30 ตุลาคม 2565

ให้คุณทำตัวแบบเด็ก แต่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณทำตัวไม่รู้จักโต

(ภาพวันนี้: หอมหมื่่นลี้)

คุณหมอสันต์คะ

คุณหมอเคยสอนหนูเมื่อตอนไป SR ว่าให้หนูทำตัวแบบเด็ก หนูก็อยากทำอย่างนั้นนะ แต่ว่าเมื่อทิ้งงานการไปแล้วลูกน้องครอบครัวลูกเต้าใครจะดูแลแทนเรา การทำตัวแบบเด็กหนูยังไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตรงไหน

……………………………………………………

ตอบครับ

ผมบอกคุณให้ทำตัวแบบเด็ก แต่ผมไม่ได้หมายความว่าให้คุณทำตัวแบบคนไม่รู้จักโตนะ เมื่อคุณโตขึ้นคุณช่วยเหลือค้ำจุนคนรอบข้างและทำหน้าที่ที่พึงทำในสังคมเพื่อให้อยู่กับคนอื่นในสังคมอย่างสร้างสรรค์ได้ นั่นคือการทำตัวแบบคนรู้จักโตซึ่งคุณก็ทำอยู่แล้ว ผมไม่ได้จะให้เลิกทำในส่วนนี้

ส่วนการทำตัวแบบเด็กนั้นผมหมายความว่า ในการทำตัวเป็นคนรู้จักโตนั้นหากทำไม่เป็นมันจะเกิดความเครียดความกลัว ความยึดถือเกี่ยวพันขึ้น ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่ทำให้ความเป็นคนรู้จักโตของคุณด้อยประสิทธิภาพลงด้วยซ้ำ ส่วนนี้คุณต้องใช้การทำตัวแบบเด็กเข้าไปแก้ไข

สิ่งที่คุณเลียนแบบเด็กได้ทันทีคือความง่าย (simplicity) ความสด (freshness) ความใสซื่อ จริงใจ ไม่รู้จักกลัวอะไร ช่างสังเกต สังเกตรับรู้สิ่งรอบตัวตลอดเวลา มองเห็นทุกอย่างรอบตัวเป็นความมหัศจรรย์ wonder ว้าว เปิดใจรับรู้สิ่งรอบตัวโดยไม่มีการปิดกั้นตัวเองและไม่มียะโสโอหังหรือมีตัวตนอะไรทั้งสิ้น และคุณเห็นด้วยกับผมทันทีว่าในการใช้ชีวิตของเด็กนั้นเขาจะจดจ่ออยู่แต่กับเดี๋ยวนี้เท่านั้น

แม้กระทั่งท่าออกกำลังกายของเด็กก็ล้วนเป็นท่าพื้นฐานสำหรับวิชาออกกำลังกายขั้นสูงทั้งมวลไม่ว่าจะเป็นโยคะหรือการเล่นกล้ามก็ล้วนเลียนแบบท่าออกกำลังกายของเด็ก ถ้าคุณแอบดูเวลาเขาทำอะไรเขาจะซิงค์การออกแรงกล้ามเนื้อกับการหายใจของเขาด้วย

เครื่องมือทั้งเจ็ดชิ้นที่ผมแนะนำให้คุณใช้ในการวางความคิด ในการใช้งานจริงคุณก็ต้องใช้แบบเด็ก คือมันไม่มีสะเต็พหรือขั้นตอนว่าต้องใช้ชิ้นไหนก่อนหลัง มันเป็นแขนขาของการมุ่งสู่การวางความคิดซึ่งคุณต้องใช้มันพร้อมๆกันไปหรือสลับสับเปลี่ยนกันไปและพัฒนาทุกอันไปพร้อมๆกัน เหมือนเด็กเกิดมาไม่ได้มีแขนก่อน แล้วค่อยมีขา แล้วค่อยมีตา แต่ทุกองคาพยพเกิดพร้อมกันพัฒนามาพร้อมกัน

แม้ในการเสาะหาครูผู้ชี้ทางชีวิตก็ให้คุณใช้หลักของการทำตัวแบบเด็กเข้าไปตัดสินคัดเลือกได้ นานมาแล้วครูของผมคนหนึ่งซึ่งเป็นโยคีบอกว่าคนที่ไม่ทำตัวแบบเด็ก คนนั้นไม่ใช่โยคีที่แท้จริง ดังนั้น ใครก็ตามที่สงบเย็น ยิ้มง่าย พอใจ เอ็นจอย และยอมรับแต่ละโมเมนต์ของชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไขโดยไม่คร่ำเคร่งอยู่กับคอนเซ็พท์หรือหลักการใดๆ ไม่ว่าเขาหรือเธอจะเป็นใคร ทำอาชีพสูงต่ำแค่ไหน มีการศึกษามากน้อยเพียงใด เขาหรือเธอคนนั้นเป็นครูคุณได้แน่ เพราะมีสิ่งที่คุณไม่มี

