโลยีในการตรวจวินิจฉัยและรักษามากกว่าการป้องกัน ทำให้ในภาพรวมเรียกได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ตัวชี้วัดง่ายๆคือ แม้แต่หมอ พยาบาลก็ป่วยในโรคที่สามารถป้องกันได้ บางคนก็ตายก่อนคนไข้ที่ตัวเองรักษา ถ้าไม่นับผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน แข้งขาหัก cardiac arrest ที่ยังยอมรับได้ในแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว โดยส่วนตัวคิดว่า วงการแพทย์ควรหันมาให้ความสนใจในแนวทางที่หมอสันต์ปฏิยัติอยู่ด้วยเกิดจากปัญญาญาณและประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน เอาง่ายๆแค่ลบความเชื่อของแพทย์ส่วนใหญ่เรื่องเบาหวาน ความดันรักษาหายได้ และสุดท้ายไม่ต้องใช้ยาก็อยู่ได้ยังทำได้ยากเลย
อิอิ..เกริ่นมาซะยาวเข้าเรื่องคำถามที่ไม่เกี่ยวกับอารัมภบทเลยดีกว่า ในฐานะที่หมอสันต์ถือได้ว่าเป็นฆราวาสที่ปฏิบัติสมาธิ จนเรียกได้ว่าหลุดพ้นหรือบรรลุธรรมก็ว่าได้ คุณหมอยังมี รัก โลภ โกรธ หลงอยู่หรือเปล่า ถ้ามีสามารถหลีกเลี่ยงหรือกำจัดไปได้อย่างไร ตัวเองและสามีกำลังฝึกปฏิบัติอยู่ ในใจลึกๆก็กลัวว่าถ้าบรรลุแล้ว สามีจะหนีไปบวช หรือตัวเองจะตัดทางโลกไปเหมือนกัน ทำให้สถานภาพที่เป็นอยู่ซึ่งดีและพอเพียงอยู่แล้วเปลี่ยนไป แต่เท่าที่ติดตาม คุณหมอก็ยังอยู่กับครอบครัวดีอยู่ และคนที่มีการศึกษาสูงหลายคน(ระดับดอกเตอร์)ที่หันมานั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม ก็ไม่ต้องไปบวชกัน เลยอยากรู้ว่าเมื่อถึงขั้นวางความคิด ตัวตนเหลือแต่ความรู้ตัวแล้ว นอกจากการอุทิศตัวทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นตามความถนัดที่ตนเองมีอยู่ แล้วความเป็นอยู่ที่ไม่อยากได้อยากมีอยากเป็นมันไม่เหลือ เท่ากับไม่มีกิเลสแล้ว การอยู่ร่วมกับคนที่ยังมีกิเลสก็คงยาก จะปลีกวิเวกโดยไม่ต้องบวชถ้าเป็นผู้หญิงก็คงไม่ปลอดภัย...อาจดูเป็นคำถามโง่ๆ ถ้าคุณหมอเห็นว่ายังไม่ทันหลุดพ้นก็มองข้ามช็อตไปแล้ว หรือไม่อยุ๋กับปัจจุบัน แค่เพียงอยากทราบเป็นคำถามที่2ว่า คนที่ปฏิบัติดีในเพศฆราวาส เป็นอยู่อย่างไร
ขอบคุณค่ะ
...................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าใครบรรลุอะไรไม่บรรลุอะไร ตอบว่าคนที่พูดว่าตัวเองบรรลุธรรม หมายความว่าคนนั้นไม่บรรลุธรรม นี่เป็นเป็นเกณฑ์วินิจฉัยด้วยตัวเองที่คุณจำไปใช้เมื่อเจอคนขี้โม้ได้เลย เพราะการบรรลุธรรมนิยามง่ายๆว่าคือการหลุดพ้นไปจากสำนึกว่าเป็นบุคคล แต่ถ้ายังมานั่งพูดฉอดๆว่าตัวฉันเองบรรลุธรรมแล้วอยู่นั่นนะ หากไม่ใช่พูดจากสำนึกว่าเป็นบุคคลแล้วจะพูดจากอะไรละครับ
