สวัสดีครับ
อาจารย์สันต์ ใจยอดศิลป์
ผมเป็น extern ครับผม
มีปัญหาเรียนปรึกษาอาจารย์ครับ เมื่อกลางปีที่แล้ว
ระหว่างการฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาล ผมได้เกิดล้มป่วยกะทันหัน
อาจารย์แพทย์อายุรกรรม ได้วินิจฉัยว่า ผมป่วยด้วยโรคติดเชื้อในปอด และมีผลเลือดบวก
ในระหว่างนั้นผมมีอาการเครียดมากจึงทำให้ตัวเองมีภาวะจิตตกและมีอารมณ์ฉุนเฉียว
ก้าวร้าว อาจารย์จิตแพทย์ วินิจฉัยเพิ่มเติมว่าผมป่วยเป็นโรคไบโพล่าร์
ทางมหาวิทยาลัยจึงได้สั่งพักการเรียนจนกว่าจะหายเป็นปรกติ
และให้กลับเข้าศึกษาอีกครั้งในปีการศึกษาหน้า
หลังจากพักการศึกษาครบ 1 ปีแล้ว สุขภาพร่างกายผมดีขึ้นมาก และพร้อมกลับเข้าไปฝึกงานต่อ
ซึ่งเหลือเวลาเพียงแค่ 10 เดือน ผมเองก็จะสำเร็จการศึกษา
แต่แล้วก็ได้รับการปฏิเสธ ไม่ให้กลับเข้าไปศึกษา และให้ลาออกจากการศึกษา
เพียงเพราะผมป่วยด้วยโรคติดเชื้อและโรคไบโพล่าร์ ซึ่งหากให้กลับเข้าศึกษาอีกครั้งอาจนำความยุ่งยากและความเดือนร้อนมาให้แก่สถานศึกษา
ผมควรทำอย่างไรดีครับ
มีหน่วยงานไหนที่ผมจะไปขอความเป็นธรรมบ้างครับ
ผมเป็นความหวังเดียวของครอบครัว
ครอบครัวมีฐานะค่อนข้างยากจนครับ ขอรบกวนอาจารย์ชี้แนะแนวทางด้วยครับ
ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ
……………………………………………………………
ตอบครับ
สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นคนไข้ทั่วไป เวลาผมตอบคำถามของพวกหมอหนุ่มๆสาวๆเขาบ่อยๆก็อย่าว่าเลยนะครับ เพราะหมอรุ่นใหม่บางทีเขาก็มีปัญหาแต่ไม่รู้จะไปถามใคร จะให้ถามคนไข้รึก็ใช่ที่ เขาจึงต้องมาพึ่งรุ่นพี่ที่ไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆจะไปให้คุณให้โทษเขาได้หากคำถามนั้นบังเอิญระคายหู ท่านที่ไม่ใช่หมอก็อ่านผ่านๆไปก็แล้วกัน
นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย ป่วยแล้วรักษาแล้วขอกลับเข้าเรียน
โดยสามัญสำนึกของผู้เกี่ยวข้องทุกคนย่อมต้องมีความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าควรให้รีบกลับเข้าเรียน
เพราะทั้งครอบครัว ทั้งรัฐบาล ทั้งครูอาจารย์ได้ลงทุนไปแยะตั้งห้าปีกว่าแล้ว อีกนิดเดียวก็จะจบเป็นหมอไปใช้การได้
ซึ่งทุกฝ่ายก็จะได้ประโยชน์ แล้วทำไมครูอาจารย์ของคุณถึงไม่ยอมให้กลับเข้าเรียน