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

29 ตุลาคม 2565

วิตามินอี.รักษาตับอักเสบจากไขมันแทรกตับ (NASHLD) ได้หรือไม่

(ภาพวันนี้: ดอกบวบ)

เรียนคุณหมอสันต์

เป็นตับอักเสบจากไขมันแทรกตับอยู่ค่ะ SGPT 156 หมอที่รักษาอยู่ใช้วิตามินอี.รักษาโดยแจ้งว่ามีหลักฐานวิจัยเปรียบเทียบว่าได้ผลดีแน่นอนและแนะนำให้หนูตั้งใจรักษาไปให้ต่อเนื่อง หนูขอถามคุณหมอสันต์ว่าวิตามินอี.รักษาตับอักเสบจากไขมันแทรกตับได้จริงไหมคะ

……………………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าวิตามินอีรักษาตับอักเสบจากไขมันแทรกตับ (NASHLD) ได้จริงไหม ตอบว่ายังไม่มีใครทราบครับ..จบข่าว

เรื่องนี้มันเป็นมหากาพย์ แปลว่าเป็นนิยายเรื่องใหญ่และเรื่องยาว นับตั้งแต่วงการแพทย์คิดคอนเซ็พท์ว่าสารต้านอนุมูลอิสระซ่อมแซมร่างกายได้ทุกส่วนขึ้นมา ก็มีงานวิจัยการใช้สารต้านอนุมูลอิสระ (ในรูปของยาเม็ด) รักษาโรคเรื้อรังเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทำวิจัยกันแยะ ทำวิจัยกันนาน บางงานวิจัยทำอยู่นานถึง 15 ปี แต่ในภาพใหญ่แล้วยังไม่มีผลสรุปที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันแม้แต่ประเด็นเดียว แม้แต่สารต้านอนุมูลอิสระ (เป็นเม็ด) ตัวใดตัวหนึ่งแม้เพียงตัวเดียวก็สรุปไม่ได้ แม้แต่โรคใดโรคหนึ่งเพียงโรคเดียวที่ใช้สารต้านอนุมูลอิสระรักษาได้ผลก็สรุปไม่ได้ ไม่มี..บ๋อแบ๋ ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับสารต้านอนุมูลอิสระในอาหารธรรมชาตินะ)

ที่คุณหมอของคุณยืนยันว่ามีหลักฐานระดับแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบยืนยันว่าวิตามินอีรักษาตับอักเสบจากไขมันแทรกตับได้ผลนั้นท่านพูดความจริง เพราะท่านอ้างถึงงานวิจัยหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ไว้ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์เมื่อปี 2010 ซึ่งเอาผู้ป่วยอย่างคุณนี้มา 247 คน แบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มหนึ่งกินวิตามินอี. 800 มก. กลุ่มหนึ่งกินยาเบาหวานชื่อ pioglitazone 30 มก. อีกกลุ่มหนึ่งกินยาหลอก ตามดูนาน 96 สปด. โดยเอาเอ็นไซม์ตับและภาพการอักเสบของเซลตับเป็นตัวชี้วัดพบว่าพวกกินวิตามินอีทำให้ตับอักเสบดีขึ้น 43% ขณะที่กลุ่มกินยาหลอกดีขึ้น 19% ซึ่งต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จึงสรุปว่าวิตามินอีรักษาตับอักเสบได้ดีกว่ายาหลอก

ซึ่งเป็นข้อสรุปที่โอเคมากและควรจะเป็นงานวิจัยระดับที่เปลี่ยนคุณค่าของสารต้านอนุมูลอิสระชนิดเม็ดอย่างครึกโครม แต่ชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะในปีต่อมา (2011) ก็มีนักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งทำงานวิจัยแบบเดียวกันในเด็กกลับพบว่าวิตามินอีไม่ได้แตกต่างจากยาหลอกเลยในการรักษาตับอักเสบจากไขมันแทรกตับ พูดง่ายๆว่าหลักฐานชั้นดีสองชิ้นหักล้างกันเอง ตั้งแต่นั้นมาก็มีการวิจัยซ้ำอีกมากมายหลายงานคนละหนุบคนละหนับ จนกระทั่งหมาดๆเมื่อปีกลายนี้ (2021) หอสมุดโค้กเรนได้ทำการสังคายนา (meta analysis) ครั้งใหญ่โดยคัดเองแต่งานวิจัยเกรดเอระดับสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) จำนวน 202 งานวิจัย มีคนไข้รวม 14,200 คน แล้วคณะผู้วิจัยก็สรุปผลไว้ให้ผมอ้างตอบคุณที่ข้างต้นไงว่า

“คณะผู้วิจัยไม่สามารถสรุปผลได้ว่าวิตามินอีรักษาตับอักเสบจากไขมันแทรกตับได้ผลหรือไม่”

