31 กรกฎาคม 2554

CEA และสารชี้บ่งมะเร็ง (tumor marker) อื่นๆ..เรื่องขายหน้าของวงการแพทย์

เรียน คุณหมอที่เคารพ

ก่อนอื่นขอขอบพระคุณคุณหมอมากค่ะ เวบคุณหมอมีประโยชน์มากๆ ดิฉันอายุ 36 ปี ขอเรียน ปรึกษาดังนี้

1. ไปตรวจค่า CEA มาได้ค่า 1.46 ค่า ที่ต้องเขียนมาถามเนื่องจากเพิ่มขึ้น จาก 0.59 เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว คุณพ่อคุณแม่สามีไปตรวจด้วยท่านได้ค่าเพียง 0.8 และ 0.6 ทั้งที่อายุ 60 กว่า ดิฉันมีความกังวล จึงไปทำการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (ตอนแรกคุณหมอไม่ส่องให้แต่ขอร้องท่านค่ะ) ผลปกติ ระบบขับถ่ายปกติ ทานผักผลไม้มากๆ ทุกวัน ไม่ทราบว่าค่านี้บ่งชี้ความเสี่ยงในอนาคตที่สูงกว่าคนวัยเดียวกันในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มั๊ยคะ จริงๆแล้วค่อนข้าง งง กับผลค่ะ เมื่อสองปีที่แล้ว ทานเนื้อสัตว์เยอะ ผักน้อย ถ่ายทุก 2-3 วัน แต่ปัจจุบัน ทานเนื้อสัตว์น้อยมาก ผักผลไม้เป็นหลัก ถ่ายทุกวัน ค่า cea กลับวิ่งสวนทางค่ะ

2. มีบุตรแล้วสองคน ค่ะ ประจำเดือนมาแปลกๆทุกเดือน สามวันแรกปกติ วันที่สี่มาน้อยมากหรือไม่มา วันที่ห้า หก มาน้อย วันที่เจ็ดแปดมาน้อยหรือไม่มา บางเดือนวันที่สิบยังมีเลือดออกประมาณ 1-2 หยด กังวลเนื่องจากมีลูกพี่ลูกน้องเป็นมะเร็งรังไข่ตอนอายุประมาณ 40 ค่ะ ไปตรวจภายในและตรวจอัลตราซาวด์มาแล้ว เป็นปกติดีค่ะ ไม่ทราบว่าต้องไปตรวจการทำงานของรังไข่ ไหมคะ (เห็นมีในโปรแกรมตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลเอกชน)

ขอบพระคุณคุณหมอมากๆค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง

……………………………………………………

ตอบครับ

เรื่องประจำเดือนเอาไว้ก่อนนะ ขอคุยแต่เรื่อง CEA ก่อน
ค่าปกติของ CEA คือ <3 1.46="1.46" br="br" ml="ml" ng="ng">
แต่ประเด็นที่ผมหยิบจดหมายของขึ้นขึ้นมาตอบก่อนไม่ใช่กลัวว่าคุณเทียบค่าไม่เป็นว่าอะไรคือปกติไม่ปกติ แต่ประเด็นคือการที่ประชาชนถูกทำให้เข้าใจผิดไปอย่างมากมายเกี่ยวกับสารชี้บ่งมะเร็ง (tumor marker) สารพัดตัว ทั้ง CEA (มะเร็งลำไส้ใหญ่) AFP (มะเร็งตับ) CA 125 (มะเร็งรังไข่) CA 19-9 (มะเร็งตับอ่อน) PSA (มะเร็งต่อมลูกหมาก) คือคนไปเข้าใจผิดไปว่าสารชี้บ่งมะเร็งเหล่านี้เป็นตัวคัดกรองได้ว่าตัวเองเป็นหรือไม่เป็นมะเร็ง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างจังเบอร์ และคนที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดนี้ก็คือวงการแพทย์นั่นเอง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าขายหน้าของวงการแพทย์อย่างหนึ่ง

การจะเข้าใจเรื่องนี้จำเป็นต้องเข้าใจความหมายค่าสถิติบางตัว ยกตัวอย่างเรื่อง CEA กับการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็แล้วกัน สมมุติว่าคุณตรวจ CEA ได้ผลบวก เอาเป็นว่าได้ค่าสัก 15.0 ng/ml ก็แล้วกัน คุณก็ตาตั้งว่าคุณเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เข้าแล้ว แต่ความจริงเปล่าเลย เพราะว่า

ค่า CEA นี้มีความไว (sensitivity) ประมาณ 68.7% หมายความว่าถ้าเอาคนที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่จ๋าแล้วหนึ่งร้อยคนมาตรวจหา CEA จะพบว่าตรวจได้ผลบวกเพียงประมาณ 69 คน อีกประมาณ 31 คนตรวจได้ผลปกติ ทั้งๆที่เป็นมะเร็งแล้วแหงๆ

อีกด้านหนึ่ง ค่า CEA นี้มีความจำเพาะ (Specificity) ประมาณ 76.9% หมายความว่าถ้าเอาคนที่รู้แน่ชัดว่าไม่ได้เป็นมะเร็งดอกมา 100 คน มาตรวจหาค่า CEA จะได้ผลลบประมาณ 77 คน อีก 33 คนตรวจได้ผลบวก ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นมะเร็งซักกะหน่อย

อุบัติการณ์เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ของคนไทยคือ 8.8 : 100,000 หมายความว่าทุกหนึ่งแสนคนจะมีคนเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เฉลี่ยราว 9 คน

นั่นหมายความว่าถ้าเราเอาคนทั้งหนึ่งแสนคนนี้มาตรวจ CEA ทุกคนแบบรูดมหาราช กลุ่มที่เป็นโรคแล้ว 9 คน จะได้ผลบวกประมาณ 6 คน (ความไว 68.7%) ได้ผลลบ 3 คน ส่วนกลุ่มที่ไม่เป็นโรคจะได้ผลบวก 32,997 คน (ความจำเพาะ 33%) ที่เหลือได้ผลลบ เมื่อรวมคนทั้งแสนคนก็จะมีคนได้ผลบวก 32,997 + 6 = 33,003 คน ในจำนวนนี้มีคนเป็นมะเร็งจริงๆเพียง 9 คน (อุบัติการณ์ 8.8%) ฟังอีกทีนะครับ ตรวจได้ผลบวก 33,003 คน เป็นมะเร็งจริง 9 คน นั่นหมายความว่าคนที่ตรวจ CEA ได้ผลบวก มีโอกาสเป็นมะเร็งจริงๆเพียง 0.027% เท่านั้นเอง มีเลขศูนย์นำหน้าจุด หมายความว่าไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์นะครับ คุณว่าการตรวจนี้มันมีประโยชน์ในแง่ของการบอกคุณว่าจะเป็นมะเร็งหรือเปล่าไหม ไม่เลยใช่ไหมครับ แต่มันมีโทษที่ทำให้คุณต้องสติแตกวิตกจริตว่าจะเป็นมะเร็ง ต้องไปทำโน่นทำนี่เพื่อดับความทุกข์กังวล ไม่คุ้มกันเลยครับ ดังนั้น ถ้าอยากมีสุขภาพดี อยู่ห่างๆสารชี้บ่งมะเร็งทั้งหลายไว้ดีที่สุด รวมทั้งสารชี้บ่งมะเร็งรังไข่ CA 125 ที่คุณตั้งท่าจะไปตรวจนั่นด้วย

ถ้าคุณไม่อยากเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ สิ่งที่คุณพึงทำไม่ใช่การไปตรวจ CEA แต่คุณควรทำสิ่งต่อไปนี้

1. อย่าอ้วน เสียดายที่คุณไม่ได้บอกความสูงและน้ำหนักมาด้วย ผมจึงไม่รู้ว่าคุณอ้วนหรือเปล่า เพราะมีหลักฐานชัดเจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งลำไส้ใหญ่กับการได้รับแคลอรี่มากเกินจากอาหาร การจะจำกัดแคลอรี่จากอาหารแน่นอนว่าคุณควรก็ต้องปรับโภชนาการลดอาหารให้แคลอรี่อันได้แก่ไขมันและคาร์โบไฮเดรตไปเพิ่มอาหารพวกผักผลไม้ และต้องออกกำลังกายเผาผลาญแคลอรี่ที่เข้าไปมากเกินทุกวันด้วย

2. อย่าสูบบุหรี่ เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็เหมือนกับมะเร็งอย่างอื่นอีก 24 ชนิดที่มีความสัมพันธ์แน่นอนกับการสูบบุหรี่

3. สังเกตนิสัยการขับถ่ายของตนเอง ถ้ามันผิดปกติไปเช่นจากถ่ายปกติดีๆก็บัดเดี๋ยวท้องผูก บัดเดี๋ยวท้องเสีย ก็ต้องไปหาหมอ

4. สังเกตลักษณะของอุจจาระที่ออกมาจนเป็นนิสัย ถ้าสีมันเปลี่ยนเป็นสีคล้ำหรือมีเลือดปน ก็ต้องไปหาหมอ

5. ถ้าคุณอายุเกิน 50 ปี และมีเงินพอจ่ายได้ การไปส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) ทุกสิบปี ก็ถือกันทั่วโลกว่าเป็นมาตรฐานการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะมะเร็งชนิดนี้ก่อตัวบนติ่งเนื้อ (polyp) และใช้เวลานานถึงสิบปีในการกลายเป็นมะเร็ง ถ้าส่องตรวจลำไส้ใหญ่พบติ่งเนื้อก็หนีบออกทุกสิบปีก็จะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Bel Hadj Hmida Y, Tahri N, Sellami A, Yangui N, Jlidi R, Beyrouti MI, Krichen MS, Masmoudi H. Sensitivity, specificity and prognostic value of CEA in colorectal cancer: results of a Tunisian series and literature review. Tunis Med. 2001 Aug-Sep;79(8-9):434-40.

...................
1 สค. 54
ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ ว่า หนูไม่เคยทานเหล้าไม่เคยสูบบุหรี่ ค่ะ งานค่อนข้างหนัก เป็นกิจการครอบครัวสามี หนูดูแลด้านการเงิน และ การลงทุนค่ะ พยายามจะไม่เครียดค่ะ
......................

ตอบครับ

ขอบคุณครับ ข้อมุลที่ให้มามีประโยชน์ทั้งหมด แต่เวลาให้ข้อมูลทางการแพทย์ อย่าลืมข้อมุลพื้นฐานอย่างหนึ่งคือน้ำหนักและส่วนสูง ซึ่งนำไปสู่การคำนวณหาดัชนีมวลกาย ซึ่งเป้นตัวบอกภาวะโภชนาการและการออกกำลังกายของคนๆนั้น ถือว่าเป้นข้อมูลที่มีประโยชน์มากครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

.............................................

จดหมายจากผู้อ่าน (8 พย. 55)

ขออนุญาตส่งข้อความถึงคุณหมอทางนี้นะครับ
เนื่องจากโพสไว้ที่หน้าเพจไม่ได้
ผมได้อ่านบทความเรื่อง CEA และสารชี้บ่งมะเร็ง ที่
http://visitdrsant.blogspot.com/2011/07/cea-tumor-marker.html
เนื่องจากได้ผลตรวจมาจากที่ตรวจสุขภาพ มีค่า CEA 3.6 เลย
ก็เลยกังวลเพราะเพิ่งจะอายุ 23 ไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่
แต่พออ่านแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้น เนื่องจากค่า CEA นี้ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเลยครับ
แต่สิ่งที่ผมยังรู้สึกไม่ได้ทำก็คือ ออกกำลังกาย การขับถ่ายให้ปกติและดื่มน้ำมากๆ
ซึ่งต่อไปนี้จะต้องทำให้ได้ครับ สุดท้ายนี้ขอบคุณคุณหมอมากครับ

.............................
[อ่านต่อ...]

ผลของการออกกำลังกายและปรับโภชนาการ

กราบสวัสดีอาจารย์หมอสันต์ ที่เคารพค่ะ

ขอนุญาตฝากตัวเป็นลูกศิษย์นะคะ เพราะอ่าน blog อาจารย์แล้วได้รับความรู้ความเข้าใจเรื่องสุขภาพมากกกกกก และได้รับประโยชน์จริง คือนำไปปฎิบัติทันที...ดังนี้ค่ะ แนะนำตัวนะคะ หญิงไทยอายุ 48 ปี นน. 45 kgs. 150 cm. BMI=20 ดู OK. แต่ไม่ค่อยมีคุณภาพเพราะ กล้ามเนื้อน้อยมาก และมีไขมันส่วนเกินไม่น้อย ตรวจสุขภาพต่อเนื่องที่ศูนย์มะเร็งลพบุรี มา 4 ครั้งค่ะ 2 ครั้งแรกผลดีมากค่ะ แต่เริ่มมีปัญหา Cholesterol ดังนี้ค่ะ

11/12/2552 Cholesterol 212 mg/dl, Triglyceride 68 mg/dl (HDL,LDL ยังไม่มีการตรวจค่ะ)

19/01/2554 Cholesterol 214 mg/dl, HDL 75 mg/dl, LDL 135 mg/dl, Triglyceride 66 mg/dl

ได้รับผลการตรวจประมาณปลาย กพ.2554 รู้สึกกังวลมาก จึงปรับเปลี่ยนทันที ...ลดอาหารประเภททอด,เนื้อหมู,ไก่ ซึ่งปกติรับประทานน้อยอยู่แล้วคิดเองว่า อาจเป็นเพราะกาแฟ (3in1วันละ 2 ซอง) จึงเลิกดื่มกาแฟทันที (ตามดูอาการปวดศีรษะอยู่ 3 สัปดาห์) งดเบเกอรี่ ชอบทานพั๊พค่ะประมาณ 1-2 ชิ้น/สัปดาห์เอง เป็นอันยกเลิกไปพร้อมกาแฟ แค่นี้คงไม่พอ น่าจะต้องออกกำลังกายด้วย จึงได้โอกาส ปั่นจักรยานยิม (หลังจากใช้แขวนผ้ามาหลายปี) ทุกเช้าวันละ 30 นาทีค่ะ แล้วก็รับประทานอาหารเสริมด้วย แฮะ! แฮะ! ประจวบเหมาะกับลงเรียนโยคะไว้กับครูถือศิลทุกวันเสาร์ 2 ชม. 10 ครั้ง ปฏิบัติต่อเนื่องอยู่ 2 เดือน มีอุบัติเหตุเล็กน้อยมีแผลที่หลังเท้าเย็บ 3 เข็ม จึงหยุดในส่วนจักรยานยิมประมาณ 8 สัปดาห์ (อันที่จริง 1สัปดาห์ก็พอ) เมื่อ
26/06/2554 ตรวจ Cholesterol ที่ร้านแล็บใกล้บ้าน ได้ผล 176 mg% หลังตรวจมาอ่านเจอบล็อกอาจารย์เสียดายที่ไม่ได้ตรวจ HDL,LDL แต่อ่านต่อไปอีกอาจารย์บอกว่าไม่ต้องขยันตรวจให้ขยัยออกกำลังกาย เลยคิดว่าไว้รอตวจสุขภาพประจำปี ...คิดถูกมั๊ยเนี่ย... หลังตามอ่านบทความอาจารย์ก็อยู่ไม่ได้แล้วรีบออกกำลังกายอย่างเอาเป็นเอาตาย คือ หลังตื่นนอน เล่นโยคะแบบจัดเต็ม 30-45 นาที ต่อด้วย จักรยานยิม 30-40 นาที ก่อนนอน ฝึกโยคะบางอาสนะ เริ่มเมื่อกลางเดือนกค.นี้ค่ะ แล้วก็พยายามชวนเพื่อนๆออกกำลังกายด้วย ได้ผลแล้ว 1ค่ะ กำลังพยายามต่อไป อ้อแล้วงดอาหารที่มีไขมันทรานส์ด้วยนะคะ แล้วก็พยายามปชส. แต่ยังไม่ค่อยได้ผลน่ะค่ะ ขอถามดีกว่า

1. แล็บแต่ละที่มาตรฐานเดียวกันหรือเปล่าคะ
2. ทำไมเวลาขี่จักรยายานแล้วแฮนดจะรู้สึกชาที่มือ
3. การออกกำลังกายจะทำให้ผล CBC OK.มากขึ้นมั๊ยคะ HCT= 36.9 RBC=4.07
4. ถ้าปั่นจักรยานโดยตั้งไว้ฝืดๆ เป็น fitness ด้วยหรือเปล่าคะ
5. จะ motivate คุณพ่อคุณแม่ให้ออกกำลังกาย เริ่มด้วยท่าไม้พลองป้าบุญมีจะ OK.มั๊ย อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ เคยพยายามหลายครั้ง ไม่คอยสำเร็จท่านทั้งสองชอบหาหมอและชอบทานยามากกกกกกกกก ตอนนี้มียาคนละกระเป๋า คุณพ่อ มียาความดัน ต่อมลูกหมาก แก้ปวดเกี่ยวกล้ามเนือและกระดูกเคยผ่ตัดใส่เหล็กที่หลังแก้ไขกระดูกทับเส้น และน่าจะมียานอนหลับด้วย เพราค่อนข้างอ้อนหมอ แล้วก็ยาหยอดตา ต้อหิน เคยผ่าตัดต้อกระจก.....คุณแม่มียาความดัน Vit B1-6-12 แล้วก็น่าจะมียาขยายหลอดเลือดเพราะเคยมีหลอดเลือดสมองตีบ และยาแก้ปวด (หัวเข่า)
6. ทานแคลเซี่ยมเม็ดอยู่น่ะค่ะ เป็น calcium with magnesium,vit.C, zinc ,mangese,copper, vit.E,vit.D ไม่OK. ใช่ป่ะ?
7. อาจารย์หมอมีคอรส หรือบรรยาย ที่เปิดรับบุคคลทั่วไปหรือเปล่าคะ

อาจารย์กรุณาแนะนำด้วยนะคะ ยินดีน้อมรับนำไปปฏิบัติ และจะแนะนำต่อด้วยค่ะ...จะได้สุขภาพดีถ้วนหน้า

กราบขอบคุณในความเมตตาของอาจารย์ค่ะ

..........................................

ตอบครับ

มีลูกศิษย์เอาถ่านแบบคุณบ้างก็ดีนะครับ

1. แล็บแต่ละที่มาตรฐานไม่เท่ากัน แต่ไม่ได้ต่างกันมากจนถึงขนาดให้ผลผิดแบบหน้ามือเป็นหลังมือครับ ในกรณีของคุณผลแล็บสอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ต้องไปสงสัยความถูกต้องของผลแล็บหรอกครับ จะมากเรื่องเปล่าๆ

2. การเกิดความรู้สึกชาที่มือเวลาขี่จักรยานเป็นเรื่องธรรมดา พวกนักขี่จักรยานเขารู้กันทุกคน คุณสังเกตไหมว่าเครื่องแบบของพวกขี่จักรยานนอกจากหมวกจานบิน เสื้อคับ กางเกงยัดกระจับฟองน้ำแล้ว ต้องมีถุงมือที่หนาๆตรงฝ่ามือด้วย

3. การออกกำลังกายจะทำให้ภาวะโลหิตจาง (HCT= 36.9) ดีขึ้นไหม ตอบว่าดีขึ้นแน่นอนครับถ้าโภชนาการถูกต้องด้วย เว้นเสียแต่ว่าคุณมีองค์ประกอบอย่างอื่นที่ทำให้เป็นโลหิตจางอ่อนๆอยู่เป็นธรรมชาติประจำตัว เช่นมียีนแฝงทาลาสซีเมีย กรณีเช่นนั้นการออกกำลังกายอาจไม่ทำให้ภาวะโลหิตจางอ่อนๆหายไปก็ได้

4. การปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง หรือ aerobic หรือที่ในฟิตเนสเขาเรียกว่าแบบ cardio ถ้าตั้งจักรยานให้ฝืดๆก็จะทำช่วยฝึกความแข็งแร็งของกล้ามเนื้อขา เป็นการออกกำลังกายแบบ strength training ของกล้ามเนื้อขาไปด้วย แต่ไม่ควรให้ฝืดมากเพราะหากตั้งฝืดมากจะทำให้ปั่นทุกวันไม่ได้ เพราะถ้าฝืดมากจนกล้ามเนื้อขาล้า ก็จะต้องมีวันพักให้เขา นี่เป็นหลักพื้นฐานของ strength training คือต้องมีการพักและฟื้น (rest and recovery) จะฝึกกล้ามเนื้อจนล้าทุกวันไม่ให้ได้พักซ่อมแซมเลยนั้นไม่ดี

5. การชักจูงให้คุณพ่อคุณแม่ออกกำลังกายด้วยท่าไม้พลองป้าบุญมี ถ้าทำได้ก็ดีแน่ครับ ยังมีวิธีออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุแบบอื่นๆที่ดีๆอีกเช่น การรำมวยจีน การเดินเร็ว (brisk walk) ก็ดีเช่นกัน ผู้สูงอายุนิยมหาหมอกินยาแต่ไม่นิยมออกกำลังกาย อันนี้เป็นเพราะท่านได้รับข้อมูลในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาว่าให้ทำอย่างนั้น เป็นอะไรให้ไปหาหมอ หมอดูแลให้ หาย เพี้ยง แต่สมัยนี้เราต้องพยายามบอกความจริงใหม่ ว่าสุขภาพจะดีอยู่ที่ไลฟ์สไตล์หรือวิธีใช้ชีวิตของตัวเอง หมอช่วยอะไรได้น้อยมาก และยาไม่ใช่ทางออกของปัญหาสุขภาพระยะยาวที่ดี ก็ต้องค่อยๆให้ข้อมูลความจริงท่านไป คุณทำได้ก็จะได้เป็นลูกตัญญู

6. การที่คนสมัยใหม่อย่างคุณชอบทานสารพัดวิตามิน นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนสมัยใหม่ชอบดูแลตัวเอง การเลือกใช้วิตามินเกลือแร่ซึ่งเป็นอาหารอยู่ในเขตอำนาจที่ตนเองจะตัดสินใจได้โดยไม่มีหมอมาก้าวก่าย คนสมัยใหม่ก็เลยชอบ ถามว่าโอเค.ไหม ผมก็ไม่ต่อต้านนะครับ แต่ถามผมว่ามันจำเป็นไหม หลักการแพทย์แผนปัจจุบันที่สรุปจากข้อมูลที่มีอยู่ถึงทุกวันนี้ตอบได้เลยว่ามันไม่จำเป็น

7. เรื่องคอร์สสุขภาพครั้งละสองสามวันตามรีสอร์ท หรือบรรยายตามห้องประชุม ผมก็มีอยู่เกือบทุกเดือนนะครับ แต่ส่วนใหญ่เขาจะจัดให้กลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เช่นกลุ่มพนักงานแบงค์ชาติที่กำลังจะเกษียณ เป็นต้น ผมยังไม่มีเวลาจัดให้กับคนทั่วไป ถ้าทำจะแจ้งข่าวให้ทราบทางบล็อกนะครับ แต่สามเดือนข้างหน้านี้คงไม่มี เพราะหลวมตัวไปยุ่งกับทีวีจึงแทบหาเวลาว่างไม่ได้เลย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

หัวใจเต้นผิดปกติจากยา Arcoxia หรือไม่

เรียนปรึกษาคุณหมอ เรื่องอาการหัวใจเต้นผิดปกติ จากยา Arcoxia ครับ

เนื่องจากก่อนหน้านี้ วันที่ 23/5/2554 ผมปวดไหล่รุนแรงมาก ไปหาหมอที่ รพ. ... หมอให้ทานยา Arcoxsia 90 mg และยาทานอื่น ๆ คือ omeprazole 20 mg lyrica 25 mg, mydocalm 150 mg, และฉีดยาให้ผม dynastat ครับ บ่ายวันถัดมา ผมเริ่มมีอาการ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเหนื่อยเลย ผมอ่านเรื่องของยา arcoxia แล้วไม่สบายใจครับ ผมทานยาตัวนี้ ติดต่อกัน 8 วัน 8 เม็ด (วันละเม็ด) หลังจากนั้น ผมหยุดยา ผมหยุดยามาได้ เกือบเดือนแล้วครับ ปัจจุบัน ผมยังคงมีอาการ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติอยู่ ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่เฉย ๆ บางครั้งก็เต้น 130 กว่าครั้งต่อนาที บางครั้งก็เต้น 110 กว่าครั้งต่อนาที ระยะห่างที่เป็น ก็จะเป็นประมาณ สัปดาห์ละครั้งบ้าง สามวันครั้งบ้าง บางวันเป็น 2 - 3 ครั้ง เวลาเป็น ผมจะรู้สึกถึงแรงดัน หน้าร้อนผ่าวบ้าง ถ้าหัวใจเต้นไม่เร็วนัก สัก 110 ก็จะไม่รู้สึกหน้าร้อนผ่าวอะไร อีกอาการหนึ่งคือ ตอนนี้ ผมกลายเป็นมีอาการวิตกกังวล ด้วยครับ ผมไปหาหมอมาหลายรพ.แล้ว แพทย์ ไม่เชื่อว่า เป็นเพราะยา arcoxia ครับ (1) ผมจะพอมีวิธีรักษาอาการเหล่านี้ได้อย่างไรบ้างครับ (2) ผมจะบอกแพทย์ให้รักษาผมด้วยวิธีไหนดี (3) หรือคุณหมอ พอจะมีวิธีรักษาไหมครับ ถ้าสะดวกให้ผมไปพบ ผมจะดีใจมากเลยครับ
ตอนนี้ ผมกลุ้มใจมาก เพราะทำงานไม่ค่อยได้ กังวลว่า มันจะเกิดขึ้น ตลอดเวลา อาการนี้ มันรบกวนชีวิตผมมากเหลือเกินครับ ผมไม่รู้ว่า ต้องรักษาอาการให้หาย หรือปล่อยไว้นาน ๆ มันจะทุเลาไปเอง ผมขอความกรุณาคุณหมอด้วยนะครับ
เพราะไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว

……………………………………………….