แถมยุส่งให้ไปลาออกซะ ถ้าจะให้ผมเดา ก็คงมีเหตุผลเดียว คือเขาคิดว่าคุณ “บ้า” แน่นอน
จึงไม่อยากให้คุณจบไปเป็นหมอ นี่ผมเดาเอานะ
ตัวผมเองนี้ต้องบอกก่อนนะว่าไม่ได้รังเกียจคนบ้า
เพราะตัวผมเองถ้าแดดร้อนๆก็เป็นกับเขาเหมือนกัน
แต่ถ้าครูอาจารย์ซึ่งสัมผัสกับคุณมากกว่าปักใจเชื่อว่าคุณเป็นบ้าและอันตรายต่อคนไข้
ผมก็เข้าใจครูอาจารย์เขา เพราะผมก็เคยเป็นครูอาจารย์มา แต่เนื่องจากความจริงเป็นอย่างไรผมทราบไม่หมด ทราบแต่เท่าที่คุณเขียนจดหมายมาเล่า
ดังนั้นผมจะตอบคุณโดยอาศัยแค่ข้อมูลเท่าที่มี ว่าคุณควรจะทำดังนี้
ขั้นตอนที่ 1. สิ่งแรกที่พึงทำ คือไปทำอะไรก็ได้ให้สถานะภาพของนักศึกษาคุณยังอยู่
เขายังไม่ให้กลับเข้าเรียนก็ไปยื่นหนังสือขอกลับเข้าเรียนถึงอธิการบดีทิ้งไว้ก่อน ไปยื่นหนังสือวันไหน
เสมียนคนไหนเป็นคนรับ จดไว้ด้วย แล้วสำเนาเรื่องเก็บไว้ที่ตัวเองหนึ่งชุด ถึงแม้ยื่นไปแล้วเรื่องของคุณถูก
“ซุกกิ้ง” ก็ไม่เป็นไร
เพราะการยื่นคำร้องเป็นเหตุการณ์แวดล้อมที่แสดงว่าเรายังเป็นนักศึกษาอยู่
เราต้องการแค่นั้นเอง
ขั้นตอนที่ 2. ไปหาจิตแพทย์ (ที่อยู่คนละมหาวิทยาลัย) ไปที่รพ.โรคจิตดังๆอย่างสมเด็จเจ้าพระยา
หรือศรีธัญญาก็ได้ ไปแบบคนไข้แท้ๆเนี่ยแหละ เล่าเรื่องการเจ็บป่วยตั้งแต่ต้นให้ท่านฟัง
เน้นการให้ข้อมูลการเจ็บป่วย แต่ข้อมูลเชิงสังคมไม่ต้องให้มากก็ได้ เล่าว่าคุณตัดสินใจพักการเรียนเพื่อรักษาตัว
แต่ยังไม่ต้องเล่าตอนจบว่าคุณกำลังจะขอกลับเข้าเรียน เล่ามาถึงแค่อาการปัจจุบันตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ
กินยาอะไรมาบ้าง ตอนนี้กินยาอะไรอยู่บ้าง คุณต้องลงทุนไปหาตามจิตแพทย์นัดทุกครั้ง ถ้าท่านยังให้กินอยู่ก็ค่อยๆปรึกษาท่านว่าจะค่อยๆลดยาลงจนหยุดยาได้ไหม
ข้อมูลอาการใดที่คุณคิดว่ามันดีขึ้นก็รีบแจ้งให้ท่านทราบอย่างละเอียด ทำอย่างนี้จนจิตแพทย์คนใหม่นี้จำคุณได้
พอถึงจุดหนึ่งที่เห็นว่าเป็นจังหวะเหมาะสมก็ค่อยปรึกษาท่านว่าผมอยากจะกลับไปเรียนท่านเห็นด้วยไหม
ถ้าท่านสนับสนุนให้กลับไปเรียนก็สบายโก๋ละคราวนี้ คุณก็หาจังหวะสวยๆขอใบรับรองแพทย์จากท่านเก็บไว้ นี่เป็นขั้นตอนที่สอง
ขั้นตอนที่ 3. คราวนี้คุณก็กลับไปหาอาจารย์ ไปหาอาจารย์ทุกท่านที่เกี่ยวข้องนะแหละ