แป่ว..ว

มันคงเกินเป้าหมายของบล็อคนี้หากจะเจาะลึกไปถึงว่าทำไมการวิจัยตั้งสองร้อยกว่าครั้งแล้วยังสรุปอะไรไม่ได้เพราะบล็อคนี้ไม่ได้เขียนให้แพทย์หรือนักวิจัยอ่าน แต่เขียนให้คนทั่วไปอ่าน เอาเป็นว่ามันสรุปไม่ได้ก็แล้วกันนะ ดังนั้นใครจะใช้วิตามินอี.รักษาตับอักเสบจากไขมันแทรกตับหรือไม่ใช้ก็โปรดเลือกเอาแบบที่ชอบ ที่ชอบ ไม่ต้องมาหาหลักฐานสนับสนุนในภาพใหญ่ เพราะมันยังไม่มี

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Sanyal AJ, Chalasani N, Kowdley KV, McCullough A, Diehl AM, Bass NM, Neuschwander-Tetri BA, avine JE, Tonascia J, Unalp A, Van Natta M, Clark J, Brunt EM, Kleiner DE, Hoofnagle JH, Robuck PR; NASH CRN. Pioglitazone, vitamin E, or placebo for nonalcoholic steatohepatitis. N Engl J Med. 2010 May 6;362(18):1675-85. doi: 10.1056/NEJMoa0907929. Epub 2010 Apr 28. PMID: 20427778; PMCID: PMC2928471.
  2. Lavine JE, Schwimmer JB, Van Natta ML, Molleston JP, Murray KF, Rosenthal P, Abrams SH, Scheimann AO, Sanyal AJ, Chalasani N, Tonascia J, Ünalp A, Clark JM, Brunt EM, Kleiner DE, Hoofnagle JH, Robuck PR; Nonalcoholic Steatohepatitis Clinical Research Network. Effect of vitamin E or metformin for treatment of nonalcoholic fatty liver disease in children and adolescents: the TONIC randomized controlled trial. JAMA. 2011 Apr 27;305(16):1659-68. doi: 10.1001/jama.2011.520. PMID: 21521847; PMCID: PMC3110082.
  3. Komolafe O, Buzzetti E, Linden A, Best LM, Madden AM, Roberts D, Chase TJ, Fritche D, Freeman SC, Cooper NJ, Sutton AJ, Milne EJ, Wright K, Pavlov CS, Davidson BR, Tsochatzis E, Gurusamy KS. Nutritional supplementation for nonalcohol-related fatty liver disease: a network meta-analysis. Cochrane Database Syst Rev. 2021 Jul 19;7(7):CD013157. doi: 10.1002/14651858.CD013157.pub2. PMID: 34280304; PMCID: PMC8406904.

[อ่านต่อ...]

27 ตุลาคม 2565

อ้าว...จะตายแล้วหรือ

(ภาพวันนี้: เวอร์บีน่า ดูเป็นทุ่งๆมาแยะแล้ว ลองมาดูของหมอสันต์บ้าง นำเสนอเป็นแบบดอกๆ ฮิ ฮิ)

กราบเรียนคุณหมอสันต์

คุณพ่ออายุ 71 เป็นมะเร็งปอดแล้วเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาก ตอนวาระสุดท้ายโรคไม่ได้ทรมานอะไรท่านมาก ไม่มีอาการปวด ไม่มีอาการไอ ตั้งแต่หลังผ่าตัดท่านก็ผอมลงๆแล้วก็หมดแรงลงจากเตียงไม่ได้ ที่หนูเขียนมาหาคุณหมอก็เพราะหนูข้องใจว่าตอนจะตายพ่อมีอาการเหมือนกับว่าไม่อยากตาย ไม่พร้อมที่จะตาย อันนี้หนูพอเข้าใจ แต่ทำไมพ่อเหมือนมีอาการประหลาดใจหรือเซอร์ไพรส์อะไรสักอย่าง ซึ่งหนูมีความรู้สึกว่าเซอร์ไพรส์นั้นไม่ใช่ของดี เพราะท่านมีอาการตกใจ เหมือนว่าทำไมไม่บอกกันแต่แรก มันคืออะไรหรือคะ อะไรที่ทำให้เราเซอร์ไพรส์หรือตกใจเมื่อตอนจะตาย

ขอบพระคุณค่ะ

…………………………………………………………….

1.. ถามว่าคนเราก่อนตายทำไมตกใจหรือประหลาดใจอะไรหรือ ตอบว่าเออ..ผมก็ยังไม่เคยตายนะ แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าครับ

แต่จากการทำอาชีพนี้ทำให้ได้อยู่กับคนกำลังจะตายมาแยะและยอมรับว่าอาการอย่างที่คุณว่ามันมีอยู่จริงในคนไข้จำนวนหนึ่ง อาจจะเรียกว่ามากเกิน 50% ก็น่าจะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยที่เรายังไม่นิยมอัดมอร์ฟีนก่อนตายมากอย่างทุกวันนี้

ถ้าจะให้ผมเดา ผมเดาว่าอาการอย่างนั้นสะท้อนถึงความตกใจว่า

“อ้าว..จะเอาร่างกายนี้คืนไปแล้วหรือ?”