ตอบครับ

1. ก่อนอื่นมาทำความตกลงเรื่องกฎกติกาก่อนนะ คือวงการแพทย์ทั่วโลกตกลงกันว่าหมอจะไม่พูดชื่อทางการค้าของยา ให้พูดแต่ชื่อสามัญ เพื่อปิดโอกาสไม่ให้หมอทำตัวเป็นยี่ปั๊วของบริษัทยา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกฎกติกาที่ดี และผมก็ชอบกฎนี้ เพราะทำให้ผมปลอดภัยจากของแข็งของบริษัทยาด้วย ดังนั้นต่อไปในบทความนี้ที่คุณเรียกว่ายา Arcoxia ผมจะเรียกว่า etericoxib และยาฉีดที่คุณเรียกว่า Dynastat ผมจะเรียกว่า parecoxib โอเค้..

2. ทั้งยา etericoxib และ parecoxib ต่างเป็นยาในกลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สะเตียรอยด์ (NSAID) ในกลุ่มย่อยที่ออกฤทธิ์ระงับเฉพาะเอ็นไซม์ COX-2 ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ อันเป็นยาที่แตกต่างจากยา NSAID ดั้งเดิมเช่น diclofenac (Voltaren) ที่ออกฤทธิ์รูดมหาราชระงับทั้งเอ็นไซม์ COX-2 และ COX-1 ยาดั้งเดิมนั้นขึ้นชื่อลือชาว่าทำให้เลือดออกในกระเพาะง่ายและทำให้ไตพัง แต่ขณะเดียวกันยากลุ่มใหม่ที่ออกฤทธิ์ระงับเฉพาะ COX-2 ก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าทำให้เกิดปัญหาต่อหัวใจมากกว่ายารุ่นพี่เสียอีก ทั้งในแง่ทำให้เกิดหัวใจล้มเหลว และกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เพียงแต่ว่ายังไม่มีใครแสดงให้เห็นถึงกลไกการออกฤทธิ์ต่อหัวใจที่แน่ชัด เพราะพอข้อมูลของยารุ่นพี่เช่น rofecoxib (VIOXX) จะชัดขึ้นมาว่าทำให้คนมีเป็น heart attack มากขึ้น ยาก็ถูกถอนออกจากตลาดไปก่อน แล้วเข็นเอายารุ่นน้องในคอกเดียวกันตัวอื่นออกมาแทน วงการแพทย์ก็ต้องมานั่งรอเก็บสถิติกันใหม่ไปอีกพักใหญ่ รอจนกว่าจะมีเรื่องแดงขึ้นมามากพอจนมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงจะได้รู้กันว่ายานี้มีผลเสียต่อหัวใจแน่ชัดอย่างไร แต่ทุกวันนี้แม้ข้อมูลจะยังไม่ชัด ฉลากของยาเหล่านี้ก็ได้ห้ามใช้ในคนเป็นโรคหัวใจล้มเหลวและหัวใจขาดเลือดไว้แล้วเรียบร้อย

3. ถามว่าฉีดยา parecoxib ไปหนึ่งเข็ม แล้วทานยา etericoxib ไปอีกแปดเม็ด ทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับหัวใจ (หัวใจล้มเหลวหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย) จนหัวใจเต้นผิดปกติ (arrhythmia) ใช่ไหม แหะ แหะ คำตอบนั้นอยู่ในสายลม ..The answer, my friend, is blowing in the wind. เพราะว่าข้อมูลที่วงการแพทย์มีอยู่ในปัจจุบันยังน้อยเกินไปไม่พอที่จะตอบคำถามนี้ได้ครับ ตอบได้แต่ว่าความเป็นไปได้นะมี แต่ใช่จริงหรือไม่ ยังไม่รู้ครับ

4. จะมาให้หมอสันต์รักษาให้ได้ไหม ตอบว่าไม่ได้ครับ เพราะตอนนี้ผมทำหน้าที่เป็นหมอป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ ไม่ได้หากินทางรักษาโรคแล้ว จึงไม่รับรักษาผู้ป่วยครับ อีกอย่างหนึ่ง กฎของแพทยสภาห้ามหมอโฆษณาหาคนไข้เข้าตัวเอง เพราะฉะนั้นการเขียนบล็อกเพื่อให้ความรู้ผู้คนอย่างนี้ จะแอบกุ๊กกิ๊กชักจูงเอาผู้อ่านมาเป็นคนไข้ของตัวเองไม่ได้เลยครับ ..บาปหนัก

5. จะรักษาตัวเองต่อไปอย่างไรดี ผมแนะนำว่า

5.1 หยุดยาทุกชนิด โดยเฉพาะยา NSAID ทุกตัว

5.2 อยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไรไป 6 เดือน แบบว่า “..รอให้เวลา ช่วยรักษาแผลหัวใจ” ทำนองนั้น ถ้าเป็นผลจากยา มันมีโอกาสหายเองได้อยู่แล้ว เพราะธรรมชาติของร่างกายเยียวยาอวัยวะของตัวเองได้ ในระหว่างนี้ถ้าจิตไม่ว่างก็ไปเดินจงกรมที่วัด

5.3 เมื่อครบหกเดือนแล้ว ถ้าอาการใจเต้นเร็วยังไม่หายไป คราวนี้ต้องไปหาหมอแบบไปตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งในการตรวจสุขภาพประจำปี หมอเขาจะถามว่ามีอาการผิดปกติอะไรบ้างไหม เราก็ตอบว่ามีอาการใจเต้นเร็วและหน้าร้อนผ่าวเป็นพักๆ และอย่าลืมบอกหมอด้วยว่าเราอยากจะประเมินให้ละเอียดด้วยว่าหัวใจมีภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) และภาวะหัวใจขาดเลือดหรือเปล่า ถ้ากลัวหมอจะไม่เห็นด้วยเรื่องยา COX-2 ก็ไม่ต้องบอกหมอเรื่องยาก็ได้ บอกเพียงแค่ว่าขอมาประเมินหัวใจอย่างละเอียดเพื่อเป็นมาตรการความปลอดภัยก่อนจะเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายอย่างจริงจัง หมอเขาก็จะวัดความดัน วัดชีพจร เพราะความดันสูงและชีพจรเร็วในคนอายุน้อยอาจจะเกิดจากมีเนื้องอกคอยปล่อยฮอร์โมนที่ต่อมหมวกไตก็ได้ ถ้าเขาเห็นจำเป็นเขาอาจจะตรวจดูฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการใจเต้นเร็วและวูบวาบได้เหมือนกัน ในการประเมินหัวใจหมออาจจะทำการตรวจสมรรถนะด้วยการวิ่งสายพาน (EST) และการตรวจคลื่นเสียงดูการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจด้วยก็ให้เขาทำไป

5.4 ถ้าตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติเลย คราวนี้ต้องไปหาหมอโรคประสาท เอ๊ย.. ไม่ใช่ พูดเล่น คราวนี้ก็สบายใจได้แล้ว ให้หันมาใช้ชีวิตในแนวทางที่ทำให้สุขภาพดีตามปกติแบบเต็มสตีม ออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควรคือจนหอบแฮ่กๆร้องเพลงไม่ได้วันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน นอนพักให้พอ เลิกสนใจว่าหัวใจจะเต้นร้อยครั้งหรือร้อยสามสิบครั้ง เลิกสนใจด้วยว่าหน้าจะผ่าวหรือไม่ผ่าว เพราะอาการใจเต้นเร็วใจสั่นและผ่าวที่หน้านี้ บางทีแค่ความวิตกกังวลอย่างเดียวก็ทำให้เกิดอาการอย่างนี้ได้เหมือนกัน


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์


บรรณานุกรม

1. Trelle, S; Reichenbach, S, Wandel, S, Hildebrand, P, Tschannen, B, Villiger, PM, Egger, M, Jüni, P (2011-01-11). "Cardiovascular safety of non-steroidal anti-inflammatory drugs: network meta-analysis.". BMJ 2011; 342:c7086. doi:10.1136/bmj.c7086.
[อ่านต่อ...]

โรคลิ้นหัวใจ กับโรคเอดส์

ขอถามคุณหมอว่ามีญาติจะผ่าตัดลิ้นหัวใจ แต่เป็นโรคเอดส์ เลยอยากรุ้ว่าทำได้ไหม แล้วต้องเฝ้าระวังอะไรเป็นพิเศษหรือป่าว โอกาสหายและพักฟื้นใช้เวลาเท่าไร แล้วมีหมอมือดีแนะนำไหมค่ะ ที่ราชวิถีค่ะ

ขอบคุนมากนะค่ะ

..........................................................

ตอบครับ

ประเด็นที่ 1. คนเป็นโรคเอดส์ เมื่อมีปัญหาลิ้นหัวใจแล้ว ควรจะทำผ่าตัดไหม หลักการตัดสินใจของแพทย์นี้มีง่ายๆเลยครับ คือแพทย์จะตัดสินใจรักษาก็ต่อเมื่อได้ประโยชน์อย่างน้อยหนึ่งในสองอย่างคือ (1) รักษาแล้วทำให้ชีวิตมีความยืนยาวขึ้น (2) รักษาแล้วทำให้ชีวิตมีคุณภาพขึ้น

ในประเด็นความยืนยาวของชีวิต แพทย์ก็ต้องประเมินว่าโรคเอดส์อยู่ในขั้นไหน มีอัตรารอดชีวิตระยะยาวเท่าไหร่ พูดง่ายๆว่าจะอยู่ได้อีกกี่ปี แล้วเอามาเทียบกับโรคลิ้นหัวใจว่าอยู่ในขั้นไหนแล้ว ถ้าไม่ผ่าตัดแก้ไขจะอยู่ได้นานประมาณเท่าไหร่ ถ้าสมมุติว่าโรคเอดส์อยู่ในระยะปลายแล้ว อัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยไม่น่าจะเกิน 5 ปี แต่พอหันมามองทางโรคลิ้นหัวใจ พบว่าเป็นลิ้นหัวใจไมทรัลรั่วระดับกลาง (สมมุตินะ) ซึ่งตามสถิติแล้วหากไม่รักษาก็จะอยู่ไปได้อีกอย่างน้อยสิบปีขึ้นไป อย่างนี้ในแง่ความยืนยาวของอายุ การผ่าตัดจะไม่ช่วยอะไรในแง่ของการยืดอายุ เพราะยืดอายุไม่ให้ตายด้วยโรคหัวใจ แต่ก็จะไปตายด้วยโรคเอดส์เสียก่อน..อยู่ดี เป็นต้น อย่าลืมว่านี่สมมุติให้ฟังนะ ไม่ใช่กรณีของญาติคุณ

ในประเด็นคุณภาพชีวิต ก็ต้องเปรียบเทียบว่า ณ ขณะนี้คุณภาพชีวิตยังดีเป็นที่ยอมรับได้อยู่หรือเปล่า ถ้าคุณภาพชีวิตยังดียังปร๋ออยู่ ก็จะไปผ่าตัดเพื่อปรับคุณภาพชีวิตทำพรือ เพราะของเดิมก็ดีๆอยู่แล้วจะทำให้ดียิ่งกว่าดีมันทำไม่ได้หรอก แต่ถ้าคุณภาพชีวิตไม่ดี ก็ต้องมาดูว่าคุณภาพชีวิตไม่ดีนั้นเพราะโรคอะไร เช่นนอนหอบแฮ่กๆอยู่ ก็ต้องดูว่าหอบแฮ่กๆเพราะโรคหัวใจ หรือหอบแฮ่กๆเพราะโรคพันธมิตรของเอดส์กำลังเล่นงานปอด (เช่นเชื้อนิวโมซิสติส แครินิไอ) ถ้าพบว่าหอบแฮ่กๆเพราะโรคหัวใจ อันนี้การผ่าตัดก็จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้ ก็ควรทำ แม้ว่าอัตราการรอดชีวิตของเอดส์จะเหลือแค่ 5 ปี (ย้ำอีกที ตัวเลขสมมุติ) ก็ยังควรทำ เพราะหลักการแพทย์ถือว่าการรักษาเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตเป็นสิ่งที่คุ้มค่า แม้ว่าเวลาในชีวิตจะเหลือสั้นอีกไม่กี่นาทีก็จะตายแล้ว ก็ยังคุ้มค้า
โดยสรุปจะรักษาดี หรือไม่รักษาดี ต้องตอบคำถามแยกกันอย่าปนกันมั่ว ว่าจะรักษาเพื่อยืดอายุหรือเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต ถ้ารักษาแล้วได้อย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ก็ เอาเลยครับ

ประเด็นที่ 2. เป็นโรคเอดส์อยู่ ผ่าตัดหัวใจได้ไหม ตอบว่าผ่าได้สิครับ เพียงแต่ต้องยอมรับความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่สูงกว่าคนไม่เป็นเอดส์ โดยเฉพาะภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อหลังผ่าตัด เพราะการผ่าตัดหัวใจต้องเอาเลือดมาไหลเวียนนอกร่างกายผ่านระบบหัวใจและปอดเทียม (heart lung machine) ซึ่งเจ้าเครื่องนี้จะทำลายโมเลกุลภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เสียหายไปพอควร ภูมิคุ้มกันที่แย่เพราะเอดส์อยู่แล้วจะยิ่งแย่ลงไปอีกในระยะหลังผ่าตัดใหม่ๆ แพทย์ก็ต้องเอาความเสี่ยงนี้มาเทียบกับประโยชน์ที่คาดหมายว่าจะได้จากการผ่าตัด (risk benefit judgement) โดยพิจารณาร่วมกันกับผู้ป่วย ถ้าประโยชน์มันจะได้มากคุ้มกับความเสี่ยง ก็เอาเลย..ลุย

ประเด็นที่ 3. โอกาสหายพักฟื้นนานเท่าไร คนปกติผ่าตัดลิ้นหัวใจที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไรก็จะนอนโรงพยาบาล 5-7 วันแล้วกลับไปสะง็อกสะแง็กที่บ้านต่ออีก 3-6 เดือนจึงจะฟิตปร๋อเป็นปกติ คนที่เป็นเอดส์ ก็คาดหมายว่าจะเหมือนกัน ยกเว้นถ้าภาวะแทรกซ้อนขึ้น ก็ขึ้นอยู่ว่าภาวะแทรกซ้อนนั้นเป็นอะไร พูดง่ายๆว่าแล้วแต่ดวง คนปกติผ่าตัดลิ้นหัวใจมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนถึงต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น มีเพียง 5% เท่านั้น (เช่น เลือดออกต้องผ่าใหม่ ติดเชื้อ ไตพัง เป็นอัมพาต เป็นต้น) แต่คนเป็นเอดส์ไม่มีสถิติว่าอัตราเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าคนปกติกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะมีคนเป็นเอดส์มาให้ผ่าตัดหัวใจน้อย ไม่มากพอที่จะทำสถิติ ตัวผมเองเคยผ่าตัดหัวใจคนเป็นเอดส์คนเดียว ปรากฏว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนเลย สาธุ เพราะดวงผมดีเลยรอดตัวไป

ประเด็นที่ 4. แนะนำหมอมือดีให้หน่อยดิ ที่ราชวิถีซะด้วย คือที่ราชวิถีเนี่ยผมเคยทำงานอยู่นานเกือบยี่สิบปีนะครับ ตึกที่ผ่าตัดหัวใจเราเรียกว่าตึกสะอาด คือเรียกตามชื่อของผู้บริจาคเงินสร้างตึก วันหนึ่งนานมาแล้วมีคนไข้คนหนึ่งตะเกียกตะกายมาหาผมและต้องพบผมให้ได้ เมื่อได้พบกันก็ถามได้ความว่าหมอที่อื่นบอกว่าต้องผ่าตัดหัวใจ ไปดูซินแซมาแล้ว ซินแซบอกว่ากำลังจะตาย ให้มาที่ตึกสะอาดนี่ จะมีโจ้วซือ (เทพ) ช่วยชีวิตไว้ ผมฟังแล้วถอนหายใจเฮือกแล้วบอกคนไข้ไปว่า

“อาแปะครับ ที่นี่เทพตัวจริงนะไม่มีหรอกครับ แต่คนที่คิดว่าตัวเองเป็นเทพนะ..มีเพียบ”

สรุปว่าผมได้ตอบคำถามในประเด็นแนะนำหมอมือดีแล้วใช่ไหมครับ แคว่ก แคว่ก.. ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

.........................

1 สค. 54
เรียน คุณหมอ
ทางรพ บอกว่าต้องประชุมแพทย์ว่าหมอจะผ่าตัดให้หรือไม่ ซึ่งคำตอบของหมอบอกว่าต้องทำเป็นคนสุดท้ายแล้วก้อต้องล้างเครื่องมือใหม่หมด อีกอย่างคือ หมอต้องอยู่กับเลือดเลยไม่อาจทำให้ก้อได้ หนูได้ยินคำตอบแบบนี้แล้วรุ้สึกท้อแท้หมดหวังมากค่ะ จนไม่อยากเข้าประชุมกับหมอเรื่องผ่าตัดเลย คนไข้เองก้อไม่อยากไป คุนหมอฟังแล้วเป็นไงบ้างค่ะ คนเป็นโรคนี้ต้องนอนรอความตายอย่างเดียวงั้นหรือ
..............................................

ตอบครับ

ใจเย็นๆครับ

1. การประชุมหารือในหมู่แพทย์ก่อนทำการผ่าตัดหัวใจ เรียกว่า cardiosurgical conference เป็นเรื่องที่จะต้องทำกับผู้ป่วยทุกรายก่อนผ่าตัดอยู่แล้ว เป็นการเอาผลตรวจต่างๆมาฉายขึ้นจอให้ที่ประชุมแพทย์ดู เพื่อหาข้อสรุปหลังจากชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ที่จะได้และความเสี่ยงแล้ว ว่าคนไหนควรทำผ่าตัดหรือไม่ควรทำ และในกรณีที่มีความเร่งด่วน ก็ต้องลงมติด้วยว่าคนไหนควรทำก่อน คนไหนควรทำหลัง อันนี้ทำกับคนไข้ทุกคนครับ เป็นเรื่องธรรมดา

2. การเชิญผู้ป่วยและหรือครอบครัวเข้าร่วมประชุมด้วย เรียกว่า family conference อันนี้ก็เพื่อจะชี้แจงความเสี่ยงและประโยชน์ของการผ่าตัดให้ผู้ป่วยและครอบครัวทราบ และบางครั้งก็ต้องการการตัดสินใจจากทางผู้ป่วยและครอบครัวด้วยในกรณีทางเลือกนั้นเป็นแบบ optional หมายความว่าทำไม่ทำผลก็ต่างกันไม่มาก อันนี้ก็เป็นธรรมดาอีกนะแหละครับ หากไม่เชิญเข้าร่วมหารือก่อนแล้วหมอลุยผ่าตัดดุ่ยไปเลยนั่นเสียอีกที่ถือเป็นเรื่องที่ผิดธรรมดาที่หมอไม่ควรทำ

3. ที่คุณบอกว่าหมอว่า “หมอต้องอยู่กับเลือดเลยไม่อาจทำให้ก้อได้” อันนี้คงฟังมาผิดละมังครับ ถ้าให้ผมเดานะ หมอคงจะพูดทีเล่นทีจริงทำนองว่า “หมอเองทำผ่าตัดเนี่ยก็เสี่ยงติดโรคนะเพราะต้องอยู่กับเลือด แต่หมอก็ทำให้เพราะทำเพื่อคนไข้” น่าจะเป็นแบบนี้มากกว่า ไม่มีหรอกครับ ที่หมอจะพูดตัดเยื่อใยไม่รักษาคนไข้นั้น ผมยังไม่เคยเห็น และขึ้นชื่อว่าเป็นหมอผ่าตัด เขามีชีวิตอยู่เพื่อทำผ่าตัดช่วยคนไข้ทุกคนโดยไม่เลือก ไม่มีใครรังเกียจคนไข้โรคเอดส์หรอกครับ ถ้าเขารังเกียจ เขาต้องเลิกอาชีพนี้ไปนานแล้ว เพราะคนไข้เอดส์ที่มาผ่าตัดมีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะหลบอย่างไรพ้น

โดยสรุปผมแนะนำว่าไปประชุมกับหมอเขาตามนัดเถอะนะครับ ฟังข้อมุลที่หมอเขาบอกมา แล้วก็ชั่งน้ำหนัก แล้วก็บอกการตัดสินใจให้หมอเขาไปว่าเราตัดสินใจจะผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัด กรณีที่ตัดสินใจผ่าตัด ก็พูดให้หมอเขาสบายใจเสียหน่อยนะครับนะ ว่า

“ขอให้คุณหมอผ่าตัดด้วยความสบายใจนะคะ ผลการผ่าตัดมันจะออกมาเป็นอย่างไรทางครอบครัวก็รับได้ทั้งนั้น เพราะทราบดีว่าคุณหมอพยายามช่วยเต็มที่แล้ว”

แหม หมอคนไหนได้ยินญาติผู้ป่วยพูดแบบนี้ละก็ทำงานเหนื่อยตายก็ไม่บ่น ที่พวกหมอเขากลัวกันก็คือแบบที่ว่า

“หมอทำดีๆนะ ถ้าทำแล้วตายถูกฟ้องแน่”

แบบนี้แหละครับ พวกหมอเขากลัวกันจริงๆ ซึ่งผมเชื่อว่าคุณไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

27 กรกฎาคม 2554

ข้ออักเสบรูมาตอยด์ กลัว กลัว กลัว

ดิฉันอายุ 40 ปี มีปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อสะบัก ปวดตามมือตามเท้า อาเจียน แน่นท้อง แสบแน่นหน้าอก รักษามานานเป็นปี ครั้งสุดท้ายหมอเจาะเลือดดู RF ได้ผลบวก 1:160 แล้ววินิจฉัยว่าเป็นข้ออักเสบรูมาตอยด์ และได้ให้ยา Arava, Plaquenil, Methotrixate, Folic acid ตอนนี้ทานยามาแล้ว 2 เดือน หมอตรวจพบว่าเอ็นไซม์ตับ SGPT สูงขึ้นเป็น 90 จึงให้ดิฉันตรวจภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบทั้ง A B C แต่ก็ไม่มีภูมิสักตัว ดิฉันมีความกังวลว่าเป็นโรคนี้ต้องรักษากันจนตาย และต้องใช้ยาแพง อาจจะต้องทุพลภาพ อยากถามคุณหมอว่าการตัดสินว่าเป็นโรคนี้ใช้ RF เป็นหลักเลยใช่ไหม ดิฉันเป็นโรคนี้แน่หรือเปล่า โรคนี้เกิดจากอะไร แล้วโรคนี้มีความสัมพันธ์กับไวรัสตับอักเสบอย่างไร ทำไม่จึงต้องตรวจไวรัสหมด และท้ายที่สุดดิฉันควรรักษาตัวเองอย่างไรจึงจะดี

.........................................................

