31 สิงหาคม 2563

หมอจบใหม่แต่ได้ "มอก" ถึงเพียงนี้

     ตามอ่านบทความอาจารย์แล้วทำให้เกิดแรงบันดาลใจจะทำอะไรเพื่อคนไข้อีกเยอะเลยค่ะ บทความของอาจารย์ทำให้หนูรู้สึกมีพลัง  อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นเหมือนอาจารย์เป็นญาติผู้ใหญ่ มันอบอุ่นทะลุตัวหนังสืออกมาเลยค่ะอาจารย์ (ไม่รู้ต้องบรรยายยังไงให้เห็นภาพค่ะ)

     หนูเคยทำงานเป็นนักรังสีฯ รพ. ... ช่วงที่อาจารย์ยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการอยู่ที่นั่น รู้จักแต่ชื่ออาจารย์แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอาจารย์เป็นใครมาจากไหน ทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศไทยบ้าง และเพิ่งมารู้จักอาจารย์มากขึ้นตอนมาเรียนแพทย์นิวแทรค รู้จักผ่าน Blog ค่ะ  อาจารย์อธิบายโรคยากๆให้เข้าใจง่ายๆ สมัยหนูเป็นนิสิตแพทย์หนูชอบมาอ่านที่อาจารย์เขียนมากค่ะ  ติดตามอาจารย์มาเรื่อยๆ ทราบว่าอาจารย์ทำเพื่อคนไข้และคนไทยมากมาย รู้สึกชื่นชมในตัวอาจารย์มากๆค่ะ ยิ่งช่วงหลังๆอาจารย์พูดถึงเรื่องความรู้ตัว  หนูก็พยายามอ่าน คิดตาม และทำความเข้าใจ หนูรู้ว่าเรื่องที่อาจารย์พูดมันดี มันใกล้เคียงกับพระพุทธศาสนา และอาจารย์เอามาอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์และให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ตอนนี้หนูก็ยังไม่เข้าใจอะไรมากเท่าลูกเพจคนอื่นของอาจารย์นะคะ  แต่หนูก็จะพยายามต่อไปค่ะ

     ปัจจุบันหนูเป็นหมอ GP อยู่ รพ. ... จ.เชียงใหม่ กำลังเรียนจบเวชศาสตร์ครอบครัวและสอบผ่านแล้ว  รอประกาศผลอย่างเป็นทางการจากแพทยสภากลางเดือนหน้าค่ะ

     หนูเพิ่มพูนทักษะที่ นครพิงค์ 1ปี แล้วก็มาใช้ทุนต่อที่ ... ตอนนี้เข้าปีที่3 แล้วค่ะอาจารย์

     อำเภอ ... มี ศูนย์แรกรับคนไร้ที่พึ่ง ศูนย์วัยทองนิเวศน์  ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการหยาดฝน  แล้วก็มี เรือนจำกลางเชียงใหม่(มีนักโทษชายอยู่ประมาณ 7,200คนค่ะ)  ทั้งหมดนี้ มารับการรักษาที่ รพ.เราหมดค่ะ ในส่วนนี้ ผอ. ท่านเป็นคนดูแลเองทั้งหมด หนูไม่ค่อยได้ออกไปลุยเอง เพราะต้องตรวจคนไข้ใน รพ. เป็นหลัก  ยกเว้น รพสต. ที่หนูออกตรวจวนๆไป 1-3วัน/สัปดาห์ค่ะ

     แล้วก็อำเภอเรา มี รพสต. 14แห่ง และ PCU 1 แห่ง  ดูแลประชากร รวมๆทั้งหมดประมาณ 8หมื่นคนค่ะอาจารย์ ยังไม่รวมแรงงานต่างด้าวตามแค้มป์คนงานอีกนะคะ 

     หนูตั้งใจจะอยู่ที่ ... ไปเรื่อยๆ ยังไม่มีแพลนจะย้ายไปไหนค่ะอาจารย์ เพราะว่ายังมีหลายอย่างที่หนูอยากทำให้มันดีขึ้น  ปัญหาที่นี่มีค่อนข้างเยอะ  แล้วตอนนี้ก็มีอะไรเร่งทำอีกหลายอย่าง  เร่งสุดตอนนี้ก็คือจัดตั้ง PCC   แล้วก็ ช่วงนี้ก็ไข้เลือดออกระบาดทั้งอำเภอ  จำนวนผู้ป่วยสูงเป็นอันดับ1ของเชียงใหม่ ( 555555 น่าภูมิใจเหลือเกิน)  หนูก็เลยเสนอตัวลงพื้นที่ไปช่วย สสอ. ทำงาน  ก็เจอปัญหาเยอะแยะเลยค่ะ  (โดยเฉพาะปัญหาเรื่องคนทำงาน)

     งานควบคุมไข้เลือดออกต้องทำงานร่วมกับฝ่ายปกครอง ตอนแรกเขานึกว่าเป็นหน้าที่หมอ ไม่ใช่หน้าที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  ตอนหลังนายอำเภอช่วยลุ้นจึงมีความเข้าใจและร่วมมือกันดีมาก นายอำเภอก็โดนผู้ว่ากดดันมาอีกที แต่ตอนนี้ก็ยังควบคุมโรคไม่ได้นะคะ   แต่หนูยังไม่ท้อนะคะ ยังอยากจะลุยต่อ หนูยังมีไฟค่ะ  เพราะพี่เจ้าหน้าที่ สสอ. ที่ดูแลเรื่องนี้ เค้าหยอดคำหวานมาให้ว่า ตั้งแต่พี่ทำงานที่นี่มาเกือบ10ปี ไม่เคยมีหมอคนไหนลงพื้นที่มาช่วยพี่แบบนี้เลย พี่ดีใจมาก ( โหหหห ซึ้งเลย) 

     เหมือนจะบ้ายอ แต่จริงๆไม่ใช่นะคะอาจารย์ 55555  ที่หนูตัดสินใจเสนอตัว ขอ ผอ. ลงไปช่วยคือ หนูไม่อยากตั้งรับที่ รพ.อย่างเดียว  หนูสังเกตจำนวนเคสที่ต้อง admit มีเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์   รพ.มีค่าใช้จ่ายในการตรวจแลป และ follow lab เพิ่มขึ้น  และบางเคสมี complication จนต้อง refer  ในส่วนนี้ รพ.หมดค่าใช้จ่ายไปเยอะพอสมควร   ทั้งๆที่เราป้องกันได้  หนูก็เลยทนที่จะให้เป็นแบบนี้ต่อไม่ได้ ต้องขอลงไปช่วยค่ะ  

     ช่วงนี้หนูกับทีม ต้องเฝ้าระวัง โควิด19 ระลอก2 จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพม่า อำเภอนี้เป็นอำเภอหน้าด่าน มักมีแอบเข้ามาผ่านทางแม่ฮ่องสอน  ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษค่ะ แต่หนูไม่เหนื่อยมากเท่ากับช่วง มีค-พค ที่ผ่านมา ช่วงนั้นหนูเหมือนทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด เพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิดวันต่อวัน

     หนูดูแลรับผิดชอบทุกเรื่องเกี่ยวกับโควิด ทั้งในและนอก รพ.  ดูตั้งแต่ควบคุมการใช้ mask ,N95, PPE   ยันดูแลเคส PUI + ARI clinic   แล้วก็เป็นคนทำ swab เองด้วยค่ะ  แล้วก็มีให้ความรู้เรื่องโรคเพื่อลดการตื่นตระหนก อบรมการใช้อุปกรณ์ป้องกัน ให้เจ้าหน้าที่ใน รพ.   เข้าไปช่วยทีม รพสต. รับมือกับแรงต่อต้านจากชุมชนที่ไม่ยอมให้คนในครอบครัวคนที่ติดเชื้อโควิดอยู่ไหนพื้นที่  แล้วพอหายป่วยจะให้กลับเข้าไปในพื้นที่ ก็มีแรงต่อต้าน ก็ต้องอธิบายทำความเข้าใจกันพอสมควรค่ะ  แต่ทุกอย่างก็สำเร็จได้จากการทำงานร่วมกันเป็นทีม 

     ช่วงนั้นหนูต้องตามข่าว หาอ่านความรู้ เพื่อมารายงานสถานการณ์ให้เจ้าหน้าที่ใน รพ.ทราบ ทุกวัน (เจ้าหน้าที่เองก็ตื่นกลัว และตื่นตระหนก เริ่มทะเลาะกันเองเพราะกลัว)   หนูลงสอบสวนโรคเอง  ลงพื้นที่ไป swab แรงงานต่างด้าวเอง คือหนูลุยเองหมด 555555  ทีมสอบสวนโรคของหนู มีแค่2คน คือ หนู กับน้อง นวก.สาธารณสุขอีก 1คน   คิดย้อนกลับไปแล้ว ก็ เออ.... หนูผ่านมันมาได้ยังไงเนี่ยยยย  อ่อ หนูไปรบเร้าให้มี local quarantine ของอำเถอ ... ก่อนที่ทางฝ่ายปกครองจะบังคับให้มีด้วยค่ะ 555555 คือหนูไม่รู้ไปเอาแรงมาจากไหนในตอนนั้น  เพราะตอนนั้นมองเห็นปัญหาเรื่อง คนที่กลับมาจาก กทม ชลบุรี  ภูเก็ต หรือ กลุ่มผีน้อยในช่วงเวลานั้น ถูกชาวบ้านต่อต้านไม่ให้เข้าพื้นที่  ก็สงสารเค้าค่ะ  ตอนนี้ภาวนาขออย่าให้มีการระบาดรอบ2เลยค่ะ  เพราะมันเหนื่อยมากจริงๆค่ะอาจารย์ ...... ไปๆมาๆ ทำไมหนูพิมพ์บ่นไปเยอะขนาดนี้เนี่ยยย 55555 

ยินดีต้อนรับเป็นอย่างสูง ถ้าอาจารย์จะแวะมาเยี่ยมเยือนที่ ... นะคะ

ขอบคุณบทความของอาจารย์ที่ช่วยเติมพลังให้หนูนะคะ  หนูขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงยิ่งๆขึ้นไปนะคะ

..........................................................

ตอบครับ

     คุณหมอเขาไม่ได้ถามอะไร ผมจึงไม่ต้องตอบอะไร แต่เอาจดหมายลงให้ท่านผู้อ่านได้อ่านเล่น ว่าหมอเด็กๆหมอเล็กหมอน้อยที่เขาทำงานกันอยู่ตามโรงพยาบาลบ้านนอก เขามีชีวิตอย่างไร ทำงานอย่างไร และจิตใจของพวกเขาเป็นอย่างไร นี่เป็นคนไทยรุ่นใหม่นะ อายุยี่สิบปลายๆแต่ได้ "มอก" (ภาษาเหนือแปลว่าขนาด) ถึงเพียงนี้ ดังนั้นแฟนบล็อกที่เป็นผู้มีประสบการณ์ชีวิตแล้วและชอบบ่นชอบว่าเด็กๆรุ่นใหม่ ลองมองอีกด้านของเด็กรุ่นนี้จากจดหมายนี้นะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

30 สิงหาคม 2563

หมอสันต์ต้องการอะไร และจะทำอะไรต่อ

     หลายเดือนก่อนมีน้องคนหนึ่งมาช่วยผมทำงานสอนกลุ่มหมอฟิลิปปินส์ทางเวบบินาร์ (webinar) พอเสร็จงานยุ่งๆแล้ว กำลังเก็บสายไฟกันอยู่เขาก็ถามทะลุกลางปล้องขึ้นว่า

     "อาจารย์ครับ อนาคตชีวิตอาจารย์ต้องการอะไร และจะทำอะไรต่อครับ"

     ผมตอบเขาว่า

     ตัวผมนี้มีอยู่สองชั้น ตัวหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปข้างในนั้นไม่ต้องการอะไรแล้ว และไม่มีอนาคตแล้ว ไม่มีอดีตด้วย มีแต่เดี๋ยวนี้ แค่นี้ก็ดีไปหมดแล้ว พอแล้ว ไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว ไม่ผลักไสอะไรออกไปจากตัวอีกแล้ว อะไรโผล่เข้ามาที่เดี๋ยวนี้ก็ยอมรับได้หมด รวมทั้งความตายด้วย เพราะรู้ว่าถ้ามันมาถึง มันก็จะมาถึงที่เดี๋ยวนี้ ส่วนอีกตัวหนึ่งก็คือบุคคลที่ชื่อหมอสันต์นี้ก็จะใช้มันไปในทิศทางที่มันจะเกิดประโยชน์เต็มศักยภาพที่มันมี  

     "แล้วอาจารย์จะทำอะไรละครับ ที่จะให้เกิดประโยชน์เต็มศักยภาพ"

     คนเป็นหมอก็ย่อมมีใจอยากช่วยเหลือคนเจ็บไข้ ในอนาคตสิ่งที่จะมีประโยชน์ต่อคนไข้มากที่สุดคือทำอย่างไรจึงจะผันหรือบ่ายโฉมหน้าทิศทางของการมีสุขภาพดีของผู้คนในสังคมจากการมุ่งไปเข้าโรงพยาบาล กินยา ผ่าตัด ทำบอลลูนและใช้เทคโนโลยีในการรักษาแบบรุกล้ำต่างๆ เปลี่ยนมาหาทิศทางอยู่ที่บ้านแล้วดูแลตัวเองด้วยตนเองด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการกินการอยู่เพื่อไม่ให้ตัวเองป่วย ซึ่งมันได้ผลดีกว่า และให้คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า

      "อาจารย์ก็ทำอยู่แล้วนี่"

     ใช่ แต่การเขียนบล็อกและทำแค้มป์อย่างทุกวันนี้มันยังขาดการนำเทคโนโลยีไอทีมาช่วยไม่ให้คนป่วยต้องไปโรงพยาบาลบ่อยเกินจำเป็น เช่น

     (1) การมีแอ็พมือถือให้คนใช้เป็นเครื่องมือป้องกันและพลิกผันโรคให้ตัวเองได้ แอ็พนี้ใช้เป็นทั้งแผงควบคุม (dashboard) กิจกรรมการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิต เป็นทั้งที่เก็บข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล (personal health record - PHR) ด้วย และทั้งมีฟังชั่นช่วยให้ผู้ป่วยวินิจฉัยอาการป่วยของตัวเอง (diagnosis aid) ช่วยให้ทำการดูแลรักษาตัวเองขั้นต้นที่บ้านได้และช่วยบอกว่าจุดไหนเกินจุดที่จะดูแลตัวเองด้วยตัวเองแล้วต้องไปหาหมอ

     (2) การมีคลินิกบนเน็ท (on-line clinic) ที่คนไข้จะได้ปรึกษาหมอโดยที่ไม่ต้องมาเจอหน้ากันทุกครั้ง เป็นขั้นตอนคั่นกลางเพื่อลดการต้องไปโรงพยาบาล ยุคนี้เทคโนโลยีต่างๆมันมากพอที่จะสร้างคลินิกแบบนี้ขึ้นได้แล้ว หากทำให้ดี และหากพวกหมอพากันทำกันเยอะๆ ก็จะลดจำนวนผู้ป่วยที่จะต้องไปโรงพยาบาลลงได้อย่างน้อยก็ 80% เลยทีเดียว ชีวิตของทั้งผู้ป่วยและทั้งแพทย์ก็จะมีเวลามากขึ้น มีคุณภาพชีวิตมากขึ้น ผมจะลองลุยก่อน ลองไปหลายๆรูปแบบ เดี๋ยวคนอื่นเขาเห็นดีเห็นงามเขาก็จะทำตามเอง 

     (3) เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ก็ควรจะมีระบบที่เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลที่ผู้ป่วยจัดการเองผ่านแอ็พมือถือ (PHR) เข้ากับฐานข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยในโรงพยาบาล (hospital information system - HIS) ให้สื่อกันได้ แลกข้อมูลกันไปมาได้

     เวลาในชีวิตที่เหลือ ในหมวกที่เป็นบุคคลคนหนึ่งที่ชื่อหมอสันต์นี้ ผมจะทำทั้งสามอย่างนี้ให้เกิดขึ้น

     "โห มีแต่เรื่องซีเรียสไม่เลิก อาจารย์ไม่คิดทำเรื่องง่ายๆหนุกๆบ้างหรือครับ อย่างวาดรูป เล่นดนตรี"

     ผมไม่ซีเรียส ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น หากผมตายไปก่อนทั้งๆที่ยังทำไม่สำเร็จสักอย่าง ก็ไม่มีใครเดือดร้อน ผมก็ไม่เดือดร้อน ผมแค่วางไว้เป็นทิศทางให้ตัวเองใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในวันนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพที่ตัวเองมีเท่านั้นเอง

     เรื่องง่ายๆหนุกๆผมก็ทำ แต่จะไม่วาดรูป จะไม่เล่นดนตรี เพราะผมอยากทำอะไรที่ร่างกายได้เคลื่อนไหวบ้าง เช่นทำสวนปลูกผักไว้กินและปลูกดอกไม้ที่บ้านบนเขา เอาไว้ให้คนที่ไปมาหาสู่ได้ดูเล่น นอกจากนี้ผมมีที่ดินเปล่าๆอยู่อีกแปลงหนึ่งที่เขาใหญ่ คิดว่าปีหน้าจะปลูกป่าถาวรด้วยมือตัวเองเสียทั้งแปลง ปลูกทิ้งไว้งั้นแหละ เพื่อให้โลกมันเขียวขึ้นอีกสักหน่อย ให้โลกมันเย็นลงอีกสักหน่อย และให้สัตว์ต่างๆได้เข้าไปอาศัยร่มเงา

     นี่ยังไม่นับว่าเมียเขาจะบังคับให้ผมพาเขาไปเที่ยวที่โน่นที่นี่อีกละ เพราะสมัยหนุ่มๆทำงานผมตระเวณเดินทางไปประชุมต่างประเทศคนเดียวบ่อยมากแต่เมียต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก เธอก็บ่นว่าไม่ได้ไปไหนไม่ได้เห็นอะไร ผมบอกเธอว่าเอาไวเกษียณแล้วจะพาไป พอแก่แล้วเกษียณแล้วเธออยากไปไหนก็ต้องพาเธอไปเพราะสัญญาไว้แล้ว ทั้งหมดนี้ก็น่าจะเต็มเวลาในชีวิตของตาแก่คนหนึ่งแล้วกระมัง 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

29 สิงหาคม 2563

เกษียณแล้ว มีพร้อมหมดแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าชีวิตยังจะต้องทำอะไรอีกหรือไม่

 คุณหมอขอคำชี้แนะหน่อยครับ

คือว่าชีวิตมีพร้อมทั้ง3สิ่ง (พอประมาณ) เงิน เวลา สุขภาพ ตอนนี้อยู่เฉยๆ เกษียณแล้วครับ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งหมด ไม่เดือดร้อนเงินทองใดๆ ปล่อยวางความคิดได้เกือบหมด แต่มีความคิดในหัวนิดๆว่ายังลืมอะไรไปในชีวิต หรือยังจะต้องทำคิดอะไรอีก จึงขอคำแนะนำคุณหมอมาครับ  

ติดตามฟังคุณหมอพูดตลอดที่ว่าง ศรัทธาคุณหมอครับ

.........................................................

