31 สิงหาคม 2566

หมอสันต์เพิ่มภาคผนวก ในจดหมายแผ่นเสียงตกร่อง

เรียนท่านนายกฯ และท่านรมต.สธ.

ความเป็นมา

ก่อนการเลือกตั้งผมเคยเขียนจดหมายฉบับแผ่นเสียงตกร่องล่วงหน้าถึงท่าน ถึงความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนทิศทางจากการเอาโรงพยาบาลเป็นฐานมุ่งไปที่การรักษาโรค มาเป็นเอาตัวประชาชนและบ้านของเขาเป็นฐานเพื่อมุ่งไปที่การเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อสร้างเสริมสุขภาพแทน โดยกำหนดเป็นนโยบายของรัฐอย่างตรงๆ โต้งๆ และอย่างเป็นวาระแห่งชาติ และโดยกำหนดเจตนาอันแรงกล้าว่าเราจะทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปที่ตรงนี้ จะใช้กลไกที่มีทั้งหมดเพื่อการนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งกลไกภาษี ความละเอียดแจ้งอยู่แล้วนั้น

จากวันนั้นถึงวันนี้มีข้อมูลบางอย่างเพิ่มขึ้นที่เป็นเหตุให้ผมขออนุญาตเขียน “ภาคผนวก” นี้แนบท้ายจดหมายแผ่นเสียงตกร่องเดิม กล่าวคือความจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ทำให้ต้องส่งเสริม health tourism ซึ่งมีอยู่สองซีกคือซีกการรักษาพยาบาล กับซีกที่เรียกรวมว่า health and wellness tourism อันหมายถึงการมาพักค้างในประเทศไทยสั้นบ้างยาวบ้างในรีสอร์ทและศูนย์สุขภาพ (health and wellness center) ต่างๆด้วยจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูสุขภาวะของตน จดหมายฉบับนี้ของผมมีเจตนาที่จะเสนอข้อมูลและทางเลือกในการจะจรรโลงให้ธุรกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพนี้มีผลดีต่อทั้งนักท่องเที่ยวและต่อนโยบายสาธารณสุขของชาติ

ข้อพิจารณา

ก่อนอื่นผมขอให้ข้อมูลเชิงกรณีศึกษา โดยยกตัวอย่างประเทศสหรัฐฯ เนื่องจากวงการแพทย์ไม่สามารถรักษาโรคเรื้อรังให้หายได้ ประชาชนส่วนหนึ่งได้หันไปพยายามเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อรักษาโรค ทำให้มีความต้องการ “ผู้ช่วย” ซึ่งเรียกง่ายว่า “โค้ชสุขภาพ” (health and wellness coach) จึงเหนี่ยวนำให้เกิดผู้ตั้งตนเป็นโค้ชสุขภาพเข้ามาประกอบอาชีพนี้จากหลายทิศหลายทาง งานวิจัยพบว่าโค้ชสุขภาพช่วยให้การเปลี่ยนนิสัยได้สำเร็จมากขึ้นจริง [1] ซึ่งสอดคล้องกับความนิยมของลูกค้าที่ต้องการโค้ชสุขภาพมากขึ้น นับถึงปี ค.ศ. 2021 การสำรวจเบื้องต้นพบว่ามีคนประกอบอาชีพนี้ทั้งประเทศราว 128,000 คน [2] กลายเป็นธุรกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและเปะปะ การขยายตัวเป็นไปอย่างเร็วมากในส่วน work place wellness initiatives ประเมินว่ามีวงเงิน 7000 ล้านเหรียญต่อปี เนื่องจากผู้ตั้งตัวเป็นโค้ชสุขภาพมีความแตกต่างหลากหลายและเข้ามาทำอาชีพนี้ได้อย่างอิสระเสรี ส่วนหนึ่งมาด้วยเจตนาแฝงที่จะยัดเยียดขายสินค้าของตน เช่นวิตามิน อาหารเสริม คอร์สเสริมความงาม อุปกรณ์กายบำบัด ฯลฯ ให้แก่ลูกค้า ทำให้การโค้ชก่อความเสียหายต่อลูกค้าจำนวนหนึ่งแม้ว่าจะเป็นจำนวนผู้เสียหายที่ไม่มากนัก ในปี ค.ศ. 2017 สถาบันฝึกสอนโค้ช 125 แห่งจึงได้รวมกันเป็น International Consortium for Health  and Wellness Coaching – ICHWC แล้วจัดหลักสูตรการผลิตโค้ชมาตรฐานขึ้นเรียกว่า National Board Certified Health and Wellness Coaching (NBC-HWC) ภายใต้การควบคุมของ Medical Specialty Board แต่ผ่านไปแล้ว 7 ปีก็ทำได้แค่ปรับโค้ชเก่าให้ได้มาตรฐานจนรับหนังสือรับรองระดับชาติได้เพียงประมาณ 8400 คนหรือประมาณ 6% เท่านั้น ยังไม่สามารถจัดการใดๆกับโค้ชอิสระอีกเป็นแสนคนซึ่งคงจะเติบโตอย่างขาดการควบคุมต่อไป

ข้อเสนอแนะ

การจะส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโดยเปิดให้เกิด Health and Wellness Centers ขึ้นตามเมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะต้องมี Health and Wellness Coaches เป็นคนทำงานหลักอยู่ในนั้น รัฐจำเป็นจะต้องกำหนดมาตรฐานคุณภาพของศูนย์สุขภาพและมาตรฐานวิชาชีพของตัวโค้ชสุขภาพขึ้นมารองรับก่อน เพื่อไม่ให้ใครก็ตามที่แม้จะขาดคุณสมบัติก็อ้างตัวเป็นโค้ชสุขภาพมาแสวงประโยชน์กับนักท่องเที่ยวได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเดิมกับที่เคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศสหรัฐฯ เพราะเกิดแล้วการจะตามแก้ไขนั้นเป็นเรื่องยาก

ขอแสดงความนับถือ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

  1. Gordon NF, Salmon RD, Wright BS, Faircloth GC, Reid KS, Gordon TL. Clinical Effectiveness of Lifestyle Health Coaching: Case Study of an Evidence-Based Program. Am J Lifestyle Med. 2016 Jul 7;11(2):153-166. doi: 10.1177/1559827615592351. PMID: 30202328; PMCID: PMC6125027.
  2. Suleta K. Health care coaches are the next big thing. They’re also completely unregulated. https://www.statnews.com/2023/05/09/health-care-coaches-regulation/
[อ่านต่อ...]

30 สิงหาคม 2566

ความดัน 152/96 ถ้าไม่กินยาแล้วจะมีอะไรในกอไผ่ไหม

(ภาพวันนี้ / เช้านี้ หน้าบ้าน)

เรียนคุณหมอสันต์

ผมเป็นวิศวกร อายุ 60 ปี ไปหาหมอทีไรวัดความดันได้ 152/96 ส่วนใหญ่จะวัดตัวบนได้เกิน 150 ไปนิดๆ แต่อยู่ที่บ้านจะวัดได้ราว 140 ผมไม่เคยมีอาการป่วยอะไร บุหรี่ผมก็ไม่สูบ แต่หมอก็จะยัดเยียดให้ผมทานยาลดความดันอยู่เรื่อย โดยให้ข้อมูลผมว่าถ้าผมไม่ทานยาลดความดันแล้วผมจะเป็นอัมพาต และเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ผมอยากทราบว่ามันจริงหรือครับ ถ้าจริงโอกาสที่ผมจะเป็นอย่างนั้นมันมีอยู่สักกี่เปอร์เซ็นต์ครับ และถ้าผมทานยา ผมจะลดความเสี่ยงนั้นลงได้กี่เปอร์เซ็นต์ ผมจะได้ตัดสินใจได้ว่าจะทานหรือจะไม่ทานยา

ขอบคุณคุณหมอที่ขยันให้ความรู้ที่มีประโยชน์มากครับ

……………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าคนไม่มีอาการป่วยอะไรแต่ความดันสูงเกิน 140/90 แต่ไม่เกิน160/100 อย่างคุณนี้ซึ่งทางแพทย์เขาเรียกว่าคนเป็นความดันเลือดสูงระดับเบาชนิดไม่มีอาการ (asymptomatic mild hypertension) ถ้าไม่กินยาลดความดัน แล้วจะเป็นอัมพาตหรือกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันอย่างที่หมอเขาว่าจริงไหม ตอบว่าไม่จริงครับ หากมองไปข้างหน้า 5 ปี

นี่ผมตอบตามงานวิจัยแบบเมตาอานาไลซีสของหอสมุดโค้กเรนซึ่งเอาข้อมูลงานวิจัยระดับสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบสี่งาน ที่แบ่งผู้ป่วยความดันเลือดสูงระดับไม่เกิน 160/100 จำนวน 8913 คนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กินยาลดความดันของจริงเพื่อให้ความดันลงมาต่ำกว่า 140/90 อีกกลุ่มหนึ่งให้กินยาหลอกโดยไม่สนว่าความดันจะเพิ่มหรือจะลดเป็นเท่าไหร่ แล้วติดตามดูผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มนี้ไป 5 ปี แล้วได้พบว่า

-อัตราตายรวม (total mortality) ไม่ต่างกัน (RR 0.85, 95% CI 0.63, 1.15).
-อัตราเป็นโรคหัวใจ (coronary heart disease) ไม่ต่างกัน (RR 1.12, 95% CI 0.80, 1.57)
-อัตราเป็นอัมพาต (stroke) ไม่ต่างกัน (RR 0.51, 95% CI 0.24, 1.08)
-อัตรเกิดเรื่องป่วยเกี่ยวกับหัวใจ (total cardiovascular events) ไม่ต่างกัน (RR 0.97, 95% CI 0.72, 1.32).

การรักษาผู้ป่วยความดันเลือดสูงที่วัดได้ต่ำกว่า 160/100 และที่ไม่มีอาการป่วยอะไรนี้ เรียกว่าเป็นการลดความดันเลือดเพื่อการป้องกันปฐมภูมิ (primary prevention) หมายความว่าให้ยาเพื่อป้องกันจุดจบที่เลวร้ายของโรคเรื้อรังแม้มันจะยังไม่เกิดขึ้น เป็นคอนเซ็พท์ที่วงการแพทย์ยึดถือปฏิบัติมาช้านาน ด้วยความเชื่อว่ามันจะป้องกันได้ แต่ความเป็นจริงที่ได้จากงานวิจัยนี้คือมันไม่มีประโยชน์เลยแม้จะให้ยาไปนานถึง 5 ปี

พ้นจาก 5 ปีไปแล้วจะมีประโยชน์ไหม อันนี้ยังไม่มีใครตอบได้ เพราะการจะตอบคำถามนี้ต้องระดมอาสาสมัครมากินยาซึ่งรู้อยู่แล้วว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลยใน 5 ปีแรก โดยให้เขาสัญญาว่าจะกินยานี้ไปนานถึง 10 ปี คงจะระดมได้ไม่ง่ายนัก ดังนั้นท่านอย่างเพิ่งไปอยากรู้ข้อมูลว่าหากให้ยาไปนานเกิน 5 ปีแล้วจะเป็นอย่างไรเลย เพราะข้อมูลนั้นอาจจะไม่มีเลยแม้ในอนาคต ให้ใช้ข้อมูล 5 ปีนี้ไปก่อน ซึ่งสรุปไดเแล้วว่าความดันต่ำกว่า 160/100 กินยาไม่กินยาก็แป๊ะเอี้ย แปลว่าไม่ต่างกัน

ขณะเดียวกันงานวิจัยนี้พบว่าผู้ป่วยที่กินยาจริงได้รับผลข้างเคียงหรือฤทธิ์อันไม่พึงประสงค์ของยามากกว่ากลุ่มที่กินยาหลอก 9% (ARR) แปลไทยเป็นไทยว่าขณะที่ยารักษาความดันสูงไม่ได้ป้องกันอัมพาตและหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วยความดันไม่เกิน 160/100 นั้น การกินยาจะได้รับพิษภัยจากยาประมาณ 9% ของผู้กินทั้งหมด

2. ถามว่า เออ.. ประโยชน์ก็ไม่ได้ แถมได้แต่โทษ แล้วทำไมหมอให้กินยาละ ตอบว่าผมไม่ทราบ เพราะผมไม่ได้เป็นคนให้ยา (หิ หิ ขอโทษ เปล่ากวน) ถ้าจะให้ผมเดา ผมเดาเอาว่าเพราะหมอเขาคงใช้ข้อมูลอีกชุดหนึ่งที่ทำวิจัยในคนที่มีอาการของโรคแล้ว เช่นเป็นอัมพาตหรือเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือดแล้ว คนไข้พวกโน้นจะได้ประโยชน์จากการลดความดันเลือดที่สูงเกิน 140/90 แต่ไม่เกิน 160/100 อุปมาเหมือนคนทำผิดขึ้นศาลสองศาล ศาลแรกพิพากษาว่าผิด อีกศาลพิพากษาว่าไม่ผิด เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับกัน หรือไม่ก็ตีความกฎหมายฉบับเดียวกันด้วยดุลพินิจที่ต่างกัน ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เรื่องของคนไข้ เป็นเรื่องของแพทย์เขาล้วนๆ คนไข้ก็ควรเอาแต่เรื่องของคนไข้ คือทราบข้อมูลครบถ้วนแล้วก็ตัดสินใจด้วยตัวเองซะ ว่าจะกินยาหรือไม่กินยา แค่ เนี้ยะ.. จบข่าว ไม่ต้องไปยุ่งกับส่วนที่ว่าทำไมแพทย์คนโน้นว่ายังงี้ทำไม่แพทย์คนนี้ว่ายังงั้น

3.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ ว่าความดัน 152/96 จะกินยาหรือไม่กินยานั้นผมไม่เกี่ยงเลย แต่จะไม่ทำอะไรเลยนั้นคงไม่ดี ผมแนะนำว่าอย่างน้อยคุณควรปฏิบัติตนไปในทิศทางที่จะทำให้ความดันเลือดลดลงใน 6 เรื่อง คือ

(1) ลดน้ำหนักถ้าอ้วน

(2) เปลี่ยนอาหารมากินอาหารที่มีพืชผักผลไม้มากๆ

(3) ลดการกินเกลือลง พูดง่ายๆว่าอย่ากินเค็ม

(4) ออกกำลังกาย

(5) ลดหรือเลิกแอลกอฮอล์

(6) จัดการความเครียดให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านอนไม่หลับก็ให้แก้ไขเสีย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Diao D, Wright JM, Cundiff DK, Gueyffier F. Pharmacotherapy for mild hypertension. Cochrane Database Syst Rev. 2012 Aug 15;2012(8):CD006742. doi: 10.1002/14651858.CD006742.pub2. PMID: 22895954; PMCID: PMC8985074.
[อ่านต่อ...]

26 สิงหาคม 2566

อย่าเข้าใจผิดว่าการออกกำลังกายมากทำให้ไตเสียหายหรือเป็นโรคไตเรื้อรัง

(ภาพวันนี้ / อะโวกาโด้ฝีมือหมอสันต์ กิ่งพันธ์ุดีที่เสียบตาไม่ออก มาออกที่กิ่งต้นตอ หมายความว่าไงเนี่ย)

เรียน คุณหมอสันต์ ที่นับถือ

ดิฉันเขียนมาด้วยเหตุเพราะมีความคิดขึ้นมาเฉยๆ ว่า “พักหลังนี้คุณหมอไม่ได้พูดถึงเรื่องออกกำลังกายของตัวคุณหมอเอง” “คุณหมอยังคงออกกำลังกายหนักจนร้องเพลงไม่เพราะอยู่หรือเปล่า” “ปล่อยให้ลูกศิษย์คนนี้ออกอยู่คนเดียวหรือเปล่า อาจารย์ไม่ออก”  ฯลฯ ที่มีความคิดเรื่องออกกำลังกายเพราะดิฉันกำลังสงสัยตัวเองว่าออกกำลังกายมากเกินกว่าสภาพร่างกายตามอายุของตัวเองหรือเปล่า (ปีนี้ 61 ปี สูง 160 นน. 48 กก. ) เพราะผลตรวจค่า Cr. กับค่า eGFR ลดลง เมื่อผ่านมาครบนัดก็ไปตรวจอีก พอได้ผลแล็บ คุณหมอไตถึงกับยิ้มกว้าง เรื่องคือคุณหมอไตได้บอกล่วงหน้าไว้แล้วเมื่อเดือนก่อนว่าก่อนมาตรวจครั้งนี้ให้งดออกกำลังกายไปเลย 7-10 วันเพื่อกำจัดปัจจัยกวน เราจะได้หาสาเหตุที่ทำให้ค่าไตมันรูดต่ำลงจนน่าตกใจ ผลตรวจเลือดไตค่าคราวนี้ (11 กค 2566) คือ Cr. = 0.89 eGFR = 70.669 มันเพิ่มจากเมื่อวันที่ 15 มิย 2566 อย่าง significant แยะมากค่ะ คือคราวก่อน Cr. = 1.02 eGFR = 59.930 และก่อนตรวจดิฉันก็ดื่มน้ำเยอะขึ้นด้วยค่ะไม่ปล่อยตัวแห้งเกิน ขอเรียนปรึกษาว่า ดิฉันออกกำลังกายมากเกินไปหรือเปล่า ดูจากผลเลือดคราวนี้มันชวนให้คิดว่าออกกำลังกายเกินตัวไปหรือเปล่า ออกหนักมากค่ะ cardio นี่ตื่นขึ้นมาตี 4 ต้องได้อย่างน้อย 50 นาที หัวใจตาม apple watch บอกไปที่ 140-150 เลยค่ะ cardio ตามช่องในยูทูปค่ะ หนักและเหนื่อยมาก บางครั้งก็ออกแบบ HITT ด้วยค่ะ และออก(แทบ)ทุกวันค่ะ จริงๆ ค่ะ แถมบางวันมีรอบ 2-3 ถ้าหากกินเผือกนึ่ง/มันนึ่งเยอะเกินไปก็ลุกมาออกอีก  เหนื่อยแต่สนุกและสบายตัวและนอนหลับสนิท ชอบมากค่ะ คอยดู apple watch ตลอดทั้งวันว่าวันนี้เดินไปกี่ก้าว ผลาญ calorie ไปถึงเป้าหรือยัง เป็นลูกศิษย์คุณหมอสันต์ที่ดีมากค่ะ ไม่ใช่แค่ออกเหนื่อยจนร้องเพลงไม่เพราะเท่านั้นค่ะ ออกจนหอบ จนหมดแรงแบบหมดสภาพเลยค่ะ เหงื่อแบบอาบน้ำตากฝนเลยค่ะ คิดว่าบางที่ตัวเองอาจจะเสพติดออกกำลังกายแล้วก็ได้ เพราะบางครั้งตั้งใจว่าวันนี้จะพัก แต่พอผ่านไป apple watch มันก็โชว์อยู่นั่นว่ายังไม่ได้ออกกำลังกาย ก็ต้องลุกขึ้นมาออกค่ะ 

เขียนมาเล่าค่ะอาจารย์ และเรียนถามข้อเดียวค่ะเรื่องออกกำลังกายว่าออกมากเกินไปจริงๆ หรือเปล่า มันจะอันตรายต่อไตไหมคะ มันจะทำให้ไตพังหรือเปล่าคะ  

ขอแสดงความนับถือ

……………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าการออกกำลังกายทำให้เป็นโรคไตเรื้อรังมากขึ้นหรือเปล่า ตอบว่าเปล่าครับ อย่าเข้าใจผิดตรงนี้เชียวตรงกันข้าม การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนเป็นโรคไตเรื้อรัง เป็นคำแนะนำมาตรฐาน (guidelines) มาทุกยุคสมัยว่าผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังต้องออกกำลังกาย และงานวิจัยการออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังทุกระยะพบว่าผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ออกกำลังกายจะตายน้อยกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย[1]

นอกจากจะไม่ทำให้เป็นโรคไตเรื้อรังแล้ว การออกกำลังกายยังทำให้โรคไตเรื้อรังดีขึ้นด้วย งานวิจัยแบบเมตาอานาไลซีสพบว่าการออกกำลังกายช่วยทำให้ตัวชี้วัดการทำงานของไต (eGFR) เพิ่มขึ้น 2.16 mL/min/1.73 m2 [2]

2.. ถามว่าการออกกำลังกายหนักๆจะมีผลทำให้ตัวชี้วัดการทำงานของไตลดลงเป็นการชั่วคราวได้ไหม ตอบว่าได้ครับ เพราะเมื่อออกกำลังกายหนัก โปรตีนในกล้ามเนื้อรวมทั้งครีอาตินินจะสลายตัวออกมาในเลือดจึงเพิ่มค่าครีอาตินินซึ่งเป็นตัวที่ใช้คำนวนค่า GFR ผลก็คือคำนวณได้ค่า GFR ลดลงซึ่งนำไปสู่การแปลผลว่าไตทำงานแย่ลง แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงออกกำลังกายหนักไปทุกอย่างก็กลับมาปกติ งานวิจัยก่อนและหลังการออกกำลังกาย [3] พบว่าการออกกำลังกายหนักทำให้ค่า GFR ในผู้ใหญ่ลดลง 12% หลังการสิ้นสุดการออกกำลังกายหนักใหม่ๆ อีกงานวิจัยหนึ่งพบว่ามีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะมากขึ้นหลังการออกกำลังกายหนัก [4]

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยในเรื่องนี้ทุกงานยืนยันตรงกันว่าการออกกำลังกายระดับหนัก (high intensity) แม้จะมีผลให้ตัวชี้วัดการทำงานของไตแย่ลงชั่วคราว แต่ไม่ได้ทำให้เกิดพยาธิสภาพที่เนื้อไต (nephropathy) แปลไทยให้เป็นไทยว่าแม้หลังการออกกำลังกายหนักผลตรวจการทำงานของไตจะแย่ลงชั่วคราวแต่ไม่ได้หมายความว่าไตจะพังหรือเป็นโรคไตเรื้อรัง

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้นับรวมภาวะขาดน้ำ (dehydration) ที่นำไปสู่ภาวะใกล้ช็อก (pre-shock) หรือภาวะช็อก ขณะออกกำลังกาย ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดพยาธิสภาพที่ไตได้ และทำให้เกิดไตพิการแบบเฉียบพลันได้ ดังนั้นหากรักจะออกกำลังกายถึงระดับหนักต้องดูแลตัวเองไม่ให้ร่างกายขาดน้ำขณะออกกำลังกาย

3.. ถามว่าหมอสันต์จะแนะนำให้ลดความหนักของการออกกำลังกายลงไหม ตอบว่าถ้าออกหนักได้ดีอยู่แล้วก็สาธุที่ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำไม่ได้ จงออกหนักต่อไปเถอะ เพราะการออกกำลังกายทุกระดับความหนักมีผลดีต่อร่างกายโดยรวมโดยไม่ได้มีผลเสียอะไรกับเนื้อไต เพียงแต่ขอให้ระวังการขาดน้ำไว้ให้จงดี

4.. ถามว่าทำไมระยะหลังหมอสันต์ไม่ค่อยพูดถึงการออกกำลังกาย หรือว่าตัวเองเลิกออกไปแล้ว ตอบว่ายังออกอยู่ในระดับที่คนแก่พึงออก คือออกแค่หนักพอควร ไม่เคยออกถึงหนักมาก..เพราะไม่มีปัญญา แต่ที่แน่ๆคือไม่ได้เลิก ในหนังสือ “คัมภีร์สุขภาพดี” ที่เพิ่งพิมพ์ไปหมาดๆนี้ มีรูปถ่ายผมใส่เสื้อกล้ามออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้ออยู่ในนั้นด้วย รูปพวกนั้นเพิ่งถ่ายไม่กี่เดือนนี่เอง เป็นหลักฐานว่าผมยังออกกำลังกายอยู่ แม้จะยอมรับอย่างอ้อมๆแอ้มๆว่าบางครั้งก็ห่าง บางครั้งก็ถี่ ระยะหลังนี้ห่างมากกว่าถี่ จดหมายของคุณเป็นเครื่องเตือนใจว่าผมควรจะถี่มากกว่าห่าง หิ..หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Beddhu S , Baird BC , Zitterkoph J et al. Physical activity and mortality in chronic kidney disease (NHANES III). Clin J Am Soc Nephrol 2009; 4: 1901– 1906
  2. Vanden Wyngaert K , Van Craenenbroeck AH , Van Biesen W et al. The effects of aerobic exercise on eGFR, blood pressure and VO2peak in patients with chronic kidney disease stages 3–4: a systematic review and meta-analysis. PLoS One 2018;13:e0203662
  3. Jacques R. Poortmans , Michel Ouchinsky, Glomerular Filtration Rate and Albumin Excretion After Maximal Exercise in Aging Sedentary and Active Men, The Journals of Gerontology: Series A, Volume 61, Issue 11, November 2006, Pages 1181–1185, https://doi.org/10.1093/gerona/61.11.1181
  4. Poortmans JR, Labilloy D. The influence of work intensity on postexercise proteinuria. Eur J Appl Physiol. 1988;57:260-263.
[อ่านต่อ...]