การหลุดพ้นจากกรงของความคิดของตัวเองเป็นเรื่องที่เจ้าตัวคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ การไปเที่ยวถามเอาจากคนอื่นเป็นความบ้าชนิดหนึ่ง ครูของผมซึ่งเป็นคนฝรั่งเศษพูดภาษาอังกฤษไม่ชัด เคยเล่านิทานเซ็นให้ฟังเรื่องหนึ่งว่า พระเซ็นญี่ปุ่นรูปหนึ่งซึ่งผ่าฟืนทำครัวในวัดมานาน วันหนึ่งรู้สึกตัวเองมีความสงบเย็นขึ้นมาอย่างประหลาดไม่มีความคิดอาทรร้อนใจอะไร ก็แน่ใจว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว จึงเข้าไปถามหลวงพ่อว่านี่คือการบรรลุธรรมใช่ไหม หลวงพ่อตอบโดยไม่ต้องเงยหน้ามองเลยว่า
"No no it is not Satori, go back to kitchen work"
"ไม่ใช่ ไม่ใช่การบรรลุธรรมหรอก กลับไปฝ่าฟืนซะไป๊"
พระรูปนั้นก็กลับมาทำครัวต่อได้สามเดือน แต่ละวันก็รู้สึกว่าตัวเองเบิกบานยิ่งขึ้นจนไม่เหลือความทุกข์อะไรในใจเลย ก็มั่นใจว่าตัวเองต้องบรรลุธรรมแล้วแน่ๆ จึงกลับไปเล่าอาการให้หลวงพ่อฟังอย่างละเอียดเพื่อขอการวินิจฉัยยืนยันอีกครั้ง หลวงพ่อเงยหน้าขึ้นมองนิดหนึ่ง ขยับแว่น แล้วว่า
"No no it is not Satori, go back to kitchen work"
"ไม่ใช่ ไม่ใช่การบรรลุธรรมหรอก กลับไปฝ่าฟืนซะไป๊"
พระรูปนั้นก็กลับมาทำครัว ต่อมาอีกหกเดือน ยิ่งอยู่นานไปก็ยิ่งมันใจว่าตัวเองต้องบรรลุธรรมแน่ๆเพราะมันเบิกบานเหลือเกิน ทำงานได้เบาดีเหลือเกิน ไร้ทุกข์ดีเหลือเกิน จึงกลับไปเล่าอาการให้หลวงพ่อฟังอีก คราวนี้หลวงพ่อตะเพิดว่า
"No I told you it's not. No it is not Satori, go back to kitchen work"
"ไม่ใช่ ข้าบอกเอ็งแล้วไงว่าไม่ใช่การบรรลุธรรมหรอก กลับไปฝ่าฟืนซะไป๊"
คราวนี้พระภิกษุรูปนั้นไม่ยอม ลุกขึ้นถลกจีวรเถียงหลวงพ่อว่า
"You said it is not Satori. You stay with your Satori. I will stay with my Satori"
"หลวงพ่อว่าไม่ใช่บรรลุธรรมก็เรื่องของหลวงพ่อ หลวงพ่ออยู่กับการบรรลุธรรมของหลวงพ่อไปก็แล้วกัน ผมก็จะอยู่กับการบรรลุธรรมของผม"
หลวงพ่อเซ็นได้ฟังดังนั้นก็ทำตาโตแล้วชี้นิ้วมาที่พระรูปนั้นและว่า
"Ha ha that's it. It is Satori"
"ฮ้า ฮ่า นั่นแหละใช่แล้ว การบรรลุธรรม"
