อาจารย์คะ
ขอบพระคุณทุกอย่างที่อาจารย์สอนใน SR เมื่อกลับจากแค้มป์แล้วหนูก็ไม่ได้ขี้เกียจ ได้นำทุกอย่างที่อาจารย์สอนมาปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง relaxation โดยเช็คด้วยการยิ้มตลอดวัน กับ body scan ทุกที่ทุกเวลาทุกโอกาส ทั้งสองเทคนิคนี้เวอร์คมากค่ะ แต่ก็ยังมีคำถาม แม้อาจารย์จะย้ำว่าความสงสัยเป็นตัวเลวที่สุด อย่าเป็นคนขี้สงสัย แต่มันก็อดไม่ได้ คิดอยู่หลายวันก็ปิดเคสไม่ลง จึงต้องยอมให้อาจารย์ดุฝืนเขียนมา
1. อาจารย์บอกว่าความรู้ตัวไม่ได้เป็นของเรา และไม่ได้เป็นของใคร อันนี้ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เรารู้ตัวของเรา แล้วความรู้ตัวของเราจะไปเป็นของคนอื่นได้อย่างไร
2. อาจารย์บอกว่าเมื่อร่างกายตาย ความคิดก็ตายไปด้วย แต่ความรู้ตัวไม่ตาย มันคงอยู่เป็นนิร้นดร์ อันนี้ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะทุกอย่างเกิดดับเกิดดับ เมื่อร่างกายตายแล้ว ความรู้ตัวจะอยู่โดยไม่ดับได้อย่างไร
................................................
ตอบครับ
จดหมายฉบับนี้ถ้าเป็นของท่านผู้อ่านทั่วไปเขียนมาก็คงทิ้งตะกร้าไปแล้วเพราะเนื้อหาถามถึงสิ่งที่ภาษาอธิบายไม่ได้แต่จะบังคับให้อธิบายด้วยภาษา ถึงตอบไปก็จะกลายเป็นอ่านแล้วไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องแล้วเกิดเป็นคำถามใหม่เป็นความคิดใหม่ซ้ำซากขึ้นอีกไม่รู้จบ แต่นี่เป็นคำถามของคนที่มาเรียน SR แล้ว มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องตอบ ตอบแล้วหากยังไม่เก็ทก็คงต้องเรียกมาเรียนใหม่ คราวนี้ให้เรียนฟรีเลย จนกว่าจะเก็ท
ในการอ่านคำตอบนี้ขอให้คุณระมัดระวังเรื่องข้อจำกัดของภาษา ขอให้ใช้คำตอบเป็นแค่แนวทางชี้นำเลาๆก็พอ แล้วไปรอเห็นเอาตามที่มันเป็นเมื่อการวางความคิดพาไปถึงจุดนั้นแล้ว
1. ถามว่าความรู้ตัว (consciousness หรือ awareness) นี้ทำไมไม่ใช่ของเรา ถ้าจะตอบด้วยตรรกะก็ตอบว่าความเป็นเจ้าของก็ดี หรือกรรมสิทธิ์ก็ดี สิทธิก็ดี เป็นคอนเซ็พท์ หรือเป็นความคิด ความรู้ตัวไม่ใช่ความคิด จึงไม่เป็นของใคร ไม่ได้มีเอี่ยวหรือได้เสียอะไรกับใคร เพราะใครนั้นคือความเป็นบุคคลหรือความคิด
ตอบให้กว้างอีกหน่อยก็ตอบว่าความรู้ตัวอยู่คนละโลกคนละมิติกับความคิดและร่างกาย ความคิดและร่างกายเป็นเป้าอันมีขอบเขตซึ่งความสนใจไปรับรู้สัมผัสได้ ความคิดและร่างกายจึงอธิบายด้วยภาษาได้ หรือจะพูดว่าความคิดและร่างกายอยู่ในโลกหรือในมิติของภาษาก็ได้ แต่ความรู้ตัวไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นเป้าให้อะไรไปรับรู้สัมผัสมันได้ มันไม่ต้องการช่องว่างเพื่อตั้งอยู่ ไม่ต้องการกิ่งไม้เพื่อผูกโยงไว้ มันไม่มีรู้ร่างสัดส่วนกว้างยาวสูง ไม่มีขอบเขตใกล้ไกล ไม่อยู่ในมิติของเวลาอดีตอนาคต เพราะความจริงมันเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนที่ละเอียดอ่อน จึงไม่สามารถเอาภาษาไปอธิบายมันได้