25 สิงหาคม 2566

ทาลาสซีเมียชนิดฮีโมโกลบินอี.กับมะเร็งม้าม

(ภาพวันนี้ / เบาบับ ปลูกเล่นๆเห็นผลจริงๆ ใครรู้วิธีกินผลเบาบับช่วยบอกหมอสันต์เอาบุญด้วย)

สวัสดีค่ะคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์

 หนูไปตรวจสุขภาพโดยไม่มีอาการอะไรมาก่อนเพียงแต่ไปตรวจด้วยเหตุผลที่ว่าหนูรู้สึกพุงโตมานานเป็น10ปีแล้ว  หนูเป็นคนตัวเล็กน้ำหนัก 43-45  สูง 156  แต่พุงโตเหมือนคนท้องมาตลอดจนกังวลเรื่องเนื้องอกต่างๆจึงไปตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนบนและล่าง ไม่เจอเนื้องอกใดๆ แต่เจอม้ามโต  ผลเลือดจาง (หนูมีรูปแนบมาด้วย) และตรวจหาสาเหตุต่อพบว่าเป็นธาลัสซีเมียชนิด  EE, homozygous Hb E with or without alpha thalassemnia 

สิ่งที่ทำให้หนูกังวลใจคือจากที่หนูหาข้อมูลและที่คุณหมอแจ้งในเบื้องต้นว่าโดยปกติแล้วธาลัสซีเมียชนิดนี้อาการไม่รุนแรงและม้ามจะไม่โต และในชีวิตที่ผ่านมาหนูก็ไม่เคยตรวจสุขภาพเลยค่ะ  ทำให้ไม่ทราบประวัติที่ผ่านมาว่าม้ามโตมาตั้งนานแล้วหรือว่าเพิ่งมาโต  หนูจึงกังวลเรื่องพวกโรงมะเร็งต่างๆ แต่จากผลเลือดประเภทเม็ดเลือดขาวและการตรวจก้อนที่คอก็ยังปกติ

จากที่เล่ามาคือหนูอยากขอความรู้และคำแนะนำว่าธาลัสซีเมียชนิดนี้มันสามารถเกิดม้ามโตขึ้นได้ไหมคะ โดยไม่จำเป็นว่าหนูจะเป็นโรคมะเร็ง  ตอนนี้หนูกำลังรอตรวจม้ามอีก6เดือนข้างหน้าว่ามันจะโตเพิ่มไหม หนูเครียดมากค่ะ

ขอบคุณพระคุณอย่างสูง

คุณหมอดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

…………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าเป็นโรคทาลาสซีเมียชนิด Homozygous HbE Disease มีม้ามโตได้ไหม ตอบว่าได้สิครับ ไม่มีกฎหมายฉบับไหนเขียนห้ามไว้เลยนะ หิ..หิ

ขอขยายความหน่อยเดี๋ยวคุณจะงอน คือโรคทาลาสซีเมียเป็นโรคที่มี spectrum กว้าง คือความผิดปกติของฮีโมโกลบินแบบเดียวกัน แต่มีอาการต่างกันได้มากๆ ไม่มีสูตรสำเร็จที่จะเอามาคาดการณ์อาการได้เป๊ะๆหรอกครับ

2.. ถามว่ากังวลใจว่าจะเป็นมะเร็งที่ม้ามมากเครียดมาก ตอบว่าอย่าไปกังวลเกินเหตุ เพราะ

2.1 คุณเองให้การว่าคุณอุ้มม้ามโตต่องแต่งนี้มาสิบปีแล้ว นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าคุณไม่ได้เป็นมะเร็ง ถ้าเป็นมันจะขยายขนาดหนึ่งเท่าตัวทุก 6-12 เดือน นี่ผ่านมาสิบปี ป่านนี้คุณไม่ท้องระเบิดไปแล้วเรอะ

2.2 ที่อิหร่าน ได้มีการวิจัยอุบัติการมะเร็งทุกชนิดในผู้ป่วยทาลาสซีเมียเบต้าแบบคุณนี้ เป็นการวิจัยครั้งใหญ่ พบว่าคนเป็นทาลาสซีเมียชนิดของคุณนี้มีโอกาสเป็นมะเร็งทุกชนิดนัมมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมะเร็งเม็ดเลือดด้วย รวมเท่ากับ 0.2% มีเลขศูนย์นำหน้าจุดทศนิยมด้วยนะ ซึ่งมันเป็นโอกาสที่น้อยมากเสียจนไม่ต้องเก็บมาคิดเลย

3.. ถามว่าจะคอยตรวจอุลตร้าซาวด์ดูม้ามทุกปีดีไหม ตอบว่ามันก็ดีกับหมอและโรงพยาบาลเขาตรงที่เขาจะมีรายได้จากการตรวจโน่นตรวจนี่เพิ่มขึ้น แต่สำหรับคุณ หลักฐานวิทยาศาสตร์นับถึงปัจจุบันมีอยู่ว่าการตรวจดังกล่าวมันจะไม่ลดอัตราตายจากโรคทาลาสซีเมียหรือภาวะแทรกซ้อนหรือโรคร่วมของโรคนี้ลงไปซักกะนิด พูดง่ายๆว่ามันไม่จำเป็น มันอาจช่วยรักษาโรคประสาทชนิดวิตกกังวลให้คุณได้ อาจจะเท่านั้นนะ เพราะในทางกลับกันมันก็อาจจะทำให้คุณเป็นโรคปสด. ประสาทแด๊กซ์ มากขึ้นก็ได้ สรุปว่า จะตรวจหรือไม่ตรวจเอาแบบที่คุณชอบก็แล้วกันนะครับ

4.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ คือ

4.1 คนเป็นโรคทาลาสซีเมียควรอยู่ห่างๆยาบำรุงเลือดหรือยาบำรุงทุกชนิดที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบรวมทั้งยาเม็ดวิตามินรวมที่มีเหล็กด้วย เพราะเหล็กเป็นโลหะที่ร่างกายรีไซเคิ้ล 100% แปลว่าเข้าแล้วไม่มีออก ยกเว้นมีประจำเดือน ซึ่งคนเป็นโรคแบบคุณนี้ก็มักจะไม่ค่อยมีประจำเดือน ดังนั้นจึงมีโอกาสที่เหล็กจะคั่งค้างจากเม็ดเลือดแตกในร่างกายได้ง่ายมาก

4.2 ถ้าคุณไม่ใช่คนจีน คุณควรเอาอย่างคนจีนในการใส่ใจในการหาลูกเขยหรือลูกสะใภ้หน่อยก็จะดี ไม่ต้องถึงกับจ้างแม่สื่อหรอก แต่ให้เขาไปตรวจเลือดก่อนแต่งงานด้วยกันก่อนให้ละเอียด อย่างผลเลือดที่คุณส่งมาถือว่ายังไม่ละเอียดนะ เพราะตรวจมาแต่สายเบต้า ไม่มีผลการตรวจสายอัลฟ่า กรณีที่ลูกๆเขาจะตรวจเลือดก่อนแต่งงานต้องระบุขอตรวจทั้งสายอัลฟ่าและเบต้า อย่าไปซื้อโปรแกรมตรวจก่อนแต่งงานรุ่นโปรโมชั่นที่บอกว่าตรวจวิเคราะห์แยกชนิดฮีโมโกลบิน (Hemoglobin typing) เพราะการตรวจแบบนั้นตรวจได้เฉพาะสายเบต้าเท่านั้น

สำหรับท่านผู้อ่านท่านอื่นๆทั่วไป ผมเคยเขียนเรื่องทาลาสซีเมียไปแล้วอย่างละเอียดบ่อยมาก ท่านที่สนใจลองเปิดอ่านของเก่าๆดูได้ครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Karimi M, Giti R, Haghpanah S, Azarkeivan A, Hoofar H, Eslami M. Malignancies in patients with beta-thalassemia major and beta-thalassemia intermedia: a multicenter study in Iran. Pediatr Blood Cancer. 2009 Dec;53(6):1064-7. doi: 10.1002/pbc.22144. PMID: 19533641.
[อ่านต่อ...]

23 สิงหาคม 2566

ชีวิตในวันธรรมดาๆอีกวันหนึ่ง

(ภาพวันนี้ / ดอกกระบองเพชร)

วันนี้งดตอบคำถามหนึ่งวัน ขอเขียนอะไรเล่นๆ

วันนี้ผมอยู่ที่บ้านกรุงเทพฯเพราะเมื่อวานเพิ่งเสร็จจากการพูดเรื่องการจัดการความเครียดและแนะนำหนังสือ “คัมภีร์สุขภาพดี” ที่ร้านอาหารสยามออริจินส์ที่มิวเซียมสยาม ช่างเป็นวันที่มะรุมมะตุ้มอีกวันหนึ่ง พอฝุ่นจางลง เก็บข้าวของจะกลับบ้าน ลูกชายซึ่งอาสาขับรถและมาช่วยขายหนังสือตั้งข้อสังเกตว่า

“พ่อมาแนะนำหนังสือ แต่ไม่เห็นพูดถึงหนังสือสักคำ”

ผมคิดขึ้นได้ เออ จริงแฮะ ลืมแนะนำหนังสือไป ทั้งๆที่ตั้งใจให้เป็นวันแนะนำหนังสือ หิ..หิ

ยังกลับมวกเหล็กไม่ได้เพราะต้องอยู่รอเข้าประชุมเพื่อให้ “ปากคำ” กับคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากผมกำลังอยู่ในระหว่างรอลุ้นให้งานวิจัย “อาหารไทยสุขภาพ” ผ่านคณะกรรมการจริยธรรม ลุ้นมาก็หลายเดือนแล้ว หวังว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นโค้งสุดท้าย จะได้ประกาศหาอาสาสมัครชักชวนแฟนบล็อกมาช่วยกันทำวิจัยเสียที

วันว่างที่กรุงเทพฯแปลว่าวันที่ไม่อยากจะไปไหน เพราะอยู่มวกเหล็กเสียจนคุ้นเคยกับต้นไม้ใบหญ้าภูเขาคลองน้ำ มาอยู่กรุงเทพฯกลายเป็นคนแปลกแยกกับพื้นที่ จึงมีเวลานั่งปั่นต้นฉบับตำราเวชศาสตร์วิถีชีวิตซึ่งตั้งใจจะแต่งไว้ให้แพทย์ที่จะฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ใช้ ครั้นตกเย็นหมอสมวงศ์ชวนออกไปเดินเล่นจึงรีบตกลงทันที

“..ไปสวนสมเด็จดีกว่า เดินในหมู่บ้านมันจำเจ”

เราสามพ่อแม่ลูกขับรถไปสวนสมเด็จ หมอสมวงศ์พูดอะไรพึมพัมเกี่ยวกับเรื่องหาที่จอดรถยาก ผมบอกว่า

“ไม่ยากหรอก เดี๋ยวก็มีคนออกพอดีให้เราเข้า”

แต่การณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง มีรถของคนมาออกกำลังกายที่ใช้ยุทธศาสตร์เดียวกับเราอยู่ข้างหน้าอย่างน้อยสองคัน ยุทธศาสตร์ที่ว่าคือทำทีเป็นขับรถแบบสุขุมช้าๆ แต่ในใจลุ้นว่าเดี๋ยวจะมีคนออกให้เสียบได้เป๊ะพอดี ซึ่งแน่นอนว่าในชีวิตจริงนั้น..ไม่มี

แล้วก็มีชายวัยผมขาวท่านหนึ่งเดินสวนกับรถเราไป กำลังชูมือที่ถือกุญแจขึ้นสูงกดรีโมทเปิดประตูรถ ตามองไปข้างหลังรถเรา แสดงว่าเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว โชคเป็นของคันหลัง เราต้องยอมรับความ “แห้ว” แล้วทำใจว่าต้องกลับรถที่หน้าประตูสวนเพื่อออกไปหาที่จอดต้นถนนซึ่งแน่นอนว่าไกลออกไปอีกราว 1-2 กม. แต่แม้จะปลงแล้วก็ใช่ว่าจะรีบยูเทอร์นได้ง่ายๆ เพราะคันหน้าเขายังใช้ยุทธศาสตร์อ้อยอิ่งอยู่ เราก็ทำได้แค่ขับตามเขาไปห่างๆ ซึ่งในที่สุดเขาหรือเธอผู้ขับคันนั้นก็หมดอาลัยและตัดสินใจเดินหน้าไปยูเทอร์น

จังหวะนั้นเองที่คุณผู้ชายผมขาวคนเดิมเดินกลับมาและแซงหน้ารถเราไป มือก็ยังชูกุญแจขึ้นเหนือศรีษะเที่ยวกดรีโมท หมอพอบอกว่า

“โอ้.. เหมือนพ่อเลย จอดรถแล้วลืมไปว่าจอดไว้ตรงไหน ต้องเอารีโมทกดหา”

หารู้ไม่ว่าที่นินทาเขาอยู่นั้น แท้จริงเขาเป็นผู้มีพระคุณต่อเรา เพราะเขาเจอรถของเขาแล้ว มันเปิดไฟแว่บๆอยู่หน้ารถเราไปนิดเดียว พอเขาออกรถ เราก็เสียบตามระเบียบ โล่งอกเรื่องที่จอดรถไป

ไม่ได้มาเดินสวนสมเด็จนาน ภูมิศาสตร์เปลี่ยนไปมาก เทศบาลตอกเสาเข็มทำทางวิ่งเป็นวงเข้าไปในบึงน้ำอีกเส้นหนึ่ง ทำให้ความแน่นของผู้คนบนทางวิ่งเก่าลดลง กลางบึงน้ำเทศบาลก็เอาทุ่นโฟมยักษ์มาปูบนผิวน้ำแล้วสร้างเป็นสนามฟุตซอลหลายสนามติดๆๆกัน มีผู้คนเตะฟุตซอลกันคึกคักเต็มไปหมด ที่เคยเป็นบรรยากาศวิ่งรอบบึงน้ำตอนนี้กลายเป็นบรรยากาศวิ่งรอบสนามกีฬาลอยน้ำแทน และสวนทุเรียนของเทศบาลที่เพิ่งทำใหม่บนพื้นที่ขยายก็เปิดให้เดินเข้าไปดูข้างในได้แล้ว เราจึงใช้โอกาสเดินเข้าไปสำรวจทุเรียนพันธ์ุต่างๆของแต่ละอำเภอในเขตนนทบุรี หนึ่งอำเภอหนึ่งร่อง แต่ละร่องมีต้นทุเรียนปลูกใหม่บ้าง ย้ายมาบ้าง มีป้ายปักบอกชื่อพันธ์ุ ตัวป้ายมีสุขภาพดีกว่าตัวต้นทุเรียน ต้องลุ้นว่าคนรุ่นหมอพออาจจะได้เห็นลูกบ้าง ส่วนคนรุ่นหมอสันต์นั้นได้เห็นแค่ต้นที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนำมาลงใหม่ๆก็น่าจะพอแล้ว

ออกจากสวนสมเด็จเราขับรถกลับบ้านซึ่งก็ห่างกันแค่สามสี่กม. แต่พอเลี้ยวแยกไฟแดงกลางหมู่บ้านแล้วก็ต้องเบรคตัวโก่ง เพราะข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุ มีคนนอนอาบเลือดอยู่กลางถนน และไทยมุงเป็นกลุ่ม ผมบอกหมอพอว่าให้เลี้ยวซ้ายออกไปทางถนนเข้าหน้าหมู่บ้านเดอะพล้านท์เพราะมันมีทางออกที่ปลายอีกข้างหนึ่งได้ หมอพอท้วงว่า


“จะไม่จอดรถลงไปดูเขาหน่อยหรือ”

เมื่อโดนท้วงผมก็ต้องพยักหน้า เปล่า ผมไม่ได้แวะดูเพราะรู้สึกผิดอะไรหรอก ผมแก่ปูนนี้แล้วสามารถเกษียณตัวเองจากหน้าที่แก้ไขเลือดตกยางได้แล้วอย่างเต็มภาคภูมิ แต่หมอพอเขายังหนุ่ม เขาคงไม่คิดอย่างนั้น

ผมพูดเสียงดังให้ไทยมุงให้ทาง

“ผมเป็นหมอ ขอเข้าไปดูคนเจ็บหน่อยครับ”

เห็นผู้ชายแต่งตัวดีคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ท่าทางเป็นห่วงผู้หญิงที่นอนบาดเจ็บ ผมเข้าใจว่าเป็นสามีของเธอจึงหันไปถามว่า

“เรียกรถพยาบาลแล้วใช่ไหมครับ”

เขาพยักหน้า

ผมบอกให้หมอพอไปจัดตั้งแนวกั้นเพื่อความปลอดภัยขึ้น เพราะอากาศเริ่มมืด รถที่หลุดจากไฟแดงมาอาจลุยถั่วเข้ามาได้ ตัวผมเองคุกเข่าลงดูคนเจ็บ

เธอเป็นหญิงกลางคนแต่งตัวดี นอนหงายมีแผลที่ศรีษะเปิดให้เห็นกระโหลกขาวโพลน เลือดกำลังไหลออกนองพื้นถนนไม่หยุด ผมจับชีพจรก็รู้ได้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าความดันจะแผ่ว คงเสียเลือดไปพอควร

ผมเลิกพกถุงมือไว้ในรถมานานแล้วเพราะถือว่าตนเองปลดประจำการจากงานศึกสงครามแล้ว แต่คราวนี้มาเจอซึ่งๆหน้า ประกอบกับเห็นว่ามือตัวเองไม่ได้มีแผลอะไร จึงเอามือฝ่ามือลุ่นๆกดห้ามเลือดบนหนังศีรษะที่ฉีกขาดไว้ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็หยิบกระเป๋าถือของผู้บาดเจ็บส่งให้สามีของเธอ แต่เขาไม่กล้ารับไว้

“ผมไม่รู้จักเธอครับ ผมแค่แวะมาช่วย”

ด้วยไม่ไว้ใจว่าจะมีคนแฮ้บกระเป๋าเงินของเธอ ผมจึงต้องเอากระเป๋าถือผู้หญิงใบนั้นขึ้นสะพายบ่าขณะทำงานห้ามเลือด นึกในใจว่าถ้ามันเป็นกระเป๋าชาแนลหรือหลุยส์เวตองก็น่าจะดีนะ จะให้หมอพอถ่ายรูปไว้เอาไปขายเป็นรูปโฆษณากระเป๋าซะหน่อย ชายแก่กำลังปฐมพยาบาลคนเจ็บแต่ก็เชิดชูนับถือกระเป๋าถือใบนี้ราวกับว่าเป็นของมีค่าเหลือเกิ้น..น หิ..หิ

หนุ่มคนหนึ่งดูจากเครื่องแบบน่าจะเป็นคนขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาอาสาช่วยเหลือ ผมให้เขาไปหาอะไรที่คล้ายหมอนมาหนุนที่คอทั้งสองข้างเพราะกลัวกระดูกที่อาจหักอยู่เคลื่อนตัว เขากลับมาพร้อมกับขวดน้ำสองขวด ซึ่งก็พอใช้การได้ คนเจ็บเริ่มฟื้นแล้ว ผมกระซิบบอกเธอว่าให้นอนนิ่งๆ ผมเป็นหมอกำลังดูแลเธออยู่ เธอพยายามพูดอะไรเกี่ยวกับกระเป๋า ผมบอกว่าผมเก็บไว้ให้แล้ว เธอพูดถึงกระเป๋าอีกสองสามคำ ผมจึงว่า

