28 ธันวาคม 2558

ปรี๊ดแตก..โอกาสหัวใจวายเพิ่มขึ้น 8.5 เท่า

     การจากไปอย่างกะทันหันของอาจารย์...เป็นความสูญเสียของทุกคนที่มาร่วมกันที่นี่ในวันนี้ รวมทั้งตัวผม ซึ่งเป็นเพื่อนกับอาจารย์มายาวนานด้วย

     อาจารย์...เป็นคนชอบสอน ชอบเผยแพร่สิ่งดีๆไปให้คนรอบตัวท่าน เพราะท่านมีโลกทัศน์ว่าชีวิตที่ดีก็คือการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆตลอดเวลา ผมเดาใจอาจารย์ได้ว่าหากทำได้ท่านคงจะสื่อสิ่งดีๆอะไรก็ตามที่สื่อได้ให้แก่ทุกท่านที่มาที่นี่ในวันนี้ ผมจึงขอถือวิสาสะสื่อสิ่งเหล่านั้นถึงท่านแทนอาจารย์

     ประเด็นที่จะสื่อคือเรื่องการจัดการความเครียด ซึ่งมีสองส่วน

     ส่วนที่หนึ่ง คือการดำรงชีวิตประจำวันในรูปแบบที่ไม่เครียด

     ส่วนที่สอง คือการรับมือกับความเครียดแบบเฉียบพลัน

     แม้ว่าอาจารย์...จะมีอาการของโรคหัวใจขาดเลือดมานานสิบกว่าปีแล้ว แต่อาจารย์ก็มีวิธีจัดการความเครียดในส่วนที่หนึ่ง คือการดำรงชีวิตประจำวันในรูปแบบที่ไม่เครียดได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราเรียนรู้จากท่านได้ ท่านปลูกผักต่างๆและเพาะพันธุ์ดอกไม้ไว้หน้าบ้านพักของท่าน เช้าขึ้นท่านก็ดื่มกาแฟเดินรดน้ำผัก ตกเย็นท่านก็เอาไวโอลินมาสีให้ผักฟังบ้าง เอากีต้าร์มาดีดให้ผักฟังบ้าง วันไหนธุระยุ่งท่านก็สั่งให้คนงานลูกน้องเอาวิทยุมาเปิดให้ผักฟังแทน ชีวิตประจำวันของท่านผ่านไปอย่างนุ่มนวลและผ่อนคลายเพราะท่านเป็นคนมีปฏิสัมพันธ์โอภาปราศัย เป็นที่รักของทุกคนที่เกี่ยวข้อง

     ในด้านการรับมือกับความเครียดเฉียบพลัน เราก็สามารถเรียนรู้จากอาจารย์ได้เช่นกัน แต่เป็นการเรียนโดยวิธีมองย้อนกลับไปทบทวนสิ่งที่ผ่านมา คือขณะที่อาจารย์บริหารจัดการชีวิตประจำวันของตัวเองให้ดำเนินไปได้ทุกวันอย่างผ่อนคลายไม่เครียด แต่ในชีวิตจริงของคนเรา บางวันมันมีความเครียดเฉียบพลันที่เราไม่ได้คาดฝันไว้ก่อนเกิดขึ้นได้ คือบังเอิญคนงานลูกน้องของอาจารย์มีอยู่คนหนึ่งเป็นคนแบบที่เรียกง่ายๆว่า “บ้า” วันหนึ่งอาจารย์ก็เกิดความเครียดเฉียบพลันขึ้นจากการทำงานกับลูกน้องคนนี้

     การดำเนินของโรคหัวใจขาดเลือดตามธรรมชาตินี้ ในเชิงอาการวิทยามันจะมีเหตุการณ์สองแบบ แบบที่หนึ่งเรียกว่าเจ็บหน้าอกแบบไม่ด่วน (stable angina) คือเมื่อร่างกายทำงานมากก็จะเกิดเกิดการเจ็บหน้าอกขึ้น เพราะเมื่อขณะร่างกายทำงานมากหัวใจจะต้องใช้เลือดมาก เลือดไหลผ่านรูตีบไม่ทัน ก็เจ็บหน้าอก แต่พอพักก็หาย นั่นแบบหนึ่ง เป็นอาการปกติธรรมดาของโรคนี้ ไม่มีอันตรายเร่งด่วนอะไร เป็นแค่ตัวชี้วัดหรือเป็นเครื่องเตือนว่าหัวใจรับได้แค่ไหนซึ่งเจ้าตัวควรหัดสังเกตตัวเองและไม่ฝืนออกกำลังกายไปให้มากเกินกว่าจุดนั้น

     แบบที่สองคือการเจ็บหน้าอกแบบด่วน (unstable angina) ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดหดตัวรุนแรงหรือเลือดก่อตัวเป็นลิ่มมาอุดหลอดเลือดหัวใจไว้แบบทันทีทันใด และอุดแบบถาวร นานเกินยี่สิบนาทีแล้วยังไม่หายเจ็บหน้าอก การจะเกิดกรณีอย่างนี้ได้ต้องมีเหตุการณ์พิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งในสองสามอย่าง หนึ่งในเหตุการณ์พิเศษเหล่านั้นก็คือความเครียดเฉียบพลัน จะเรียกว่า “ของขึ้น” หรือ “เดือด” หรือ “น็อตหลุด” หรือ “มิ้ง” ก็ได้ ถ้าเป็นวัยรุ่นเขาเรียกว่า “ปรี๊ดแตก” ณ จุดนี้เป็นพีคหรือจุดสุดขีดของความเครียด สมองของเราจะเห็นช้างตัวเท่าหมู เป็นจุดที่มีโอกาสที่เกิดอะไรขึ้นได้มากมายกับระบบหัวใจหลอดเลือด ความดันเลือดพุ่งขึ้นสูง หัวใจเต้นเร็ว ใช้ออกซิเจนมาก หลอดเลือดหัวใจหดตัวรุนแรง (coronary spasm) บางครั้งหดตัวอยู่นานหลายนาทีไม่ยอมคลายตัว ลิ่มเลือดก็ก่อตัวขึ้นง่ายในขณะนั้น ทั้งหมดนี้เป็นการทำงานโดยระบบประสาทอัตโนมัติ เกิดขึ้นโดยเราไม่ได้สั่งและเราไม่รู้ตัว กลไกที่แท้จริงวงการแพทย์ก็ยังไม่ทราบทั้งหมด ทราบแต่ว่าภายใน 2 ชั่วโมงนับจากจุดปรี๊ดแตกนี้ มีโอกาสเกิด heart attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันมากกว่าปกติถึง 8.5 เท่า เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นแล้ว ถ้าเป็นมากก็จะถึงขั้นหมดสติ ซึ่งหลังจากนั้นถ้ากล้ามเนื้อหัวใจตายลงไม่มากนักก็ฟื้นได้ ถ้ากล้ามเนื้อหัวใจตายลงไปมากก็ไม่ฟื้น

     โอกาสเกิดเรื่องเช่นนี้มีได้ทุกคน คนเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอยู่แล้วก็มีโอกาสเกิดมากกว่า แต่คนที่ไม่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดอยู่เลยก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ การจะเอาตัวรอดจากหัวใจวายฉุกเฉินจากความเครียดเฉียบพลันนี้เราจะต้องรู้ตัวเสียตั้งแต่เราเริ่มตั้งต้นเครียด อย่ารอจนถึงโมโหปากคอสั่นเพราะถึงตอนนั้นมันเครียดมากเกินไปแล้ว เราต้องมีสติขยันดูใจเราบ่อยๆ รู้ตัวเสมอว่า ณ ขณะนี้เราหงุดหงิดหรือเปล่า เราใกล้จะปรี๊ดแตกหรือยัง ถ้าใกล้แล้วเราต้องพาตัวเองออกจากความเครียดนั้นทันที ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ค่อยผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆพร้อมกับบอกให้กล้ามเนื้อทั่วตัวผ่อนคลาย ทำใจให้ปล่อยวาง รีแล็กซ์..ซ์

     เมื่อเราหายใจเข้าลึกๆเต็มปอด แล้วกลั้นนิ่งสักพัก แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออกช้าๆพร้อมกับบอกให้กล้ามเนื้อทั่วตัวซึ่งเป็นกล้ามเนื้อลายที่สมองเราคุมได้นี้ให้ผ่อนคลาย ระบบประสาทอัตโนมัติซึ่งรับฟังสัญญาณการทำงานของกล้ามเนื้อลายอยู่ตลอดเวลาก็จะผ่อนคลายการสนองตอบแบบเครียดลงตามไปด้วย ทำให้อะไรๆในระบบหัวใจหลอดเลือดที่กำลังเขม็งเกลียวไปสู่จุดแตกหักผ่อนคลายกลับลงมาสู่ปกติได้

     เทคนิคนี้สำคัญมาก และจำเป็นสำหรับทุกคน ครั้งหนึ่งในชีวิตทุกคนจะต้องได้ใช้เทคนิคนี้ ท่านจะต้องหัดทำบ่อยๆจึงจะทำเป็น อย่าปล่อยให้ความเครียดพุ่งสูงขึ้นๆโดยไม่เข้าไปแทรกแซง เพราะถ้าปล่อยอย่างนั้นหลอดเลือดหัวใจอาจหดตัวทันทีโดยไม่ยอมคลาย พาหัวใจหยุดเต้นได้

     วันนี้เรามาส่งอาจารย์... ผมขอเป็นตัวแทนอาจารย์สื่อสารถึงท่าน ว่าในการใช้ชีวิตจากนี้ไปข้างหน้า นอกจากท่านจะต้องดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันให้ผ่อนคลายไม่เคร่งเครียดแล้ว ท่านยังจะต้องฝึกทักษะไว้รับมือกับความเครียดเฉียบพลันด้วยการฝึกสติตามดูใจตัวเอง เมื่อเห็นว่าจะเริ่มเครียดก็ตั้งใจหายใจเข้าลึกๆแล้วเป่าลมหายใจออกทางปากช้าๆพร้อมกับบอกให้กล้ามเนื้อทั่วตัวผ่อนคลาย ทำใจให้ปล่อยวาง ฝึกทำแบบนี้บ่อยๆ วันละหลายๆครั้งได้ยิ่งดี

     ถ้าจะมีผลบุญใดๆเกิดขึ้นจากการสื่อสารเรื่องนี้สู่ทุกท่าน ก็ขอให้ผลบุญนั้นหนุนส่งอาจารย์...ไปสู่สุขคติด้วยเทอญ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

24 ธันวาคม 2558

มะเร็งปอด กับยารักษาแบบล็อคเป้า (Target Therapy)

คุณหมอสันต์ที่นับถือ
ผมอายุ 62 ปี เคยสูบบุหรี่แต่เลิกไปนานแล้ว ผมเป็นมะเร็งปอดชนิดเซลใหญ่ ได้ส่งผลตรวจมาด้วย ทำคอมพิวเตอร์ปอด สมองและท้องแล้วไม่มีมะเร็งที่อื่น ได้ทำผ่าตัดเอาปอดออกไปสองกลีบจากทั้งหมดสามกลีบ โดยคุณหมอ... ที่โรงพยาบาล... หมอบอกว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 3 ตัดเนื้องอกออกไปได้หมด แต่แพทย์ก็ยืนยันให้ทำเคมีบำบัดโดยให้เหตุผลว่าแม้จะมั่นใจว่าตัดได้หมด แต่มันมีโอกาสที่ตัวมะเร็งจะแพร่กระจายออกไปแล้วโดยที่เราไม่ทราบ อีกทั้งหมอว่าผมเองอายุยังไม่มาก ร่างกายยังแข็งแรง ควรจะรับเคมีบำบัด หมอบอกว่าถ้าทำการรักษาเต็มที่มีโอกาสอยู่ได้ถึงห้าปี ผมใจเสียมาก เต็มที่ก็แค่ห้าปีเองหรือ ตัวผมนั้นไม่เอาเคมีบำบัดแน่นอนเพราะไม่อยากมีชีวิตที่แย่อาเจียนผมร่วง และผมก็เชื่อมั่นในแนวทางธรรมชาติบำบัดมากกว่า เพื่อนบางคนแนะนำว่าสมัยนี้เขามียาทำลายมะเร็งแบบล็อคเป้า (target therapy) จึงอยากปรึกษาคุณหมอสันต์ว่า (1) ผมไม่เอาเคมีบำบัดจะเสียหายมากไหม (2) มีการฉีดยาทำลายมะเร็งแบบล็อคเป้าจริงหรือเปล่า มีประโยชน์จริงหรือเปล่า ถ้ามีมันต่างจากการทำเคมีบำบัดอย่างไร อย่างผมจะฉีดยาล็อคเป้านี้ได้ไหม และผมควรจะทำไหม (3) ผมจะอาศัยถั่งเช่า เห็ดหลินจือแดง ขมิ้นชันสกัด กินรักษาควบไปด้วยจะได้ไหม (4) ถ้าผมยอมรับการรักษาแบบล็อคเป้าหรือเคมีบำบัด ผมจะกินมังสะวิรัติได้หรือเปล่า เพราะรู้สึกว่าคุณหมอ.. จะกดดันให้ผมกินเนื้อนมไข่เยอะๆโดยให้เหตุผลว่าระหว่างให้เคมีบำบัดจะได้ไม่โทรมมาก แต่ใจผมไม่อยากกินเนื้อสัตว์เพราะกลัวว่าจะไปเลี้ยงมะเร็งให้เติบโตขึ้นมาอีก

Right lower lobe of lung, lobectomy:
-Invasive adenocardinoma, predominantly invasive acinar pattern
-Tumor size 2.5 cm
-No pleural invasion
-Free bronchial resection margin
-Metastasis is in extrapulmonary peribronchial lymph node (3/5)
-Metastasis in right subcarina lymph node 91/5)
-No metastasis in right inferior pulmonary ligament node (0/3)
……
Pathologist Date of Report: ….
………………………………………………………………….