ผมรู้ว่าสองคำตอบข้างต้นคุณยังไม่เก็ทหรอก เอางี้ก็แล้วกัน ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบอุปมาอุปไม สมมุติว่าเด็กสองคนเล่นเป่าฟองสบู่ให้เป็นก้อนกลมๆใสลอยขี้นไปในอากาศ เมื่อคนหนึ่งเป่าได้ฟองโตก็คุยโวว่า
"นี่ฟองสบู่ของฉัน มันก้อนโตมากเห็นไหม"
พิเคราะห์ดูฟองสบู่นี้จะเห็นว่ามันประกอบด้วยสามส่วนคือ (1)สบู่ (2) น้ำ (3) อากาศข้างใน โดยที่สบู่และน้ำนั้นประกอบกันเป็นผิวของทรงกลมใสๆนั้น การมีสบู่กับน้ำเป็นผิวให้เห็นขอบเขตชัดเจนนี้แหละที่เป็นเป้าให้ความสนใจรับรู้ได้และแปลความหมายได้ว่านี่เป็นก้อนฟองสบู่ และเป็นฟองสบู่ของฉัน เพราะก้อนโตๆนี้ฉันเป่ามันออกมา ส่วนก้อนเล็กนั้นเป็นของเธอเพราะเธอเป่ามันออกมา
แต่สักครู่พอฟองสบู่ลอยอยู่ได้สักพักก็จะแตกโพล้ะ เพราะเป็นธรรมชาติว่าเมื่อน้ำระเหยไปแรงตึงผิวที่ยึดน้ำให้อยู่เป็นผิวทรงกลมก็จะอ่อนกำลังลงจนทรงกลมนั้นแตก พอฟองสบู่แตกก็เหลือแต่อากาศ แล้วคุณคิดว่าเด็กจะพูดอย่างนี้ไหม
"อากาศนั้นเป็นของฉันนะ"
ไม่อย่างแน่นอนใช่ไหม เพราะอากาศที่เคยอยู่ในฟองสบู่พอฟองสบู่แตกมันก็กระจายแทรกซึมคละเคล้าปะปนไปในอากาศที่อยู่รอบๆจนไม่มีขอบเขตให้บอกได้ว่ามันไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง สุดปัญญาที่เด็กจะตามไปอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของได้ เพราะหาขอบเขตของมันไม่เจอ
ฉันใด ก็ฉันเพล ตรงนี้คุณตั้งใจฟังให้ดีนะ ชีวิตก็เหมือนกับฟองสบู่ มันประกอบด้วย (1) ร่างกาย (2) ความคิด (3) ความรู้ตัว
ความคิดกับร่างกายนั้นถูกความสนใจจับผูกโยงกันขึ้นเป็นสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้หรืออัตตาหรือตัวกู มีขอบเขตคือที่กว้างหนึ่งว่าหนาหนึ่งคืบนี้มีคอนเซ็พท์ต่างๆในใจอย่างนี้ เป็นคนบ้าดีอย่างนี้ ขี้สงสัยอย่างนี้ มีอดีตอย่างนี้ มีอนาคนอย่างนี้ เทียบสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้เท่ากับผิวนอกของฟองสบู่ที่ทำให้ความเป็นฟองสบู่หรือ "ตัวกู" ดำรงอยู่ในการรับรู้ได้
ส่วนความรู้ตัวนั้นเปรียบเหมือนอากาศที่ถูกขังอยู่ภายในผิวของฟองสบู่ อากาศที่ข้างนอกฟองสบู่ก็มี และก็เหมือนกับอากาศข้างในนั่นแหละ เพราะเป็นของอย่างเดียวกัน ปกติก็ไหลไปมาหากันได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้มีผิวฟองสบู่มาขังไว้ คุณอาจจะบอกว่าความรู้ตัวนี้เป็นของคุณ ตอนนี้คุณอาจอ้างสิทธิ์ได้ เพราะคุณในที่นี้คือสำนึกว่าเป็นบุคคลซึ่งก็คือผิวของฟองสบู่นั้นยังอยู่ แต่เมื่อฟองสบู่แตกโพล้ะ หมายความว่าคุณตาย ร่างกายและความคิดอันเปรียบได้กับผิวของฟองสบู่หายไป