“หนูจะเอากอดไว้เองไหม”

เธอรีบพยักหน้าด้วยความดีใจ ผมจึงปลดกระเป๋าให้เธอกอดไว้ เธอได้กอดกระเป๋าแล้วก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ้มด้วยริมฝีปากซีดๆ แล้วก็พริ้มตาหลับลงอย่างมีความสุข

เออหนอ เงินนี่ช่างมีความน่ารักน่าหวงเสียจริงๆ แม้โมเมนต์จะเป็นจะตาย แต่หากได้กอดเงินแล้วก็..พอใจละ

พยาบาลคนหนึ่งอยู่ในเครื่องแบบเข้ามาช่วย ผมถามว่าน้องมาจากโรงพยาบาลไหน เธอบอกว่า

“เปล่าคะ หนูอยู่ที่คลินิกห้องแถวตรงนี้นี่เอง”

รถฉุกเฉินมาถึงแล้ว มาพร้อมกันสองคัน ผมตะโกนบอกให้เมดิกเอาก๊อซแบนเดจและผ้าก๊อซขนาดใหญ่ลงมา และบอกว่ามีการบาดเจ็บศีรษะและคอต้องใช้เปลตักเคลื่อนย้าย พอผมพันแบนเดจห้ามเลือดที่ศีรษะจนอยู่แล้ว พนักงานเอาเปลแบบบอร์ดเหลืองลงมา ผมย้ำว่าไม่ได้ ต้องใช้เปลตัก เขายืนยันว่าเปลตักอันตรายใช้เปลเหลืองดีกว่า ผมต้องย้ำอีกว่าผมเป็นหมอ คนไข้คนนี้เคลื่อนย้ายไม่ได้ถ้าไม่มีเปลตัก แล้วถามว่าในรถไม่มีเปลตักหรือ เขาตอบว่ามีครับ ล้งเล้งกันพักใหญ่เขาก็ยอมเอาเปลตัก (scoop stretcher) ลงมา ผมพยายามเขม้นมองฝ่าไฟหน้ารถเพื่อมองหาโลโก้ของโรงพยาบาล ปรากฎว่าเป็นรถของมูลนิธิการกุศลทั้งสองคัน ๅเออน่า อย่างน้อยน้องๆเขาก็มาถึงที่เกิดเหตุได้เร็วทันใจและมีอุปกรณ์มาครบครัน พอถึงขั้นตอนประกอบเปลตักก็ยักแย่ยักยันพอควรเพราะพนักงานไม่สันทัดการใช้เปลตัก โชคดีที่หนุ่มมอเตอร์ไซค์ที่ลงมาช่วยนั้นทะมัดทะแมง ผมสั่งว่า

“คุณลากหัวล็อกบนมาชนกันก่อน แล้วกดจนมีเสียงดังแก๊ก” เขารายงานฉะฉานว่า

“เสียงดังแก๊กแล้วครับ”

“คุณตรวจสอบล็อคล่างแล้วรายงาน”

“ล็อคแล้วครับ”

เธอได้รับการยกย้ายอย่างปลอดภัยขึ้นรถไปแล้ว ผมไปหาที่ล้างเลือด จากนั้นเราก็ออกรถของเราบ้าง ขับมาได้พักใหญ่ หมอพอจึงคิดขึ้นได้

“ลืมเอากรวยกั้นถนนไปคืน เอามาจากที่เขาวางกันปากท่อ เดี๋ยวแก้อุบัติเหตุทางนี้ไปเกิดทางโน้นแทน” ผมถามว่า

“มีใครรู้เห็นบ้างตอนไปเอากรวยออกมา” หมอพอบอกว่า

“ยามประตูหน้าหมู่บ้านเป็นคนบอกให้เอาออกมา”

“เออ ดีแล้ว เปิดโอกาสให้ยามได้ทำหน้าที่พลเมืองดีบ้าง”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

กลับมาถึงบ้าน ผมคิดถึงหน้าคนหลายคน หนุ่มหน้าตาดีที่ไม่ใช่สามีแต่มาคอยลุ้นคอยช่วยอยู่ห่างๆ หนุ่มมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านมาแล้วหยุดช่วยอย่างกุลีกุจอ พยาบาลที่ทิ้งคลินิกตัวเองออกมาช่วย และไทยมุงที่ช่วยลุ้น ทุกคนแชร์พลังขับดันเดียวกันออกมาทางสีหน้า คืออยากให้หญิงผู้บาดเจ็บคนนั้นรอดชีวิตและปลอดภัย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

21 สิงหาคม 2566

เป็นลองโควิด หรือเป็นโรค "สึ่งตึงเฉียบพลัน"

(ภาพวันนี้ / รัตนพฤกษ์ หรือ คูนสีชมพู)

เรียนคุณหมอสันต์

ผมอายุ 70 ปี ไม่มีโรคประจำตัว ไม่ได้กินยาอะไรทั้งสิ้น แต่ป่วยเป็นโควิดเพราะติดจากหลานที่ไปต่างประเทศมาเมื่อเดือนเมษา ป่วยอยู่นานเกือบเดือน มีอาการเปลี้ย หมดแรง เหนื่อยง่าย พอครบเดือนอาการก็ดีขึ้นแล้วก็สบายดีมาจนถึงเดือนนี้ (สค.) ผมมีอาการหลงลืม เอ๋อ ใครพูดอะไรคิดตามเขาไม่ทัน ไปตรวจกับหมอ … เขาให้ทำ MRI เพราะกลัวจะเอาหัวไปกระแทกอะไรแล้วมีเลือดคั่งอยู่ในสมอง แต่ทำแล้วก็ไม่มี ผมถามหมอว่าเป็นลองโควิดได้ไหม หมอบอกว่าถ้าเป็นลองโควิดอาการจะเป็นแบบลากยาวมา ไม่ใช่หายไปหลายเดือนแล้วมาเริ่มเป็น หมอสรุปว่าผมเป็นสมองเสื่อมตามวัย และให้ยา Aricept มากินร่วมกับวิตามินอีกสามสี่อย่าง ผมงงว่าทำไมผมเป็นสมองเสื่อมเฉียบพลัน มีโรคแบบนี้ด้วยหรือ

ขอบคุณคุณหมอ

………………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่า “โรคสมองเสื่อมเฉียบพลัน” มีไหม ตอบว่าผมไม่เคยได้ยินนะครับ ผมเคยได้ยินแต่โรค “โง่เฉียบพลัน” หรือโรค “สึ่งตึงเฉียบพลัน” ซึ่งพบในผู้ชายที่ถูกเมียจับเท็จได้คาหนังคาเขา หิ..หิ

2.. ถามว่าป่วยเป็นโควิดหายสบายดีไปหลายเดือนแล้วจะกลับมามีอาการลองโควิด (long COVID) ได้ไหม ผมตอบตามงานวิจัย INSPIRE ว่า ได้ครับ

งานวิจัย INSPIRE นี้ทำโดยศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ซึ่งติดตามดูผู้ป่วย 1741 คนไปนานเกินหนึ่งปี สองในสามของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด ที่เหลือไม่ได้เป็น โดยติดตามดูอาการของ long COVID เก้าอาการต่อไปนี้คือ (1) เปลี้ยล้า (2) คัดจมูก (3) ปวดศีรษะ (4) เจ็บคอ (5) หอบเหนื่อยหายใจไม่อิ่ม (6) เจ็บแน่นหน้าอก (7) ท้องร่วง (8) หลงลืม (9) ตั้งสติไม่ได้

ผลวิจัยพบว่า หลังจากโรคระยะเฉียบพลันสงบไปแล้ว ในผู้ป่วย 16% อาการลองโควิดจะยังคงอยู่แบบลากยาวไปได้นานถึง 1 ปี

แต่ในบางกรณี อาการลองโควิดมาเริ่มเกิดเอาตอนหลังจากโรคระยะเฉียบพลันสงบไปแล้วหลายเดือน

และในบางกรณีอาการลองโควิดเป็นแล้ว แล้วหายไปแล้ว แล้วอีกหลายเดือนต่อมาก็กลับมาเป็นใหม่ได้อีก แล้วหายไปอีก สลับกันอยู่อย่างนี้

กล่าวโดยสรุปคือโรคลองโควิดมีธรรมชาติขึ้นๆ ลงๆ ผลุบๆ โผล่ๆ

และประเด็นที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งคือคนที่ไม่เคยตรวจพบเชื้อโควิดเลย ในช่วงเวลาเดียวกันและในพื้นที่เดียวกันกับที่มีโรคโควิดระบาด ก็มีอาการแบบลองโควิดได้

3.. ข้อนี้ผมแถมให้สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไปที่สูงอายุแล้วและไม่ได้ติดเชื้อโควิด กรณีที่มีอาการโง่เฉียบพลัน (เอ๊ย..ไม่ใช่ ขอโทษ) กรณีที่มีอาการสมองเสื่อมเฉียบพลัน ให้คิดถึงสามสาเหตุต่อไปนี้ คือ

3.1 เกิดจากยาที่กิน เช่น (1) ยาลดไขมัน (statin) ทำให้หลงลืมชั่วคราวได้ พอหยุดยาก็หาย (2) ยาต้านซึมเศร้า (3) ยาคลายกังวง (4) ยากันชัก (5) ยาลดการหลั่งกรด (PPI) เช่น omeprazole (6) ยาแก้ปวดระดับแรงๆเช่น pregabalin, gabapentin, (7) ยาแก้แพ้รุ่นเก่าเช่นคลอร์เฟนิรามีน (8) ยารักษาปัสสาวะเล็ดเช่น oxybutynin (9) ยาลดความดันบางตัวเช่นยากั้นเบต้า เป็นต้น

3.2 มีเลือดค่อยๆซึมออกในสมอง (chronic subdural hematoma) จากการกระแทกเล็กๆน้อยๆที่ศีรษะซึ่งอาจเกิดเหตุการณ์เมื่อหลายเดือนก่อนหน้านั้น

3.3 มีเนื้องอกในสมอง

ดังนั้น เมื่อมีอาการสมองเสื่อมเฉียบพลัน สิ่งที่พึงทำคือเอายาทั้งหมดที่กินออกมากางดูว่าตัวไหนทำให้สมองเสื่อมได้บ้างแล้วให้หยุดยานั้นเสียทันที ถ้าไม่ได้กินยาดังกล่าว ควรไปพบแพทย์ทางด้านประสาทวิทยาเพื่อสืบค้นและวินิจฉัยแยกภาวะเลือดซึมออกในสมอง (chronic subdural hematoma) ซึ่งเป็นกรณีที่รักษาได้ง่ายๆด้วยการผ่าตัดเจาะเอาเลือดออกและให้ผลดีทันที

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Montoy JCC, Ford J et al. Prevalence of Symptoms ≤12 Months After Acute Illness, by COVID-19 Testing Status Among Adults — United States, December 2020–March 2023MMWR. Morbidity and Mortality Weekly Report, 2023; 72 (32): 859 DOI: 10.15585/mmwr.mm7232a2
[อ่านต่อ...]

19 สิงหาคม 2566

สงสัยว่ายาลดการหลั่งกรด (Omeprazol) จะทำให้เป็นสมองเสื่อมได้หรือเปล่า

(ภาพวันนี้ / ใกล้จะได้กินข้าวโพดต้มแล้ว)

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ

ผมอายุ 65 ปี เป็นวิศวกร เป็นคนรูปร่างผอม ส่วนสูง 170 ซม. นน. 60 กก. เคยตรวจสุขภาพประจำปีแล้วแพทย์พบโรคหลอดเลือดหัวใจแล้วได้ทำบอลลูนไป 1 เส้น (ตอนที่ไปตรวจไม่มีอาการอะไร) และให้กินยา aspirin, clopidogrel, omeprazol, atorvastatin ยาทั้งสี่ตัวนี้ผมกินมาห้าปีแล้ว ขอหมอหยุดหมอก็บอกว่าหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดลิ่มเลือดจะอุดขดลวด ประเด็นที่ผมอยากปรึกษาคุณหมอสันต์คือผมมีอาการขี้หลงขี้ลืมรุนแรงมาก จึงไปหาหมอประสาท ทำการทดสอบแล้วสรุปว่าเป็นสมองเสื่อมแน่นอน แต่ทำ MRI แล้วไม่พบอะไรผิดปกติ หมอบอกว่าเป็นสมองเสื่อมแบบไม่ใช่โรคอัลไซเมอร์ ผมถามหมอผู้จ่ายยาว่ายาทั้งสี่ตัวนี้ทำให้สมองเสื่อมได้ไหม หมอตอบว่าไม่ได้ แต่ผมไม่วางใจ ผมได้แอบทดลองหยุดยา atorvastatin ไปสามเดือนแล้วอาการขี้ลืมก็ไม่เห็นจะดีขึ้นจึงกลับมากินใหม่ ผมสงสัยมาก ว่ายา omeprazol จะเป็นตัวทำให้สมองเสื่อม แต่ผมไม่กล้าทดลองหยุดยาเพราะหมอบอกว่าผมกินยาต้านเกล็ดเลือดคู่ หากหยุดยานี้แล้วจะมีอันตรายจากเลือดออกในกระเพาะ อยากถามหมอสันต์ว่ายาomeprazol ทำให้สมองเสื่อมได้ไหม และผมควรจะทำอย่างไรดีครับเพราะผมเพิ่งอายุ 65 ปีเอง

…………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่ยาลดการหลั่งกรด (PPI) เช่นยา omeprazole จะเกี่ยวดองกับการเป็นสมองเสื่อม ตอบว่าเป็นไปได้ครับ นี่ผมตอบตามงานวิจัยข้างล่างนี้

งานวิจัยนี้ [1] ดูผู้ป่วยที่กินยาและที่ไม่กินยาในกลุ่ม PPI จำนวน 5712 คน ตอนเริ่มต้นไม่มีใครเป็นสมองเสื่อม แล้วตามศึกษาเป็นเวลาเฉลี่ย 5.5 ปี แล้วเอาตัวเลขคนเป็นโรคสมองเสื่อมที่เกิดในระหว่างนี้มาวิเคราะห์ทั้งประเด็นการกินหรือไม่กินยา PPI กินนานหรือกินไม่นาน แล้วแยกเอาปัจจัยกวนที่รู้อยู่แล้วว่าทำให้สมองเสื่อมเช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง เป็นต้น แยกออกไปก่อน แล้วเทียบคนที่เหลือเป็นกลุ่มอายุเดียวกันและเพศเดียวกัน พบว่าคนที่กินยาลดการหลั่งกรด (PPI) เป็นเวลานานกว่า 4.4 ปี สัมพันธ์กับการเป็นสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับคนไม่ได้กินยา

ในภาพรวมยานี้ไม่ใช่ยาสำหรับกินนานๆ วงการแพทย์รู้อยู่แล้วว่ายานี้หากกินไปนานจะสัมพันธ์กับการเป็นโรคไตเรื้อรังมากขึ้น เป็นอัมพาตเฉียบพลันมากขึ้น กระดูกพรุนกระดูกหักมากขึ้น ข้อมูลจากงานวิจัยที่ผมยกมาให้ดูนี้เพิ่มผลพลอยเสียของยานี้เข้ามาอีกหนึ่งโรค คือโรคสมองเสื่อม

กลไกที่ยานี้ทำให้เกิดผลพลอยเสียดังกล่าววงการแพทย์ยังไม่ทราบ ทราบแต่ว่ามันมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคสมองเสื่อมมากขึ้น

2.. ถามว่ายาลดไขมัน statin เองทำให้ขี้หลงขี้ลืมได้ไหม ตอบว่าได้ แต่เป็นเรื่องชั่วคราว อาการขี้หลงขี้ลืมจะกลับมาปกติหลังการหยุดยา [7] ในกรณีของคุณนี้คุณได้ทดลองหยุดยาลดไขมันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ก็น่าจะอนุมานได้ว่ามันไม่เกี่ยวกับยาลดไขมัน

3.. ถามว่าทำอย่างไรจะเลิกยา omeprazole ได้ ตอบว่าต้องเลิกยาต้านการหลั่งกรดไปเสียหนึ่งตัวก่อน ที่คุณหมอของคุณกลัวว่าหยุดยาต้านการหลั่งกรดไปตัวหนึ่งแล้วลิ่มเลือดจะอุดตันขดลวดนั้นเป็นความกลัวที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของหลักฐานวิทยาศาสตร์เลย หลักฐานประโยชน์การควบยาต้านเกล็ดเลือดหลังใส่ขดลวดที่ชัวร์ๆว่าดีแน่คือให้นานแค่สองเดือนแค่นั้น (นี่นับเฉพาะคนไข้หนัก (ACS) ด้วยนะ แต่ต่อมา Guidelines ยอมรับให้ใช้ยาสองตัวควบนานถึง 1 ปี [2] โดยที่หลักฐานยังไม่แน่นแต่ก็ยอมรับกันได้ ส่วนการใช้นานเกิน 1 ปีนั้นยังเป็นประเด็นที่เถียงกันไม่ตกฟาก (controversy) ยังสรุปเป็นหลักฐานไม่ได้เลยสักนิด เพราะงานวิจัยใหญ่สี่งานให้ผลขัดแย้งกันไปข้างละสองงานเลยเจ๊ากันไปพอดี [2-6] พูดแบบบ้านๆก็คือยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนให้ควบยาไปนานเกินหนึ่งปี แต่วงการหมอหัวใจนี้มีสไตล์อยู่อย่างหนึ่ง คือถ้ามี controversy ว่าจะให้ยาดี หรือจะไม่ให้ยาดี ข้าพเจ้าขอเลือกข้างให้ยาแยะไว้ก่อน นี่..มันเป็นยังงี้ซะด้วยนะท่านสารวัตร

4.. กล่าวโดยสรุป สิ่งที่คุณพึงทำคือเจรจากับหมอโรคหัวใจขอลดยาต้านเกล็ดเลือดเหลือตัวเดียว แล้วหยุดยา omeprazole ไปซะ ส่วนยาลดไขมันนั้นหากคุณสามารถเปลี่ยนอาหารไปกินพืชเป็นหลักและเลิกใช้น้ำมันผัดทอดอาหารได้ก็จะดี เพราะงานวิจ้ย [8] พบว่ายิ่งกินมังเข้ม LDL จะยิ่งต่ำ จะเอาต่ำกว่า 70 ก็ยังได้ ถึงตอนนั้นคุณเลิกยาลดไขมันไปเสียเลยก็จะดี เพราะขี้ลืมชั่วคราว หรือขี้ลืมถาวร จะต่างกันตรงไหนหากคุณกินยาอยู่แบบไม่ยอมเลิก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

  1. Carin Northuis, Elizabeth Bell, Pamela Lutsey, Kristen M George, Rebecca F. Gottesman, Tom H. Mosley, Eric A Whitsel, Kamakshi Lakshminarayan. Cumulative Use of Proton Pump Inhibitors and Risk of Dementia: The Atherosclerosis Risk in Communities StudyNeurology, 2023; 10.1212/WNL.0000000000207747 DOI: 10.1212/WNL.0000000000207747
  2. Levine GN, Bates ER, Bittl JA, Brindis RG, Fihn SD, Fleisher LA, Granger CB, Lange RA, Mack MJ, Mauri L, Mehran R. 2016 ACC/AHA guideline focused update on duration of dual antiplatelet therapy in patients with coronary artery disease: a report of the American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Clinical Practice Guidelines: an update of the 2011 ACCF/AHA/SCAI Guideline for Percutaneous Coronary Intervention, 2011 ACCF/AHA Guideline for Coronary Artery Bypass Graft Surgery, 2012 ACC/AHA/ACP/AATS/PCNA/SCAI/STS Guideline for the Diagnosis and Management of Patients With Stable Ischemic Heart Disease, 2013 ACCF/AHA Guideline for the Management of ST‐Elevation Myocardial Infarction, 2014 AHA/ACC Guideline for the Management of Patients With Non‐ST‐Elevation Acute Coronary Syndromes, and 2014 ACC/AHA Guideline on Perioperative Cardiovascular Evaluation and Management of Patients Undergoing Noncardiac Surgery. Circulation. 2016; 134:e123–e155.LinkGoogle Scholar
  3. Bonaca MP, Bhatt DL, Cohen M, Steg PG, Storey RF, Jensen EC, Magnani G, Bansilal S, Fish MP, Im K, Bengtsson O. Long‐term use of ticagrelor in patients with prior myocardial infarction. N Engl J Med. 2015; 372:1791–1800.CrossrefMedlineGoogle Scholar
  4. Helft G, Steg PG, Le Feuvre C, Georges JL, Carrie D, Dreyfus X, Furber A, Leclercq F, Eltchaninoff H, Falquier JF, Henry P. Stopping or continuing clopidogrel 12 months after drug‐eluting stent placement: the OPTIDUAL randomized trial. Eur Heart J. 2016; 37:365–374.MedlineGoogle Scholar
  5. Lee CW, Ahn JM, Park DW, Kang SJ, Lee SW, Kim YH, Park SW, Han S, Lee SG, Seong IW, Rha SW. Optimal duration of dual antiplatelet therapy after drug‐eluting stent implantation: a randomized, controlled trial. Circulation. 2014; 129:304–312.LinkGoogle Scholar
  6. Mauri L, Kereiakes DJ, Yeh RW, Driscoll‐Shempp P, Cutlip DE, Steg PG, Normand SL, Braunwald E, Wiviott SD, Cohen DJ, Holmes DR. Twelve or 30 months of dual antiplatelet therapy after drug‐eluting stents. N Engl J Med. 2014; 371:2155–2166.CrossrefMedlineGoogle Scholar
  7. Posvar EL, Radulovic LL, Cilla DD Jr, Whitfield LR, Sedman AJ. Tolerance and pharmacokinetics of single-dose atorvastatin, a potent inhibitor of HMG-CoA reductase, in healthy subjects. J Clin Pharmacol. 1996 Aug; 36(8):728-31.
  8. De Biase SG1, Fernandes SF, Gianini RJ, Duarte JL. Vegetarian diet and cholesterol and triglycerides levels. Arq Bras Cardiol. 2007 Jan;88(1):35-9
[อ่านต่อ...]