ตอบครับ

     ประเด็นที่ 1. ชนิดของเซลมะเร็ง คือมะเร็งปอดนี้เกิดจากเซลได้หลายชนิด แต่เพื่อความง่ายวงการแพทย์ยำรวมกันเหลือสองชนิดเท่านั้น คือชนิดเซลเล็ก (small cell lung cancer – SCLC) กับชนิดเซลไม่เล็ก (non-small cell lung cancer – NSCLC) ของคุณนี้เป็นเซลมะเร็งชนิด adenocarcinoma ซึ่งเป็นชนิดที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับบุหรี่เท่าไหร่ และเป็นชนิดที่ถูกจัดรวบอยู่ในกลุ่มชนิดเซลไม่เล็ก (NSCLC) ซึ่งมีภาษีดีกว่าชนิดเซลเล็กทั้งในแง่ความง่ายในการรักษาและการมีความรุนแรงของโรคต่ำกว่า มีอัตรารอดชีวิตที่ดีกว่า

     ประเด็นที่ 2 การแบ่งระยะ (staging) มะเร็งปอดแบ่งออกเป็นสี่ระยะ การจะจัดว่าใครอยู่ในระยะไหนนั้นเขาเอาข้อมูลจากสามมุมมองมายำรวมกัน คือขนาดของเนื้องอก (tumor-T) การแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆ (node - N) และการแพร่กระจายไปทางกระแสเลือด (metastasis –M) เป็นระบบการแบ่งระยะที่เรียกว่า TNM staging อย่างของคุณนี้ขนาดเนื้องอกไม่เกิน 3 ซม. เรียกว่าเป็น T1 มะเร็งนอกจะไปถึงต่อมน้ำเหลืองในปอด (peribronchial) แล้วยังไปถึงต่อมน้ำเหลืองกลางตัว (subcarina node)ด้วย จึงได้คะแนนเป็น N2 แต่ไม่มีหลักฐานการแพร่กระจายไปที่ไหนไกลๆทางกระแสเลือดจึงเป็น M0 สรุปว่าเป็น T1N2M0 ซึ่งระบบการจัดระยะเขาจัดให้เป็นระยะที่สามหรือ III-A
ประเด็นที่ 3. การพยากรณ์โรค การที่คุณใจเสียเพราะจับคำพูดหมอมาได้ว่าอย่างดีที่สุดคุณจะอยู่ได้ 5 ปีนั้นคุณฟังมาผิดแน่นอน คุณไม่ใช่คนเดียวหรอกที่เข้าใจคำอธิบายหมอผิดแบบนี้ สมัยผมหากินอยู่เมืองนอกคนไข้ของผมเป็นฝรั่งก็เคยเก็ทคำอธิบายของผมผิดแบบนี้เช่นกัน เขาประท้วงผมว่า

“You gave me only 5 years?”

“คุณให้เวลาผมแค่ห้าปีเองหรือ?”

ความเป็นจริงคือหมอเขาพยายามจะอธิบายการพยากรณ์โรค หมายความว่าอธิบายอนาคตของโรคนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยวิธีอ้างอิงสถิติคนไข้โรคเดียวกันระยะเดียวกันที่ป่วยมาแล้วก่อนหน้านี้จำนวนมากว่าพวกเขามีอนาคตอย่างไร วิธีมาตรฐานที่จะบอกอนาคตของโรคมะเร็งที่แพทย์ใช้มีสองแบบ

     แบบที่ 1. บอกเป็นอัตรารอดชีวิตใน 5 ปี (5 years survival rate) แปลว่าคนเป็นมะเร็งแบบนี้ระยะนี้วันนี้ 100 คน ถ้าไปดักดูที่ห้าปีข้างหน้าจะมีชีวิตรอดไปถึงตอนนั้นกี่คน อย่างของคุณนี้เป็นมะเร็งชนิดเซลไม่เล็ก (NSCLC) ระยะที่ 3A อัตรารอดชีวิตในห้าปีคือ 40% หมายความว่าผ่านไปห้าปี คนเป็นโรคนี้ระยะนี้ 100 คน จะเหลืออยู่ 40 คน นี่เป็นสถิติที่ได้มาจากคนร้อยพ่อพันแม่มีปัจจัยต่างๆแตกต่างกัน ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับตัวเราว่าจะอยู่ไปได้อีกกี่ปี เราอาจจะอยู่ไปได้อีก 20 หรือ 30 ปีก็ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆของตัวเรา แต่ยามที่คนไข้กำลังตกใจเรื่องมะเร็ง ฟังหมอพูดยาวเหยียดจะจำได้ไม่หมด จำได้แต่คำว่า 5 ปี จึงเหมาโหลว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 5 ปี ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด..ด มาก

     แบบที่ 2. บอกเป็นระยะเวลารอดชีวิตเฉลี่ย(mean survival time) วิธีนี้หมอไม่ค่อยได้พูดกับคนไข้ เพราะยิ่งพูดคนไข้ยิ่งเข้าใจผิดหนักและยิ่งใจเสีย คืออัตรารอดชีวิตเฉลี่ยนี้บอกเป็นหน่วยเวลา เช่นบอกเป็นเดือน ตัวเลขนี้ได้จากการติดตามดูคนเป็นมะเร็งชนิดนี้ระยะนี้จำนวน 100 คนตามไปจนทุกคนเสียชีวิตหมดเกลี้ยงแล้วเอาเวลาที่มีชีวิตอยู่ทั้งหมดมารวมกันแล้วหารด้วย 100 ได้ตัวเลขออกมาเป็นระยะเวลารอดชีวิตเฉลี่ย อย่างของคุณนี้เป็นมะเร็งเซลไม่เล็กระยะ 3A ระยะเวลารอดชีวิตเฉลี่ยคือ 14 เดือน ผมพูดถึงตรงนี้คุณคงพอเข้าใจแล้วนะว่าทำไมหมอถึงไม่ชอบใช้ตัวเลขนี้พูดกับคนไข้ เพราะพูดไปก็จะสติแตกทันทีว่าฮ้า อยู่ได้แค่ 14 เดือนแค่นั้นเองหรือ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด..ด มาก ทั้งๆที่ความจริงแล้วตัวเลขนี้เป็นสถิติรวมที่ไม่ได้เจาะจงอะไรกับตัวเราเลย แต่ว่าพูดไปแล้วคนไข้จะจำตัวเลข 14 เดือนอยู่ในหัวว่าเป็นวันนัดพบยมพะบาล จะลบอย่างไรก็ไม่ออก ดังนั้นหมอส่วนใหญ่จึงไม่พูดดีกว่า

     จะเห็นว่าการบอกการพยากรณ์โรคนี้พูดอย่างไรก็ฟังดูไม่สร้างสรรค์ทั้งสิ้น ถ้าหมอจะไม่พูดอะไรเสียเลยจะไม่ดีกว่าหรือ ตอบว่าไม่ดีครับ เพราะหมอจำเป็นต้องให้คนไข้เลือกวิธีการรักษา การรักษาแต่ละวิธีมีโทษและประโยชน์ คนไข้ต้องรู้เพื่อเอามาเปรียบเทียบกัน ประโยชน์ของการรักษามะเร็งทางการแพทย์นับกันในรูปของอัตรารอดชีวิตในห้าปีหรือระยะเวลารอดชีวิตเฉลี่ยเท่านั้น ดังนั้นหมอจึงจำเป็นต้องพูดด้วยเหตุฉะนี้

      ประเด็นที่ 4. ความแตกต่างระหว่างยาเคมีบำบัดกับยาทำลายเซลแบบล็อคเป้า ผมอธิบายแยกดังนี้

     ยาเคมีบำบัด (chemotherapy) คือยาที่กินหรือฉีดเข้าไปในร่างกายแล้ว จะเลือกทำลายเซลที่กำลังแบ่งตัวอยู่ทุกเซล ใครมีการแบ่งตัวกันที่ไหนข้าโซ้ยหมด เซลร่างกายปกติที่เขาต้องแบ่งตัวออกลูกหลานทดแทนตัวเองตามปกติก็ไม่เว้น แต่เซลที่ขยันแบ่งตัวคือเซลมะเร็ง ดังนั้นเซลมะเร็งจะโดนโซ้ยหนักกว่าเซลร่างกายปกติ

     ยาทำลายเซลแบบล็อคเป้า (target therapy) ก่อนจะเข้าใจยาตัวนี้ต้องเข้าใจกลไกการแบ่งตัวของเซลมะเร็งก่อน ว่าส่วนใหญ่เขาแบ่งตัวตามคำสั่งของยีน หมายถึงรหัสพันธูกรรมที่อยู่ตรงแก่นกลางของเซลนั้นๆ รหัสพันธุกรรมนี้ ในการจะสั่งการ (up regulate) หรือจะอยู่เฉยใส่เกียร์ว่าง (down regulate) นี้เขาทำหน้าที่ไปตามสวิสต์ที่อยู่ข้างโมเลกุลของเขา ถ้าสวิสต์นี้เปิด เขาก็จะสั่งการให้เซลมะเร็งแบ่งตัว ถ้าสวิสต์นี้ปิด เขาก็จะใส่เกียร์ว่างไม่สั่งให้เซลมะเร็งแบ่งตัว ยาทำลายเซลแบบล็อคเป้าก็คือสารเคมีที่ไปออกฤทธิปิดสวิสต์ตัวนี้นั่นเอง คือตัวยาไม่ได้ไปทำลายเซลโดยตรง แค่ไปปิดสวิสต์เฉยๆ โดยทั่วไปยาทำลายเซลแบบล็อคเป้าจะมีผลข้างเคียงของยาน้อยกว่ายาเคมีบำบัด

     แต่ว่าไม่ใช่ว่าคนไข้คนไหนอยากใช้ยาทำลายเซลแบบล็อคเป้าก็ใช้ได้เลย การจะใช้ยาจะต้องเอาเนื้องอกที่ตัดออกมาแล้วไปตรวจหาว่าเขามีสวิสต์ชนิดที่ยาทำลายเซลแบบล็อคเป้าจะเข้าไปปิดได้หรือเปล่า ถ้าเขาไม่มีสวิสต์อย่างว่า การใช้ยาก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีรูกุญแจอยู่จะเอากุญแจไปปิดอะไรถูกแมะ

     การตรวจหาสวิสต์นี้เรียกว่าการตรวจหาจุดกลายพันธ์ที่ออกคำสั่งได้ (driver mutation) สำหรับมะเร็งปอดที่นิยมตรวจหากันก็มีสองสามตัว เช่น EGFR mutation, ALK traslocation เป็นต้น เอาแต่ชื่อก็พอนะ อย่าให้แปลชื่อเลย เดี๋ยวจะพาคุณงงเข้าป่าเปล่าๆ สวิสต์เหล่านี้มีเทคนิคการตรวจหลายแบบแต่ผมจะไม่พูดถึงในรายละเอียด เทคนิคบางแบบถ้าจำนวนเนื้องอกมีปริมาตรไม่พอก็ตรวจไม่ได้ การตรวจทำได้ในรพ.ขนาดใหญ่ๆ ใช้เวลาตรวจทั้งสิ้นประมาณ 2 สัปดาห์ และแน่นอนว่าต้อง..เสียเงิน

     ประเด็นที่ 5. การรักษามาตรฐาน สำหรับมะเร็งปอดชนิดเซลไม่เล็กระยะ 3A การรักษามาตรฐานมีสามก๊อก คือ

     ก๊อกที่ 1. คือผ่าตัดออก

     ก๊อกที่ 2. ตามด้วยเคมีบำบัด จะใช้ยาเคมีบำบัดมากหรือน้อยตัวก็ตามกำลังที่ผู้ป่วยจะรับได้ (กำลังร่างกายนะ ไม่ใช่กำลังทรัพย์)แต่อย่างน้อยต้องมีพลาตินัม (platinum) เป็นตัวเอ้ การแนะนำให้ทำเคมีบำบัดนี้เป็นมาตรฐานที่แพทย์ต้องแนะนำเพราะมีหลักฐานจากการวิจัยเปรียบเทียบว่าจะทำให้อัตรารอดชีวิตในห้าปีเพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 44.7% หรืออัตรารอดชีวิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้นไปอีกราว 17% คือจาก 14 เดือนเป็นประมาณ 16.4 เดือน ซึ่งเป็นความแตกต่างที่ทางการแพทย์ถือว่ามีนัยสำคัญ

     ก๊อกที่ 3. ส่งเนื้องอกไปตรวจยีนหาสวิสต์ (driver mutation) ถ้าพบว่ามี ก็ให้ยาทำลายเซลแบบล็อกเป้าที่เจาะจงกับเป้าหรือสวิสต์ที่ตรวจพบนั้น ผลของการใช้ยาล็อคเป้าต่ออัตราการรอดชีวิตยังอยู่ในระหว่างการวิจัย ยังสรุปเป็นตัวเลขจะจะที่ตกลงกันทุกฝ่ายไม่ได้ แต่มาตรฐานการรักษาก็แนะนำให้ใช้ถ้าตรวจพบเป้า

     ในชีวิตจริงก๊อกที่ 1 ไม่มีปัญหา ทั้งคนไข้ทั้งหมอมักตกลงกันได้เป็นเอกฉันท์ แต่ก๊อกสองมีปัญหา เพราะคนไข้สมัยนี้ไม่เอาคีโมแต่หมอจะให้ บางทีก็มักมาประนีประนอมตกลงกันได้ตรงก๊อกที่ 3 หมายความว่าโอเค...โอเค. ไม่เอาคีโมก็ได้ แต่ให้ยาล็อคเป้าก็แล้วกัน

     ถามหมอสันต์ว่าควรรับเคมีบำบัดไหม ตอบว่าคุณประโยชน์ของยาเคมีบำบัดที่ว่ายืดเวลามีชีวิตอยู่ไปได้อีกราวสิบเปอร์เซ็นต์นั้น ผมเองมองว่าชั่งน้ำหนักกับการที่ต้องจับไข้หัวโกร๋นเข้าๆออกๆโรงพยาบาลนั้น โหลงโจ้งแล้วมันได้อย่างเสียอย่างพอๆกัน จะตัดสินใจเลือกทางไหนก็ได้ครับสุด แล้วแต่คุณ

     แต่ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของเคมีบำบัดที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือเคมีบำบัดเป็นเครื่องมือหลอมรวมพลังใจของหมอ ญาติ และคนไข้ ให้มาอยู่ในแนวเดียวกัน พูดง่ายๆว่าเคมีบำบัดเป็นยารักษาโรคประสาทให้ทุกฝ่าย คือผมเห็นคนไข้ที่ปฏิเสธเคมีบำบัดมักต้องรบกับทั้งหมอและทั้งญาติผู้หวังดีประสงค์ดีทั้งหลายด้วยจนตัวเองหมดพลัง แทนที่จะได้พลังจากผู้หวังดีเหล่านั้นมาเสริมพลังตัวเอง ถ้าคุณเหนื่อยกับการแข็งขืนแบบนั้นทำไมไม่ลองคุยกับหมอเรื่องการให้เคมีบำบัดด้วยยาตัวเดียว (single drug therapy) ดูละครับ เพราะผลวิจัยเคมีบำบัดแบบใช้พลาตินัมตัวเดียวในผู้ป่วยมะเร็งปอดก็ให้ผลดีใกล้เคียงการให้ยาควบหลายตัวโดยที่ผลข้างเคียงน้อยกว่ากันมาก เผื่อจะเป็นช่องทางให้เกิดความลงตัวได้

     ประเด็นที่ 6. โภชนาการสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ตรงนี้ก็เป็นอีกสนามหนึ่งที่คนไข้จะต้องเหนื่อยทะเลาะกับหมอและญาติผู้หวังดี หมอนั้นแน่นอนว่าจะกดดันให้คนไข้กินอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์มากๆเพราะโดยธรรมชาติขณะหมอรักษาคนไข้ก็จะรักษาใจตัวเองไปด้วย ดัชนีหนึ่งที่หมอใช้ตามดูผลการรักษาก็คือน้ำหนักตัวของคนไข้ ถ้าคนไข้น้ำหนักลด หมอก็ใจหาย