ตอบครับ

1. การวินิจฉัยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) ปัจจุบันนี้ใช้เกณฑ์วินิจฉัยของวิทยาลัยข้ออักเสบอเมริกาและยุโรป (ACR/EULAR) ซึ่งเพิ่งแก้ไขกันไปหมาดๆเมื่อปีกลาย (2010) และมีสาระสำคัญว่าจะวินิจฉัยโรคนี้เมื่อได้คะแนน 6 คะแนนขึ้นไปจากคะแนนเต็มสิบคะแนนคือ

A. จำนวนข้อที่มีการอักเสบ ถ้าข้อใหญ่อักเสบ 2-10 ข้อ ได้ 1 คะแนน ถ้าข้อเล็กอักเสบ 1-3 ข้อได้ 2 คะแนน ถ้าข้อเล็กอักเสบ 4-10 ข้อได้ 3 คะแนน ถ้าข้อเล็กอย่างน้อย 1 ข้ออักเสบร่วมกับข้ออื่นๆรวมแล้วเกิน 10 ข้อขึ้นไปได้ 5 คะแนน

B. ผลตรวจเลือดอย่างน้อยต้องได้ผลบวกหนึ่งอย่างคือถ้า RF (rheumatoid factor) หรือ ACPA (anti citrullinated protein antibody) เป็นบวกต่ำๆ ได้ 2 คะแนน ถ้าเป็นบวกมากๆ (เกินสามเท่าของค่าปกติ)ได้ 3 คะแนน

C. สารแสดงปฏิกิริยาการอักเสบ คือ ESR (erythrocidementation rate) หรือ CRP (C-reactive protein) อย่างน้อยต้องได้ผลบวกหนึ่งอย่าง ถ้าบวกก็ได้ 1 คะแนน

D. ความยาวนานของอาการ อาการเป็นมานาน 6 สัปดาห์ขึ้นไป ได้ 1 คะแนน

ในกรณีของคุณ ผมดูชื่อยาที่คุณบอกมาแล้ว ผมเดาเอาได้ว่าคุณกำลังอยู่ในมือของหมอโรคข้อ (rheumatologist) เขาไม่วินิจฉัยคุณผิดหรอกครับ เพราะเป็นอาชีพของเขา เหมือนคนอาชีพทำขนมครก ย่อมไม่ทำขนมครกออกมาเป็นขนมเบื้อง ฉันใดก็ฉันเพล ดังนั้นอย่าวิตกจริตไปเลย

2. ความกังวลที่ว่าเป็นโรคนี้ต้องรักษากันจนตายนั้นเป็นการมองโลกแง่ร้ายแง่เดียว เพราะการพยากรณ์ของโรคนี้ขึ้นอยู่กับดวง คือบางคนก็ไปดี บางคนก็ไปไม่ค่อยดี เอาแน่ไม่ได้ แต่ข้อมูลที่พอทำให้ใจชื้นได้บ้างคือในบางคนโรคนี้หายเองได้

3. ความกังวลว่าจะเสียค่ายาแพงตลอดชีวิตเป็นความกังวลที่ไร้สาระ เพราะโรคนี้ยายิ่งถูกยิ่งได้ผลดี ยาที่ให้ผลดีที่สุดและถูกนำมาจัดเป็นยาแถวแรก (first line drug) ในการรักษาล้วนเป็นยาราคาถูกๆทั้งสิ้น รวมทั้งยา Lefanamide (Arava), Hdrochloroquine (Plaquenil), และ Methotrexate ที่คุณทานอยู่ด้วย ส่วนตัวที่แพงคือยาในกลุ่ม TNF inhibitor (เช่นยา abatacept) ซึ่งเป็นยาฉีดนั้นมันเป็นยาร่วมรักษาที่หมอเขาจะสงวนไว้ใช้ก็เฉพาะรายที่โรคเป็นมากๆจนยาแถวแรกเอาไม่อยู่แล้วเท่านั้น ซึ่งมีโอกาสที่ผู้ป่วยอย่างคุณจะต้องใช้ยาอย่างนั้นน้อยมาก

4. ความกังวลว่าจะทุพลภาพก็ผิดอีก เพราะยาแถวแรกซึ่งเรียกว่ายาในกลุ่ม DMARD อย่างที่คุณทานอยู่นี้มันช่วยได้มาก จนสองในสามของผู้ป่วยโรคนี้มีชีวิตอิสระเสรีอยู่ได้ด้วยตนเองโดยไม่มีความพิการหรือทุพลภาพแต่อย่างใด

5. การคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ.ซี ก่อนเริ่มให้ยา เป็นมาตรฐานการรักษาโรคนี้ เพราะโรคไวรัสตับอักเสบซี.มีอาการแยกไม่ออกจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หากไม่คัดกรองก่อน เดี๋ยวรักษาผิดโรค

6. การคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบเอ.และบี.นั้นหมอโรคตับเขาทำในผู้ป่วยที่มีเอ็นไซม์ของตับผิดปกติทุกรายไม่ว่าจะผิดปกติจากเหตุใด เพราะหากพบว่ามีโรคตับอักเสบอยู่ ก็แสดงว่ามันอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เอ็นไซม์ของตับสูง หรือถ้าพบว่าไม่เคยติดเชื้อ ก็จะได้ฉีดวัคซีนป้องกัน เพราะตับกำลังเป๋อยู่แล้วควรป้องกันไม่ให้โรคใหม่มาทำให้ตับเป๋หนักยิ่งขึ้น

7. ควรจะรักษาตัวเองอย่างไรนะหรือครับ ข้อแรกก็คือทำตัวเป็นคนไข้ที่ดี ทำตามที่หมอข้อเขาแนะนำ ให้ข้อมูลหมอมากๆ มีอะไรใช่ไม่ใช่บอกหมอไว้ก่อน ข้อสอง ก็คือใช้ชีวิตให้มีคุณภาพเต็มสตีม หมายความว่าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวให้เต็มที่ สร้างสรรค์สิ่งดีในชีวิตให้เต็มภาคภูมิ อย่าเอาแต่คิดแบบคนอกหักรักคุดว่าเป็นโรคนี้แล้วจะนั่นจะนี่ ไม่นานมานี้ผมไปที่อังกฤษ ได้พบผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นยอดฝีมือด้านร้องเพลงโซปราโน และเธอเป็นโรคเดียวกับคุณด้วย ไม่เห็นเธอตีอกชกหัวแบบคุณเลย (ขอโทษ ผมปากเสียอีกละ)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Aaletaha D, Neogi T et al for AHA/EULAR. 2010 Rheumatoid arthritis classification criteria. Arthritis & Rheumatism 2010;62(9):2569-2581. (DOI 10.10020art.27584)
[อ่านต่อ...]

18 กรกฎาคม 2554

นพ.สันต์ ให้สัมภาษณ์เรื่อง The Symptom เกมหมอยอดนักสืบ

ผู้สื่อข่าว อสมท.

จะถามคุณหมอเรื่องรายการ “The Symptom เกมหมอยอดนักสืบ” ที่จะเริ่มออกอากาศทางช่อง 9 อสมท. ทุกวันอาทิตย์เวลา 21.30-22.30 น. ตั้งแต่วันที่ 24 กค. 54 เป็นต้นไป อยากทราบว่ารายการนี้มันเป็นมาอย่างไร ทำไมจึงมาทำรายการนี้

หมอสันต์

มันเป็นรายการแบบว่า Edutainment คือรายการสนุกที่ให้ความรู้สุขภาพ เป็นความร่วมมือระหว่างช่อง 9 กับรพ.พญาไท ความเป็นมาก็คือว่าทางพญาไทเรามาคิดว่าจะใช้งบ CSR (งบกิจกรรมเพื่อสังคม) ของเราอย่างไร ก็คิดว่าเราเป็นโรงพยาบาลก็ต้องให้ความรู้ด้านสุขภาพนะแหละดีที่สุดหละ แต่ว่าถ้าเราพูดเปล่าๆว่าจะสุขภาพดีต้องทำยังงั้นยังงี้ คนเขาไม่ฟังหรอก เพราะคนเขาเครียดมาทั้งวันแล้วเขาอยากฟังแต่เรื่องรื่นเริงบันเทิงใจ มันจึงต้องแทรกไปกับความบันเทิง รูปแบบมันก็คือเราสร้างห้องปฏิบัติการแบบในโรงพยาบาลขึ้นมาในห้องส่งนั่นแหละ สร้างขึ้นมาสองห้อง แล้วหมุนเวียนเอานักศึกษาแพทย์ปีท้ายๆของทุกสถาบันในเมืองไทยผลัดกันมาแข่งกันวินิจฉัยโรคของคนไข้ แบ่งเป็นสองทีม ทีมละ 3 คน แต่ละทีมก็อยู่ในห้องปฏิบัติการของตัวเองซึ่งออกแบบมาอย่างดีมีเครื่องมือสืบค้นโรคครบ เข้าถึงข้อมูลทั้งในและนอกประเทศได้ทันดี โดยมีผมกับคุณดู๋ (สัญญา คุณากร) เป็นเหมือนพิธีกรค่อยๆไกด์ให้ผู้ชมตามเรื่องได้ทันและร่วมลุ้นร่วมสืบค้นโรคกับนักศึกษาแพทย์แต่ละข้างไปด้วย

ผู้สื่อข่าว อสมท.

แล้วจะทำอยู่นานไหมคะ

หมอสันต์

ซีซั่นนี้จะทำนาน 13 สัปดาห์ หมดซีซั่นแล้วผมก็จะประเมินดูว่ามันได้ประโยชน์ในแง่การให้ความรู้พับบลิกคุ้มที่ผมต้องไปเหนื่อยหรือเปล่า ถ้ามันคุ้มก็ทำต่อ ถ้าไม่คุ้มก็เลิก ไปหาวิธีอื่นที่มันได้ผลกว่ากันต่อไป เพราะว่าเมื่อผมหันมาเป็นหมอที่มุ่งป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพแล้ว จะยังไงก็ต้องหาทางให้ความรู้แก่พับบลิก เพราะว่ามันเป็นงานวิชาชีพของเรา มันก็ต้องทำให้ได้

ผู้สื่อข่าว อสมท.


นอกจากให้ความรู้สุขภาพทั่วๆไปแล้ว คุณหมอยังคาดหวังอย่างอื่นอีกไหมคะ

หมอสันต์

มี.. มีนะครับ คือผมเป็นคนโลภมาก ยิงนกตัวนี้แล้วผมยังหวังอีกสองอย่าง หนึ่งคืออยากให้นักเรียนมัธยมเห็นอีกด้านหนึ่งของอาชีพแพทย์ ด้านที่ว่ามันก็มีความสนุกสนานท้าทายอยู่เหมือนกันไม่ใช่เนิร์ดหรือทึนทึกอย่างที่เด็กๆเขาเข้าใจ เยาวชนที่ฉลาดปราดเปรื่องจะได้หันกลับมาเรียนแพทย์มากขึ้น แทนที่จะไปเอาดีทางร้องทางเต้นกันหมด สองก็คือผมหวังให้พับบลิกเข้าใจกระบวนการวินิจฉัยโรคของแพทย์ว่ามันมีความเสี่ยงแทรกอยู่ตลอดเวลาเป็นธรรมชาติหรือเป็นสัจจธรรม ทั้งเสี่ยงจากความจำกัดของข้อมูลที่มี เสี่ยงจากความบีบรัดของเวลา และเสี่ยงจากความจำกัดของวิทยาศาสตร์เอง เมื่อผู้ชมต้องกลายไปเป็นคนไข้ในวันข้างหน้า เขาจะได้ร่วมมือกับหมอดีขึ้นแบบว่าเป็นพวกเดียวกันร่วมกันเอาชนะโรค แทนที่จะทำตัวเป็นอีกฝ่ายหนึ่งแล้วคอยฟ้องคอยอัดถ้าผลการรักษาออกมาไม่ดี

ผู้สื่อข่าว อสมท.

ตอนนี้เริ่มอัดเทปไปแล้ว

หมอสันต์

ครับ

ผู้สื่อข่าว อสมท.

ทำงานกับคุณดู๋เป็นไงบ้างคะ

หมอสันต์

ก็สนุกดีครับ คุณดู๋ (สัญญา คุณากร) เขาเป็นคนหนุ่มทีมีชีวิตชีวา ตลกโปกฮาเอะอะมะเทิ่ง บางทีเขาก็โมโหฮึดฮัดปึ๊ดปั๊ด ทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนหนุ่มๆ โดยสรุปทำงานกับคุณดู๋สนุกครับ

ผู้สื่อข่าว อสมท.

ใครบ้างคะ ที่เหมาะจะดูรายการนี้

หมอสันต์

ดูได้ทุกคนแหละครับ ตั้งแต่เด็กนักเรียนจนถึงผู้สูงอายุ ดูได้ทุกอาชีพ เพราะเรื่องราวการสืบค้นโรคเนี่ยขั้นตอนของมันสนุกอยู่แล้ว ส่วนที่ว่าจะเข้าใจยากนั้น ก็๋เป็๋นหน้าที่ของผมกับคุณดู๋จะทำให้ทุกคนเข้าใจง่ายขึ้น


...............................
[อ่านต่อ...]

17 กรกฎาคม 2554

จะเลือกวิธีคุมกำเนิดด้วยยาคุมดีไหม

สวัสดีค่ะคุณหมอ

ดิฉันมีเรื่องเรียนปรึกษาคุณหมอ ว่าจะตัดสินใจเริ่มทานยาคุมกำเนิดดีหรือเปล่า ดิฉันอายุ 30 ปี แต่งานแล้ว ยังไม่มีบุตร
เมื่อตอนอายุประมาณ 24 ปี เคยตรวจพบเนื้องอกในเต้านม ขนาดประมาณ 2 CM. ได้รับการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว
และเมื่อประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา ได้ตรวจพบก้อนเนื้องอกที่รังไข่ด้านขวาอีก คราวนี้เรื่องใหญ่คะ ใหญ่ของจริง (ขอเล่านิดนึงนะคะ)
คือขนาดเนื้องอกมันใหญ่กว่าเด็ก 1 คนอีกคะ ทั้งคณหมอ คุณพยาบาล ที่ทำการตรวจอัลตราซาวด์ให้ อึ้งไปตามๆ กัน รวมทั้งตัวเองด้วยค่ะ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ไม่เคยมีอาการผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น ประจำเดือนมาปกติทุกเดือน ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ คิดว่าตัวเองแค่อ้วนเฉยๆ เพราะปกติเป็นคนเจ้าเนื้อ อวบ อยู่แล้ว เลยไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งเริ่มมีอาการบางอย่างที่ค่อยๆ ปรากฎออกมาที่ละเล็ก ละน้อยเรื่อยๆ เช่น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย สิวปะทุขึ้นมาเต็มหน้า แล้วก็มากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ไปไหนคนเริ่มทัก มีน้องแล้วเหรอจ๊ะ กี่เดือนแล้ว?....พุงค่อยๆ เริ่มป่องขึ้น จะว่าท้องก็ไม่ใช่ เพราะประจำเดือนยังมาปกติ กดลงไปที่พุงก็ไม่เจ็บ แต่มันเริ่มอาการหายใจไม่สะดวก เหมือนกับเราใส่เสื้อผ้าที่คับ อึดอัด แน่นท้องไปหมด คุณสามีเห็นท่าทางไม่ค่อยดีละ ก็เลยพากันไปหาหมอ ถึงได้รู้ว่าไอ่ที่เราหายใจไม่สะดวก เพราะเจ้าเนื้องอก มันเจริญเติบโตจนไปจุกอยู่ตรงใต้ราวนมแล้ว แล้วที่อาหารไม่ย่อยเพราะมันไปกดทับกระเพาะอาหาร และมีผลกระทบกับต่อมโฮโมนอะไรสักอย่าง (จำชื่อไม่ได้)ทำให้สิวปะทุขึ้นมาเต็มหน้า คุณหมอนัดผ่าตัดด่วนเลยคะ ถูกตัดรังไข่ด้านขวาออกไป คุณหมอบอกว่ามดลูก และรังไข่ด้านซ้าย ยังปกติดี การผ่าตัดก็ผ่านไปด้วยดี พร้อมฝากรอยแผลที่หน้าท้องยาวเกือบ 1 ไม้บรรทัด น้ำหนักของเจ้าก้อนเนื้อ ก็ชั่งได้แค่ 6 โลกว่าๆ เท่านั้นเองค่ะ
(นึกแล้วยังสยองค่ะ + อึ้ง! งง? กับตัวเองไม่หาย ว่าอยู่มาได้อย่างไร) ตอนผ่าตัดเสร็จ คุณหมอคุยกับคุณพ่อและคุณสามี
แล้วชี้ให้ดูก้อนกลมๆ ในตระกร้าใบใหญ่ (เหมือนตระกร้าที่ใช้หิ้วช้อปปิ้ง ตามซุปเปอร์มาเกต) ว่าก้อนนั้นแหละที่พึ่งเอาออกมาจากท้องของคนไข้ คุณพ่อถึงกับยืนอึ้งไปเลยค่ะ น้ำหนักตอนก่อนผ่าตัด 64 กิโล หลังผ่าตัดเหลือ 48 กิโล ผอมเลยค่ะ คือผลพลอยได้ ที่แลกมาด้วยความเจ็บสุดๆ แต่ยังโชคดีที่รอด และผ่านพ้นมาได้ด้วยดี ผลชิ้นเนื้ออกมา ก็ไม่พบเนื้อร้ายแต่อย่างใดค่ะ (ถ้าคุณหมอเคยดูโฆษณา ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักยี่ห้อ LCH ที่มันจะมีก้อนไขมันเด้งดึ๋งๆ อยู่บนเตียง นั่นละค่ะ เหมือนเจ้าก้อนนั้นเลย) สุขภาพปัจจุบันก็ยังปกติดีค่ะ อาจจะมีแค่ต้องลดน้ำหนัก (อีกแล้ว) ตอนนี้น้ำหนัก 54 สูง 155 ค่ะ อีกอย่างที่สนใจเรื่องยาคุมกำเนิด เพราะตัวเองเป็นผิวหน้ามัน มันมากค่ะ ชนิดต้องพกกระดาษซับมันไว้กับตัวตลอด หน้ามันชนิดที่ถ้าหน้าเป็นกะทะ ก้อเตรียมทอดไข่ได้เลยค่ะ รูขุมขนกว้างมาก มีสิวอุดตันและอักเสบบ้างเล็กน้อยประปราย เป็นมากหน่อยก็ช่วงมีประจำเดือนค่ะ จากเรื่องนี้เลยทำให้กังวลใจว่าจะทานยาคุมกำเนิดดีหรือเปล่า (ที่คิดไว้ว่าจะทานคือยี่ห้อ Minidoz)เพราะกลัวจะมีผลกระทบกับที่เราเคยเป็น ปัจจุบันใช้วิธีให้สามีสวมถุงยางอยามัยทุกครั้งค่ะ แต่เค้าก็มีถามๆ บ้างว่า ถ้าใช้วิธีทานยาคุมแทนได้หรือเปล่า พอดีได้เปิดมาเจอบล็อคของคุณหมอที่ให้คำปรึกษา และตอบคำถามเรื่องสุขภาพมากมาย ได้ความรู้ทั้งเรื่องการดูแลสุขภาพและโรคภัยต่างๆ ได้ดีมากๆ เลยค่ะ ดิฉันจึงอยากเรียนปรึกษาคุณหมอเพื่อจะได้หาวิธีที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดค่ะ

ขอถามคุณหมอนอกเรื่องหน่อยนะคะ การออกกำลังกายด้วยการเล่นฮู่ล่าฮูป เป็นเวลา 30 นาที ดิฉันเล่นแบบที่เป็นห่วงใหญ่ๆ ที่มีน้ำถ่วงอยู่ข้างใน ค่อนข้างมีน้ำหนักอยู่เหมือนกัน มันจะกระทบกระเทือนช่วงท้องเรามากไปหรือเปล่าคะ หรือว่าไม่มีอันตรายใดๆ
เพราะตอนนี้เล่นทุกวันเลยค่ะ ถ้ามากไปจะได้ลดๆ ลงบ้าง เพราะดิฉันว่ามันช่วยลดน้ำหนักได้ผลมากเลย สนุกดีด้วยค่ะ

ขอบพระคุณ คุณหมอล่วงหน้าไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
จาก mk เชียงใหม่ค่ะ

.................................

ตอบครับ

คุณนี่เล่าเรื่องเก่งนะ อ่านแล้วเพลินเหมือนอ่านนิยายเลย ผมตอบคำถามคุณเลยนะ

1. คุณควรเลือกวิธีคุมกำเนิดด้วยวิธีใช้ยาคุมไหม ผนแนะนำให้พิจารณาแยกประเด็นดังนี้

1.1 ประเด็นความอยากมีลูก คุณต้องตอบมาก่อนว่าอยากมีลูกหรือเปล่า ถ้าตอบว่าอยากมีลูก ป่านนี้อายุสามสิบปีแล้วทำไมไม่รีบมีลูกซะตอนนี้เลยละจ๊ะ เพราะถ้าปล่อยให้อายุมากไปกว่านี้เวลามีลูกเดี๋ยวก็กลัวได้ลูกเป็นเด็กดาวน์ ต้องมาเจาะโครโมโซมกันวุ่นวาย ถ้าตอบว่าไม่อยากมีลูก แล้วแต่งงานมาทำพรือ (อ้าว.. นี่ผมส.ใส่เกือกซะแล้ว ขอโทษครับ)ถ้าตอบว่าอยากมีลูกแต่ตอนนี้มีความจำเป็นสุดยอดยังมีไม่ได้ ผมแนะนำว่าไม่ควรใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยยาคุม เพราะยาคุมหากใช้ไปแล้ว อาจมีผลทำให้มีลูกยาก โดยเฉพาะในคนที่รังไข่เหลือข้างเดียวอย่างคุณ และโดยเฉพาะถ้าใช้ยาคุมไปนานเกิน 2 ปี ถ้ายังคิดจะมีลูก ผมแนะนำว่าควรจะไปคุมกำเนิดด้วยวิธีใส่ห่วงดีกว่า แต่ถ้าตอบว่าไม่อยากมีลูกละก็ง่าย ทำหมันหญิงซะเลย

1.2 ประเด็นมะเร็งเต้านม เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่ายาคุมทำให้อุบัติการเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีเนื้องอกในเต้านมทุกชนิดมากก่อน หากหลีกเลี่ยงยาคุมได้ก็ควรทำ

1.3 ประเด็นหน้ามันทอดไข่ได้และเป็นสิวง่าย อันนี้ไม่ได้เป็นข้อห้ามการใช้ยาคุมที่มีฮอร์โมนต่ำ งานวิจัยพบว่ายาคุมฮอร์โมนต่ำบางขนาดลดการเป็นสิวได้ด้วยซ้ำไป ยา Minidoz ที่คุณเล็งไว้นั้นก็ขายกันทั้งเป็นยาคุมและยารักษาสิว

2. ห่วงฮูลาฮุบไม่ว่าจะใส่น้ำหรือไม่ใส่น้ำไม่ได้ทำอันตรายกับอวัยวะในท้องแต่อย่างใด ทั้งในแง่กลไกแรงกระทำต่อท้อง และในแง่รายงานทางการแพทย์หลังจากที่มีการใช้ห่วงนี้อย่างแพร่หลาย ยังไม่เคยมีรายงานการบาดเจ็บในช่องท่องจากห่วงนี้แม้แต่รายเดียว ดังนั้นจึงใช้ได้ครับ

3. อ้อ.. เป็นคนเจียงใหม่นี่เอง ถึงว่า อู้ม่วนขนาด


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

13 กรกฎาคม 2554

หลักจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ วันนี้เล่นของสูง

เรียนถามคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์

คุณพ่อไปหาหมอแล้วหมอบอกว่าเป็นโรคตับอักเสบไวรัสบี. หมอบอกว่าจะต้องเอาเข็มเจาะตับตัดเอาเนื้อตับมาตรวจเพื่อดูว่าจะให้ยาต้านไวรัสดีไหม แต่การเจาะตับมีภาวะแทรกซ้อนถึงตายได้ พอพ่อถามว่าขอให้หมอให้ยาโดยไม่เจาะตับได้ไหม หมอบอกว่าถ้าจะรักษากับผมต้องเจาะตับ ไม่งั้นก็ให้ไปรักษากับหมอคนอื่น และหมอยังบอกอีกว่าเจาะตับแล้วให้ยาแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะหายร้อยเปอร์เซ็นต์นะ อาจจะเสียเงินค่ายาเป็นจำนวนมากโดยไม่หายก็ได้ พ่อกลับมาใจเสียมาก ซึมและกินอะไรไม่ลงหลายวัน คุณหมอสันต์คะ การที่หมอพูดกับคนไข้ทำให้คนไข้เสียใจจนอาการทรุดลงแบบนี้ถือว่าไม่มีจริยธรรมหรือเปล่าคะ หนูอยากถามว่าจริยธรรมวิชาชีพแพทย์นี้จริงๆแล้วมันมีใจความว่าอย่างไรบ้าง การที่หมอพูดอย่างนี้ถูกต้องตามหลักจริยธรรมแล้วหรือยัง

..........................................................