18 สิงหาคม 2566

หมอสันต์พูดกับสมาชิก SR เปรียบการจดจ่อสมาธิเหมือนการฟั่นแล้วคลายเกลียวเชือก

ภาพวันนี้ / มะเดื่อฝรั่ง (Fig)

วันนี้เราจะเรียนวิธีใช้เครื่องมือวางความคิดตัวที่หก คือการจดจ่อสมาธิ หรือ concentration

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกับ “การจดจ่อ” ในระดับคอนเซ็พท์ก่อน

แม้ความคิดจะมีธรรมชาติเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ แต่ในชีวิตจริงความคิดเกิดดับๆติดๆกันถี่ๆจนกลายเป็นความต่อเนื่องเหมือนสายธารน้ำไหล แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปตัดกระแสน้ำให้ขาดเป็นสองท่อนที่ตรงไหน

การวางความคิดที่ดี จึงไม่ควรเข้าไปตอแยหรือพยายามหยุดยั้งความคิด แต่ควรเลือกวิธีหา “เป้า” ของการจดจ่อที่มีธรรมชาติเป็นความต่อเนื่องเช่นเดียวกับความคิด มาไหลพัวพันคู่ไปกับความคิด

ลมหายใจก็เป็นตัวอย่างของ “เป้า” ที่มีธรรมชาติเป็นความต่อเนื่อง หรือมันตราซึ่งเป็นเสียงที่เราเปล่งในใจเช่นโอม..ม หาก เราคอยเปล่งเสียงนั้นในใจซ้ำๆอย่างได้จังหวะมันก็จะกลายเป็นเป้าที่มีความต่อเนื่อง

เมื่อเราเลือก “เป้า” มาไหลพัวพันไปกับความคิด อุปมาในใจเรายามนี้มันก็เหมือนเชือกเส้นใหญ่ที่ฟั่นขึ้นมาจากเชือกเส้นเล็กสองเส้น สมมุติว่าสีแดงกับสีเขียว สมมุติว่าสีแดงแทนความคิด สีเขียวแทน “เป้า” สมมุติว่าเราใช้มันตราคือการเปล่งเสียงโอมในใจเป็น “เป้า” เมื่อเราเริ่มนั่งสมาธิ ในใจเราก็จะมีทั้งความคิดและเสียงโอมที่เราเปล่งขึ้นในใจพัวพันนัวเนียกันไปเหมือนเชือกเส้นใหญ่ที่มีทั้งเชือกเส้นเล็กสีแดงและสีเขียวพันเป็นเกลียวคู่กันไป

ณ จุดเริ่มต้นนี้ เราใช้ความเป็นผู้ทำ หรือ doer จดจ่อที่ “เป้า” ของเราซึ่งก็คือเสียงโอมที่เราเปล่งขึ้นในใจโดยไม่สนใจความคิดที่มันพัวพันนัวเนียอยู่ ความต่อเนื่องของเสียงโอมก็จะชัดเจนขึ้นๆ เพราะเราสนใจมัน หากความคิดที่พัวพันนัวเนียมากับเสียงโอมมันทำท่าจะชัดกว่าเสียงโอม เราก็เปล่งเสียงโอมในใจให้ดังขึ้นๆ ถี่ขึ้นๆ เราให้ความสนใจเสียงนี้ทุกครั้งที่เราเปล่งออกไป จดจ่อให้ลึกละเอียดลงไป ลึกละเอียดลงไป ย้ำอีกทีนะว่า ณ ขณะนี้เราเป็น “ผู้ทำ” เป็น “ผู้จดจ่อ” เป็น “doer” เพื่อช่วยให้ “เป้า” คือเสียงโอมค่อยๆเบียดความคิดให้ค่อยๆขาดหาย กระท่อนกระแท่นไป จนเหลือประปรายนานๆครั้งและมีขนาดเล็กลงๆจนไม่มีพลังก่อกวน อุปมาเหมือนการคลายเกลียวเชือกฟั่น ค่อยๆทิ้งเส้นแดงไป เหลือแต่เส้นเขียว การทำอย่างนี้แหละคือการจดจ่อสมาธิหรือ concentration “เป้า” ของการจดจ่อจะเป็นอะไรก็ได้ เช่น ลมหายใจก็ได้ ภาพจอดำตรงหน้าเมื่อเราหลับตาลงแล้วนี้ก็ได้ การทำงานอดิเรกก็ใช้เป็นเป้าของการจดจ่อได้ เพียงแต่ว่าในชั้นแรกนี้ จะให้ดีอย่าเพิ่งรีบไปยุ่งกับความคิดตรงๆ

การจดจ่อจะก่อให้เกิดแรงเหวี่ยงหรือโมเมนตัมที่หากเราจดจ่อถี่พอและนานพอ ถึงจุดหนึ่งเมื่อเลิกจดจ่อแล้วในใจของเราก็ยังเหลืออยู่แต่ “เป้า” ยังไม่มีความคิดแทรกเข้ามา อยู่แบบนี้ไปได้อีกนาน จนแรงเหวี่ยงหรือโมเมนตัมนั้นหมดแรงลง

อุปมาเหมือนการปั่นจักรยาน หากเราออกแรงปั่นให้ล้อหมุนเร็วๆและนานๆ พอเราหยุดปั่นมันล้อมันจะยังหมุนของมันเองได้ต่อไปอีกพักใหญ่เพราะอาศัยแรงโมเมนตัม จนหมดแรงโมเมนตัมจักรยานจึงจะหยุด

เมื่อเราจดจ่อๆๆๆ ซ้ำๆๆ นานๆ มันจะค่อยๆเกิดโมเมนตัมขึ้น ครั้นเราเลิกจดจ่อ โมเมนตั้นนั้นจะส่งให้ในใจว่างจากความคิดไปพักใหญ่ ณ จุดนี้เราไม่ต้องจดจ่อแล้ว ไม่ต้องเป็น doer แล้ว เราเป็นแค่ผู้สังเกตที่คอยรับรู้ประสบการณ์ว่าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นเท่านั้น คือเราเปลี่ยนจาก doer มาเป็น experiencer ช่วงที่เราเปลี่ยนเป็น experiencer นี้แม้ไม่ได้จดจ่อแต่ก็มีสมาธิดีมาก สิ่งรบกวนจากภายนอกจะตามเข้ามารบกวนไม่ถึง เหมือนคนที่กำลังง่วนกับงานอดิเรกอยู่ได้ที่ ใครมาเรียกก็ไม่ได้ยิน เหมือนว่าวที่เริ่มติดลม ไม่ต้องคอยสาวสายว่าวมากก็ลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ ดังนั้นในการฝึกจดจ่อสมาธิที่เราจะทำให้วันนี้ จะต้องยอมรับก่อนว่าเราต้องลงแรงมากหน่อยในช่วงแรก และต้องให้เวลาแต่ละครั้งในการตั้งใจจดจ่อนานพอที่จะเกิดแรงส่งให้ถึงจุดที่เลิกจดจ่อได้

เมื่อมาถึงจุดที่เลิกจดจ่อได้ ณ จุดนี้แม้จะไม่มีความคิดแทรกแล้ว แต่ “เป้า” ที่พาเรามานั้นยังอยู่ ให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายลงให้สุดๆ ให้สังเกต “เป้า” อย่างแยบยล ไม่มีการจดจ่อใดๆเลย 0% ไม่มีการใช้ความพยายามใดๆเลย คือ effortlessness นี่เป็นคำสำคัญนะ effortlessness หากแรงส่งจากการจดจ่อที่เราทำมามากพอ เราจะดำรงความตื่นและรู้ตัวอยู่ได้ โดยที่ “เป้า” ที่พาความสนใจเรามานั้นจะค่อยๆหายไปเอง หากเป็นการใช้โอมเป็นมันตราเราก็จะพบว่าความจำเป็นที่จะต้องเปล่งเสียงโอมในใจนั้นเบาลงๆ และห่างไปๆ จนไม่ต้องเปล่งเสียงอะไรเลย

เมื่อมาถึงตรงนี้ ให้สังเกตนิดหนึ่งว่าตรงนี้มันเป็นความตื่น รู้ตัว มีความพร้อมที่จะรับรู้อะไรได้อย่างเฉียบไวทันทีจนความรู้อะไรใหม่ๆหรือพลังสร้างสรรค์ดีๆอาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นที่ปลอดความคิดซึ่ง “อีโก้” เจ้าประจำคอยชงขึ้นมา ที่ตรงนี้เราเห็นชัดว่าอีโก้ไม่ใช่เรา เราเป็นผู้เห็นอีโก้ แต่ไม่มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับอีโก้ นี่เป็นคำสำคัญอีกคำหนึ่งนะ คือเราเปลี่ยนตัวตนจากตัวตนเดิมมาเป็นไม่ใช่ตัวตนเดิม (change of identity) ที่ตรงนี้จึงเป็นที่มีความสงบเย็น ไม่ตื่นตูม มีความพร้อมที่จะ “นิ่ง” ดูทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาสู่ชีวิตไปทีละโมเมนต์ ก่อนที่จะสนองตอบออกไปด้วยสติ ทีละช็อต ทีละช็อต

ที่ตรงนี้แหละที่เป็นส่วนลึกที่สุดของชีวิตเรา หากเราใช้ที่ตรงนี้เป็นฐานที่มั่นในการดำรงชีวิตประจำวัน ก็จะเป็นการใช้ชีวิตของเราแบบทั้งสงบเย็น ทั้งสร้างสรรค์ โดยไม่เกี่ยวกับว่าสถานะการณ์ในชีวิตในแต่ละวันจะเป็นอย่างไร

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

15 สิงหาคม 2566

ผอมลงอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ไม่อยากผอม

(ภาพวันนี้ / บัวสวรรค์)

คุณหมอสันต์ครับ
ผมอายุ 54 ปี มีปัญหาน้ำหนักลดลงมาอย่างรวดเร็ว จากเดิม 68 กก. เมื่อปีก่อนตอนนี้เหลือ 49 กก. ผมเป็นคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ เข้าวิ่งมาราธอนเป็นประจำ ไม่เคยเป็นโรคอะไร ไม่มีอาการผิดปกติ ไม่ได้กินยาอะไร ผลตรวจสุขภาพประจำปีก็ไม่เห็นหมอบอกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ทำไมถึงผอมลงมาก ภรรยาไล่ให้ไปตรวจเพราะเธอกลัวผมเป็นมะเร็ง เธอบอกให้ผมทำ CT ทั้งตัว เพื่อนที่ซี้กันกระซิบถามผมว่ามึงเป็นเอดส์หรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ได้มีความเสี่ยงอย่างนั้น

ขอคำแนะนำจากคุณหมอสันต์ครับ

………………………………………………

ตอบครับ

1. ถามว่าการผอมลงอย่างรวดเร็วเป็นโรคหรือเปล่า ตอบว่าเป็นโรคสิครับ ในทางการแพทย์มีชื่อโรคหนึ่งว่า Unintentional weight loss แปลว่าน้ำหนักลดโดยไม่ได้จงใจลด นิยามว่าคือการที่น้ำหนักลดลงมาเองมากกว่าเดิมเกิน 5% ในเวลา 1 ปี ผู้ป่วยโรคนี้เกือบทั้งหมดจะผอมผิดปกติ คือมีดัชนีมวลกาย (BMI) ต่ำกว่า 18.5 กก./ตรม. ดัชนีมวลการได้จากการเอาน้ำหนักเป็นกก.เป็นตัวตั้งแล้วหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรสองครั้ง ยกตัวอย่างเช่นคุณมีน้ำหนัก 49 กก. สูง 170 ซม. ก็เอา 49 กก. ตั้งแล้วเอา 1.70 เมตร ไปหาร หารครั้งที่หนึ่งได้ 28.8 ก็เอาค่าที่ได้ 28.8 นี้ตั้ง เอา 1.70 ไปหารอีกเป็นครั้งที่สอง ได้ 16.9 นั่นแหละคือดัชนีมวลกายของคุณ ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งชี้ว่าคุณผอมผิดปกติมาก คนที่ผอมผิดปกติถือเป็นดัชนีวัดสุขภาพสำคัญที่ต้องแก้ไข เพราะหากไม่แก้ไขพบว่าจะมีอัตราตายมากกว่าคนปกติอีกหนึ่งเท่าตัว และคนผอมผิดปกติจะมีคุณภาพชีวิตต่ำกว่าคนน้ำหนักปกติ ในแง่ที่คนผอมผิดปกติมักมีกล้ามเนื้อลีบทำให้ทำกิจกรรมเพิ่มคุณภาพชีวิตไม่ได้ มักมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ มักตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า

2. ถามว่าอะไรเป็นสาเหตุให้น้ำหนักลดลงเองอย่างรวดเร็ว ตอบว่าโห..มีสาเหตุเยอะแยะ แป๊ะตราไก่ เท่าที่ผมพอจะนึกออก ผมจะเรียงตามความสำคัญก่อนหลังที่ผมพบบ่อยในชีวิตจริง มีดังนี้

สาเหตุที่ 1. กินอาหารให้พลังงานน้อยเกินไป ไม่พอกับที่ร่างกายต้องเอาพลังงานไปใช้ ร่างกายจึงต้องหันไปใช้ก๊อกสำรองก๊อกแรกคือคาร์โบไฮเดรต (ไกลโคเจน) ที่เก็บไว้ในตับออกมาเผาผลาญเป็นพลังงานแทน เมื่อไกลโคเจนหมดร่างกายก็ไปใช้ก๊อกสอง คือสลายเอาไขมันที่เก็บไว้ทั่วตัวมาเผาผลาญเป็นพลังงานแทน เมื่อไขมันที่เก็บไว้หมด ร่างกายก็ไปใช้ก๊อกสาม คือสลายเอากล้ามเนื้อที่ใช้งานอยู่ทุกวันมาเผาผลาญเป็นพลังงานแทน ผลสุดท้ายก็คือการผอมแห้งและกล้ามเนื้อลีบ คนที่กินอาหารให้พลังงานน้อยเกินไปนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกกินอาหารสุขภาพเกินขนาด จะกินนั่นก็กินไม่ได้ จะกินนี่ก็กลัวเป็นโรคนี้ จึงกินแต่อาหาร สุขภ้าพ.. สุขภาพ เช่นกินแต่ผักหญ้า ไม่กินของมันๆ ไม่กินผลิตภัณฑ์จากสัตว์เลย เป็นต้น ทำให้ร่างกายขาดแคลอรี

สาเหตุที่ 2. เป็นคนบ้าออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังกายแบบแอโรบิกซึ่งมีการเคลื่อนไหวใช้พลังงานมาก พวกนักวิ่งมาราธอนนี่แหละตัวดีนักที่มักจะเป็นโรคน้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะวิ่งมาก แต่กินน้อยแบบสุขภ้าพ..พ สุขภาพ ควบคู่ไปด้วย ทำให้ร่างกายต้องไปสลายเอากล้ามเนื้อมาใช้ ทำให้กล้ามเนื้อลีบ กระดูกพรุน และในที่สุดกระดูกหัก นี่เป็นพิมพ์นิยมของพวกนักวิ่งมาราธอนที่เติมแคลอรี่ให้ร่างกายไม่ทัน

สาเหตุที่ 3. เป็นคนขี้เครียด เพราะความเครียดใช้พลังงานของร่างกายแบบล้างผลาญ ฮอร์โมเครียดเช่นคอร์ติซอลจะเพิ่มการเผาผลาญแคลอรีอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ความเครียดเพิ่มการหดตัวของกล้ามเนื้อซึ่งทวีคูณการใช้แคลอรีขึ้นไปอีก อวัยวะที่ใช้แคลอรีมากที่สุดคือสมอง คือตัวสมองเองหนักแค่ 1.4 กก.หรือประมาณ 2% ของน้ำหนักตัวเป็นอย่างมาก แต่ใช้พลังงานถึง 20% ของที่ร่างกายใช้ ยิ่งเครียดมาก ยิ่งมีความคิดแยะ ยิ่งผอมเร็ว เพราะร่างกายใช้พลังงานแยะจนกินไม่ทัน

สาเหตุที่ 4. เป็นคนที่ไม่ชอบกินหรือไม่ยอมกิน เหตุที่ไม่ยอมกิน สาเหตุยอดนิยมเลยมีสองเหตุ คือโรคซึมเศร้า กับโรคสมองเสื่อม พวกแรกไม่มีอารมณ์กิน พวกหลังลืมไปว่าการจะมีชีวิตอยู่นี้มันต้องกินด้วย

สาเหตุที่ 5. พวกกินไม่ได้หรือย่อยไม่ได้ หมายถึงมีความผิดปกติของระบบการกินการย่อยตั้งแต่ปากถึงทวารหนัก นับตั้งแต่เหงือกไม่ดี ฟันไม่ดี เคี้ยวไม่ได้ กลไกการกลืนเสียไป กรดไหลย้อน มีโรคของกระเพาะอาหารหรือลำไส้ เช่นลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบจากแพ้อาหาร (เช่นแพ้กลูเต็น) เป็นต้น และรวมไปถึงการมีพยาธิตัวตืดอยู่ในลำไส้ด้วย

สาเหตุที่ 6. เป็นเพราะยาที่กินอยู่แล้วนั่นแหละ คนทุกวันนี้กินยามาก บางคนกินยาวันละกำมือ ทั้งยาที่ออกฤทธิ์ตรงในสมองเช่นยานอนหลับ ยาแก้ปวด ยาโรคจิต ซึ่งทำให้กินอะไรไม่ลงโดยตรง และยารักษาโรคเรื้อรังบางตัวที่หมอให้กินกันแบบไม่มีวันเลิกเช่น ยาลดไขมัน ยาลดความดันบางตัว ก็มีฤทธิ์ให้เบื่ออาหาร รวมไปถึงสารเสพย์ติดเช่นเฮโรอีน กัญชา ก็ทำให้หมดอารมณ์อยากกินอาหารได้

สาเหตุที่ 7. เป็นโรคของต่อมไร้ท่อ ทำให้ดุลยภาพของฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญเสียไป เช่นเป็นเบาหวาน เป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เป็นต้น

สาเหตุที่ 8. เป็นโรคเรื้อรัง ที่ใช้ทรัพยากรของร่างกายไปมาก เช่นการติดเชื้อในกระแสเลือด โรคหัวใจล้มเหลว โรคปอดเรื้อรัง โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง โรคเอดส์ โรคโลหิตจางเรื้อรังโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดจากการเสียเลือดในทางเดินอาหารทีละเล็กทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว เป็นต้น

สาเหตุที่ 9. เป็นมะเร็งซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ในร่างกาย

สาเหตุที่ 10. คือความแก่ ผมหมายถึงว่า ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์เรานี้เมื่อแก่ตัวแล้วจะเบื่ออาหารและผอมลง (physiologic anorexia of aging) เพราะตัวฮอร์โมนก่อความอิ่ม (satiating hormone) หลายชนิดเพิ่มขึ้นในกระแสเลือด เพียงแต่การผอมด้วยเหตุความแก่นี้ การลดของน้ำหนักจะไม่เป็นไปอย่างฮวบฮาบ คือไม่ถึงขนาดเกิน 5% ต่อปี

3.. ถามว่าจะแก้ไขน้ำหนักลดพรวดพราดนี้ได้อย่างไร ตอบว่าให้ทำเป็นขั้นตอน ดังนี้

3.1 ปรับนิสัยการกินก่อน กินให้ได้แคลอรีพอเพียง กินข้าว กินแป้ง กินคาร์โบไฮเดรต กินไขมันไม่อิ่มตัวเช่นถั่ว นัท อะโวกาโด ให้แยะๆ หรือจะให้ง่ายกว่านั้น ให้ใช้นโยบายกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ต้องกลัวจะเป็นโรคนั้นโรคนี้ เพราะโรคผอมลงอย่างรวดเร็วที่คุณเป็นอยู่นี้ก็พร้อมที่จะทำให้คุณตายได้แล้ว ไม่ต้องกลัวโรคอื่นมากยิ่งกว่าโรคนี้

3.2 ปรับนิสัยการออกกำลังกาย ลดการออกกำลังกายลงให้พอดีกับอาหารให้พลังงานที่กินได้ เพิ่มการออกกำลังกายแบบเล่นกล้าม ลดการออกกำลังกายแบบแอโรบิกลงให้เหลือแค่หนักพอควรสัปดาห์ละ 150 นาทีก็พอ ขณะรักษาโรคผอม ผมแนะนำให้หยุดวิ่งมาราธอนไปก่อน จนกว่าน้ำหนักขึ้นจึงค่อยกลับไปวิ่งใหม่

3.3 จัดการความเครียด แบ่งเวลาให้มีเวลาพักผ่อนไม่ใช่เอาแต่ทำงานหรือเอาแต่วิ่งมาราธอน ควรจะมีเวลานอกเวลางานที่จะได้ “ใช้ชีวิต” มองดูดอกไม้ต้นไม้ให้จิตใจเบิกบาน ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีเป้าหมายว่าวันนี้ตื่นมาทำอะไร อย่าใช้ชีวิตแบบซังกะตายหรือแบบหนูถีบจักรที่ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ นอกจากนี้ควรจัดเวลานอนหลับให้พอด้วย ถ้านอนไม่หลับก็ต้องนั่งสมาธิก่อนนอนจนความคิดหมดแล้วค่อยเข้านอน

3.4 เลิกยาที่หมอให้กิน ตัวที่ไม่จำเป็น เลิกเสียให้หมด รวมทั้งยาลดไขมัน ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ ยาต้านซึมเศร้า ถ้ากินอยู่ให้เลิกให้หมด