     ความขัดแย้งมักจะเกิดขึ้นตรงที่ด้านหนึ่งหมอจะให้กินโปรตีนเยอะโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อสัตว์ แต่คนไข้เชื่อว่าเนื้อสัตว์จะไปเป็นอาหารแก่เซลมะเร็งทำให้ตัวเองยิ่งแย่ อีกด้านหนึ่งหมอไม่อยากให้คนไข้ซี้ซั้วกินวิตามิน อาหารเสริม สมุนไพร เพราะกลัวจะไปตีกับยาเคมีบำบัด เพราะหมอเองก็ไม่รู้ว่าอาหารเสริมสมุนไพรเหล่านั้นจริงๆแล้วมันออกฤทธิ์กันอย่างไรบ้าง จึงอยากจะให้คนไข้อยู่ห่างๆไว้ก่อน แต่สำหรับคนไข้ พืชผักสมุนไพรอาหารเสริมทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นคือความหวังที่แท้จริงของเขา ไม่ใช่ยาเคมีบำบัด การทะเลาะกันจึงมักจบลงด้วยการหมอขึ้นเสียง คนไข้เงียบ แต่ก็แอบกินอะไรที่ตัวเองเชื่อต่อไป ส่วนหมอก็ดีใจว่าคนไข้ยอมแพ้และเลิกกินวิตามินสมุนไพรอาหารเสริมไปแล้ว

น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบจนสรุปได้ว่าระหว่างหมอกับคนไข้ใครผิดใครถูก อาหารที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งควรจะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนอกเหนือไปจากอาหารที่ดีสำหรับคนทั่วไปเราก็ยังไม่รู้ ผมจึงไม่มีข้อแนะนำอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ นอกจากประเด็นในทางปฏิบัติบางประเด็นเช่น

     1. จะกินอะไรบ้างนั้นผมแนะนำให้ยึดหลักอาหารที่ดีสำหรับคนทั่วไปนั่นแหละว่าเป็นอาหารที่ดีสำหรับผู้ป่วยมะเร็งด้วย ประเด็นคือขอให้มันอร่อยๆพอกินได้หรือพอกินลงไว้ก่อน เพราะเคมีบำบัดทำให้อาหารขมไปหมด เนื้อก็ขม น้ำก็ขม จนบางครั้งต้องบีบมะนาวใส่น้ำนิดหน่อยจึงจะพอดื่มได้ ดังนั้นผมแนะนำว่าอย่าไปหันหลังให้กับสิ่งปรุงรสถ้ามันจะช่วยให้ทานสิ่งที่มีประโยชน์ได้ อย่างเช่นน้ำพริกทำให้ทานผักได้ ก็ควรใช้น้ำพริกช่วย ถ้าเนื้อมันขมก็ต้องไปลองไข่ หรือหรือปลา หรือถั่วต่างๆ ไปตามเรื่อง หัดปรุงรสด้วยเทคนิคการทำอาหาร เช่น ใช้โยเกิร์ตเป็นตัวให้รสเพื่อให้ทานถั่วและนัทต่างๆได้ ใช้คาร์โบไฮเดรตแบบไม่ขัดสีเช่นข้าวต้มธัญพืชร้อนๆส่งกลิ่นกรุ่นๆเป็นตัวเสริมรสเป็นต้น

     2. อย่ายอมท้องผูก ดื่มน้ำเยอะๆ ทานกากเยอะๆ ถ้าไม่เคยทานกากก็ต้องค่อยๆเพิ่มวันละนิด ไม่ใช่เพิ่มกากในอาหารแบบพรวดพราดจะแน่นท้องเกินไป ออกกำลังกายทุกวันจะทำให้ท้องไม่ผูกมาก

     3. อย่าไปพยายามอ้วนเพื่อเอาใจคนอื่น เพราะคนพอรู้ว่าเราเป็นมะเร็งก็จะทักว่าผอมไปนะ ต้องนั่นต้องนี้ ให้คุณไขหูเสีย แต่มุ่งมั่นไปสู่น้ำหนักที่พอดีสำหรับตัวเอง นั่นก็คือน้ำหนักที่ทำให้ดัชนีมวลกายอยู่ประมาณ 20-22  ถ้ารีดน้ำหนักลงไม่ไหวก็จะใช้สูตรที่สบายกว่านั้นก็ได้คือให้ดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 18.5 – 25 นั่นหมายความว่าสำหรับคนที่อ้วนอยู่ก่อน ช่วงเป็นมะเร็งก็ต้องใช้หลักผอมดีกว่าอ้วน ทานผักแยะๆ ไขมันน้อยๆ

     วันที่ผมหยิบจดหมายของคุณขึ้นมาตอบนี้เป็นวัน Christmas Eve พอดี สปิริตคริสมาสเนี่ย ใช้รักษามะเร็งได้นะครับ สปิริตคริสต์มาสคือ ความรัก ความหวัง และความร่าเริงบันเทิงใจ ทั้งสามอย่างนี้จะทำให้จิตใจของคุณดี ซึ่งจะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณดี แล้วสำหรับมะเร็งทุกชนิด ไม่มีปราการไหนจะแข็งแร็งหรือมีประสิทธิผลมากไปกว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราหรอกครับ..so,

..Merry Christmas นะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม
1. Lindeman NI, Cagle PT, Beasley MB, et al. Molecular testing guideline for selection of lung cancer patients for EGFR and ALK tyrosine kinase inhibitors: guideline from the College of American Pathologists, International Association for the Study of Lung Cancer, and Association for Molecular Pathology. J Thorac Oncol 2013; 8:823.
2. Shi Y, Au JS, Thongprasert S, et al. A prospective, molecular epidemiology study of EGFR mutations in Asian patients with advanced non-small-cell lung cancer of adenocarcinoma histology (PIONEER). J Thorac Oncol 2014; 9:154.
3. Silvestri GA, Tanoue LT, Margolis ML, et al. The noninvasive staging of non-small cell lung cancer: the guidelines. Chest 2003; 123:147S.

[อ่านต่อ...]

20 ธันวาคม 2558

เกือบตายคางานเลี้ยง..บทเรียนก่อนวันปีใหม่



เรียนคุณหมอสันต์

ผมอายุ 65 ปี นั่งกินเลี้ยงส่งเพื่อน เพียงแต่ดื่มน้ำขิงจิบแรกแล้วก็สำลัก รู้สึกแน่นหน้าอก พูดไม่ออก จะเรียกเอาน้ำเปล่าเขาก็ยังไม่ทันเสริฟน้ำ ได้แต่ไอ ไอ ไอ แต่ว่าไม่มีเสียง จะพูดกับใครว่าอย่างไรก็ไม่มีเสียง คนอื่นที่ร่วมโต๊ะก็ไม่มีใครรู้ว่าผมมีปัญหาอะไร ผมรู้สึกว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างผมจะต้องตายแน่ ขณะที่สติยังดีอยู่ผมจึงรีบวิ่งไปห้องน้ำแล้วล้วงคอตัวเองอ๊วกและไออยู่หลายครั้งจนเจ็บซี่โครงไปหมดจึงค่อยๆหายแน่นหน้าอกและเริ่มไอมีเสียงแหบๆออกมา แล้วจึงกลับมาร่วมโต๊ะใหม่โดยไม่พยายามกินอะไรอีกเลยนอกจากน้ำเปล่า
ผมรู้สึกว่านับตั้งแต่ผมผ่าตัดแก้ไขโรคนอนกรน ผมก็สำลักอะไรง่ายมากขึ้นกว่าเดิม ปกติผมเป็นคนชอบกินอะไรเร็ว เป็นเพราะการผ่าตัดด้วยหรือเปล่า จะว่าผมกลืนอะไรชิ้นโตๆลงไปติดในคอก็ไม่ใช่ เพราะบางครั้งผมแค่จิบหรือกลืนอะไรเป็นน้ำๆนิดเดียวก็ไอเสียงแหบงอไปงอมาแล้ว พอไอแล้วก็จะเริ่มแน่นหน้าอกสูงๆหน่อยค่อนมาถึงระดับคอ และรู้สึกว่าอีกสักพักอาจตายได้ ผมเป็นบ่อยเสียจนคิดว่าตัวเองขยันดูแลตัวเองมาอย่างดีออกกำลังกายทุกวันแต่คงจะมาตายน้ำตื้นด้วยเรื่องง่ายๆแบบนี้ ผมควรจะเตรียมตัวแก้ปัญหาอย่างไรดี จะล้วงคออาเจียนดีไหม จะสูดดมยาขยายหลอดลมแบบคนเป็นหอบหืดดีไหม ผมพยายามไปค้นดูในอินเตอร์เน็ทก็ไม่เห็นมีคำแนะนำอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักอันเดียว ผมค้นในภาษาไทยนะครับ

.................................................................

ตอบครับ

     ก่อนตอบคำถามผมขออนุญาตท้วงติงพี่ท่านหน่อยนะ เพราะท่านสูงวัยกว่าผมจึงมีศักดิ์เป็นพี่ ว่าปูนนี้แล้วพวกเราซึ่งเป็นผู้สูงอายุแล้วสมควรต้องเจียมบอดี้ในเรื่องการกลืนไว้บ้าง คือเจียมว่าระบบการกลืนของคนเรานั้นเป็นการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic nervous system) ซึ่งเคยแยบยลและออกแบบไว้อย่างละเอียดอ่อนมาก และเขาทำของเขาเองสมองไปสั่งการอะไรเขาไม่ได้ แต่ว่าระบบประสาทอัตโนมัตินี้พอแก่ตัวลงแล้วมันจะเริ่มรวนเหมือนระบบไฟฟ้าในรถยนต์เก่านั่นแหละ ภาษาหมอเขาเรียกว่า dysautonomia การกลืนก็ไม่แยบยลเหมือนเดิม หนุ่มๆเคยเอาหัวห้อยลงแล้วยังกลืนได้ ปูนนี้แล้วถ้าจะลองทำก็อาจจะได้กลับบ้านแทน..หิ หิ ขอโทษ พูดเล่น ดังนั้นคุณพี่จะต้องชดเชยการทำงานที่คุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานของระบบประสาทอัตโนม้ติด้วยการทำงานของกล้ามเนื้อลาย หมายถึงกล้ามเนื้อที่เป็นลูกน้องสายตรงของเราซึ่งสมองเราสั่งได้ (voluntary muscle) ด้วยการกินอย่างตั้งใจ กินอย่างสโลวโมชั่น ค่อยๆบรรจงเคี้ยวเอื้องไป เคี้ยวอย่างตั้งใจ ลิ้มรสอย่างตั้งใจ จนอาหารเหลวเป็นครีม แล้วจึงค่อยๆบรรจงกลืน ก่อนกลืนก็ตั้งสติก่อนว่า เฮ้ย.. ข้าจะกลืนแล้วนะ แล้วค่อยกลืนช้าๆ กลืนอย่างตั้งใจ เวลาจะจิบน้ำ แม้จะเป็นน้ำเปล่าๆอุ่นๆอยู่นี่ก็ตาม อย่าได้ทำตัวแบบสมัยหนุ่มๆคว้าแก้วได้แล้วซดพรวด แบบนั้นมีหวังได้กลับบ้านง่ายๆอีกเหมือนกัน ยิ่งเป็นน้ำที่มีความระคายเคือง เช่นน้ำขิง น้ำมะนาว พี่ท่านต้องจิบเข้าไปตั้งหลักไว้ในปากก่อน รับรู้รสของเขาก่อน ให้โมเลกุลของเขาฟุ้งกระจายไปในลำคอและกล่องเสียงให้สายเสียงได้คุ้นเคยก่อน สักพักจนแน่ใจว่ากล่องเสียงและสายเสียงรับกลิ่นหรือสู้ความระคายเคืองของเขาได้ ไม่สำลัก ไม่ไอ ไม่จาม จึงค่อยๆบรรจงกลืนลงไปทีละนิด ทีละนิด อย่างช้าๆ การจิบคำต่อๆไปก็ใช้หลักเดียวกัน อย่าพรวดพราดแบบสาดเหล้าลงคอเป็นอันขาด

     เอาละ คราวนี้มาตอบคำถามของพี่ท่าน เพื่อประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านท่านอื่นด้วย ผมขอแยกตอบเป็นสองกรณีนะ

     กรณีที่ 1. เมื่อสำลักอาหาร (aspiration) เป็นก้อนๆหรือเป็นคำๆลงไปในหลอดลม แล้วอาหารนั้นลงไปอุดกั้นหลอดลมทำให้ลมวิ่งเข้าออกมาได้ ผู้สำลักจะมีอาการแน่นที่คอ หายใจเข้าออกไม่ได้ พยายามจะพูดออกมาแต่ไม่มีเสียง มักเอามือกุมคอไว้ แล้วมีสีหน้าแตกตื่นเลิ่กลั่ก วิธีช่วยเหลือ (Heimlich maneuver) มีสองวิธี คือ

     วิธีที่ 1. การช่วยเหลือโดยคนอยู่ใกล้ ทำได้โดยผู้ช่วยเหลือถามให้แน่ใจว่า “คุณสำลักรึเปล่า” ถ้าผู้สำลักพยักหน้าเลิ่กลั่กหรือนิ่งไม่ปฏิเสธชัดเจนให้ผู้ช่วยเหลือเข้าไปข้างหลังของเขา เอามือสองข้างโอบรอบพุงเอวผู้สำลัก กำหมัดข้างหนึ่งกดท้องระดับเหนือสะดือแต่ใต้ลิ้นปี่ หมายถึงใต้ปลายล่างของกระดูกหน้าอก เอาอีกมือหนึ่งกำรอบหมัดของมือแรก เกร็งกำลังแขนสองข้างแบบเบ่งกล้าม แล้วกระชากสองมือเข้าหาตัวเองสุดแรงในลักษณะตั้งใจจะส่งแรงอัดเข้าไปในท้องของผู้สำลัก แบบว่าปึ๊ก..ก...ก ปึ๊ก.ก..ก ปึ๊ก.ก..ก ทำซ้ำๆหลายๆครั้ง จนผู้สำลักสามารถไอหรือจามหรือพูดออกมาให้ได้ยินเสียง ผมลงรูปให้ดูด้วย รูปนี้เป็นของสมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) ไม่ได้ขอลิขสิทธิ์เขาดอก แต่ถ้าถูกจับก็คงไม่ต้องเดือนร้อนให้ท่านผู้อ่านไปประกัน เพราะตัวผมเองเคยทำงานให้ AHA ตั้งหลายปี น่าจะยังมีคนจำหน้าผมได้อยู่

     วิธีที่ 2. การช่วยเหลือตัวเอง เมื่อพยายามหาคนข้างๆช่วยแล้วไม่มีใครเข้าใจ วิธีทำก็คือขณะที่สำลัก หายใจเข้าก็ไม่ได้ออกก็ไม่ได้อยู่นั้น คุณมีเวลาประมาณไม่เกิน 4 นาทีก่อนที่คุณจะหมดสติ และไม่เกิน 8 นาทีก่อนที่สมองของคุณจะตายแบบกู่ไม่กลับ ขณะตั้งสติได้ ให้คุณลุกออกมาด้านหลังเก้าอี้ของตัวเอง กำหมัดมือหนึ่งไว้ระดับเหนือสะดือใต้ลิ้นปี่ (ตรงพุง ไม่ใช่ตรงกระดูก) เอาอีกมือหนึ่งกำรอบหมัดแรก วางท้องพาดพนักเก้าอี้ให้มือทั้งสองที่กำไว้นั้นเป็นตัวรับน้ำหนักที่พนัก แล้วโยนตัวเองในลักษะกระแทกตัวลงไปข้างหน้าแบบจงใจให้ท้องกระแทกพนักเก้าอี้แรงๆ กระแทกแต่ละครั้งก็อ้าปากไอออกมาแรงๆพร้อมกับร้องว่า

     "..ฮ้า"

     ทำซ้ำหลายๆครั้ง แต่ละครั้งก็พยายามร้องเสียงดังแบบไม่ต้องเกรงใจใคร เพราะคุณกำลังจะตายอยู่แล้ว

     "ฮ้า...ฮ้า....ฮ้า..."