เพราะตอนที่ได้ร่างกายนี้มานึกว่าจะได้สิทธิเป็นเจ้าของแบบถาวร ใครๆก็สอนให้คิดอย่างนั้น จึงไม่ได้คิดถึงวันจะถูกทวงคืน หากรู้ว่าจะถูกทวงคืนอาจจะรีบใช้ประโยชน์จากร่างกายนี้ให้เต็มที่กว่านี้สักหน่อย แต่นี่ได้มายังไม่ทันรู้เลยว่าร่างกายนี้มันใช้ทำอะไรได้บ้าง จะเอาคืนเสียแล้วหรือ หากเปรียบร่างกายนี้เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าสักชิ้นหนึ่งก็เรียกว่าได้เครื่องมายังไม่ทันได้อ่านคู่มือการใช้งานหรือ instruction manual เลย ก็จะเอาของคืนเสียแล้ว

พูดถึงการอ่านคู่มือการใช้งานนี่มันสำคัญนะ ตอนที่ผมเริ่มทำคลินิกออนไลน์ใหม่ๆเมื่อสองสามเดือนก่อน โทรศัพท์ไอโฟน 6 ของผมมันชอบหน่วงสัญญาณทำให้คุยกับผู้ป่วยติดๆขัดๆ หมอสมวงศ์ได้เอาไอโฟน13 ของเธอบริจาคให้ ทำให้การตอบคำถามลื่นไหลดีมาก ขณะที่ผมตอบคำถามผู้ป่วยอย่างเจาะลึกอยู่นั้นผมมีความรู้สึกว่าคำถามบางคำถามที่ผู้ป่วยถามและคำตอบที่ผมตอบให้มันจะมีประโยชน์มากถ้ากลั่นหรือตัดแยกเอาเฉพาะส่วนที่ผมพูดเจาะลึกถึงวิธีแก้ปัญหาหนึ่งๆมาเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รับรู้ด้วย จึงมีความคิดที่จะถ่ายทำคำตอบของผมเป็นวิดิโอคลิปเผยแพร่ฟรี แต่ว่าผมไม่ชอบเอากองถ่ายมานั่งถ่ายทำเวลาผมคุยแบบส่วนตัวกับผู้ป่วยแม้จะเป็นการคุยกันทางออนไลน์ก็ตาม ผมจึงต้องหาทางถ่ายทำและตัดต่อวิดิโอคลิปด้วยตัวผมเองคนเดียว ซึ่งก็หนีไม่พ้นต้องนั่งแกะคู่มือการใช้งานไอโฟนไปทีละหน้า จึงได้เห็นว่าคู่มือนี่สำคัญ ถ้าไอโฟนไม่มีคู่มือการใช้งาน งานนี้ก็เลิกคิดได้เลย

ยกตัวอย่างประกอบอีกเรื่องหนึ่ง ผมมีเพื่อนรุ่นเดียวกันคนหนึ่งเขาเป็นวิศวกรใหญ่เจ้าของโรงงาน เขาซื้อเครื่องจักรมาราคาเป็นร้อยล้าน แล้ววันหนึ่งเครื่องจักรเกิดเสีย วิศวกรในบริษัทใครๆก็ซ่อมไม่ได้ การผลิตหยุดชงัก ขาดรายได้ ผู้ขายเครื่องจะส่งวิศวกรจากเมืองนอกมาช่วยซึ่งกว่าจะมาได้ก็ต้องรอเป็นเดือน แต่ตัวเขากำลังยุ่งและต้องรีบเดินทางไปต่างประเทศเสียก่อนเพราะเขามีโรงงานอยู่ในต่างประเทศด้วย ไปเมืองนอกสามสัปดาห์กลับมาก็ตั้งใจจะมาแก้ปัญหาเครื่องจักรเดินเครื่องไม่ได้ แต่พอกลับมากรุงเทพก็พบว่าโรงงานเดินเครื่องทำการผลิตได้แล้ว เขาสอบถามว่าแก้ปัญหาอย่างไร ก็จึงได้ทราบว่าคนงานพม่าคนหนึ่งนั่งอ่านคู่มือการใช้งานไปทีละหน้าแล้วแก้ปัญหาตามไปทีละขึ้น ในที่สุดก็เดินเครื่องได้ ขณะที่วิศวกรไทยนั้นมีนิสัยว่าได้เครื่องมาฟังบรรยายสรุปฝรั่งคร่าวๆแล้วก็ลงมือใช้งานกดปุ่มนั่นปุ่มนี่ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ซึ่งก็ใช้เครื่องได้เหมือนกัน แต่พอเครื่องเสียก็..จบข่าว