แต่อากาศนั้นยังอยู่ คราวนี้ใครจะมาอ้างสิทธิ์ว่าเป็นเจ้าของอากาศนั้นเล่า เพราะอีโก้หรือสำนึกว่าเป็นบุคคลตัวนั้นเส็งไปเสียแล้ว อากาศกลางฟองสบู่นี้แหละคือชีวิตตัวจริง มันไม่ตาย มันเป็นแค่ธาตุรู้ มันเป็นพลังงานที่ละเอียดอ่อนและแผ่สร้านแทรกซึมเป็นเนื้อชั้นละเอียดที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีภาษาอะไรจะอธิบายถึงมันได้แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และคุณเป็นสิ่งนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่คุณเอาสำนึกว่าเป็นบุคคลของคุณขังมันไว้คุณจึงไม่เห็นพลังหรือศักยภาพที่แท้จริงของมันว่ามันกว้างไกลไร้ขอบเขตอย่างไร พลังที่ผมพูดนี้ก็คือปัญญาญาณ ซึ่งหากมันมีโอกาสได้ฉายแสงให้คุณเห็นแล้วคุณก็จะถึงบางอ้อโดยอัตโนมัติว่าความเป็นจริงของทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นอย่างไร ตรงนี้แหละ ตรงอากาศกลางฟองสบู่เมื่อฟองสบู่แตกออกนี่แหละ ที่จะเป็นที่สิ้นสุดของความคิดงี่เง่าทั้งหลาย
อีกข้อคุณถามอะไรนะ ลืมไปแล้ว ง่วงแล้วด้วย วันนี้ตอบข้อเดียวก็แล้วกัน..นอนดีก่า
เดี๋ยว..ก่อนนอนขอย้ำอีกทีว่าอย่าไปเที่ยวสงสัยอะไรมาก เลิกอ่านหนังสือ เลิกฟังยูทูปเสีย คุณจะไม่ได้ไปไหนหรอก เพราะความสงสัยคือกลเม็ดของความคิดที่จะดึงคุณให้วกวน เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในความคิดไม่รู้จบสิ้น ชีวิตของจริงนั้นเป็นคลื่น คุณต้อง feel มัน ไม่ใช่พยายามเข้าใจมัน ทำสมาธิ ผ่อนคลาย วางความคิด แล้วพลังงานก็จะไหลเข้ามา แล้วคุณก็จะ feel มันได้ ใช้ศักยภาพของมันได้ นั่นแหละชีวิต
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]
ขอบพระคุณทุกอย่างที่อาจารย์สอนใน SR เมื่อกลับจากแค้มป์แล้วหนูก็ไม่ได้ขี้เกียจ ได้นำทุกอย่างที่อาจารย์สอนมาปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง relaxation โดยเช็คด้วยการยิ้มตลอดวัน กับ body scan ทุกที่ทุกเวลาทุกโอกาส ทั้งสองเทคนิคนี้เวอร์คมากค่ะ แต่ก็ยังมีคำถาม แม้อาจารย์จะย้ำว่าความสงสัยเป็นตัวเลวที่สุด อย่าเป็นคนขี้สงสัย แต่มันก็อดไม่ได้ คิดอยู่หลายวันก็ปิดเคสไม่ลง จึงต้องยอมให้อาจารย์ดุฝืนเขียนมา
1. อาจารย์บอกว่าความรู้ตัวไม่ได้เป็นของเรา และไม่ได้เป็นของใคร อันนี้ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เรารู้ตัวของเรา แล้วความรู้ตัวของเราจะไปเป็นของคนอื่นได้อย่างไร
2. อาจารย์บอกว่าเมื่อร่างกายตาย ความคิดก็ตายไปด้วย แต่ความรู้ตัวไม่ตาย มันคงอยู่เป็นนิร้นดร์ อันนี้ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะทุกอย่างเกิดดับเกิดดับ เมื่อร่างกายตายแล้ว ความรู้ตัวจะอยู่โดยไม่ดับได้อย่างไร
................................................