2. ถามว่าจะหลีกเลี่ยงหรือกำจัดรักโลภโกรธหลงได้อย่างไร ตอบว่าไม่ต้องหลีกเลี่ยง ไม่ต้องกำจัด แค่สังเกตดู แค่แยกตัวออกมาเป็นผู้สังเกต แยกให้ออก ทิ้งระยะห่างให้ได้นิดหนึ่งเสมอ ว่านี่เป็นเราซึ่งเป็นผู้สังเกต นั่นเป็นความคิด หมายความว่าที่คุณเรียกว่ารักโลภโกรธหลงทั้งหมดนั่นแหละคือความคิด มันเป็นความคิดที่ผูกโยงถักทอขึ้นมาจากความคิดแม่ความคิดหนึ่ง คือความคิดหรือสำนึกว่าตัวข้านี้เป็นบุคคล ทั้งๆที่รู้ความจริงอยู่ว่าความเป็นบุคคลของตัวข้านี้เป็นของเก๊ เป็นแค่ความคิด แต่คนเราต่างก็เพิกเฉยต่อความจริงข้อนี้ การเพิกเฉยต่อความจริงข้อนี้แหละที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า "อวิชชา (ignorance)" ซึ่งท่านสอนว่าเป็นปฐมเหตุของความทุกข์ของผู้คนทุกยุคทุกสมัย
3. ถามว่าสองสามีภรรยาพากันปฏิบัติธรรม แต่ใจก็กลัวว่าสามีบรรลุแล้วจะหนีตัวเองไปบวชจะทำไงดี ตอบว่าอย่างคุณยังไม่ต้องรีบไปนั่งปฏิบัติอะไรให้เจ็บก้นหรอกครับ แค่ทำความเข้าใจก่อนว่าความคิดทั้งหลายของคุณรวมทั้งความกลัวสามีหนีไปบวชด้วย มันล้วนชงขึ้นมาจากความจำในอดีตของคุณเอง แล้วคาดการณ์ (project) ไปในอนาคตซึ่งก็เป็นแค่คอนเซ็พท์ในใจของคุณอีกนั่นแหละ ได้ผลออกมาเป็นขี้ขึ้นสมองคุณเอง ผมหมายถึงเป็นความกลัวที่ในใจตัวเอง รวมทั้งที่กลัวว่าเมื่อหมดกิเลสแล้วจะอยู่กับคนกิเลสหนาก็อยู่ไม่ได้ จะไปปลีกวิเวกก็กลัวถูกผู้ชายปล้ำ ฯลฯ ทั้งหมดนั้นเป็นความคิด ซึ่งดำรงอยู่ได้เพราะความเชื่อว่าอดีตและอนาคตในใจเป็นของที่มีอยู่จริง การปฏิบัติธรรมคุณไม่ต้องไปนั่งที่ไหนให้เจ็บก้นเลย แค่คุณทิ้งอดีตทิ้งอนาคตในใจคุณไปเสีย เพราะอดีตอนาคตในใจ (psychological time) มันไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง เมื่อคุณทิ้งมันไปเสียได้ ความคิดก็จะไม่มีที่อยู่ เพราะความคิดมันเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ได้เฉพาะในมิติของเวลาเท่านั้น เมื่อความคิดที่ยึดโยงกับสำนึกว่าเป็นบุคคลหมดไปจากใจ ก็จะเหลือความรู้ตัวซึ่งตื่นอยู่และรับรู้แต่กับสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าที่นี่เดี๋ยวนี้ ทีละช็อต ทีละช็อต ความรู้ตัวนี้มันมีธรรมชาติตื่นรู้เยือกเย็นไม่กระโตกกระตากไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับความคิดหรือตัวตนใดๆของคุณ ตรงนี้แหละคือความสุขสงบของจริง ตรงนี้แหละคือความหลุดพ้น ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในชีวิตแบบเดิมๆนี่แหละ คุณเอาแค่นี้ก็พอแล้ว
4. ถามว่าคนที่ปฏิบัติดีในเพศฆราวาส เขาจะเป็นอยู่อย่างไร ตอบว่าเขาก็จะเป็นอยู่อย่างที่เขาเคยเป็นนั่นแหละครับ ทำงานอย่างที่เขาเคยทำ จะไปมีอะไรพิศดารกว่านั้นละ เพียงแต่ว่าความคิดเวิ่นเว้อในใจเขาจะมีน้อยลง และความสงบเย็นในใจของเขาจะมีมากขึ้น
หมดคำถามแล้วนะ นอนดีก่า
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]