     ภาพที่ผมเอามาลงให้ดูนี้ผมได้ขออนุญาตมาจากรพ.จอห์นฮอพคินส์ ( www.hopkinsmedicine.org ) จึงต้องขอขอบคุณทางรพ.ที่ให้การอนุญาตไว้ ณ ที่นี้ด้วยอีกครั้ง

          กรณีที่ 2. คือกรณีไม่ได้สำลัก แต่แค่จิบของเหลว หรือดมไอระเหยก็เกิดแน่นคอแน่นอกหายใจเข้าออกไม่ได้ไอจามตัวงอแน่นหน้าอกจะเป็นจะตายเอาเสียแล้ว แบบนี้ไม่ได้เกิดจากอาหารเป็นก้อนลงไปจุกหลอดลม แต่เกิดจากตัวอาหารหรือไอของอาหารเช่นไอของน้ำขิงหรือไอของพริกไประคายเคืองสายเสียง (vocal cord) ทำให้สายเสียงเกร็งตัวในจังหวะที่ควรจะคลายตัว (vocal cord dysfunction) สายเสียงนี้มีสองเส้น เมื่อเขาเกร็งตัวทั้งสองเส้นจะช่วยกันปิดกล่องเสียงจนลมเข้าออกแทบไม่ได้เลย เรื่องอาหารไปกระตุ้นสายเสียงนี้กลไกการเกิดเป็นอย่างไรวงการแพทย์ก็ยังไม่ทราบชัด ทราบแต่ว่ามักพบในกรณีกรดไหลย้อน สำลักน้ำแกง สูดดมสารเคมีแรงๆ หรือแพ้ไอระเหยแบบรุนแรง (anaphylaxis) การแก้ปัญหาในกรณีนี้ไม่ใช้วิธีกดกระแทกหน้าท้องโดยคนอื่นหรือโดยตัวเองนะ แต่ต้องแก้ปัญหาโดยวิธีฝึกหายใจผ่านลำคออย่างผ่อนคลาย (relaxed throat breathing exercise) คือต้องฝึกซ้อมทำบ่อยๆก่อนเกิดเรื่อง วิธีฝึกคือก่อนและหลังฝึกก็จิบน้ำเปล่าๆเบาๆเสียก่อน แล้วนั่งตัวตรงเอาฝ่ามือสองข้างมือกุมท้องตัวเองไว้เพื่อให้สติอยู่ที่การใช้ท้องช่วยการหายใจ จากนั้นจึงทำปากจู๋เป็นรูเท่าหลอดกาแฟแล้วดูดลมเข้าปอดทางรูจู๋ เอ๊ย ไม่ใช่ทางรูปากจู๋นี้ การทำปากจู๋นี้ถ้าทำไม่เป็นจะเอาหลอดกาแฟจริงๆมาตัดเป็นท่อนสั้นๆแล้วอมแล้วดูด อมแล้วดูด ก็ได้ ดูดลมเข้าปอดช้าๆใช้เวลานานราว 1 วิ แล้วพ่นลมออกทางปากจู๋นี้ช้าๆใช้เวลา 2-3 วิ เข้าออกๆ การประมาณเวลาว่าแค่ไหนสามวินาทีจะใช้หลักของกรรมการบาสเก็ตบอลก็ได้ คือเขาถือว่านับในใจหนึ่งสองช้าๆเท่ากับหนึ่งวินาที สามวินาทีก็นับหนึ่งสอง หนึ่งสอง หนึ่งสอง สามครั้งโดยประมาณ ฝึกหายใจอย่างผ่อนคลายเข้าออกๆแบบเนี้ยะสักสิบรอบ วันหนึ่งทำสักห้าครั้ง คือฝึกให้เก่งเสียก่อนที่จะไปเกิดอาการจริงๆ เมื่อใดที่จิบอะไรที่ระคายเคืองแล้วเกิดอาการขึ้นจริงๆก็ตั้งสติ เอาเทคนิคนี้ไปใช้ ค่อยๆทำปากจู๋หายใจอย่างผ่อนคลายไปช้าๆ อย่าตาลีตาเหลือกรีบหายใจ ทำอย่างน้้นสายเสียงจะยิ่งปิดและยิ่งไม่ได้อากาศ

     อีกเทคนิคหนึ่งที่จะใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ก็คือเทคนิคหมาหอบแดด ชื่อเทคนิคนี้ผมตั้งให้เอง คำจริงเขาเรียกว่า panting คืออ้าปากแลบลิ้นออกมายาวเฟื้อยแล้วหายใจเข้าออกสั้นๆ ฮะหะ..ฮะหะ..ฮะหะ ก็พอช่วยให้สายเสียงคลายตัวได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน

     ถามว่าการผ่าตัดแก้ไขโรคนอนกรนทำให้คุณสำลักง่ายขึ้นได้หรือไม่ ตอบว่าเป็นไปได้..ถ้าโชคไม่ดีหมอเขาไปโซ้ยเอาแขนงของเส้นประสาทคุมสายเสียง (laryngeal nerve) เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าคุณอยากรู้ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าก็ต้องไปให้หมอหูคอจมูกเขาตรวจการทำงานของสายเสียงดู แต่ไม่ว่าผลการตรวจจะเป็นอย่างไรเส้นประสาทคุมสายเสียงของคุณก็ซ่อมไม่ได้หรอก วิธีแก้ปัญหาก็ยังต้องมาฝึกกลืนอย่างมีสติและทำการฝึกหายใจผ่านลำคออย่างผ่อนคลายอยู่นั่นเอง

     ....นี่อีกหลายวันกว่าจะถึงวันงานเลี้ยงปีใหม่ คุณพี่ตั้งใจซ้อมไว้ก็ดีนะครับ


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

08 ธันวาคม 2558

ปาย.. ถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือ

เราไปตั้งหลักกันที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง 
ห้วยน้ำดัง

เรามากันสามคนพ่อแม่ลูก ขับรถเช่่าอีซูสุ.มิวเอ็กซ์โฟร์วีลไดรฟ์ออกจากสนามบินเชียงใหม่ ทริปนี้เรามีเวลาสามวันสองคืน มิชชั่นหลักก็คือเพื่อขึ้นไปเยี่ยมชมไร่กาแฟของเพื่อนผู้อาวุโสกว่าท่านหนึ่ง ซึ่งท่านปลีกวิเวกขึ้นมาทำไร่กาแฟบนเขาที่ทางไปเมืองปาย และไหนๆก็มาแล้ว เราจึงวางแผนว่าจะขับไปตั้งหลักเที่ยวที่เมืองปายสักหนึ่งวันก่อน แล้วจึงค่อยขึ้นไปไร่กาแฟ ออกจากสนามบินเราขับตามจีพีเอส. เพื่อไปตั้งหลักเริ่มต้นที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง วันนี้สามารถเข้ามาในอุทยานโดยไม่ต้องเสียเงิน เพราะเป็นวันพ่อ

อะฮ้า แหล่งพลังงานทดแทนเนื้อสัตว์
     มาถึงก็หิวแล้ว เพราะเลยเวลาอาหารเที่ยงมาเกือบชั่วโมง พอจอดรถได้ สิ่งแรกที่เตะตาก็คือหญิงลีซอขายมันเทศย่าง อะฮ้า..คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน แหล่งพลังงานอย่างดีทดแทนเนื้อสัตว์ ผมรี่เข้าไปอุดหนุนก่อนเลยจนลูกชายทักท้วงว่าจะไม่ถ่ายรูปวิวสวยๆก่อนหรือ ผมถามหญิงชาวลีซอที่ขายว่านี่คุณปลูกเองหรือ เธอตอบว่า

     "ไม่ช่า ซื้อมาจากเชียหม่า"

     ใกล้กันหญิงสาวลีซออีกคนหนึ่งขายน้ำขิงร้อนๆ เธอได้ยินเราคุยกันจึงรีบจับประเด็นไปเพิ่มมูลค่าสินค้าของเธอทันที

     "น้ำขิงร้อ..ร้อ ปลูกเอโต้เอ"

     ซื้อมันเทศเผาแล้วไม่ซื้อน้ำขิงได้ไง ถูกแมะ ไม่ว่าเธอจะพูดว่าอย่างไร ผมก็ต้องอุดหนุนน้ำขิงอยู่แล้ว เพราะมันเทศเผากับน้ำขิงเนี่ย มันของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ

ดอกบัวตองข้างกระต๊อบชาวบ้านที่ริมถนน
     เสร็จจากซื้อของกินแล้ว ยัง..ยังไม่ถึงคิวดูวิวถ่ายรูป เราเห็นป้ายว่าร้านอาหารชี้ไปทางโน้น เราตรงแน่วไปตามป้ายก่อน เป็นร้านอาหารของวนอุทยาน สะอาด สะอ้าน บริการแบบราชการ ท่านต้องร่างนโยบายแถลงวัตถุประสงค์เป็นลายลักษณ์อักษรก่อนจึงจะได้กิน เราสั่งผัดสิ้นคิดโปะไข่ดาวมานั่งกิน อุณหภูมิราว 15 องศา แต่เรามาจากกรุงเทพไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวมามากพอ โชคดีที่หลังคาร้านอาหารแห่งนี้เขาเจาะช่องเอาแดดลงมาเป็นจุดๆ จึงขยับที่นั่งให้ตัวเองตากแดดพอให้หายสั่นไปได้

     อิ่มอร่อยแล้วคราวนี้จึงถึงคิวเดินดูวิวถ่ายรูป ห้วยน้ำดังนี้คนเขาจะมาดูทะเลหมอกกันตอนเช้า แต่เรามาดูทะเลคนตอนบ่ายแทน บรรยากาศก็น่ารื่นรมย์ไม่แพ้กัน วิวดี ดอกไม้สวย อากาศเย็น ผู้คนแต่งตัวเต็มยศจนบางคนดูตะลุ้กปุ๊กไปหน่อย แต่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นบรรยากาศฮอลิเดย์ทริปของแท้ เราดูวิวถ่ายรูปแล้วก็ชวนกันเดินทางต่อไป ผมถามเจ้าหน้าที่อุทยานว่าจุดท่องเที่ยวที่ดีที่สุดจากนี้ไปคือที่ไหน เขาตอบว่าต้องไปดูสะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย ซึ่งเป็นสะพานที่ญี่ปุ่นสร้างไว้เพื่อการเดินทัพสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย

นี่..มันสะพานนวรัฐนี่หว่า
     จากจุดชมวิวดอยกิ่วลมในอุทยานห้วยน้ำดัง เราขับกลับลงเขามา 6 กม. ก็ถึงถนนสายเชียงใหม่ปาย แล้วเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปปาย ขับมาอีกราวยี่สิบกม.ก็ถึงจุดที่นักท่องเที่ยวจอดกันเต็ม มีป้ายตัวบะเฮ่งว่า "สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย" พวกเราจอดรถลงไปดูและถ่ายรูปด้วยความกระตือรือล้น แต่พอลงไปถึงสะพาน ผมก็เผลออุทานว่า

     "เฮ้ย..นี่มันสะพานนวรัฐนี่หว่า"

     คือย้อนหลังไปประมาณปีพ.ศ. 2512 ผมเป็นจิ๊กโก๋..เอ๊ย ไม่ใช่ เป็นนักศึกษาอยู่แม่โจ้ เชียงใหม่ ความที่มีเชื้อคริสต์อยู่ด้วย ผมจึงได้ไปสนิทสนมกับบราเดอร์คนหนึ่งเป็นฝรั่งสอนอยู่ที่โรงเรียนปรินซ์รอย ฝรั่งคนนี้ได้มอบภาพ "ขัวเหล็ก" หรือสพานวรัฐซึ่งทอดข้ามลำน้ำปิงที่เชียงใหม่ให้ พร้อมกับเขียนคำสอนไว้ใต้ภาพทำนองว่าให้ผมเลิกเป็นจิ๊กโก๋เสียเถอะ มันไม่ดี ผมจำรายละเอียดของคำสอนของเขาไม่ได้ดอก แต่จำภาพขัวเหล็กได้ เพราะผมเสียบภาพขัวเหล็กนี้ไว้บนหัวนอนผมอยู่หลายปีก่อนที่จะหายสาบสูญไปไหนก็ไม่รู้ในเวลาต่อมา มาเห็นขัวเหล็กที่เมืองปายจึงจำได้แม่น และเมื่อไปอ่านดูป้ายให้ความรู้ที่เขาตั้งไว้ก็จึงถึงบางอ้อ สพานที่ญี่ปุ่นสร้างไว้ของจริงนั้นเป็นสะพานไม้ ถูกชาวเมืองปายรื้อไปทำฟืนเรียบร้อยหมดแล้ว หิ หิ พูดเล่น ป้ายจริงเขาบอกว่าสะพานไม้นั้นญี่ปุ่นระเบิดทิ้งตอนใกล้จะแพ้สงคราม พอมาปีพ.ศ. 2518 เขาจึงเอาสะพานนวรัฐที่รื้ออกมาจากเชียงใหม่มาสร้างไว้ที่นี่ให้คนดูเล่น

     จบการถ่ายรูปขัวเหล็กแล้ว เราต้องเดินหน้าต่อไป ผมเสาะหาคำแนะนำที่ท่องเที่ยวใกล้ๆเอาจากแม่ค้า เธอแนะนะว่าให้ไปเที่ยวปายแคนยอน ผมถามว่า

ปาย..ไมโครแคนยอน ฝรั่งว่าดีกว่าแกรนด์แคนยอน
     "อะไรนะ แกรนด์ แคนยอนหรือ"