เริ่มตั้งแต่อาจารย์ที่ปรึกษาของเรา
ท่านใดที่คุณเคยลำเลิกเบิกประจานท่านไว้สมัยที่คุณบ้าก็กราบขอขมาท่านอย่างจริงๆจังๆ
แม้ท่านจะดุด่าว่าแดกดัน ฉอด ฉอด ฉอด อย่างไรก็อย่าเผลอน็อตหลุดของขึ้นใส่ท่านอีกรอบเป็นอันขาด
ให้ก้มหน้าต่ำสำนึกผิดอย่างเดียว ให้มุ่งมันในวาระแห่งชาติของเราเองคือ (1) ขอขมาอาจารย์ (2) บอกให้อาจารย์ทราบว่าเราอยากกลับมาเรียนต่อ
อย่าไปแจ้งผลการรักษาว่าเราหายแล้วให้ท่านทราบเป็นอันขาด
ให้ท่านวินิจฉัยของท่านเองว่าคุณหายรึยัง
เพราะท่านย่อมจะวินิจฉัยเอาจากพฤติกรรมของคุณเป็นสำคัญ
จะไม่สนใจเรื่องที่คุณเล่าหรอก
เรื่องที่พ่อแม่ยากจนมีน้องๆรอส่วนบุญจากการที่คุณจะเรียนจบก็ไม่ต้องไปเล่า และก็อย่าทะลึ่งเอาใบรับรองแพทย์ของจิตแพทย์ที่ได้มาจากอีกโรงเรียนหนึ่งมาอ้างว่าคุณหายแล้วเป็นอันขาดนะ
ทำอย่างนั้นเท่ากับละเลงขนมเบื้องจวนเจียนจะสุกอยู่แล้วดันเอาเท้าไปเหยียบเข้า
เพราะขึ้นชื่อว่าอาจารย์ย่อมจะมี “องค์” เมื่อเขาได้วินิจฉัยว่าคุณเป็นบ้า
คนถอนคำวินิจฉัยก็ต้องเป็นเขาเท่านั้นเขาจึงจะยอมรับ ไม่งั้นเป็นได้เห็นดีกัน
ดังนั้นในขั้นตอนนี้อย่าทำมากเกินวาระในมือ คือขอขมา
กับบอกครูท่านว่าผมอยากจะกลับมาเรียนครับ เท่านี้พอ
ขั้นตอนที่ 4.
มาถึงตอนนี้จะเข้าสู่ระยะซุกกิ้งพีเรียด
หมายความว่าเรื่องของคุณจะถูกซุกไว้ในลิ้นชัก เพราะมันเป็นธรรมชาติเรื่องที่พะอืดพะอมหรือเรื่องที่คนเราไม่ชอบคิดไม่ชอบตัดสินจะถูกจับซุกลิ้นชัก
แต่คุณไม่ต้องวอรี่ ให้เดินหน้าแผนของคุณต่อไป คือไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ไม่มีค่าทนายก็ไปร้องขอทนายฟรีเอาที่ศาลก็ได้
ประเด็นฟ้องก็คือการขอพิทักษ์สิทธิพลเมืองของคุณ ทั้งนี้สิทธินั้นถูกริดรอนอย่างไม่เป็นธรรมโดยมหาวิทยาลัย
ซึ่งเป็นนิติบุคคลภายใต้การกำกับของรัฐ จึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองจะวินิจฉัยพิพากษาได้
โดยให้คุณแนบสำเนาใบรับรองแพทย์ของจิตแพทย์คนที่สองที่คุณไปหาเป็นหลักฐานประกอบคำฟ้อง
โดยเก็บใบรับรองแพทย์ตัวจริงไว้กับตัวคุณเพื่อแสดงในชั้นศาล
พอมาถึงขั้นนี้ คุณยังไม่ต้องเตี๊ยมพยานที่จะไปให้การช่วยคุณดอก