ตอบครับ

     หาเงินก็ได้มากพอแล้ว บ้านก็มีแล้ว รถก็มีแล้ว ภาระหน้าที่การงานและการดูแลคนอื่นก็จบหมดแล้ว สุขภาพก็ดูแลตัวเองจนโอเคแล้ว แล้วไงต่อ

     ประเด็นสำคัญของคำถามคือ

     "แล้วไงต่อ"

     โปรดสังเกตนะครับท่านผู้อ่าน แม้ชีวิตจะมีความปลอดโรค ปลอดภัย แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้มนุษย์ไม่มีความสุข สิ่งนี้ฝรั่งเรียกว่า existential suffering คือความโหยหาความหมายของชีวิต เอ๊ะ ข้าเกิดมาทำไมวะเนี่ย ฮี่ ฮี่ เห็นแมะ เห็นแมะ แก่จนเกษียณแล้วก็ยังไม่วายสงสัยว่าเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ผมไม่รู้ว่าหมาแมวมันมีปัญหานี้หรือเปล่า แต่คนมีแน่ ทุกชาติทุกภาษามีเหมือนกันหมด 

     ยังไม่นับว่าใจคนที่ยังท่องไปในโลกของความคิดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถูกรับรู้ในรูปของสิ่งสมมุติที่เรียกชื่อหรือบอกรูปร่างได้ด้วยภาษานี้ มันมีแนวโน้มที่จะ "เผลอ" ยึดมั่นหรือเกี่ยวพันกับสิ่งสมมุติเหล่านั้นโดยสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นของจริงไม่ใช่ของสมมุติ เช่น ความกลัวป่วย กลัวปวด กลัวตาย เป็นต้น นี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งของความทุกข์ซึ่งมีอยู่ในใจของแทบทุกผู้ทุกคนที่ถึงแม้จะหล่อสวยรวยทรัพย์ปลอดโรคปลอดภัยดีแล้วก็ตาม

     คำตอบของผมสำหรับคำถามของคุณก็คือชีวิตไม่มีคำว่าแล้วไงต่อ

     แล้วไงต่อ คือความคิดที่พาคุณหนีจากเดี๋ยวนี้ไปอยู่ในอนาคต จะเป็นอนาคตช่วงที่เหลืออยู่ก่อนตาย หรืออนาคตหลังตายเมื่อคุณเด๊ดสะมอเร่ไปแล้วก็ล้วนเป็นอนาคตทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นเพียงแค่ความคิด เวลาหรืออนาคตในใจคุณนั้นมันเป็นแค่เวลาในเชิงจิตวิทยา (psychological time) ที่หลอกให้คุณหนีจากการใช้ชีวิตในปัจจุบันไปอยู่ในความคิด คุณอย่าหลวมตัวถูกหลอกให้ไปอยู่ในความคิด แต่ให้คุณใช้ชีวิตในปัจจุบันขณะ เดี๋ยวนี้

    "อ้าว ก็ผมประสบความสำเร็จหมดแล้วทั้งเงิน บ้าน ที่ดิน ทองคำสำรอง สุขภาพ และประกันชีวิตประกันภัย ท่องเที่ยวก็ไปมาหมดแล้ว ประเทศไหนที่ไหนเขาว่าสวยๆงามๆก็ไปดูมาหมดแล้ว แล้วจะให้ผมทำอะไรดีละ ที่ว่าอยู่กับปัจจุบันเนี่ย จะให้ผมทำอะไร"

     ใจเย็นๆครับคุณพี่ ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งขึ้นเสียง ที่ผมพูดว่าการใช้ชีวิต ผมหมายถึงการสำรวจเรียนรู้เพื่อค้นหาศักยภาพสูงสุดที่ตัวเองมีในฐานะที่เกิดมาเป็นคน แต่ว่าอย่าหวังสูงเกินไปนะ เพราะการเป็นคนนี้ความจริงก็คือเป็นแค่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กๆตัวหนึ่ง บนดาวเคราะห์ดวงเล็กๆดวงหนึ่ง ในระบบสุริยะระบบเล็กระบบหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่ชายขอบของทางช้างเผือก อันเป็นดาราจักรขนาดเล็กอันหนึ่ง ในบรรดาดาราจักรจำนวนไม่รู้กี่แสนกี่ล้านดาราจักรที่ประกอบกันขึ้นเป็นเอกภพนี้

     สิ่งที่คุณประสบความสำเร็จเจนจบมาทั้งหมดแล้วนั้นมันเป็นเรื่องนอกตัวนะ มันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการเรียนรู้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองในการเกิดมาเป็นคน ที่คุยว่าทำได้มาแล้วทั้งหมดนั้น สาระหลักก็คือการกิน ขับถ่าย นอน สืบพันธ์ การเสาะหาที่หลบภัยให้ตัวเองอยู่รอด ทั้งหมดนั้นอย่าว่าแต่สัตว์ชั้นสูงอย่างคนเลย หมาแมวมันก็ทำได้ แต่ศักยภาพที่แท้จริงของคนนั้นมันอยู่ที่ข้างใน ไม่ใช่อยู่ที่ข้างนอก ข้างในผมหมายถึงว่าคนเรานี้เมื่อวางความคิดของตัวเองแล้วถอยความสนใจกลับเข้าไปข้างใน มันจะมีศักยภาพที่ผมเองก็เรียกไม่ถูก ขออนุญาตใช้ภาษาอังกฤษนะเพราะภาษาไทยไม่มีคำนี้ คือ ณ ข้างในตรงที่หมดความคิดแล้ว คนเรามันมี insight คือมีความสามารถที่จะรู้จะเข้าใจความเป็นไปของสรรพสิ่งได้อย่างลึกซึ้งถึงกึ๋นได้เอง แล้วความทุกข์จากสิ่งที่เรียกว่า existential suffering นี้ก็จะหมดไป

     เริ่มต้นคุณพี่ก็ต้องฝึกนั่งสมาธิ (meditation) ก่อน นั่งมันทุกวันแหละ วันหนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมง ทู่ซี้นั่งมันไปจนได้เรื่อง คือจนมันนิ่ง ในความนิ่งของสมาธิ ให้คุณพี่หัดสังเกตรับรู้ (aware) ความคิดและอารมณ์ของตัวเอง สังเกตความคิดโดยมองเข้าไปจากข้างนอก มองจนความคิดฝ่อหายไปเองหมดเกลี้ยง สังเกตรับรู้ร่างกาย สังเกตรับรู้ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งผ่านกลไกที่อยู่นอกเหนือการนิยามหรือบรรยายของภาษา  สังเกตรับรู้ความว่างเปล่าที่ความรู้ตัวหรือความสามารถรับรู้นี้แทรกซึมอยู่ เพื่อทำความรู้จักกับความรู้ตัว ผมบอกใบ้ให้ล่วงหน้าว่าอะไรที่ถูกความรู้ตัวสังเกตรับรู้ได้ล้วนไม่ใช่ความรู้ตัว ให้ทิ้งมันไปเสีย นั่นหมายความรวมถึงความคิดด้วย ท้ายที่สุดคุณพี่ก็จะเหลือแต่ความรู้ตัวโด่เด่อยู่อย่างโดดเดียวในความว่าง นิ่ง และเงียบ ตรงนี้แหละที่เป็นปลายทาง เป็นที่ที่จะเกิด insight ให้เข้าใจอะไรต่างๆอย่างถึงกึ๋นได้เอง 

     เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วตัวเราก็เหมือนจะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ทั้งที่คนตัวเดิมก็ยังอยู่ แต่มีคนตัวใหม่ที่ข้างในอีกตัวหนึ่งซึ่งไม่ได้มีผลประโยชน์เกี่ยวของอะไรกับคนตัวเดิมเกิดขึ้นมาซ้อน เรียกว่าตัวนอกกับตัวในก็แล้วกัน ตัวในมันสงบเย็นและไม่อินังขังขอบอะไรเหมือนกับว่ามันรู้อะไรหมดแล้วมันจึงเย็นได้ พลอยทำให้ตัวนอกเย็นลงไปด้วย แต่ตัวนอกก็ยังจะทำงานทำการสร้างสรรค์อะไรในทางโลกได้อยู่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตที่เหลือก็จะดำเนินไปอย่างนี้ ทีละขณะ ทีละขณะ สงบเย็นด้วย ทำงานในโลกได้ด้วย นี่คือการย้ายตัวตนหรือ shift of identity ซึ่งจำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน พันธกิจของชีวิตที่เกิดมาจึงจะถือว่าสำเร็จ 

     ถ้าจะถามผมว่าเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตก่อนตายควรทำสิ่งใดอีก ผมแนะนำว่าให้คุณทำสิ่งนี้แหละ คือกลับเข้าไปข้างใน สำรวจค้นหาโลกภายในโดยอาศัย insight พาไป จนพบกับความรู้ตัวซึ่งเป็นเราคนใหม่ แล้วย้ายวิกจากคนเก่าไปเป็นคนใหม่เสียอย่างน้อยก็สักเก้าส่วนในสิบส่วน ก็จะมีชีวิตที่เดี๋ยวนี้อย่างสงบเย็นทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆที่จะเข้ามาหา แถมปลดความสงสัยตะหงิดๆในใจทิ้งได้อย่างเบ็ดเสร็จ ชีวิตที่เหลือจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าต่อโลกและต่อชีวิตอื่น โดยที่ตัวเองก็ไม่ทุกข์ และเมื่อถึงเวลาตาย ก็จะพร้อม

ปล. ถ้ามีเวลาให้คุณหาเวลามาเข้า Spiritual Retreat ก็น่าจะดีกว่าอยู่เปล่าๆนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

28 สิงหาคม 2563

เรื่องกิ๊กกับอุ๊บอิ๊บจะมาร้องเพลง และเรื่องอยากส่องตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่แบบเบิกได้

     ก่อนตอบคำถามวันนี้ขอแจ้งข่าวไร้สาระหน่อยนะครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกว่าค่ำวันที่ 5 กย. 63 ผมชวนครูสไมล์มาดีดเปียโนร้องเพลงที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ เชิญแฟนบล็อกที่สนใจเข้าฟังได้ฟรี ตอนนี้มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะมีหนุ่มนักเล่นไวโอลินคลาสสิกแวะมาแจมด้วย บรรยากาศคงจะครึกครื้นมากขึ้น 

     แล้วก็มีข่าวดีเพิ่มมาอีกว่า วันถัดมาคืออาทิตย์ที่ 6 กย. 63: ช่วงบ่ายๆเย็น 16.00-18.00 น. คุณกิ๊ก (พงษ์พันธ์ จันทร์เนตร์) จะมาเล่นเปียโนให้คุณอุ๊บอิ๊บ (พชรมน นภัสธนาเกียรติ) ร้องเพลงทำรายการแบบ Live ที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ คือมาทดลองกำธรเสียงของบ้านไม้ แฟนบล็อกหมอสันต์ที่สนใจแวะชมและฟังได้ฟรีเช่นกัน คุณกิ๊กเป็นนักแต่งเพลงทำค่ายเพลงชื่อ Impression Sound Studio ซึ่งแต่งและผลิตเพลงไทยระดับละเมียดที่สมัยนี้ไม่มีใครอื่นเขาทำกันแล้ว เพลงหนึ่งที่กิ๊กแต่งชื่อ "ริมน้ำคืนหนึ่ง" ชนะเลิศประกวดเพลงระดับนานาชาติที่อังกฤษ ผมเอาลิงค์ที่คุณกิ๊กเล่นเปียโนและคุณอุ๊บอิ๊บร้องเพลงชื่อ "ใครคนหนึ่ง" แบบไลฟ์เล่นๆสบายๆออกยูทูปมาแปะให้ท่านที่สนใจลองคลิกไปชมและฟัง 


โอเค. คราวนี้มาตอบคำถามประจำวัน

สวัสดีคะคุณหมอ
     พี่สาวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 4 อายุ 46 ปี ตอนนี้ดิฉันอายุ 42 ปี การขับถ่ายก็ถ่ายได้ทุกวัน ไม่มีเลือด น้ำหนัก 57 กก. สูง 162 ซม. เป็นพาหะไวรัสตับบี
     คุณหมอทางเดินอาหารไม่ให้ส่องกล้อง ให้ตรวจเลือด ดูความซีดกับ ค่ามะเร็ง ส่วนคุณหมอศัลยกรรมลำไส้ใหญ่ให้รีบตรวจแล้วบอกว่าให้ตรวจเร็วที่สุด ควรจะตรวจตั้งแต่อายุ 36 ปี โดยเอาอายุของพี่สาวลบ 10 คะ
    ค่าตรวจก็สูงนะคะ โรงพยาบาลจุฬา นอกเวลา 16,000 บาทคะ ประกันสังคมที่วิภาราม คิดว่าไม่น่าจะทำให้นะคะ
   อยากให้คุณหมอแนะนำหน่อยคะพี่สาวจ่ายค่าคีโมนอกบัญชี แบบพุ่งเป้าเข็มละ 75,000 บาท พยายามช่วยกันจ่ายคะ ถ้ามีใครเป็นอีกสักคนก็คงแย่เหมือนกันคะ

.................................

ตอบครับ

     ปกติการส่องตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อป้องกันมะเร็งทำเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไปโดยทำห่างๆ 10 ปีครั้ง ยกเว้นในกรณีของคนที่มีความเสี่ยงพิเศษควรทำเมื่ออายุต่ำกว่านี้ การมีสมาชิกครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็ถือว่ามีความเสี่ยงพิเศษ ที่สมควรตรวจก่อนอายุ 50 ปี คือตรวจได้ตั้งแต่อายุ  30-35 ปีเลย

     ส่วนประเด็นที่ว่าจะเบิกสามสิบบาทหรือประกันสังคมหรือราชการได้หรือเปล่า ถ้าเป็นการตรวจเพื่อป้องกันโรค (preventive colonoscopy) เบิกไม่ได้ทุกกรณีครับ เพราะกองทุนทั้งสามเป็นกองทุนเพื่อรักษาโรค ไม่ใช่กองทุนเพื่อป้องกันโรค ส่วนกองทุนป้องกันโรคนั้น ไม่มี หิ หิ นี่มันเป็นนโยบายของชาติ เพราะนโยบายของชาติลอกแบบมาจากนโยบายบริษัทประกันชีวิตประกันสุขภาพ ซึ่งมีคอนเซ็พท์พื้นฐานว่าหากมีการลงทุนเรื่องการป้องกันโรคจะทำให้ขายกรมธรรมยาก เพราะเมื่อคนไม่ป่วยไม่ตายกันง่ายๆก็จะทำให้คนไม่กลัวป่วยไม่กลัวตาย แล้วใครจะซื้อกรมธรรมประกันป่วยประกันตาย ถูกไหม 

     ถ้าคุณอยากจะเบิกได้คุณอย่าบอกว่าผมชี้โพรงให้นะ คุณต้องมองหาอาการนำอะไรสักอย่าง แล้วคุณก็ไปหาหมอด้วย "อาการนำ" นั้น เอาอาการที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งลำไส้ใหญ่นะ เช่นนิสัยการขับถ่ายดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเคยถ่ายทุกวันตอนนี้ท้องผูกหรือท้องอืดสลับท้องเสีย หรือให้หนักยิ่งกว่านั้นก็คือรู้สึกว่าสีของอุจจาระเข้มขึ้น ไม่แน่ใจว่ามีเลือดออกหรือเปล่า อะไรอย่างนี้เป็นต้น แล้วบอกด้วยว่ามีญาติเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ แพทย์ก็จะมีข้อบ่งชี้มากพอที่จะตรวจเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการวินิจฉัยอาการผิดปกติ ซึ่งตามบาลีถือว่าอยู่ในสายของการรักษา ดังนั้น ผ่าง ผ่าง ผ่าง เบิกได้ แต่ถ้าจะไปขอส่องกล้องเพราะญาติเป็นมะเร็งเหตุผลเดียว เป็นเรื่องในสายการป้องกันโรค เบิกไม่ได้ เพราะสโลแกนและทิศทางการสาธารณสุขของชาติในขณะนี้คือรัฐทุ่มเงินให้กับการรักษาแบบไม่อั้นจนเงินหมด ส่วนการป้องกันนั้นให้ประชาชนไปขวานขวายเอาเองเพราะเงินของรัฐหมดแล้ว หิ หิ จบข่าว

     อ้อ แล้วอย่าบอกใครว่าหมอสันต์สอนให้พูดกับหมออย่างนี้ สอนคนไข้อย่างนี้มันผิดจริยธรรมวิชาชีพ ซึ่งหมอที่ดีไม่ควรทำ

สันต์
[อ่านต่อ...]

27 สิงหาคม 2563

เป้าหมายสุดท้ายของชีวิตคือเชิงตะกอน แล้วคุณจะรีบไปทำไม

สวัสดีค่ะ อาจารย์สันต์

หนูมีเรื่องอยากเรียนปรึกษาอาจารย์เล็กน้อยค่ะ เรื่องการเรียนต่อสอบ usmle (ได้อ่านจากตอน หมอน้อยอยากไปเมกา ที่อาจารย์เขียนแล้วรู้สึกประทับใจมากค่ะ รู้สึกเป็นแรงบันดาลใจ) หนูขอรบกวนเวลาอาจารย์สักครู่นะคะ

ตอนนี้หนูเป็นแพทย์ฟิกวอร์ดสูติที่ รพศ ค่ะ ตอนนี้เป็น intern1 จะเข้าเป็น residentกลางปีหน้าค่ะ ที่หนูมาฟิกวอร์ดสูติที่นี้ เพราะคิดว่าอยากเรียนจบ 4 ปีแล้วรีบอร์ดน่าจะเพิ่มโอกาสในการแมชให้ตัวเองค่ะ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ที่นี้เป็น รพศ มีการเรียนการสอนน้อยมากหากเทียบกับ รรพ ที่หนูจบมา คือตอนมาสมัครก็พอทราบค่ะ อาจารย์ประจำภาคสูติที่คณะเดิมก็ให้คำแนะนำ ว่าหนูควรจะเรียนโรงเรียนแพทย์มากกว่าและอาจารย์หลายๆท่านที่สถาบันเดิมก็ชวนหนูเรียนที่เดิม บอกว่าถ้ามาสมัครก็ยินดีรับแน่ๆ แต่ตอนนั้นหนูเลือกที่จะมาฟิกวอร์ดที่นี้ เพราะคิดว่าได้เรียนเลย จบไว ไม่ต้องใช้ทุน จบแล้วสามารถสอบ usmle ได้เลย

แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า พอหนูเข้ามาทำงานจริงๆแล้ว ที่นี้แทบไม่มีการเรียนการสอนเลย ไม่มีแบ่งสายราวน์ ตามsubspecialty เพราะจำนวนstaff ก็มีน้อยและ staff ที่จบsubspecialty มีเพียง 2-3 คน มีconference แต่staff ก็เข้าน้อย, พี่ๆresident บอกว่าจะได้เรียนบ้างตอนที่เป็น resident ปี2 ที่จะมีไปอิเลกทีฟที่ รรพ ที่อื่น หนูคิดแล้วว่าที่นี้คงไม่เหมาะกับหนูแน่ๆ หากเข้าไปเทรน กลัวจะทนอยู่จนจบไม่ได้ ตอนนี้หนูมีทางเลือกอยู่สามทาง

1.ออกมาเป็น gp ที่ รพ แห่งนี้,ทำงานจนครบ 3 ปี แล้วค่อยสอบusmleไปอเมริกา เป็น gpที่นี้ ค่อนข้างมีเวลา หนูสามารถเตรียมตัวสอบ usmle,elective,มีเวลาทำresearchได้ค่ะ 

2.ลาออกไปเลยหลังจบ intern1,ทำงานเป็น intern 2 ที่อื่นเอาทุนมาเรียน รรพ. ที่หนูจบมา แต่ปัญหาคือ ขณะนี้ หนูอายุ 24 อาจเข้าไปเรียนได้ตอนอายุ 26, เรียนจบตอนอายุ 29, ทำงานใช้ทุนให้ต้นสังกัดอีก 3 ปี ขณะนั้นก็อายุ 33 ปีค่ะ คิดว่าอายุคงมากแล้ว

3.ลาออกไปเลยหลังจบ intern 1, ทำงานเป็น intern 2 ที่อื่นก่อน เพราะสูติหากจะเรียนแบบฟรีเทรน จะสมัครได้คือต้องจบ intern2 เท่านั้นค่ะแล้วค่อยกลับไปfree train ที่ รรพ.สถาบันเดิม (สมัยหนูเป็นนศพ อาจารย์ผู้ใหญ่หลายท่านชวนมาเรียนต่อ บอกถ้าเรียนที่นี้ หากperformance ตอนเป็นresidentดี อาจได้เป็นอาจารย์ต่อ แต่ตอนนั้นหนูปฏิเสธไปเพราะอยากสอบusmleมากๆค่ะ หากหนูจะกลับไปเรียนที่เดิมจริง คิดว่าเรื่องนี้อาจต้องเข้าไปคุยกับอาจารย์ที่ภาคก่อนล่วงหน้า แต่หนูก็ไม่แน่ใจ100% ว่าทางภาคจะรับแน่ๆ เพราะเขาอาจจะพิจารณาคนที่มีต้นสังกัดมาก่อน และหนูก็ไม่แน่ใจว่าการที่หนูฟิกวอร์ดแล้วลาออกด้วยอาจจะทำให้หนูดูแย่อ่าค่ะ)

4.เทรนต่อที่นี้ให้จบ ข้อนี้หนูขอเป็นทางเลือกสุดท้ายเลยค่ะ 

ตอนนี้หนูตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะเลือกทางไหนดี แต่ใจเอนเอียงไปทางข้อ 1 เพราะข้อสองและสามคงต้องเสียเงินก้อน เลยอยากขอคำแนะนำ ในมุมมองของอาจารย์ค่ะ

ขอบคุณอาจารย์มากนะคะ ที่สละเวลา

........................................................................