     เธอพูดช้าๆเป็นภาษากรุงเทพให้ฟังชัดถ้อยชัดคำว่า

    "ปาย แคนยอน ค่ะ" ผมอดติดใจไม่ได้จึงถามว่า

     "แล้วมันเหมือนกับแกรนด์ แคนยอน หรือเปล่า" เธอตอบว่า

     "เหมือนกันนั่นแหละ แต่ฝรั่งเขาว่าปายแคนยอนดีกว่า" 

    พอกลับมาขึ้นรถภรรยาถามว่าไปไหนต่อ ผมตอบว่าไป "มินิแคนย่อน" พอขับรถไปถึง ซึ่งก็แค่ราวไม่เกิน 5 กม. เราจอดรถไว้แล้วเดินขึ้นเขาไปราวสามร้อยเมตร พอไปถีงผมต้องเปลี่ยนชื่อเสียใหม่

     "เมื่อกี้บอกชื่อผิด ขื่อจริงเขาคือปาย..ไมโครแคนย่อน"

สองข้างคือเหว ไม่มีระบบความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้น
     เราไปถึงได้สักพักก็ประเมินสถานะการณ์ออกว่านักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดจะออกันแน่นอยู่ที่ฝั่งแผ่นดินใหญ่ที่เราเพิ่่งขึ้นไปถึง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นทางเดินวกวนกว้างประมาณครึ่งเมตรเข้าไปในป่านั้นมีนักท่องเที่ยวข้ามไปน้อยมาก มีแต่ฝรั่งอยู่สองสามคน สาเหตุที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ไปเดินในส่วนที่เรียกว่า "แคนยอน" นั้นก็เพราะจะต้องเดินผ่านทางเดินที่เป็นขอบผาหินผสมดินสีเหลืองส้ม หน้ากว้างราว 50 ซม. สองข้างเป็นเหวลึก ไม่มีราวกันตกหรือระบบความปลอดภัยใดๆรองรับทั้งสิ้น ใครคิดจะเข้าไปเดินในแคนยอนต้องตั้งนะโม ท่องพ่อแก้วแม่แก้วประคองสติไม่ให้ขาสั่นเอาเอง

วิวสวย แต่จิตหมกมุ่นอยู่กับความกลัวตกเหว
     ผมชวนภรรยาและลูกข้ามปากเหวเข้าไปเดินในแคนย่อน ภรรยาไม่เอาด้วย แต่ลูกชายตกลง เราเข้าไปเดินไปตามปากเหว บ้างจุดต้องปีนขึ้นปีลง เผลอไถลบ้าง ถลอกปอกเปิดบ้างเล็กน้อย วิวสวยมาก แต่ส่วนใหญ่จิตจะวิตกอยู่กับความกลัวตกเหว ทำให้ความสวยของวิวกลายเป็นเรื่องนอกประเด็นไป เดินและปีนกันอยู่นานราวหนึ่งชั่วโมง ก็กลับมายังที่ภรรยารออยู่ได้โดยสวัสดิภาพ มาถึงก็เห็นว่าคนที่ว่าแน่นอยู่แล้วตอนนี้แน่นขึ้นอีกราวสามเท่า ฟังว่าเขาแห่มาดูพระอาทิตย์ตกติดกัน แต่มองไปทางไหนก็มีแต่หัวคน เราก็เกร่รอดูหัวคนจนพระอาทิตย์ตกดิน แล้วจึงชวนกันเดินทางต่อไป

ถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือ
     พอออกมาถึงที่จอดรถ จึงได้เห็นป้ายเล็กๆบอกชื่อสถานที่ที่เป็นทางการของที่นี่ ชื่อ "กองแลน" ปั๊ดโธ่ ชื่อจริงเขาอย่างนี้นี่เอง คำว่า "กองแลน" เป็นภาษาเหนือ "กอง" แปลว่าตรอกแคบๆ "แลน" แปลว่ากวาง กองแลนก็คือตรอกแคบๆที่กวางใช้เดิน ถ้ารู้ชื่ออย่างนี้เสียแต่แรกก็ไม่ต้องจินตนาการผิดไปใหญ่โตแล้ว ใครนะมาตั้งชื่อว่าปาย แคนย่อน ช่างขี้จุ๊จริงๆ
   
ข้าวปุกงา 
     ค่ำแล้ว เราขับรถเข้าเมืองปาย หาที่จอดรถไม่ได้ จะไปจอดที่อำเภอเขาก็มีงานถวายพระพรกับ ในที่สุดก็ไปได้ที่จอดที่โรงเรียน ซึ่งคณะครูและนักเรียนพากันมาจัดบริการให้เช่าที่ เราจอดรถแล้วก็ไปเดินถนนคนเดินในเมืองปายยามกลางคืน บรรยากาศก็คือถนนข้าวสารดีๆนี่เอง แต่ความที่มันมีอากาศหนาวและมันอยู่เหนือ ผมจึงของเรียกว่า "ถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือ" ก็แล้วกัน มีคนมาจากให้กันบ้างก็ไม่รู้ ทั้งฝรั่ง ไทย จีน จำนวนสักเจ็ดแสนเจ็ดหมื่นคนเห็นจะได้ ข้างพวกพ่อค้าแม่ขายก็ค้าขายสินค้ากันสาระพัดแบบ แม่ค้าคนหนึ่งร้องขายสินค้าซึ่งเธออ้างว่าถ้ามาเมืองปายแล้วไม่ได้กินก็เท่ากับมาไม่ถึงเมืองปาย สอบถามได้ความว่าขาย "ข้าวปุกงา" เป็นข้าวกล่ำสีม่วงทำเป็นแป้งตีแบนๆปิ้งบนไฟให้ร้อนได้ที่ พอร้อนแล้วจะไม่แข็งกรอบเหมือนข้าวเกรียบ แต่จะนุ่ม แล้วเอางาบดโรยจากนั้นก็พับครึ่งเป็นแซนด์วิชแล้วตัดเป็นชิ้นเอาไม้จิ้มฟันจิ้มทาน ผมซื้อแล้วให้เธอม้วนแบบทองม้วน เธอก็เอาใบกล้วยม้วนให้ เวลาจะทานก็ทะยอยฉีกใบกล้วยออกให้ข้าวปุกงาแลบออกมาให้กัดทานได้..อร่อยดี

ยมพบาลกำลังร้องขายน้ำต้มใส่กระบอกไม้ไผ่
     มีนักร้องหนุ่มๆสาวๆตั้งไมค์ร้องเพลงกันอยู่สองข้างทางเดินพร้อมกับกล่องหรือหมวกรับเงินบริจาคหลายคน บ้างก็แต่งตัวเป็นทหารตำรวจในเครื่องแบบเท่ๆ บ้างสีซอดีดซึงโดยมีสาวชาวเขามาเต้นรำแบบชาวเขาเป็นหางเครื่อง บ้างก็เป็นคณะนักเรียนมานั่งเล่นดนตรีไทย มีอยู่คนหนึ่งเรียกร้องความสนใจจากผมได้สำเร็จโดยที่แต่งตัวเป็นยมพบาลมีเขาสีดำด้วย สะพายดาบไขว้ ที่เอวห้องระเบิดมือสองลูก แผงหน้าอกคาดด้วยกระบอกไม้ไผ่เรียงเป็นตับ สินค้าของเขาคือน้ำร้อนใส่กระบอกไม้ไผ่ขาย โดยบรรยายว่าเป็นน้ำชาสมุนไพรหลากชนิดแล้วแต่ลูกค้าจะเลือก เช่นชามะตูม ชาใบเตย เป็นต้น โดยน้ำร้อนนั้นเขาจะเทบรรจุลงกระบอกไม้ไผ่แบบวันเวย์โค้กคือรับไปแล้วเอาไปทิ้งข้างหน้าไม่ต้องเอากลับมาคืน ผมอุดหนุนเขาเพราะต้องการอะไรอุ่นๆดื่มแก้หนาว เขารับเงินแล้วยังแจ้งบริการหลังการขายด้วยว่าผมสามารถเอากระบอกไม้ไผ่นั้นมา refill น้ำชาผลไม้ได้อีกตลอดชีวิต ช่างเป็นการค้ำประกับสินค้าที่น่าเลื่อมใสเสียนี่กระไร

ใครจะปั้นหุ่นโดยปั้นพุงได้เหมือนจริง
     เดินมาได้สักครู่ก็ผ่านจุดที่คนมุงดูอะไรสักอย่างและคุยกันอื้ออึง บ้างก็ว่าเป็นหุ่น บ้างก็ว่าเป็นคนจริงๆ เมื่อมองไปจึงเห็นอะไรคล้ายหุ่นรูปร่างเป็นชายสวมหมวกแต่ว่าเนื้อตัวถูกทาสีจนเป็นสีม่วงและเขียนอะไรลายพร้อยไปหมด ข้างล่างที่เท้าหุ่นมีกระป๋องสีและพู่กันวางระเกะระกะ เสียงคนเถียงกันว่าเป็นหุ่นหรือเป็นคนจริงดังไม่ขาด เพราะหุ่นนั้นแน่นิ่งไม่ไหวติงจริงๆ ผมมองดูการหายใจเพื่อจับเท็จก็ไม่เห็นมีการขยับหายใจแต่อย่างได้ สิ่งที่จะบอกว่าเป็นคนจริงมีอยู่อย่างเดียวคือพุง เพราะสมัยที่อาหารเนื้อสัตว์หาง่ายและราคาถูกอย่างปัจจุบันนี้คนจริงกับหุ่นจะต่างกันก็ตรงที่พุงนี้แหละ เพราะผมผ่านมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำยังไม่เคยเห็นใครปั้นหุ่นโชว์แบบมีพุงพลุ้ยเลย ความที่อยากพิสูจน์ให้แน่ชัดไปอีกขั้นหนึ่งผมจึงใส่แบงค์ยี่สิบบาทลงบนถาดรับเงินของเขาแล้วก้าวเข้าไปเอานิ้วชี้ที่พุงทำท่าจะจั๊กจี๋เข้า เห็นเขานิ่งอยู่ผมจึงเอานิ้วจิ้มพุงแบบจั๊กจี๋เขาจริงๆ เสียงผู้หญิงสูงอายุในหมู่ผู้ชมคนหนึ่งร้องว้ายด้วยความหวาดเสียวกลัวหุ่นจะปล่อยก๊ากออกมา แต่ผิดคาด นิ้วผมจิ้มลงไปบนพุงเขาจนบุ๋มลงไปสักสองเซ็นต์ได้ เขากลับแน่นิ่งไม่ไหวติง จนเสียงผู้ชมบางคนสรุปว่าเป็นหุ่นจริงๆเห็นไหม ส่วนตัวผมนั้นรู้ความลับแล้วจากสัมผัสที่ปลายนิ้วตอนจิ้มพุงเขา แต่ผมไม่พูด ปล่อยให้ผู้ชมคาดเดาและถกเถียงกันต่อไป

     เราเดินถนนข้าวสารแห่งภาคเหนือมาจนถึงร้านอาหารริมถนนชื่อ "ปายใจดี" จึงตัดสินใจแวะเข้าไปกินอาหารมื้อเย็น เป็นร้านอาหารใหญ่ที่อาหารมีรสชาติดี เสร็จแล้วก็พากันกลับรถเพื่อขับไปหาที่พักที่จองไว้ว่าอยู่ที่ไหนต่อไป

สายหมอก กาแฟ และมันเทศต้ม
     พอขับตามจีพีเอส.มาถึงซอยปลายตันมีแต่บ้านคนหลังเล็กหลังน้อยก็คิดว่าหลงทางจึงลงไปถามชาวบ้านดูว่าโรงแรมชื่อที่เราจองมานั้นอยู่ที่ไหน ผู้หญิงที่บ้านหลังที่เปิดไฟไว้รอแล้วก็รีบออกมาบอกที่ประตูว่าหลังนี้แหละ ภรรยาผมเห็นความอัครฐานของโรงแรมของเราแล้วตะลึงและตำหนิผมว่าคุณทำไมจองที่พักแบบนี้ละ ผมหัวเราะหึๆนึกในใจว่าผีมาถึงป่าช้าแล้วเหลือทางเลือกอยู่สองอย่าง คือไม่เผาก็ต้องฝังแค่นั้นแหละ จะพาผีกลับออกจากป่าช้าได้ไง เราขนของเข้าไปยังห้องพัก โรงแรมแห่งนี้เป็นบ้านชั้นเดียวของชาวบ้านแล้วปลูกที่พักขนาดประมาณใหญ่กว่าห้องส้วมหน่อยหนึ่งไว้สี่ห้องเพื่อให้แขกเช่านอน แต่พอเข้าไปในห้องแล้วก็พบว่าสะอาดผิดจากภายนอกทุกห้อง ไม่มีแอร์ เหอะน่า คืนละหนึ่งพันบาทต่อห้อง จะเอาอะไรกันนักหนา อย่างน้อยก็มีหม้อต้มกาแฟนะ โรงเตี๊ยมหลายแห่งในยุโรปยังไม่มีเลย พอรุ่งเช้าอากาศหนาวเย็นมาก เราตื่นมาต้มกาแฟและต้มมันเทศที่ชื้อมาจากหญิงลีซอกินเป็นอาหารเช้า ออกไปนั่งที่ระเบียงนอกห้อง มองดูหมอกปกคลุมบนผิวบึงน้ำข้างนอก แม่เฮย..สายหมอก กาแฟ และมันเทศต้ม เปิดเอานัทที่อบมาจากบ้านออกมากินด้วย ได้ขนาดนี้แล้วจะเรียกร้องอะไรอีกก็เกินไปละมัง พอสายหน่อยฝรั่งชายหนุ่มที่นอนอยู่หลังข้างๆก็โผล่ระเบียงมานั่งกินกาแฟชมสายหมอกเช่นกัน เขาร้องทัก ผมจึงกำนัลเขาด้วยนัทอบไปสองกำมือซึ่งเขาดูจะพอใจมากเพราะไม่ต้องฝ่าลมหนาวออกไปหาอะไรหนักๆที่ข้างนอก

     เรารอให้หมอกจางอยู่นานจนรอต่อไปไม่ไหว เพราะสายแล้วหมอกก็ยังไม่จาง จึงต้องเช็คเอ้าท์แล้วเดินทางต่อไปโดยตั้งใจจะไปตามคำแนะนำของคนที่นี่ว่าให้ไปดูเมืองจีนปลอมชื่อหมู่บ้านสันติชล แต่พอขับออกจากซอยออกมาก็พบกับตลาดซึ่งมีชาวบ้านใส่เสื้อกันหนาวสวมหมวกอุ่นนั่งตั้งวงกินโจ๊กกันอยู่ สมาชิกของเราคนหนึ่งซึ่งไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆมาก็ร้องเรียนขอกินโจ๊กบ้าง เราจึงตกไปนั่งกินโจ๊กเพิ่มอุณหภูมิร่างกายกัน กินไปก็ชมเมืองปายยามเช้าไป ผู้คนเริ่มออกจากบ้านมาสัญจรไปมาโดยเดินบ้าง จักรยานบ้าง มอเตอร์ไซค์บ้าง มองเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ บ้านเรือนก็มองเห็นแต่เค้าโครงร่างๆอยู่หลังม่านหมอก