3.5 ทำทั้งสี่อย่างข้างต้นเองแล้วรอดูผลไปสักสามเดือน หากน้ำหนักยังลดไม่เลิก ก็ต้องเข้าตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลเพื่อคัดกรองหาสาเหตุอื่นๆที่อาจจะซ่อนอยู่ เริ่มจากการตรวจพื้นฐานเช่นตรวจร่างกายโดยแพทย์ ตรวจเลือดนับเม็ดเลือดดูภาวะโลหิตจาง ตรวจเคมีของเลือด (blood chemistry) อย่างละเอียดซึ่งอย่างน้อยต้องรวมถึง (1) น้ำตาลในเลือด (ดูเบาหวาน) (2) การทำงานของต่อมไทรอยด์ (TSH, FT4) (3) การทำงานของตับ (SGPT, TB, DB, Albumin, Globulin) การทำงานของไต (GFR) สารชี้บ่งการอักเสบ (EST และ hCRP) ตรวจเชื้อ HIV ตรวจอุจจาระหาไข่พยาธิและเลือดตกค้างในอุจจาระ (stool exam) ในกรณีของคุณนี้ซึ่งอายุห้าสิบกว่าแล้วควรถือโอกาสส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) เพื่อคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และค้นหาจุดเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนล่างไปด้วยเสียเลย หากตรวจทั้งหมดนี้แล้วยังไม่พบสาเหตุ ผมเห็นด้วยกับภรรยาของคุณว่าควรตรวจ Total Body CT เพื่อค้นหามะเร็งที่อาจซุกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในร่างกาย

3.6 ถ้าทำสี่อย่างข้างต้นก็แล้ว ตรวจทั้งหมดนี้ก็แล้ว ยังไม่เจออะไรอีก และยังไม่หายผอม ก็ให้กลับบ้านแล้วมีชีวิตอยู่กับความผอมต่อไปโดยยอมรับมันซะ

3.7 การรักษาโรคผอมด้วยยา ไม่ใช่หลักวิชาแพทย์ที่ถูกต้อง ไม่มียาที่อย.อนุมัติให้รักษาโรคผอมเลยสักตัวเดียว แต่แพทย์ชอบเอายาอื่นมาใช้รักษาโรคผอมแบบ off label (แบบแอบใช้ใต้โต๊ะ) ซึ่งเป็นการประกอบวิชาชีพอย่างผิดวิธี หมอสันต์ไม่เห็นด้วยเลย เช่นให้กินยาต้านซึมเศร้าชื่อ   Mirtazapine (Remeron) เพื่อให้เกิดความอยากอาหาร เป็นต้น หรือให้กินฮอร์โมนเพศเทียมตัวหนึ่งชื่อ megestrol เพื่อให้อยากอาหาร หรือให้กินยาแก้แพ้เช่น cyproheptadine หรือแม้กระทั่งให้ยาที่เมืองนอกเขาห้ามใช้แต่เมืองไทยมีให้ใช้ชื่อ pizotifen (Mosegor) ทั้งหมดนี้ไม่มีหลักฐานว่ามียาตัวไหนลดการตายจากโรคผอมได้แม้แต่ตัวเดียว ดังนั้นหมอสันต์ไม่แนะนำให้ใช้ยารักษาโรคผอมใดๆทั้งสิ้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

14 สิงหาคม 2566

หมอสันต์จะไปบรรยายและเปิดตัวหนังสือที่สยามออริจินส์ ในมิวเซียมสยาม 21 สค. 66

(ภาพวันนี้/ Siam Origin ใน Museum Siam)

ก่อนตอบคำถามวันนี้ ขอแจ้งข่าวและโฆษณาว่าหมอสันต์จะไปพูดเรื่อง “การจัดการความเครียด” ที่ร้านสยามออริจินส์ ในมิวเซียมสยาม และถือโอกาสเปิดตัวหนังสือ “คัมภีร์สุขภาพ” อย่างเป็นทางการเสียด้วย ในวันจันทร์ที่ 21 สค. 66 เวลา 10.30 – 12.00 น. ท่านผู้สนใจทั่วไปสามารถเข้าฟังบรรยายได้ฟรี ไม่มีค่าลงทะเบียน ไม่ต้องจองล่วงหน้า แบบมาก่อนได้ที่นั่งก่อน หากที่นั่งเต็มก็ยืน หลังการบรรยายท่านสามารถกินอาหารกลางวันที่ร้านสยามออริจินส์ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยสุขภาพในแนว Pre/Probiotic ได้เลย จะให้ดีไปถึงแล้วควรสั่งอาหารของท่านล่วงหน้าเขาจะได้เตรียมไว้ให้ได้พอดีเมื่อบรรยายจบ

สยามมิวเซียม อยู่ตรงทางออกที่ 1 ของสถานีรถใต้ดิน (MRT) สนามไชย กลางเกาะเกาะรัตนโกสินทร์ หากมาโดยรถยนต์ ในมิวเซียมสยามมีที่จอดรถให้ กรณีที่จอดเต็มก็ไปจอดที่ยอดพิมานริเวอร์วอล์คได้

แฟนบล็อกที่สนใจและจัดเวลาได้ก็พบกันนี่นั่นนะครับ

………………………………………………………………..

กราบเรียนขอคำแนะนำคุณหมอสันต์ดังนี้ค่ะ
แมวที่เลี้ยงมาตั้งแต่อายุ 2 เดือน ตรวจพบอาการโรคหัวใจตั้งแต่กำเนิดเมื่ออายุได้ 9เดือน ได้รับยารักษาตามอาการมาตลอด ขณะนี้ แมวอายุ 1 ขวบ 9 เดือน เริ่มมีภาวะน้ำท่วมปอดถี่ขึ้นประมาณ 2 เดือนครั้งค่ะ คำถามคือ เราจะมีวิธีจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอย่างไร เพราะความสงสาร ไม่สามารถทนดูวาระสุดท้ายของแมวที่เลี้ยงเหมือนลูกได้ค่ะ
ด้วยความเคารพ

…………………………………………………..

ตอบครับ

ตอนแรกนึกว่าหมอสันต์เดี๋ยวนี้ถึงขนาดเปิดรับรักษาโรคหัวใจล้มเหลวให้แมวได้ด้วย แต่พออ่านละเอียดจึงรู้ว่าเป็นเรื่องความทุกข์จากความยึดถือเกี่ยวพันในใจของเจ้าของที่มีต่อแมว เห็นเป็นจดหมายที่แปลกแหวกแนว ผมจึงหยิบมาตอบ

ประเด็นที่ 1. ความยึดถือเกี่ยวพันกับชีวิตอื่น ก็คือการที่ใจของเราขยายอัตตาของเราออกไป โอบรับอีกชีวิตหนึ่งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เหมือนแม่ที่โอบรับเอาลูกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตนเอง เหมือนสามีภรรยาที่แต่งงานอยู่กินกันมานานๆจะโอบเราเอาอีกฝ่ายหนึ่งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตนเอง เมื่อคู่สมรสเสียชีวิตไป ผู้ป่วยมักจะพูดกับผมว่า “เหมือนชีวิตตัวเองขาดหายไปครึ่งหนึ่ง” แท้จริงแล้วส่วนที่ขาดหายไปนั้นคือ “ตัวตน” หรือ “สำนึกว่าเป็นบุคคล” หรือ identity ของเรานั่นเอง ดังนั้นความทุกข์จากการเห็นแมวที่รักและผูกพันกำลังจะตายลงไปต่อหน้า ก็คือความทุกข์จากความยึดถือเกี่ยวพันกับตัวตนของเรานั่นเอง ความยึดถือเกี่ยวพันชนิดนี้มีในใจของมนุษย์เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวหรือไม่ก็ตาม อาจมีดีกรีที่แรงบ้างค่อยบ้างแตกต่างกันไปในแต่ละคน

ตัวตนนี้ในความเป็นจริงมันเป็นชุดของความคิดที่ใจเราสมมุติขึ้นหรือทึกทักเอาว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แค่นั้นเอง หมายความว่าตัวความยึดถือเกี่ยวพันมันเป็นแค่ความคิด ซึ่งมีธรรมชาติเกิดขึ้นแล้วก็ดับหายไป ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าเรายึดถือเกี่ยวพันมากแค่ไหน แต่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันก็จะดับหายไปแน่นอน จะช้าหรือเร็วก็จะดับหายไป แม้ใจเราจะแย้งว่าไม่หรอก เพราะเราผูกพันมากเราจะพยายามเลี้ยงความผูกพันนี้ไว้ แต่ชื่อว่าเป็นความคิดแล้ว เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะต้องแปรเปลี่ยน และท้ายที่สุดก็จะดับหายไปไม่มีเป็นอย่างอื่นไปได้ และการดับหายไปของความคิดยึดถือเกี่ยวพันนี่แหละ ที่เป็นนิยามของคำว่า “สงบเย็นเป็นสุข” แล้วเราก็ไม่ต้องทำอะไรมากเลย แค่รับรู้ว่าความคิดยึดถือเกี่ยวพันมาเกิดขึ้นมาแล้ว ให้เฝ้าดูมันอย่างผู้สังเกต “อิน” กับมันได้ระดับหนึ่ง พองาม ไม่ต้องอินมากเกินไปเพราะมันเป็นแค่ความคิด นานไปมันก็จะค่อยๆดับหายไปเอง

ประเด็นที่ 2. ชีวิตเรานี้มีธรรมชาติไหลไปในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรสถิตย์สถาพร (impermanence) หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรานี้ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้เลย เราทำได้แค่ไหลตามความเปลี่ยนแปลงไป แต่ “ตัวตน” ของเราพร่ำบอกว่าส่วนที่เราสมมุติขึ้นมาว่าเป็น “ตัวตน” ของเรานี้เป็นสิ่งที่สถิตย์สถาพร หากเราเผลอเชื่อเช่นนั้น ความทุกข์ก็จะเริ่มที่ตรงนั้นแหละ เริ่มตรงที่เมื่อเราปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบตัวซึ่งหมายความรวมไปถึงร่างกายของเราเองด้วย ดังนั้นการแก้ทุกข์ก็คือการยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัว ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแล้ว หน้าที่ของเราคือตัดสินใจเลือกว่าจะสนองตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ไม่ใช่ไปปฏิเสธมัน

ประเด็นที่ 3. การเฝ้าเป็นสักขีพยานการตายของชีวิตอื่นที่เรารักเป็นประสบการณ์ที่ดีของชีวิต ประสบการณ์นั้นจะนำบางด้านของชีวิตซึ่งเราไม่เคยรับรู้ขึ้นมาไฮไลท์หรือรับรู้ได้ เช่น (1) พลังงานที่เชื่อมโยงทุกชีวิตเข้าด้วยกันที่เรียกง่ายๆว่า “เมตตาธรรม” หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “Grace” (2) ความโอนอ่อนผ่อนปรนให้กับความเยือกเย็นไม่เร่งร้อนหรือเร่งรัดอะไร (3) ความรู้สึกปล่อยวางอัตตา เช่นความอยาก “ให้” จะมีมากกว่าความอยาก “เอา” เป็นต้น ดังนั้น การที่คุณได้อยู่กับแมวของคุณก่อนเขาหรือเธอตาย เป็นโอกาสดีที่จะได้นำด้านดีๆของชีวิตทั้งสามประการนี้ขึ้นมาสู่การรับรู้และไฮไลท์ให้มันชัดขึ้น อันจะเป็นต้นทุนให้คุณดำเนินชีวิตแบบยอมรับและไหลไปกับกระแสของชีวิตได้อย่างราบรื่นต่อไป

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

12 สิงหาคม 2566

นึกว่าจะทำแค่สวนหัวใจวินิจฉัยโรค แต่ได้ทำบอลลูนใส่ขดลวดเป็นของแถม

(ภาพวันนี้ / เล็บมือนาง)

เรียนคุณหมอสันต์

หนูสับสนไปหมด ว่าพ่อไม่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกอะไร  เดินไกลไม่เหนื่อย แค่ตรวจสุขภาพเจอ EKG ผิดปกติ  หมอ รพ.เอกชนเลยให้ฉีดสี เจอตีบ1เส้น หมอทำบอลลูนเลย…คุณพ่อจากความดันปกติ…. หมอทำบอลลูนให้   พออีก2อาทิตย์ย้ายกลับ ตจว. ไปหาหมอ ตจว. ความดันสูง จากก่อนทำไม่สูง…. หมอจ่ายยาลดความดันเพิ่มมาอีก  ตอนนี้สับสนไปหมด ว่าคนไม่มีอาการอะไร ทำไมหมอถึงทำบอลลูน  หมอหวังดีกับคนไข้ หรือ หวังเคสเอาเงินเข้ารพ. เพราะเป็นเอกชน แล้วหมอไม่ได้แจ้งรายละเอียดว่าหลังทำต้องกินยาตลอดชีวิต แล้วพ่อก็ไม่ได้ตัดสินใจเองว่าจะทำหรือไม่ทำ หนูนึกว่าแค่ฉีดสีดูว่าตีบกี่เส้น  เลยเซ็นเอกสาร..โดยที่ไม่ได้อ่านรายละเอียด เขาให้เซ็นรับทราบก็เซ็น ก่อนหน้านั้นพ่อแข็งแรงมาก  พอโดนทำบอลลูนร่างกายผอมลง  เดินเหมือนไม่มีแรง เสียใจไม่รู้คิดถูกหรือผิด ที่ให้พ่อทำบอลลูน หมอก็ไม่อธิบายละเอียด ว่าหลังทำต้องกินยาตลอดชีวิตก่อนให้คนไข้ตัดสินใจทำ มีแต่บอกว่า ถ้าคุณพ่อไม่ทำ เสี่ยงวูบไปได้นะ!

แต่หนูไม่อยากให้ทำบอลลูนเลยค่ะ กลัวพ่อลืมกินยา คิดมากไปหมดเลยค่ะ

………………………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่า เป็นทุกข์เพราะห่วงพ่อซึ่งถูกหมอทำบอลลูนใส่ขดลวดไปแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจจะให้หมอทำบอลลูน ไม่ได้ยินยอมให้ทำบอลลูน แต่หมอก็ทำไปแล้ว จะทำอย่างไรดี ตอบว่า ปัญหาอยู่ที่ความเป็นห่วงพ่อในใจของคุณ หมายความว่าปัญหาคือความคิดจินตนาการเกี่ยวกับอนาคตในทางร้ายของคุณเอง ก็ต้องแก้ตรงนี้ครับ คือแก้ที่ใจของคุณเอง คุณต้องวางความคิดลง หากวางความคิดไม่เป็น หรือวางไม่ลง ก็ให้คิดไปทางบวก คือทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วจบไปแล้ว จะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บให้ใจเราขุ่นมัวอีกอีกทำไม

2.. ถามว่าหมอหวังดีกับคนไข้ หรือหวังเคสเอาเงิน ตอบว่า เอ้อ..แล้วหมอสันต์จะรู้ไหมเนี่ย หิ..หิ

3. ถามว่าการที่พ่อต้องมากินยาตลอดชีวิตแล้วพ่อเป็นคนขึ้ลืมอีกต่างหากจะรอดไหม ตอบว่าคนที่กินยากันวันละกำมือทุกวันนี้เกือบทั้งหมดก็เป็นคนขี้ลืมทั้งนั้นแหละ ลืมจริงๆบ้าง แกล้งลืมบ้าง ผมเองไม่เห็นมีใครตายเพราะลืมกินยาสักคน ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลในประเด็นนี้ดอก ยังไงชีวิตก็ต้องดำเนินไป และยังไงท่านก็เอาตัวรอดของท่านได้

4. ถามว่าพ่อไม่เคยเป็นความดัน ไม่เคยกินยาลดความดัน อยู่ๆหมอก็มาให้ยาลดความดัน จะแก้ไขอย่างไร ตอบว่าในอนาคตหากท่านความดันเลือดไม่ได้สูง คุณสามารถค่อยลดหรือเลิกยาลดความดันได้ด้วยตนเอง โดยใช้ความดันตัวบนเป็นตัวชี้นำในการลดยา คือก่อนจะลดยาให้ลดความดันด้วยวิธีสี่อย่างนี้ก่อน คือ (1) เปลี่ยนอาหารมากินพืชผักผลไม้ให้มากขึ้น หรือกินมังสวิรัติไปเลยก็ได้ (2) ออกกำลังกายให้หนักพอควรทุกวัน (3) ลดเกลือในอาหารลง คือกินจืดไม่กินเค็ม (4) จัดการความเครียดและการนอนหลับให้ดี ทำอย่างนี้ไป แล้วคอยวัดความดันทุก 2 สัปดาห์ หากความดันตัวบนไม่เกิน 140 มม.ก็ให้ค่อยๆลดยาลงได้โดยลดทีละตัว ตัวที่ลดให้ลดลงทีละครึ่งหนึ่ง แล้วใจเย็นๆรอวัดความดันซ้ำอีกใน 2 สัปดาห์ ทำอย่างนี้ไปจนลดยาจากหนึ่งเม็ดเหลือครึ่งเม็ด จากครึ่งเม็ดเหลือครึ่งเม็ดวันเว้นวัน ถ้าความดันยังไม่เกิน 140 มม.อีกก็หยุดยาได้

5. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ การทำบอลลูนไปแล้วจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่สำคัญ เพราะขดลวดที่เอาไปแหมะไว้ที่ผนังหลอดเลือดนั้นไม่กี่วันเยื่อบุหลอดเลือดก็จะแผ่คลุมเป็นผิวเรียบไม่มีรอยขรุขระที่จะกระตุ้นให้เลือดมาจับกันเป็นก้อนตรงนั้นอีกถ้าโรคตรงนั้นไม่ดำเนินต่อไป

แต่สิ่งที่สำคัญก็คือการที่โรคที่ผนังหลอดเลือดจะดำเนินต่อไป ดังนั้นการจัดการปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้หลอดเลือดที่ตีบมาก่อนแล้วไม่ตีบต่อไปอีก ซึ่งก็คือปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดที่คุณรู้ดีอยู่แล้ว เช่น สูบบุหรี่ กินอาหารไขมันสูง มีความดันเลือดสูง เป็นเบาหวาน ไม่ได้ออกกำลัง เป็นต้น ให้ผู้ป่วยสนใจที่จะจัดการปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ให้ขยันประเมินตัวชี้วัดจำเป็น 8 ตัว คือ (1) น้ำหนัก (2) ความดัน (3) ไขมัน (4) น้ำตาล (5) การกินพืชผักผลไม้ (6) การออกกำลังกาย (7) การไม่สูบบุหรี่ (8) การนอนหลับให้พอ แล้วคอยจัดการให้ตัวชี้วัดทั้งแปดตัวนี้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โรคหลอดเลือดที่เป็นแล้วก็จะค่อยๆถอยกลับได้ หากโรคที่ผนังหลอดเลือดค่อยๆถอยกลับไปสู่การเป็นหลอดเลือดปกติ โอกาสที่ขดลวดที่แหมะไว้ตรงผนังหลอดเลือดจะก่อเรื่องให้เดือดร้อนมีน้อยมาก ขอให้คุณสบายใจได้ แต่หากโรคของหลอดเลือดเดินหน้าต่อไปเพราะเราไม่ได้จัดการปัจจัยเสี่ยงให้ดีนี่สิที่จะเป็นเรื่อง เพราะหลอดเลือดนั้นก็จะตีบมากขึ้น ไม่ว่าจะตีบตรงที่ใส่ขดลวดหรือตีบตรงอื่นก็ตาม แล้วจบลงด้วยจุดจบที่เลวร้ายของโรคซึ่งเราไม่ควรปล่อยให้ไปจบอย่างนั้น

6. ข้อนี้สำหรับท่านผู้อ่านท่านอื่นที่ยังไม่เคยทำบอลลูนใส่ขดลวด ว่าในกรณีที่ท่านไม่ได้เป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (หมายถึงไม่ได้มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกต่อเนื่องนานเกิน 20 นาทีแล้วก็ยังไม่หายจนต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาล) เพียงแค่ไปตรวจสุขภาพประจำปี ถ้าหมอจะอ้างอะไรก็ตามแล้วเสนอให้รับการตรวจสวนหัวใจ (CAG) ให้ท่านมองข้ามช็อตไปก่อนว่าอาการป่วยที่ท่านกำลังเป็นอยู่นี้มันรบกวนคุณภาพชีวิตท่านมากจนท่านจะต้องตัดสินใจทำบอลลูนหรือผ่าตัดบายพาสหรือไม่ หากอาการมันมากจนท่านตัดสินใจได้ล่วงหน้าเลยว่าหากหมอชวนให้ทำบอลลูนหรือบายพาสท่านก็จะยอมทำ ให้ท่านเข้ารับการตรวจสวนหัวใจได้ แต่หากท่านมองข้ามช็อตไปแล้วว่าอาการที่ท่านเป็นนี้มันไม่ได้รบกวนอะไรท่านมากเลยและยังไงท่านก็จะไม่ทำบอลลูนหรือบายพาสเพราะอาการแค่นี้ ก็อย่ายอมเข้ารับการตรวจสวนหัวใจ เพราะ..(ขอโทษ) จะเป็นการแกว่งตีนหาเสี้ยนเปล่าๆ

อนึ่ง ให้ใส่ใจพิจารณาจากข้อมูลความจริงจากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อย่าไปว่อกแว่กกับคำขู่ที่ว่าถ้าไม่ทำแล้วจะมีอันเป็นไป เช่น วูบหมดสติ หรือตายกะทันหัน เป็นต้น เพราะข้อมูลความจริงที่เป็นสถิติจากการวิจัยคือคนที่ไม่ได้เป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน แค่มีอาการเจ็บหน้าอกแบบไม่ด่วน การรักษาแบบรุกล้ำ (บอลลูน) กับการรักษาแบบไม่รุกล้ำ ทั้งสองแบบมีความยืนยาวของชีวิตไม่ต่างกัน หมายความว่าประโยชน์ของบอลลูนมีแค่การบรรเทาอาการ แต่ไม่ได้เพิ่มความยืนยาวของชีวิต หรือในบางกรณีทำบอลลูนกลับทำให้แย่ลง กล่าวคือ

   – งานวิจัย RITA-II trial เอาคนไข้แบบนี้ 1,018 คน สุ่มแบ่งครึ่งหนึ่งไปทำบอลลูนใส่สะเต้นท์อีกครึ่งหนึ่งไม่ทำ พบว่ากลุ่มทำบอลลูนมีอาการทุเลาลงมากกว่าแต่ขณะเดียวกันก็มีจุดจบที่เลวร้าย(ตัวคนไข้ตาย+กล้ามเนื้อหัวใจตาย) มากกว่า (6.3%)เมื่อเทียบกับกลุ่มไม่ทำ (3.3%)