ตอบครับ

     1. การที่คุณซึ่งเป็นแพทย์จบใหม่คิดอ่านที่จะสอบยูสไมล์เพื่อไปฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านที่อเมริกานั้น ผมสนับสนุน ด้วยเหตุผลว่า

     1.1 การสอบยูสไมล์ไม่ว่าจะสอบได้หรือไม่ได้ แต่ก็จะทำให้ความรู้พื้นฐานวิชาแพทย์ของคุณแน่นขึ้น วิชาแพทย์นี้มันเป็นวิชาที่ลึกซึ้ง ต้องมีพื้นฐานของวิชาแน่นมันจึงจะใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย คล้ายกับวิชาดนตรีเหมือนกัน หากคุณไม่เจนจบเรื่องตัวโน้ต คีย์ และคอร์ด โอกาสที่คุณจะเล่นดนตรีให้ได้ระดับละเมียดลึกซึ้งกับเครื่องดนตรีใดก็ตามนั้นเป็นไปได้ยากมาก 

     1.2 ยิ่งถ้าคุณสอบยูสไมล์ได้ก็ยิ่งดี เพราะการได้ไปฝึกอบรมเมืองนอกจะดีกว่าฝึกอบรมในเมืองไทยตรงที่โลกทัศน์วิสัยทัศน์ของคุณจะกว้างขึ้น และได้เรียนรู้ระเบียบวินัยการทำงานในสังคมฝรั่ง ซึ่งแตกต่างจากของไทยมาก ผมไม่ได้ว่าอะไรดีกว่าอะไรนะ พูดแต่ว่ามันไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นสมัยที่ลูกชายผมเข้าเรียนแพทย์ใหม่ๆ ทางคณะเขาก็นัดผู้ปกครองไปประชุม เขาจดหมายแจ้งนัดเวลาประชุมอย่างเป็นทางการมาเก้าโมง แต่กว่าคณาจารย์และผู้ปกครองจะยุรยาตรเข้าห้องประชุมครบและเริ่มประชุมกันได้จริงๆก็สิบโมง นี่เป็นวัฒนธรรมในการทำงานอย่างหนึ่งของคณะแพทย์แห่งนั้น แล้วแพทย์ที่เป็นผลผลิตของวัฒนธรรมอย่างนั้นก็ต้องซึมซับเอานิสัยแบบนั้นไป ย้ำอีกที ผมไม่ได้ว่าดีไม่ดีนะ ทุกอย่างมีดีมีเสีย ช้าก็ดีตรงที่ไม่เครียด 

     พูดถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อย นานมาแล้วผมฟังญาติซึ่งเป็นนักกฎหมายใหญ่คุยกับเพื่อนเก่าของเขาที่ไม่ได้พบกันหลายสิบปี ทักทายกัน สอบถามถึงชีวิตกันและกันว่าตอนนี้มึงอยู่ที่ไหนทำอะไร ก็ได้รับคำตอบว่า

     "ชีวิตกู ครึ่งหนึ่งหมดไปกับการว่าความ" แล้วเพื่อนก็ถามด้วยความสนใจว่า

     "แล้วอีกครึ่งมึงทำอะไร ไปอยู่กับอีหนูเหรอ" ท่านตอบว่า

     "เปล่า..กูรอศาล"

     (ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)

     2. ถามว่าในบรรดาทางเลือกสี่ทางที่คุณเรียบเรียงมานั้นผมแนะนำแบบไหน ตอบว่าผมแนะนำแบบที่ 1 คืออยู่เป็นแพทย์ทั่วไปใช้ทุนที่รพ.เดิมนั่นแหละจนครบสามปี อ่านหนังสือเตรียมสอบไปด้วย เพราะผมไม่สนับสนุนการฝึกอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทางทันทีที่เรียนจบ มันเหมือนกับการพ้นจากการเป็นเด็กหญิงแล้วก็แต่งงานเลย จะเอาประสบการณ์ชีวิตที่ไหนไปเป็นพื้นฐานในชีวิตคู่ การเป็นแพทย์เฉพาะทางที่สามารถคุณต้องมีความรู้พื้นฐานวิชาแพทย์ทั่วไปแน่นปึ๊ก มิฉะนั้นคุณจะกลายเป็นแพทย์เฉพาะทางพันธ์กบในกะลา พอเจอปัญหายากๆคุณแก้ไม่ได้ เพราะปัญหาของคนไข้มันไม่ได้แยก specialty บ่อยครั้งที่โรคของอวัยวะหนึ่ง อาการมาโผล่ที่อีกอวัยวะหนึ่ง ผมจึงสนับสนุนให้แพทย์รุ่นใหม่ทุกคนได้เป็นแพทย์ทั่วไปกันคนละหลายๆปีก่อน ก่อนที่จะไปฝึกอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทาง การเป็นแพทย์ทั่วไปนี่มันเป็นชีวิตที่โรแมนติกมากนะ เพราะเราต้องท่องไปในโลกกว้างของความไม่รู้ มันจึงมีแต่ความตื่นตาตื่นใจ แล้วมันยังมีประสบการณ์ดีๆในเชิงชิวิตและสังคมสอดแทรกอยู่เป็นครั้งคราวด้วย

     พูดถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องอีกหน่อยนะ นานมาแล้ว ประมาณปี พ.ศ. 2523 ผมไปเป็นแพทย์ใช้ทุนที่สุขศาลาอำเภอปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ทำคลินิกส่วนตัวไปด้วย ไม่กี่เดือนก็ซื้อรถปิคอัพคันเล็กๆสีขาวใหม่ถอดด้ามได้คันหนึ่งราคา 88,000 บาท เวลาหมอสมวงศ์ซึ่งเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ที่รพ.จังหวัดมาหาก็พากันขับรถเที่ยวไปตามชนบทของปากพนัง วันหนึ่งขับรถสำรวจลงถนนดินซอกซอนแล้วหลงไปในทุ่งนาข้าวอันเวิ้งว้าง แดดอ่อนๆนุ่มๆ อากาศเย็นๆ รวงข้าวสีทอง กำลังจอดรถชะเง้อดูว่าจะกลับรถไปขึ้นทางเก่าอย่างไร ก็เห็นผู้หญิงชาวบ้านคนหนึ่งจูงเด็กวิ่งมาแต่ไกล ปากก็ร้องตะโกนอะไรไม่รู้เสียงแว่วๆ โบกมือเป็นสัญญาณให้ผมรอก่อน ผมก็เลยยืนรอดู ในที่สุดเธอและเด็กก็มาถึงในสภาพกระหืดกระหอบ

     "นี่ลูกของฉันไง ที่ตอนมันเป็นไข้เลือดออกฉันว่ามันตายแล้วแต่หมอช่วยมันไว้ นี่ข้าวใหม่ของฉันเอง ฉันเห็นรถของหมอจึงรีบเกี่ยวมาให้"

     ว่าแล้วเธอก็ยื่นฟ่อนรวงข้าวสีทองที่ยังไม่ทันได้มัดเป็นกำเลยมาให้ ผมเอื้อมมืออ้อมคมเคียวในมือของเธอไปรับรวงข้าวด้วยความรู้สึกตื้นตัน มันเป็นโมเมนต์โรแมนติกเล็กๆที่ผ่านไปตั้งห้าสิบปีแล้วผมก็ยังจำได้ จำได้แม้กระทั่งแสงแดดอ่อน ลมเย็น ทุ่งรวงทองสีเหลือง และตาแป๋วไร้เดียงสาของเด็กคนนั้น

     3. ที่คุณแสดงความกังวลว่าเส้นทางนั้นเส้นทางนี้ใช้เวลานานไปหรือเปล่า ตอนนี้อายุ 24 แล้ว กว่าจะใช้ทุนนี่จบก็ 26 กว่าจะเรียนต่อจบก็ 29 ใช้ทุนเสร็จก็ 33 จะแก่เกินแกงไปหรือเปล่า ผมอยากจะบอกคุณหมอว่าในการมีชีวิตอยู่นี้อย่าไปเร่งรัดลนลานไปให้ถึงเป้าหมายของชีวิตเร็วๆ เพราะเป้าหมายของชีวิตไม่ใช่ตัวชีวิต โมเมนต์ที่เราก้าวเดินไปแต่ละก้าวต่างหากที่เป็นตัวชีวิตที่แท้จริง ไม่ใช่เป้าหมายที่เราวาดไว้ เป้าหมายสูงสุดและสุดท้ายของชีวิตของมนุษย์ทุกคนที่ทุกคนต้องไปถึงคุณก็รู้อยู่แล้วนี่ ก็คือเชิงตะกอนไง แล้วคุณจะรีบไปทำไม

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

     

[อ่านต่อ...]

26 สิงหาคม 2563

ผ่าตัดบายพาสแล้วต้องใช้ ECMO มีโอกาสรอดกี่เปอร์เซ็นต์

สวัสดีค่ะคุณหมอ
     มีเรื่องอยากปรึกษาคุณหมอ แต่จะเขียนให้กระชับเพื่อเป็นการไม่รบกวนเวลาคุณหมอ เพื่อขอความเห็นค่ะ คุณพ่อ แน่นหน้าอก เข้ารพ. ... คุณหมอวินิจฉัยเส้นเลือดหัวใจตีบ 3 เส้น ทำบอลลูนให้ก่อน 1 เส้น ที่เห็นสมควรทำก่อน หลังทำพักฟื้นรพ  คุณพ่อฟื้นตัวดีมาก คุณหมอเห็นสมควร แนะนำทำต่อ 2 เส้น เสาร์ - 1 เส้น อาทิตย์,จันทร์ -พักฟื้น อังคาร - 2 เส้น พุธ-  กลับบ้านถึงบ้าน 19:00
     พฤ- 11:00 กลับถึงบ้านไม่ถึง 24 ชม. เลยหลังจากกินข้าวเสร็จ มีอาการแน่นหน้าอกเหมือนเดิม นำส่ง รพ. หมอแจ้งว่า ลิ่มเลือดหัวใจตันทั้ง 3 เส้น คุณพ่อไม่ตอบสนองใดใด ต้องใส่เครื่อง ECMO หมอขอปรึกษา ในการทำ บายพาส ทำบายพาสต่อ โดยบอกว่าโอกาสรอด20% ทำบายพาสเสร็จ 1 วัน วัน1- กระดิกนิ้วได้ เท้าได้เล็กน้อย วัน2- ลืมตา กรอกตา บีบมือ รับรู้ วันนี้ดี วัน3 - น้ำท่วมปอด ล้างไต หมอให้ยานอนหลับพัก 4-5 คือวันนี้ ยังคงไม่รู้สึกตัวดีเหมือนวันที่2
     หมอเจ้าของไข้ บอกว่า หมอขอโทษ อาการนี้ คือ 1 ใน แสน ตลอดชีวิตการเป็นอาจารย์หมอหัวใจ ไม่เคยพบ ที่คนไข้ไม่ตอบสนองต่อยาสลายลิ่มเลือด 75 มก. ที่ให้กลับบ้าน ตลอดเวลาที่อยู่รพ. ให้ยาตัวนี้
แต่ปริมาณเป็น 75 มก. x 8 เม็ด หรือเรียกว่าเป็นโดสสูงกว่ากลับบ้าน อยู่รพ หลายวันจึงไม่มีอาการให้เห็น
พอกลับบ้าน ได้ยา 75 มก. จำนวน 1 เม็ดคนไข้มีอาการไม่ตอบสนองต่อยา จึงเกิดลิ่มเลือด อุดตัน 3 เส้น
* ตอนมารักษารอบ2 ที่แน่นหน้าอก คุณพ่อมาถึง รพ. ทันเวลา รู้สึกตัวแต่เริ่มตัวเย็นมาก หมอแจ้งว่า หัวใจและสมองขาดเลือด 1-2 นาที กล้ามเนื้อหัวใจและสมอง เสียหายบางส่วน ภายหลังบอกว่า กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายกว่า 50% กล้ามเนื้อ เท่าไหร่ถึงมีชีวิตอยู่ได้คะ ปัจจุบันห้อง ccu
     กรณีแบบนี้ หนูต้องทำอย่างไรต่อไป อาการคุณพ่อ มีโอกาสรอดชีวิตขนาดไหนคะ หรือต้องดูไป วันต่อวัน แบบหมอบอก และเรา สามารถเรียกร้องอะไร จากคุณหมอหรือรพ. ได้บ้าง ในเรื่องที่ว่า ยาไม่มีผลต่อการสลายลิ่มเลือด ทำไมถึงไม่มีการเทสต์ยาให้แน่นอนก่อนคนไข้กลับบ้าน
     มีความหวัง ว่า คุณพ่อหาย จะพาไปหาเข้าแคมป์กับคุณหมอสักครั้ง ปกติคุณพ่อรักษาสุขภาพมากกว่าใครในบ้าน และเป็นหัวหน้าครอบครัว ตอนนี้รู้สึกว่า มีเงิน 10 ล้านก็คงไม่พอกับค่ารักษาพยาบาล เพราะวันเดียวบาสพาส ก็ 2 ล้านแล้ว เคยถามคุณพ่อว่าทำไมถึงเลือกที่นี่ คุณพ่อบอกว่าชอบรพ นี้ มีศูนย์หัวใจที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ขอบพระคุณคุณหมอนะคะ เข้าใจว่าคุณหมองานเยอะ แต่หนูหวังว่าวันหนึ่งคุณหมอจะตอบเมลล์ ค่ะ
(ชื่อ) ...

....................................................................

ตอบครับ

     ผมสรุปเอาจากจดหมายว่าคุณพ่อเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมีอาการเจ็บหน้าอกแบบไม่ด่วน (stable angina) แล้วเข้าโรงพยาบาล ได้รับการทำบอลลูนใส่ลวดถ่างสามครั้งซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี แต่กลับบ้านแล้วเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute MI) จากลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดที่เพิ่งทำบอลลูนไป หมอพยายามแก้ไขด้วยการทำผ่าตัดบายพาส แล้วโคม่า หัวใจล้มเหลว ไตวายเฉียบพลัน ต้องอยู่ในเครื่องช่วยหัวใจและฟอกเลือดแทนปอด (ECMO) มา 5 วัน หมดเงินไป 2 ล้าน ทั้งหมดคือเรื่องโดยสรุป เอาละ คราวนี้มาตอบคำถาม

     1. ถามว่าผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ผ่าตัดบายพาสแล้วหัวใจไม่ฟื้น ต้องเข้าเครื่องช่วยหัวใจและฟอกเลือดแทนปอด (ECMO) แล้วจะทำยังไงต่อไปดี ตอบว่าต้องรอผลการรักษาของแพทย์อย่างเดียวเลยครับ ส่วนของผู้ป่วยไม่มีอะไรจะทำได้เลยในตอนนี้

     2. ถามว่าคุณพ่อมีโอกาสรอดมากแค่ไหน โห..คำถามนี้ผมตอบไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่มีข้อมูลครบถ้วนเฉพาะกรณี ผมได้แต่บอกสถิติผู้ป่วยหลังผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจที่กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายจนถอดเครื่องหัวใจและปอดเทียมไม่ได้ ต้องเอาเครื่อง ECMO เข้าไปใส่แทน (CABG-ECMO subgroup ) อย่างคุณพ่อคุณนี้มีอัตราตายภายในหนึ่งปี = 77.2% ครับผม อัตราตายนะ ไม่ใช่อัตรารอด

     3. ถามว่าทำบอลลูนเสร็จเรียบร้อยดีแต่หมอให้ยาต้านเกล็ดเลือดกลับบ้านแล้วไม่กี่วันก็เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดที่เพิ่งทำไป จะฟ้องร้องเอาค่าเสียหายกับโรงพยาบาลหรือหมอได้ไหม ตอบว่าไม่ได้หรอกครับ เพราะศาลจะสั่งให้หมอหรือโรงพยาบาลจ่ายเงินชดเชยให้คนไข้ในสองกรณีเท่านั้น คือ (1) ศาลตัดสินว่าหมอประมาทเลินเล่อ (2) ศาลตัดสินว่าหมอทำการรักษาผิดวิธี หรือผิดหลักวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน

     ในกรณีของคุณพ่อคุณนี้ หลังทำบอลลูนแล้วคุณหมอเขาให้ยาต้านเกล็ดเลือดในขนาดปกติตอนกลับบ้านนั้นหมอท่านทำของท่านถูกต้องดีแล้วไม่ใช่เป็นการประมาทหรือการรักษาผิดวิธี

     และการที่คนไข้เกิดลิ่มเลือดอุดตันขึ้นแม้จะได้ยาต้านเกล็ดเลือดในขนาดปกติก็เป็นภาวะแทรกซ้อนหลังการทำบอลลูนที่รู้อยู่แล้วว่ามันมีโอกาสเกิดได้ ซึ่งผู้ป่วยต้องยอมรับ เพราะสถิติในภาพรวมที่ทุกฝ่ายรู้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเข้าทำบอลลูนก็คือประมาณ 50% หรือครึ่งหนึ่งของคนทำบอลลูนขยายหลอดเลือดจะเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดที่ทำไปภายในเวลา 5 ปีแรกแม้ว่าจะใช้ยาต้านเกล็ดเลือดระดับเต็มแม็ก ส่วนใหญ่จะเกิดในหนึ่งปีแรก เมื่อเราเข้าทำบอลลูนเราต้องยอมรับภาวะแทรกซ้อนนี้อยู่แล้วโดยปริยาย

     4. ถามว่าผู้ป่วยทำบายพาสวันเดียวหมดไปสองล้านบาท แถมต้องเข้าเครื่อง ECMO อีกไม่รู้นานเท่าใด ทำท่าจะหมดตัวแล้วจะทำอย่างไรดี ตอบว่าก็ย้ายไปรพ.ที่มีสิทธิ 30 บาทสิครับ เปิดเน็ทเอาเลขบัตรประชาชนถามเข้าไปว่ารพ.ตามสิทธิ์ของคุณคือรพ.ไหน ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไม่มีเตียงรับ เพราะตามกฎกติกา หากคุณแจ้งขอใช้สิทธิ์กับเขาในสามวันเขาต้องมารับผู้ป่วยไป ถ้าเขาไม่มารับหรือไม่มีเตียงรับ เขาต้องจ่ายเงินให้รพ.เอกชนที่รักษาผู้ป่วยอยู่ (ในวงเงินที่กฎหมายกำหนด) แล้วคุณไม่ต้องกลัวว่าโรงพยาบาลเอกชนที่รักษาอยู่เขาจะตุกติกนะ แค่คุณบอกแพทย์ที่รักษาว่าเงินหมดแล้ว แพทย์ท่านก็จะเข้าใจและหาทางช่วยเหลือสุดความสามารถให้คุณได้ย้ายไปรพ.ตามสิทธิ์ 30 บาทเพราะตัวแพทย์เองเขาก็ไม่มีความสุขหรอกที่เห็นคนไข้ที่เขารักษาหมดเนื้อหมดตัวแถมโรคก็ยังไม่หาย ในกรณีที่คุณยังไม่นอนใจก็ให้คุณทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งนั้นไว้อีกชั้นหนึ่งว่าคุณหมดเงินแล้วและได้ขอย้ายไปรพ.ตามสิทธิ์แล้ว ในระหว่างที่ยังย้ายไม่ได้นี้ ขอความอนุเคราะห์จากทางรพ.ตามควรแก่กรณี และคุณมีเจตนาที่จะเลื่อนการรักษาที่จำเป็นแต่มีค่าใช้จ่ายสูงใดๆไปทำที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์เมื่อได้ย้ายไปแล้ว แจ้งไว้แค่นี้แหละ รายจ่ายในบิลของคุณก็จะลดลงเหลือแต่ที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น

      5. หวังว่าถ้าคุณพ่อหายจะพาไปเข้าแคมป์หมอสันต์สักครั้ง ตอบว่าอย่าไปอยู่กับความหวังโน่นหวังนี่หรืออยู่กับความกลัวโน่นกลัวนี่เลยครับ ทั้งความหวังกับความกลัวมันก็เลวพอๆกัน เพราะมันล้วนลากเราออกจากชีวิตจริงที่เดี๋ยวนี้ไปอยู่กับอนาคตที่ไม่มีอยู่จริง อยู่กับความเป็นจริงที่ตรงหน้าเดี๋ยวนี้ดีกว่า รับมือกับมันไปทีละช็อต คุณวางแผนอนาคตได้ วางแผนแล้วก็หันมาโฟกัสแต่ขั้นตอนที่ต้องทำที่เดี๋ยวนี้ ขั้นตอนต่อจากนี้ยังไม่ต้องไปสนใจ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด อะไรจะเกิดก็รับได้ทั้งนั้น นี่เป็นวิธีใช้ชีวิตที่ดีกว่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Chang CH, Chen HC et al. Survival Analysis After Extracorporeal Membrane
Oxygenation in Critically Ill Adults. A Nationwide Cohort Study. Circulation. 2016;133:2423-2433. DOI: 10.1161/CIRCULATIONAHA.115.019143.
[อ่านต่อ...]