     อิ่มโจ๊กได้ที่แล้วก็พากันเดินทางต่อไป เราขับรถต่อขึ้นไปทางเหนือ ผ่านท้องนาซึ่งลดหลั่นกันไปตามไหล่เขา ตัวผืนนากว้่างไกลแค่ไหนไม่รู้เพราะภาพหายไปในความขาวของม่านหมอก เห็นแต่ภูเขาสีน้ำเงินรางๆเป็นฉากหลังไกลๆ ชาวนาสุบกุบ (สวมหมวก)เกี่ยวข้าวกันอยู่ตะคุ่มตะคุ่ม
   
ซูมอินชาวนาเกี่ยวข้าวกลางสายหมอก

   
หมู่บ้านสันติชล

เกาลัดย่างห่มผ้า
     ขับมาได้ประมาณสิบกว่ากิโลเมตรก็มาถึงหมู่บ้านสันติชล ชุมชนคนจีนที่สืบเชื้อสายมาจากกองพล 93 ทหารจีนคณะชาติสมัยพ่ายแพ้แก่คอมมิวนิสต์ ซึ่งแยกย้ายกันตั้งหลักแหล่งอยู่ตามจังหวัดชายแดนภาคเหนือหลายแห่ง ซึ่งมาถึงสมัยนี้ได้กลายเป็นคนไทยไปหมดแล้ว

บัวหิมะ โฆษณาว่ากินดิบๆได้
     ทันทีจอดรถได้และลงจากรถ สิ่งที่เรามองหาก็คืออะไรก็ได้ที่จะมาแก้ความหนาวเย็น แล้วก็เจอ ฮั่นแน่ เกาลัดย่างร้อนๆ แต่แม้แต่เกาลัดที่นี่คนขายยังต้องห่มผ้าให้เลยนะครับ เพราะหากปล่อยให้สัมผัสอากาศตรงๆย่างเสร็จแป๊บเดียวก็เย็นแล้ว ผมตรงรี่เข้าไปอุดหนุน ครึ่งโลร้อย ถ้าซื้อเต็มโลก็ 180 บาท เรื่องความอร่อยของเกาลัดย่างนั้นไม่ผิดหวัง ไม่ว่าคุณจะกินที่ญี่ปุ่น ที่ไต้หวัน ที่ปักกิ่ง หรือแม้กระทั่งที่เมืองจีนปลอมนี้ก็ตาม
   
     อาหมวยชาวจีนฮ่อหน้าตาสวยอีกคนหนึ่งร้องขายบัวหิมะ เข้าไปดูใกล้นึกว่าจะได้เห็นดอกบัวเย็บเจี๊ยบมีเกล็ดน้ำแข็งจับ ที่แท้กลายเป็นหัวมันแกว เธอยืนยันว่านี่ไม่ใช่มันแกว นี่เป็นบัวหิมะพันธุ์แท้จากเมืองจีนที่เธอซื้อมาจากตลาดเชียงใหม่ โอเค. บัวหิมะ ก็บัวหิมะ จะต้องซื้อไปลองกินดูหน่อยเพื่อพิสูจน์ว่ามันใช่มันแกวหรือไม่ใช่ สนนราคาก็ไม่ได้แพงเลย กิโลละยี่สิบบาท

หมู่บ้านสันติชล ความสำเร็จการพัฒนาชุมชน
     หมู่บ้านสันติชล ได้พัฒนาจากเดิมที่เป็นดงยาเสพย์ติดมาเป็นเมืองจีนปลอม เอ๊ย ไม่ใช่ ชุมชนจีนยูนานที่สร้างขึ้นใหม่จากวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวชุมชนเอง ทุกวันนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับท็อปของเมืองปาย และนักท่องเที่ยวที่มาไม่ใช่มีแต่คนไทยนะครับ คนจีนแท้ๆยังมากันเลย นับว่าเป็นการพัฒนาชุมชนที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามจริงๆ

ร้านกาแฟที่วิวสวย ถ้าหาจังหวะหลบเวลาที่ทัวร์ลงพ้น


ร้านกาแฟ

     ออกจากหมู่บ้านสันติชล เราเดินทางต่อมุ่งหน้าจะขึ้นไปไร่กาแฟของเจ้าภาพตามที่ตั้งใจมา นั่นหมายความว่าเราต้องวิ่งย้อนกลับถนนเส้นปายมุ่งหน้าเชียงใหม่ กำลังขับจะพ้นเมืองปายก็ผ่านจุดที่มีคนยั้วเยี้ยจึงจอดแวะดูว่าเขามีอะไรกัน จึงพบว่าเป็นร้านกาแฟชื่อ "ปายอินเลิฟ" ที่นักท่องเที่ยวยั้วเยี้ยเพราะเขามาถ่ายรูปวิวสวยๆ มีบ้านสองชั้นเท่ๆสีเหลืองหลังหนึ่ง ร้านกาแฟ สวนดอกไม้ ตัวร้านกาแฟนั้นคิวยาวแน่นขนัด แต่หากสบจังหวะที่แร้ง..เอ๊ย ไม่ใช่ ทัวร์ไม่ลง ก็จะมีช่องว่างให้ไปนั่งกินกาแฟได้บ้าง วิวจากระเบียงโต๊ะนั่งกินกาแฟนี้ดีมาก ผมถ่ายรูปมาด้วย แต่ภาพบ้านสีเหลืองและวิวสวนดอกไม้นั้นผมไม่สามารถถ่ายรูปมาได้ เพราะไม่สามารถหลบกล้องพ้นเหล่าคนหนุ่มคนสาวและคนเฒ่าคนเถิบที่มาแอ๊คชั่นแอ๊บแบ๊ว คิกขุ อาโนเนะ แบบว่าเอาสองมือโค้งขึ้นไปบรรจบกันเป็นรูปหัวใจแล้วเอียงสะโพกไปทางโน้นที่..แชะ เอียงสะโพกมาทางนี้ที..แชะ ไม่สามารถหลบพ้นจริงๆ

แผ่นดินแยก 

     เดินทางกันต่อไป คราวนี้จะจากเมืองปายจริงๆละ อ้าว เดี๋ยว ป้ายเล็กๆขวามือนั่นว่าอะไรนะ Land Split แปลว่าแผนดินแยก ผมเกิดความสนใจขึ้นมาทันที จึงเลี้ยวขวาควับเข้าถนนซอยนั้นไปได้ทันเวลา แล้วขับต่อไปในถนนชนบทแคบๆไปอีกหลายกิโลเมตร ก็มาถึงสถานที่ที่เรียกว่า Land Split หรือแผ่นดินแยก
Business model ที่ไม่ซ้ำใครในปาย

ธุรกิจดีจนเปลี่ยนหลังคาตองตึงได้
      พบว่ามันเป็นที่ดินของชาวบ้าน แต่เปิดให้คนนอกเข้าไปเยี่ยมชมได้ ไม่เก็บเงิน แต่ตั้งกล่องบริจาคทิ้งไว้ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด ไม่โปรดก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่าบ่นก็แล้วกัน เพราะนี่เป็นของฟรี ห้ามบ่น ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไทยมาที่นี่เลย เห็นมีแต่ฝรั่งคนหนึ่งนั่งละเลียดกล้วยอย่างอ้อยอิ่งอยู่ เราจอดรถแล้วเดินตามลูกศรชี้ขึ้นเขาเพื่อไปดูแผ่นดินแยก ต้องเดินขึ้นเขาสูงชันขึ้นไปประมาณสองร้อยเมตร ก็ไปถึงแผ่นดินแยกที่เกิดจากอะไรไม่รู้ อยู่ๆก็แยกผลั๊วะออกจากกันทิ้งช่องว่างไว้เมตรหนึ่งบ้าง เมตรครึ่งบ้าง เบื้องล่างนั้นรอยแยกลึกจนมองไม่เห็นก้น น่าจะราวยี่สิบเมตรได้

     พอเดินกลับลงมาถึงที่จอดรถเราก็หอบได้ที่พอดี หนุ่มเจ้าของบ้านซึ่งอายุน่าจะประมาณ 40 ปี เชื้อเชิญให้เรานั่ง เขาทำเครื่องดื่มน้ำกระเจี๊ยบมาให้ เอามันเทศเผา กล้วยฉาบ มะละกอ และแยมกระเจี๊ยบที่เขาทำเองมาให้ วิธีทำธุรกิจของเขาก็คือเขาโฟกัสที่การแสดงน้ำใจ ถ้าแขกชอบเขาจะหย่อนเงินลงกล่องเอง ซึ่งก็ดูจะได้ผลดี เพราะตอนที่เรานั่งอ้อยอิ่่งกันอยู่ที่นี่ก็มีฝรั่งซำเหมาขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาคู่สองคู่ มาแวะกินอะไร แล้วหย่อนเงินลงกล่อง หลักฐานอีกประการหนึ่งที่แสดงว่า business model ที่ไม่ซ้ำแบบใครของเขาเวอร์คดีก็คือบ้านของเขาซึ่งเป็นเรือนมุงตองตึงนั้น ตอนนี้หลังคาส่วนใหญ่ได้เริ่มเปลี่ยนเป็นกระเบื้องลอนแล้วเรียบร้อย

     ผมคุยกับเจ้าบ้านสองสามคำ แล้วหยอดเงินในกล่องให้ 200 บาท พอผมขึ้นรถแล้วเขายังวิ่งตามมาเคาะหน้าต่างและยื่นมะละกอสุกลูกงามให้ภรรยาผมและว่า

     "พี่เอามะละกอนี่ไปลองดู หวานดีมากครับ"

     นี่แสดงว่าเขาแอบดูตอนแขกหยอดเงินลงกล่อง หากเขาคำนวณว่าเขาได้กำไรมาก เขาก็จะมีวิธีคืนกำไรให้ลูกค้า โดยที่ไม่เสียบิสซิเนสโมเดลหลัก คือขายประสบการณ์ดีๆว่าได้มาพบกับความเอื้อเฟื้อของคนไทย ผมนึกชอบรูปแบบการทำธุรกิจของเขาจริงๆ ต้องคนใจถึงจึงจะทำธุรกิจแบบนี้ได้ ยิ่งถ้าคิดจะเจาะลูกค้าคนไทยด้วยแล้ว นอกจากจะใจถึงแล้วยังต้องให้อภัยทานเก่งด้วยจึงจะทำได้

โป่งเดือด

     เราออกเดินทางต่อ คราวนี้คงได้จากเมืองปายแน่ เจ้าภาพที่อยู่บนไร่กาแฟโทรศัพท์มาถามว่าเราอยู่ที่ไหนแล้ว และแนะนำว่าเราควรจะแวะอาบน้ำร้อนที่โป่งเดือดก่อนขึ้นมาบนไร่กาแฟ เพราะมันหนาวมากเดี๋ยวจะอาบน้ำไม่ได้แล้วจะหาว่าไม่เตือน เราก็ทำตามอย่างว่าง่ายโดยออกจากปายมุ่งหน้าเชียงใหม่ มาได้ราวสี่สิบกม.ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปยังโป่งเดือด ไปถึงก็พบว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีน้ำร้อนเดือดปุดๆพุ่งขึ้นมาสูงเป็นเมตรและมีไอน้ำกลิ่นกำมะถันโขมง เรามุ่งหน้าไปยังสถานที่อาบน้ำร้อนเพื่ออาบน้ำไว้เผื่อวันพรุ่งนี้ตามแผนก็ได้รับคำตอบว่าที่อาบน้ำร้อนส่วนตัวเต็ม ผมถามว่าผมจะรอ เธอบอกรอไม่ได้ เพราะน้ำร้อนใส่ได้วันละครั้งเดียว ผมถามว่าแล้วมีที่อาบน้ำที่เป็นห้องมีความเป็นส่วนตัวอีกไหม เธอตอบว่ามี พลางชี้มือไปทางห้องอาบน้ำที่้เรียงอยู่เป็นแถวแต่เธอบอกว่า

     "มันเป็นน้ำเย....นะ"

    ผมบอกว่าไม่ต้องลากเสียงก็ได้ผมรู้ว่ามันเย็น เมื่อผิดหวังไม่ได้อาบน้ำเราก็ชวนกันไปหาอาหารกิน ร้านอาหารอยู่ทางโน้น พากันเดินไปได้แป๊บเดียวก็สวนทางกับสุภาพสตรีท่านหนึ่งซึ่งบอกเราว่า

     "  อย่าเสียเวลาเดินไปเลยค่ะ อาหารหมดแล้ว เหลือแต่มาม่า"

      อ้าว จะอาบน้ำก็เต็ม จะกินข้าวก็หมด เอางี้ เราเดินขึ้นเขาไปดูโป่งเดือดก็แล้วกัน เพราะไหนๆก็มาแล้ว ขณะเดินขึ้นเขาไปเห็นเด็กๆถือชลอมไข่ต้มใบเล็กๆมากันหลายคนจึงชวนกันว่าเออมื้อนี้เราต้มไข่กินก็ดีนะ เพราะทุกคนหิวแล้ว แต่ภรรยาบอกว่าไข่ดิบเขาน่าจะขายกันที่สำนักงานข้่างล่างโน่น เราไม่ได้ซื้อติดมือมาเสียด้วย ผมยังมองโลกในแง่ดีว่าน่าจะมีขายข้างบนน่า เพราะคนขายที่ฉลาดเขาต้องขายของตรงที่ที่คนเกิดมู้ดจะซื้อ แต่ผมคาดผิด เพราะพอไปถึงโป่งเดือดก็พบว่าเขาไม่มีไข่ขาย ผมเห็นเด็กคนหนึ่งมีไข่อยู่ในครอบครองแยะมากนับได้เป็นสิบใบ จึงรี่เข้าไปถามว่าหนูมีไข่ขายไหม คุณแม่ของเด็กซึ่งหน้าตาสะสวยน่ารักตอบแทนลูกด้วยสำเนียงคนเมืองเหนือว่าที่นี่เขาไม่มีขายค่ะ แต่ฉันแบ่งให้คุณได้ ผมก็ร้องโน โน โน ด้วยความเกรงใจ เธอก็ยังยืนยันว่าไม่เป็นไร ฉันมีแยะเหลือเฟือ ซึ่งผมก็เห็นว่าจริง เพราะสองแม่ลูกจะกินไข่อะไรกันนักหนาเป็นสิบฟอง จึงอ้อมแอ้มตอบไปแบบคนหน้าด้านว่า

     "ขอบคุณครับ ถ้างั้นผมขอรบกวนสามฟองก็แล้วกัน"

กระท่อมน้อย อยู่ริมลำห้วยธารา
     เราจึงได้ไข่มาต้มน้ำแร่กินเป็นมื้อกลางวันแก้ขัดไป

เม้าท์ อาราบิก้า

     บ่ายคล้อยแล้ว เราเดินทางกันต่อไปยังน้ำตกหมอกฟ้า ซึ่งเป็นจุดนัดพบที่เจ้าภาพจะมารับเราที่นั่น หลังจากนั้นก็ขับรถตามเจ้าภาพไปตามทางแคบๆขึ้นเขาไปอีกนาน..น..หนึ่งอสงไขยเวลา แล้วก็มาถึงบ้านบนดอยกลางไร่กาแฟที่โรแมนติกซะไม่มี จนคิดถึงเพลงของทูล ทองใจ ขึ้นมาทันที

     "..กระท่อมน้อย อยู่ริมลำหัวยธารา
ทั่วถิ่นวนา ไร้ความน่ากลัว
เรไรจำเรียง เสียงก้อง
แสงจันทร์ส่อง สลัว
น้องรักอย่ากลัว ว่าจะขื่นขม.."