ประเด็นที่ผมจะพูดถึงวันนี้ก็คือในบรรดาอุปกรณ์ไอทีชิ้นที่ซับซ้อนที่สุดที่เราทุกคนได้มาก็คือชีวิตเราอันประกอบด้วยร่างกายและใจนี่เอง เราได้มาคนละชุด มันเป็นอุปกรณ์ที่ซับซ้อนมากกว่าไอโฟนไม่รู้กี่เท่า แต่ว่ามันไม่มีคู่มือการใช้งานติดมาด้วย ต้องอาศัยใช้วิธีของ “ช่างเถอะ” คือกดปุ่มลองผิดลองถูกไป ดูชาวบ้านเขาแล้วทำตามเขาไป ซึ่งก็จะใช้งานได้แค่กิน นอน เคลื่อนไหว ขับถ่าย สืบพันธ์ สำหรับบางคนแค่การใช้งานเบสิกห้าอย่างนี้ก็ยังลำบากทุลักทุเล ขณะที่หมาแมวมันก็ใช้ฟังชั่นเบสิกได้เท่าเราแต่มันทำได้แบบสบายใจเฉิบไม่เห็นมันยักแย่ยักยันแบบเราเลย ที่จะหวังไปใช้ฟังชั่นสูงๆที่เครื่องมือชิ้นนี้ออกแบบมาให้ทำได้นั้นคงยากส์..ส์ แล้วปุ๊บปั๊บก็ได้เวลาตาย นาทีสุดท้ายจึงได้แต่อ้าปากตาค้างด้วยความตกใจว่า อ้าว จะตายแล้วหรือ จะเอาคืนแล้วหรือ ยังไม่ทันรู้เลยว่าเครื่องมือชิ้นนี้มันใช้ทำอะไรได้อีกบ้าง

องค์ประกอบส่วนใหญ่ของชีวิตอยู่พ้นความคิดและภาษา คงไม่มีใครเขียนคู่มือการใช้งานชีวิตออกมาเป็นภาษาได้ดอก อย่างดีก็ได้แต่เปรยบอกทางแบบเลาๆว่าชีวิตนี้ทำอะไรได้มากกว่าฟังชั่นเบสิกห้าอย่างคือ กิน ถ่าย นอนหลับ เคลื่อนไหว สืบพันธ์ นะ เนื่องจากคู่มือใช้งานฟังชั่นสูงๆไม่มี ผมเองก็อาศัยวิธีลองผิดลองถูกด้วยความอยากรู้ส่วนตัว จึงพอมีประสบการณ์มาบอกใบ้ให้ท่านเลาๆได้ว่าวิธีที่จะใช้งานฟังชั่นสูงๆได้ท่านต้องเลิกใช้หรือ disable ฟังชั่นเบสิกก่อน ผมหมายถึงว่าต้องทิ้งความคิดหรือคอนเซ็พท์ใดๆในหัวไปให้หมดก่อน เข้าไปอยู่ในความรู้ตัวที่ว่างเปล่าให้ได้ก่อน เมื่อเคลียร์ฟังชั่นเบสิกได้แล้วท่านจึงจะดาวน์โหลดคู่มือการใช้งานฟังชั่นสูงๆมาลองเล่นได้ และในฟังชั่นสูงๆนี้เท่านั้นที่ท่านจะเข้าใจชีวิตมากพอที่จะไม่อ้าปากตาค้างด้วยความตกใจว่า

“อ้าว..จะตายแล้วหรือ”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

26 ตุลาคม 2565

ก้าวใหญ่ที่สุดในการเกิดมามีชีวิตนี้ ก็คือการก้าวจาก "known" ไปสู่ "unknown"

(ภาพวันนี้: ปาลม์เยอรมัน)

เรียนคุณหมอ

หลังจากที่หนูได้ฝึกใช้ mindfulness bell มาระยะหนึ่ง พบว่าทำให้สติไวขึ้นมาก พอความคิดเด้งขึ้นมา รู้ตัวไวขึ้นมากว่ามันมาแล้ว พอรู้ว่ามันมาแล้วก็พยายามหากลยุทธ์มาตัดตอนมัน…ถ้าเป็นความคิดยิบย่อยก็วางได้เลยแต่ถ้าเป็นความขุ่นใจหรือโกรธต้องใช้วิธีคิดทวนกระแส….

สิ่งที่หนูพบจากการฝึกคือ ความคิดมันมี 3 แบบ คือ 1. ความคิดที่เราตั้งใจคิด  2. ความคิดที่มันเด้งมาเอง 3.ความคิดที่ต่อยอดจากความคิดที่เด้งขึ้นมา ความคิดที่เราบริหารมันได้คือตัวที่ 1 กับ 3 ส่วนตัวที่ 2 หนูบริหารมันไม่ได้ แล้วจริงๆมันบริหารได้ไหมคะ?