ก่อนอื่นขอชื่นชมและสนับสนุนแนวทางที่คุณหมอทำอยู่ในการดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นหลักการรักษาแทบทุกโรค เป็นที่น่าเสียดายที่ในวงการแพทย์แผนปัจจุบันกลับทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก และมุ่งเน้นไปในแนวทางการรักษาด้วยยา และเทคโนโลยีในการตรวจวินิจฉัยและรักษามากกว่าการป้องกัน ทำให้ในภาพรวมเรียกได้ว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ตัวชี้วัดง่ายๆคือ แม้แต่หมอ พยาบาลก็ป่วยในโรคที่สามารถป้องกันได้ บางคนก็ตายก่อนคนไข้ที่ตัวเองรักษา ถ้าไม่นับผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน แข้งขาหัก cardiac arrest ที่ยังยอมรับได้ในแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว โดยส่วนตัวคิดว่า วงการแพทย์ควรหันมาให้ความสนใจในแนวทางที่หมอสันต์ปฏิยัติอยู่ด้วยเกิดจากปัญญาญาณและประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน เอาง่ายๆแค่ลบความเชื่อของแพทย์ส่วนใหญ่เรื่องเบาหวาน ความดันรักษาหายได้ และสุดท้ายไม่ต้องใช้ยาก็อยู่ได้ยังทำได้ยากเลย
อิอิ..เกริ่นมาซะยาวเข้าเรื่องคำถามที่ไม่เกี่ยวกับอารัมภบทเลยดีกว่า ในฐานะที่หมอสันต์ถือได้ว่าเป็นฆราวาสที่ปฏิบัติสมาธิ จนเรียกได้ว่าหลุดพ้นหรือบรรลุธรรมก็ว่าได้ คุณหมอยังมี รัก โลภ โกรธ หลงอยู่หรือเปล่า ถ้ามีสามารถหลีกเลี่ยงหรือกำจัดไปได้อย่างไร ตัวเองและสามีกำลังฝึกปฏิบัติอยู่ ในใจลึกๆก็กลัวว่าถ้าบรรลุแล้ว สามีจะหนีไปบวช หรือตัวเองจะตัดทางโลกไปเหมือนกัน ทำให้สถานภาพที่เป็นอยู่ซึ่งดีและพอเพียงอยู่แล้วเปลี่ยนไป แต่เท่าที่ติดตาม คุณหมอก็ยังอยู่กับครอบครัวดีอยู่ และคนที่มีการศึกษาสูงหลายคน(ระดับดอกเตอร์)ที่หันมานั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม ก็ไม่ต้องไปบวชกัน เลยอยากรู้ว่าเมื่อถึงขั้นวางความคิด ตัวตนเหลือแต่ความรู้ตัวแล้ว นอกจากการอุทิศตัวทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นตามความถนัดที่ตนเองมีอยู่ แล้วความเป็นอยู่ที่ไม่อยากได้อยากมีอยากเป็นมันไม่เหลือ เท่ากับไม่มีกิเลสแล้ว การอยู่ร่วมกับคนที่ยังมีกิเลสก็คงยาก จะปลีกวิเวกโดยไม่ต้องบวชถ้าเป็นผู้หญิงก็คงไม่ปลอดภัย...อาจดูเป็นคำถามโง่ๆ ถ้าคุณหมอเห็นว่ายังไม่ทันหลุดพ้นก็มองข้ามช็อตไปแล้ว หรือไม่อยุ๋กับปัจจุบัน แค่เพียงอยากทราบเป็นคำถามที่2ว่า คนที่ปฏิบัติดีในเพศฆราวาส เป็นอยู่อย่างไร
ขอบคุณค่ะ