25 สิงหาคม 2563

วงการแพทย์เปลี่ยนมาตรฐานโรคความดันเลือดสูงครั้งใหญ่อีกแล้ว (2020)

     เพิ่งหมาดๆไปสองสามปีมานี้เองที่ผมเคยเขียนในบล็อกนี้ว่าวงการแพทย์เปลี่ยนนิยามโรคความดันเลือดสูงครั้งใหญ่ (http://visitdrsant.blogspot.com/2017/11/blog-post_94.html) ซึ่งนั่นคือคำแนะนำการรักษาโรคความดันเลือดสูงซึ่งสมาคมหัวใจอเมริกันและวิทยาลัยแพทย์โรคหัวใจอเมริกัน (AHA/ACC 2017)ออกมาแทนมาตรฐานเดิม (JNC7) ตอนนั้นผมบ่นไว้ในบล็อกนี้ด้วยว่าการเปลี่ยนสะเป๊คครั้งนั้นจะทำให้คนจำนวนมากที่ความดันอยู่ระหว่าง 130/80 ถึง 139/89 ซึ่งแต่ก่อนถือว่าเป็นคนปกติ ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคความดันเลือดสูงและกลายมาเป็นลูกค้าของวงการแพทย์ทันที ผลเสียก็คือจะนำไปสู่การใช้ยาเพิ่มขึ้น และผมยังติงไว้ว่าหลักฐานใหม่ๆบางชิ้นมีความสำคัญมากในแง่ที่จะช่วยลดความดันเลือดลงโดยไม่ต้องใช้ยา แต่คำแนะนำนี้กลับไม่ได้พูดถึงเลย เช่น 
     1. งานวิจัยความเสี่ยงโรคหัวใจคนหนุ่มสาว (CARDIA) ซึ่งตามดูคนหนุ่มสาว 5,115 คน นาน 15 ปี พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการกินพืช (ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ ถั่ว นัท) กับการลดความดันเลือด เป็นความสัมพันธ์แบบยิ่งกินมากยิ่งลดมาก (dose dependent) ขณะเดียวกันก็พบความสัมพันธ์ในทางตรงข้ามกันกับการบริโภคเนื้อสัตว์ คือยิ่งกินเนื้อสัตว์มาก ยิ่งมีความดันเลือดสูงขึ้นมาก 
     2. งานวิจัยในยุโรป (EPIC trial) ซึ่งวิเคราะห์คนอังกฤษ 11,004 คนพบว่าในบรรดาคนสี่กลุ่ม คือกลุ่มกินเนื้อสัตว์ กลุ่มกินปลา กลุ่มกินมังสะวิรัติ กลุ่มกินเจ (vegan) พบว่ากลุ่มกินเนื้อสัตว์มีความดันสูงสุด กลุ่มกินเจหรือ vegan มีความดันต่ำสุด 
      3. งานวิจัยเมตาอานาไลซีสรวมข้อมูลติดตามสุขภาพพยาบาล (NHS) และบุคลากรแพทย์ (HPFS) ของฮาร์วาร์ดซึ่งมีคนถูกติดตาม 188,518 คน (2,936,359 คนปี) พบว่าการกินเนื้อสัตว์ทุกชนิดรวมทั้งปูปลากุ้งหอยเป็ดไก่ไข่นม ล้วนสัมพันธ์กับการเป็นความดันเลือดสูง 
      4. มีหลักฐานว่าความพยายามจะลดความดันเลือดในผู้สูงอายุลงมากเกินไปมีผลเสียมากกว่าผลดี จน JNC8 นำมาออกเป็นคำแนะนำก่อนหน้านั้นว่าไม่ควรใช้ยาหากความดันเลือดตัวบนในผู้สูงอายุ (เกิน 60 ปี) ไม่สูงเกิน 150 มม. แต่ในคำแนะนำใหม่นั้นกลับไม่พูดถึงประเด็นผู้สูงอายุเลย แค่พูดว่าหากอายุเกิน 65 ปีขึ้นไปให้แพทย์ใช้ดุลพินิจเป็นรายคน 

      อย่างไรก็ตาม ขณะที่แพทย์จำนวนมากยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำไปว่าคำนิยามโรคนี้เปลี่ยนไปแล้วเมื่อสามปีก่อน (2017) แต่มาถึงวันนี้ถือว่าไม่มีใครตกข่าวนั้นแล้วเพราะมาตรฐานเปลี่ยนอีกละ คราวนี้ออกมาในนามของสมาคมโรคความดันเลือดสูงนานาชาติ (ISH 2020) โดยที่หัวเรี่ยวหัวแรงตัวจริงเสียงจริงก็ยังเป็นสมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) เจ้าเก่านั่นเอง เพื่อให้ท่านผู้อ่านตามความผลุบๆโผล่ๆของวงการแพทย์ในระดับโลกได้ทัน ผมขอสรุปมาตรฐานใหม่เฉพาะในส่วนที่ท่านผู้อ่านจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนี้ 

     นิยามโรคความดันเลือดสูง ตามคำแนะนำใหม่ 2020 

     ความดันเลือดปกติ (Normal BP) = ไม่เกิน 130/85 มม.

     ความดันเลือดปกติค่อนไปทางสูง (High-normal BP) = 130–139 / 85–89 มม.

    โรคความดันเลือดสูงเกรด1 = 140–159/90–99 มม. (มาตรฐานเดิมก่อนหน้านี้คือ 130-139/80-89)

     โรคความดันเลือดสูงเกรด2 =  160 /100 มม.ขึ้นไป (มาตรฐานเดิมก่อนหน้านี้คือ 140/90 ขึ้นไป)

     การรักษาความดันเลือดสูงโดยไม่ใช้ยาตามคำแนะนำใหม่ 2020

     1. ลดเกลือ (โซเดียม) ลง โดย
     1.1 เลิกเติมเครื่องปรุงที่มีเกลือ (เช่นน้ำปลาพริก) ลงในอาหารที่นำมาเสริฟ
     1.2 ลดการกินอาหารฟาสต์ฟูดและอาหารบรรจุเสร็จซึ่งใช้เกลือเป็นปริมาณมาก
     1.3 ลดขนมปังและซีเรียลที่ปรุงโดยมีส่วนของเกลือมาก

     2. เปลี่ยนอาหาร
     2.1 กินอาหารพืชเป็นหลักที่อุดมด้วยธัญพืชไม่ขัดสี ผลไม้ ผักต่างๆที่มีไนเตรทมาก (เช่นบีทรูทและผักใบเขียว) และมีแมกนีเซียม โปตัสเซียม แคลเซียม มาก (เช่นอะโวกาโด นัท เมล็ดพืช ถั่วต่างๆ และเต้าหู้) 
หรือกินตามสูตรอาหารเพื่อการลดความดัน (DASH diet)
     2.2 ลดน้ำตาล
     2.3 ลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์

     3. เลือกดื่มเครื่องดื่มอย่างฉลาด
     3.1 ดื่มกาแฟ ชาเขียว ชาดำ ชาขาว (ไม่ใส่ครีมไม่ใส่น้ำตาล) ในปริมาณพอควร เพราะคนดื่มชากาแฟเป็นความดันสูงน้อยกว่าคนไม่ดื่มเลย
     3.2 ดื่มน้ำพืชสมุนไพรที่ลดความดันได้ เช่น น้ำทับทิม น้ำบีทรูท โกโก้ ชาฮิบิสคัส เป็นต้น
     3.3 ลดการดื่มแอลกอฮอล์ลงเหลือระดับพอดี (ไม่เกิน 2 ดริ๊งค์ในผู้ชาย ไม่เกิน 1.5 ดริ๊งค์ในผู้หญิง) เพราะหลักฐานมีอยู่ว่าหากคนเป็นความดันสูงที่ดื่มมากลดการดื่มลงได้ ความดันก็จะลดลง

     4. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน ให้ดัชนีมวลกายปกติ หรือให้เส้นรอบพุงไม่เกิน 50% ของส่วนสูง

     5. เลิกบุหรี่

     6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยควบรวมการออกกำลังกายหลายแบบ
     6.1 ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (เล่นกล้าม) สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง     
     6.2 ออกกำลังกายแบบแอโรบิกให้ถึงระดับหนักพอควร (เช่น เดินเร็ว จ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ) ครั้งละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 ครั้ง หรือ
     6.3 ออกกำลังกายแบบเร่งให้หนักสลับเบาเป็นช่วงๆ (HIIT - high intensity interval training) 

     7. ลดความเครียด เพราะความเครียดทำให้ความดันสูง

     8. ฝึกสติสมาธิ (meditation/mindfulness) ให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะหลักฐานวิจัยบ่งชี้ว่าลดความดันได้
     
     9. หลีกเลี่ยงภาวะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เพราะหลักฐานวิจัยบ่งชี้ว่าทำให้เกิดความดันเลือดสูงได้

     โปรดสังเกตว่าการรักษาความดันเลือดสูงโดยไม่ใช้ยาตามคำแนะนำใหม่ 2020 นี้เข้าท่ากว่าคำแนะนำเก่าตั้งแยะ เพราะมีการนำหลักฐานมาออกคำแนะนำอย่างครอบคลุมกว่า รวมทั้งหลักฐานเรื่องมลภาวะในสิ่งแวดล้อม เรื่องความเครียดและการฝึกสติสมาธิ โดยออกคำแนะชัดๆโต้งๆเลยว่าให้ฝึกสติสมาธิทุกวัน  ในแง่ของการออกกำลังกายก็เจาะลึกลงไปว่าทั้งการออกกำลังกายแบบแอโรบิกและเล่นกล้ามต่างก็ลดความดันได้ทั้งคู่ ดังนั้นแฟนบล็อกหมอสันต์อ่านแล้วอย่าอ่านเลยนะครับ เชื่อไม่เชื่อก็กรุณาทดลองลงมือทำดูก่อน เพราะตัวหมอสันต์สนับสนุนคำแนะใหม่นี้สุดลิ่ม หิ หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Unger T, Borghi C, Charchar F, Khan NA et al. 2020 International Society of Hypertension Global Hypertension Practice Guidelines. Hypertension. 2020;75:1334–1357. https://doi.org/10.1161/HYPERTENSIONAHA.120.15026
2. Paul K. Whelton, Robert M. Carey, Wilbert S. Aronow, Donald E. Casey, Karen J. Collins, Cheryl Dennison Himmelfarb, Sondra M. DePalma, Samuel Gidding, Kenneth A. Jamerson, Daniel W. Jones, Eric J. MacLaughlin, Paul Muntner, Bruce Ovbiagele, Sidney C. Smith, Crystal C. Spencer, Randall S. Stafford, Sandra J. Taler, Randal J. Thomas, Kim A. Williams, Jeff D. Williamson, Jackson T. Wright. 2017 ACC/AHA/AAPA/ABC/ACPM/AGS/APhA/ASH/ASPC/NMA/PCNA Guideline for the Prevention, Detection, Evaluation, and Management of High Blood Pressure in Adults: A Report of the American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Clinical Practice Guidelines. Hypertension. 2017;HYP.0000000000000066
Originally published November 13, 2017  https://doi.org/10.1161/HYP.0000000000000066
3. Steffen LM, Kroenke CH, Yu X, et al. Associations of plant food, dairy product, and meat intakes with 15-year incidence of elevated blood pressure in young black and white adults: the Coronary Artery Risk Development in Young Adults (CARDIA) Study. Am J Clin Nutr. 2005;82:1169–1177.
4.  Appleby PN, Davey GK, Key TJ. Hypertension and blood pressure among meat eaters, fish eaters, vegetarians and vegans in EPIC-Oxford. Public Health Nutr. 2002;5:645–654. [PubMed]
5. Borgi L, Curhan GC, Willett WC, et al. Long-term intake of animal flesh and risk of developing hypertension in three prospective cohort studies. J Hypertens. 2015;33:2231–2238.
6. James PA, Oparil S, Carter BL, Cushman WC, Dennison-Himmelfarb C, Handler J, Lackland DT, LeFevre ML, MacKenzie TD, Ogedegbe O, Smith Jr SC, vetkey PL, Taler SJ, Townsend RR, Wright JTJr, Narva AS, Ortiz E. 2014 Evidence-Based Guideline for the Management of High Blood Pressure in Adults Report From the Panel Members Appointed to the Eighth Joint National Committee (JNC 8). JAMA. 2014;311(5):507-520. doi:10.1001/jama.2013.284427
[อ่านต่อ...]

24 สิงหาคม 2563

(เรื่องไร้สาระ-10) โปรเจ็คสวนดอกไม้หน้ากระท่อม

 

บนคือฟัก ล่างคือพริก ที่เป็นโรคหงิก
   วันนี้หมดแรงจากการทำงานเตรียมการสอนทางเว็บบินาร์กับหมออเมริกัน ขอไม่ตอบคำถามหนึ่งวัน คุยเรื่องไร้สาระแทนดีกว่า

     เพราะตอนนี้ผมกำลังเริ่มโปรเจ็คใหม่อีกแล้ว 

    แถ่น แทน แท้น..

     โปรเจ็คสวนดอกไม้หน้ากระท่อม แต่ก่อนจะเริ่มเรื่องโปรเจ็คใหม่ ขอทบทวนถึงโปรเจ็คเก่า "ป่าอาหาร" ขนาดราว 12 ตรว. ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจนกว่าจะหมดแรงจอบ มาถึงวันนี้ผลิตอาหารได้ชนิดกินไม่ทันเลยนะครับ เอาไปฝากชาวบ้านก็ไม่ไหว เพราะขี้เกียจขับรถตระเวนแจก หน้านี้หน้าฝน ผลผลิตออกมาเร็วมาก ผักต่างๆเช่นโหระพา แมงลัก กระเพราะ ยี่หร่า ไม่ต้องพูดถึง มีมากเกินไป ถั่วฝักยาว ถั่วพู มะเขือเทศ กระเจี๋ยบ ได้กินทุกสัปดาห์ ฟักทองญี่ปุ่นก็ออกแต่ต้นกับออกดอกดีแต่ไม่มีลูก ท่าทางมันโดนอากาศร้อนแล้วสะเปิร์มมันคงเป็นหมัน ส่วนแตงโมนั้นผมหลงปลูกเลี้ยงต้อยอยู่ตั้งนานจนมันออกลูกหลายลูกขนาดน้องๆลูกฟุตบอลแต่ท้ายที่สุดก็ถูกหนอนเจาะกินเรียบไม่เหลือไว้ให้สักลูกเลย ที่ปลูกง่ายที่สุดได้ผลทันทีคือฟัก กำลังออกลูกเป่งขึ้นๆ ข้างล่างคือพริกซึ่งแย่ไปเพราะโรคหงิก แต่ก็กำลังฟื้นตัวเองออกลูกเหลือง เขียว แดงให้เห็น 

อยากจะเลี้ยงมดแดง เอาไว้ดูเล่น

     เหนือศีรษะมดแดงก็กำลังฉวยโอกาสช่วงใบไม้มีแยะเร่งการทำรัง ท่าทางรังอ้วนๆอย่างนี้ไข่มดแดงคงจะแยะ สมัยเด็กๆผมชอบกินไข่มดแดง แต่ไม่มีเทคโนโลยีที่จะสอยไข่มดแดง จึงได้แต่มองและร้องเพลงของพิทยา บุญยรัตพันธ์ุ นักร้องขวัญใจวัยรุ่นสมัยโน้นอย่างผม เรื่องมีอยู่ว่าเธอบอกให้ครูช่วยแต่งเพลงให้เธอร้องเพื่อบอกใบ้แก่เสี่ยใหญ่คนหนึ่งที่มานั่งเฝ้าฟังเธอร้องเพลงที่สีดาไนท์คลับ ราชดำเนิน ทุกคืน เพื่อเป็นนัยให้ทราบว่าไปเสียเถอะท่านเจ้าขา อย่ามาหวังลมๆแล้งๆอะไรกับหนูเลย เนื้อเพลงของเธอมีว่า

     "..โถ.มดแดง

อุตส่าห์แอบแฝง พวงมะม่วง.

ชะเง้อชะแง่ แลแต่ผล ทั้งพวง

ไม่เคยล่วงรู้ รสโอชา..

อะรูมิไร้ โตเร็วกว่ามะละกอเท่าตัว

โถ.มดแดง

อดแห้งอดแล้ง ยังคอยท่า

เพียงคิดเพียงหวัง

ดั่งเจ้าของ สมญา

ปรารถนาเพียงหวังชม.."

      ผมไม่รู้ว่าฟังแล้วเสี่ยใหญ่จะเก็ทหรือเปล่า เพราะเธอไม่ได้เล่าตอนจบ เอาเถอะ กลับมาชมป่าอาหารกันต่อดีกว่า มะเขือม่วงก็ออกลูกแยะ มะเขือเปราะยิ่งออกลูกยั้วเยี้ยต้องทิ้งให้เกลื่อนโคนต้น ส่วนมะเขือพวงนั้นรีดตัวขึ้นไปออกลูกเหนือศีรษะระดับเดียวกับปลีกล้วย เท่ไปอีกแบบ กระเจี๊ยบเขียวต้นก็สูงใหญ่มากต้องแหงนคอตั้งบ่าจึงจะเห็นลูก หม่อนก็โตรวดเร็วทำท่าจะสูงเกินมือเอื้อม ผมจึงจับเอาเชือกผูกกิ่งโน้มลงหาดินและรูดใบเพื่อให้มันออกลูกดกขึ้น

     แล้วก็มีต้นหนึ่งชื่ออะรูมิไร้ อะไรมิรู้ ผมถ่ายรูปมาด้วย ผมเองซื้อมาปลูกแต่ลืมชื่อเขาไปเสียแล้ว รู้แต่ว่ากินได้ มันโตเร็วกว่ามะละกอที่มาพร้อมกันหนึ่งเท่าตัว จึงถ่ายรูปให้หมอสมวงศ์เอาไปถามในอินเตอร์เน็ทได้คำตอบว่ามันคือต้นมันปู ขอบพระคุณผู้กรุณาให้คำตอบ รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว ต่อไปจะลองเอามาจิ้มน้ำพริกกิน

กระท่อมที่ใช้การไม่ได้แต่ลุคยังดี ซ้ายมือคือหางนกยูงไทยสีเหลืองและแดง
     

สวนจะอยู่ระหว่างบึงน้ำ นาข้าว และกระท่อม

     มาเข้าเรื่องโปรเจ็คใหม่ "สวนดอกไม้หน้ากระท่อม" กันเลย ความเป็นมาก็คือหมอสมวงศ์มีความคิดจะเปิดบ้านบนเขาช่วงหน้าหนาวปลายๆปีนี้สักหนึ่งครั้งเพื่อให้แฟนบล็อกหมอสันต์ได้มาดูวิว ดื่มกาแฟ ทานของว่างในวันหยุดทำนองเป็นการแบ่งความสุขให้กันและกัน ผมเห็นได้ทีก็เลยร่างโปรเจ็คสวนดอกไม้หน้ากระท่อมเสนอให้พิจารณา โดยอ้างว่าคนมาบ้านทั้งทีจะมีแต่วิวให้ดูก็กระไรอยู่นะ น่าจะมีสวนดอกไม้ให้เดินเล่นเพลิดเพลินหน่อย อีกประการหนึ่งกระท่อมไม้หลังนี้แม้จะโกโรโกโสใช้การไม่ได้แล้วแต่ลุคของมันยังโออยู่นะ แล้วก่อนหน้านี้นานหลายปีมาแล้วก็เคยมีน้องคนหนึ่งมาช่วยปลูกดอกไม้ที่หน้ากระท่อมนี้ไว้ให้บ้างแล้ว แม้ว่าปัจจุบันมันจะถูกทิ้งร้างไปหลายปีแต่บางต้นก็ยังเหลือให้เห็นทรากอยู่ หากออกแบบสวนดอกไม้นี้ให้เป็นกิจจลักษณะก็อาจจะได้สวนที่น่ารักไม่แพ้ที่ไหนในเมืองไทยก็ได้ โดยผมวางแผนว่าสวนจะอยู่ระหว่างบึงน้ำกับนาข้าว และกระท่อม เนื้อที่ทั้งหมดประมาณหนึ่งงาน วันนี้จะพาสำรวจก่อนนะ ว่ามีดอกไม้อะไรอยู่แล้วบ้าง

พยับหมอก อยู่หน้าดอกตะล่อม

   อย่างน้อยก็มีพยับหมอกสีครามเหลือทรากอยู่ตรงหน้าบานไม่รู้โรยหรือดอกตะล่อมสีม่วงแดงซึ่งหัวแข็งยิ่งกว่าแมวเก้าชีวิต ห่างออกไปมีดาวกระจายขึ้นเองประปราย พูดถึงดาวกระจาย ถ้าไม่มีดอกไม้ฝรั่งมาแข่ง ให้มันอยู่ของมันเองโดดๆโดยมีแบคกราวด์สีทึบเสียหน่อย มันก็สวยนะ ไม่เชื่อดูรูปที่ผมถ่ายมา

ดาวกระจาย ถ้าไม่มีคู่แข่ง จึงจะสวย

     
พวงชมพู กับอะไรไม่รู้สีฟ้าๆ
พวงครามที่เหลืออยู่



















แฮปปิเนส
หน้าฝนอย่างนี้ดอกไม้อื่นๆที่รอดชีวิตมาได้ก็มีแต่ดอกไม้ไทยพันธ์ทนทายาด เช่นยี่โถ พวงชมพู พวงคราม แฮปปิเนส เป็นต้น ส่วนดอกไม้ฝรั่งนั้นล่องจุ๊นไปหมดแล้วต้องรอไปปลูกใหม่ปลายปี 

     แผนของผมในการทำโครงการนี้คือจะสร้างสวนดอกไม้แบบสวนมั่ว (cottage garden) เล็กๆขึ้นมาใหม่ ให้มีทางเดินชมสวนจากบึงน้ำ เลียบนาข้าว เลี้ยวไปเลี้ยวมาผ่านดอกไม้เมืองหนาวบ้าง เมืองร้อนบ้าง ไปจนถึงชานกระท่อม ซึ่งผู้มาเยือนสามารถนั่งดูวิวจากชานกระท่อม มองข้ามสวนดอกไม้ นาเข้า บึงน้ำ ไปยังภูเขาที่อยู่ไกลออกไปได้ ระยะเวลาที่ใช้ทำโครงการทั้งหมดก็สามเดือนคือให้ทันเปิดบ้านรับแขกตอนปลายปีนี้  แรงงานก็สองแรง คือผมกับลุงดอน ผมนั้นมีข้อจำกัดที่มีเวลาทำสวนแค่สัปดาห์ละครั้งอย่างมาก ส่วนลุงดอนนั้นมีข้อจำกัดที่ต้องรอเจ้านาย สรุปว่าจะทำสวนเสร็จทันหรือไม่ยังไม่ทราบ งบประมาณรวมก็ตั้งจากรายรับที่จะขายกาแฟและคุ้กกี้ได้ในวันสองวันที่เปิดบ้าน เพราะฉะนั้นหากท่านมาชมสวน อย่าคาดหมายว่าสวนจะสวยล้ำหน้าราคากาแฟที่หมอสมวงศ์ตั้งไว้นะครับ เพราะงบทำสวนมาจากตรงนั้น หิ หิ 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 



[อ่านต่อ...]