สิ่งที่หนูยังไม่กระจ่างและจะรบกวนปรึกษาคุณหมอ…

1. ที่คุณหมอเรียกว่าวางความคิด หมายเอาเฉพาะความคิดที่ต่อยอดเท่านั้นหรือเปล่าคะ เพราะประสบการณ์ปัจจุบัน พบว่าความคิดที่มันเด้งขึ้นมามันวางไม่ได้เพราะมันเด้งมาเอง ควบคุมมันไม่ให้เด้งขึ้นมาก็ไม่ได้ด้วย อยู่ๆมันก็มาไม่รู้ตัว (ตอนมันมาไม่เคยรู้ตัวเลย มารู้อีกทีมันมาแล้ว…เป็นการรู้ตามหลังเสมอ) เราจะสามารถฝึกเพื่อทำให้มันไม่เด้งขึ้นมาเลย ให้เกิดความคิดแค่เรื่องที่เราอยากคิดเท่านั้น ได้ไหมคะ นอกจากต้องมีสติ 100% อยู่ตลอดเวลา ซึ่งน่าจะยากมาก…เคยพยายามลองควบคุมความรู้ตัว เพื่อที่จะให้มีสติอยู่ตลอดเวลาไม่ให้ความคิดมันเด้งขึ้นมา พบว่าเหนื่อยมาก เครียด และไม่สำเร็จ 555

2. คุณหมอพูดถึงการเปลี่ยนตัวตน (Change of identity) โดยการวางความเป็นตัวตนเราเสีย ไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ ….หนูเข้าใจถูกไหมคะว่าเมื่อไหร่ที่เราสามารถวางความเป็นตัวตนลง ตัวเราก็ไม่มี ก็จะไม่โกรธเพราะไม่มีตัวเราแล้ว….. แล้วกระบวนการวางตัวตนมันควรจะต้องเริ่มจากอะไรคะ เพราะความรู้ตัว (จิต) กับตัวตนมันคุ้นเคยที่อยู่ด้วยกันมาตลอดจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันราวกับแฝดสยาม การที่อยู่ๆจะไปบอกให้มันแยกจากกันโดยการบอกจิตว่านี่ไม่ใช่ตัวตนเรานะ เป็นสิ่งอื่น…มันคงไม่เชื่อ….คุณหมอฝึกอย่างไรและวิธีไหนคะ ถึงจะเจอ turning point ที่ทำให้มันขาดผึงออกจากกัน…จนจิตหมดความยึดโยงกับความเป็นตัวตน….

รู้สึกโชคดีและขอบคุณสิ่งที่ทำให้หนูได้มีโอกาสรู้จักและพบเจอคุณหมอ…

………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าที่หมอสันต์สอนให้วางความคิดหมายความถึงแค่ความคิดที่คิดต่อยอดความคิดที่โผล่ขึ้นเองแบบอัตโนมัติใช่ไหม ตอบว่าใช่ครับ

2.. ถามว่าความคิดชนิดที่โผล่มาเองในหัวโดยเราไม่ได้คิดจะไม่ให้มันโผล่ขึ้นมาเลยได้ไหม ตอบว่าไม่ได้ครับ เพราะความคิดชนิดนั้นพูดแบบบ้านๆมันก็คือกรรมเก่าของเราเอง ชื่อว่ากรรมเก่า อย่างไรก็ต้องได้เสวย (หิ หิ ขอโทษ วันนี้ขอเดาะสำนวนหลวงพ่อ) อย่างไรมันก็ต้องเกิดขึ้นมาก่อน แล้วเราจึงจะตามไปรับรู้มันได้ กลไกการตามไปรับรู้นี้ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “recall” ซึ่งพระภิกษุในพุทธศาสนาสายออร์โธดอกซ์(เถรวาท)ใช้คำไทยว่า “ความระลึกได้” ซึ่งท่านแปลมาจากภาษาบาลีคำว่า “สติ” ดังนั้นถ้าสติแหลมคมระยะที่จะระลึกได้ก็สั้น ความคิดนั้นก็ยังไม่ทันได้อาละวาดมาก ถ้าสติแหลมคมมาก ระยะที่รับรู้ได้ก็ยิ่งสั้นมากชนิดที่โผล่มาแต่หัวคิ้วยังไม่ทันโผล่ลูกกะตามาเลยก็รู้แล้วว่าเป็นใคร คือเราจำความคิดนั้นได้ นี่เป็นจุดที่โยคีบางคนใช้เป็นฐานในการสร้างเทคนิค “สอบสวนตีทะเบียนความคิด (self inquiry)” เพราะชื่อว่ากรรมเก่าใช่ว่าจะมาหนเดียวแล้วจบ แต่มีธรรมชาติมาซ้ำมาซาก ถ้าเราจำมันได้แม่น เราก็ดีดมันทิ้งได้ตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นลูกกะตา ดังนั้นการฝึกสติให้แหลมคมจึงเป็นกลยุทธ์เดียวในการวางความคิดชนิดกรรมเก่าของเราเอง แบบว่าเจอดีดทิ้ง เจอดีดทิ้ง แล้วมันจะค่อยๆห่างไปๆ แล้วหายไปแบบสวีวี่วี