...................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าใครบรรลุอะไรไม่บรรลุอะไร ตอบว่าคนที่พูดว่าตัวเองบรรลุธรรม หมายความว่าคนนั้นไม่บรรลุธรรม นี่เป็นเป็นเกณฑ์วินิจฉัยด้วยตัวเองที่คุณจำไปใช้เมื่อเจอคนขี้โม้ได้เลย เพราะการบรรลุธรรมนิยามง่ายๆว่าคือการหลุดพ้นไปจากสำนึกว่าเป็นบุคคล แต่ถ้ายังมานั่งพูดฉอดๆว่าตัวฉันเองบรรลุธรรมแล้วอยู่นั่นนะ หากไม่ใช่พูดจากสำนึกว่าเป็นบุคคลแล้วจะพูดจากอะไรละครับ
การหลุดพ้นจากกรงของความคิดของตัวเองเป็นเรื่องที่เจ้าตัวคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ การไปเที่ยวถามเอาจากคนอื่นเป็นความบ้าชนิดหนึ่ง ครูของผมซึ่งเป็นคนฝรั่งเศษพูดภาษาอังกฤษไม่ชัด เคยเล่านิทานเซ็นให้ฟังเรื่องหนึ่งว่า พระเซ็นญี่ปุ่นรูปหนึ่งซึ่งผ่าฟืนทำครัวในวัดมานาน วันหนึ่งรู้สึกตัวเองมีความสงบเย็นขึ้นมาอย่างประหลาดไม่มีความคิดอาทรร้อนใจอะไร ก็แน่ใจว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว จึงเข้าไปถามหลวงพ่อว่านี่คือการบรรลุธรรมใช่ไหม หลวงพ่อตอบโดยไม่ต้องเงยหน้ามองเลยว่า
"No no it is not Satori, go back to kitchen work"
"ไม่ใช่ ไม่ใช่การบรรลุธรรมหรอก กลับไปฝ่าฟืนซะไป๊"
พระรูปนั้นก็กลับมาทำครัวต่อได้สามเดือน แต่ละวันก็รู้สึกว่าตัวเองเบิกบานยิ่งขึ้นจนไม่เหลือความทุกข์อะไรในใจเลย ก็มั่นใจว่าตัวเองต้องบรรลุธรรมแล้วแน่ๆ จึงกลับไปเล่าอาการให้หลวงพ่อฟังอย่างละเอียดเพื่อขอการวินิจฉัยยืนยันอีกครั้ง หลวงพ่อเงยหน้าขึ้นมองนิดหนึ่ง ขยับแว่น แล้วว่า
"No no it is not Satori, go back to kitchen work"
"ไม่ใช่ ไม่ใช่การบรรลุธรรมหรอก กลับไปฝ่าฟืนซะไป๊"
"No I told you it's not. No it is not Satori, go back to kitchen work"
"ไม่ใช่ ข้าบอกเอ็งแล้วไงว่าไม่ใช่การบรรลุธรรมหรอก กลับไปฝ่าฟืนซะไป๊"
"You said it is not Satori. You stay with your Satori. I will stay with my Satori"
"หลวงพ่อว่าไม่ใช่บรรลุธรรมก็เรื่องของหลวงพ่อ หลวงพ่ออยู่กับการบรรลุธรรมของหลวงพ่อไปก็แล้วกัน ผมก็จะอยู่กับการบรรลุธรรมของผม"
หลวงพ่อเซ็นได้ฟังดังนั้นก็ทำตาโตแล้วชี้นิ้วมาที่พระรูปนั้นและว่า
"Ha ha that's it. It is Satori"
"ฮ้า ฮ่า นั่นแหละใช่แล้ว การบรรลุธรรม"