โอ้.. คิดไม่ถึง วันนี้จะได้เล่นของสูงแฮะ พูดถึงเรื่องจริยธรรมเชียวนะ

1. ก่อนอื่นผมเดาเรื่องก่อนนะว่าคุณพ่อของคุณคงมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี.อยู่ในตัว (HBsAg ได้ผลบวก) แบบที่สมัยก่อนเรียกกันว่าเป็นพาหะนั่นแหละ แต่สมัยนี้เขาเรียกว่าเป็นตับอักเสบบี.ในระยะสงบศึก (immune tolerance phase) หมายความว่าศึกระหว่างภูมิคุ้มกันของร่างกายฝ่ายหนึ่ง กับไวรัสอีกฝ่ายหนึ่ง ธรรมชาติของโรคระยะนี้ในบางคนมันจะไปแบบนี้ได้สักพักหนึ่งแล้วเกิดการสู้กันอย่างแรงระหว่างภูมิคุ้มกันของร่างกายกับไวรัส ทำให้ตับอักเสบวอดวายเสียหายซ้ำซาก ร่างกายเข้าไปซ่อมแซมโดยเอาพังผืดเข้าไปแทรกแทน กลายเป็นตับแข็ง แล้วก็กลายเป็นมะเร็งตับ หน้าที่ของหมอก็คือคอยดูว่าเมื่อไรจะเริ่มมีการสู้รับกันจนตับเสียหาย ซึ่งเป็นจังหวะทองที่จะฉวยโอกาสเข้าไปแทรกแซงด้วยการให้ยาขจัดไวรัสให้มันเกลี้ยงไปซะ เพราะยาต้านไวรัสนี้มันต้องรอให้เกิดสงครามก่อน จึงจะออกฤทธิ์ได้ เพราะมันต้องอาศัยเม็ดเลือดขาวที่กำลังจับกินไวรัสในการออกฤทธิ์ ถ้าไม่มีสงครามก็ไม่มีเม็ดเลือดขาวมาจับกินไวรัส ยาก็ออกฤทธิ์ไม่ได้ วิธีจ้องก็คือคอยเจาะเลือดดูเอ็นไซม์ของตับ (SGPT, SGOT) ถ้าเอ็นไซม์ของเซลตับในกระแสเลือดสูงขึ้น ก็แสดงว่าตับกำลังเสียหาย นั่นอาจจะหมายความว่าสงครามเกิดขึ้นแล้ว วิธีเดียวที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีสงครามจริงหรือเปล่าก็คือเอาเข็มเจาะดูดเนื้อตับออกมาตรวจดู ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีตับอักเสบจริง จึงจะเริ่มให้ยา การจะให้ยาโดยไม่ได้เจาะดูดเนื้อตับมาตรวจก่อน สมัยก่อนอาจจะมีหมอบางคนทำ แต่ Guideline มาตรฐานในปัจจุบันแนะนำให้เจาะตรวจตับก่อนให้ยา ผมจึงเห็นด้วยกับคุณหมอที่รักษาคุณพ่อของคุณร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าควรเจาะตรวจเนื้อตับก่อนจึงจะให้ยาได้ เพราะข้อเสียของการให้ยาโดยไม่ทราบว่าตับอักเสบจริงหรือเปล่านั้น ได้ไม่คุ้มเสีย ส่วนประเด็นอื่นๆที่คุณหมอเล่าให้คุณพ่อคุณฟังนั้นก็ล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ได้แก่ (1) ยาต้านไวรัสมีราคาแพงมาก มีค่าใช้จ่ายโดยรวมสูง เพราะอาจต้องให้กันตลอดชีวิต (2) ยาต้านไวรัสแม้ให้เต็มที่แล้ว อาจจะไม่หายก็ได้ คืออาจเสียเงินเปล่า (3) การเจาะตับอาจมีภาวะแทรกซ้อนเช่นเลือดไหลไม่หยุด ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

2. การที่หมอบอกความจริงให้คนไข้ แล้วคนไข้เกิดความกลัวหรือจ๋อยไปเลย หมอทำผิดจริยธรรมวิชาชีพไหม แหม ต้องออกตัวว่าผมไม่ใช่นักจริยธรรมนะ คือการตีบาลีว่าจริยธรรมไม่จริยธรรมเนี่ยผมไม่ค่อยถนัด ผมมีความเห็นแบบลูกทุ่งว่าหมอเขาก็ทำตามหลักจริยธรรมวิชาชีพเป๊ะแล้ว คือหลักเปิดเผยตรงไปตรงมา (truthfulness) ส่วนคุณพ่อพอรับรู้ความจริงว่าชีวิตนี้เหลือแต่แย่กับแย่มากก็ใจเสีย อันนี้มันก็เป็นธรรมดาว่าการรับรู้ความจริงบางอย่างที่ผิดความคาดหวังของเรามันก็พ่วงมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเป็นธรรมดา

3. ถามว่าจริยธรรมวิชาชีพแพทย์นี้จริงๆแล้วมันมีใจความว่าอย่างไรบ้าง ตอบว่ามันมีหลายเวอร์ชั่นนะครับ เพราะหลักจริยธรรมก็คือหลักศีลธรรมประจำใจของคนนั่นเอง มันย่อมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ทุกเวอร์ชั่นล้วนงอกรากแตกแขนงมาจากคำสาบานของฮิปโปเครติส (Hippocratic Oath) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นเดียวที่ผมจำได้ เพราะมันเก๋าดี ผมแปลฉบับออริจินอลให้ฟัง ดังนี้

“..ข้าสาบาทต่อทวยเทพว่า ข้า จะเคารพครูผู้ประสาทวิชาเยี่ยงพ่อแม่ มีอะไรก็จะแบ่งให้ครูกินและใช้ จะใส่ใจสอนลูกหลานของครูเหมือนพี่น้องของข้าเอง จะทำการรักษาเพื่อประโยชน์ต่อคนไข้ ให้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถและดุลพินิจของข้าจะทำได้ จะไม่ทำอะไรให้เกิดผลร้ายแก่คนไข้ จะไม่ให้ยาเบือหรือทำให้ใครตายแม้ว่าเขาจะร้องขอ จะไม่เอาอะไรสอดให้ผู้หญิงเพื่อทำแท้ง และไม่สอนให้ใครทำด้วย จะดำรงชีพและประกอบวิชาชีพอย่างซื่อตรง อะไรที่ตัวเองทำไม่เป็นจะไม่ทำ แต่จะละไว้ให้คนที่เขาเชี่ยวชาญกว่าทำ จะเข้าบ้านคนไข้ก็เพื่อประโยชน์ของคนไข้เท่านั้น จะห้ามใจไม่ให้ไขว้เขวหรือยอมตามสิ่งยั่วยวนและจะไม่หาความเพลิดเพลินทางกามากับคนไข้ ไม่ว่าหญิงหรือชาย เสรีชนหรือทาส จะรักษาความลับของคนไข้ให้สนิทแน่นปึ๊ก ถ้าข้าทำตามนี้ได้ก็ขอให้ข้าเจริญ ถ้าข้าทำตรงกันข้ามก็ขอให้ข้าฉิบหาย... เพี้ยง”

ต่อมาก็มีการดัดแปลงให้ทันสมัยแต่เพี้ยนไปหน่อยเรียกว่า Declaration of Geneva ซึ่งทุกวันนี้ใช้กันทั่วโลก แล้วก็มีฉบับแขนงย่อยของสมาคมแพทย์และสถาบันต่างๆมากมายของใครของมันนับไม่ไหว แต่ว่าถ้าจับหลักใหญ่ ทุกเวอร์ชั่นมันก็มีแค่หกประเด็นคือ

1. หลักให้อิสระคนไข้ (Autonomy) เขาอยากรักษา ไม่อยากรักษา อยากใช้วิธีนั้น ไม่อยากใช้วิธีนี้ เรื่องของเขา หมายความว่าต้องให้เขาเลือก ไม่ใช่หมอยัดเยียดให้

2. หลักเอื้อประโยชน์ให้คนไข้ (Beneficence) หมอจะทำอะไรก็ต้องเพื่อประโยชน์ของคนไข้เท่านั้น

3. หลักไม่ทำร้ายคนไข้ (Non maleficence) เรียกว่าเป็นกฎข้อแรก คืออย่าทำอะไรที่จะเป็นผลร้ายกับคนไข้

4. หลักยุติธรรมกับคนไข้ (Justice) ควรตัดสินใจแบ่งเฉลี่ยว่าใครควรจะได้รับการรักษาอะไรใครก่อนใครหลังอย่างยุติธรรม

5. หลักรักษาศักดิ์ศรีคนไข้ (Dignity) จะทำอะไร ต้องไม่ให้คนไข้เสียศักดิ์ศรีของความเป็นคน

6. หลักซื่อตรงต่อคนไข้ (Truthfulness) จะทำอะไรต้องเปิดเผยตรงไปตรงมา อย่ากุ๊กกิ๊กหรืออุ๊บอิ๊บอั๊บ ต้องบอกคนไข้ก่อนว่าสิ่งจะทำมีข้อดีข้อเสียอะไร


เอวังเรื่องจริยธรรมที่ผมไม่ค่อยถนัดก็มีด้วยประการฉะนี้แหละครับ


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

10 กรกฎาคม 2554

Chronic fatique syndrome, Fibromyalgia, Office syndrome, น้ำตาลในเลือดต่ำ

คุณหมอสันต์คะ

ดิฉันมีอาการไม่สบายหลายอย่าง อาการหลักๆคืออ่อนเพลียไม่มีแรงมากๆๆๆ เวียนหัว ปวดหัว ใจสั่น มือสั่น ปวดกล้ามเนื้อหลัง คอ ไหล่ (ทำงานคอมพิวเตอร์ด้วย) บางครั้งมือชา บางครั้งยืนแล้วโคลงเคลง ท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสียบ่อยด้วย ดิฉันเป็นคนอ้วน น้ำหนัก 67 กก. อาการทางสมองคือคิดอะไรไม่ออกเหมือนแต่ก่อน ถ้าไม่มีเครื่องคิดเลขจะบวกเลขไม่ได้เลย ความจำเสื่อม เวลาฟังหมายเลขโทรศัพท์ ฟังถึงตัวหลังก็ลืมตัวหน้า หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ บางครั้งตัวรุมๆเหมือนเป็นไข้แต่วัดไข้ก็ไม่มี เป็นมาเกือบปีแล้ว ไปหามาแล้วหลายหมอ ตรวจสารพัดแต่ก็หาสาเหตุไม่พบ ตรวจทั้ง HIV ตับอักเสบบี. ตับอักเสบซี. ตรวจเลือดดูภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง ตรวจเลือดโลหิตจาง ตรวจฮอร์โมนไทรอยด์ ฮอร์โมนเพศ น้ำตาลในเลือด การทำงานของตับ ของไต ทำเอ็คโคดูหัวใจล้มเหลว ตรวจหมด แต่ไม่พบอะไรผิดปกติสักอย่าง แต่ดิฉันหงุดหงิดมากเวลาหมอหลายคนพร่ำบอกว่าดิฉันเป็นโรคซึมเศร้า ดิฉันรู้จักร่างกายและจิตใจดิฉันดี ดิฉันกำลังสูญเสียพลังจนไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นนั่ง มันไม่ใช่โรคซึมเศร้า มองอีกมุมหนึ่งใครก็ตามที่อ่อนเพลียเปลี้ยล้าจนไม่มีแรงจะมีความสุขกับชีวิตมันก็คงจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปด้วยแหละ แต่โรคซึมเศร้ามันไม่ใช่ต้นเหตุ บางหมอบอกว่าดิฉันเป็นออฟฟิศซินโดรม บางหมอว่าเป็นไฟโบรไมอาลเจีย บางหมอว่าเป็นโครนิกฟาทิกซินโดรม หมอคนสุดท้ายที่ไปหาเป็นหมอทางเดินอาหาร บอกว่าดิฉันเป็นโรค irritable bowel syndrome ดิฉันไปรักษากับชีวจิตมาด้วย เขาวินิจฉัยว่าดิฉันเป็นโรคน้ำตาลในเลือดต่ำ ทุกหมอต่างก็ให้ยาและให้คำแนะนำ แต่มันไม่เวอร์ค ที่ดิฉันเขียนมาหาคุณหมอนี้ไม่ได้คาดหวังว่าคุณหมอจะวินิจฉัยและรักษาดิฉันให้หายได้ แต่ขอระบาย เผื่อคุณหมอจะพูดอะไรให้ดิฉันลดความหงุดหงิดลงได้บ้าง เพราะดิฉันอ่านวิธีตอบคำถามในบล็อกของคุณหมอแล้ว คนฟังคำตอบน่าจะสบายใจกลับไปทุกคน

.................................................................

ตอบครับ

1. ผมขอเอ้อเอิงเอยอารัมภบทของผมก่อนนะ ผมเพิ่งกลับจากไปสอนเฮลท์ แค้มป์ (Health Camp) ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่เมืองกาญจน์มา คำว่าเฮลท์แค้มป์นี้หมายความว่าบริษัทรับจ้างจัดเขาเปิดรับเอาคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งบางครั้งก็มาจากบริษัทเดียวกันว่ากันมาแบบจ้างเหมา บางครั้งก็ต่างคนต่างเสียเงินลงทะเบียนมาเอง แล้วเอามาอยู่รวมกันอยู่ในรีสอร์ทสองสามคืน เพื่อร่วมกันเรียนรู้เรื่องสุขภาพและฝึกหัดพฤติกรรมสุขภาพต่างๆเช่นวิธีออกกำลังกายแบบต่างๆ วิธีดูแลตัวเองด้านโภชนาการ เป็นต้น แค้มป์ที่ผมไปสอนมางวดนี้เป็นแค้มป์พิเศษที่บริษัทลูกค้าส่งเฉพาะพนักงานที่มีสถิติป่วยหาหมอบ่อยมาเข้าแค้มป์ การไปสอนครั้งนี้ทำให้ได้พบเห็นคนป่วยแบบคุณนี้ด้วย อย่างน้อยก็สองสามคน แม้ว่าอาการของเขาอาจจะไม่มากเท่าของคุณก็ตาม

2. คำว่า ซินโดรม (syndrome) แปลว่ากลุ่มอาการที่ยังไม่ทราบเหตุ หมายความว่ากลุ่มอาการที่มีคนเป็นกันมาก เป็นคล้ายๆกันแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน แต่ความรู้วิชาแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร เมื่อไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรก็ไม่รู้วิธีรักษาว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้นเวลาหมอวินิจฉัยด้วยชื่อโรคที่ลงท้ายว่า “ซินโดรม” แล้วละก็ ขอให้แปลคำพูดของหมอว่า

“..ท่านป่วยเป็นโรคที่ผมในฐานะแพทย์ก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะวิชาแพทย์ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้ และวิชาแพทย์ก็ไม่รู้ว่าด้วยว่าต้องทำอย่างไรท่านจึงจะหาย ผมจึงทำได้แต่ให้ยาบรรเทาอาการแก่ท่านไปเท่านั้น...สาธุ”

3. การที่คุณถูกวินิจฉัยว่าเป็น Chronic fatique syndrome (CFS) บ้าง เป็น Irritable bowel syndrome (IBS) บ้าง เป็น Fibromyalgia (FM) บ้าง หรือแม้กระทั่งศัพท์ที่คนที่ไม่อยู่นอกวงการแพทย์แผนปัจจุบันนิยมเรียกกันว่าโรคน้ำตาลในเลือดต่ำหรือไฮโปไกลซีเมีย (Hypoglycemia) นั้น มันล้วนเป็นกลุ่มอาการที่คาบๆเกี่ยวๆกันอยู่ ปริ่มๆจะเป็นเรื่องเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะจับเอาอาการส่วนไหนขึ้นมาเป็นอาการนำ อย่างเช่นถ้าหมอให้ความสำคัญกับอาการระบบประสาทเช่นเปลี้ยล้า ปวดหัว เวียนหัว นอนไม่หลับ คิดเลขไม่ถูก ก็วินิจฉัยว่าเป็น CFS ซึ่งสาระบบโรค ICD จัดไว้ในหมวด G ซึ่งเป็นหมวดโรคทางสมอง แต่ถ้าหมอให้ความสำคัญกับอาการปวด เมื่อย ตึงกล้ามเนื้อเรื้อรังหมอก็วินิจฉัยว่าเป็น FM ซึ่งสาระบบโรค ICD จัดไว้ในกลุ่ม M ซึ่งเป็นกลุ่มโรคทางระบบกล้ามเนื้อและเอ็น เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอะไรซินโครม มันก็ยังเป็นกลุ่มอาการที่ไม่ทราบสาเหตุและไม่ทราบวิธีรักษา..อยู่ดี ดังนั้นอย่าไปใส่อารมณ์กับคำวินิจฉัยของหมอเลย

4. ที่คุณเป็นหงุดหงิดเมื่อหมอวินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคซึมเศร้านั้นผมเข้าใจ เพราะผมก็เคยวินิจฉัยตัวเองว่าเป็นโรคนี้มาก่อน ผมต้องแอบเรียกหมอรุ่นน้องที่เชี่ยวชาญโรคนี้มารักษาผมที่ห้องทำงานของผมสองต่อสองเพราะพอรู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้แล้วผมอายคน เนื่องจากชื่อโรคมันรู้สึกเป็นเสนียดพิกล คนอื่นเขารู้เข้าจะเสียฟอร์มชะมัด แต่ในความเป็นจริงโรคซึมเศร้า หรือ depression นั้น มันเป็นอะไรที่เกิดขึ้นกับจิตใจคนเราได้ง่ายๆเหมือนกับโรคหวัดเกิดขึ้นกับร่างกาย และโปรดสังเกตว่าเขาเรียกมันเป็นโรคนะ เพราะเขารู้แล้วว่าสาเหตุมันสัมพันธ์กับการขาดสารเคมีชื่อซีโรโทนินในสมอง และเมื่อให้ยาที่มีผลเพิ่มสารเคมีตัวนี้ โรคก็หายได้ ดังนั้นใครที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าไม่ต้องกระต๊าก ไม่ต้องตื่นเต้ล..ล ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม คิดเสียว่าเป็นหวัดทางอารมณ์ก็ได้ ให้ความรู้สึกดีกว่าแยะ

5. ชกลมนานแล้ว เข้าเรื่องเสียทีเหอะ ว่าแล้วคุณควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ดังได้กล่าวมาแล้วว่าโรค CFS นี้วิชาแพทย์ไม่รู้สาเหตุ ไม่รู้วิธีรักษา ดังนั้นแพทย์แต่ละคนก็ใช้หลักตัวใครตัวมันละครับ คือใครเลื่อมใสศรัทธาอะไรก็เอาอะนั้นไปบอกคนไข้ ผิดถูกไม่ว่ากันตราบใดที่มันตั้งอยู่บนความปรารถนาดี เพราะไม่มีทางรู้ได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก แพทย์บางคนออกนอกตำราหนีไปเข้ากับพวกการรักษาแบบทางเลือก น้ำข้าว สมุนไพร ยาแห้ง อายุรเวช ไสยเวช สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปโน่นเลย ก็ไม่ว่ากัน สำหรับผมขอแนะนำบนกรอบที่มีหลักฐานทางการแพทย์สนับสนุนว่า

5.1 ปลุกขวัญกำลังใจตัวเองขึ้นมาก่อน คิดบวก เชื่อก่อนว่าตัวเองต้องหาย ทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองเชื่ออย่างสนิทใจว่าตัวเองจะต้องดีขึ้น จะต้องหาย จะต้องกลับไปทำงานชึบชับฟุบฟับได้ การสร้างความคิดบวกหรือความเชื่อว่าตัวเองจะมีสุขภาพดีได้สำเร็จนี้สำคัญ ให้ใช้ลูกไม้ทุกอย่างที่ใช้ได้ ถ้าเชื่อหมอดู ไปหาหมอดู เมื่อหมอดูบอกว่า

“โอ้.. คุณดวงตกนี่ พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ราหูอมอีกต่างหาก คุณจะแย่อยู่พักใหญ่นา เอ... แต่ว่าพอพ้นเดือนนั้นเดือนนี้ไปแล้วอะไรๆมันจะดีขึ้นนะ..”