3.. ถามว่าจะฝึกสติให้แหลมคมจนความคิดชนิดกรรมเก่าโผล่ไม่ได้เลยได้ไหม ตอบว่าฝึกได้ครับ เพราะการวางความคิดมีสองแบบ แบบแรกคือย้อนกลับไปดูอย่างที่ว่า แบบที่สองคือรอการมาของความคิดใหม่ ทั้งสองแบบเป็นการสังเกตทั้งคู่ แบบแรกคือกำลังมั่วอยู่ในความคิดแล้วสังเกตความคิดที่เกิดขึ้นแล้ว แบบที่สองคือปักหลักอยู่ ณ ที่ไม่มีความคิด (เช่นที่ลมหายใจ) แล้วรอดูความคิดแรกที่จะโผล่ขึ้นมา ที่คุณบอกว่าลองทำแบบที่สองดูแล้วเครียดนั้นเป็นเพราะสติคุณยังไม่แข็งแรง เปรียบเหมือนคนขี่จักรยานไม่เก่งการจะทรงตัวอยู่นิ่งๆได้มันเหนื่อยแทบตาย แต่ถ้าสติคุณแหลมคมแล้ว คุณทำวิธีไหนก็ได้ ไม่มีเครียด เพราะทั้งสองวิธีพอใช้ไปถึงขั้นละเอียดขึ้นๆ มันกลายเป็นวิธีเดียวกัน เพราะถ้าระยะการระลึกได้สั้นมากๆจนโผล่ปุ๊บรู้ปั๊บ มันจะไปต่างอะไรกับเทคนิคการนั่งรอดูความคิดใหม่ที่จะโผล่ละ ถูกแมะ

ตัวผมเองนั้นไม่สนับสนุนให้ใครเอาเป็นเอาตายกับความคิดมากนัก แค่ให้สังเกต แค่มันมาก็รู้ว่ามันมา มันไปก็รู้ว่ามันไป เอาแค่นี้ก็พอแล้ว เพราะเมื่อความคิดงวดลงถึงระดับหนึ่ง(ที่เรียกว่าฌาณนั่นหละ) มันจะมีความคิดเนียนๆอีกแบบหนึ่งโผล่ขึ้นมา ที่เรียกว่าญาณทัศนะ หรือปัญญาญาณ นี่ก็เป็นความคิดนะ เป็นความคิดชนิดที่เราไม่ได้คิดด้วย มันโผล่มาเอง แต่ถ้าคุณไปเอาเป็นเอาตายกับทุกความคิดด้วยระแวงว่ามันเป็นกรรมเก่าเสียหมด คุณก็หมดโอกาสที่จะได้เรียนรู้อะไรจากมัน เหมือนพอบุรุษไปรษณีย์จะเข้าบ้านมาคุณก็ปล่อยหมาไล่เขาเสียแล้ว แล้วคุณจะได้รับพัศดุที่เขาตั้งใจจะเอามาส่งให้คุณไหมละ

4.. ถามว่าที่หมอสันต์พูดถึงการเปลี่ยนตัวตน (Change of identity) จุดเปลี่ยนหรือ turning point มันเริ่มตรงไหน เพราะความรู้ตัว (จิต) กับตัวตนมันคุ้นเคยที่อยู่ด้วยกันมาตลอดจะแยกออกจากกันได้อย่างไร ตอบว่า ก็เริ่มที่การสังเกตความคิดไงครับ ความคิดคือตัวตน ความรู้ตัวคือผู้สังเกต แยกตรงนี้ออกจากกันให้ได้ก่อน ขณะที่นั่งสังเกตความคิด ให้มองให้เห็นชัดๆจะๆว่านั่นความคิดนะ มันอยู่ที่นั่น ส่วนเราอยู่ที่นี่กำลังนั่งสังเกตอยู่ เราไม่ใช่ความคิด ไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาอะไรกันเลย เห็นจุดที่ผมชี้ไหม เมื่อเราเปลี่ยน position ของตัวเองจากการเป็น “ผู้คิด” มาเป็น “ผู้สังเกต” นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนตัวตน เมื่อขยันสังเกตความคิดไป จนทุกความคิดที่เกิดขึ้นตกอยู่ภายใต้การสังเกตหมดไม่มีความคิดไหนที่เป็นการ “เผลอคิด” เลย เมื่อนั้นสิ่งที่คุณเรียกว่าแฝดสยามก็จะแยกจากกันได้เด็ดขาด คุณจะไม่ใช่ความคิดใดๆของคุณอีกต่อไป จุดนั้นคือจุดที่เกิดการเปลี่ยนตัวตนหรือ change of identity