คุณไม่ได้ป่วยเป็นโรคไต IgA แค่เป็นโรคใจเสาะ

คุณหมอคะ
รบกวนถามว่า ถ้ามีอาการซีด ปวดหลังขวาและท้องน้อยขวา ปวดน้อย แต่ปวดมาประมาณ 1 เดือนได้ค่ะ
หมอไตสันนิษฐานว่าอาจเป็นนิ่ว แต่ฉี่ปกติ ไม่มีเลือด แต่มีฟองเล็กน้อย(เนื่องจากมีโปรตีนกับเม็ดเลือดแดงรั่วเล็กน้อย) หมอสั่งตรวจ CT scan whole abdomen (non contrast) เนื่องจากเป็นไตระยะ 1 (สันนิษฐานว่าไต Iga) แต่หมอให้เจาะหาค่า creatinine เผื่อไว้ว่าหมอรังสีจะสั่ง contrast ในวันที่ตรวจ
อยากสอบถามคุณหมอว่า
- ถ้าวันที่ทำ CT scan ต้องถูกฉีดสีจริงๆจะอันตรายต่อไตหนูมากมั้ยคะ (ตอนนี้ค่า creatinine ปกติค่ะ คือ 0.73 mg/dl)
- ถ้า CT scan แล้วผลออกมาปกติ ลำพังแค่โรคไต Iga (ยังไม่ได้กินยา) จะสามารถไปเรียนต่อต่างประเทศประมาณ 1-2 ปีได้มั้ยคะ
- ขอวิธีดูแลรักษาไตและใจด้วยค่ะ ตอนนี้รู้สึกจิตใจไม่เข้มแข็ง ทำให้รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอไปด้วย การที่จิตตกกับโรคภัยและร่างกายที่เสื่อมลง ทำให้หนูเปลี่ยนไปเลยค่ะ จากเดิมจะเป็นคนที่มีความอยากก้าวหน้าตลอดเวลา ตอนนี้รู้สึกไม่อยากได้อะไรเลย แค่อยากมีสุขภาพที่ดี ไม่รู้สึกอยากก้าวหน้าในเรื่องอะไร เรื่องเรียนต่อตอนแรกก็กลัว ทิ้งเรื่องเรียนไปเลยค่ะ  ตอนนี้ก็ยังกลัว-ทั้งโควิดและโรคประจำตัว (ซึ่งมันแปลกจากตัวตนเดิมที่ถูกปลูกฝังมาให้ขวนขวายมากค่ะ)
- แต่ถึงแม้จะจิตตก หนูก็หันมาดูแลตัวเองมากขึ้นค่ะ ออกกำลังกาย(วิ่ง+เดิน)ครั้งละ 40 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง จากเดิมไม่ออกกำลังเลย และเน้นอาหารผัก ลดเนื้อ ลดปรุง
อ่านบทความเก่าๆของคุณหมอแล้วก็รู้สึกดีขึ้นค่ะ พยายามไม่คาดหวังและไม่กลัว พยายามมีความสุขกับปัจจุบัน ตอนนี้เหมือนคนอายุ 32 ที่ใช้ชีวิตและคิดแบบคนวัยเกษียณเลยค่ะ
ปล.คอร์สของคุณหมอ คอร์สโรคเรื้อรัง หรือคอร์ส GHBY ที่เหมาะกับหนูคะ
ขอบคุณค่ะ

.......................................................................

ตอบครับ

     ก่อนจะตอบคำถามของคุณ ขอพูดถึงโรคไตอักเสบจากภูมิคุ้มกัน IgA ทำลายตนเอง (IgA Nephropathy) นิดหนึ่งให้คนทั่วไปรู้ ว่ามันเป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ อยู่ดีๆก็มีภูมิคุ้มกันชนิด IgA เข้าไปทำลายเนื้อไตจนเกิดการอักเสบและไตเสียการทำงาน คือเป็นภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง เมื่อเป็นแล้วมักมีอาการมีเลือดออกและโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ บางคนก็มีอาการกระเพาะลำไส้อักเสบร่วมด้วย ส่วนใหญ่มันเป็นโรคระดับเบาๆ มีโอกาสเพียง 15% เท่านั้นเองที่จะลามไปเป็นโรคไตเรื้อรังใน 10 ปีข้างหน้า โรคนี้ประมาณ 60-80% มันหายเอง 

     1. ถามว่าการทำ CT ดีไหม ตอบว่ากรณีของคุณซึ่งมีอาการปวดท้องที่หมอพยายามหาสาเหตุแล้วหาไม่พบ การทำ CT เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการค้นหาสาเหตุ ก็เป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยโรคที่ดีนะครับ 

     2. ถามว่าถ้าทำ CT จริงๆแล้วหมอเกิดขอฉีดสีขึ้นมา จะอันตรายไหม ตอบว่าสำหรับคุณมีอันตรายน้อยมากครับ เพราะปริมาณสี (contrast media) ที่ฉีดไม่ได้มากเหมือนกรณีสวนหัวใจ แล้วอายุของคุณก็ยังน้อย ไตของคุณก็ยังทำงานปกติดี ส่วนที่หมอบอกว่าคุณอาจจะเป็นโรคไตชนิด IgA นั้นตอนนี้ย้งไม่มีหลักฐานว่าคุณเป็นโรคนั้นจริงๆเลยนะ การมีเม็ดเลือดแดงและโปรตีนออกมาในปัสสาวะเล็กน้อยไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นโรคไตชนิด IgA มันหมายความว่าอะไรก็ได้ไปจนถึงไม่ได้เป็นโรคอะไรเลย การวินิจฉัยยืนยันว่าเป็นโรคไตชนิด IgA จริงต้องตัดชิ้นเนื้อไตออกมาดู ซึ่งหมอจะทำอย่างนั้นก็ต่อเมื่อโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะมากกว่าวันละ 1.5-3.5 กรัมขึ้นไปและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไม่หยุด จึงจะตัดชิ้นเนื้อด้วยเหตุผลว่า ณ จุดนั้นหากเป็นโรค IgA จริงการใช้ยาสะเตียรอยด์จะชลอโรคลงได้ 

     3. ถามว่าขอวิธีรักษาไตหน่อย ตอบว่าคุณยังไม่ได้เป็นโรคไตซักกะโรคเลยจะไปรักษาไตทำไมละครับ แต่ถ้าใจคุณกลัวโรคไต IgA มากจนอยากทำอะไรสักอย่างให้ตัวเองสบายใจ ผมแนะนำว่าให้คุณกินอาหารมังสวิรัติและกินวิตามินดี.ชนิดแอคทีฟ (calcitriol หรือ D3)เป็นอาหารเสริมจากอาหารปกติ แล้วก็อย่าบ้าโปรตีน หมายความว่าอย่ากินอาหารโปรตีนมากเกินพอดี เหตุผลที่แนะนำทั้งสามเรื่องนี้เพราะงานวิจัยหนึ่งบอกว่าการจำกัดอาหารโปรตีนชลอโรคไตเสื่อมจาก IgA ลงได้ อีกงานวิจัยหนึ่งบอกว่ากินอาหารมังสวิรัติทำให้โรคไตเรื้อรังทุกชนิดตายน้อยกว่ากินอาหารเนื้อสัตว์ห้าเท่า อีกงานวิจัยหนึ่งบอกว่ากินวิตามินดี3 ทำให้โรคไตเรื้อรังชนิด IgA ดีขึ้น อีกหลายงานวิจัยสรุปได้ว่าคนไทยประมาณหนึ่งในสามมีวิตามินดี.ในร่างกายต่ำกว่าระดับพอเพียง ทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานพอจะบ่งชี้ได้ว่าคนที่กังวลว่าตัวเองอาจเป็นโรค IgA อย่างคุณหากกินอาหารมังสวิรัติและกินวิตามินดี3 และระวังไม่กินโปรตีนมากเกินจำเป็น น่าจะดีกว่าอยู่เปล่าๆ 

     4. ถามว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอกได้ไหม ตอบว่าคนมีโปรตีนและเม็ดเลือดแดงรั่วออกมาในปัสสาวะเล็กน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีชีวิตใช้ชีวิตเช่นคนปกติได้ทุกอย่าง รวมทั้งไปเรียนต่อเมืองนอกก็ได้ แต่การระบาดของโรคโควิด19 ต่างหากที่อาจจะทำให้คุณไปเรียนต่อเมืองนอกไม่ได้อีกนาน

      5. ถามว่าขอวิธีรักษาใจหน่อย ตอบว่าถ้าคุณหมายถึงใจเสาะ วิธีรักษาก็คือการวางความคิด เพราะใจเสาะก็คือกลัว กลัวก็คือความคิดชนิดที่วาดสิ่งไม่ดีที่เราเคยประสบมาแล้วในอดีตไปไว้รอเราที่ในอนาคตซึ่งอนาคตนั้นไม่มีอยู่จริง ดังนั้นแค่วางความคิดเสีย ทุกอย่างก็จบ ถ้าวางความคิดไม่เป็นก็ให้ฝึกวางความคิด อ่านวิธีทำย้อนหลังในบล็อกนี้ก็ได้ ผมเขียนแนะนำเรื่องนี้ไว้บ่อยมาก

     5. ถามว่าจะมาเข้าคอร์ส RDBY หรือ GHBY ดี ตอบว่ากรณีของคุณ หากอยากมาที่เวลเนสวีแคร์ ให้มาเข้าคอร์ส SR (Spiritual Retreat) ดีที่สุดครับ เพราะคุณยังไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรเลย แค่เป็นโรคใจเสาะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Chen X, Wei G, Jalili T, Metos J, Giri A, Cho ME, Boucher R, Greene T, Beddhu S.
The Associations of Plant Protein Intake With All-Cause Mortality in CKD.  Am J Kidney Dis. 2016 Mar;67(3):423-30. doi: 10.1053/j.ajkd.2015.10.018.
2. Liu LJ, Lv JC, Shi SF, et al. Oral calcitriol for reduction of proteinuria in patients with IgA nephropathy: a randomized controlled trial. Am J Kidney Dis. 2012 Jan. 59(1):67-74.
3. Klahr S, Levey AS, Beck GJ, et al. The effects of dietary protein restriction and blood-pressure control on the progression of chronic renal disease. Modification of Diet in Renal Disease Study Group. N Engl J Med. 1994 Mar 31. 330(13):877-84.
4. Levey AS, Adler S, Caggiula AW, et al. Effects of dietary protein restriction on the progression of advanced renal disease in the Modification of Diet in Renal Disease Study. Am J Kidney Dis. 1996 May. 27(5):652-63.
5. Chaiyodsilp S, Pureekul T, Srisuk Y, Euathanikkanon C. A Cross section Study of Vitamin D level in Thai Office Workers. The Bangkok Medical Journal. 2015;9:8-11
[อ่านต่อ...]

22 สิงหาคม 2563

ชีวิตนี้แค่รู้ว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้ไปถึงว่าคุณเป็นอะไร

อาจารย์คะ

หนู... SR... นะคะ หลังจากกลับจาก SR แล้วหนูเกาะติดและจริงจังตามแนวทางที่อาจารย์สอนทุกวัน คือมุ่งสู่ความหลุดพ้น แต่ยังมีข้อติดขัด คือ

1. มีความไม่มั่นใจว่าอย่างนี้คือความรู้ตัวใช่หรือไม่ นี่เป็นปลายทางที่เราจะมาแล้วใช่หรือไม่ หรือว่าเราหลงมาติดแหง็กอยู่ในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นปลายทาง ขออาจารย์แนะนำทางไปต่อด้วย 

2. ความคิดถึงสิ่งที่เคยชอบมักจะโผล่มาแม้จะตีทะเบียนแล้วก็ยังมาบ่อย จะทำอย่างไร

3. บางครั้งเป็นความติดใจในคอนเซ็พท์เช่นความยุติธรรม ที่อาจารย์เรียกว่าบ้าดี สลัดไม่หลุด ทำอย่างไร

4. อาจารย์ช่วยเล่าประสบการณ์สู่ความหลุดพ้นส่วนตัวของอาจารย์ให้ฟังหน่อยนะคะ

5. ใจจริงอยากไปปลีกวิเวก บวช แต่ยังทิ้งภาระกิจทางโลกไปไม่ได้ ควรใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะอยู่ในวิถีหลุดพ้น

ขอบพระคุณอาจารย์ อยากมาหา มาคุยด้วย แต่อยู่ไกล

...................................................


ตอบครับ

     ผมตอบจดหมายฉบับนี้ให้มีเนื้อหาที่ลึกกว่าธรรมดาเพราะเห็นว่าคุณมาได้ไกลกว่าธรรมดาแล้ว แต่ก็ขอให้คุณอ่านช้าๆหลายๆรอบนะ

     1. ถามว่านี่คือความรู้ตัวของจริงหรือไม่ ตอบว่า สำหรับคุณนะ ผมว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ชีวิตนี้แค่รู้ว่าคุณที่แท้จริงไม่ได้เป็นอะไรก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้ให้ได้เดี๋ยวนี้หรอกว่าคุณที่แท้จริงเป็นอะไร เพราะธรรมชาติของความรู้มันครอบคลุมได้แค่การบรรยายถึงสิ่งที่คุณเคยรู้จัก คุณจึงไม่อาจบรรยายถึงความรู้ตัวซึ่งเป็นสิ่งที่คุณยังไม่เคยรู้จักได้ ดังนั้นอย่าไปรู้มันเลย แค่รู้ว่าคุณไม่ใช่นี่ คุณไม่ใช่นั่น ก็พอแล้ว ผมหมายถึงว่าแค่รู้ว่าคุณไม่ใช่ร่างกายนี้ คุณไม่ใช่ชุดของความคิดที่ประกอบกันขึ้นเป็นสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้ เมื่อมันไม่ใช่ก็วางมันลงไปซะ แค่นี้พอแล้ว อย่าไปพยายามสรุปอะไรที่มากไปกว่านี้ซึ่งคุณยังไม่เคยรู้จักเลย 

     การรู้ว่าเราหรือชีวิตที่แท้จริงไม่ใช่ร่างกายนี้ ไม่ใช่สำนึกว่าเป็นบุคคลคนนี้ นี่เป็นประเด็นสำคัญนะ เพราะปัญหาเกือบทั้งหมดในชีวิตทุกวันนี้มันเกิดสืบเนื่องมาจากร่างกายนี้และความเป็นบุคคลคนนี้ อาหาร เสื้อผ้า บ้าน ครอบครัว เพื่อน ชื่อเสียง ความมั่นคง การอยู่รอด ถ้าชีวิตไม่ใช่ร่างกายนี้ ไม่ใช่บุคคลคนนี้ ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็ไม่มีความสำคัญอะไรต่อชีวิตเลย ดังนั้นอย่าเผลอไปถูกครอบด้วยสิ่งไร้สาระอื่นๆที่ไม่ใช่คุณ ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย ความรู้สึก ความคิด สำนึกว่าเป็นใครหรือเป็นเจ้าของอะไร เพราะสิ่งเหล่านั้นจะพาคุณไปหลงเป็นสิ่งที่คุณไม่ได้เป็นอย่างแท้จริง ให้คุณปล่อยความคิดยึดติดในสิ่งที่ไม่ใช่ของจริงไปเสีย พอคุณทิ้งสิ่งที่ไม่ใช่คุณไปได้แล้ว เดี๋ยวคุณก็จะได้สัมผัสหรือตระหนักรู้เองว่าคุณตัวจริงที่ฉายแสงออกมาเองจากส่วนลึกนั้นมันเป็นอย่างไร เมื่อได้สัมผัส จึงจะได้เรียนรู้ จึงจะเกิดความรู้ ไม่ต้องรีบไปพยายามนิยามหรือตั้งคำถามว่านี่ใช่หรือไม่ใช่เอาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้สัมผัสเรียนรู้

     2. ถามว่ากังวลว่าจะหลงทาง ต้องทำอย่างไร ตอบว่าในการตรวจสอบว่าหลงทางหรือไม่ คุณใช้ดัชนีวัดสองตัวเท่านั้น คือ 

      (1) ถ้าความคิดของคุณน้อยลง หรือความคิดของคุณหมดไป คุณมาถูกทางแน่ ชัวร์ป้าด..ด หากใช้เกณฑ์วินิจฉัยข้อนี้ข้อเดียวคุณก็ตอบได้แล้วว่าคุณกำลังไปผิดทาง เพราะความสงสัยเป็นความคิดตัวเบ้ง คุณไปติดอยู่ในความคิด คุณไปผิดทางแล้ว

      (2) ถ้าความเบิกบานของคุณมากขึ้น คุณมาถูกทางแน่ เพราะความเบิกบานหรือสงบเย็นเกิดได้ในภาวะไม่มีความคิดเท่านั้น 

     3. ถามว่าความคิดถึงสิ่งที่ชอบยังโผล่มาบ่อย แม้จะตีทะเบียนไว้แล้ว ทำไงดี ตอบว่า การจะพ้นทุกข์ผมไม่ได้บอกว่าคุณจะต้องหมดเกลี้ยงจากความคิดหรือความอยากอย่างสิ้นเชิงนะ เปล่าเลย ขอแค่เมื่อใดที่มีความคิดหรือมีความอยากเกิดขึ้นมาแล้วคุณหมดความกระตือรือล้นที่จะสนองความอยากนั้นก็พอแล้ว ความคิดเกิดขึ้นมานั้นโอเค. แต่อย่าไปเต้นแทงโก้ไปกับมัน การที่ใจคุณจะชอบสิ่งที่ชอบ ไม่ชอบสิ่งที่ไม่ชอบ นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะชีวิตเหมือนกระแสน้ำที่ไหลผ่านฝั่งทั้งสองไปไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ การยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่หลงไหลอะไร ไม่กลัวอะไร นั่นคือการดำเนินชีวิต แต่หากใจคุณไปยึดติดอยู่กับสิ่งที่ชอบไม่ยอมปล่อยให้ชีวิตไหลไป นั่นแหละเป็นปัญหา เพราะคุณเผลอลืมไปว่าสิ่งที่ไม่ใช่คุณเป็นคุณ