     – งานวิจัย AVERT ซึ่งเปรียบเทียบคนไข้แบบนี้ 341 คน พบว่ากลุ่มกินยาลดไขมันอย่างเดียวโดยไม่ทำบอลลูนกลับมาเจ็บหน้าอกใน 18 เดือน เป็นจำนวน13% ขณะที่กลุ่มทำบอลลูนกลับมาเจ็บหน้าอก 21% คือพวกทำบอลลูนกลับเจ็บหน้าอกมากกว่า

     – งานวิจัย COURAGE trial ซึ่งเลือกเอาเฉพาะคนที่มีรอยตีบที่โคนหลอดเลือด (ยกเว้นโคนใหญ่ซ้าย LM) อย่างน้อย 70% ขึ้นไป ตีบหนึ่งเส้นบ้าง สองเส้นบ้าง สามเส้นบ้าง ที่มีอาการเจ็บหน้าอก class I-II และที่วิ่งสายพาน (EST) ได้ผลบวกด้วย แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งทำบอลลูน อีกกลุ่มหนึ่งไม่ทำ แล้วติดตามดูไปนานเฉลี่ย 4.6 ปี พบว่าทำบอลลูนกับไม่ทำมีอัตราการตายกับการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในห้าปีไม่ต่างกันเลย

     – งานวิจัย MASS ซึ่งนับเอาจุดจบเลวร้ายหลายอย่างเป็นตัวชี้วัดรวม (คือนับทั้งตัว (1) การที่ตัวคนไข้ตาย (2) การที่กล้ามเนื้อหัวใจตาย (3) การเจ็บหน้าอกแบบดื้อด้านหลังทำ) หลังจากการเปรียบเทียบกันไปสามปีพบว่ากลุ่มที่ทำบอลลูนมีจุดจบเลวร้ายมากกว่า (24%) เมื่อเทียบกับกลุ่มไม่ทำ (17%)

7. ก่อนตัดสินใจตรวจสวนหัวใจหรือทำบอลลูน ควรแม่นยำเรื่องข้อมูลความเสี่ยงของการทำหัตถการทั้งสองนี้ ซึ่งผมขอเอามาทบทวนให้ฟัง ดังนี้

7.1 ความเสี่ยงของการตรวจสวนหัวใจ (CAG)

     7.1.1 โอกาสตายเพราะสวนหัวใจ 0.1% คือประมาณว่าทุก 1000 คนจะตาย 1 คน (ตัวเลขจากผู้ป่วย 2 แสนคน)
     7.1.2 โอกาสเกิดไตวายเฉียบพลัน (Cr เพิ่มเกิน 1.0 mg/dl) มี 5% ของผู้ป่วย แต่การทำงานของไตจะค่อยๆกลับเป็นปกติในไม่กี่วัน ที่จะกลายเป็นไตวายเรื้อรังจนต้องล้างไตมีน้อยกว่า 1 % 
     7.1.3 โอกาสเป็นอัมพาตเฉียบพลันภายใน 36 ชม.หลังทำ 0.1 – 0.6%
     7.1.4 โอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการฉีดสี มีต่ำกว่า 0.1%
โอกาสติดเชื้อรวมทั้งติดเชื้อในกระแสเลือด มี 0.06% หากทำที่ขา และสูงถึง 0.6% หากทำที่แขน

     นอกจากนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนจิ๊บๆเช่นเลือดออกตรงที่แทงเข็ม เป็นต้น

    7.2 ความเสี่ยงจากการทำบอลลูนใส่สะเต้นท์

     7.2.1 โอกาสตายในรพ. 1.4 – 2.6% ยิ่งรพ.เล็กทำบอลลูนนานๆทียิ่งตายมาก
     7.2.2 โอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันแบบมีคลื่น STEMI 0.4%
     7.2.3 โอกาสตายในหนึ่งปีหลังจำหน่ายออกจากรพ. 0.4 – 2.4%
     7.2.4 โอกาสเกิดการถูกทิ่มทะลุหลอดเลือด 0.2-0.6%
     7.2.5 โอกาสเกิดสะเต้นท์อุดตันในหนึ่งปีแรก 10-20%
     7.2.6 โอกาสเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารขนาดหนักจากการกินยาต้านเกล็ดเลือดสองตัว 2.9% ถ้าไม่ใช้ยา PPI ซึ่งลดเหลือ 1.1% ถ้าใช้ยา PPI

     นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงอื่นๆที่วงการแพทย์รู้ว่ามีอยู่จริง แต่ยังนิยามอุบัติการณ์ออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ เช่น ความเสี่ยงที่เลือดจะออกในสมองจากการควบยาต้านเกล็ดเลือดสองตัว ความเสี่ยงที่จะเกิดไตวายเรื้อรังจากการใช้ยาลดการหลั่งกรด (PPI) นานๆ เป็นต้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Levine GN, Bates ER, Blankenship JC, Bailey SR, Bittl JA, Cercek B, et al. 2011 ACCF/AHA/SCAI Guideline for Percutaneous Coronary Intervention: a report of the American College of Cardiology Foundation/American Heart Association Task Force on Practice Guidelines and the Society for Cardiovascular Angiography and Interventions. Circulation. 2011 Dec 6. 124 (23):e574-651. [Medline].

2. Fox KA, Poole-Wilson PA, Henderson RA, Clayton TC, Chamberlain DA, Shaw TR, et al. Interventional versus conservative treatment for patients with unstable angina or non-ST-elevation myocardial infarction: the British Heart Foundation RITA 3 randomised trial. Randomized Intervention Trial of unstable Angina. Lancet. 2002. 360(9335):743-51. 

3. Coronary angioplasty versus medical therapy for angina: the second Randomised Intervention Treatment of Angina (RITA-2) trial. RITA-2 trial participants. Lancet. 1997 Aug 16. 350 (9076):461-8. 

4. Pitt B, Waters D, Brown WV, van Boven AJ, Schwartz L, Title LM, et al. Aggressive lipid-lowering therapy compared with angioplasty in stable coronary artery disease. Atorvastatin versus Revascularization Treatment Investigators. N Engl J Med. 1999. 341(2):70-6. 

5. Teo KK, Sedlis SP, Boden WE, O’Rourke RA, Maron DJ, Hartigan PM, et al. Optimal medical therapy with or without percutaneous coronary intervention in older patients with stable coronary disease: a pre-specified subset analysis of the COURAGE (Clinical Outcomes Utilizing Revascularization and Aggressive druG Evaluation) trial. J Am Coll Cardiol. 2009 Sep 29. 54 (14):1303-8. 

6. Hueb W, Soares PR, Gersh BJ, Cesar LA, Luz PL, Puig LB, et al. The medicine, angioplasty, or surgery study (MASS-II): a randomized, controlled clinical trial of three therapeutic strategies for multivessel coronary artery disease: one-year results. J Am Coll Cardiol. 2004. 43(10):1743-51.

7. Hueb WA, Soares PR, Almeida De Oliveira S, Ariê S, Cardoso RH, Wajsbrot DB, et al. Five-year follow-op of the medicine, angioplasty, or surgery study (MASS): A prospective, randomized trial of medical therapy, balloon angioplasty, or bypass surgery for single proximal left anterior descending coronary artery stenosis. Circulation. 1999 Nov 9. 100 (19 Suppl):II107-13.

8. Henderson RA, Pocock SJ, Sharp SJ, Nanchahal K, Sculpher MJ, Buxton MJ, et al. Long-term results of RITA-1 trial: clinical and cost comparisons of coronary angioplasty and coronary-artery bypass grafting. Randomised Intervention Treatment of Angina. Lancet. 1998. 352(9138):1419-25. [Medline].

9. Henderson RA, Pocock SJ, Clayton TC, Knight R, Fox KA, Julian DG, et al. Seven-year outcome in the RITA-2 trial: coronary angioplasty versus medical therapy. J Am Coll Cardiol. 2003. 42(7):1161-70. [Medline].

[อ่านต่อ...]

11 สิงหาคม 2566

จะเกษียณ ต้องตัดสินใจเรื่องต่อประกันสังคม หรือใช้บัตรทอง หรือเอาบำนาญมาซื้อประกันเอกชน

(ภาพวันนี้ / ชีวิตวัยชรา ตีโครเก้ แล้วอยู่กับ ม้า นก เป็ด กวาง)

เรียน อาจารย์สันต์ ที่เคารพ

หนูได้อ่านข้อความที่อาจารย์สรุปเรื่องประกันสังคมกับบัตรทอง ซึงควรใช้บัตรทองดีกว่า

เรียนปรึกษาค่ะ ถ้ามีประกันสังคมที่โรงพยาบาลที่ดีมากอยู่แล้วเช่น …. ก็ยังควรเลือกใช้สิทธิ์บัตรทองดีกว่าใช่ไหมคะ หนูมีข้อสงสัยนิดเพื่อเรียนถาม ถ้าประกันสังคมล่ม คนที่อยู่ในประกันสังคมจะทำอย่างไรต่อคะ ระบบประกันสุขภาพมีการพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นมากๆ ทางรัฐบาลใช้งบประมาณนี้จากส่วนไหนคะ ถ้าเราต่อประกันสังคมโดยใช้สิทธิ์ที่ … ควรซื้อประกันสุขภาพเพิ่มหรือไม่คะ ยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่อง การรักษาและยาที่ได้จะเท่าเทียมโรงพยาบาบเอกขนหรือ เราสามารถขอยาที่คุณภาพดีโดยจ่ายเพิ่มได้ไหมคะ ถ้าเราเลือกรับบำนาญประกันสังคม  แล้วไปซื้อประกันสุขภาพส่วนตัว แล้วใช้สิทธิ์บัตรทอง เราก็สามารถมาหาหมอที่โรงพยาบาล … ได้อยู่ตามกระบวนการแต่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง คุณหมอจะดูแลเราต่างไปจากคนไข้อื่นไหมคะ และจะเป็นหมอประจำบ้านหรืออาจารย์หมอคะ ยังไม่ตกผลึกเลยค่ะ ตอนนี้ทุกข์เพราะตัดสินใจไม่ได้ค่ะ 

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

………………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าถ้าถือบัตรประกันสังคมซึ่งโรงพยาบาลคู่สัญญาเป็นโรงพยาบาลที่ดีถูกอกถูกใจอยู่แล้ว เมื่อเกษียณจากงานแล้วควรจ่ายเบี้ยต่อเดือนละ 423 บาทเพื่อเป็นผู้ประกันตนเอง (ม 39) หรือควรรับบำนาญประกันสังคม (ม 33) แล้วมาใช้สิทธิบัตรทองดีกว่า ตอบว่า ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความสำคัญเรื่องอะไรมากกว่ากัน กล่าวคือ

1.1 ถ้าคุณติดอกติดใจโรงพยาบาลดีที่คุณใช้อยู่มาก ส่วนเรื่องเงินบำนาญไม่สำคัญเพราะคุณมีเงินใช้แยะเหลือเฟือแล้ว การต่อสิทธิประกันสังคม (ม 39) ก็ดีตรงที่ได้อยู่กับโรงพยาบาลเดิม เพราะเป็นที่ยอมรับกันว่าการจะเข้าเป็นคู่สัญญากับโรงพยาบาลที่ดีนั้นเข้ายาก ยิ่งถือบัตรทองยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเขาบังคับเข้ารพ.ใกล้ภูมิลำเนา

1.2 ถ้าคุณมองผลประโยชน์ทางตัวเงินบำนาญเป็นลำดับความสำคัญที่ 1 คุณควรรับบำนาญตามมาตรา 33 แล้วไปใช้สิทธิรักษาพยาบาลตามบัตรทองจะดีที่สุด เพราะการต่อสิทธิประกันสังคมผ่านมาตรา 39 คุณจะเสียสิทธิประโยชน์ในการรับบำนาญไปแยะมาก เนื่องจากวิธีการคำนวณบำนาญของ ม 39 คือถือว่าเงินเดือนเฉลี่ยของคุณคือ 4800 บาท เวลาคำนวณบำนาญเขาคิดจากเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ทำให้บำนาญที่จะได้เมื่อย้ายมาอยู่ ม 39 หดลงเหลือนิด..ด เดียว เทียบกับเมื่อคุณเกษียณเอาบำนาญตามมาตรา 33 ซึ่งเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายของคนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 15,000 บาท ดังนั้นหากต่อกับม.39 ไปนานเกิน 60 เดือน บำนาญจะลดลงไปราวสามเท่า

ตรงนี้เป็นความสายตาสั้นของคนเขียนกฎหมายนี้ในตอนแรกที่ตั้งเจตนาจะช่วยคนตกงานระยะสั้นอย่างเดียว แต่ลืมนึกถึงว่าสังคมจะมีคนสูงอายุมากขึ้นและอยากจะอยู่กับระบบไปนานๆหลังเกษียณ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่จะให้ประโยชน์กับระบบ เพราะยิ่งเขาขออยู่ต่อแบบ ม. 39 ไปนาน ระบบยิ่งไม่ต้องจ่ายบำนาญให้เขา เพราะเขาตายเสียก่อน (หิ..หิ)

คุณเขียนมาเรื่องนี้ก็ดีแล้ว ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้กราบเรียนเสนอแนะให้ท่านสส.และสว.ผู้ทรงเกียรติช่วยแก้มาตรา 39 ของกฎหมายประกันสังคมอย่างเป็นทางการเสียเลย กฎหมายเขียนผิดไปได้ก็แก้ได้ไม่เห็นจะเป็นไร ประเด็นแก้ก็คือวิธีคำนวนบำนาญ ม. 39 ควรมีอีกวิธีหนึ่ง คือเปิดให้ผู้ประกันตนเอาเงินเดือน 60 เดือนสุดท้ายขณะอยู่ ม.33 มาคำนวนบำนาญแทนค่าคงที่ 4800 บาทได้ ทำอย่างนี้ก็จะได้ใจจากผู้ใช้แรงงานและคนทำงานบริษัทที่ใกล้เกษียณซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก เงินบำนาญที่จะจ่ายให้เขาก็เป็นสิทธิพึงได้ของเขาแต่เดิมนั่นแหละ แถมจะช่วยให้ระบบต้องจ่ายเงินน้อยลงเพราะยิ่งเขาขออยู่ ม.39 ไปนานเขายิ่งแก่ตัวลงก็ยิ่งมีเวลารับนำนาญน้อยลง

2.. ถามว่า ถ้าประกันสังคมล่ม คนที่อยู่ในประกันสังคมจะทำอย่างไรต่อคะ ตอบว่าก็โละไปอยู่กับบัตรทองสิครับ ตอนนี้ประกันสังคมบางประเภทเช่นมาตรา 40 ก็ถูกระบุให้ผู้ประกันตนไปใช้สิทธิสวัสดิการสุขภาพกับบัตรทองเรียบร้อยแล้ว

3.. ถามว่าระบบประกันสุขภาพมีการพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นมากๆ รัฐบาลใช้งบประมาณนี้จากส่วนไหนคะ ตอบว่าก็เอามาจากภาษีของคุณนั่นแหละ หมอสันต์เคยเขียนจดหมายบอกนายกรัฐมนตรีสมัยหนึ่งว่าให้เก็บเบี้ยบัตรทอง แต่ท่านไม่เอาด้วย

4..ถามว่าถ้าระบบบัตรทองล่มแล้วจะทำยังไงกันต่อ ตอบว่า..ก็ตัวใครตัวมันสิครับ

5.. ถามว่าถ้าต่อประกันสังคมโดยใช้สิทธิ์ที่โรงพยาบาลเดิม ควรซื้อประกันสุขภาพเอกชนเพิ่มหรือไม่คะ ตอบว่าถ้าจะเอาความสะดวกก็ควรเพราะทำให้เลือกรพ.ได้มากกว่า แต่ถ้าจะเอาคุณภาพการรักษาก็ไม่จำเป็นครับ เพราะสินไหมประกันสุขภาพเอกชนยังไงก็จ่ายในวงเงินจำกัดและจ่ายน้อยกว่าประกันสังคมหรือบัตรทองซึ่งจ่ายแบบไม่มีจำกัดอย่างเทียบกันไม่ได้

6.. ถามว่าเมื่อใช้บัตรประกันสังคมหรือบัตรทอง การรักษาและยาที่ได้จะเท่าเทียมโรงพยาบาลเอกชนหรือ ตอบว่าคุณภาพการรักษาเท่ากันแน่ แต่ความสะดวกสบายเช่นความแน่นของผู้คนและความหรูหราของหับที่หลับที่นอน ความโอภาปราศัยจ๊ะจ๋าของเจ้าหน้าที่ อาจไม่เท่ากันครับ

7.. ถามว่าเมื่อใช้บัตรประกันสังคมหรือบัตรทอง เราสามารถขอยาที่คุณภาพดีโดยจ่ายเพิ่มได้ไหมคะ ตอบว่าทุกวันนี้ฝ่ายโรงพยาบาลหรือแม้แต่ตัวแพทย์เองก็มักชอบขายยา “นอกบัญชี” ให้ผู้ป่วยจ่ายเงินซื้อเองอยู่แล้วเพราะมันเป็นรายได้เสริมของเขาทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ยานอกบัญชีหมายถึงยาที่หลักฐานวิทยาศาสตร์ยังไม่ชี้ชัดว่าคุณภาพดีกว่ายา “ในบัญชี” หรือไม่ ส่วนใหญ่เป็นยาใหม่ที่อยู่ในระหว่างการวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาเคมีบำบัด

เรื่องยานี้ผมบอกให้คุณมั่นใจได้ 100% ว่ายาในบัญชี (ซึ่งเหมือนกันทั้งสามระบบคือบัตรทอง ปกส. และข้าราชการ) มียาที่จำเป็นต่อการรักษาโรคทุกชนิดทั้งหนักและเบาครบถ้วน ความเห็นส่วนตัวของผมยังจะเห็นว่ามีมากเกินความจำเป็นไปมากแล้วด้วยซ้ำไป

8.. ถามว่าถือบัตรประกันสังคม ถือบัตรทอง ถือบัตรประกันสุขภาพเอกชน หมอจะดูแลต่างกันไหมอย่างไร ตอบว่า เป็นความจริงที่ว่าแพทย์คนเดียวกันดูแลผู้ป่วยแต่ละคนด้วยระดับความสนใจหรือการให้เวลาต่างกัน มีปัจจัยที่กำหนดตรงนี้หลายปัจจัยมาก เช่น มู้ดของแพทย์ในวันนั้น (เช่นอาจหงุดหงิดมาจากบ้าน) บรรยากาศของสถานที่ตรวจ (ยิ่งแน่นยิ่งหงุดหงิด) การได้รับผลตอบแทนเป็นตัวเงินตรงจากผู้ป่วย การมีความรู้ความสามารถพอที่จะแก้ปัญหาให้คนไข้รายนั้นหรือไม่ (ถ้าความรู้น้อยช่วยเขาไม่ได้ก็หงุดหงิด) เป็นต้น การถือบัตรอะไรมันมีความหมายเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชนที่รับรักษาผู้ป่วยหลายสิทธิ์ (เช่นรับทั้งผู้ป่วยบัตรทอง บัตรประกันสังคม และผู้ป่วยจ่ายเงินเอง) เพราะแต่ละบัตรก็จะถูกส่งไปรับการตรวจในบรรยากาศที่ความแน่นต่างกัน ส่วนในโรงพยาบาลของรัฐนั้นถือบัตรอะไรก็ไม่ต่างกันหรอกครับเพราะมัน “แน่น” แบบรูดมหาราชตลอดกาล

9. ถามว่าหากเลือกรับบำนาญประกันสังคม  แล้วไปซื้อประกันสุขภาพส่วนตัว แล้วใช้สิทธิ์บัตรทอง เราก็สามารถมาหาหมอที่โรงพยาบาล … ได้อยู่ใช่ไหม ตอบว่าใช่ครับ ในฐานะผู้ป่วยจ่ายเงินเอง ถ้ามีอะไรหนักหนาก็ขอย้ายเข้ารพ.บัตรทองของตัวเอง แต่ในการซื้อประกันสุขภาพให้พึงระวังนิดหนึ่งนะ เมืองไทยนี้เขาชอบขายประกันชีวิตแถมประกันสุขภาพ ซึ่งจ่ายเบี้ยแยะแต่ให้สิทธิประโยชน์เรื่องสุขภาพนิดเดียว ส่วนใหญ่ไม่ให้สิทธิ์การรักษาแบบผู้ป่วยนอก ต้องหนักหนาถึงแอดมิทนอนรพ.จึงจะเบิกสินไหมได้ ซึ่งหนักขนาดนั้นวงเงินก็เกินกรมธรรม์อีก ต้องย้ายเข้ารพ.บัตรทองอยู่ดี ดังนั้นหากจะประกันสุขภาพเอกชนเพื่อเอาความสะดวก ควรเลือกกรมธรรม์ที่มีวงเงินจ่ายค่ารักษาแบบผู้ป่วยนอกด้วย ซึ่งมักจะเป็นกรมธรรม์ที่เบี้ยแพง แพงกว่าเบี้ยของม.39 เป็นสิบๆเท่าขึ้นไป

10.. ถามว่ากรณีไหนอาจารย์แพทย์จะดูแลผู้ป่วยเอง กรณีไหนจะให้แพทย์ประจำบ้านหรือแพทย์ฝึกหัดดู ตอบว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชนิดของบัตรสวัสดิการที่ถือ ผู้ป่วยทุกคนมีอาจารย์แพทย์เป็นเจ้าของเหมือนกันหมด อาจารย์ทุกคนต้องเวียนกันไปนั่งตรวจผู้ป่วยนอกโดยไม่เลือกคนไข้ว่าเป็นหน้าอินทร์หรือหน้าพรหม แต่ว่าผู้ป่วยบางคนอาจไปไม่ถึงมืออาจารย์เพราะคิวของอาจารย์เต็มแล้ว หรือไม่ก็เพราะแพทย์ประจำบ้านเขาเอาอยู่ ถ้าแพทย์ประจำบ้านเอาไม่อยู่ เขาจะปรึกษาอาจารย์มาดูโดยผู้ป่วยไม่ต้องเรียกหา ยกเว้นกรณีพิเศษต่อไปนี้ซึ่งอาจารย์จะดูเองหมด คือ (1) ผู้ป่วยมีเส้น นับตั้งแต่เส้นรัฐมนตรีลงมาจนถึงเส้นพนักงานเข็นเปล ใช้ได้หมด (2) เป็นคลินิกพิเศษนอกเวลา (3) เป็นผู้ป่วยหนักปางตายหรือผู้ป่วยแปลกประหลาดที่อาจารย์สนใจเป็นพิเศษ

11. ถามว่ายังไม่ตกผลึกเรื่องแผนรักษาพยาบาลเมื่อเกษียณเลย จนเป็นทุกข์เพราะตัดสินใจไม่ได้ ทำไงดี ตอบว่าถ้าจะวางแผนดูแลสุขภาพตัวเองเมื่อเกษียณ ให้วางแผนป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตนเองด้วยการกินอาหารพืชเป็นหลัก ออกกำลังกาย จัดการความเครียด สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใกล้ตัว นอนหลับให้พอ แค่นี้พอแล้ว ซึ่งทั้งหมดนั้นต้องลงมือทำวันนี้ อย่าไปกังวลถึงว่าเมื่อป่วยแล้วจะไปโรงพยาบาลไหน นั่นมันยังมาไม่ถึง กังวลล่วงหน้าไปก็ไลฟ์บอย และ…ทุกข์ฟรี

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

ปล. จดหมายจากท่านผู้อ่าน

ถ้าเกษียนแล้ว แต่ยังอยากรักษาพยาบาลกับสิทธิ ปกส แต่ก็ไม่อยากให้เงินบำนาญปกส หดหาย เพราะถ้าส่ง ม 39 ฐานเงินเดือนจะเหลือแค่ 4800 ให้ทำเรื่องเกษียนก่อน และรับบำนาญไปอย่าเกิน 6 เดือน แล้วค่อยไปขอต่อ ม 39 จำนวนเงินบำนาญของเราต่อเดือนที่ได้รับก้อจะถูกฟรีซเอาไว้ เมื่อไหร่ที่เราหยุดส่ง ม 39 เค้าก้อจะเอาบำนาญที่เราได้รับนี้ มาคำนวนใหม่ แบบนี้เงินจะไม่หดหายค่ะ ถ้ายังงัยลองคุยกับประกันสังคมที่สำนักงานประกันสังคมนะคะ อย่าคุยกับ call center คุยกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องบำนาญโดยตรงเลยค่ะ

[อ่านต่อ...]