ตอบครับ
จดหมายฉบับนี้ถ้าเป็นของท่านผู้อ่านทั่วไปเขียนมาก็คงทิ้งตะกร้าไปแล้วเพราะเนื้อหาถามถึงสิ่งที่ภาษาอธิบายไม่ได้แต่จะบังคับให้อธิบายด้วยภาษา ถึงตอบไปก็จะกลายเป็นอ่านแล้วไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องแล้วเกิดเป็นคำถามใหม่เป็นความคิดใหม่ซ้ำซากขึ้นอีกไม่รู้จบ แต่นี่เป็นคำถามของคนที่มาเรียน SR แล้ว มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องตอบ ตอบแล้วหากยังไม่เก็ทก็คงต้องเรียกมาเรียนใหม่ คราวนี้ให้เรียนฟรีเลย จนกว่าจะเก็ท
ในการอ่านคำตอบนี้ขอให้คุณระมัดระวังเรื่องข้อจำกัดของภาษา ขอให้ใช้คำตอบเป็นแค่แนวทางชี้นำเลาๆก็พอ แล้วไปรอเห็นเอาตามที่มันเป็นเมื่อการวางความคิดพาไปถึงจุดนั้นแล้ว
1. ถามว่าความรู้ตัว (consciousness หรือ awareness) นี้ทำไมไม่ใช่ของเรา ถ้าจะตอบด้วยตรรกะก็ตอบว่าความเป็นเจ้าของก็ดี หรือกรรมสิทธิ์ก็ดี สิทธิก็ดี เป็นคอนเซ็พท์ หรือเป็นความคิด ความรู้ตัวไม่ใช่ความคิด จึงไม่เป็นของใคร ไม่ได้มีเอี่ยวหรือได้เสียอะไรกับใคร เพราะใครนั้นคือความเป็นบุคคลหรือความคิด
ตอบให้กว้างอีกหน่อยก็ตอบว่าความรู้ตัวอยู่คนละโลกคนละมิติกับความคิดและร่างกาย ความคิดและร่างกายเป็นเป้าอันมีขอบเขตซึ่งความสนใจไปรับรู้สัมผัสได้ ความคิดและร่างกายจึงอธิบายด้วยภาษาได้ หรือจะพูดว่าความคิดและร่างกายอยู่ในโลกหรือในมิติของภาษาก็ได้ แต่ความรู้ตัวไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นเป้าให้อะไรไปรับรู้สัมผัสมันได้ มันไม่ต้องการช่องว่างเพื่อตั้งอยู่ ไม่ต้องการกิ่งไม้เพื่อผูกโยงไว้ มันไม่มีรู้ร่างสัดส่วนกว้างยาวสูง ไม่มีขอบเขตใกล้ไกล ไม่อยู่ในมิติของเวลาอดีตอนาคต เพราะความจริงมันเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนที่ละเอียดอ่อน จึงไม่สามารถเอาภาษาไปอธิบายมันได้
เปรียบชีวิตเหมือนฟองสบู่ที่มีสามองค์ประกอบ |
ผมรู้ว่าสองคำตอบข้างต้นคุณยังไม่เก็ทหรอก เอางี้ก็แล้วกัน ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบอุปมาอุปไม สมมุติว่าเด็กสองคนเล่นเป่าฟองสบู่ให้เป็นก้อนกลมๆใสลอยขี้นไปในอากาศ เมื่อคนหนึ่งเป่าได้ฟองโตก็คุยโวว่า
"นี่ฟองสบู่ของฉัน มันก้อนโตมากเห็นไหม"
พิเคราะห์ดูฟองสบู่นี้จะเห็นว่ามันประกอบด้วยสามส่วนคือ (1)สบู่ (2) น้ำ (3) อากาศข้างใน โดยที่สบู่และน้ำนั้นประกอบกันเป็นผิวของทรงกลมใสๆนั้น การมีสบู่กับน้ำเป็นผิวให้เห็นขอบเขตชัดเจนนี้แหละที่เป็นเป้าให้ความสนใจรับรู้ได้และแปลความหมายได้ว่านี่เป็นก้อนฟองสบู่ และเป็นฟองสบู่ของฉัน เพราะก้อนโตๆนี้ฉันเป่ามันออกมา ส่วนก้อนเล็กนั้นเป็นของเธอเพราะเธอเป่ามันออกมา
แต่สักครู่พอฟองสบู่ลอยอยู่ได้สักพักก็จะแตกโพล้ะ เพราะเป็นธรรมชาติว่าเมื่อน้ำระเหยไปแรงตึงผิวที่ยึดน้ำให้อยู่เป็นผิวทรงกลมก็จะอ่อนกำลังลงจนทรงกลมนั้นแตก พอฟองสบู่แตกก็เหลือแต่อากาศ แล้วคุณคิดว่าเด็กจะพูดอย่างนี้ไหม
"อากาศนั้นเป็นของฉันนะ"