ให้คุณเชื่อเขาให้สนิทใจ รับประกันว่าไม่มีหมอดูคนไหนทายว่าคุณจะแย่ไปกว่านี้ดอก (แหะ..แหะ เพราะผมก็เป็นหมอเหมือนกัน เข้าใจกันดี) ถ้าไม่เชื่อหมอดู ใช้วิธีสั่งตัวเองเอาดื้อๆก็ได้ มองหน้าตัวเองในกระจกแล้วก็บอกว่าเอ็งจะหายแน่ เอ็งจะหายแน่ ทำนองนั้น

5.2 คุณต้องออกกำลังกาย ตอนนี้โรคของคุณไม่มียาธรรมดารักษา ต้องใช้ยาวิเศษ และที่เขาบอกว่ากีฬาเป็นยาวิเศษนั้นเป็นความจริง เปลี้ยแค่ไหนคุณต้องลากสังขารไปออกกำลังกาย ถึงขั้นต้องคลานไปก็ต้องทำ การออกกำลังกายคุณต้องออกให้ถึงระดับมาตรฐานสากล คือออกกำลังกายแบบแอโรบิกเช่นเดินเร็วๆให้ถึงระดับหนักพอควร คือเหนื่อยหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้วันละอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 วัน ควบกับเล่นกล้ามอีกสัปดาห์ละ 2 วัน ใหม่ๆยิ่งเล่นยิ่งเปลี้ย แต่อย่าหยุด ตื้อเล่นไป เดี๋ยวแรงมันมาเอง

5.3 จัดเวลานอนหลับให้พอ อย่าอดนอน

5.4 จัดการความเครียดด้วยวิธีเปลี่ยนการสนองตอบต่อสิ่งเร้ารอบตัวให้เป็นการสนองตอบแบบสร้างสรรค์มากขึ้น คือสนองตอบแบบไม่ให้เราหงุดหงิด การสนองตอบที่มีพิษต่อเรามากที่สุดก็คือการสนองตอบด้วยการ ”คิด” เมื่อมีสิ่งเร้าเข้ามาปุ๊บ ความคิดป๊อบขึ้นมาปั๊บแบบอัตโนมัติโดยเราไม่รู้ตัว แบบนั้นอันตราย ความหงุดหงิดจะมา แล้วหมอก็จะหาว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า ต้องตามความคิดตัวเองให้ทัน เข้าไปตัดหน้าความคิดที่มักจะป๊อบขึ้นมาในหัวแบบอัตโนมัติให้ได้ เช่นถูกคนขับรถปาดหน้าแทนที่จะคิดด่าว่า “ไอ้..เอ๊ย” ก็เปลี่ยนคิดใหม่ว่า “เออ เอ็งรีบ เอ็งไปก่อนเถอะ ญาติผู้ใหญ่เอ็งคงไม่สบาย ข้าเข้าใจ” เป็นต้น

5.5 หัดทำกิจกรรมที่ร่างกายมีโอกาสได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เช่นรำมวยจีน (จี้กง) ฝึกโยคะ นั่งสมาธิวิปัสสนา เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้มีผลคลายกล้ามเนื้อได้อย่างอัศจรรย์ ธรรมชาติของคนเรา ร่างกายกับจิตใจนี้ผูกกันอยู่ ถ้าข้างหนึ่งเครียดหรือผ่อนคลาย ก็จะพาอีกข้างเป็นแบบเดียวกันไปด้วย ดังนั้น ถ้ากล้ามเนื้อผ่อนคลาย จิตใจก็จะผ่อนคลายตาม

5.6 อาหารการกินก็สำคัญ ควรทานอาหารให้ได้ดุล เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุข อาหารคนสมัยใหม่ในประเทศเจริญแล้วรวมทั้งประเทศไทยเป็นอาหารที่ไม่ได้ดุล กล่าวคือมีแคลอรี่สูง แต่มีไวตามินและเกลือแร่ต่ำ พูดอีกอย่างคือมีคาร์โบไฮเดรตและไขมันมาก แต่มีผักและผลไม้น้อย คุณปรับให้เป็นแบบตรงกันข้าม ทานผักและผลไม้ให้ได้ 5 เสริฟวิ่งต่อวัน (หนึ่งเสริฟวิ่งเท่ากับผลไม้ใหญ่เช่นแอปเปิลหนึ่งลูก หรือผักสดหนึ่งจาน) ลดปริมาณข้าวลง เลิกทานข้าวมื้อเย็นได้ยิ่งดี ลดน้ำหนักลง ชั่งน้ำหนักบ่อยๆ ใช้น้ำหนักเป็นตัววัดความสำเร็จในการดูแลตัวเอง

5.7 ตนแล เป็นที่พึ่งของตน ท่องคาถานี้ไว้ โรคของคุณนี้อย่าหวังพึ่งคนอื่น แม้กระทั่งหมอสันต์ อย่างดีเขาก็ทำได้แต่ให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ แต่เขาทำให้คุณหายจากอาการเหล่านี้ไม่ได้ แต่ตัวคุณทำได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

06 กรกฎาคม 2554

สอนวิธีอ่านผล CBC (การตรวจนับเม็ดเลือด)

เรียน คุณหมอ

รบกวนคุณหมอช่วยแปลผลเลือด CBC ให้หน่อยคะลูกชายป่วยมีไข้ตัวร้อนมาก 6 วันนี้แล้วคะคุณหมอสงสัยไข้เลือดออก ไข้หวัด 2009 จึงให้ไปตรวจผลเลือด แต่ผลเลือดที่ออกมามีค่าต่ำกว่าค่าปกติหลายตัวเลยคะค่าที่ออกมาคุณหมอแจ้งคราวๆ ว่าเป็นธารัสซีเมียชนิดแฝง อย่างนี้ควรจะไปตรวจ Hb typing และตรวจ gene test หรือไม่ค่ะรบกวนคุณหมอช่วยแปลผลเลือดด้วยคะ

ขอบพระคุณมากคะ

Hematology
CBC
Hb = 11.0 gm%
Hct = 34%
WBC = 12,260
WBC differential
Neutrophils = 73%
Eosinophils = –
Basophils = -
Lymphocyte = 21.0%
Monocyte = 6.0%
RBC = 5.5 ล้าน/microliter
MCV = 59.8 fl
MCH = 19.5 pg
MCHC = 32.5%
RDW = 17.2%
Platelet count = 443.0 พัน/ลบ.ซม.
Platelet smear: Slightly increase
RBC morphology
Anisocytosis = 2+
Macrocyte = few
Microcyte 2+
Hypochromia = 1+
Target Cell = few
Ovalocyte = few
Spherocyte = few
…………………………………………………………………….

ตอบครับ

คุณน่าจะบอกอายุของลูกชายมาหน่อยนะ เรื่องการแปลผล CBC นี้ผมจำไม่ได้ว่าเคยเขียนไปแล้วหรือยัง เขียนใหม่ก็แล้วกันนะ ผมจะแปลผลให้ฟังทีละตัว เป็นการเรียนรู้การตรวจ CBC ไปด้วยนะครับ

Hematology แปลว่าการตรวจทางโลหิตวิทยา

CBC ย่อมาจาก cell blood count แปลว่าการตรวจนับเม็ดเลือด การตรวจชนิดนี้เป็นการตรวจพื้นฐานที่แพทย์จะสั่งตรวจคนไข้เกือบจะทุกคนที่มีการเจาะเลือด เพราะมันตรวจง่ายๆแต่ให้ข้อมูลแยะ

Hb ย่อมาจาก hemoglobin แปลว่าจำนวนโมเลกุลตัวพาออกซิเจนในเลือด โมเลกุลฮีโมโกลบินนี้อยู่ในเม็ดเลือดแดง ค่านี้จึงเป็นตัวบอกปริมาณเม็ดเลือดแดงในเชิงความสามารถในการขนส่งออกซิเจนด้วย คนปกติจะมีกันประมาณ 12 – 17 gm% ของลูกคุณมี 11 ก็สรุปว่าเป็นโรคโลหิตจางระดับเล็กน้อย (mild anemia) ตัวฮีโมโกลบินนี้มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบสำคัญ ดังนั้นคนเป็นโลหิตจางที่มีฮีโมโกลบินน้อยนี้สาเหตุอาจมาจากขาดธาตุเหล็กก็ได้

Hct ย่อมาจาก hematocrit แปลว่าปริมาตรเม็ดเลือดอัดที่แยกเอาน้ำเลือดหรือซีรั่มออกไปแล้ว ค่านี้ก็บอกถึงปริมาณเม็ดเลือดแดงเช่นกัน แต่เป็นการบอกในเชิงปริมาตรของเม็ดเลือด คนปกติจะมีปริมาตรเม็ดเลือดประมาณ 40-50% ของเลือดทั้งหมด ของลูกคุณมี 34% ก็สรุปยืนยันได้ว่าเป็นโรคโลหิตจางระดับเล็กน้อยจริงๆ

WBC ย่อมาจาก white blood count แปลว่าผลการนับจำนวนเม็ดเลือดขาว คนปกติจะนับได้ 4,500 – 10,000 เม็ดต่อหนึ่งลูกบาศก์มิลลิเมตร ของลูกคุณนับได้ 12,260 เม็ด ก็เรียกว่าเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง แปลความได้ว่าน่าจะมีการติดเชื้ออยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะการติดเชื้อบักเตรีซึ่งมักทำให้เม็ดเลือดขาวขึ้นสูง ส่วนการติดเชื้อไวรัสไม่ค่อยทำให้เม็ดเลือดขาวขึ้นสูงมากนัก บางทีก็ไม่ขึ้นเลย

WBC differential แปลว่าการตรวจนับแยกชนิดของเม็ดเลือดขาว

Neutrophils เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่สนองตอบต่อการอักเสบเฉียบพลันหรือติดเชื้อในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อบักเตรี คนปกติที่ไม่มีการติดเชื้อจะมีนิวโตรฟิลประมาณ 45-70 ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด ของลูกคุณมี 73% บ่งบอกว่าน่าจะมีการติดเชื้อบักเตรีขึ้นในร่างกาย

Eosinophils เป็นเม็ดเลือดขาวชนิดที่สนองตอบต่อปฏิกิริยาแพ้ ซึ่งมักขึ้นสูงเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาสู่ร่างกายแล้วร่างกายแพ้ เช่นมีพยาธิชนิดที่ไชไปทั่วตัวเป็นต้น คนปกติไม่ควรมีอีโอซิโนฟิลเกิน 5% ของลูกคุณไม่มีเลยก็ถือว่าไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องภูมิแพ้

Basophils เป็นเม็ดเลือดขาวอีกแบบหนึ่งที่มีสีสันโดดเด่นผิดอย่างอื่นและมีหน้าที่เกี่ยวกับการต่อสู้สิ่งแปลกปลอมเฉพาะที่ เช่นถูกเห็บกัดที่ไหนเบโซฟิลจะเฮโลไปที่นั่น คนปกติจะมีเบโซฟิลออกมาในเลือดไม่เกิน 2% ของลูกคุณไม่มีเลยก็ถือว่าปกติ

Lymphocyte เป็นเม็ดเลือดขาวตัวเล็ก ซึ่งถือว่าเป็นพลเมืองหลักของเม็ดเลือดขาวทั้งหลาย มีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคแทบจะทุกรูปแบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีสงครามยืดเยื้อเรื้อรัง กรณีไวรัส และกรณีวัณโรค คนปกติจะมีลิมโฟไซท์ประมาณ 25-45% กรณีของลูกคุณมี 21.0% ก็ถือว่าต่ำ เมื่อพิจารณาร่วมกับนิวโตรฟิลที่สูงขึ้นก็แปลความหมายได้ว่าการติดเชื้อในร่างกายขณะนี้เป็นการติดเชื้อในระยะเฉียบพลัน

Monocyte เป็นเม็ดเลือดขาวตัวโต ที่มีหน้าที่แบ่งตัวแปลงร่างกลายเป็น “ไอ้ตัวงาบ” หรือมาโครฟาจ (macrophage) ทำหน้าที่จับกินเชื้อโรคในกระแสเลือด โมโนไซท์เคลื่อนที่เร็ว มีเรื่องอักเสบติดเชื้อตรงไหนมันจะเฮโลไปที่นั่นทันที คนปกติมีโนโนไซท์ออกมาในกระแสเลือด 4-8% ส่วนใหญ่มันจะจอดซุ่มอยู่ในม้าม ซึ่งเป็นที่ตั้งของมัน กรณีลูกคุณมีโมโนไซท์ 6.0% ถือว่าปกติ ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ

RBC ย่อมาจาก red blood cell แปลว่าจำนวนเซลเม็ดเลือดแดงซึ่งนับกันเป็นล้านตัวต่อหน่วยไมโครลิตร คนปกติจะมีจำนวนเม็ดเลือดแดง 4.6-6 ล้าน ของลูกคุณมี 5.5 ล้านซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ยังถูกวินิจฉัยว่าเป็นโลหิตจางเพราะแม้จำนวนเม็ดเลือดแดงจะปกติ แต่ปริมาตรของเม็ดเลือดแดงต่ำและมีตัวพาออกซิเจนต่ำ ซึ่งต้องมีสาเหตุพิเศษอะไรสักอย่างทำให้เป็นเช่นนั้น

MCV ย่อมาจาก mean corpuscular volume แปลว่าปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงหนึ่งเม็ด เป็นตัวบอกว่าเม็ดเลือดแดงมีขนาดเม็ดใหญ่หรือเม็ดเล็ก ของคนปกติจะมีขนาด 80-100 เฟมโตลิตร (fl) คำว่าเฟมโตลิตรนี้เป็นหน่วยนับปริมาตรของอะไรที่เล็กๆในทางการแพทย์ คุณรู้จักซีซี. หรือ cubic centimeter ใช่ไหม นั่นแหละ หนึ่งซีซี. คุณเอามาแบ่งได้ล้านล้านเฟมโตลิตร มีคำว่าล้านสองทีนะ คือมีศูนย์ 12 ตัว นั่นหมายความว่าหนึ่งเฟมโตลิตรเท่ากับหนึ่งซีซี.ยกกำลังลบ 12 งงมั้ยเนี่ย งงก็ไม่เป็นไร ขอให้งงต่อไป เพราะมันไม่สำคัญอะไรต่อเรื่องที่เรากำลังคุยกันดอก ประเด็นสำคัญก็คือค่า MCV ของลูกคุณวัดได้ 59.8 fl ซึ่งต่ำกว่าปกติมาก แปลว่าขนาดของเม็ดเลือดเฉลี่ยเล็กกว่าของชาวบ้านเขาครึ่งต่อครึ่ง ตรงนี้เป็นเรื่องเลยนะ ต้องมีตอนต่อไป

MCH ย่อมาจาก mean corpuscular hemoglobin แปลว่าน้ำหนักเฉลี่ยของฮีโมโกลบินซึ่งเป็นตัวพาออกซิเจนในเม็ดเลือดหนึ่งเม็ด คนปกติก็จะมีประมาณ 27-31 พิโคกรัม (pg) ขออนุญาตฝอยนอกเรื่องหน่อยนะ เพราะว่าผมชอบเล่นของเล็กๆ คำว่าพิโคกรัมนี้หมายถึงถึงหนักเศษหนึ่งส่วนล้านล้านกรัม หรือเท่ากับหนึ่งกรัมยกกำลัง -12 ลูกชายคุณมี MCH แค่ 19.5 pg แสดงว่านอกจากเม็ดเลือดแดงจะมีขนาดเล็กแล้วยังมีตัวพาออกซิเจนน้อยอีกด้วย

MCHC ย่อมาจาก mean corpuscular hemoglobin concentration แปลว่าความเข้มข้นเฉลี่ยของตัวพาออกซิเจน (ฮีโมโกลบิน) ในเม็ดเลือดแดงหนึ่งเม็ด หรือพูดอีกอย่างว่าคือค่าบอกสัดส่วนของฮีโมโกลบินต่อปริมาตรเม็ดเลือด อันนี้หมายความจากค่า MCV เรารู้ว่าเม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก จากค่า MCH เรารู้ว่าในเม็ดเลือดแดงหนึ่งเม็ดมีฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ แต่ค่า MCHC จะช่วยบอกเราว่าที่ฮีโมโกลบินมันมีน้อยนั้นเป็นเพราะเม็ดเลือดมันมีขนาดเล็กอย่างเดียว หรือเป็นเพราะมันมีเหตุอื่นที่ทำให้ฮีโมโกลบินยิ่งน้อยลงไปอีกสมทบอยู่ด้วย (เช่นขาดธาตุเหล็กสำรับสร้างฮีโมโกลบิน เป็นต้น) คนปกติค่า MCHC จะตกประมาณ 32-36% ของลูกคุณได้ 32.5% ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติ แสดงว่าที่ลูกคุณมีฮีโมโกลบินน้อยนั้น เพราะเม็ดเลือดมันมีขนาดเล็กอย่างเดียว ไม่ได้มีเหตุอื่นเช่นขาดธาตุเหล็กสมทบอยู่ด้วย

RDW ย่อมาจาก red cell distribution width แปลว่าค่าความแปรปรวน (SD) ของขนาดเม็ดเลือด เป็นตัวเลขที่บอกว่าเม็ดเลือดรูปร่างผิดปกติบิดๆเบี้ยวๆเล็กๆใหญ่ๆ มีมากไหม คนปกติควรจะมีค่านี้ประมาณ 11.5-14.5 ของลูกคุณมี 17.2 ก็หมายความว่าอัตราการมีเม็ดเลือดแดงรูปร่างผิดปกติมีมาก

Platelet count หมายถึงผลการนับจำนวนเกร็ดเลือด ซึ่งทำหน้าที่ช่วยการแข็งตัวของเลือด คนปกติจะมีเกร็ดเลือดแสนสี่หมื่นถึงสี่แสนตัวต่อลบ.มม. ของลูกคุณมีสี่แสนกว่า สูงกว่าปกติไปเล็กน้อย ซึ่งอาจเกิดจากร่างกายกำลังมีการอักเสบก็ได้ ไม่ถือว่าบ่งบอกถึงโรคอะไรเป็นพิเศษ

Platelet smear: หมายถึงผลการป้ายเลือดบนสไลด์แล้วส่องดูภาพของเกร็ดเลือด กรณีของลูกชายคุณพบว่ามันเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติเล็กน้อย

RBC morphology แปลว่ารายงานการตรวจรูปร่างของเม็ดเลือดแดง

Anisocytosis หมายถึงมีความผิดปกติในขนาด เช่นใหญ่ไปเล็กไป ผลได้ 2+ บวกหมายความว่ามีความผิดปกติในขนาดของเม็ดเลือดปานกลาง

Macrocyte แปลว่าเม็ดเลือดแดงที่ขนาดโตกว่าปกติ ค่า few หมายถึงว่ามีเม็ดเลือดแดงโตๆนี้อยู่น้อยมาก

Microcyte แปลว่าเม็ดเลือดแดงที่ขนาดเล็กกว่าค่า 2+ หมายถึงว่ามีเม็ดเลือดแดงขนาดเล็กนี้อยู่มากปานกลาง

Hypochromia แปลว่าเม็ดเลือดแดงที่ย้อมไม่ค่อยติดสีแดง คือมีสีซีดๆ ซึ่งมักเกิดจากการมีฮีโมโกลบินอยู่น้อย ผล 1+
หมายความว่ามีเม็ดเลือดสีซีดอยู่บ้างไม่มาก แต่ก็พอมี

Target Cell แปลว่าเซลเม็ดเลือดแดงที่มีมองเห็นปุ่มตรงกลางเหมือนเป้าปาลูกดอก เซลแบบนี้ไม่มีในคนปกติ แต่พบในผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง ค่า few หมายถึงว่าพบแต่น้อยมาก

Ovalocyte แปลว่าเซลเม็ดเลือดแดงที่มีรูปไข่ ในคนปกติไม่พบ แต่มักพบในคนเป็นทาลาสซีเมีย

Spherocyte แปลว่าเซลเม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่างเป็นทรงกลมเหมือนลูกเทนนิส ผิดแผกจากเซลเม็ดเลือดแดงทั่วไปที่เป็นรูปแบนๆคล้ายจานข้าว ในคนปกติไม่พบ แต่มักพบในคนเป็นทาลาสซีเมีย

กล่าวโดยสรุป เจ้าของผลเลือดนี้เป็นโรคโลหิตจางระดับเล็กน้อย ที่เกิดจากการมีเม็ดเลือดแดงเล็กกว่าปกติและเม็ดเลือดผิดรูปร่างไปเล็กน้อย โดยไม่น่าจะมีภาวะขาดธาตุเหล็กร่วมอยู่ด้วย ข้อมูลทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าน่าจะเป็นโรคทาลาสซีเมียระดับไม่รุนแรงหรือมียีนแฝงของทาลาสซีเมีย สิ่งที่ควรทำต่อไปคือ ณ จุดในจุดหนึ่งในอนาคต ก่อนที่จะไปแต่งงาน ควรได้รับการตรวจ hemoglobin typing และ gene test เพื่อสรุปให้ได้แน่ชัดว่าเป็นทาลาสซีเมียหรือมียีนแฝงชนิดใด จะได้เป็นข้อมูลในการเลือกเจ้าสาวไม่ให้ไปเจอกับคนที่เป็นหรือมียีนแฝงแบบเดียวกัน อันจะเป็นเหตุให้ได้ลูกที่ป่วยเป็นทาลาสซีเมียแบบรุนแรงได้ การเจาะเลือดดังกล้าวไม่ต้องรีบทำตอนเป็นเด็กเล็กๆดอก เอาไว้โตเป็นหนุ่มแล้วค่อยเจาะก็ได้

อีกเรื่องหนึ่งคือการใช้ยาบำรุงเลือด (ซึ่งมีส่วนผสมของเหล็ก) ในรายนี้ในอนาคตหากมีเหตุให้ใช้ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ควรใช้โดยคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพราะคนเป็นทาลาสซีเมียมักมีธาตุเหล็กสะสมในร่างกายมากเกินไป หากได้เหล็กจากภายนอกเข้าไปสมทบอีก จะเป็นโรคพิษของเหล็กได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

05 กรกฎาคม 2554

ช่วยอ่านผล Sleep Lab ดิฉันเป็นโรคนอนกรน

คุณหมอสันต์คะ

ดิฉันมีปัญหา คนรอบข้างบอกว่าดิฉันนอนแล้วเสียงดัง สามีต้องขอตัวแยกไปนอนอีกห้องนอน เวลาไปค้างที่ไหนกับลูก ลูกๆจะขอหลบไปนอนในห้องน้ำ วันหนึ่งไปค้างข้างนอกกับเพื่อน เธอบอกว่าดิฉันทำเสียงดังแล้วทำไม้ทำมืออะไรก็ไม่รู้มากมาย แล้วเวลากลางวันดิฉันง่วงหลับง่ายมาก นั่งคุยๆกันอยู่ถ้าไม่ถึงตาดิฉันพูด ดิฉันจะหลับไปทันที ดิฉันไปตรวจ sleep lab ได้ผลดังข้างล่างนี้ หมอแนะนำว่าดิฉันควรใส่เครื่องช่วยหายใจ (CPAP) ซึ่งดิฉันไม่ชอบและไม่อยากใช้เลย (เขาเอาลองให้ใช้แล้ว ใช้ได้ไม่ถึงนาทีก็ต้องถอดออก) รบกวนคุณหมอช่วยแปลผลและแนะนำด้วยค่ะว่าดิฉันควรทำอย่างไรต่อไปดี วิธีแก้ปัญหามีกี่วิธี คุณหมอบอกมาให้หมดนะคะ

Sex female
Age 54 yrs
Height 157
Weight 78
BMI 31.6

Sleep architecture: TIB = 7:27:28, SPT = 7:18:44, TST =6:32:11, Sleep efficiency 88.4%, REM period = 1, REM latency = 4:42:20

Sleep staging: stage I = 25.8%, II = 62.6%, III = 1%, IV = 0%, REM = 11.2%

Body position: supine 100%, right lateral 0%, left lateral 0%, prone 0%

Respiratory parameters: Apneas = 61, Hypopneas = 16, AHI = 11.4 (apnea index = 9%),
RDI = 9.7 during NREM, =23.9 during REM, =12.8 in supine position.

Oxymetry: Mean SpO2 = 97.1%, min SpO2 = 80.9%, 97.8% of SpO2 is in 90-100% range.

Arousal & limb movement summary: None of arousals were of a spontaneous nature, or associated with respiratory events, or associated withlimb movements.

Interpretation: Mild OSA. The severity of the disease may be under estimated because of short REM sleep. Please correlate with clinical information.