บดกาแฟด้วยมือ เพราะไม่มีไฟฟ้า
      น้องผู้ช่วยในไร่รับอาสาบดกาแฟชงให้ดื่มแก้ง่วง ถึงแม้เจ้าของบ้านจะขับรถเล็กซัสแต่การบดกาแฟที่นี่ต้องใช้มือหมุนเครื่องบด เพราะบนเขานี้ไม่มีไฟฟ้าใช้ บดแล้วก็เอาใส่เครื่องหีบเล็กๆ แล้วใส่น้ำร้อนเพื่อหีบเอาน้ำกาแฟออกมา หลังจากนั่งลุ้นด้วยความเพลิดเพลินสักครู่ก็ได้กาแฟชั้นสูง อาราบิก้า หอมกรุ่น มาดื่ม กาแฟดี บรรยากาศดี ผมเรียกที่นี่ว่า เม้าท์ อาราบิก้าก็แล้วกันนะ จิบกาแฟ..

     "..อ้า..า นี่แหละคือชีวิต

     Ah.. This is life.."

รีสอร์ทเกรดเอ. ซ่อนรูปอยู่ใต้หลังคาใบตองตึง
     กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ เจ้าภาพก็บอกว่าเดี๋ยวจะพาไปกินข้าวเย็นที่รีสอร์ทบนเขาอีกแห่งหนึ่ง จะได้แนะนำให้รู้จักกับเจ้าของรีสอร์ทด้วย ผมนึกประท้วงในใจว่าบรรยากาศดีอย่างนี้อยู่ที่นี่กินบรรยากาศไม่ต้องกินข้าวเย็นก็ได้ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเพราะเจียมตัวว่าเป็นแขกจะเรื่องมากได้อย่างไร เราจึงเดินทางขึ้นเขาลงห้วยกันต่อไปอีก แล้วก็มาถึงรีสอร์ทกลางหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งไม่มาเห็นด้วยตาดัวเองก็คงไม่เชื่อว่าจะมีที่สวยๆดีๆอย่างนี้ซ่อนอยู่ในหุบเขาที่ไม่มีคนรู้จัก ห้องพักอย่างดีซ่อนตัวอยู่ภายใต้หลังคาใบตองตึง คอนเซ็พท์การออกแบบต้องจัดว่าไม่เป็นรองใครในเชิงสถาปัตยกรรม เจ้าของรีสอร์ทผู้มีใจอารีย์ ซึ่งผมขอเรียกท่านง่ายๆว่า "ด๊อกเตอร์" ก็แล้วกันนะ ได้เข้าครัวทำอาหารมื้อเย็นนี้เอง ซึ่งผมถือว่าเป็นอาหารมื้อที่ดีที่สุดของทริปนี้ ไม่ใช่ว่าดีในแง่ของความฟุ้มเฟือยนะ แต่เป็นดีในแง่ที่เป็นอาหาร Plant-based, whole food ขนานแท้ คือมากมายไปด้วยพืชผักสาระพัดชนิด ทั้งผักกูด ผักขี้หูด ผักแม้ว ฟักทอง มะเขือ และผักที่เรียกชื่อไม่ถูกอีกสามสี่อย่าง ผมถ่ายรูปมาให้ดูด้วย

     รุ่งเช้า ที่บ้านน้อยในไร่กาแฟบนเขา เราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเดินดูกาแฟและสำรวจโลเคชั่นกับเจ้าภาพพร้อมด้วยสุนัขแสนรู้อีกสองตัว เหนื่อยแล้วก็กลับมาทานข้าวต้มร้อนๆที่เจ้าภาพลงมือทำให้เอง ก่อนกลับผมถ่ายภาพวิวที่มองจากบ้านน้อยหลังนี้ไว้กันลืมด้วย เป็นวิวที่สวยที่สุดวิวหนึ่งของทริปนี้
วิวที่หน้าบ้านที่ไร่กาแฟบนดอย ก่อนจากลา

ภูเขา ชายป่า นาขั้นบันได กระท่อม ขาดแค่ควายสักตัวสองตัว
     ผมขับลงเขามาโดยรับปากแข็งขันกับเจ้าภาพว่าผมจำทางได้ เพราะกลัวเป็นภาระให้เจ้าภาพต้องมาส่ง ความจริงผมจำทางไม่ได้ดอก แต่โชคดีที่มันไม่มีแยกให้หลงมาก จึงหลงเพียงเล็กน้อย แต่หลงไปก็ไม่เสียหลาย เพราะทำให้ได้เก็บภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของถิ่นที่อยู่แถบนี้ของเมืองไทยที่หาชมไม่ได้ในแถบอื่น แบบว่าภูเขา ชายป่า นาขั้นบันได กระท่อมชาวนา เสียอย่างเดียว ไม่มีควายสักตัวสองตัว ไม่งั้นก็จะเป็นภาพส่งท้ายทริปที่เพอร์เฟค

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
8 ธค. 58

[อ่านต่อ...]

01 ธันวาคม 2558

New Year Resolution ตั้งจิตปีใหม่

เดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายของปีเก่า ผมของดตอบคำถามหนึ่งวันนะครับ เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะเขียนบล็อกของปี 2015 ก่อนที่จะหยุดยาวช่วงปีใหม่ไปขับรถเที่ยวเตร็ดเตร่สักพัก และประจวบกับสัปดาห์นี้มีผู้อ่านครบสิบล้าน (10,000,000) คนพอดี นับว่าเป็นฤกษ์ดีที่จะส่งท้ายปีเก่า อดไม่ได้ต้องขอบคุณอากู๋หรือกูเกิ้ล Thank you, Google ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสใช้วัยเกษียณให้เป็นประโยชน์ได้บ้างเท่าที่สังขารยังอำนวย ด้วยการตอบคำถามและเขียนอะไรที่ตัวเองเอ็นจอย ขณะเดียวกันก็ทำให้ท่านผู้อ่านจำนวนหนึ่งได้รับประโยชน์จากเนื้อหาในบล็อกนี้ โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ต้องเสียเงินสักบาท ทุกวันนี้มีผู้อ่านบล็อกนี้วันละราว 15,000 คน แทบทุกคนเข้ามาอ่านแบบอ่านเอาเรื่อง คืออ่านนานและพลิกอ่านไปหลายหน้า ถ้าจะเปรียบการมาอ่านคำตอบเรื่องสุขภาพในบล็อกนี้ครั้งหนึ่งเป็นการไปหาหมอที่โอพีดี.ของโรงพยาบาลหนึ่งครั้ง บล็อกนี้ก็เท่ากับเปิดโอพีดี.วันละ 500 ห้องเลยทีเดียว..ขอบคุณกูเกิ้ลจริงๆ

ที่จั่วหัวว่า New Year Resolution ผมหมายถึงการตั้งจิตในปีใหม่ คือพอจะขึ้นปีใหม่ผู้คนก็จะทบทวนชีวิตและตั้งจิตตั้งใจจะตั้งต้นชีวิตในปีใหม่ให้ดีกว่าเดิม แต่จะไปได้กี่น้ำนั้นอีกเรื่องหนึ่งนะ ในอเมริกาคนที่ทำมาหากินทางทำฟิตเนส หรือยิมเขารู้ดี ศูนย์ฟิตเนสที่มีที่จอดรถไม่พอแต่ละปีเขาจะทำสัญญาเช่าที่จอดสองชั้นเป็นเวลานานแค่ 2 เดือน คือมกรา กุมภา เท่านั้น เพราะรู้น้ำของลูกค้าดีว่าจะฮึดฮัดของขึ้นขยันมาออกกำลังกายเพื่อตั้งต้นปีใหม่กันพร้อมหน้า แต่แล้วก็จะทยอยเลือน เลือน เลือนหายไป เป็นเช่นนี้ปีแล้วปีเล่า ผมเคยเห็นการ์ตูนฝรั่งเขียนรูปหมากับแมวนั่งคุยกัน หมาถามว่า

     “New Year Resolution นี่ จริงๆแล้วมันคืออะไรแน่นะ?” แมวตอบว่า

     “อ๋อ.. มันก็คือรายการที่จดไว้ว่าในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคมต้องทำอะไรบ้างไง”

          ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

     แต่ที่ผมขำมากกว่าก็คือผมเห็นบอร์ดตั้งจิตปีใหม่ของ เลห์แอน แจชเวย์ (Leigh Anne Jasheway) ซึ่งเธอเอาขึ้นบล็อกของเธอเมื่อปีกลาย ผมขออนุญาตก๊อปมาให้ท่านดู

ตัวผมก็ชอบมี New Year Resolution กับเขาเหมือนกันเพราะมันเป็นความโรแมนติกอย่างหนึ่งของชีวิต เผอิญในปีนี้มีเพื่อนคนหนึ่งมาชวนตั้งจิตทำอะไรในปีใหม่ด้วยกัน ปีนี้จึงแปลกหน่อยที่ผมมี resolution แบบฮั้วกับคนอื่น เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนใหม่ที่อายุน้อยกว่าผมสักสิบปี ไม่ใช่หมอ แต่สนใจเรื่องสุขภาพทั้งในระดับบุคคลและสังคม เขาถามผมว่า

     “อาจารย์มีความเห็นอย่างไรเรื่องที่มีการแสดงความเห็นโจมตีอุตสาหกรรมอาหารและยาว่ามีอิทธิพลเหนือวารสารการแพทย์และการออกคำแนะนำขององค์กรวิชาชีพต่างๆรวมทั้งรัฐบาลในอเมริกา ทำให้ผู้คนต้องกินอาหารอุตสาหกรรมที่มีผลเสียต่อสุขภาพและต้องกินยาอย่างไม่รู้จบสิ้น ซึ่งยาเหล่านั้นก็ไม่เคยรักษาโรคได้ เป็นการกินเพื่อรักษาตัวเลขปัจจัยเสี่ยงที่บริษัทยาพยายามยกขึ้นมาภายใต้หน้ากากของการวิจัยมากกว่า..”

     ผมตอบว่า

     “ธรรมดา.. และใครๆเขาก็รู้กันทั่ว เพราะเราอยู่ในโลกของการหลับหูหลับตาหาแต่เงินเข้ากระเป๋า วิธีไหนได้เงินคนก็เอาทั้งนั้น แต่ผมว่าการที่บริษัทยาทำตลาดผ่านการวิจัยผมว่ามันก็โอแล้วนะ ดีกว่าการทำตลาดผ่านการเมืองอย่างเช่นประเทศที่ขายอาวุธส่งทูตไปยุให้ประชาชนในประเทศลูกค้ารบกับรัฐบาลของพวกเขาเองแล้วขายปืนให้ทั้งสองฝ่าย อย่างนี้สิผมว่าแย่” 

     เขาขอความเห็นอีกว่า

     “แล้วในแง่ที่ว่าโรค NCD (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) มันเพิ่มขึ้น วิธีการรักษาปัจจุบันก็ไม่ได้ทำให้มันหาย ต้นทุนการดูแลรักษาด้วยวิธีปัจจุบันก็สูงขึ้นๆ มันจะไปจบที่ตรงไหนกัน ในเมื่อถึงจุดหนึ่งนายจ้างหรือองค์กรผู้จ่ายเงินก็จะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา แล้วระบบดูแลสุขภาพปัจจุบันนี้มันจะไม่ล่มเอาหรือครับ แล้วในเมื่อก็รู้ๆอยู่ว่าการปรับพฤติกรรมเช่นการกินอาหาร การออกกำลังกาย จะทำให้โรคไม่ติดต่อเรื้อรังดีขึ้นได้ ทำไมองค์กรที่เกี่ยวข้องเช่นกระทรวงสาธารณสุขเขาไม่เทคแอ๊คชั่นตรงนี้  แทนที่จะมุ่งไปกับทิศทางเดิมคือการใช้ยาหรือผ่าตัดซึ่งแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้ทำให้โรค NCD หาย"

ผมให้ความเห็นว่า
      
“อ้าว..ล่มก็ล่มสิ จะเป็นไรไปละ คุณเองก็เพิ่งพูดอยู่หยกๆว่าระบบปัจจุบันนี้อุตสาหกรรมรุมเอาสิ่งที่เลวร้ายมายัดเยียดขายให้ผู้บริโภค ถ้าระบบนี้ล่ม คนก็จะไม่มีเงินซื้อยาและผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีผลเสียต่อสุขภาพ ต้องกลับไปกินอาหารธรรมชาติ ซึ่งราคาถูกและมีผลดีต่อสุขภาพ ก็ดีแล้วไง หึ หึ ว่าแต่ทำไมคุณถึงดูเป็นเดือดเป็นร้อนจัง”
      
เขาตอบข้อเคลือบแคลงของผมว่า

     “ก็ในเมื่อเราเห็นว่าทิศทางนี้กำลังมีปัญหา เราก็ต้องหาวิธีนำพาสังคมให้เปลี่ยนทิศ ให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ปรับอาหารการกิน และออกกำลังกาย คือทำให้สุขภาพดีด้วยตัวเอง Good Health By Yourself สำหรับคนที่ป่วยแล้วก็ชักจูงเขาให้พลิกผันโรคของเขาด้วยตัวเขาเอง Reverse Disease By Yourself มันจึงจะเป็นการใช้เวลาในชีวิตที่เหลือของเราได้อย่างคุ้มค่า”

     ผมคันปากอดประชดไม่ได้ จึงว่า

     “สาธุ.. คุณนี่ไปเทศน์ได้เลยนะเนี่ย ไหนลองบอกผมสิ ว่า เอาที่ตัวคุณก่อน คุณคิดว่าคุณควรจะทำอย่างไรเพื่อใช้เวลาในชีวิตของคุณที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า”

     เขาดูท่าทางจะมาเอาเรื่องนี้ให้จบ เขาว่า

     “ผมอยากจะตั้งองค์กรขึ้นมา แบบว่าเป็นธุรกิจที่มุ่งทำสิ่งดีๆเพื่อสังคม เป็น Social Enterprise ทำเรื่องให้ความรู้ผู้คนให้เห็นทางเดินที่ถูกต้องในเรื่องสุขภาพ คือผมว่าการทำธุรกิจได้เงินไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย หากเราทำด้วยความตั้งใจทำเพื่อให้สังคมดีขึ้น ได้เงินก็เอามาทำให้กิจการนั้นดียิ่งๆขึ้นไป”