10 สิงหาคม 2566

Baking soda แปลว่าโซดาปิ้งขนมปัง ไม่ใช่โซดาไฟ และ เรื่องมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

(ภาพวันนี้ / หางนกยูงไทย)

ก่อนจะตอบคำถามวันนี้ขอแก้คำผิดในหนังสือ “คัมภีร์สุขภาพดี” สองจุด ซึ่งท่านผู้อ่านทักท้วงกลับมาจนหูชา หากไม่รีบแก้อย่างเป็นทางการทันทีคงจะหาความสงบในชีวิตไม่ได้

จุดแรก หน้า 35 บรรทัดที่ 4 จากข้างบน แก้ของเดิม “โซดาไฟ (baking soda)” เป็น “โซดาปิ้งขนมปัง (baking soda)” อันนี้ไม่ใช่ผิดจากการพิสูจน์อักษร แต่ผิดเพราะผู้นิพนธ์คือตัวหมอสันต์เอง ภาษาไทยแกคงไม่ค่อยจะแข็งแรง หิ..หิ

จุดที่สอง หน้า 385 บรรทัดที่ 5 จากข้างบน แก้ของเดิม “กรณีตรวจปัสสาวะแล้วได้ผลปกติโดยไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคอะไร ยังไม่ควรไปตรวจอะไรเพิ่มเติม แต่กลับมาตรวจปัสสาวะซ้ำอีกครั้งใน 2 สัปดาห์” แก้เป็น “กรณีตรวจปัสสาวะแล้วได้ผลผิดปกติโดยไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคอะไร ยังไม่ควรไปตรวจอะไรเพิ่มเติม แต่กลับมาตรวจปัสสาวะซ้ำอีกครั้งใน 2 สัปดาห์..”

……………………………………………………………….

เรียนคุณหมอที่นับถือ

ผมอายุ 44 ปี มีภรรยา มีลูกสามคน มีปัญหาท้องอืด อ่อนเพลียมากจนทำอะไรไม่ได้เลย ท้องอืดกินอะไรไม่ลง ผมไปโรงพยาบาล …. ได้ตรวจ CT แล้วพบว่ามีต่อมน้ำเหลืองในท้องโตซึ่งผมส่งบันทึกแพทย์และผลการตรวจมาให้พร้อมนี้ แพทย์ตัดชิ้นเนื้อก้อนที่ขาหนีบไปตรวจแล้วได้ผลว่าไม่พบมะเร็ง แต่หมอยังสงสัยว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จึงส่งต่อไปที่โรงพยาบาล … ซึ่งหมอสงสัยมะเร็งเม็ดเลือดขาว ได้เจาะไขกระดูกแล้วแจ้งว่าไม่ได้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว และได้ตัดชิ้นเนื้อต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ แล้วแจ้งว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ได้นัดให้ผมเข้านอนโรงพยาบาลทันทีเพื่อรับคีโม แต่ผมไม่ไปเพราะผมรู้ตัวว่าร่างกายผมอ่อนแอขนาดนี้หากให้คีโมผมตายแน่ ผมเห็นคนรู้จักคนหนึ่งให้คีโมแล้วตายเลย ผมอยากจะเลือกวิธีฟื้นฟูร่างกายด้วยวิถีธรรมชาติ ขอคำแนะนำคุณหมอว่าควรทำอย่างไรบ้างครับ

PE: Abd mild distention not tender, palpable Abdominal mass at suprapubic+Rt side,huge splenomegaly both groin node+It axilla positive enlarge but soft, not tender

CBC:WBC 33900,L82,Hb 7.9,Hct25

Ferritin=51,Serum Iron=16,TIBC=301,Transferrin saturation=5.3,SPGT11,Albumin=2.2,eGFR=78.13LDH=191

NA= 130,K=4.1,CL=104,Total Co2=25,eGFR74

MDCT scan of the whole abdomen

Multiple enlarged nodes along paraaortic,aortocalval,retrocaval,mesentery,bilateral external iliac,bilateral inguinal and bilateral internal iliac region, up to 12.1x6x1.8 cm.Probably  lymphoma. Marked hepato – splenomegaly. A 7-mm nodule at posterior basal segment of LLL.

Pathogy Report of biopsy Rt groin: reactive lymphoid hyperplasia

………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าป่วยมากและวินิจฉัยได้แน่ชัดแล้วว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (ไม่ได้บอกชนิดของเซลล์) แพทย์แนะนำให้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัด จะ “หนี” ไปรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดดีไหม ตอบว่ามะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งชนิดที่มีโอกาสดีขึ้นหรือแม้กระทั่งหายได้ด้วยเคมีบำบัด การป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแล้วหนีเคมีบำบัดเป็นการเสียโอกาศทองที่จะมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพในอนาคตไปเลยนะ หมอสันต์แนะนำอย่างแข็งขันว่าคุณอย่าหนีเคมีบำบัด ให้เดินหน้ารับเคมีบำบัด ส่วนธรรมชาติบำบัดนั้นทำเมื่อไหร่ก็ได้ ทำควบคู่กันไปก็ได้ และเมื่อจบคอร์สเคมีบำบัดแล้วคุณจะธรรมชาติบำบัดต่อไปอีกตลาดชีวิตก็ยังได้ แต่ไม่ควรเอาธรรมชาติบำบัดมาเป็นเหตผลหนีการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยเคมีบำบัด เพราะมันเป็นวิธีรักษาเดียวที่พิสูจน์ชัดแล้วว่าให้ผลดีที่สุด ดีถึงขั้นหายได้ในผู้ป่วยส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของเซลล์

2.. ถามว่าร่างกายอ่อนแอขนาดนี้ ถ้าให้เคมีบำบัดคงตายแหง ควรฟื้นฟูร่างกายวิถีธรรมชาติอย่างไร ตอบว่าผมเห็นด้วยจากผลการตรวจที่ส่งมาว่าร่างกายของคุณอ่อนแอมาก อยู่ในภาวะโลหิตจางระดับอันตราย ธาตเหล็กสำรองในร่างกายเกือบหมดเกลี้ยง โปรตีนในร่างกายลดระดับเหลือต่ำ ตับและม้ามโตคับท้อง ด้วยร่างกายที่อ่อนแอขนาดนี้ ถ้าคุณไม่ให้เคมีบำบัดคุณก็มีโอกาส “ตายแหง” เช่นเดียวกัน วิธีฟื้นฟูร่างกายที่จะได้ผลดีที่สุดคือต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที เพราะจะต้องเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดง ต้องให้สารอาหารทดแทนแบบเข้มข้น ซึ่งทั้งหมดนี้ทำเองที่บ้านไม่ได้ จะฟื้นฟูตัวเองที่บ้านขณะที่ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้เป็นการยากและผมไม่แนะนำ แค่คุณจะไปเดินออกกำลังกายสักหนึ่งเสาไฟฟ้าคุณก็ไปไม่ได้แล้ว

3.. ในกรณีที่คุณเข้ารับเคมีบำบัดแล้วและต้องการฟื้นฟูตัวเองในวิถีธรรมชาติบำบัดควบคู่ไปด้วย พูดง่ายๆว่าต้องการแนวทางไสยศาสตร์ ผมแนะนำให้ทำดังนี้ (นี่เป็นไสยศาสตร์ ไม่ใช่หลักฐานทางการแพทย์นะ)

3.1 ตากแดดทุกวัน แดดเช้าบ้าง แดดรำไรบ้าง แดดจัดๆชั่วครั้งชั่วคราวบ้าง

3.2 พยายามออกเดิน กะย่อยกะแย่งเดิน เหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยแล้วเดินต่อ ง่วงก็งีบ

3.3 เดินเท้าเปล่าบนพื้นดินหรือพื้นหญ้า รับลม สูดอากาศสดๆ

3.4 ให้เมียไปตลาด ซื้อผักทุกชนิดที่กินได้มา หรือเก็บผักทุกชนิดรอบบ้านมา ตัดยอดมาอย่างละหน่อย รวมกันปั่นเป็นน้ำโดยไม่ทิ้งกาก กินทุกวัน

3.5 การกินอาหาร (ตรงนี้สำคัญ) ปกติคนไข้มะเร็งควรกินอาหารพืชเป็นหลัก แต่ในกรณีของคุณอย่ารีบไปกินอาหารมังสะวิรัติเพราะร่างกายของคุณขาดอาหารรุนแรงอยู่ต้องพึ่งสารอาหารบางตัวจากเนื้อสัตว์จึงจะฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็วทันการ ให้คุณกินอาหารที่หลากหลาย หากไม่ชอบเนื้อสัตว์ก็ให้หลีกเลี่ยงเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่อย่างน้อยต้องกินไข่วันละ 6 ฟอง

3.6 พาตัวเองไปอยู่ในบรรยากาศธรรมชาติ ที่มีต้นไม้ใบหญ้า ธารน้ำไหล บ่อยๆ

3.7 ตกกลางคืนปิดไฟฟ้าในห้อง จุดเทียน ให้แสงเทียนลูบไล้ร่างกาย นั่งสมาธิหน้าแสงเทียน ยอมรับทุกอย่างที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต ยอมรับความตายด้วย และปล่อยวาง “อีโก้” หรืออัตตาลงไปเสีย

ทำทั้งหมดนี้แล้วหมอสันต์ก็ยังไม่ประกันนะว่าจะหายจากมะเร็งหรือไม่ แต่หมอสันต์ประกันได้จากสถิติว่าเคมีบำบัดทำให้ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจำนวนหนึ่งหายจากมะเร็งได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

09 สิงหาคม 2566

Thought เกิดขึ้นจาก Consciousness ดำรงอยู่ใน Consciousness และดับหายไปใน Consciousness

(ภาพวันนี้ / ดนตรีคลาสสิกที่บ้านโกรฟเฮ้าส์วันมี Camp For Coach เมื่อ 3 สค. 66)

อาจารย์คะ

วิชาแพทย์เราแบ่ง mind เป็น conscious mind และ subconscious mind หนูเข้าใจว่า ความคิดเป็น conscious mind ใช่ไหมคะ
แล้วตัวสติที่มาตามรู้ทันความคิด เป็นอะไรคะ เป็น subconscious mind หรือเปล่าคะ
พอตามรู้ทันความคิดแล้ว เมื่อความคิดนั้นหายไปกลายเป็นความว่างอยู่ ไม่มีความคิดอะไรเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง เพราะอะไรคะ
เคารพ
…………………………………………….

ตอบครับ

1. Conscious mind และ subconscious mind เป็นการแบ่งตามคอนเซ็พท์จิตวิเคราะห์ ซึ่งย้อนยุคไปสมัยฟรอยด์โน่นเลย ผมเข้าใจว่านักเรียนแพทย์สมัยนี้ไม่ต้องเรียนฟรอยด์กันแล้วนะ โดยนัยของฟรอยด์นี้ conscious คือความคิด (thought) ขณะที่ subconscious คือความจำ (memory) ซึ่งสะสมฝังแฝงซุกซ่อนไว้ ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นสารัตถะหรือเนื้อหา (content) ของสิ่งที่อยู่ในใจเรา

2. ส่วน “สติ (awareness)” นั้นในวิชาแพทย์มันเป็นคอนเซ็พท์ทางวิสัญญีวิทยา เป็นประเด็นระดับความตื่นหรือความสามารถรับรู้ หรือ level of consciousness เป็นคนละประเด็นกับเนื้อหาสาระของสิ่งที่อยู่ในใจหรือ content of mind

3. ส่วนคอนเซ็พท์ในทางจิตวิญญาณ (spirituality) หรือทางศาสนา ความรู้ตัวหรือ consciousness คือพื้นที่ว่างเปล่ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เรารู้ได้เห็นได้(รวมทั้งความคิดด้วย) เปรียบเหมือนท้องฟ้าที่ดำรงอยู่ก่อนที่จะมีก้อนเมฆ และดำรงอยู่อย่างเป็นอิสระต่อการมีหรือไม่มีก้อนเมฆ

เอ้า..ตอนนี้คุณฟังให้ดีนะ ความคิด (thought) นั้นเกิดจากความรู้ตัว (consciousness) นั่นแหละ เกิดแล้วก็ดำรงอยู่ในความรู้ตัว แล้วก็ดับหายไปในความรู้ตัว หมายความว่าความรู้ตัวนั่นแหละเป็นแบ้คกราวด์หรือเป็นวัตถุดิบร่วมผสมกับวัตถุดิบอื่นๆปั้นเป็นความคิดขึ้นมา พอความคิดเกิดขึ้นแล้วมันดำรงอยู่ได้สักพัก พอเหตุเกื้อหนุนให้เกิดความคิดนั้นขึ้นมาหมดไป ความคิดนั้นก็จะฝ่อหายไป หายไปในความรู้ตัวนั่นเอง

4. ถามว่าพอตามรู้ทันความคิดแล้ว เมื่อความคิดนั้นหายไปกลายเป็นความว่างอยู่ ไม่มีความคิดอะไรเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง เพราะอะไรคะ ตอบว่าทุกความคิดล้วนเกิดขึ้นบนแบ้คกราวด์เดียวกันคือความรู้ตัว (consciousness) ซึ่งมีธรรมชาติเป็นความว่างเปล่าที่มีความตื่นและมีความสามารถรับรู้ได้ เมื่อความคิดฝ่อหายไป ก็เหลือแต่แบ้คกราวด์คือความรู้ตัวเจ้าเก่า ยิ้มเผล่ อยู่นั่นเอง ตรงความรู้ตัวขณะปลอดความคิดนี้เป็นโอกาสดีนะที่คุณจะได้คุ้นเคยกับธรรมชาติของมัน มันมีธรรมชาติเป็นความสงบเย็นแต่ก็มีความสร้างสรรค์อยู่ในที สงบเย็นเพราะมันปลอดอีโก้ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของความคิด สร้างสรรค์เพราะในความว่างเปล่านั้นมันมี “พลังปัญญา” ที่คอยเปิดเผยอะไรดีๆหนุกๆต่อคุณได้

ความรู้ตัวที่ปลอดความคิดนี่แหละ ที่นอกจากคำเรียกง่ายๆดกดื่นเช่นความรู้ตัว (consciousness) แล้ว ยังมีคนพยายามตั้งชื่อเรียกกันไปต่างๆนาๆ เช่น เต๋า (Tao) บ้าง พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (Holy spirit) บ้าง พระเจ้า (God) บ้าง นิพพาน (Nirvana) บ้าง ปรมาตมัน (Prmatman) บ้าง แต่ผมแนะนำให้คุณเรียกมันแบบบ้านๆว่า “ความรู้ตัวขณะปลอดความคิด” นะดีแล้ว

คุณเอ่ยถึงตรงนี้ก็ดีนะ ผมแนะนำคุณให้ฝึกถอยเข้ามาอยู่ตรง “ความรู้ตัวขณะปลอดความคิด” นี้บ่อยๆ มาแต่ละครั้งให้อยู่ให้ได้นานๆ คุณฝึกได้ทุกที่ทุกเวลาไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ เครื่องมือหลักก็คือ “การสังเกต” ดูความคิดแบบที่คุณใช้อยู่นั่นแหละ แล้วชีวิตของคุณจะสงบเย็นและสร้างสรรค์ แล้วในชีวิตนี้คุณจะไม่กลัวอะไรอีกต่อไป เพราะตรงความรู้ตัวที่ปลอดความคิดนี้ อีโก้ ซึ่งเป็น..ขอโทษ อีปอดแหก เธอไม่ได้มาอยู่ด้วย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

06 สิงหาคม 2566

แจ้งข่าวการส่งหนังสือ และเล่าเรื่องไปพูดที่จุฬา

หนังสือคัมภีร์สุขภาพดี ได้ส่งออกไปให้ท่านหมดแล้ว ส่งออกไปแล้วสองพันกว่าเล่ม เล่มสุดท้ายที่สั่งมาก่อน 1 สค. ส่งออกไปได้สามวันแล้ว ซึ่งทุกท่านควรจะได้รับแล้ว หากท่านไม่ได้รับรบกวนคลิก tracking number ที่ส่งให้ท่านทางไลน์ตามดูกับ Thailand Post ด้วย หากตามไม่ได้ กรุณาแจ้งผมกลับมาทางไลน์หรือทางโทรศัพท์ ที่หมอสันต์เป็นห่วงไม่ใช่ห่วงไปรษณีย์ทำของหายเพราะผมส่งแบบ EMS ซึ่งเขารับประกันว่าไม่มีวันหาย แต่ห่วงท่านที่จ่ายเงินแล้วไม่ได้ส่งใบเปย์สลิปและที่อยู่มาให้ผมทางไลน์ เพราะดูเงินในธนาคารที่ส่งมาให้ มันจะมากกว่าเปย์สลิปและที่อยู่ที่ส่งมาให้ แต่การจัดส่งทั้งหมดทำผ่านระบบ line shop จึงส่งได้เฉพาะคนที่ส่งเปย์สลิปและที่อยู่มาทางไลน์เท่านั้น คนที่จ่ายเงินแล้วไม่ได้ติดต่อมาทางไลน์ @healthylife ผมก็หมดปัญญาจะทราบได้ว่าท่านเป็นใครพักอาศัยอยู่ที่ส่วนไหนของประเทศ

พูดถึงตอนนี้ขอนอกเรื่องหน่อย แฟนบล็อกหมอสันต์ส่วนใหญ่เป็นสว. และจำนวนหนึ่งไม่ถนัดเรื่องออนไลน์ ถนัดแต่โทรศัพท์โทรเลขธนาณัติ จนแทบจะส่งเงินมาให้ทางโทรศัพท์เลยทีเดียว เช่นบอกมาทางโทรศัพท์เลยว่า

“คุณจดชื่อที่อยู่ฉันไว้เดี๋ยวนี้เลยไม่ได้หรือ แล้วบอกที่อยู่คุณมาฉันจะธนาณัติเงินให้”

หิ หิ ว่าแต่สมัยนี้เขาจะยังมีธนาณัติกันอยู่หรือครับ

เอาเป็นว่าใครไม่ได้หนังสือให้รีบบอกผมจะส่งไปให้ใหม่ หมอสันต์ถือคติแบบศาล คือส่งหนังสือผิดไปให้คนที่ไม่ได้จ่ายเงินร้อยคน ยังดีกว่าเอาเงินเขามาแล้วไม่ได้ให้หนังสือเขาแม้เพียงคนเดียว

อนึ่ง มีความผิดพลาดเล็กน้อยบางเรื่องที่ต้องขออภัยรวบยอดผ่านบล็อกนี้เสียเลย คือบางท่านติดต่อมาขอลายเซ็นด้วย ซึ่งผมก็รับปากดิบดี แต่ว่าก็ต้องช้าหน่อยนะ เพราะหนังสือทุกเล่มผมให้เขา wrap พลาสติกมาจากโรงงาน ต้องมาบรรจงกรีดบรรจงแกะก่อนจึงจะเซ็นให้ได้ บางท่านระบุให้ส่งไปรษณีย์ด่วน EMS เพราะอยากได้เร็ว บางท่านขอให้ลงทะเบียนเพราะกลัวของหาย หลายท่านติดต่อมาขอให้หุ้มหนังสือด้วยพลาสติกให้ด้วยเพื่อป้องกันหนังสือเปียก ซึ่งทั้งหมดนั้นผมก็ทำตามประสงค์ให้ครบถ้วนทุกประเด็น แต่ว่ากล่องใส่ที่ออกแบบไว้ดิบดีนั้นเขาผลิตมาให้ไม่ทันกับความใจร้อนของผู้รอหนังสือ จึงต้องเอาซองที่หาซื้อได้บรรจุส่งไปให้แก้ขัด ซึ่งบางท่านก็บ่นว่าซองแตก แต่หนังสือปลอดภัย อันนี้ผมก็ต้องขออภัยด้วย

ขณะเดียวกันก็ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ส่ง feed back กลับมาในเวลารวดเร็วว่าหนังสือได้แล้ว บ้างเห็นหนังสือแล้วสั่งซื้อเพิ่มทันที ที่เคยซื้อหนึ่งเล่มก็สั่งเพิ่มอีก 20 อีกเล่ม 50 เล่มเป็นต้น บางท่านอ่านหนังสือแล้วก็สรรเสริญเยินยอมาเสียยืดยาวจนผมอดเอามาโฆษณาไม่ได้ เช่น

“..ได้รับหนังสือเรียบร้อยแล้วครับ เป็น นส ที่มีรูปแบบ เนื้อหาที่ดีมากครับ เกินคุ้มเทียบกับราคาที่จ่ายไป ขอบพระคุณคุณหมอที่สละเวลาในการเขียน Blog เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไปให้สามารถดูแลตัวเองได้ ขออาราธนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ช่วยดลบันดาลให้คุณหมอและครอบครัวจงมีสุขภาพดีตลอดอายุขัยนะครับ..”