     อีกประเด็นหนึ่ง คุณเห็นว่าความคิดเจ้าเก่าที่ชอบโผล่มานั้นมันมีความต่อเนื่อง แต่ผมจะบอกคุณว่าความต่อเนื่องไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงนะ แต่ละครั้งของการคิด มีผู้สังเกตประสบการณ์ มีสิ่งที่ถูกสังเกต แล้วดับหายไปพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็คือปรากฎการณ์ที่เราเรียกว่าปัจจุบัน แต่ "ความจำ (memory)" เป็นผู้สร้างภาพหลอนของความต่อเนื่องขึ้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแต่ละประสบการณ์มันจบของมันไปแล้ว ฉันใดก็ฉันเพล คอนเซ็พท์ที่ว่าเหตุหนึ่งนำไปสู่ผลหนึ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะความหลอนเรื่องเวลา ในความเป็นจริงสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นจากการประชุมแห่งสารพัดเหตุ ในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรอกหากทั้งจักรวาลไม่สมยอมทำให้มันเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นแม่ของคุณคลอดคุณออกมาไม่ใช่เป็นเพราะเธอหรือสูติแพทย์นะ เธอจะเบ่งคุณออกมาได้ไหมละถ้าไม่มีโลกไม่มีดวงอาทิตย์ สิ่งที่สมยอมหรือสาระพัดเหตุที่มาประจวบกันให้เกิดเรื่องต่างๆขึ้นได้นั้นเป็นความเป็นไปได้ที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงได้ไม่มีขอบเขตจำกัด ทีละเดี๋ยวนี้ ทีละเดี๋ยวนี้

     4. ถามว่าเป็นคนติดในคอนเซ็พท์เรื่องความยุติธรรม หรือเป็นคนบ้าดี จะทำอย่างไร ตอบว่าเป็นธรรมดาที่คนเราย่อมมองเห็นโลกนี้ผ่านตาข่ายของความคิดและคอนเซ็พท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอยาก อยากได้ อยากหนี และคอนเซ็พท์เช่น ชั่ว ดี ยุติธรรม อยุติธรรม การจะเห็นโลกตามที่มันเป็น คุณต้องมองทะลุตาข่ายของความคิดและคอนเซ็พท์ออกไป ซึ่งมันไม่ยากดอก เพราะตาข่ายมันมีช่องให้มองทะลุได้อยู่แล้ว ผมหมายถึงว่าทุกคอนเซ็พท์ที่เรายึดถือล้วนมีโพรงหรือจุดอ่อนไร้สาระที่เราเห็นได้ไม่ยาก อย่างเช่นเรามีกฎหมายที่จะเอาคนทำชั่วไปเข้าคุก แต่ในคุกกลับมีแต่คนจนที่ไม่มีเงินหลบเลี่ยงกฎหมาย เป็นต้น คือการเห็นความไร้สาระและขัดแย้งกันเองของคอนเซ็พท์จะช่วยให้คุณทำลายคอนเซ็พท์เหล่านั้นเสียเอง ขอเพียงแค่หัดมองให้ทะลุตาข่าย

     5. เรื่องประสบการณ์หรือวิธีไปสู่ความหลุดพ้น มันไม่ใช่สิ่งที่ถ่ายทอดผ่านภาษาออกมาแล้วจะเก็ทกันได้เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องเข้าถึงเอง แต่หากจะบังคับให้ผมสรุปเป็นภาษาอย่างสั้นๆก็ได้ เส้นทางก็คือเราต้องถอยความสนใจออกมาจากความคิดให้ได้ก่อน คือวางความคิดไปก่อน เอาความสนใจมาอยู่กับลมหายใจหรืออยู่กับพลังชีวิตในรูปของความรู้สึกบนผิวกายก็ได้ จนความคิดไม่มีช่องให้เจาะเข้ามาได้แล้ว คราวนี้ก็จดจ่อความสนใจอยู่กับอะไรสักอย่าง แน่นอนมันก็เริ่มด้วยการมีผู้สังเกตและมีสิ่งที่ถูกสังเกต แล้วต่อไปทั้งสองอย่างนี้มันจะค่อยๆรวมกันเป็นอันเดียวกัน คือเมื่อดิ่งลงลึกถึงระดับหนึ่งทั้งสิ่งที่ถูกสังเกตกับผู้สังเกตจะเหลืออยู่อย่างเดียวคือเป็นแค่ความตื่นและรู้ตัวอยู่ แล้ว ณ จุดนี้มันก็จะมีพลังงานเกิดขึ้นมาเองโดยเราไม่ต้องไปแทรกแซงไปพยายามทำอะไรเลย พลังงานนี้มันจะชี้นำทางไปแบบเป็นอัตโนมัติ เราไม่ต้องคิดไม่ต้องทำอะไรเลย มันชี้ทางส่องสว่างให้เสร็จว่าควรจะไปอย่างไร ความจริงแล้วมันเป็นธรรมชาติของจักรวาลนี้ว่าทุกอย่างมันเป็นอัตโนมัติ เราไม่ต้องไปพยายามทำอะไร มันเหมือนคุณกินอาหารพอเคี้ยวกลืนลงไปแล้วก็ไม่ต้องไปคิดถึงมันอีก การย่อยอาหารที่เหลือมันเป็นอัตโนมัติ จักรวาลนี้ทำงานของมันเองเป็นอัตโนมัติ คุณไม่จำเป็นต้องคิดอ่านอะไรมากมายดอก ความคิดของเรามีแต่จะไปปรุงแต่งให้มันยุ่งขึ้น

     6. ถามว่าควรใช้ชีวิตอยู่ในทางโลกอย่างไรเพื่อให้หลุดพ้น ตอบว่าผมแนะนำได้สามวิธีนะ คือ 

     วิธีที่ 1. เริ่มลงมือทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนให้แก่ตัวเอง เป็นการทำอะไรให้แก่โลก ให้แก่ชีวิตอื่น ตั้งใจง่วนอยู่กับการกระทำนั้นโดยไม่พะวงถึงผลลัพท์

     วิธีที่ 2. วางความคิดไปให้หมด รวมทั้งความคิดอยากได้ (desire) อยากหนี (fear) ใดๆด้วย หมดความคิดสองอย่างนี้ คุณหลุดพ้นแน่นอน

     วิธีที่ 3. ไม่สนใจว่าในใจจะมีความคิดอะไรขึ้นมาหรือไม่ ไม่ขับไล่ แต่ไม่สนใจ แค่สนใจว่า "ฉันรู้ตัวอยู่"

      ทำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่างนี้ไป เมื่อความคิดยึดถือเกี่ยวพันที่มุ่งปกป้องสำนึกว่าเป็นบุคคลนี้จางลง สิ่งใหม่ๆในชีวิตก็จะค่อยๆเกิดขึ้น แต่ก็อย่าเผลอไปยึดนะ เพราะสิ่งที่จริงแท้มีอยู่อย่างเดียว คือ "ฉันรู้ตัวอยู่"ทั้งสามวิธีนี้จะพาไปสู่ปลายทางเดียวกันคือใจที่สงบเย็นลง แล้วสิ่งต่างๆก็จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติของมันเองโดยคุณไม่ต้องแทรกแซงอะไร ใช้ชีวิตไปตามอะไรที่เข้ามาหา ตื่น ระวังระไว ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นของมันอย่างเป็นธรรมชาติ โศกเศร้า ร่าเริง ตามแต่ชีวิตจะนำเข้ามา โดยระลึกเสมอว่าความสุขแท้จริงมีอยู่แต่ในความรู้ตัวเท่านั้น ยืนห่างออกมานิดหนึ่ง เฝ้าดูชีวิตดำเนินไป นี่แหละ คือการปฏิบัติตนสู่ความหลุดพ้นขณะที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในโลก

     7. ที่ว่าอยากมาหามาคุยนั้นไม่ต้องเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคุย การพูด มันเป็นสิ่งที่สวนทางกับการหลุดพ้น ในการเดินบนเส้นทางนี้ คุณควรพยายามอย่าพูดอะไร เพราะคำพูดเป็นการสนองความคิด ความคิดก็คือความอยาก การที่เราพูดมาก หรือการที่เราขี้บ่น แปลว่าความคิดหรือความอยากนั้นมันยังมีแรงอยู่มาก  การที่คุณไม่อยากพูด เป็นสัญญาณว่าคุณเริ่มหมดความกระตือรือล้นที่จะสนองความอยากแล้ว ดังนั้น เมื่อมีเรื่องที่จำเป็นต้องพูดอะไรกับใครคุณหัดหั่นคำพูดให้น้อยลงให้เหลือครึ่งเดียวแต่ให้ได้ใจความเท่าเดิม แล้วอะไรที่ไม่จำเป็นต้องพูด ก็ไม่ต้องพูด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 

[อ่านต่อ...]

21 สิงหาคม 2563

(เรื่องไร้สาระ - 9) ฉุกเฉินแบบบ้านนอก

     หลายวันก่อนผมเดินในช็อปปิ้งมอลล์ในกรุงเทพ มีหญิงชราท่านหนึ่งเข้ามาหามาทักว่า

     "นี่คือคุณหมอสันต์ใช่ไหม"

      เมื่อผมพยักหน้าเธอก็แนะนำตัวเธอว่าเป็นใครทำให้ผมถึงบางอ้อทันที เธอเป็นเจ้าของคลินิกที่เมืองสระบุรีซึ่งในอดีตผมเคยไปเป็นลูกจ้างของเธออยู่พักหนึ่ง เธอพร่ำถึงอดีตแล้วพูดว่าเธอจำได้แม่นที่ผมเอาเครื่องมือช่างไม้มาตัดแหวนให้คนไข้กลางดึก วันนี้ผมจะขอเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

     เรื่องมีอยู่ว่าย้อนหลังไปประมาณพ.ศ. 2528 ผมไปเป็นหมอผ่าตัดอยู่ที่โรงพยาบาลสระบุรี เพิ่งจบบอร์ดเฉพาะทางมาใหม่ๆ ผมจบมาทางศัลยกรรม จริงๆแล้วจบมาทางศัลยกรรมทรวงอกแต่ได้รับมอบหมายให้ผ่าตัดทุกอวัยวะจากศีรษะถึงปลายเท้า ส่วนหมอสมวงศ์จบทางกุมารเวช สองคนกินเงินเดือนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนละ 5,000 บาท หมอสมวงศ์กำลังตั้งท้องหมอพออยู่ ทุกวันตอนเย็นเลิกงานผมจึงไปรับจ้างนั่งชั่วโมงที่คลินิกเอกชนในตลาดเพื่อหารายได้เสริม จะเปิดคลินิกของตัวเองก็กลัวไม่ทันถอนทุน เพราะตอนนั้นได้งานที่เมืองนอกแล้ว อีกปีเดียวก็จะต้องย้ายถิ่นฐานอีก

      การรับจ้างนั่งชั่วโมงที่คลินิกบ้านนอกช่างเหงาซะ วันๆมีคนไข้น้อยมากเพราะคลินิกโนเนม หมอก็โนเนม โอกาสจะได้เห็นคนไข้แปลกๆท้าทายแทบไม่มี แต่วันหนึ่งก็มีคนไข้หญิงสาวมาหาด้วยเรื่องว่าเธอเอาแหวนใหม่มาใส่แล้วแหวนนั้นรัดนิ้วจนบวมเป่ง ทำอย่างไรก็ถอดแหวนไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้น้ำสบู่ก็แล้ว ยิ่งถอดยิ่งติดจนนิ้วบวม เธอจึงไปโรงพยาบาล หมอที่ห้องฉุกเฉินบอกว่านิ้วบวมมากต้องตัดแหวน แต่เครื่องมือแพทย์ไม่สามารถตัดแหวนแบบนี้ได้ จึงแนะนำให้เธอไปอู่ซ่อมรถซึ่งน่าจะมีเครื่องมือตัดเหล็ก เธอก็ไปอยู่ซ่อมรถ ช่างที่อู่รถดูแล้วก็ไม่กล้าตัดเพราะกลัวเครื่องไปตัดเอานิ้วของเธอขาด เธอตระเวณไปหลายอู่ก็ได้คำตอบเดียวกัน จนเวลาผ่านไปเกือบสามทุ่ม คลินิกที่ผมไปรับจ้างนั้นเป็นคลินิกที่ปิดช้าที่สุดในเมือง คือปิดสามทุ่ม เธอเห็นไฟเปิดอยู่จึงแวะมาที่คลินิกนี้

     ผมฟังเรื่องราวและดูนิ้วของเธอที่บวมเป็นสีม่วงคล้ำและตัวแหวนนั้นจมลึกอยู่ในผิวหนังซึ่งตอนนี้บวมเป่งขึ้นมาบังตัวแหวนจนมองเกือบไม่เห็นแหวน มองดูก็รู้ได้ทันทีว่านิ้วกำลังขาดเลือด ทิ้งไปอีกไม่กี่ชั่วโมงก็อาจจะต้องเกิดเนื้อตายและต้องตัดนิ้วทิ้ง การรักษาคือต้องรีบตัดแหวน และการตัดแหวนอย่างไรเลือดก็ต้องกระฉูดแน่เพราะแหวนจมลึกลงไปใต้ผิวหนัง จึงหยิบจดหมายมาเขียนจะส่งตัวเธอไปที่โรงพยาบาล พอรู้ว่าผมจะส่งเธอไปโรงพยาบาลเธอก็ร้องไห้โฮสะอื้นฮักๆๆ และว่าเธอไปมาแล้ว หมอที่โรงพยาบาลบอกว่าต้องใช้เครื่องมือของอู่รถ แล้วก็เล่าเรื่องที่เธอตระเวณไปทั่วเมืองเพื่อหาอู่ให้ตัดแหวนให้แต่ก็ไม่มีใครกล้าตัด

     ผมจึงบอกว่านี่มันเป็นเวลาที่คลินิกปิดแล้ว คุณรอได้ไหมละ ผมจะกลับไปบ้าน เอาเครื่องมือของผมมาลองตัดให้ เธอพยักหน้า ผมจึงขับรถกลับไปที่บ้านพักแพทย์ เพื่อไปหยิบเลื่อยฉลุแบบจิ๊กลิซอว์ไฟฟ้าซึ่งผมซื้อมาทำงานเฟอร์นิเจอร์เล็กๆน้อยๆเล่นยามว่าง เลื่อยนี้เมื่อเปิดสวิสต์มันจะขยับขึ้นลงไปมาด้วยความเร็วตามต้องการและสามารถใช้ทั้งฉลุไม้และตัดเหล็กที่ขนาดเล็กๆได้

แล้วผมก็ลงมือตัดแหวนโดยไม่ได้ฉีดยาชาเพราะกลัวนิ้วจะยิ่งขาดเลือดมากขึ้นไปอีก แต่คนไข้ไม่รู้สึกปวดเพราะนิ้วเธอขาดเลือดอยู่นานจนชาไปหมดแล้ว เมื่อใช้เลื่อยตัดเหล็กตัดฝ่าเนื้อเข้าไปหาตัวแหวนเลือดก็กระฉุดตามคาด แต่ในที่สุดผมก็ตัดแหวนออกได้สำเร็จ เด็กสาวดีใจยิ้มทั้งน้ำตาและพร่ำพูดกับแม่เธอว่า

     "หนูไม่ต้องโดนตัดนิ้วแล้ว"

     โดยที่คุณยายเจ้าของร้านท่านนี้ก็ลุ้นอยู่ข้างๆตั้งแต่ต้นจนจบ

     ที่เล่าให้ฟังนี่ไม่มีประเด็นอะไรหรอก แค่คิดขึ้นได้จึงเล่าให้ฟัง แต่ไหนไหนก็เล่าแล้วก็ขอคุยทับนิดหนึ่งนะ ว่าพระราชบิดาซึ่งถือว่าเป็นบิดาของวงการแพทย์ไทย ได้ทรงสอนไว้ว่า

     "ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นแค่หมออย่างเดียว แต่ฉันต้องการให้เธอเป็นคนด้วย"

    ถามว่า เออ.. แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ละ 

    ตอบว่า เกี่ยวสิ เพราะถ้าวันนั้นหมอสันต์เป็นแค่หมออย่างเดียวโดยไม่ได้เป็นช่างไม้ด้วย นิ้วมือของเด็กสาวคนนั้นจะรอดเรอะ..หิ หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

การพร่ำสอนเด็กให้เสาะหาความมั่นคงในชีวิตเป็นเรื่องไร้สาระ

คุณหมอสันต์ครับ
ผมเรียนจบ ... จาก ม. ... จบมาได้หนึ่งปีแล้ว ยังหางานทำไม่ได้ครับ พ่อแม่ก็บ่นไล่ให้ผมไปหางานทำแทบจะทุกวัน จนผมทนเบื่ออยู่บ้านไม่ได้แต่ก็ไม่มีที่จะไปไหน ยิ่งโควิดมาคนยิ่งตกงานเพิ่ม โอกาสที่ผมจะได้งานทำก็ยิ่งน้อยลง ผมอยากถามคุณหมอสันต์ว่าถ้าชีวิตนี้ผมหางานทำไม่ได้เลย ผมจะต้องทำอย่างไรครับ

......................................

ตอบครับ

     ก่อนตอบคำถามของคุณ ผมขอรำพึงรำพันประสาตาแก่ขี้บ่นก่อนนะ ระบบการศึกษาของเราสอนเด็กให้ทำตัวว่านอนสอนง่ายเพื่อจะได้เป็นลูกจ้างองค์กรที่มั่นคง มีการจ้างงานตลอดชีพ มีบำนาญกินจนตาย โถ ความคิดอย่างนั้นมันโบราณ..ซะ จะไปว่าครูก็ไม่ได้ เพราะครูก็ต้องสอนจากประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง ซึ่งสมัยของครูมันเป็นความจริงที่ว่าตัวครูเองก็เสาะหาการจ้างงานตลอดชีพและมีบำนาญกินจนตาย แต่การสอนเด็กอย่างนั้นไม่ใช่วิธีเตรียมเด็กให้มามีชีวิตในวันนี้ ในวันที่ชีวิตไม่มีความมั่นคงใดๆเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว ไม่มีดอก องค์กรที่จะจ้างงานและให้กินบำนาญอย่างสุขสบายจนตาย แม้แต่รัฐเองวันหนึ่งก็จะพิมพ์เงินหรือกู้เงินมาถมๆๆแจกๆๆๆเพื่อแก้ปัญหาคนไม่มีเงินใช้ ซึ่งการทำอย่างนั้นจะป้องกันความระส่ำระสายของสังคมได้ชั่วคราวก็จริง แต่จะทำให้เงินบำนาญที่เคยสัญญาไว้นั้นด้อยค่าลงจนไม่พอซื้ออะไรกินแม้ตัวเลขจำนวนเงินจะได้เท่าเดิม หมายความว่าได้บำนาญก็จริงแต่แท้จริงแล้วมันเป็นแค่บำนาญหลอก วันนี้ความเปลี่ยนแปลงหรือความไม่แน่นอนคือสัจจธรรมของชีวิต การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้มีโอกาสลองผิดลองถูก และปรับตัวอยู่ตลอดเวลาคือวิธีใช้ชีวิตในวันนี้ หมายความว่าเราต้องสอนให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ (creativity) นิยามคำว่า creativity ก็คือความสามารถที่จะแถกเหงือกไปได้แม้ในสถานะการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยในชีวิต แต่ระบบการศึกษาของเราไปทำลายความคิดสร้างสรรค์ที่ติดตัวเด็กมาแต่เกิดเสียเหี้ยนเต้แล้วบ่มให้เด็กกลัวความผิดพลาดจะได้ทำอะไรอยู่แต่ในร่องในรอย จะได้โตไปเป็นคนงานที่ดีของโรงงานอุตสาหกรรม หรือไปเป็นข้าราชการที่ดีของระบบราชการได้ แต่ว่างานเหล่านั้นสมัยนี้มันมีแต่จะงวดลง เพราะหุ่นยนต์กำลังเข้าแทนที่หมด ดังนั้นถ้าลูกของผมเป็นเด็กวันนี้ ผมจะไม่ส่งลูกไปเข้าโรงเรียนหรือมหาลัย เพราะโรงเรียนหรือมหาลัยจะทำลาย creativity ของเขาซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เขาจำเป็นต้องใช้ในการดำเนินชีวิตในยุคนี้ เมื่อมหาลัยเป็นตัวทำลาย creativity ซึ่งเป็นเครื่องมือใช้ชีวิตในยุคนี้ไปเสียแล้ว เด็กที่จบมาจากมหาวิทยาลัยจำนวนมากจึงไม่มีความพร้อมที่จะใช้ชีวิตในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่เขาจบแล้วหางานทำไม่ได้ เขาถูกสอนมาแค่ว่าต้องเรียนให้จบ แล้วจะได้หางานทำ เพื่อให้มีเงินเดือนกิน และมีบำนาญหรือเบี้ยยังชีพตอนแก่ พอหางานไม่ได้ ไม่มีคนจ้าง เขาก็ไปต่อไม่ถูกแล้ว อย่างมากที่เขาทำได้ก็แค่ไปร่วมกลุ่มประท้วง

     แถมการที่เราพร่ำสอนเด็กในโรงเรียนว่าความผิดพลาดเป็นสิ่งเลวร้าย ห้ามทำอะไรผิด ถ้าทำอะไรผิดพลาดจะถูกลงโทษ ผมถามหน่อยสิว่า 

     "ถ้าเด็กว่านอนสอนง่ายไม่ยอมทำอะไรผิดพลาด เด็กจะเรียนรู้ชีวิตจากอะไร" 