Dr............. MD,
Certified International Sleep Specialist

……………………………………

ตอบครับ

ที่คุณไปตรวจมานี้ทางแพทย์เขาเรียกว่า polysomnography ผมจะอธิบายผลไปทีละคำทีละบรรทัดนะครับ เพื่อให้ท่านผู้อ่านท่านอื่นได้ความรู้ไปด้วย ดังนั้นคำตอบมันจะยาวหน่อย คุณอย่าแอบหลับเสียก่อนละ

1. Height 157, Weight 78, BMI 31.6 ข้อมูลชุดนี้บอกว่าคุณเป็นคนเจ้าเนื้อ BMI ย่อมาจาก body mass index แปลว่าดัชนีมวลกาย ของคุณนี่ขึ้นไปเกิน 30 แปลว่าไม่ใช่น้ำหนักเกินธรรมดา กล่าวอย่างไม่เกรงใจก็คือคุณเป็น "โรคอ้วน" เข้าใจว่าคุณคงทราบแล้วว่าความอ้วนเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคนอนกรนหรือโรค obstructive sleep apnea (OSA) ซึ่งมีอาการดังที่คุณได้บรรยายมานั่นแหละ

2. TIB = 7:27:28 คำว่า TIB ย่อมาจาก total time in bed แปลว่าเวลาตั้งแต่ขึ้นเตียงตอนหัวค่ำจนลงจากเตียงตอนเช้า ของคุณประมาณเจ็ดชั่วโมงครึ่งก็ถือว่าโอเค. คือคนเราควรมีเวลานอนวันละ 7-8 ชั่วโมง

3. SPT = 7:18:44 คำว่า SPT ย่อมาจาก sleep period time แปลว่ารวมเวลาตั้งแต่เริ่มหลับครั้งแรกไปจนตื่นครั้งสุดท้ายตอนใกล้รุ่ง คุณขึ้นไปนอนบนเตียงเจ็ดชั่วโมงครึ่ง หลับได้เกือบเจ็ดชั่วโมงยี่สิบนาที เรียกว่าขึ้นเตียงปุ๊บ แทบจะหลับปั๊บเลย น่านับถือ

4. TST =6:32:11 คำว่า TST ย่อมาจาก total sleep time แปลว่ารวมเฉพาะเวลาที่หลับจริงๆไม่นับเวลาตื่นกลางดึก

5. Sleep efficiency หมายถึงประสิทธิภาพของการนอนหลับ คือเอาเวลาหลับจริงตั้ง เอาเวลาตั้งแต่เริ่มหลับครั้งแรกจนตื่นครั้งสุดท้ายหาร ของคุณได้ 88.4% ก็ถือว่าหลับได้ค่อนข้างดี ไม่ได้ตื่นนอนตาค้างมองเพดานมากนัก

6. REM period หมายถึงช่วงที่หลับแล้วมีการฝัน คำว่า REM ย่อมาจาก rapid eye movement หรือลูกตากลอกไปมาลุกลิกลุกลิก ซึ่งเมื่อใดที่กลอกตาขณะหลับก็หมายความว่ากำลังฝันอยู่เมื่อนั้น ถ้าฝันว่ากำลังดูเขาแข่งเทนนิสกันตาก็จะกลอกไปข้างซ้ายทีขวาทีกลับไปกลับมา พออีกฝ่ายตีลูกออก ตาก็จะมองค้างตามลูกเท็นนิสที่เด้งออกสนามไป ดังนั้นถ้าเห็นสามีนอนกลอกตาแล้วยิ้มหวานละก็...ระวัง (พูดเล่นนะครับ) คำว่า REM latency หมายความว่าเริ่มหลับไปแล้วนานเท่าไรจึงจะเริ่มฝัน ของคุณนานตั้งเกือบห้าชั่วโมง ก็หมายความว่าเป็นคนฝันยาก พูดง่ายๆว่าเป็นคนหลับไม่ลึก เพราะการฝันจะเกิดเมื่อเราหลับลึกจึงจะฝันได้

7. Sleep staging: เป็นการรายงานว่าคุณใช้เวลาในการนอนหลับแต่ละระยะนานเท่าใด คือการนอนหลับของคนเราเขาแบ่งออกเป็นระยะๆ ในรายงานที่คุณไปทำมานี้เขาใช้เกณฑ์แบบเก่าคือแบ่งเป็นห้าระยะ แต่เกณฑ์แบบใหม่ของวิทยาลัยการนอนหลับอเมริกัน (AASM) แบ่งออกเป็นสี่ระยะ แต่มันก็ไม่ได้ต่างกันมากดอก เอาเป็นว่าระยะสำคัญที่สุดคือระยะสุดท้ายคือระยะหลับฝันหรือ REM ซึ่งคุณใช้เวลาอยู่ในระยะนั้นเพียง 11.4% จัดว่าน้อยไป เพราะคุณไปหลับอยู่ในระยะตื้นคือ stage II เสียตั้ง 61.7% ขณะที่คนทั่วไปที่หลับกันปกติควรอยู่ในระยะหลับฝันประมาณ 20-25% ของเวลานอนหลับทั้งหมด

8. Body position: เป็นการรายงานว่าคุณหลับในท่าไหนมากที่สุด supine แปลว่านอนหงาย ของคุณนี่เล่นนอนหงายม้วนเดียวจบไม่เปลี่ยนไปท่าอื่นเลย ซึ่งไม่ดี เพราะการนอนหงายทำให้เกิดทางเดินหายใจอุดกั้นและกรนง่าย การนอนที่ดีต้องนอนตะแคงเป็นส่วนใหญ่ ท่าที่ดีที่สุดคือท่านอนตะแคงเอาข้างขวาลง ซึ่งเป็นท่าที่เบาแรงหัวใจในการส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากที่สุด

9. Apnea แปลว่าหยุดหายใจไปเลย ซึ่งนิยามว่าคือเมื่อลมหายใจเข้าออกลดลง 70% นานเกิน 10 วินาที ซึ่งคุณเกิด
เรื่องแบบนี้ขึ้น 62 ครั้ง หรือ 9.3 ครั้งต่อชั่วโมง

10. Hypopnea แปลว่าเกือบหยุดหายใจ ซึ่งนิยามว่าคือเมื่อลมหายใจเข้าออกลดลงเกิน 30% นานเกิน 10 วินาทีร่วมกับออกซิเจนในเลือดลดลงเกิน 3%ซึ่งคุณเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น 15 ครั้งหรือ 2.2 ครั้งต่อชั่วโมง

11. AHI ย่อมาจาก apnea and hypopnea index แปลว่าจำนวนครั้งของการหยุดหายใจและเกือบหยุดหายใจในหนึ่งชั่วโมง ซึ่งของคุณเกิดขึ้น 11.5 ครั้ง

12. RDI ย่อมาจาก respiratory disturbance index ก่อนจะเข้าใจคำว่า RDI นี้ต้องเข้าใจอีกคำหนึ่งซึ่งไม่มีในรายงานของคุณก่อน คือคำว่า RERA ซึ่งย่อมาจาก respiratory effort related arousal แปลว่าอาการผวาตื่น (แต่อาจจะยังไม่รู้ตัว)เพราะการหายใจไม่พอ เช่นเกิดพร้อมกันหายใจเฮือกหรือพะงาบแบบคนจมน้ำ นิยามของ RDI ก็คือจำนวนครั้งของการหยุดหายใจหรือเกือบหยุดหายใจที่เกิดขึ้นพร้อมกับการผวาตื่นเพราะการหายใจไม่พอในหนึ่งชั่วโมง ของคุณผวาตื่นขึ้นมาเฉลี่ยชั่วโมงละ 11.7 ครั้ง ค่า RDI นี้ใช้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยโรคนอนกรน กล่าวคือในทางการแพทย์ถือว่าถ้าค่า RDI เกิน 15 ครั้งต่อชั่วโมงก็วินิจฉัยได้เลยว่าเป็นโรคนอนกรน (OSA) อย่างของคุณนี้พูดง่ายๆว่ายังวินิจฉัยไม่ได้ว่าเป็นโรคนอนกรน เพราะ RDI ยังไม่ถึง 15 ครั้งต่อชั่วโมง

13. Oxymetry แปลว่าการวัดค่าออกซิเจนในเลือด: Mean SpO2 หมายถึงค่าเฉลี่ยของออกซิเจนในเลือดตลอดการนอนหลับ ของคุณได้ 97.8% ถือว่าปกติดี ตัวชี้วัดสำคัญอีกตัวคือ %SpO2ที่อยู่ในพิสัย 90-100% ซึ่งเป็นช่วงปกติ ของคุณมีเปอร์เซ็นต์ถึง 99% นั่นหมายความว่าการนอนหลับของคุณมีปัญหากับออกซิเจนในเลือดน้อยมาก

14. Arousal & limb movement: เป็นการรายงานว่าการสะดุ้งผวาตื่นของคุณเป็นกรณีมีสาเหตุอื่นนอกจากการนอนกรนหรือเปล่า เช่นเป็นการตื่นจริง หรือผวาเพราะความขัดข้องของระบบหายใจ (เช่นเสมหะอุดกั้น) หรือผวาพร้อมกับการเคลื่อนไหวแขนขา ซึ่งของคุณไม่ได้เป็นแบบนี้สักอย่าง ดังนั้นการผวาตื่นของคุณเป็นเพราะปัญหานอนกรนล้วนๆ

15. Interpretation: ก็คือคำวินิจฉัยสุดท้ายของผู้ทำการตรวจ ซึ่งสรุปว่าคุณเป็นโรคนอนกรนระดับเบาะๆ (Mild OSA) หรือแปลไทยให้เป็นไทยก็คือตามผลการตรวจนี้ ยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าคุณเป็นโรคนอนกรนจริงตามนิยามของโรค แต่ก็ทิ้งท้ายไว้ว่าการที่ช่วงหลับฝันของคุณสั้นกว่าปกติแสดงว่าคุณน่าจะมีปัญหากับการนอนหลับมากกว่าที่ผลแล็บนี้ตรวจพบ ดังนั้นขอให้หมอที่ดูแลคุณอาศัยข้อมูลจากอาการของคุณประกอบการวินิจฉัยด้วย ในส่วนนั้นผิดถูกอย่างไรผมซึ่งเป็นคนอ่านผลแล็บนี้ไม่เกี่ยว (พูดเล่นนะครับ)

เอาละ ทราบผลการตรวจแล้ว สรุปได้ประมาณว่าเป็นโรคนอนกรนระดับเบาะๆ แม้จะยังไม่เต็มยศ คราวนี้ก็มามาคุยกันว่าคุณควรจะทำอย่างไรต่อไป ผมแนะนำว่า

1. ลดความอ้วนก่อน ลดแบบเอาเป็นเอาตาย เป้าหมายคือลดดัชนีมวลกายลงให้ต่ำกว่า 25 นั้นคือลดน้ำหนักลงให้เหลือ 61 กก. (จากเดิม 78 กก. โอ๊ะ..โอ่..)

2. เลิกนอนหงาย หัดนอนตะแคงกอดหมอนข้าง (ก็สามีเขาหนีไปนอนอีกห้องแล้วนี่ ไม่กอดหมอนข้างแล้วจะกอดใครละครับ)

3. ถ้าสูบบุหรี่อยู่ เลิก ถ้าดื่มแอลกอฮอล์.. ถ้าใช้ยากล่อมประสาทยานอนหลับ..เลิกให้หมด

4. ออกกำลังกายให้หนัก ออกแบบเอาเป็นเอาตาย ให้ถึงระดับมาตรฐานทุกวัน คือออกกำลังกายแบบแอโรบิกจนถึงระดับหนักพอควร คือหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ ให้ต่อเนื่องกันไปนาน 30 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง บวกกับเล่นกล้ามอีกสัปดาห์ละ 2 ครั้ง การออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนแข็งแรง ไม่หย่อนยานยวบยาบ ทำให้มีการหลัง endorphin ทำให้หลับดี หลับลึก และหลับถึงระยะหลับฝันได้มากขึ้น

5. ทำทั้งสี่อย่างนี้ให้ได้ รับรองหาย ถ้าไม่หายเขียนมาด่าผมได้เลย แต่ก่อนจะด่าผมต้องชั่งน้ำหนักก่อนนะ ถ้ายังลงไม่ถึง 61 กก. ยังไม่มีสิทธิ์ว่าผมนะ แหะ..แหะ พูดเล่น ถ้ายังไม่หายก็ต้องขยับไปใช้มาตรการต่อไป คือ

6. การใช้อุปกรณ์ช่วย อุปกรณ์ที่ดีที่สุดและแนะนำเป็นตัวแรกคือเครื่องเพื่มความดันลมหายใจแบบต่อเนื่องผ่านจมูก (nasal CPAP) ถ้าไม่ได้ผล หรือไม่ชอบ ก็ต้องหันไปใช้อุปกรณ์ตัวที่สองคือ เครื่องครอบช่วยหายใจสองจังหวะ (BiPAP) ซึ่งผู้ป่วยปรับความดันในช่วงให้ใจเข้าและออกให้พอดีได้เอง แต่ว่ามีราคาแพงกว่าและผลการรักษาก็ไม่ได้แตกต่างจาก CPAP ถ้าผู้ป่วยยังทนไม่ได้อีก คราวนี้ก็เหลืออุปกรณ์สุดท้ายคืออุปกรณ์เปิดทางเดินลมหายใจ (OA) ที่นิยมใช้มีสามแบบคือ ตัวกันลิ้นตก (tongue retaining device, TRD) ตัวค้ำขากรรไกร และตัวค้ำเพดานปาก ข้อมูลความสำเร็จของการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในระยะยาวยังมีจำกัดมาก งานวิจัยพบว่าการใช้ CPAP ชนิดปรับความดันด้วยตัวเองที่บ้าน โดยมีพยาบาลคอยช่วยดูแล ให้ผลดีไม่แตกต่างจากการปรับค่าการใช้ CPAP โดยการทำ sleep study ที่โรงพยาบาลภายใต้การดูแลของแพทย์ ถ้าใช้อุปกรณ์แล้วยังไม่หายอีก คราวนี้ก็เหลือทางเดียวแล้วครับ คือ

7. การผ่าตัด วิธีผ่าตัดที่ใช้แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับการอุดกั้นทางเดินลมหายใจอยู่ที่ระดับหลังเพดานปาก หรือหลังลิ้น หรือคร่อมทั้งสองระดับ ถ้าการอุดกั้นเกิดที่เพดานปากส่วนหลัง การผ่าตัดก็ทำแค่ยกเพดานปากและลิ้นไก่ (uvulopalatophyarygoplasty, UPPP) ก็พอ การผ่าตัดชนิดนี้มีความสำเร็จเพียงประมาณ 50% ของผู้เข้าผ่าตัดเท่านั้น (ความสำเร็จนี้วัดจากการลดจำนวนครั้งของการสะดุ้งตื่นเพราะการรบกวนการหายใจลงได้อย่างน้อย 50%) และมีเหมือนกันประมาณ 31% ที่ทำผ่าตัดชนิดนี้แล้วอาการกลับแย่ลง แต่ถ้าการอุดกั้นเกิดที่ระดับหลังลิ้น ก็อาจจะต้องทำผ่าตัดดึงลิ้น (Genioglossus advancement with hyoid myotomy หรือ GAHM) หรือบางทีก็อาจจะต้องถึงกับเลื่อนกระดูกกรามล่าง (maxillomandibular advancement osteotomy หรือ MMO)ซึ่งมักจะแก้การอุดกั้นได้ทุกระดับ การเลือกผ่าตัดแบบไหนย่อมสุดแล้วแต่ผลการประเมินจุดอุดกั้นว่าเกิดตรงไหน อัตราการได้ผลก็ระดับลูกผีลูกคน ดังนี้จึงถูกจัดไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะทุกคนต่างก็เห็นพ้องกันว่าเป็นวิธีที่แย่ที่สุด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

เป็นฮีโมโกลบินอี. (Hb E) ต้องเอาลูกออกไหม

สวัสดีค่ะคุณหมอ

คือดิฉันมีผลเลือดมาให้คุณหมอพิจารณาให้หน่อยค่ะ

ของสามีคือ HIV = Neg, VDRL = NR, (อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจว่า NR หรือเปล่า เพราะเขาเขียนไม่ค่อยรู้เรื่องค่ะ), HBsAg = Neg, MCV = 79

ส่วนของภรรยาคือ HIV = Neg, VDRL = NR, (ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน), HBsAg = Neg, MCV = 90, HbE = post

จากผลเลือดดังกล่าวนี้จะส่งผลอะไรต่อทารกในครรภ์บ้างคะ และถ้าทารกในครรภ์เป็นแฝดผลเลือดดังกล่าวจะส่งผลอะไรกับทารกบ้างคะ ถ้าส่งผล ทารกจะเป็นอย่างไร รุนแรงไหมคะ จำเป็นต้องเอาเด็กออกหรือเปล่าคะ (ขอกรณีเป็นแฝดด้วยค่ะ) ขอความกรุณาคุณหมอตอบอย่างละเอียดให้หายข้องใจด้วยค่ะ

...................................................

ตอบครับ

1. ผมจะแปลผลแล็บให้ฟังก่อน เอาของสามีก่อนนะ

HIV = Negative แปลว่าไม่มีเชื้อเอดส์อยู่ในตัว อย่างน้อยก็นับถึงก่อนวันตรวจราวหนึ่งเดือน แต่ช่วงภายในหนึ่งเดือนก่อนวันตรวจเป็น window period ไม่รับประกันว่าสามีคุณได้ไปเสาะหาเชื้อใหม่ๆหมาดๆเข้ามาหรือเปล่า ต้องไปสอบสวนกันเอาเอง

VDRL = NR แปลว่าไม่เคยติดเชื้อซิฟิลิส NR ย่อมาจาก non reactive หมายความว่าผลเป็นลบหรือไม่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนี้นั่นเอง การตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันหมายความว่าไม่มีการติดเชื้อแบบสดๆซิงๆ และไม่มีเชื้อกำเริบในตัวด้วย VDRL นี้เป็นวิธีตรวจเพื่อคัดกรองเท่านั้น เพราะมีคนจำนวนหนึ่งติดเชื้อมานานจนเชื้อเข้าระยะซุ่มเงียบ (latent phase) การตรวจ VDRL ในระยะซุ่มเงียบอาจให้ผลลบ เรียกว่าผลลบเทียม คือจริงๆแล้วติดเชื้อมีเชื้อซิฟิลิสอยู่ในตัว แต่ตรวจได้ผลลบ

HBsAg = Negative แปลว่าไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี.อยู่ในตัว อย่างน้อยข้อมูลนี้ก็บอกว่าพ่อเจ้าประคุณสามีไม่ใช่พาหะที่จะคอยแพร่เชื้อตับอักเสบไวรัสบี.ให้คุณและลูก แต่ถ้าจะให้ดีควรมีข้อมูลเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันหรือ HBsAb ด้วย ถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกันจะได้ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบไวรัสบี.เสียเลย

MCV = 79 fl ตัวนี้ย่อมาจากคำว่า mean corpuscle volume แปลว่าปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือด ค่าปกติอยู่ที่ 80-100 fl กรณีสามีคุณได้ 79 fl ก็อนุมานได้ว่าน่าจะปกติเพราะต่ำกว่าเกณฑ์ปกตินี้ด.ด..ด..ดเดียว ตัวนี้ถ้าค่าต่ำกว่าปกติมากๆเช่นต่ำกว่า 75 fl ก็หมายความว่าเม็ดเลือดมีขนาดเล็กผิดปกติ อาจเป็นโรคทาลาสซีเมียชนิดแฝงหรือโรคโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็กซึ่งมักทำให้เม็ดเลือดมีขนาดเล็กกว่าปกติ

กล่าวโดยสรุปผลเลือดของสามีคุณปกติ ไม่ติดเชื้อเอดส์ ไม่ติดเชื้อซิฟิลิส ไม่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี และมีเม็ดเลือดแดงขนาดเกือบปกติ สรุปได้แค่เนี้ยะแหละครับ

เอาละ ทีนี้มาดูของคุณภรรยาบาง ที่แตกต่างจากสามีมีจุดเดียวเท่านั้นคือ

HbE = positive ตีความตามผลที่ให้มา ยังไม่เจาะลึกว่าใช้วิธีไหนตรวจ ก็หมายความว่าคุณมีพันธุกรรมที่มียีนแฝงของโรคทาลาสซีเมียเบต้าชนิดฮีโมโกลบินอี. (beta thalassemia hemoglobin E trait) คือตัวคุณไม่เป็นโรค แต่มียีนแฝงที่ส่งต่อไปให้ลูกได้ เนื่องจากสามีของคุณไม่มียีนแฝงนี้ (เพราะผลตรวจไม่บอกว่ามี ดังนั้น) ครึ่งหนึ่งของลูกๆของคุณมีโอกาสจะรับยีนแฝงนี้ไปให้หลานของคุณต่อ

2. ก่อนจะตอบคำถามประเด็นอื่นของคุณ ผมขอวิจารณ์ผลแล็บก่อนนะ เพราะมันคันปาก ว่าคุณไปตรวจแล็บที่ไหนมา ผลมันทะแม่งๆ พิกล การที่ผลแล็บยังเอามือเขียนจวนเจียนจะอ่านออกไม่ออกแหล่แสดงว่าห้องแล็บที่ตรวจให้ต้องอยู่ค่อนไปทางหลังเขามากเลย การที่ผลตรวจขนาดเม็ดเลือดเฉลี่ย (MCV) ของตัวคุณได้ค่าปกติแต่ตรวจพบ HbE เป็นข้อมูลที่ขัดกันเอง เพราะปกติถ้ามียีน HbE เม็ดเลือดควรจะขนาดเฉลี่ยเล็กกว่าปกติมาก แล้วการที่รายงานว่ามี HbE มาโดยไม่รายงานปริมาณฮีโมโกลบินชนิดอื่นๆ เช่น HbA, HbA2 แสดงว่าไม่ได้ทำการตรวจวิเคราะห์แบบ hemoglobin typing ผมสงสัยว่าคงจะทำการตรวจคัดกรองแบบใช้น้ำยาดูการตกตะกอนของเม็ดเลือด ที่เรียกว่า DCIP (ย่อมาจากชื่อน้ำยา dichlophenol hydrophenol) ซึ่งเป็นวิธีตรวจคัดกรอง Hb E ที่ให้ผลไม่เที่ยง โบร้าน โบราณ จนผมคิดว่าน่าจะหายไปจากโลกนี้นานแล้ว กล่าวโดยสรุป ผมมีความเห็นว่าอย่าเพิ่งโวยวายตีอกชกหัวว่าคุณมี Hb E ณ ตอนนี้เลย ผลแล็บอาจเป็นผลบวกเทียมก็ได้ ผมแนะนำให้ไปตรวจวิเคราะห์ฮีโมโกลบิน (hemoglobin typing) ให้ชัดเจนก่อนดีกว่า

3. ถามว่าผลเลือดดังกล่าวนี้จะส่งผลอะไรต่อทารกในครรภ์บ้างคะ ถ้าส่งผล ทารกจะเป็นอย่างไร รุนแรงไหมคะ จำเป็นต้องเอาเด็กออกหรือเปล่าคะ โน่น ไปโน่นเลย.. ตอบว่า beta thalassemia hemoglobin E trait ในกรณีที่ข้างสามีไม่มียีนแฝงนี้ด้วย ผลต่อลูกก็คือครึ่งหนึ่งของลูกจะได้รับยีนนี้ไปเผยแพร่ให้หลานคุณต่อไป เช่นถ้ามีลูกสองคนก็มีโอกาสจะได้รับยีนนี้หนึ่งคน เมื่อรับยีนแฝงนี้ไปแล้ว เขาจะไม่มีอาการอะไรเหมือนอย่างคุณเนี่ยแหละ แต่เมื่อเขาไปแต่งงาน หากสามีเขาไม่มียีนแฝง ลูกของเขาครึ่งหนึ่งก็จะรับยีนแฝงนี้ไว้สืบต่อไปอีก แต่หากสามีของเขามียีนแฝงนี้ด้วย ยีนทั้งสองข้างจะมาจ๊ะกัน ทำให้มีโอกาสที่ลูกของเขา (หมายถึงหลานของคุณ) จะเกิดมาเป็นโรค Homozygous Hemoglobin E คือเป็นเด็กโลหิตจางเรื้อรังและม้ามโต แต่ก็มักไม่มีอะไรรุนแรงมากไปกว่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณสามารถป้องกันไม่ให้หลานคุณเป็นโรคยีนจ๊ะกันนี้ได้ ด้วยการเลือกลูกเขยให้ดี คือเขยคนไหนที่มียีนแฝงก็อย่าเอามาเป็นเขยซะก็หมดเรื่อง

4. กรณีเป็นแฝดด้วยค่ะ ถ้าทารกในครรภ์เป็นแฝดผลเลือดดังกล่าวจะส่งผลอะไรกับทารกบ้างคะ ตอบว่าไม่แตกต่างจากลูกไม่แฝด ยกเว้นประเด็นการรับยีนในกรณีที่เป็นแฝดชนิดไข่ใบเดียวกัน หากได้รับยีน Hb E จากแม่ก็จะได้รับเหมือนกันทั้งสองคน เสมือนเป็นคนเดียวกัน ก็ไม่ใช่คนหนึ่งได้อีกคนไม่ได้นะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

03 กรกฎาคม 2554

ตัวอย่างเมนูอาหารลดความอ้วนสำหรับคนโสดที่ทานนอกบ้าน

ขอให้คุณหมอช่วยแนะนำตัวอย่างเมนูอาหารลดความอ้วน ผมเป็นคนโสด ไม่ปรุงอาหารในบ้าน ต้องทานนอกบ้านตลอดครับ
..................................