ผมเชื่อว่าถ้าคุณหายเป็นบ้าแล้วจริงอย่างที่คุณเล่ามา ทันที่ที่มหาวิทยาลัยได้รับหมายศาล
เขาจะรีบรับคุณกลับเข้าเรียนจนคุณซื้อเครื่องแบบแทบไม่ทัน
เพราะพวกครูอาจารย์ของคุณเขารู้อยู่แก่ใจว่าคุณหายหรือไม่หายตั้งแต่วันที่คุณกลับไปขอขมาเขาแล้ว
ดังนั้นหากคุณไม่บ้าจริงเขาจะไม่ยอมให้เรื่องไปถึงศาลให้เสียรังวัดดอก แต่ถ้าคุณยังเป็นบ้าน้ำลายฟูมปากขนานแท้และดั้งเดิมอยู่
ผมเชื่อว่ามหาวิทยาลัยจะสู้คดี คราวนี้ผลจะออกหัวหรือออกก้อยก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจศาลแล้วหละครับ
ถ้าอาจารย์ก็ว่าคุณบ้า ศาลก็ว่าคุณบ้า ถึงแม้คุณเองจะไม่ได้บ้า
แต่ผมก็แนะนำให้คุณเปลี่ยนไปทำมาหากินอย่างอื่นเถอะครับ เพราะการมีอาชีพหมอนี้
ถ้าถูกคนไข้ด่าว่า “หมอห่า” มันยังพอทำมาหากินได้นะ แต่ถ้าถูกคนไข้นินทาว่า “หมอบ้า”
นี่..มันหากินยากครับ
ก่อนจบขอเล่าเรื่อง “หมอห่า” หน่อยนะ..ว่าจะไม่แล้วเชียว แต่มันอดเล่าไม่ได้ เรื่องนี้เล่าโดยครูของผมอีกทีหนึ่ง
ซึ่งท่านเป็นแพทย์รุ่นเดอะ สมัยหนุ่มท่านทำงานอยู่บ้านนอก และรับดูแลคนไข้ตามบ้านด้วย
สมัยโน้นเรียกว่าทำ house
call ใครเป็นอะไรก็ใช้คนวิ่งมาตามได้เพราะสมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์
มีอยู่วันหนึ่งครอบครัวคุณป้าคุณลุงที่เคารพนับถืออาจารย์หมอมากได้ใช้คนมาตามว่าคุณลุงกำลังป่วยหนักมีอาการไม่ดี
อาจารย์ผมได้ยินก็คว้าร่วมยาแล้วรีบจ้ำอ้าวไป ใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมง เพราะออกจากสุขศาลาขับแลนด์โรเวอร์ไปก็จริง
แต่ต้องไปต่อรถถีบ แล้วไปต่อด้วยเดินเท้า พอไปถึงลานบ้านกลางสวนของคุณป้าคุณลุง
อาจารย์หมอก็ได้ยินเสียงคุณป้าแผดดังลั่นเต็มสองรูหู
“..แล้วไอ้หมอห่านั่นก็ไม่เห็นโผล่หัวมาสักที”
พอโผล่หัวไป ทักทายกัน
ให้การบำบัดฉุกเฉินฉีดหยูกฉีดยาให้คุณลุงเสร็จ อาจารย์หมอซึ่งยังติดใจฉายา “หมอห่า”
ไม่หายก็เปรยว่า
“..ถ้าผมไม่มาได้ยินกับหูตัวเองเนี่ย
ผมจะไม่เชื่อเลยว่าคุณป้าพูดอย่างนั้น”
คุณป้าเคี้ยวหมากจั๊บๆและเอามือเสยผมแก้ขวยแล้วว่า
“..อย่าคิดมากเลยหมอ นินทากันมันธรรมดา พระพุทธเจ้ายังถูกนินทาเล้ย..ย”
แคว่ก แคว่ก แคว่ก.. ฮะ ฮะ ฮ่า..
ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
นพ.สันต์
ใจยอดศิลป์