     เพราะชีวิตจริงเราเรียนรู้จากการสำรวจค้นหาและลองผิดลองถูก แต่ที่โรงเรียนเด็กไม่ได้เรียนอะไรเลยนอกจากสิ่งที่จดจำมาจากขี้ปากของครู ซึ่งมันล้าสมัยไปเกือบจะทันที่เด็กเรียนจบ ส่วนสิ่งที่เด็กจำเป็นต้องใช้เราไม่เคยสอน ที่เราสอนเป็นสิ่งที่เด็กไม่ได้ใช้ อย่างนี้ไม่มาโรงเรียนไม่มามหาลัยเสียเลยยังจะดีกว่า อย่างเช่นเราสอนให้เด็กเป็นหนี้ ด้วยการให้กู้ยืมเงินเรียน พ่อแม่ก็ช่วยสอนให้เด็กเป็นหนี้อีกทางโดยให้มีบัตรเครดิตใช้ โดยที่เด็กไม่ได้เรียนรู้หลักการเงินการบัญชีพื้นฐาน เรื่องดุลระหว่างสินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ เรื่องวิธีบันทึกค่าใช้จ่าย การประเมินกำไร ขาดทุน เรื่องวิธีทำบัญชีเงินสด วิธีทำบัญชีเกณฑ์สิทธิ์ (accrued accounting) เรื่องวิธีหากินของธนาคาร ไม่รู้เรื่องเลย เด็กเลยคิดเอาตามผู้ใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องการเงินการบัญชีเหมือนกันว่าการเป็นหนี้มันเป็นของดี เป็นวิถีชีวิตปกตินะ เขาให้สิทธิ์กู้ก็ต้องรีบใช้สิทธิ์ ไม่มีใช้คืนเขาก็ชักดาบเอา หลวงไม่เจ๊งหรอก เด็กจึงถูกมัดมือชกให้เป็นหนี้ท่วมหัวเสียตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ จบแล้วก็ไม่รู้จะไปต่อกับชีวิตนี้ยังไง

     หึ หึ บ่นไปงั้นแหละ ประสาตาแก่ขี้บ่น ไม่มีอะไรสร้างสรรค์หรอก มาตอบคำถามของคุณดีกว่า

     ถามว่าถ้าไม่มีงานทำ ชีวิตจะไปต่อยังไง ตอบว่าคุณค่าของชีวิตคือการเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นคนละเรื่องกับการไปโรงเรียนหรือมหาลัยนะ ชีวิตเราเกิดมาทำไม ไม่ใช่เกิดมาเพื่อหางานทำให้ได้ เพื่อมีเงินเดือนมีบำนาญกินนะ ไม่ใช่แน่นอน ชีวิตแบบนั้นมันเป็นการเตรียมคนไปเป็นทาสเพื่อมีชีวิตอยู่อย่างซื่อบี้อและตายไปอย่างซื่อบื้อ หากคุณอยากรู้จักชีวิตจริงให้คุณดูเอาจากนก กา หมา แมว ดีกว่า มันไม่มีเงินเดือน ไม่มีบำนาญ แต่มันก็เกิดมามีชีวิต ใช้ชีวิต สิ่งที่คนทำได้ไม่ว่าจะเป็น การกิน การนอน การขับถ่าย การสืบพันธ์ นก กา หมา แมว ก็ทำได้หมด เผลอๆทำได้ดีกว่าคนเสียอีก คือมันทำได้แบบสบายๆไม่เครียด แต่คนกว่าจะทำได้แค่นั้นเครียดแทบตาย 

     ก่อนอื่นคุณอย่าไปกังวลกับคำพูดของผู้ใหญ่ที่กรอกหูคุณว่าไม่มีงานทำแล้วแกจะเอาอะไรกิน ถ้าคุณไม่มีอะไรกินจริงๆ ให้คุณแวะไปที่วัดข้างบ้าน ขออาหารพระกินได้ ขอหลับนอนในศาลาได้ ผมเป็นเด็กวัดมาก่อนผมการันตีกับคุณได้ว่าวัดให้สิ่งนี้กับคุณได้แน่นอน คือจริงๆแล้วผมหมายถึงว่าให้คุณทิ้งความคิดเรื่องความมั่นคงของชีวิตไปจากหัวให้ได้เสียก่อน เพื่อที่ใจคุณจะได้ว่างมาอยู่กับเดี๋ยวนี้ แล้วคุณจะได้ตั้งต้นเริ่มใช้ชีวิตให้สมกับที่ได้เกิดมาเสียที

    ชีวิตเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตให้เต็มศักยภาพที่เรามี การใช้ชีวิตใช้กันที่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ที่ในอดีตหรืออนาคต เราจะรู้ว่าเรามีศักยภาพอะไรแค่ไหนก็ต่อเมื่อเราได้สำรวจเรียนรู้ลองผิดลองถูก คุณค่าที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ที่การที่คุณจะได้เรียนรู้ลองผิดลองถูกเพื่อให้คุณรู้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวคุณ ดังนั้นผมแนะนำคุณว่าให้คุณทิ้งปริญญาไปเสีย แล้วเริ่มทำงานเพื่อการได้เรียนรู้ได้เลยไม่ต้องรอให้มีนายจ้าง คุณก็ทำงานได้ เริ่มที่งานบ้านของคุณนั่นแหละ ลองช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำทุกอย่างในบ้านตั้งแต่ซักผ้า รีดผ้า หุงข้าว ทำอาหาร ถูบ้าน แยกขยะ ฝังขยะ เอาขยะไปทิ้งถังเทศบาล ซ่อมก๊อกน้ำ ตัดหญ้า รดน้ำต้นไม้ ปลูกต้นไม้ ซ่อมฝาบ้าน ล้างรถ เปลี่ยนหลอดไฟ ซ่อมรถเล็กๆน้อยที่พอซ่อมได้ ทำทุกอย่างด้วยความใส่ใจจริงจัง คุณจะได้เรียนรู้มหาศาลจากการลงมือทำสิ่งเหล่านั้น ซึ่งโรงเรียนไม่เคยให้โอกาสคุณ คราวนี้คุณมีโอกาสที่จะเรียนรู้ของจริงแล้ว จะรออะไรอยู่ละ เอาเลย เมื่อเจนจบงานในบ้านตัวเองแล้วถ้าเวลายังเหลือก็ลามออกไปทำนอกถนนหน้าบ้านด้วยก็ได้ ทำงานอาสาในหมู่บ้านก็ได้ ข้างบ้านเขามีอะไรที่ท้าทายต่อการเรียนรู้ก็ไปขอช่วยเขาทำ สนใจอะไรก็แถเข้าไปทำสิ่งนั้น ทำเพื่อการเรียนรู้ เรียนรู้ไปให้ลึกซึ้ง ใส่ใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ นี่คือชีวิตจริง โลกนี้มันจะเป็นโลกที่มหัศจรรย์หากเรามีชีวิตอยู่เพื่อการเรียนรู้ เลิกสนใจเรื่องเงินเดือนและบำนาญซะ สนใจแต่จะได้โอกาสเรียนรู้และลองผิดลองถูกในชีวิตโดยไม่ต้องรอให้มีใครจ้างให้ทำ 

     นอกจากเรียนรู้เรื่องข้างนอกแล้วคุณยังต้องเรียนรู้เรื่องข้างในด้วย ผมหมายถึงการรู้จักสังเกตความคิดของตัวเอง การฝึกวางความคิด ถอยกลับมาอยู่กับความรู้ตัว เพื่อเปิดรับสิ่งต่างๆที่เข้ามาทีละขณะ ทีละขณะ เริ่มด้วยการฝึกสมาธิ ลืมความคิดกังวลเรื่องอนาคตไปเสีย อยู่กับเดี๋ยวนี้ก็พอ ไม่ต้องไปคิดไกลว่าถ้าหางานทำไม่ได้แล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร เอาแค่อยู่ในเดี๋ยวนี้ให้เป็น ให้ได้เรียนรู้และสัมผัสความมหัศจรรย์ของโลกและชีวิตรอบตัวไปทีละขณะ ทีละขณะ นี่แหละคือชีวิตที่ดี เอาแค่นี้ก่อน ใช้ชีวิตแบบนี้ให้ได้ก่อน ทั้งนี้การให้ความสำคัญระหว่างการเรียนรู้เรื่องข้างนอกกับเรื่องข้างในนี้ ผมให้ความสำคัญเรื่องข้างนอก 20% เรื่องข้างใน 80%  ไม่เว้นแม้คนอายุน้อยอย่างคุณ เพราะแท้จริงแล้วเรื่องราวในชีวิตที่เราเข้าใจว่ามันเกิดที่ข้างนอก แท้จริงแล้วทั้งหมดนั้นมันเกิดที่ข้างในทั้งสิ้น หากเจนจบเรื่องข้างใน คุณก็เจนจบชีวิตทั้งหมดแล้ว

     เมื่อคุณเริ่มเรียนรู้ชีวิตทั้งข้างนอกข้างใน คุณจะเริ่มเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลนี้ โอกาสต่างๆซึ่งล้วนเป็นโอกาสดีๆในชีวิตที่จะนำพาชีวิตคุณให้มีชีวิตที่ดียิ่งๆขึ้นไป มันจะค่อยๆโผล่ขึ้นมาแย่งกันนำเสนอต่อคุณ ดีดีทั้งนั้น จนคุณเลือกไม่หวาดไม่ไหวเอง เชื่อผม มันจะเป็นอย่างนี้แน่นอน ผมรับประกัน 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

20 สิงหาคม 2563

ไม่ใช่หัวใจขาดเลือดดอก เป็นตะคริวขณะมีประจำเดือนมากกว่า

 เรียน คุณหมอค่ะ

          ดิฉันสงสัยว่าเป็นอาการหัวใจขาดเลือดหรือเปล่า

มีอาการช่วงที่มีประจำเดือน ปวดท้อง อย่างมาก  หายใจไม่ค่อยออก มือเท้าเริ่มชาเหมือนจะเป็นตะคริว เหงื่อออกมาก ตัวเย็น จะอาเจียน ดื่มน้ำไปก็อาเจียนออกมา ปวดหัว ปวดตามตัวลามไปถึงหลัง ไม่มีแรงจะเดิน มีอาการเจ็บจี๊ดๆ ที่หน้าอกซ้าย อาการทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน อาการที่กล่าวมา เป็นไปได้ไหมคะว่า หัวใจขาดเลือดชั่วระยะเวลาหนึ่ง คือพอนอนพัก อาการปวดท้องดีขึ้น ร่างกายก็ค่อยๆ ฟื้นตัว ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ถึงรู้สึกว่า ร่างกายเป็นปกติค่ะ เป็นแบบนี้ 3 ครั้ง แล้วค่ะ 

- ตรวจคลื่นหัวใจ ปกติ - ตรวจเลือด เป็นพาหะเบต้าธาลัสซีเมีย EA และเลือดจาง   Hb = 10.4,  Hct = 32.1,  MCV = 68.9, MCH = 22.3  Hb E = 28.5%, Hb A = 71.5%  - ตรวจไทรอยด์ปกติ ค่ะ

ในช่วงเวลาปวดท้องเป็นประจำเดือน เลือดจาง มีผลทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานไม่ปกติหรือเปล่าคะ ส่งผลให้เลือดไม่ไปเลี้ยงหัวใจชั่วระยะเวลาหนึ่งจึงทำให้เกิดอาการต่างๆ ดังกล่าวขึ้น หรืออาการแบบนี้เป็นอะไร เล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ ออกกำลังกาย โดยการวิ่งเป็นประจำค่ะ อายุ 40 ปี น้ำหนัก 153 น้ำหนัก 43 วัดความดันล่าสุด 113/73 ค่ะ ส่งผมเลือดมา รบกวนคุณหมอกรุณาวินิจฉัยให้ด้วยค่ะ งงกับตัวเองมากว่าเป็นอะไร ค่ะ ขอบพระคุณคุณหมออย่างสูงค่ะ 

..................................................................


ตอบครับ

     วินิจฉัยจากมุมของอาการวิทยาอย่างเดียวนะ ว่าอาการทั้งหมดไม่เกี่ยวอะไรกับหัวใจขาดเลือดดอก เพราะอาการไม่สัมพันธ์กับการออกแรง ลักษณะอาการไม่เหมือนอาการหัวใจขาดเลือด (เจ็บจี๊ดๆ ไม่ใช่เจ็บแบบแน่นหน้าอก) แต่อาการไปสัมพันธ์กับการมีประจำเดือนและการเสียเลือดมากกว่า 

     อาการที่เล่ามาเป็นไปได้สองอย่าง คือ

     1. มีความน่าจะเป็นอาการตะคริวจากประจำเดือน (menstrual cramps) มากที่สุดหรือภาษาหมออย่างเป็นทางการเรียกว่า dysmenorrhea 

     2. อย่างร้ายที่สุดที่เป็นได้ก็เป็นภาวะหวิดๆจะช็อกจากการเสียเลือด (impending hemorrhagic shock) ซึ่งพบได้ในคนที่เป็นโลหิตจางอยู่แล้ว แล้วมีประจำเดือนมากๆ

     การแก้ปัญหาในกรณีของคุณนี้ผมคิดว่าควรจะไปหาหมอสูตินรีเวชนะครับ อย่างน้อยไปทำอุลตร้าซาวด์ดูว่ามีเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือมีเนื้องอกมดลูกเกิดหรือเปล่า ถ้ามีก็จัดการซะอาการเหล่านี้ก็จะหายไป

     และไหนๆก็ไปโรงพยาบาลแล้วควรสืบค้นสาเหตุของโลหิตจางให้ยิ่งขึ้นไป อย่าพอใจแค่ว่าเป็นพาหะฮีโมโกลบินอี.แล้วก็จบ เพราะบ่อยครั้งคนเป็นพาหะทาลาสซีเมียที่มีโลหิตจางมากอย่างคุณนี้ แท้จริงแล้วมีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กร่วมอยู่ด้วย วิธีพิสูจน์ก็คือเจาะเลือดดูระดับเหล็ก (Ferritin) ถ้ามันต่ำกว่าปกติก็ต้องรักษาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กด้วย


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

19 สิงหาคม 2563

เรื่องชวนมาฟังเปียโนด้วยกัน และ..บทจะต่อต้านยาขึ้นมาก็ชักธงรบพรึบ

     ก่อนตอบคำถามประจำวันนี้ ขอประชาสัมพันธ์นอกเรื่องก่อนนะครับ

     ความเป็นมาคือวันหนึ่งผมทำแค้มป์พิเศษให้กับกลุ่มสุภาพสตรีวัยระดับ 6-7-8 (สิบปี) จำนวนประมาณ 20 กว่าท่าน มากินมานอนที่เวลเนสวีแคร์แบบปลีกวิเวก ส่วนใหญ่เป็นคนสไตล์ไฮโปรไฟล์มีรสนิยมเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ผมแอบดูพวกท่านผู้สูงวัยเหล่านั้นดูจะโปรดธรรมชาติและความเงียบเป็นพิเศษ แม้แต่จะเปิดเสียงดนตรีเป็นแบ็คกราวด์เวลาทานอาหารก็ยังต้องกำชับให้เบาๆ

     บังเอิญในวันเดียวกันขณะที่สมาชิกแค้มป์กำลังรับประทานอาหารมื้อกลางวันกันอยู่ที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งแวะเข้ามาทดลองกินอาหารมังสะวิรัติ ฝ่ายหญิงซึ่งมีอายุราวยี่สิบต้นๆเปรยให้ผมฟังว่าเธอเป็นนักเปียโนซึ่งสนใจการใช้ดนตรีรักษาผู้ป่วย ผมจึงบอกเธอว่าผมเองก็กำลังคิดจะทำโปรแกรมดนตรีบำบัดที่เวลเนสวีแคร์แต่ยังหาครูไม่ได้ และบอกเธอว่า

     "เล่นเปียโนให้ฟังหน่อยสิ"

     พอเธอเริ่มกรีดนิ้วไปบนเปียโนก็เหมือนมีมนต์ขลังแผ่ไปทั่วบ้านโกรฟเฮ้าส์ซึ่งเป็นบ้านไม้กำธรเสียงกำลังดีอยู่แล้วทันที เหล่าผู้สูงอายุที่นั่งทานอาหารอยู่ต่างหูผึ่ง ผมขอให้เธอร้องเพลงให้ฟังด้วย ยิ่งได้ยินเธอร้องเพลงบรรดาผู้ฟังก็ยิ่งพากันของขึ้น รุมขอเพลงกันยกใหญ่ทั้งเพลงฝรั่งคลาสสิกและเพลงไทย และเธอก็ทั้งเล่นและทั้งร้อง สนุกสนานชื่นบานกันมาก ไม่น่าเชื่อว่าแขกที่แค่แวะเข้ามาทานอาหารกลางวันแป๊บเดียวจะสร้างบรรยากาศให้ชื่นมื่นขึ้นทันตาเห็นได้ขนาดนั้น คุยกันไปจึงได้ทราบว่าเธอชื่อ "สไมล์" เป็นอาจารย์สอนดนตรีอยู่ที่โรงเรียนดุริยางค์กองทัพอากาศ และกองทัพอากาศนี้อีกไม่นานก็กำลังจะย้ายมาอยู่มวกเหล็ก ได้การละ..ต่อไปบ้านโกรฟเฮ้าส์คงจะไม่เหงาเสียงดนตรีระดับดีๆแน่ เธอกำลังเรียนป.โทด้านดนตรีบำบัดอยู่ด้วย เราจึงตกลงกันว่าเมื่อเธอจบแล้วเราจะเปิดการบำบัดด้านนี้ที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ด้วยกัน

บ้านโกรฟเฮ้าส์

     มาเช้าวันนี้สต๊าฟรายงานว่ากลุ่มลูกค้าที่จองเหมาที่พักเพื่อเข้ามาทำแค้มป์พิเศษสุดสัปดาห์ 5-6 กย. 63 แจ้งของดกะทันหัน จะเอาโปรแกรมอะไรเข้าแทนไหม ผมตอบว่าทิ้งให้ว่างๆไว้อย่างนั้นแหละ ให้ผมได้มีโอกาสนั่งพักเงียบๆสบายๆบ้าง ฉับพลันผมก็คิดถึงครูสไมล์ขึ้นมา เออ วันว่างๆอย่างนี้ ชวนครูสไมล์มาดีดเปียโนร้องเพลงด้วยกันที่บ้านโกรฟเฮ้าส์น่าจะมีความสุขดีกว่านั่งเงียบอยู่คนเดียวนะ จึงยกหูโทรศัพท์ไปหา ปรากฎว่าโชคดี เธอก็ว่างพอดี 

     จึงขอถือโอกาสนี้ประกาศให้แฟนบล็อกทราบว่าหมอสันต์ชวนทุกท่านที่สนใจดนตรีมาฟังเปียโนและเพลงระดับมีรสนิยมด้วยกันที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ ในเย็นวันเสาร์ที่ 5 กย. 63 ช่วงเวลา 18.00 - 21.00 น. ฟรี ไม่มีค่าเข้าฟัง ใครที่อยู่ไกลจะมาพักที่เวลเนสวีแคร์ก็เข้าพักได้ในราคาปกติ เพราะเป็นวันที่ห้องพักว่างไม่ได้ใช้ทำคอร์สอะไร เพียงแต่ขอให้จองมาล่วงหน้าเพื่อจะได้เตรียมที่ทางไว้ให้ทั้งที่นั่งและที่นอน ท่านที่สนใจจะมาร่วมฟังดนตรีครั้งนี้กรุณาติดต่อคุณเฟิร์น ที่หมายเลขโทรศัพท์ 063 639 4003 หรือไลน์ @wellnesswecare หรืออีเมล host@wellnesswecare.com  

...............................................................