ไม่อย่างแน่นอนใช่ไหม เพราะอากาศที่เคยอยู่ในฟองสบู่พอฟองสบู่แตกมันก็กระจายแทรกซึมคละเคล้าปะปนไปในอากาศที่อยู่รอบๆจนไม่มีขอบเขตให้บอกได้ว่ามันไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง สุดปัญญาที่เด็กจะตามไปอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของได้ เพราะหาขอบเขตของมันไม่เจอ
ฉันใด ก็ฉันเพล ตรงนี้คุณตั้งใจฟังให้ดีนะ ชีวิตก็เหมือนกับฟองสบู่ มันประกอบด้วย (1) ร่างกาย (2) ความคิด (3) ความรู้ตัว
ความคิดกับร่างกายนั้นถูกความสนใจจับผูกโยงกันขึ้นเป็นสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้หรืออัตตาหรือตัวกู มีขอบเขตคือที่กว้างหนึ่งว่าหนาหนึ่งคืบนี้มีคอนเซ็พท์ต่างๆในใจอย่างนี้ เป็นคนบ้าดีอย่างนี้ ขี้สงสัยอย่างนี้ มีอดีตอย่างนี้ มีอนาคนอย่างนี้ เทียบสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้เท่ากับผิวนอกของฟองสบู่ที่ทำให้ความเป็นฟองสบู่หรือ "ตัวกู" ดำรงอยู่ในการรับรู้ได้
ส่วนความรู้ตัวนั้นเปรียบเหมือนอากาศที่ถูกขังอยู่ภายในผิวของฟองสบู่ อากาศที่ข้างนอกฟองสบู่ก็มี และก็เหมือนกับอากาศข้างในนั่นแหละ เพราะเป็นของอย่างเดียวกัน ปกติก็ไหลไปมาหากันได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้มีผิวฟองสบู่มาขังไว้ คุณอาจจะบอกว่าความรู้ตัวนี้เป็นของคุณ ตอนนี้คุณอาจอ้างสิทธิ์ได้ เพราะคุณในที่นี้คือสำนึกว่าเป็นบุคคลซึ่งก็คือผิวของฟองสบู่นั้นยังอยู่ แต่เมื่อฟองสบู่แตกโพล้ะ หมายความว่าคุณตาย ร่างกายและความคิดอันเปรียบได้กับผิวของฟองสบู่หายไป แต่อากาศนั้นยังอยู่ คราวนี้ใครจะมาอ้างสิทธิ์ว่าเป็นเจ้าของอากาศนั้นเล่า เพราะอีโก้หรือสำนึกว่าเป็นบุคคลตัวนั้นเส็งไปเสียแล้ว อากาศกลางฟองสบู่นี้แหละคือชีวิตตัวจริง มันไม่ตาย มันเป็นแค่ธาตุรู้ มันเป็นพลังงานที่ละเอียดอ่อนและแผ่สร้านแทรกซึมเป็นเนื้อชั้นละเอียดที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีภาษาอะไรจะอธิบายถึงมันได้แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และคุณเป็นสิ่งนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่คุณเอาสำนึกว่าเป็นบุคคลของคุณขังมันไว้คุณจึงไม่เห็นพลังหรือศักยภาพที่แท้จริงของมันว่ามันกว้างไกลไร้ขอบเขตอย่างไร พลังที่ผมพูดนี้ก็คือปัญญาญาณ ซึ่งหากมันมีโอกาสได้ฉายแสงให้คุณเห็นแล้วคุณก็จะถึงบางอ้อโดยอัตโนมัติว่าความเป็นจริงของทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นอย่างไร ตรงนี้แหละ ตรงอากาศกลางฟองสบู่เมื่อฟองสบู่แตกออกนี่แหละ ที่จะเป็นที่สิ้นสุดของความคิดงี่เง่าทั้งหลาย
อีกข้อคุณถามอะไรนะ ลืมไปแล้ว ง่วงแล้วด้วย วันนี้ตอบข้อเดียวก็แล้วกัน..นอนดีก่า
เดี๋ยว..ก่อนนอนขอย้ำอีกทีว่าอย่าไปเที่ยวสงสัยอะไรมาก เลิกอ่านหนังสือ เลิกฟังยูทูปเสีย คุณจะไม่ได้ไปไหนหรอก เพราะความสงสัยคือกลเม็ดของความคิดที่จะดึงคุณให้วกวน เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในความคิดไม่รู้จบสิ้น ชีวิตของจริงนั้นเป็นคลื่น คุณต้อง feel มัน ไม่ใช่พยายามเข้าใจมัน ทำสมาธิ ผ่อนคลาย วางความคิด แล้วพลังงานก็จะไหลเข้ามา แล้วคุณก็จะ feel มันได้ ใช้ศักยภาพของมันได้ นั่นแหละชีวิต
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์