2. ถามว่าจะหลีกเลี่ยงหรือกำจัดรักโลภโกรธหลงได้อย่างไร ตอบว่าไม่ต้องหลีกเลี่ยง ไม่ต้องกำจัด แค่สังเกตดู แค่แยกตัวออกมาเป็นผู้สังเกต แยกให้ออก ทิ้งระยะห่างให้ได้นิดหนึ่งเสมอ ว่านี่เป็นเราซึ่งเป็นผู้สังเกต นั่นเป็นความคิด หมายความว่าที่คุณเรียกว่ารักโลภโกรธหลงทั้งหมดนั่นแหละคือความคิด มันเป็นความคิดที่ผูกโยงถักทอขึ้นมาจากความคิดแม่ความคิดหนึ่ง คือความคิดหรือสำนึกว่าตัวข้านี้เป็นบุคคล ทั้งๆที่รู้ความจริงอยู่ว่าความเป็นบุคคลของตัวข้านี้เป็นของเก๊ เป็นแค่ความคิด แต่คนเราต่างก็เพิกเฉยต่อความจริงข้อนี้ การเพิกเฉยต่อความจริงข้อนี้แหละที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า "อวิชชา (ignorance)" ซึ่งท่านสอนว่าเป็นปฐมเหตุของความทุกข์ของผู้คนทุกยุคทุกสมัย
3. ถามว่าสองสามีภรรยาพากันปฏิบัติธรรม แต่ใจก็กลัวว่าสามีบรรลุแล้วจะหนีตัวเองไปบวชจะทำไงดี ตอบว่าอย่างคุณยังไม่ต้องรีบไปนั่งปฏิบัติอะไรให้เจ็บก้นหรอกครับ แค่ทำความเข้าใจก่อนว่าความคิดทั้งหลายของคุณรวมทั้งความกลัวสามีหนีไปบวชด้วย มันล้วนชงขึ้นมาจากความจำในอดีตของคุณเอง แล้วคาดการณ์ (project) ไปในอนาคตซึ่งก็เป็นแค่คอนเซ็พท์ในใจของคุณอีกนั่นแหละ ได้ผลออกมาเป็นขี้ขึ้นสมองคุณเอง ผมหมายถึงเป็นความกลัวที่ในใจตัวเอง รวมทั้งที่กลัวว่าเมื่อหมดกิเลสแล้วจะอยู่กับคนกิเลสหนาก็อยู่ไม่ได้ จะไปปลีกวิเวกก็กลัวถูกผู้ชายปล้ำ ฯลฯ ทั้งหมดนั้นเป็นความคิด ซึ่งดำรงอยู่ได้เพราะความเชื่อว่าอดีตและอนาคตในใจเป็นของที่มีอยู่จริง การปฏิบัติธรรมคุณไม่ต้องไปนั่งที่ไหนให้เจ็บก้นเลย แค่คุณทิ้งอดีตทิ้งอนาคตในใจคุณไปเสีย เพราะอดีตอนาคตในใจ (psychological time) มันไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง เมื่อคุณทิ้งมันไปเสียได้ ความคิดก็จะไม่มีที่อยู่ เพราะความคิดมันเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ได้เฉพาะในมิติของเวลาเท่านั้น เมื่อความคิดที่ยึดโยงกับสำนึกว่าเป็นบุคคลหมดไปจากใจ ก็จะเหลือความรู้ตัวซึ่งตื่นอยู่และรับรู้แต่กับสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าที่นี่เดี๋ยวนี้ ทีละช็อต ทีละช็อต ความรู้ตัวนี้มันมีธรรมชาติตื่นรู้เยือกเย็นไม่กระโตกกระตากไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับความคิดหรือตัวตนใดๆของคุณ ตรงนี้แหละคือความสุขสงบของจริง ตรงนี้แหละคือความหลุดพ้น ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในชีวิตแบบเดิมๆนี่แหละ คุณเอาแค่นี้ก็พอแล้ว
4. ถามว่าคนที่ปฏิบัติดีในเพศฆราวาส เขาจะเป็นอยู่อย่างไร ตอบว่าเขาก็จะเป็นอยู่อย่างที่เขาเคยเป็นนั่นแหละครับ ทำงานอย่างที่เขาเคยทำ จะไปมีอะไรพิศดารกว่านั้นละ เพียงแต่ว่าความคิดเวิ่นเว้อในใจเขาจะมีน้อยลง และความสงบเย็นในใจของเขาจะมีมากขึ้น
หมดคำถามแล้วนะ นอนดีก่า
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์