ตอบครับ

ที่ผมยกตัวอย่างนี่เป็นอาหารสำหรับคนทำงานที่ไม่มีเวลา และปกติทานอาหารฟาสท์ฟู้ดนอกบ้านเป็นประจำอยู่แล้ว เมนูที่ผมแนะนำนี้ก็คือเพียงแค่ปรับสไตล์การทานอาหารไปจากเดิมเพียงเล็กน้อย เอาไปลองดูนะครับว่าจะทำได้ไหม

อาหารเช้า

1. ขนมปังโฮลวีท หรือบราวน์เบรด
2. มูสลี่ (ไฮ ไฟเบอร์) ในนมไร้ไขมัน
3. ไข่ต้มหรือไข่ลวก
4. ชา หรือกาแฟไม่ใส่ครีมเทียม (แต่ใช้นมไร้ไขมันแทนได้) ไม่ใส่น้ำตาล
5. ผลไม้สดหั่นใส่จาน ทุกมื้อ มื้อละอย่างน้อย 2 จาน (เช่น มะละกอ ฝรั่ง กล้วย แอปเปิล สับประรด)

อาหารกลางวันหรือเย็น

6. เกาเหลาไม่ใส่เส้น แต่ใส่ถั่วงอกแยะๆ
7. สะเต๊ก (หมู หรือเนื้อ หรือปลา หรือไก่) ทานกับผักสลัดราดน้ำใส
8. ไก่ย่าง ส้มตำ โดยไม่มีข้าวเหนียว (ต้องใช้ไก่ย่าง ไม่ใช้ไก่ทอด)
9. ก๋วยเตี๋ยวหมู (หรือเนื้อ หรือไก่) ไม่ใส่น้ำมันกระเทียมเจียว
10. หมูย่างน้ำตกจิ้มแจ่ว หรือเนื้อย่างน้ำตก ทานกับผักสดมากๆโดยไม่มีข้าวเหนียว
11. สุกี้ (หมู หรือ ไก่ หรือกุ้ง) ใส่วุ้นเส้นแต่น้อย
12. ก๋วยเตี๋ยวหลอด
13. สลัดปลาทูนาราดน้ำใส
14. นมถั่วเหลืองยูเอชที.ไม่มีน้ำตาล
15. ผัดไทยไม่ใส่เส้น
16. ไข่ตุ๋น หรือไข่ต้ม (ทานเปล่าๆ ไม่มีข้าว)
17. ไส้กรอก(นึ่ง ปิ้ง หรือย่าง) ทานกับสลัดผักราดน้ำใส หรือทำเป็นยำไส้กรอก
18. ผลไม้สดหั่นใส่จาน (ได้ทุกชนิด ทั้งหวานและไม่หวาน) มื้อละอย่างน้อย 2 จาน (เช่น มะละกอ ฝรั่ง กล้วย แอปเปิล สับประรด)
19. เมี่ยงคำ
20. หัดต้มผักทานเอง เช่น ดอกกระหล่ำ บีทรูท ถั่วฝักยาว แครอท ถั่วพี เป็นต้น
21. หัดทำซุปทานเอง เช่นโจ๊ก ข้าวโอ๊ตละลายในน้ำหรือละลายในนมพร่องมันเนย ซุปเห็ดต้มในน้ำใส เป็นต้น
22. หัดทำอาหาร นึ่ง อบ ต้ม ปิ้ง ย่าง กินเอง
23. ลดข้าวลงให้เหลือหนึ่งในสี่ของที่เคยทาน สำหรับมื้อเย็นเลิกทานข้าวไปเลยได้ยิ่งดี เพราะคนอ้วนมีแคลอรี่เกิน ข้าวให้แต่แคลอรี่ไม่ให้ประโยชน์อย่างอื่นมากนัก ไปเอาแคลอรี่จากผักและผลไม้ซึ่งให้วิตามินและเกลือแร่ด้วยดีกว่า

เครื่องดื่ม

1. ดื่มน้ำเปล่า
2. ดื่มน้ำผลไม้สดปั่นความเร็วสูง โดยไม่แยกกากทิ้ง และไม่ใส่น้ำตาล
3. ถ้าดื่มกาแฟ ให้ดื่มกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่ครีมเทียม (ถ้าอยากใส่ครีมใช้นมไร้ไขมันแทน)
4. ไม่ดื่มน้ำอัดลม
5. ไม่ดื่มเครื่องดื่มใส่น้ำตาลเช่น น้ำผลไม้ ชาเขียวใส่น้ำตาล
6. ไม่ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ให้สัมภาษณ์เรื่องส่วนตัว

(ตัดและปรับปรุงจากบทสัมภาษณ์ในหนังสือ "วารสารวงการแพทย์" )

อยากทราบพื้นเพเดิมของอาจารย์

ผมเป็นคนเหนือ เกิดที่จังหวัดพะเยา ก็เรียกว่ากำพืดเดิมเป็นเด็กบ้านนอกคอกนา เป็นลูกชาวนา คุณพ่อมีอาชีพทำนา ว่างนาก็รับจ้างตัดผมไปด้วย คือว่างเมื่อไรพ่อก็จะเป่าเขาควายเสียงดังกังวานไปทั้งหมู่บ้าน เป็นสัญญาณว่ากัลบกพร้อมให้บริการแล้ว ผมเองเป่าเขาควายได้ตั้งแต่ยังไม่ได้นุ่งกางเกง ลูกค้าได้ยินเสียงเขาควายก็มาที่ร้านจะตัดผม มองหาช่างเท่าไรก็ไม่เจอ ได้ยินแต่เสียงกังวานมาจากหลังโต๊ะตัดผม พออ้อมไปดูจึงรู้ว่าเป็นบักหำน้อยตัวนิดเดียวยืนเป่าเขาควายอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

ที่ว่าบ้านนอกนั้น นอกขนาดไหนคะ

ก็หมายความว่าการจะเข้าไปถึงหมู่บ้านต้องไปด้วยเกวียนหรือเดินเท้าไปเท่านั้น พอมีรถยนต์เข้าไปในหมู่บ้านเป็นครั้งแรก สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก จำได้ว่าพวกเราประมาณสิบคนได้ ต่างตื่นเต้นมาก ทิ้งการเล่นทุกอย่างมาวิ่งตามรถยนต์กันตั้งแต่หัวหมู่บ้านจนถึงท้ายหมู่บ้าน ก็เติบโตมาแบบเด็กบ้านนอกสมัยนั้น เรียนรู้วิธีหากินกับท้องไร่ท้องนา ตั้งแต่เทคนิคการขุดปูที่คันนา การล้วงกบ การเรียนรู้ก็ไม่มีครู ต้องเสี่ยงเอาเอง มีอยู่ครั้งหนึ่งเราจะล้วงรูกบกัน เพื่อนคนหนึ่งที่ช่างสังเกตก็บอกว่าเอ.. รูนี้มันใหญ่กว่ารูกบธรรมดานะ อีกคนก็บอกว่าล้วงเลย ตัวมันต้องใหญ่แน่ ผมก็ล้วงเข้าไป ปรากฏว่างูตัวเท่าหัวแม่มือเลื้อยปราดพันแขนออกมาเลย ทำเอาวงแตก
หรืออย่างการเอาหนอนผีเสื้อที่มวนใบกล้วยออกมาปิ้งไฟกินนี่ก็ต้องมีเทคนิค ต้องสังเกต ตอนที่ฉันเยาว์ฉันเขลาอยู่ก็ดันไปเอาหนอนช่วงที่ยังไม่ทันเป็นดักแด้ดีมาปิ้งกิน แทนที่จะอร่อยแบบมันยกร่องก็กลายเป็นได้ลิ้มรสชาติเหม็นเขียวแบบตรึงใจไม่รู้ลืมแทน

เป็นเด็กบ้านนอกแล้วทำไมได้เรียนสูง แสดงว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องเลี้ยงมาดีมาก

นั่นก็ถูกส่วนหนึ่งครับ เรามีกันสามคนพี่น้อง แม้จะยากจนแต่ก็ได้เรียนหนังสือทุกคน พี่ชายจบวิศวจุฬาฯสมัยโน้นนะครับ ซึ่งเท่มาก น้องสาวมาเรียนที่เตรียมอุดมแล้วจบปริญญาโทเภสัชที่มหิดล คือคุณพ่อเป็นชาวนายากจนประเภทที่ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเรียกว่าเป็นคนมีวิชั่น คือเห็นภาพอนาคตที่ยังมองไม่เห็น มองไม่เห็นจริงๆนะครับ เพราะสมัยโน้นทางเหนือจากจังหวัดลำปางขึ้นไปทางเชียงรายไม่มีทีวี.ดู และคนในหมู่บ้านก็ไม่เคยออกจากบ้านไปไหนไกล เรื่องจะได้เห็นกรุงเทพฯนั้นลืมไปได้เลย การที่ชาวนาคนหนึ่งจะแหกประเพณีของหมู่บ้านส่งลูกไปอยู่วัดกับท่านพระครูที่อำเภอเพื่อให้ได้เรียนหนังสือนั้นต้องถือว่านั่นเป็นคำนิยามของคำว่าการมีวิสัยทัศน์ทีเดียว
แต่ว่าเครดิตอีกส่วนหนึ่งต้องยกให้การบังคับบัญชาของอาจารย์พระและท่านพระครูเจ้าอาวาสวัดที่ในอำเภอ เพราะผมไปอาศัยวัดเพื่อเรียนหนังสือในอำเภอตั้งหลายปี และก็เรียนรู้ระเบียบวินัยและการทำงานหนักที่นั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก
ส่วนที่ว่าพ่อแม่เลี้ยงดีหรือไม่ ถ้าเทียบกับที่ผมเองเลี้ยงลูกบังเกิดเกล้ายี่สิบกว่าปีหลังที่ผ่านมานี้นี้ก็เรียกว่าเป็นคนละสไตล์เลยละ คือสมัยผมเด็กๆ ครอบครัวของเรายากจน ทุกคนต้องทำงาน พี่ชายหัวดีคำนวณเก่งก็ต้องช่วยพ่อชั่งข้าว บันทึกน้ำหนัก คำนวณราคาข้าวเปลือกที่พ่อรับมาจากเพื่อนชาวนาเพื่อไปส่งให้กับโรงสี น้องสาวมีนิสัยเป็นแม่ค้าก็ไปเร่ขายน้ำมะพร้าวใส่ถุงพลาสติกบ้าง ขนมบ้าง ตัวผมเองไม่ถนัดค้าขายแต่ถนัดไปทางเกษตรกรรมก็เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด ปลูกเห็ด และคิดสร้างสรรค์อะไรใหม่แผลงๆเรื่อยไป ผลปรากฏว่าพี่ชายกับน้องสาวเป็นตัวทำเงิน แต่ผมเป็นตัวผลาญเงิน

ทำไมถึงว่าเป็นตัวผลาญเงินละคะ

ก็ผมมีนิสัยทำอะไรเดิมๆนานไม่ได้ มันต้องสร้างนวัตกรรมใหม่ๆชีวิตถึงจะมัน อันนี้จะว่าผมเองก็ไม่ได้ มันเป็นกรรมพันธุ์ คือคุณพ่อเป็นตัวอย่าง ท่านเบื่อทำนาก็มาตัดผม เบื่อตัดผมก็ปั้นกระเบื้องมุงหลังคาขาย นี่ถ้าท่านยังอยู่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทยอาจลำบากก็ได้ (พูดเล่นนะครับ) เบื่อปั้นกระเบื้องก็มาขายข้าวเปลือก เบื่อขายข้าวก็มาขายของชำ เบื่อขายของชำก็มาทำร้านขายหนังสือ ผมก็เลยได้เชื้อมา อย่างช่วงเรียนม.ศ. 2 ซึ่งก็เทียบได้กับม. 2 สมัยนี้ ผมเลี้ยงไก่พื้นเมืองอยู่ดีๆ แข่งกับพี่ชายซึ่งเลี้ยงหมู ซึ่งต่างคนต่างก็ทำกำไรได้พอควร แต่ความที่ผมอ่านหนังสือแยะ ทั้งหนังสือในร้าน และหนังสือเก่าที่ซื้อมาห่อของชำขาย มันก็เลยร้อนวิชา พอทราบข่าวว่าฟาร์มยุทธนา (ซึ่งต่อมากลายมาเป็นบริษัทซีพี.) ได้ซื้อลูกไก่แบบไฮบรีดจากเมืองนอกมาเพาะขาย ผมก็หาซื้อมาเลี้ยงทันที แต่สมัยโน้นยังไม่มีโนว์ฮาว คือไม่มีใครรู้ว่าไก่พวกนี้เมื่อเลี้ยงพอเป็นหนุ่มแล้วต้องรีบขายเอาเนื้อ จะเลี้ยงให้ออกลูกหลานไม่ได้ ตอนเลี้ยงตอนแรกมันก็โตเอาๆและเป็นสีเดียวกันคือขาวโพลนหมดทั้งเล้า ผู้คนแตกตื่นมาดูกันทั้งหมู่บ้าน แต่พอมันโตพ้นวัยหนุ่มสาวแล้วมันก็ทยอยตายกันทีละตัวสองตัว หาสาเหตุไม่ได้ ถามพวกเกษตรก็ไม่มีใครรู้เรื่อง ผมเองลงมือผ่าศพไก่เพื่อหาสาเหตุ เห็นตับมันใหญ่คับตัวผิดปกติมาก จึงไปหาอ่านจากหนังสือ สมัยนั้นยังไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีคอมพิวเตอร์ ได้ความว่ามันเป็นโรคตับใหญ่ซึ่งเกิดจากไวรัส แต่หนังสือสมัยนั้นคนเขียนก็คงยังไม่รู้จริงเท่าไรนัก เพราะแนะนำให้รักษาโรคตับใหญ่ด้วยยาเตตร้าไซคลิน ผมก็ทำตาม โดยไม่รู้ว่ามันเป็นยาฆ่าบักเตรี จะไปรักษาโรคที่เกิดจากไวรัสอย่างโรคตับใหญ่ได้อย่างไร

แล้วที่ว่าอาจารย์เลี้ยงลูกเองคนละสไตล์นี่มันเป็นไงคะ

ก็คือมีลูกคนเดียว แล้วภรรยาผมเขาก็ทำจ๊อบหลักคือเป็นผู้จัดการบุตร ส่วนจ๊อบหมอเด็กนั้นเป็นอาชีพรอง ตื่นเช้ามาครูไวโอลินมาก่อน ควักกันออกมาจากที่นอนสีไวโอลินอี๋ออ..อี๋ออ.. พอสายครูฝรั่งมาเรียนอังกฤษฟุตฟิตฟอไฟ แล้วก็ครูเปียโน แล้วก็ครูคณิตศาสตร์ แล้วก็ครูเท็นนิส ฯลฯ ผมละเห็นใจคุณพอผู้บุตรจริงๆ คือเขาชื่อ “พอ” นะครับ ถ้าผมถูกเลี้ยงแบบเขา สมองผมคงจะตายด้านคิดอะไรเองไม่ออกไปนานแล้ว เพราะครูแยะเกินไป.. ครูช่วยคิดให้หมด

ทำไมตั้งชื่อลูกว่า “พอ” ละคะ

ผมเป็นคนตั้งเองนะครับ คือตอนแรกฝันอยากมีลูกสาว จะทำให้เป็นหญิงมั่นที่เก่งกาจ ตั้งชื่อไว้ล่วงหน้าว่า “ดวงตะวัน” หวังว่าเธอจะเป็นดรุณีที่เจิดจรัสเหมือนดวงอาทิตย์ แต่พอโผล่ออกมาเป็นคุณพอก็เลยตั้งหลักไม่ทัน เลยคิดว่า..เอาชื่อที่เป็นเครื่องเตือนสติตัวผมเองก็แล้วกัน คือ “พอ” นี่หมายความว่าชีวิตนี้อย่าไปอยากได้อะไรมากเกินไป เดี๋ยวก็จะตายแล้ว จะไม่ทันใช้ชีวิตอย่างใจฝันก็ตายเสียก่อนเพราะมัวไล่ตามความอยาก เพราะว่าความอยากนี้มันมีเอกลักษณะตรงที่พอเราสนองมันแล้ว มันกลับอยากมากขึ้น ถ้าวิ่งตามมัน ก็ไม่รู้จะไปสิ้นสุดที่ไหนจนตายเสียก่อน ทางเดียวที่จะสู้กับพิษภัยของความอยากได้ก็คือ การตั้งชื่อลูกชายว่า “พอ” ไว้เตือนสติตัวเองนี่ไงครับ

เล่าเรื่องความรักที่นำมาสู่การแต่งงานให้ฟังหน่อยสิ

แหม ของผมมันไม่โรแมนติกประเภทรักแรกพบแบบในหนังนะครับ คือเราเป็นคลาสเมทกัน เรียนแพทย์ด้วยกันมา รู้จักกันมานาน จบมาแล้วก็แต่งงานกัน เรื่องมันก็มีอยู่แค่นั้น
ผมเองนั้นชอบเขาเพราะเขาสนใจและเห็นคุณค่าในสิ่งที่ผมทำ คือตอนเรียนหนังสือผมเองไม่มีเงิน ก็ต้องอาศัยทำงานให้มหาวิทยาลัยเป็นค่าเทอม ทำงานสนามปลูกต้นไม้บ้าง และก็ไปทำงานหลักอยู่ที่โรงเลี้ยงหนู หมายถึงโรงเลี้ยงสัตว์ทดลองของคณะวิทยาศาสตร์นะครับ ผมกินนอนกับสิงห์สาราสัตว์ในโรงเลี้ยงนั่นแหละ ผมนี่เชี่ยวชาญเรื่องหนูนะครับ รู้ดีว่าชนิดไหนจะออกลูกเมื่อไร มีนิสัยอย่างไร เวลาแฟนผมแวะมาเยี่ยมผมก็จะเลือกเอาหนูที่หน้าตาน่ารักและนิสัยดีอย่างเช่นหนูแฮมสเตอร์มาให้เธอดู ถ้าวันไหนเห็นเธอเหนื่อยและท้อแท้มา ผมก็จะเอาหนูกินีพิกซึ่งหน้าตาตลกตัวอ้วนตะลุกปุ๊กและมีนิสัยจุ๊กจิ๊กอยู่ไม่สุขมาให้ดูแทน คือพูดง่ายๆว่าการจีบผู้หญิงนี่เทคนิคมันก็ต้องเปลี่ยนไปตามภาวะวิสัยแหละครับ

ในชีวิตเคยทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเสียใจมากๆบ้างไหม

ถ้าถามว่าเคยเสียใจมากๆไหมก็มีนะครับ คือตอนที่คุณพ่อตาย ตอนนั้นผมเพิ่งอายุสิบเจ็ดเอง เสียใจมาก..ก...ก ตอนนั้นมันยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของชีวิตด้วย และเหตุการณ์นั้นก็เปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตของผมไปมากทีเดียว
ส่วนที่ว่าตัวเองเคยทำอะไรให้ตัวเองเสียใจมากๆไหม คิดๆดูแล้วมันก็ไม่มีที่ถึงกับเสียใจนะครับ แต่มันก็มีบ้างที่ทำไปแล้วรู้สึกว่ามันไม่น่าทำ คือมันเป็นความรู้สึกเขินอยากจะเตะตัวเองมากกว่า และมันก็จำอยู่ในใจ ไม่ยอมหนีไปไหน มีเหมือนกัน แต่มันเป็นเรื่องเล็กๆไม่คุ้มที่จะพูดถึงหรอกครับ

แล้วสิ่งที่ทำมาแล้วรู้สึกพอใจหรือภูมิใจมากละคะ

ก็พอมีบ้าง

สิ่งแรกก็คือที่ได้ไปอยู่ปากพนังและสร้างโรงพยาบาลปากพนังขึ้นมาจากความช่วยเหลือของชุมชน คือตอนหนุ่มๆผมไปเป็นหมออยู่ที่ปากพนัง ที่นครศรีธรรมราช เป็นอำเภอใหญ่ มีประชากรแสนกว่าคน แต่ตัดขาดจากภายนอกด้วยแม่น้ำ ต้องนั่งแพยนต์ไป ก็ไปทำงานในสุขศาลาเรือนไม้ สร้างไว้ตั้งแต่สมัย ร.เจ็ดแล้ว เป็นบรรยากาศที่โรแมนติกมาก หมอหนุ่มสาวสองคนในชนบทอันกว้างใหญ่ ผมปั่นจักรยาน หมอสมวงศ์ซ้อนท้าย ผมได้คบหากับคนในชุมชน ชักชวนเศรษฐีมีเงิน จนได้เงินมาล้านหกแสนบาทซึ่งก็เป็นเงินมากเหลือเกินที่จะระดมได้จากอำเภอหนึ่งเมื่อสมัยสามสิบปีมาแล้ว อีกด้านหนึ่งผมก็วิ่งเต้นเข้าหาเจ้าเข้าหานาย ตั้งแต่ปลัดกระทรวง สส. ไปถึงรัฐมนตรี เพื่อเจียดเอางบเศษเหลือที่พอจะรวบรวมได้ เมื่อเอามารวมกันกับเงินบริจาคก็มากพอที่จะสร้างโรงพยาบาลสำหรับชุมชนขนาด 30 เตียงขึ้นมาได้สำเร็จ ที่จำได้นี่ไม่ใช่เรื่องการสร้างโรงพยาบาล แต่เป็นการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างชุมชนกับโรงพยาบาลโดยมีผมเป็นตัวเชื่อม

เรื่องที่สองก็คือตอนที่ผมไปทำงานเป็นหมออยู่ที่เมืองนอก ตำแหน่งของผมเขาเรียกว่าเป็นซีเนียร์ รีจีสตราร์ หมายถึงเป็นหัวหน้าขี้ข้าที่ไม่มีวันจะได้เป็นนาย หรือตำแหน่ง “ขุนทาส” ทำนองนั้น ที่นั่นเขาจะมีรางวัลสูงสุดสำหรับคนระดับนี้ เรียกว่ารีจีสตราร์ อะวอร์ด ซึ่งไม่มีกะเหรี่ยงคนไหนเคยได้ เรียกว่าเป็นรางวัลสำหรับคนขาวโดยเฉพาะ แต่ปีนั้นทีมแพทย์อาวุโสของโรงพยาบาลลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ผมได้รางวัลนี้ เรียกว่าลงมติแหกประเพณีให้เลยทีเดียว แม้ว่าในที่สุดบอร์ดบริหารจะระงับว่ารางวัลนี้ตามระเบียบต้องเป็นซิติเซนเท่านั้นจึงจะได้ และผมก็อดไปตามระเบียบในนาทีสุดท้าย แต่ก็แอบภูมิใจที่สต๊าฟที่เป็นคนขาวแท้ๆทั้งหมดลงมติให้ผมเป็นเอกฉันท์