     เอาละ คราวนี้มาตอบจดหมายประจำวัน

เรียน คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์

หนูชื่อ ... นะคะ พอดีมีเรื่องของคุณพ่อที่ต้องการขอคำปรึกษาเร่งด่วน แต่พี่ตู่ (พยาบาลผู้ช่วยของคุณหมอ) แจ้งว่าคิวเต็มแล้ว ไม่สามารถให้เข้าพบคุณหมอได้ เลยแนะนำให้อีเมล์มาขอคำปรึกษาเบื้องต้นกับคุณหมอแทนก่อนค่ะ คุณพ่อเคยรักษาอยู่ที่ รพ. ... และทำบอลลูนหัวใจมา 3 เส้นแล้วเมื่อ 3-4 ปีก่อน ก็รับประทานยาเรื่อยมา ร่างกายดูแข็งแรงดี แต่เพิ่งมาทราบจากคุณพ่อเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า คุณพ่อตัดสินใจเลือกที่จะไม่กินยาหัวใจแล้วและจะรักษาด้วยวิธีธรรมชาติแทน อาจจะด้วยอาหารและการเปลี่ยนพฤติกรรม (น่าจะดูจาก Youtube) เพราะกลัวว่ากินยาเยอะไม่ดีกับร่างกาย ไม่อยากตายเร็ว ทั้งนี้ ท่านเลยหยุดยาเองมาหลายเดือนแล้วและไม่ยอมไปปรึกษาแพทย์ก่อนค่ะ ตอนนี้หนูกำลังพยามจะคุยกับท่านให้พบแพทย์ก่อนเพื่อจะขอลดยาบางตัวหรือหยุดยาที่หยุดได้ แต่เหมือนท่านต่อต้านแล้วหยุดกินยาเองหมดเลย และบอกว่าหากไปพบหมอแผนปัจจุบันก็จะต้องให้กินยาเหมือนเดิมอยู่ดี จากที่หนูติดตามข้อมูลความรู้ของคุณหมอตามสื่อต่างๆ หนูเลยอยากจะรบกวนขอคำปรึกษาเบื้องต้นจากคุณหมอหน่อยค่ะว่า ตอนนี้หนูควรจะดำเนินการอย่างไรบ้างเพื่อดูแลผู้ป่วยลักษณะนี้คะ หนูอยากจะให้คุณพ่อได้พบกับคุณหมอมาก ตอนนี้เป็นกังวลใจมากค่ะ ขอความกรุณาจากคุณหมอด้วยนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ

ขอแสดงความนับถือ

..................................................................................

ตอบครับ

     ก่อนตอบคำถามขอแจ้งข่าวซ้ำอีกหนนะครับว่าหมอสันต์ได้ปลดชราจากอาชีพตรวจรักษาคนไข้แล้ว แต่ทำ "แค้มป์" เพื่อสอนคนไข้ให้รู้วิธีดูแลตัวเองอยู่ที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ที่มวกเหล็กแทน ดังนั้นผู้ป่วยไม่ต้องไปหาที่โรงพยาบาลเพราะผมไปโรงพยาบาลเพื่อดูคนไข้เก่าที่ค้างติดมืออยู่เท่านั้นไม่รับผู้ป่วยใหม่แล้ว ให้ใช้วิธีอ่านหรือดูเอาจากที่ผมเขียนเผยแพร่วิธีดูแลตัวเองแล้วนำไปปฏิบัติเอาเองเลย มีคนจำนวนมากทำแบบนี้แล้วก็สุขสบายดี ตัวชี้วัดทางด้านสุขภาพดีขึ้น แต่หากยืนยันจะเจอตัวผมสำหรับผู้ป่วยก็เหลือทางเดียว คือสมัครมาเข้าแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDBY) ซึ่งจัดเป็นรอบๆ รอบหนึ่งรับได้แค่สิบกว่าคน จึงมักต้องจองล่วงหน้า

     ตอบคำถาม

     1. ถามว่ากินยารักษาโรคเรื้อรังเช่นโรคหลอดเลือดหัวใจ แล้วอยู่มาวันหนึ่งเกิดของขึ้นคิดปฏิวัติตัวเองขึ้นมาเลิกกินยาทั้งหมดดื้อๆ จะมีอันตรายไหม ตอบว่ามีอันตรายสิครับ ยกตัวอย่างเช่น

     1.1 การเลิกยาลดความดันเลือดในทันที จะมีผลให้ความดันเลือดกระโดดสูงขึ้นจนอาจเกิดภาวะความดันสูงวิกฤติได้ เพราะกลไกการออกฤทธิ์ของยาลดความดันส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ชักเย่อกับระบบประสาทอัตโนมัติ หมายความว่าระบบประสาทอัตโนมัติสั่ง (ในรูปของการปล่อยสารเคมี) ให้บีบหลอดเลือด ยาไปบล็อกคำสั่งนั้นเพื่อให้หลอดเลือดคลายตัว ระบบอัตโนมัติรู้เข้าว่ามีมือดีมาบล็อกคำสั่งก็สั่งการชดเชย คือสั่งให้บีบหลอดเลือดแรงขึ้น ชักเย่อกันอยู่อย่างนี้ การจะคุมความดันให้อยู่ด้วยยาอย่างเดียวจึงต้องเพิ่มยาขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆวันหนึ่งคนไข้เกิดหยุดยาปึ๊ด..ด ก็เหมือนกำลังแข่งกีฬาชักคะเย่อกันอยู่ดีๆอีกข้างหนึ่งเกิดปล่อยเชือกเสียดื้อๆ ผลก็คืออีกฝ่ายหนึ่งปรับตัวไม่ทัน จึงก้นจ้ำเบ้าไปตามระเบียบ ฉันใด ก็ฉันเพล การหยุดยาความดันกะทันหันก็มีผลให้ความดันพุ่งสูงปรี๊ดเกินแบ็คดอร์ด้วยประการฉะนี้

     1.2 การเลิกยาต้านเกล็ดเลือด (เช่นยาแอสไพริน) แบบกะทันหัน งานวิจัยก็พบว่ามีผลให้เกิดอุบัติการณ์หลอดเลือดในสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในช่วงหยุดยาทันทีใหม่ๆมากขึ้น กลไกการแข็งตัวของเลือดก็เหมือนกลไกการบีบหลอดเลือด คือระบบการแข็งตัวของเลือกจะทำงานอัตโนมัติและจะชดเชยให้เลือดแข็งตัวมากขึ้นเพื่อชดเชยให้กับฤทธิ์ของยาต้านเกล็ดเลือด พอหยุดยาทันทีเลือดก็จะแข็งตัวเร็วกว่าปกติเพราะระบบร่างกายปรับตัวไม่ทัน 

     1.3 ยากล่อมประสาทหรือยาช่วยนอนหลับต่างๆ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังแพทย์ก็มักจ่ายยาเหล่านี้ให้กินประจำเช่นกัน การหยุดยาในกลุ่มนี้ทันทีจะมีผลให้นอนไม่หลับทันทีและรุนแรง หรือยาบางตัวหากหยุดทันทีก็มีผลถึงกับทำให้ชักได้

     1.4 ยาอื่นๆเช่นยาเบาหวาน ยาลดไขมัน การหยุดยาทันทีก็จะทำให้ผลตรวจตัวชี้วัดเพิ่มสูงจนน่าตกใจ เช่นน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงมาก หรือไขมันในเลือดขึ้นสูงมากกว่าก่อนเริ่มใช้ยาเสียอีก เพราะเกิดจากกลไกการปรับตัวชดเชยของร่างกายเช่นกัน เพียงแต่ว่าการที่น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงหรือไขมันในเลือดขึ้นสูง มันไม่มีผลเสียรุนแรงเหมือนการที่ความดันขึ้นสูงทันทีหรือการที่เลือดแข็งตัวเร็วขึ้นทันที

     กล่าวโดยสรุปยาทั้งหลายที่หมอให้รักษาโรคเรื้อรัง ไม่ควรหยุดพรวดพราดทันที

     2. การคิดจะเลิกยา หรือปลดแอกจากยา ต้องทำเป็นขั้นตอน  ดังนี้

     2.1 ต้องใช้ตัวชี้วัดเป็นตัวกำหนดแผนการหยุดยา ตัวชี้วัดเหล่านั้นก็เช่น ความดันเลือดกรณียาลดความดัน น้ำตาลในเลือดกรณียาเบาหวาน ไขมันในเลือดกรณียาลดไขมัน การนอนหลับกรณียานอนหลับหรือยากล่อมประสาท ผู้ป่วยจะต้องรู้จักใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้ และจะต้องรู้ว่าตัวชี้วัดของตัวเองขณะนี้อยู่ที่เท่าไหร่

     2.2 เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตก่อน คือ (1) เปลี่ยนอาหารจากกินสัตว์ไปกินพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติและไขมันต่ำ (2) ออกกำลังกาย (3) จัดการความเครียด แล้วก็ติดตามดูตัวชี้วัดไป 

     2.3 เมื่อเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตได้จนตัวชี้วัดเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจนอยู่ในพิสัยปกติแล้ว จึงค่อยๆลดยาลง วิธีลดยาก็ไม่ต้องมีพิธีการมาก คือเลือกลดทีละตัว ด้วยการลดขนาดลงทีละครึ่งหนึ่ง แล้วทอดเวลาไปอย่างน้อยสองสัปดาห์ (ถ้าเป็นยาลดความดันหรือยาเบาหวาน) หรือหกสัปดาห์ (ถ้าเป็นยาลดไขมัน) แล้วตรวจดูตัวชี้วัดซ้ำอีก ว่ามันยังอยู่ในระดับปกติหรือเปล่า หากมันเด้งสูงผิดปกติขึ้นมาก็แสดงว่าการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตยังไม่เข้มข้นมากพอ ก็ต้องเพิ่มความเข้มข้นคือทำให้จริงจังมากขึ้น แล้วทอดเวลาไป แล้วตรวจดูตัวชี้วัดซ้ำ จนตัวชี้วัดกลับมาอยู่ในพิสัยปกติ จึงจะลดยาลงต่อไปอีกครึ่งหนึ่ง ทำอย่างนี้จนยาเหลือน้อยมากจึงทดลองหยุดยา หากหยุดยาแล้วตัวชี้วัดยังปกติอยู่ได้ก็แสดงว่าการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตทำสำเร็จแล้ว สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ตัวชี้วัดสำคัญต่างๆอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยไม่ต้องใช้ยา

     3. การทำอย่างนี้มีทางเลือกปลีกย่อยอีกสามวิธี คือ

     3.1 วิธีที่ง่ายคือหากสามารถหาหมอประจำตัวที่เห็นชอบด้วยกับวิธีการนี้แล้วก็ให้หมอประจำตัวท่านนั้นเป็นพี่เลี้ยงไปสักพักจนทำต่อได้เอง 

     3.2 มีคนอีกจำนวนมากที่ดูแลตัวเองด้วยตัวเองโดยไม่มีหมอประจำตัว อาศัยแค่อ่านบล็อกหมอสันต์แล้วเอาไปทำตามโดยไม่เคยเห็นหมอสันต์ตัวเป็นๆเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ทำได้สำเร็จ เลิกยาได้อย่างปลอดภัย หมายความว่าเลิกยาได้โดยที่ตัวชี้วัดสำคัญทุกตัวปกติ 

     3.3 มีคนอีกจำนวนหนึ่งใช้วิธีมาเข้าแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเองเพื่อเป็นการตั้งต้น ในแค้มป์นี้ผมจะทำหน้าที่หมอประจำตัวให้ไปนานหนึ่งปีเพื่อคอยให้คำปรึกษาในทุกเรื่องรวมทั้งเรื่องการลดและเลิกยา จนสามารถดูแลตัวเองได้สำเร็จ

     ดังนั้นทั้งสามแบบนี้คุณจะเลือกทำแบบไหนก็ได้ เอาสักแบบหนึ่ง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์  

[อ่านต่อ...]

18 สิงหาคม 2563

ยาลดไขมันในขนาดสูง สัมพันธ์กับการเป็นกระดูกพรุน

 สวัสดีคุณหมอสันต์ที่เคารพ

ดิฉันอายุ 58 ปี บุตรสองคน สูง152 หนัก 43 เป็นไขมันในเลือดสูง10 ปี กิน Chlovas 40 ครึ่งเม็ด ปัจจุบันไขมันเลวไม่เกิน100 และเป็นโรคกระดูกพรุนกระดูกทับเส้น ปวดหลัง ปวดสะโพก ปวดขาขวา กินแคลเซี่ยมและวิตามินดีวันละเม็ด ฉีดยาหน้าท้องทุก 6 เดือน

เมื่อช่วงโควิดเครียดหลายอย่างค่ะ ความดันขึ้นถึง 157/100 จากเดิมไม่เกิน 130/79 จึงทำตามคำแนะนำคุณหมอ 4 ข้อ ยกเว้นลดน้ำหนัก ลดอาหารเค็ม กินผักผลไม้มากขึ้น และออกกำลังกาย เดินเร็วบนสนามหญ้า (หมอกระดูกห้ามวิ่ง) วันละ 4-5 กม สับดาห์ละ 5 วัน บางครั้งก็เดินฟัง online clinicไปด้วย-ความดันลดลงไม่เกิน140/90

ดิฉันใช้Smart watch หลังเดินแล้วเปิดดู หัวใจเต้นเกิน140 ครั้ง อยุ่ในช่วงสีแดง ขณะเดินไม่ได้ดูค่ะ ลูกตั้งไว้ทำไรไม่เป็น ไม่เหนื่อยมากไม่แน่นหน้าอกร้องเพลงไม่เพราะ(อยุ่แล้วว)

คำถามค่ะ

1 อยากหยุดยาไขมันได้มั้ยคะ

2 หัวใจเต้นเร็วขณะออกกำลังกายแบบนี้อันตรายมั้ยคะ กลัวหัวใจวาย

กราบขอบพระคุณคุณหมออย่างสูง

..............................................


ตอบครับ

     1. ถามว่าอยากหยุดยาไขมัน จะหยุดได้ไหม ตอบว่าได้สิครับ ตำรวจที่ไหนจะไปจับคุณ คนอย่างคุณ ผมหมายถึงคนที่เป็นผู้หญิง ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดชัดเจน เป็นกลุ่มคนที่จะได้ประโยชน์จากยาลดไขมันน้อยที่สุดอยู่แล้ว หากอยากจะลดยาก็ลดได้ ผมแนะนำว่าให้คุณค่อยๆลดขนาดลงก่อน คุณตัวเล็กนิดเดียว ดัชนีมวลกายต่ำกว่า 18.5 แต่กินยาสะแตตินตั้ง 40 มก. นี่จัดว่าเป็นขนาดสูงมากสำหรับคุณนะครับ งานวิจัยพบว่าการกินยาสะแตตินขนาดสูงสัมพันธ์กับการเป็นโรคกระดูกพรุนมากขึ้น [1] ขณะที่การกินขนาดต่ำๆสัมพันธ์กับการเป็นโรคกระดูกพรุนน้อยลง ดังนั้นคนเป็นโรคกระดูกพรุนแล้วอย่างคุณ หากจะกินยาลดไขมัน ขอให้กินขนาดต่ำๆไว้ดีที่สุด ต่ำที่สุดที่คนไข้ไทยเคยกินและคุมไขมันได้ดีคือ  5 มก. สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง สัปดาห์ละนะ ไม่ใช่วันละ ให้คุณค่อยๆลดลงไปจนเหลือต่ำขนาดนั้นก่อน อย่าเพิ่งหยุดฮวบฮาบ เพราะหากหยุดฮวบฮาบไขมันก็จะขึ้นมาฮวบฮาบแล้วคุณก็จะสติแตก

     2. ถามว่าเป็นหญิงอายุ 58 ปี ออกกำลังกายแล้วชีพจรขึ้นไป 140 ครั้งต่อนาทีอันตรายไหม ตอบว่าไม่อันตรายครับ ตราบใดที่ไม่มีอาการเจ็บหน้าอกหรือหน้ามืดเป็นลม ค่าชีพจรสีเขียวสีแดงที่เครื่องตั้งไว้นั้นมักตั้งตามระดับความหนักของออกกำลังกาย คือให้การออกกำลังกายระดับหนักพอควรอยู่ในย่านสีเขียว และหนักมากอยู่ในย่านสีแดง จุดเปลี่ยนจากเขียวไปแดงก็มักตั้งกันที่ 70% หรือ 80% ของชีพจรสูงสุด ยกตัวอย่างเช่นคุณอายุ 58 ปี ชีพจรสูงสุดของคุณก็คือ 220-58 = 162  ครั้งต่อนาที 80% ของ 162 ก็คือ 129 ครั้งต่อนาที พอคุณวิ่งจนชีพจรขึ้นเกิน 129 มันก็เป็นสีแดง คือแดงกับเขียวบอกว่าอยู่ในระดับหนักปานกลางหรือหนักมาก ไม่ได้มีความหมายอะไรมากกว่านั้น 

     ไม่ได้หมายความว่าแดงแปลว่าใกล้จะตาย หรือเข้าเขตอันตราย อย่าเข้าใจผิดว่าสีแดงในที่นี้หมายถึงอันตราย เพราะในการออกกำลังกายนี้ คุณประโยชน์ของมันแปรผันตามขนาด (dose dependent) คือยิ่งมากยิ่งดี แปลว่ายิ่งหนักยิ่งดี ดังนั้นมาตรฐานการออกกำลังกายจึงให้ราคาการออกกำลังกายระดับหนักมากว่ามีประโยชน์เป็นสองเท่าของระดับหนักปานกลาง คือหากออกระดับหนักปานกลางต้องออกสัปดาห์ละ 150 นาที แต่หากออกระดับหนักมากออกสัปดาห์ละ 75 นาทีก็พอ พูดง่ายๆว่าออกกำลังกายให้อยู่ในสีแดงยิ่งเจ๋งกว่าสีเขียว ยิ่งวิ่งถึงสีแดงได้มาก ก็ยิ่งดี

     มีบางคนวิ่งไปแล้วชีพจรขึ้นไปสูงกว่าชีพจรสูงสุดของตัวเอง สมมุติว่าคุณวิ่งแล้วชีพจรเกิน 162 แล้วก็สติแตกว่าจะตายไหม ตอบว่าไม่ตายดอก เพราะชีพจรสูงสุดที่คำนวณจากสูตร 220 - อายุ นั้นมันเป็นแค่การประมาณการคร่าวๆ มันไม่ใช่สมรรถนะสูงสุดของร่างกายของจริง ให้คุณใช้อาการของร่างกายประกอบด้วยจะแม่นยำกว่า เช่นอาการเจ็บหน้าอก อาการหมดแรง อาการหน้ามืด อาการเหล่านี้บ่งชี้ว่าคุณชักจะไปเกินสมรรถนะสูงสุดของร่างกายคุณไปแล้ว ควรจะต้องผ่อนลง

     3. ประเด็นนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมเห็นคุณเล่ามาว่าหมอกระดูกห้ามวิ่ง ผมเดาเอาว่าหมอคงเห็นว่าคุณผอมแห้งแรงน้อย จึงเกรงว่ากล้ามเนื้อของคุณไม่มีแรงที่จะรับแรงกระแทกแทนกระดูกทำให้กระดูกมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยร้าวภายใน (stress fracture) ซึ่งมักเกิดกับกระดูกแข้งขาหรือเท้าในคนผอมแห้งแรงน้อย ผมแนะนำว่าแทนที่จะป้องกันปัญหาด้วยการไม่วิ่ง ให้คุณป้องกันปัญหาด้วยการ

     3.1 เล่นกล้ามเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขาและเท้า

     3.2 เพิ่มน้ำหนักตัวด้วยการกินอาหารให้แคลอรีให้พอเพียงในรูปของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเช่นธัญพืชไม่ขัดสีและหัวพืชใต้ดินต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายสลายเอากล้ามเนื้อมาเป็นแหล่งพลังงานแทนคาร์โบไฮเดรต

     3.3 เรียนรู้เทคนิคการวิ่งไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกร้าว เช่น เพิ่มเส้นทางหรือความเร็วการวิ่งวันละนิด ไม่วิ่งเร็วๆไกลๆทันทีโดยไม่ได้ฝึกมาก่อน เวลาวิ่งให้ก้าวแต่ละก้าวสั้นๆจะลดแรงกระแทกได้มาก และฝึกวิ่งบนพื้นผิวที่หลากหลาย พื้นหญ้าบ้าง พื้นดินบ้าง พื้นหินบ้าง เป็นต้น   

     3.4 ใช้รองเท้าวิ่ง (running shoes) ที่ออกแบบให้ดูดซับแรงกระแทกได้ดี ใช้รองเท้าตามที่นักวิ่งมาราธอนอาชีพเขาใช้กัน เช่นรองเท้ายี่ห้อ Asics เป็นต้น

     การออกกำลังกายที่มีแรงกระทำต่อกระดูกร่วมกับมีการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมากๆมีผลดีที่ช่วยทำให้มวลกระดูกชลอการพรุนลงและทำให้การทรงตัวดีขึ้น ลดโอกาสลื่นตกหกล้มอันเป็นสาเหตุที่แท้จริงของกระดูกหักลงไปด้วย ดังนั้นหากคุณอยากวิ่งผมแนะนำทำสี่อย่างข้างต้นแล้วก็วิ่งได้ อย่าไปปิดกั้นตัวเองว่านี่ทำไม่ได้ นั่นทำไม่ได้ แนวคิดอย่างนั้นจะทำให้คุณจำกัดการเคลื่อนไหวให้น้อยลงกว่าธรรมชาติ ท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่ภาวะง่อยเปลี้ยเสียขาทำให้ทรงตัวลำบากและลื่นตกหกล้มง่าย 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Leutner M, Matzhold C, Bellach L, et al. Diagnosis of osteoporosis in statin-treated patients is dose-dependent. Annals of the Rheumatic Diseases 2019;78:1706-1711.

[อ่านต่อ...]