     ผมทราบว่าเขาเป็นนักธุรกิจ จึงออกตัวให้เขาสบายใจว่า

     “คุณอย่าเข้าใจผมผิดไปนะว่าผมเนี่ยเป็นคนดีไม่เอามือจับเงินแต่เอาตะเกียบคีบ ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น อดีตของผมก็ทำงานบริหารธุรกิจมาก่อนเหมือนกัน ผมไม่ต่อต้านการทำธุรกิจแน่นอน แต่ปัญหาก็คือการลงทุนทำสิ่งดีๆมันขาดทุน ให้ผมทำผมก็ไม่ทำ เพราะผมกลัวขาดทุน ถ้าคุณไม่กลัวขาดทุนแล้วทำไมคุณไม่ลงมือทำซะเองละ”

เขาได้จังหวะจึงวกเข้าประเด็นทันที

ผมทำคนเดียวไม่ได้ ผมไม่ใช่หมอ พูดอะไรไปคนเขาก็ไม่เชื่อผม ต้องอาศัยคนอย่างอาจารย์มาทำด้วยกัน”

     ผมเห็นเจตนาเขาแล้วจึงตีชิ่งอย่างนิ่มนวลว่า

     “ผมก็ทำของผมอยู่ ทำแบบออกแต่แรงนะ ไม่ออกเงินนะ เพราะผมเกษียณแล้ว ไม่มีรายได้อะไรแล้ว ต้องกระเบียดกระเสียร จะเที่ยวใช้เงินซี้ซั้วคงไม่ได้ เดี๋ยวผมตายไปแล้วเมียจะลำบาก”

เขาว่า
“ผมทราบว่าอาจารย์ทำ แต่ผมหมายถึงว่า ทำไมเราไม่ทำให้มันมี  impact ที่หนักแน่นในวงกว้างจนหันเหทิศทางของสังคมได้จริงๆ อย่างสิ่งที่อาจารย์สอนอยู่ หากมีกลไกสื่อมันออกไปให้กว้างขวาง ไม่เฉพาะเมืองไทยเท่านั้น ผมมองไกลออกไปถึง AEC และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆด้วย ให้มันมีผลต่อสุขภาพของผู้คนในวงกว้าง ให้เขารู้วิธีทำให้สุขภาพดีด้วยตัวเอง Good Health By Yourself พลิกผันโรคด้วยตัวเอง Reverse Disease By Yourself อาศัยสื่ออย่างเช่นอินเตอร์เน็ท วิดิโอ หนังสือ การแปลเป็นหลายภาษา การสอนเป็นกลุ่ม การประชุมให้ความรู้แก่ผู้มีศักยภาพในการกำกับควบคุมนโยบายสาธารณะ เราทำให้มันยั่งยืน ทำไปก็สร้างคนไว้แทนเราไปด้วย ชนิดที่ว่าเมื่อเราตายไปแล้ว สถาบันนี้ก็จะยังอยู่ ทำสิ่งนี้แทนเราสืบต่อไป”

     เห็นเขาออกแนวเพ้อเจ้อมากขึ้น ผมจึงเตือนสติว่า

     “อื้อ ฮือ คุณนี่ถ้าจะบ้านะเนี่ย ที่คุณพูดมานั้นนะมันต้องใช้เงินนะคุณ รัฐบาลเขายังไม่ลงทุนเลย”

แต่เขาก็ไม่ลดละ
“ถ้าผมเอาเงินมาลงทุน อาจารย์จะช่วยผมทำไหมละ”

ผมติงอีกว่า
“คุณจะต้องใช้เงินแบบถมไม่รู้จักเต็มนะ มันจะไหวหรือ”

เขายืนยันความเห็นว่า
“ผมมองว่ามันก็แค่ใส่เงินลงทุนตอนแรกเพื่อให้มันเกิดขึ้นก่อน แต่แม้จะเป็นการลงทุนเผยแพร่ความรู้ มันก็จะพอมีรายได้กลับมาหล่อเลี้ยงตัวมันเองได้บ้างแหละน่า คือสื่อที่เราผลิตออกไป มันก็มีแจกฟรีบ้าง ขายบ้าง อย่างเราผลิตหนังสือ เราก็ขายไม่ใช่แจก พอได้เงินมาบ้าง ก็เอามาทำอะไรที่เป็นการเผยแพร่ความคิดนี้ให้กว้างขวางต่อไปอีก ถ้าเราผลิตสินค้าที่เป็นความจำเป็นหรือเป็นความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค สินค้านั้นมันต้องขายได้ ดังนั้นการลงทุนจะเกิดก็เฉพาะครั้งแรกหรือปีแรกๆเพื่อให้มันเกิดได้ ถ้าเราไม่งกจะเอาเงินคืน นานไปมันก็จะเลี้ยงตัวเองได้ คือตัวผมนี่ก็ไม่ได้คิดจะหาเงินให้มีมากขึ้นนะครับ อาจารย์เข้าใจผมก่อน ผมไม่ได้คิดจะซื้อรถลอมบอกินี่ คิดแค่ว่าสร้างธุรกรรมดีๆที่มันพอจะเลี้ยงตัวเองให้ยั่งยืนต่อไปได้ แม้เมื่อเราตายไปแล้ว ผมคิดอย่างนั้น..
ถ้าผมลงทุนทำให้มันเกิด อาจารย์ไม่ต้องลงเงินเลย อาจารย์จะตกลงมาทำกับผมไหมละ”
          
เจอเข้าไม้นี้ผมถึงกับอึ้งกิมกี่ไปพักหนึ่ง แล้วจึงคิดในใจดังๆให้เขาฟัง ว่า         

     “อืม..ม ผมคิดสะระตะดูแล้ว เมื่อเงินลงทุนก็ไม่ใช่เงินผม ผมก็ไม่มีอะไรจะเสีย การเผยแพร่ความรู้สุขภาพผมก็ทำเป็นกิจกรรมหลักวัยเกษียณของผมอยู่แล้ว มีคนเอาเงินมาให้ทำได้มากขึ้น ผู้คนก็จะได้ประโยชน์จากความรู้ของผมมากขึ้น ผมมีแต่ได้กับได้นะ เอ้า..เอาก็เอา”

          นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ New Year Resolution แบบฮั้วกันสองคน เราตกลงตั้งชื่อธุรกิจนี้ว่า WellnessWeCare โดยเขาเสนอว่า

     “เราจะต้องโฟกัสที่การผลิตสื่อให้ความรู้เช่นหนังสือ วิดิโอ แล้วเผยแพร่ไปทุกทางทั้งเว็บไซท์ ยูทูป อีบุ๊ค เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม เป็นต้น”

     แต่ผมกลับมีความเห็นอีกอย่างหนึ่ง

     “ผมมีความเห็นว่าปัญหาสุขภาพของผู้คนนี้ ผมประมาณน้ำหนักความสำคัญว่า 70% มันเป็นเรื่องของอาหารการกิน ที่เหลือ 20% เป็นเรื่องการออกกำลังกาย อีก 5% เป็นเรื่องของการจัดการความเครียด และอีก 5% อยู่ที่การมีเพื่อนที่ดีแบบที่เรียกว่า peer support ดังนั้นการจะก่อการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตเพื่อให้สุขภาพดีขึ้นจริงจังเราต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงในเรื่องอาหารการกินให้ได้ก่อน แต่ว่าเพียงแค่คำบอกเล่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะอาหารไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของความรู้เท่านั้น ยังเป็นเรื่องของทักษะด้วย และยังมีอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมมาแจมอีกต่างหาก เราจะต้องวิจัยพัฒนาวิธีทำอาหารกินเองแบบง่ายที่คนเอาไปทำเองได้จริงๆ แล้วเรายังจะต้องมีร้านอาหารแบบที่ผลิตเฉพาะอาหารที่จะช่วยให้คนสุขภาพดี แบบว่า Plant based, whole food ให้ผู้คนได้มาลองกิน มีชั้นเรียนสอนทำอาหารให้ผู้คนได้มาทดลองหัดทำ จนพวกเขามั่นใจว่าอาหารที่จะทำให้เขากลับมามีสุขภาพดีนั้น เป็นอาหารที่ ขอโทษ..กระเดือกได้ และทำกินได้ง่ายๆด้วยตัวเขาเอง”

     นั่นเป็นที่มาว่าในปีใหม่นี้ทำไมคนลิ้นจระเข้อย่างหมอสันต์จึงริอ่านมาทำร้านอาหาร เราตกลงกันว่าจะทดลองดูก่อน โดยปรับบ้านโกรฟเฮ้าส์ที่มวกเหล็กวาลเลย์ซึ่งมีพื้นที่ห้าไร่ให้เป็น เวลเนส วี แคร์ เซ็นเตอร์ ( Wellness We Care Center) บรรยากาศดีๆมีอยู่เรียบร้อยแล้วไม่ต้องสร้าง แต่ครัวดีๆไม่มี ต้องสร้างใหม่ ที่พักค้างแรมสำหรับคนมาเข้าแค้มป์หรือเข้าคอร์สสุขภาพก็ต้องสร้างขึ้นใหม่เช่นกัน เอาสัก 15 ห้องก็พอ โถงประชุมหรือ hall ที่จะใช้ในการเรียนการสอนก็ยังไม่มี ต้องสร้างขึ้นใหม่ ต้องสร้างพื้นที่สอนการทำอาหารด้วย สร้างห้องน้ำห้องท่า และต้องทำให้ทุกอย่างที่ผู้เข้ามาจะได้พบ เห็น ดู ดม และสัมผัส เป็นประสบการณ์เรียนรู้เรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ ปลูกสวนผักพื้นบ้านและผักสวนครัวให้เดินดูเพื่อเรียนรู้ชนิดพืชอาหารที่ใช้บ่อย ทำห้องฉายวิดิโอเล็กๆฉายความรู้ให้ผู้มาเยือนสามารถแวะดูชมได้ตลอดเวลา มีห้องสมุดที่สะสมหนังสืออ้างอิงทางโภชนาการจากทั่วโลกให้ใครก็ตามที่สนใจเข้ามาอ่านได้      

     นอกจากนี้เพื่อดึงดูดเยาวชนที่เป็นกลุ่มคนที่กำลังไปผิดทิศทางในเรื่องอาหารการกินมากที่สุดให้แวะเวียนเข้ามาสัมผัสเรียนรู้เรื่องอาหารสุขภาพในศูนย์แห่งนี้ ผมคิดจะทำสวนดอกไม้สวยๆไว้หน้าบ้านโกรฟเฮ้าส์เพื่อให้เป็นจุดให้เด็กและวัยรุ่นเขาถ่ายรูปเล่นกัน อย่าทำเป็นเล่นไปนะ บ้านโกรฟเฮ้าส์นี้เป็นบ้านโบราณทรงอะดิรอนแด็คที่เท่มากหลังเดียวของเมืองไทยไม่มีที่ไหนเหมือน (ต้องขอบคุณคุณเบอร์นาร์ดผู้ล่วงลับ ที่ได้สร้างบ้านคลาสสิกหลังนี้ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชม) เราตกลงจะเปิดเว็บไซท์ ชื่อ www.WellnessWeCare.com เปิดเฟซบุคเพจในชื่อเดียวกันด้วย แล้วจะทยอยผลิตวิดิโอ.ความรู้การดูแลสุขภาพด้วยตนเองออกเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซท์ ทำจดหมายข่าวรายเดือนส่งให้สมาชิกทางอีเมล และจะทำหนังสือพอกเก็ตบุ้คชื่อ “ป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตัวคุณเอง” ออกขายทั้งเป็นแบบหนังสือจริง หนังสือเสียง และอีบุค พอการก่อสร้างเสร็จเราก็ค่อยไปลุยเรื่องทำคอร์สสุขภาพและทำร้านอาหาร

     ทั้งนี้ปักธงว่าจะก่อสร้างให้เสร็จภายในหกเดือน คือเสร็จเดือน มิย. 59 ถึงตอนนั้นเราก็จะเปิดร้านอาหารขึ้นที่ศูนย์เวลเนสวีแคร์นี้ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ให้ที่แห่งนี้เป็นสถานที่คนมาเรียนรู้เรื่องอาหารสุขภาพตามแนวทางหลักฐานวิทยาศาสตร์ คือ Plant-based, whole food หรือ “พืชเป็นหลัก ไม่สกัด ไม่ขัดสี” หมายความว่าเป็นอาหารที่ได้จากพืชผักผลไม้ถั่วงาธัญพืชและหัวใต้ดินต่างๆในสภาพที่ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการสกัดให้แคลอรี่เข้มข้นขึ้นอย่างเช่นน้ำมัน น้ำตาล และหลีกเลี่ยงธัญพืชที่ผ่านการขัดสีเช่นข้าวขาว ขนมปังขาว เป็นต้น คนที่มีเวลาน้อยก็อาจแค่มาทดลองกิน คนที่พอเจียดเวลาได้มากขึ้นก็อาจมาเรียนรู้วิธีทำอาหารสุขภาพด้วยตัวเอง หรือมานอนค้างอ้างแรมเข้าคอร์สสุขภาพตามโอกาส

          นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง New Year Resolution เล่นๆหนุกๆโรแมนติกๆตามอารมณ์ของเทศกาลขึ้นปีใหม่ ส่วนอนาคตจะไปได้กี่น้ำนั้น เป็นเรื่องที่ต้องติดตามชมกันต่อไป ตัวท่านผู้อ่านก็ช่วยลุ้นได้นะครับ โดยตั้งแต่ มิย. ปีหน้า (2559) เป็นต้นไป หากท่านมีโอกาสผ่านไปมาทางมวกเหล็ก – เขาใหญ่ อย่าลืมแวะ เวลเนส วีแคร์ เซ็นเตอร์ แค่แวะมาเยี่ยม มารู้จักอาหาร plant-based, whole food พืชเป็นหลัก ไม่สกัด ไม่ขัดสี แล้วเอาไปปรับอาหารการกินในชีวิตจริงของท่านเพื่อให้ท่านที่ยังไม่ป่วยจะได้ไม่ต้องป่วย ท่านที่ป่วยแล้วจะได้หายป่วย แค่นี้หมอสันต์กับพวกก็สุขใจแล้ว ส่วนเว็บไซท์ www.WellnessWeCare.com นั้นกว่าจะเปิดได้ก็คงต้องราวเดือนมีนาคมไปแล้ว ถึงตอนนั้นท่านที่สนใจก็ติดตามชมได้ครับ

          ขอถือโอกาสนี้บอกลาปีเก่า 2515 และขอให้แฟนบล็อกหมอสันต์ทุกท่านมีสุขภาพดียิ่งขึ้นในปีใหม่ 2516 นี้ (อย่างน้อยก็ช่วงที่ยังคึกอยู่กับ New Year Resolution หิ หิ)


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]