…………………………………………………………………….

วันนี้ผมตั้งจะเล่าเรื่องที่ผมไปพูดที่จุฬา เขาจ้างให้ไปพูดเรื่อง “ชีวิตสมดุล กายดี ใจดี ชีวีมีสุข” แต่เนื่องจากครั้งนี้ผมทดลองเปลี่ยนสไตล์การพูดใหม่คือให้ถามข้อข้องใจและตอบคำถามก่อนแล้วค่อยพูด ผลปรากฎว่าตอบคำถามได้ไม่ทันหมดแต่เวลาจะหมดก่อนต้องรีบพูดจึงพูดได้นิดเดียวเพราะหมดเวลาพอดี อย่างไรก็ตาม เรื่องที่พูดไปน่าจะมีประโยชน์กับแฟนบล็อก จึงนำมาเล่าให้ฟัง

“..ขอตัดการตอบคำถามไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เพราะเวลาจะหมดเสียก่อนที่จะได้พูด

เรื่องที่เราจะคุยกันวันนี้คือ ชีวิตสมดุล กายดี ใจดี ชีวีมีสุข ลองมาดูจากมุมของทางการแพทย์บ้างนะครับ ในสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ วงการแพทย์เองก็เริ่มยอมรับว่าเราไม่มีปัญญารักษาโรคเรื้อรังซึ่งเป็นปัญหาหลักของผู้คนได้ จึงได้เกิดสาขาวิชาใหม่ขึ้นสาขาหนึ่งเรียกว่า “เวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine)” ซึ่งแพทย์ในสาขาเวชศาสตร์วิธีชีวิตได้ทำงานวิจัยทบทวนสาเหตุของโรคเรื้อรังแล้วสรุปสาเหตุหลักออกมาได้ 6 สาเหตุ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น 6 เสาหลักของเวชศาสตร์วิถีชีวิต คือ

  1. เครียด

2. กินอาหารเนื้อสัตว์มาก พืชน้อย

3.ไม่ได้เคลื่อนไหว

4.ความสัมพันธ์กับคนรอบตัวไม่ดี

5.นอนไม่หลับ

6.ได้สารพิษจากภายนอก (ยา บุหรี่ แอลกอฮอล์)  

มองในภาพใหญ่ก่อนนะ

เรื่องแรกความเครียด ใหม่ๆเราก็แค่ยอมรับกันว่าความเครียดก่อโรคที่เกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น โรคความดันเลือดสูง แต่ข้อมูลเชิงระบาดวิทยาต่อมามันกลายเป็นว่าความเครียดสัมพันธ์กับการเป็นโรคเรื้อรังได้ทุกโรค รวมทั้งโรคมะเร็งด้วย กลไกที่ความเครียดก่อโรคเรื้อรังนั้นซับซ้อน ผ่านการทำงานของระบบร่างกายหลายระบบรวมทั้งระบบภูมิคุ้มกันโรคซึ่งหากทำงานผิดพลาดไปก็จะทำให้เป็นมะเร็งมากขึ้น

เรื่องอาหารนั้นก็เป็นสิ่งที่ผู้คนรู้ดีแล้วแต่ยังอาจจะทำไม่ค่อยได้ รู้ว่าอาหารไขมันอิ่มตัว ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มอาหารเนื้อสัตว์ทำให้เราป่วยเป็นโรคหลอดเลือดซึ่งเป็นปฐมเหตุของโรคเรื้อรังหลายโรค ขณะที่อาหารพืชที่หลากหลายในรูปแบบที่มีไขมันต่ำทำให้เราหายป่วยจากโรคหลอดเลือด

เรื่องการไม่ได้เคลื่อนไหวก็เป็นสาเหตุที่เด่นชัดว่าสัมพันธ์กับการเป็นโรคเรื้อรัง ผมไม่ได้ใช้คำว่า “ออกกำลังกาย” นะ เพราะคำว่าออกกำลังกายแค่ฟังหลายคนก็ใจแป้วแล้วว่าต้องไปโรงยิมทำไม่ได้ดอก ผมใช้คำว่าการเคลื่อนไหว เพราะร่างกายนี้ออกแบบมาให้มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมาก พอไม่เคลื่อนไหว มันก็ป่วย

เรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบตัวมีผลต่อสุขภาพกับการมีอายุยืนนี้ มันมาจากงานวิจัยที่ดีมากของฮาร์วาร์ด ทำวิจัยกันอยู่สามชั่วอายุคน หมายความว่าเปลี่ยนนักวิจัยไปสามรุ่น ทำวิจัยชิ้นนี้อยู่นาน 75 ปี พยายามจะสรุปให้ได้ว่าอะไรทำให้คนเรามีสุขภาพดีมีอายุยืน ได้ผลสรุปออกมาว่าปัจจัยแรกที่เด่นชัดเจนมากว่าทำให้คนอายุยืน คือการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว

เรื่องปัญหาการนอนหลับต่อสุขภาพนั้นมันเป็นปัญหาไม่ใช่ระดับประเทศนะ แต่เป็นปัญหาระดับโลก หลายปีมาแล้วที่สมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) ได้โปรโมทตัวชี้วัดสุขภาพสำคัญขึ้นมา 7 ตัว เรียกว่า Simple Seven คือ (1) น้ำหนัก (2) ความดัน (3) ไขมัน (4) น้ำตาล (5) จำนวนผักผลไม้ที่กินต่อวัน (6) เวลาที่ใช้ออกกำลังกายต่อสัปดาห์ และ (7) การไม่สูบบุหรี่ คือแค่ทำให้ตัวชี้วัดทั้งเจ็ดตัวนี้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ความเสี่ยงที่จะป่วยจะตายก็ลดลงไปตั้ง 91% ขณะที่การขยันกินยาและเข้าโรงพยาบาลทำบอลลูนทำบายพาสลดความเสี่ยงลงได้อย่างมาก 30% แต่พอมาในปีนี้ AHA ได้เพิ่มตัวชี้วัดเข้ามาอีกหนึ่งตัว คือ “การนอนหลับ” และตั้งชื่อเรียกชุดตัวชี้วัดนี้ใหม่ว่า “สิ่งจำเป็นแปดอย่าง (Essential-8)” ที่ต้องเพิ่มเพราะหลักฐานวิทยาศาสตร์มันชัดเจนว่าการนอนไม่หลับสัมพันธ์กับการเป็นโรคเรื้อรัง เช่นนอนไม่หลับทำให้สมองเสื่อม ทำให้เป็นฮาร์ทแอทแทคมากขึ้น ทำให้สโตรคมากขึ้น ทำให้เป็นมะเร็งมากขึ้น เป็นต้น

เรื่องการได้รับสารพิษจากนอกตัวนั้น ถ้าพูดบุหรี่และแอลกอฮอล์ เรารู้กันดีแล้วว่าไม่ดีต่อร่างกาย นอกจากมลภวะและสารพิษจากอุตสาหกรรมแล้ว สารพิษที่เราตั้งใจรับเข้ามาก็คือยาต่างๆที่หมอให้เรากินนี่เอง ถ้าท่านอ่านฉลากยาที่กินก็จะเห็นว่าระบุผลข้างเคียงยาวเหยียดจนสยอง แต่แพทย์จำเป็นต้องให้เรากินเพราะประโยชน์ที่จะได้มันยังมากกว่าโทษของมันอยู่ หากเราทำให้โรคเรื้อรังหายได้โดยไม่ต้องใช้ยา นั่นแหละจะดีที่สุด

เอาละ คราวนี้เรามาเจาะลึกลงไปทีละเรื่อง เริ่มที่เรื่อง “เครียด” ก่อน

สาเหตุของความเครียดคือความคิดของเราเอง ถ้าวางความคิดลงเสียได้ ก็หายเครียด นี่คนส่วนใหญ่รู้แล้ว อาจมีบางคนบอกว่าไม่ใช่ ของฉันสาเหตุของความเครียดเป็นเพราะลูกสาวของฉันไม่ได้อย่างใจฉัน แต่ในความเป็นจริงคือสถานะการณ์ในชีวิตนอกตัวเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เรายังไม่รับรู้มันหรอกจนกว่ามันจะมาถึงใจเราแล้วและเราแปลความหมายและ “สนองตอบ” ต่อสถานะการณ์นั้นออกไปแล้ว มันไม่ใช่สถานะการณ์ภายนอกที่เป็นต้นเหตุ แต่มันเป็นวิธีที่เราสนองตอบต่อสถานะการณ์ต่างหากที่เป็นต้นเหตุ การสนองตอบของเราก็ด้วยการคิดนั่นเอง ดังนั้นความคิดจึงเป็นต้นเหตุหลักของความเครียด

คนเราจะวางความคิดลงไม่ได้หากไม่มีเครื่องมือช่วย ท่านดูลิงตัวนี้ ลูกผลไม้ที่วางอยู่บนพื้นหินนี้คือลูกเบาบับ ซึ่งข้างในมีเนื้อกินได้หวานๆมันๆ คนป่าอะมาซอนใช้ขวานฟันเปลือกแข็งออกเพื่อกินข้างใน ลิงทั่วไปไม่สามารถกินผลเบาบับได้ แต่มีลิงพันธ์นี้พันธ์เดียวที่กินผลเบาบับได้ เพราะมันรู้วิธีใช้เครื่องมือ เครื่องมือของมันก็คือก้อนหินหนักๆ ยกขึ้นสูงๆแล้วปล่อยลงมาให้กระแทกผลเบาบับจนแตกออก แล้วก็กินข้างในได้

เครื่องมือแรกที่จะให้ท่านลองใช้คือ “การผ่อนคลาย (relaxation) หลักมีอยู่ว่าความคิดปรากฎต่อเราสองรูปแบบ แบบหนึ่งเป็นเรื่องราวในใจ อีกแบบหนึ่งเป็นการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เราทำข้างหนึ่งก็มีผลต่ออีกข้างหนึ่ง เราคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งอยู่ ความคิดก็จะหายไป ให้ท่านมองหน้าพระพุทธรูปองค์นี้นะ มองเฉยๆ มองแบบสบายๆ นี่เป็นใบหน้าของคนที่ผ่อนคลาย ยิ้มที่มุมปากนิดๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า เอ้า..ให้ท่านเลียนแบบพระพุทธรูปนะ ยิ้มที่มุมปาก นิดๆ มีงานวิจัยที่พิสูจน์ได้ว่าความผ่อนคลายก็ดี ความเครียดก็ดี มันติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ทั้งๆที่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย มันติดต่อโดยการแอบเลียนสีหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เราเห็นหน้าที่ผ่อนคลาย เราเลียนสีหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เราก็จะพลอยผ่อนคลายไปด้วย

จุดที่สองนอกจากใบหน้าที่จะทำให้เราผ่อนคลายได้ง่ายคือ คอ บ่า ไหล่ ท่านต้องนั่งให้หลังตรงก่อนนะ การทำหลังให้ตรงเนี่ยมันเป็นเคล็ดของโยคีเขา โยคีถือว่ากระดูกสันหลังคือทางวิ่งของพลังชีวิต คนอินเดียโบราณเรียนรู้ร่างกายโดยไม่ได้ผ่าศพดู ไม่เหมือนทางยุโรปซึ่งได้ความรู้ร่างกายมาจากการขโมยชำแหละศพในป่าช้า อย่างคนจะเรียนจบแพทย์ตามแบบยุโรปต้องชำแหละศพตั้งแต่หัวถึงเท้ามาแล้วทุกคน โยคีเขียนภาพภายในร่างกายออกมาแล้วสลักลงบนหิน แต่คนรุ่นหลังดูก็รู้ว่าบางอันถูกบางอันผิดในแง่ของอะไรอยู่ที่ไหน อย่างไรก็ตามที่ถูกเป๋งเลยคือโครงสร้างของระบบประสาทอัตโนมัติที่ว่าเป็นทางวิ่งของพลังชีวิตนี่แหละ แกนประสาทสันหลังคือศูนย์รวม แล้วแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปทั่วร่างกาย ดังนั้น การจะฝึกเกี่ยวกับความคิด ต้องทำหลังให้ตรงก่อน แล้วก็ผ่อนคลาย คอ บ่า ไหล่ ผ่อนคลายใบหน้า ยิ้มด้วย จะเห็นว่าเราทำอย่างนี้แล้วความคิดในหัวมันลดลง

เครื่องมือชิ้นถัดไปที่ผมจะให้ท่านลองคือการหายใจลึกๆ ท่านจะเห็นตัวเลข 4-4-8 ไม่ใช่ผมให้หวยนะ เป็นตัวเลขบอกจังหวะ

ท่านหายใจ “เข้า” ผมจะนับ 1 2 3 4 ถ้าผมนับไม่จบ ท่านอย่าหยุดหายใจเข้า จบแล้วผมจะบอกให้ “กลั้น” ท่านก็แค่หยุดหายใจเหมือนปิดก๊อกน้ำ ไม่ต้องเบ่ง ขณะกลั้นผมจะนับ 1 2 3 4 แล้วผมจะบอกว่า “ออก” ท่านก็ปล่อยลมหายใจออกแบบสบายๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปด้วย ยิ้มที่มุมปากด้วยนิดๆ ถ้าผมนับยังไม่ถึง 8 ท่านอย่าเพิ่งหายใจเข้านะ ถ้าลมหมดแล้วก็นิ่งอยู่อย่างนั้น นิ่งดู ตรงนี้เรียกว่าปลายสุดของลมหายใจออก มันเป็นจุดที่คนเราใกล้ความตายมากที่สุด เพราะความตายเกิดเมื่อปลายการหายใจออกครั้งสุดท้ายแล้วไม่มีลมหายใจเข้าครั้งใหม่ นั่นก็คือตาย จุดนี้เป็นจุดที่ความคิดอ่อนแรงมากที่สุด ให้ท่านสนใจตรงจุดนี้

เอ้า มาทดลองกันดูนะ สักสามลมหายใจ

เข้า 1 2 3 4

กลั้น 1 2 3 4

ออก 1 2 3 4 5 6 7 8

คราวนี้ท่านลองหายใจแบบ 4 4 8 ของท่านเองบ้าง ผมไม่นับละ ทดลองทำดูสักหนึ่งนาที ผ่อนคลายไปด้วย

เราได้ลองใช้สองเครื่องมือแล้วนะ การผ่อนคลาย กับการหายใจลึก คราวนี้ผมจะให้ลองเครื่องมือชิ้นที่สาม การสังเกต มันเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน ท่านต้องใจเย็นๆค่อยๆทดลองทำไปนะ

ผมจะให้ท่านลองสังเกตเสียงก่อน เอ้า..ท่านหลับตา ผ่อนคลาย สบายๆ เงี่ยหูฟังเสียง สังเกตเสียงโดยไม่คิดอะไรต่อยอด เริ่มตั้งแต่เสียงที่ดังที่สุด คือเสียงของผม เสียงที่เบาลงไป เสียงแอร์ เสียงคนเปิดประตู เสียงใครทำอะไรกับปากกา กระดาษ เสียงคนพูดกันเบาๆนอกห้อง

แล้วท่านสังเกตต่อไปถึงความเงียบ (silence) สังเกตจนเห็นว่าแท้จริงรอบตัวเราเป็นพื้นที่กว้างใหญ่นี้มันเป็นความเงียบ เสียงเป็นเพียงสิ่งเล็กๆที่ผุดขึ้นมาจากความเงียบ แล้วดับหายไปในความเงียบ ที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง ใกล้บ้าง ไกลบ้าง ให้ท่านปักหลักอยู่ที่ความเงียบ สังเกตเสียง

คราวนี้ ขณะปักหลักอยู่ตรงความเงียบนั้นแหละ หรือตรงความว่างเปล่านั้นแหละ ให้ท่านสังเกตดูความคิดของท่านเอง สังเกตให้เห็นว่าความรู้ตัวของท่านนั้นเป็นความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ ความคิดเป็นสิ่งเล็กผุดขึ้นมาในท่ามกลางความรู้ตัว เกิดแล้วมันอยู่ได้สักพัก แล้วก็ดับหายไปในความรู้ตัวนั่นแหละ

ท่านวางตัวเองให้ถูกตำแหน่งนะ เราเป็นความรู้ตัว เป็นผู้สังเกต ความคิดเป็นสิ่งที่ถูกเราสังเกต ความคิดไม่ใช่เรา ขณะที่เราสังเกตดูความคิด เรารู้ตัวอยู่ แต่ความคิดจะหยุดลง เพราะเมื่อถูกเราสังเกตดู ความคิดมันขวยอาย มันฝ่อหายไปเอง

เวลาที่มีสิ่งเร้าเข้ามาในภาวะทั่วไปการสนองตอบจะเกิดขึ้นทันทีแบบอัตโนมัติ แต่ในครั้งนี้ที่เราตั้งใจสังเกต พอมีสิ่งเร้าเข้ามา ให้ท่านอยู่นิ่งๆ อยู่ตรงกลางนิ่งๆ สังเกตก่อน อย่าใจร้อนแบบมีอะไรเข้ามาปุ๊บก็สนองตอบไปปั๊บแบบอัตโนมัติ แบบหุ่นยนต์ ให้อยู่นิ่งๆ สังเกตเฉยๆก่อน

เป็ดตัวนี้เป็นหุ่นยนต์รุ่นโบราณเรียกว่าออโตมาตรอน เป็นยุคก่อนคอมพิวเตอร์ ถ้าท่านไปดูมิวเซียมทางยุโรปท่านจะยังเห็นเป็ดแบบนี้อยู่ วิธีทำงานของมันก็คือพอเราไขลานที่สีข้างมันแล้วปล่อยให้มันเดินไป มันก็จะเดิน

เตาะแตะ เตาะแตะ แล้วเลี้ยวซ้าย..แคว่ก แคว้ก

เตาะแตะ เตาะแตะ แล้วเลี้ยวขวา..แคว่ก แคว้ก

มันทำแค่นี้จนลานหมด ทำอย่างเป็นอัตโนมัติ ทำตามกระเดื่องตามลานที่เขาวางไว้ข้างใน

ชีวิตเราทุกวันนี้เราก็ทำแค่นี้เหมือนเป็ดตัวนี้เหมือนกันเลยนะ เราสนองตอบทุกอย่างที่เข้ามาแบบอัตโนมัติซ้ำๆซากๆมาตลอดชีวิต จนเราแก่แล้วเราก็แก่แบบแก่แดดแก่ลม มีน้อยมากที่จะหยุดสังเกตดูทุกอย่างที่เข้ามาแล้วสนองตอบออกไปอย่างมีสติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความคิดของเรา เราไม่เคยสังเกตดูมันเลย มีอะไรเข้ามาก็ทันทีก็ อัตโนมัติ..แคว่ก แคว้ก

ถ้าท่านจะใช้ชีวิตให้แตกต่างจากเป็ดตัวนี้ ท่านต้องหัดอยู่นิ่งๆ อยู่ตรงกลาง สังเกต ไม่รีบแกว่งเข้าหาสิ่งที่ชอบ หรือรีบแกว่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบ อยู่นิ่งๆ สังเกตดูก่อน การนิ่งเป็นการยอมรับว่าเร้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว ต้องมีขั้นตอนนี้ก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยคิดว่าจะสนองตอบต่อสิ่งเร้านี้อย่างไร ไม่ใช่สนองตอบออกไปอย่างเป็นอัตโนมัติ แต่ท่านต้องใส่ใจนิดหนึ่ง ว่าความคิดมันเป็นของที่เนียน เป็นของที่ละเอียด ท่านต้องมีความละเมียดท่านจึงจะสังเกตความคิดได้

สรุปว่าเราได้คุยกันถึงเครื่องมือวางความคิดไปสามชิ้นแล้วนะ การผ่อนคลาย การหายใจลึก การสังเกต ให้ท่านเอาไปลองใช้ ลองได้ทุกที่ทุกเวลา

ถ้าลองแล้วก็ยังวางไม่ได้เลย มันมีนะครับ อย่างเช่นคนเป็นโรคจิต ความคิดมันแยะมาก ออกจากความคิดไม่ได้เลย เข้าวัดก็วัดแตก ผมแนะนำให้ถอยไปเริ่มที่เครื่องมือที่สี่ก่อน คือ “งานอดิเรก” การได้จดจ่อทำงานอะไรที่ไม่มีผลประโยชน์ได้เสียของ “ตัวตน (ego)” เราเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นเครื่องมือวางความคิดอย่างหยาบที่สุดและได้ผลดีที่สุดในคนที่ความคิดแยะเกินไปจนออกจากความคิดยังไงก็ออกมาไม่ได้

เกินเวลาเขามาแยะแล้ว ผมจะตอบคำถามของคุณพ่อที่ยื่นค้างไว้อีกท่านเดียวนะครับ แล้ววันนี้จะขอพอแค่นี้ก่อน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]