เรื่องที่สามก็ตอนกลับมาทำงานเมืองไทยแล้ว โดยบังเอิญผมมีปัญหาเมื่อผู้ป่วยของผมเองเกิดหัวใจหยุดเต้น แล้วต้องปฏิบัติการช่วยชีวิต ก็ได้พบว่าระบบปฏิบัติการช่วยชีวิตของบ้านเรามันไม่เป็นระบบเดียวกันทั้งประเทศ คนจบมาคนละแห่งพอมาเข้าทีมเดียวกันก็ไม่เข้าขากัน ผมจึงตั้งใจว่าจะต้องผลักดันให้มีมาตรฐานเรื่องนี้ขึ้นในเมืองไทยให้ได้ โดยเข้าไปทำงานเป็นกรรมการสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ผลักดันให้มีการตั้งกรรมการร่วมระหว่างสมาคมกับกระทรวงสาธารณสุข และร่วมมือกับสมาคมหัวใจอเมริกัน ตัวผมเองเดินทางไปๆ มาๆ ดัลลัสกรุงเทพหลายครั้ง ทำอยู่หลายปี จนการจัดทำมาตรฐานการช่วยชีวิตและระบบฝึกอบรมที่เหมือนกันทั้งประเทศเกิดขึ้นได้สำเร็จ มีตำราคู่มือมาตรฐานที่ผมเองเป็นบรรณาธิการ ซึ่งพิมพ์ออกใช้แล้วหลายครั้ง งานนี้เป็นผลจากความร่วมแรงร่วมใจของแพทย์โรคหัวใจและวิสัญญีแพทย์ทั้งประเทศจำนวนมาก และเป็นงานที่เป็นความทรงจำที่ดีงานหนึ่ง

เรื่องที่สี่ก็คือการแหกคอกจากราชการออกมาสร้างระบบผ่าตัดหัวใจเพื่อรักษาคนจนผ่านระบบประกันสังคมและสามสิบบาทในภาคเอกชน คือเมื่อสิบกว่าปีก่อน การผ่าตัดหัวใจให้คนจนทำได้แต่ในรพ.ของรัฐ เพราะในภาคเอกชนมีต้นทุนสูงถึงสามแสนบาท ขณะที่ประกันสังคมจ่ายแสนเดียว แต่ว่าภาคราชการรอย่างเดียวมันทำไม่ทัน มีคนไข้เข้าคิวรอผ่าตัดนานกว่าจะได้ผ่าก็ปีกว่าสองปี บ้างก็ถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ที่ต้องล้มหายตายจากไปก่อนก็มาก ผมพยายามแก้ปัญหานี้โดยหาทางจัดตั้งระบบที่เรียกว่า “องค์การมหาชน” ขึ้นมาเพื่อให้มีเงินมาจูงใจให้หมอทำงานนอกเวลาจะได้ผ่าตัดได้มากขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะเพื่อนร่วมอาชีพส่วนหนึ่งไม่เข้าใจ อีกส่วนหนึ่งไม่เชื่อว่าจะสามารถลดต้นทุนลงไปจนเหลือรายละหนึ่งแสนบาทได้ บ้างก็เชื่อว่าคิวรอผ่าตัดเนี่ย จนตายก็ทำไม่หมด อย่าไปพยายามเลย ผมจึงตัดสินใจออกจากราชการมาจัดตั้งระบบนี้ในภาคเอกชน ตอนแรกมาตั้งทำที่พญาไท โดยร่วมมือกับฮาร์วาร์ดเรียกว่าศูนย์หัวใจพญาไท-ฮาร์วาร์ด เริ่มตั้งแต่สนามหลวงคือสร้างคนและพัฒนาวิธีทำให้มีต้นทุนต่ำ โดยเรียนรู้จากเพื่อนที่ผ่าตัดหัวใจอยู่ที่อินเดีย เพราะที่นั่นหมอเขาเย็บต่อบายพาสหลอดเลือดหัวใจสามเส้นด้วยไหมเย็บเส้นเดียว ทำที่พญาไทอยู่หลายปีจนพญาไทหมดสัญญากับฮาร์วาผมก็ย้ายไปตั้งทำต่อที่เกษมราษฎร์ประชาชื่น เดี๋ยวนี้เกษมราษฎร์ประชาชื่นทำผ่าตัดหัวใจให้คนจนปีละ 700 ราย เป็นศูนย์หัวใจรักษาคนจนที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศ ตอนนี้คิวรอผ่าตัดหัวใจทั่วประเทศไทยก็หมดแล้ว เพราะหลายสถาบันเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะทำ จึงได้จัดระบบผ่าตัดนอกเวลาขึ้นมาบ้าง เมื่อทุกคนระดมผ่า คิวที่ยาวเหยียดก็หมดไป

ช่วยสรุปว่าเรียนจบอะไรมาจากที่ไหนให้ฟังบ้างสิคะ

สิ่งที่น่าเบื่อสำหรับคนทั่วไปอย่างหนึ่งก็คือการฟังหมอพูดถึงเรื่องที่เขาเรียนรู้มา เพราะหมอนั้นกว่าจะเรียนจบฝึกจบก็อายุสี่สิบเข้าไปแล้ว พอถูกถามว่าเรียนอะไรมาบ้างก็จะปากแข็งคอแข็งจาระไนว่าข้านี้เรียนมามากเหลือเกิน พูดไปได้ไม่ถึงครึ่งคนฟังหลับเสียแล้ว เพราะมันแยะเกินไป ผมเล่าสั้นๆในเวอร์ชั่นที่มันไม่น่าเบื่อมากก็แล้วกันนะ

ผมเรียนหนังสือแค่มศ.3 หรือม. 3 ปัจจุบัน แล้วมาสอบเทียบเอา ไม่ได้เรียนจนจบมัธยมปลายอย่างคนอื่นเขา ตอนจบมศ.3 ก็วางแผนตามความชอบไว้ 3 แบบว่า

แบบที่หนึ่ง คือจะไปสอบเข้าเตรียมทหาร เพราะมีครูคนหนึ่งเป็นทหารแล้วสอนลูกเสือที่โรงเรียน ทำให้ผมเกิดชอบชีวิตที่มีระเบียบวินัย เข้าแถว เป่านกหวีด ปิ๊ด ปี้ ปิ๊ด เป็นอันมาก

แบบที่สองคือจะไปเรียนสายอาชีวะที่เพาะช่าง เพราะผมชอบวาดรูป ตอนเป็นเด็กวัดที่หน้าวัดเป็นที่ตั้งของแกลลอรี่ของครูจำรัส พรหมมินทร์ นักวาดรูปรับจ้างบ้านนอกแต่ฝีมือดี เมื่อว่างจากงานวัดผมก็อยู่ในนั้นแหละ ช่วยครูผสมสี ล้างกระป๋อง ไปตามเรื่อง ตัวผมเองก็วาดรูปสีน้ำมันบนผ้าใบผืนเบ้อเร่อได้แล้ว ยังติดอยู่ที่ฝาบ้านที่พะเยามาจนถึงทุกวันนี้รูปหนึ่งเลย จึงคิดว่าชีวิตนี้ถ้าเอาดีทางวาดรูปแบบครูจำรัสก็จะมีความสุขดี

แบบที่สามก็คือจะไปเรียนเกษตรที่แม่โจ้ เพราะผมชอบเกษตรอยู่แล้ว แค่เป็นนักเรียนมัธยมผมก็ทำเกษตรและวิจัยอะไรใหม่ๆสำหรับสมัยนั้นไปแล้วตั้งหลายเรื่อง

วางแผนไว้สามอย่าง แต่เพื่อนที่จะไปสอบเข้าแม่โจ้มาถึงก่อน และมาชวนไปสอบด้วยกัน ผมก็จึงไปสอบเข้าแม่โจ้ก่อน การสอบสมัยนั้นคือคุณต้องวิ่งจากสถานีรถไฟเชียงใหม่ไปแม่โจ้ซึ่งเป็นระยะทาง 18 กม. หากรอดชีวิตไปถึงแม่โจ้ได้ในเวลาไม่เกินสองชั่วโมงจึงจะได้เข้าสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ ผมสอบได้ ก็เลยเข้าเรียนที่แม่โจ้ ขุดดินฟันหญ้าอยู่สามปี ก็อยากมีความรู้เรื่องการวิจัยทางการเกษตรมากขึ้น จึงตัดสินใจมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเกษตรที่บางเขน แล้วมาเรียนที่บางเขน

แล้วมาเป็นหมอได้อย่างไรคะเนี่ย

เรียนที่บางเขนได้ไม่กี่เดือน น้องสาวซึ่งเรียนชั้นม.4 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมก็ป่วย คือเธอป่วยจากความเครียดในชีวิตนะ พ่อก็เพิ่งตาย ตัวเองซึ่งมีอายุเพียงสิบสี่ปีต้องจากบ้านจากแม่มาเรียนหนังสือเมืองกรุงอย่างโดดเดี่ยว วันหนึ่งครูของเธอก็เรียกพี่ชายไปหา และบอกว่าน้องสาวเพี้ยนไปเสียแล้ว คือเธอสอบได้ที่สองแล้วฉีกกระดาษข้อสอบต่อหน้าครู แบบว่าเกิดมาฉันไม่เคยสอบได้ที่สองนะ ประมาณนั้น อาการป่วยของน้องมีแต่แย่ลง การรักษาของหมอตอนนั้นผมมองยังไงก็ไม่เข้าท่า จนถึงจุดหนึ่งผมก็ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยพาน้องกลับบ้านไปรักษากันเองแบบพี่รักษาน้อง ที่บ้านที่พะเยา และจุดนี้เองที่อยู่ๆผมก็อยากจะเป็นหมอขึ้นมาอย่างไม่มีปีไม่มีขลุ่ย เมื่อน้องหายและกลับมาเรียนได้แล้ว ผมก็สอบเข้ามหาลัยใหม่ โดยเลือกเรียนแพทย์ เขาสอบกันห้าวิชา คืออังกฤษ ชีวะ เคมี ฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ แต่ผมมีความรู้แค่สามวิชา เพราะไม่เคยเรียนม.ปลายมาจึงไม่มีความรู้ฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ซึ่งต้องใช้หลักตรีโกณในการคำนวณ แต่ผมก็สอบติดนะ ไปติดที่คณะแพทย์สงขลานครินทร์ เรียน วทบ. และจบแพทยศาสตร์บัญฑิต เป็นแพทย์บุกเบิกหรือรุ่นอัตคัตของที่นั่น ที่ว่ารุ่นอัตคัตคือเวลาจะเรียนวิชาสรีรวิทยา ซึ่งเป็นวิชาที่สอนถึงระบบต่างๆของร่างกาย ครูก็จะแบ่งนักศึกษาแพทย์ออกเป็นกลุ่มๆละ 6 คน แต่ละกลุ่มก็ให้คีมจับหมาหนึ่งคู่และกระสอบหนึ่งใบ พวกเราต้องไปไล่จับหมาจรจัดในตลาดหาดใหญ่เพื่อเอามาเรียนมาทดลองทางสรีรวิทยาเอาเอง ชาวบ้านที่รักหมาไม่เข้าใจเราก็ต่อว่าใจร้ายตั้งแต่เป็นนักเรียนแล้วจะเป็นหมอได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นหมาที่จับมาด้วยความยากลำบาก เมื่อเอาใส่กรงขังไว้ที่คณะวิทย์ กลางคืนมันร้องโหยหวนจนยามทนไม่ได้เลยปล่อยมันไป รุ่งขึ้นเรามารู้เข้าว่าไม่มีหมาจะเรียนก็แทบลมจับ ต้องตั้งหน่วยฉก.พร้อมคีมและกระสอบออกทำการฉุกเฉินกันเลยทีเดียว

แล้วมาเป็นหมอผ่าตัดหัวใจได้อย่างไรคะ

จบแพทย์ ไปทำงานใช้ทุนที่ปากพนัง ครบกำหนดแล้วก็มาฝึกอบรมเฉพาะทางจนได้วุฒิบัตรเป็นผู้เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์ทรวงอก แล้วก็ไปฝึกอบรมเฉพาะด้านการผ่าตัดหัวใจทรวงอกและหลอดเลือดที่กรีนเลน ประเทศนิวซีแลนด์ จนได้ Certificate of cardiovascular & thoracic surgery full registrar training มาเป็นหมอผ่าตัดหัวใจอยู่ที่รพ.ราชวิถี ทำผ่าตัดหัวใจบายพาสอยู่หลายปี แล้วก็ไปฝึกอบรมเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยที่เพรสบิไทเรียน ดัลลัส เท็กซัส อเมริกา หลังจากนั้นเมื่อมาทำงานกับฮาร์วาร์ด ก็ไปๆมาๆบอกสตันกรุงเทพ หลังจากนั้นก็ทั้งผ่าตัด ทั้งสอน และเดินทางบ่อยๆ หลายประเทศ สอนบ้าง บรรยายบ้าง สุดแล้วแต่เวลาและโอกาส

นอกจากจะเป็นหมอผ่าตัดหัวใจแล้ว ทราบว่าเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วย

ครับ เป็นผู้อำนวยการรพ.พญาไท 2 อยู่สองรอบ รวมแล้วก็เจ็ดปี เป็นผู้อำนวยการรพ.เกษมราษฎร์ประชาชื่นอีกสองปี คือมันเริ่มจากความพยายามที่จะแก้ปัญหาทางคลินิก ซึ่งบางส่วนมันต้องใช้กลไกการบริหารเข้าไปแก้ แก้ไปแก้มาก็เลยกลายเป็นผู้อำนวยการเองไปเสียเลย ใหม่ๆก็ผ่าตัดหัวใจไปด้วย ทำงานบริหารไปด้วย แต่งานบริหารมันทำแล้วจะพันตัวดิ้นไม่หลุด ในที่สุดก็แทบไม่ได้ผ่าตัดหัวใจเลย เอาแต่ทำงานบริหารอย่างเดียว

แล้วที่มาเขียนหนังสือ "5 วิธีสู่วิถีชีวิตไม่ป่วย" นี่ละคะ

คือพอทำงานผ่าตัดหัวใจไปมากกว่าสองพันรายแล้วมันเริ่มรู้สึกว่าเรากำลังทำอะไรที่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง ทำแล้วก็ต้องมาทำอีก เพราะการผ่าตัดหัวใจผ่านไปสิบปียี่สิบปีโรคมันจะดำเนินต่อไปจนหลอดเลือดตีบอีกแล้วก็ต้องมาผ่าใหม่ ทำให้เกิดคำถามว่าเราจะใช้เวลาที่เหลือในชีวิตมาทำสิ่งที่แก้ปัญหาไม่สะเด็ดน้ำอย่างนี้ไปจนตายหรือ ประกอบกับตัวเองก็เริ่มป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเสียเอง ถ้าไม่ทำอะไรลงไปสักอย่าง วันข้างหน้าก็ต้องไปนอนบนเขียงให้คนอื่นเขาผ่าตัดหัวใจของเราเองบ้าง จึงหันมารักษาตัวเองด้วยแนวทางส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค พอเห็นว่ามันดีก็มีใจอยากชักจูงคนอื่นให้ทำตามบ้าง อยากจะทำงานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ก็เลยตัดสินใจเลิกผ่าตัดหัวใจ เลิกเป็นผู้อำนวยการ ไปเรียนเวชศาสตร์ครอบครัวและสอบเป็นผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ครอบครัว คิดดู สอบเอาตอนอายุห้าสิบกว่านะครับ ถ้าไม่ชอบจริงก็คงไม่ทำ สอบได้แล้วก็เปลี่ยนมาทำงานด้านนี้อย่างจริงจัง ด้านหนึ่งก็เปิดคลินิกส่งเสริมสุขภาพ คือแก้ปัญหาสุขภาพให้คนไข้เป็นรายคน อีกด้านหนึ่งก็ให้ความรู้ด้านนี้แก่สาธารณชน ทั้งเขียนหนังสือ เขียนเว็บไซท์ชื่อ health.co.th และเขียนบล็อกชื่อ visitdrsant.blogspot.com ซึ่งก็มีคนเข้ามาอ่านแยะเหมือนกัน คือเดือนละประมาณ 3 หมื่นคน หนังสือนี้ก็มีคนอ่านพอสมควร พิมพ์ไปสองครั้งแล้ว โดยทางอมรินทร์พริ้นติ้งเป็นผู้พิมพ์ให้ คือพูดง่ายๆว่า การให้ความรู้หรือ health education เป็นเครื่องมือหลักของการส่งสริมสุขภาพและป้องกันโรค เมื่อตั้งใจจะเป็นหมอทางด้านส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแล้วก็ต้องยอมเหนื่อยให้ความรู้กับสาธารณชน ในทุกรูปแบบ หนังสือนี้ก็เป็นรูปแบบหนึ่ง

แล้วเรื่องเกษตรที่เรียนมาจากแม่โจ้ก็เลยทิ้งไปหมดเลย?

ไม่ทิ้งครับ แต่ว่ามันลดลงไปเป็นงานอดิเรก คือทุกวันหยุดผมก็ยังไปทำไร่ที่สระบุรี ผมปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ ไร่ของผมเนี่ย ได้รับการรับรองว่าเป็นเกษตรอินทรีย์ของแท้จากองค์การ IFOAM ซึ่งเป็นสถาบันรับรองเกษตรอินทรีย์นานาชาติด้วยนะ ทำเป็นเล่นไป เพียงแต่ว่ามันเป็นแค่ทำเล่นๆ ทำจริงไม่ได้ เพราะต้องเอาเวลาไปทำเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่า

ทราบว่าเป็นประธานมูลนิธิด้วย

ครับ คือผมเป็นประธานมูลนิธิสอนช่วยชีวิต นั่นอันหนึ่ง และเป็นกรรมการมูลนิธิช่วยผ่าตัดหัวใจเด็ก นั่นอีกอันหนึ่ง และเป็นกรรมการที่ปรึกษามาตรฐานการช่วยชีวิตของสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย นั่นก็อีกงานหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นงานจิตอาสา คือทำฟรี เพื่อให้ตัวเรามีความสุขว่าได้ทำสิ่งดีๆ และคนอื่นมีความสุขจากผลที่เราทำนั้น

ฟังดูแล้วผ่านชีวิตมามากเหลือเกิน ชีวิตที่เหลืออยู่อยากทำอะไรบ้างคะ

ผมก็เหมือนคนอื่นอีกหลายคนที่มีความโลภอยากทำอะไรหลาย.ย..ย อย่างเยอะแยะมากมาย ในด้านส่วนตัวก็อยากมีเวลาทำอะไรที่เคยคิดอยากทำตั้งแต่เด็กแต่ไม่มีโอกาสได้ทำ เช่น อยากปลูกดอกไม้ทำสวนดอกไม้ที่สวยชนิดที่คนมาเดินชมแล้วเก็บไปฝันถึงได้อีกนาน อยากวาดภาพสีน้ำมันบนผ้าใบ อยากนั่งลงเล่นเปียโนให้เป็นล่ำเป็นสันเสียที และอยากเรียนภาษาใหม่อีกสักหนึ่งภาษา เช่นภาษาญี่ปุ่นเป็นต้น

ในเรื่องงานก็อยากสร้างสรรค์อะไรที่แตกต่าง แบบที่ฝรั่งเขาเรียกว่า make a difference โดยเฉพาะอย่างยิ่งอะไรที่มีคุณค่าแก่สังคมหรือแก่โลก หรือแก่ผู้อื่น หรือแก่อะไรก็ได้ที่ไกลออกไปจากตัวเอง เพราะผมเดินทางในชีวิตมาไกลพอที่จะสรุปได้ว่าอะไรที่มุ่งเอาแต่เพื่อตัวเองนั้น มันให้ความสุขทางใจได้น้อยกว่าอะไรที่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง

คำว่า Make a difference นี่หมายความว่าอย่างไรคะ

หมายความว่าการประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างที่เป็นครั้งสำคัญ อะไรที่ถ้าไม่มีเราอยู่ตรงนั้นแล้วมันจะไม่เกิดขึ้น แน่นอนว่ารายละเอียดมันย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาและสถานการณ์ ตัวอย่างเช่นสมัยที่ผมยังเป็นหมอผ่าตัดหัวใจอยู่ในราชการ ผมมุ่งที่จะสร้างระบบที่จะทำให้ผู้ป่วยหลายพันคนที่รอผ่าตัดหัวใจอยู่คนละ 1 – 2 ปีทั่วประเทศได้รับการผ่าตัดหัวใจโดยไม่ต้องรอคิว ถ้าทำได้จริง มันก็จะเป็นความแตกต่างที่ชัดเจน ก่อนเรามาสู่อาชีพนี้ คนต้องทนทุกข์และตายไปกับการรอผ่าตัดหัวใจเป็นพันๆคน แต่เรามาแล้วสิ่งนี้ถูกแก้ไขไปได้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการสร้างความแตกต่าง อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างแนวคิดนะครับ

มาถึงวันนี้ ในประเด็น make a difference นี้ผมยังมีความโลภหรือมีกิเลสอยากทำอยู่อีกสองอย่าง

หนึ่งก็คือการทำให้ทิศทางการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคเป็นทิศทางหลักของเรื่องสุขภาพของผู้คน หมายความว่าทำให้ผู้คนหันมาทำตัวเองให้มีสุขภาพดี ด้วยการลงมือปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย โภชนาการ การพักผ่อนและจัดการความเครียด ตัวผมเองทำตัวเองให้ได้ก่อน แล้วก็ชักชวนคนอื่นทำตาม ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มหันมาทำเรื่องนี้เต็มตัวแล้ว และชีวิตที่เหลืออยู่ผมก็คงมุ่งทำเรื่องนี้เป็นเรื่องหลัก

เรื่องที่สองคือสังคมไทยทุกวันนี้ ไม่มีโครงสร้างที่จะรับมือกับโรคเรื้อรังเช่นโรคหัวใจหลอดเลือด อัมพาตอัมพฤกษ์ เบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคไต โรคมะเร็งเป็นต้น คือระบบโรงพยาบาลของเราในปัจจุบันออกแบบมารับมือกับการดูแลปัญหาเฉียบพลัน เรียกว่าเป็นระบบ acute care การจัดการโรคเรื้อรังด้วยโครงสร้างที่ฝรั่งเรียกว่า chronic care นั้นเรายังไม่มี เมื่อเจาะลึกลงไปดูการจัดการโรคเรื้อรังในบ้านเราก็จะพบว่าพากันมุ่งใช้ยารักษาเป็นหลักซึ่งงานวิจัยระยะยาวก็บอกแล้วว่ามันไม่ได้ผล ขณะที่การนำมาตรการส่งเสริมสุขภาพมาแก้ปัญหาโรคเรื้อรังแบบที่เรียกว่า secondary prevention นั้นบ้านเรายังไม่ค่อยได้ทำกัน และเมื่อผู้ป่วยโรคเรื้อรังดำเนินมาถึงจุดหนึ่งเช่นสมมุติว่าเป็นอัมพาตนอนติดเตียง ระบบ acute care ในปัจจุบันนี้ก็มีต้นทุนสูงเกินไปในการดูแล มันจะต้องมีรูปแบบใหม่ในการดูแลเกิดขึ้นมารับตรงนี้ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะทำให้มันเกิดขึ้น

ความโลภอยากทำโน่นทำนี่มันก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบที่ว่าชีวิตของเราต้องดำเนินไปอย่างมีความสุขตามอัตภาพด้วย หมายความว่าหากเร่งอยากทำโน่นทำนี่มากเกินไปก็จะเป็นเหตุให้เครียดเสียเอง พูดง่ายๆว่าแนวทางก็คือจะทำไปเรื่อยๆ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น

เคยทำอะไรไม่สำเร็จบ้างไหม

เคยสิครับ เยอะแยะ ซึ่งก็ปลงไปหมดแล้ว เพราะผมเป็นคนปลงง่าย ก็โถ.. คุณจะเรียกร้องเอาอะไรจากชีวิตมากมายละครับ มีสุขภาพกายดี มีปัจจัยสี่บริโภค มีภรรยาน่ารัก มีลูกที่เรียนหนังสือจบและพ้นอกไปเป็นตัวของเขาเองได้แล้ว แค่นี้ก็ถือว่าได้มามากเกินพอแล้วไม่ใช่หรือครับ


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

…………………..
[อ่านต่อ...]