5.. ข้อนี้ไม่ได้ตอบคำถาม แต่เป็นการตั้งข้อสังเกต ว่าคุณเป็นคนเอาถ่านนะ ให้คุณขยันทดลอง ขยันลองผิดลองถูกต่อไป ก้าวใหญ่ที่สุดในการเกิดมามีชีวิตนี้ ก็คือการก้าวจาก “known” ไปสู่ “unknown” เส้นทางข้างหน้าล้วนเป็น “unknown” คุณไม่มีทางรู้ล่วงหน้าหรือนิยามด้วยภาษาได้หรอกว่ามันจะเป็นอย่างไร มันคืออะไร เพราะคุณต้องเรียนรู้จากการมีประสบการณ์กับของจริงเท่านั้น อย่าไปหาความรู้ล่วงหน้า หากคุณรู้ล่วงหน้าขึ้นมาเมื่อใด นั่นแสดงว่าคุณกำลังตกลงไปในร่องความคิด เหมือนคนเดินวนเป็นวงกลมแบบกลับไปตั้งต้นที่สนามหลวงใหม่โดยไม่รู้ตัว..อีกแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

25 ตุลาคม 2565

งานวิจัยการรำมวยจีน ไท้ชิ..ชี่กง

(ภาพวันนี้: อ่อมแซ่บ ความงามในความรกหลังบ้านเพื่อน)

คุณหมอสันต์ครับ

ผมอายุ 80 แล้ว ไม่เคย และไม่ชอบออกกำลังกาย อย่างดีก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปนั่งกินกาแฟที่ร้านอาโกซึ่งรุ่นเดียวกัน แต่ตอนนี้รู้สึกว่าร่างกายมันไม่ค่อยนิ่ง มันสั่นๆโยกๆ คล้ายขามันไม่มีแรง จะยืนก็ต้องกางขาไว้ ลูกหลานก็สั่งให้ออกกำลังกายแต่ตัวพวกมันเองไม่เห็นมีใครออกกำลังกายสักคน อยากถามหมอสันต์ว่าวัยอย่างผมและไม่ชอบออกกำลังกายมาก่อน หากจะเริ่มออกกำลังกายควรจะเลือกออกแบบไหนดี

…………………………………………………………………

ตอบครับ

ถามว่า 80 แล้วไม่ถนัดการออกกำลังกายแต่เพิ่งมาเห็นความจำเป็น ควรจะออกกำลังกายแบบไหนดี ผมแนะนำตามหลักฐานวิจัยในคนรุ่นนี้ว่า..รำมวยจีนไงครับ รำมวยจีนหรือไท้ชิ หรือชี่กง หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ที่มีฐานรากอยู่ที่การเคลื่อนไหวช้าๆ นุ่มๆ นวลๆ เนิบๆ

ผมเองก็สอนรำมวยจีนอยู่เป็นประจำนะ ไม่ได้สอนความถูกต้องของท่าตระกูลโน้นตระกูลนี้ดอก แต่สอนให้ได้ประโยชน์ด้านสุขภาพ พูดถึงฐานราก ผมสรุปเองเออเองหลังจากสอนด้วยตัวเองมานานหลายปีว่าการรำมวยจีนมันมีฐานรากอยู่ห้าอย่าง คือ

(1) สติ

(2) การเคลื่อนไหว หรือพูดให้เท่หน่อยก็คือ กระบวนท่า

(3) การหายใจ คือจับกระบวนท่าแล้ว ขณะเดียวกันก็จับดูการหายใจไปพร้อมกันด้วย

(4) การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ คือขณะเคลื่อนไหว ก็สั่งให้กล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลายอยู่ในที เหมือนร่างกายนี้ไม่มีกระดูก

(5) การรับรู้ “ชี่” หรือพลังชีวิต อันนี้เป็นสุดยอดวิชา ใหม่ๆไม่รู้จักไม่เป็นไร นานไปก็จะรู้เอง มันหมายถึงว่าร่างกายเรานี้มันมีพลังชีวิตซ้อนทับอยู่ เมื่อเราหายใจเข้า พลังชีวิตจากภายนอกเข้ามา เมื่อเราหายใจออก พลังชีวิตแผ่สร้านวิ่งวนไปทั่วร่างกาย แผ่ออกไปสู่ภายนอกผ่านทุกรูขุมขน เรารับรู้มันได้ในรูปของความรู้สึกวูบวาบ ซู่ซ่า จิ๊ดๆจ๊าดๆ เจ็บๆคันๆ เมื่อชำนาญแล้วเราจะรู้สึกว่าร่างกายตันๆนี้หายไป ที่กำลังร่ายรำอยู่เนี่ยเป็นแค่กลุ่มก้อนของพลังชีวิตที่ไม่มีขอบเขตชัดเจนแน่นอน

เมื่อตะกี้ผมบอกว่าผมเชียร์การรำมวยจีนไปตามผลวิจัยที่มี คือนับถึงวันนี้งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พิสูจน์โดยการแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบได้แน่ชัดแล้วว่าไทชิหรือจี้กงสร้างผลดีอย่างน้อยเจ็ดอย่างคือ

1.. ทำให้การทรงตัวดีขึ้น งานวิจัยพบว่ากลุ่มผู้สูงอายุที่รำมวยจีนสัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง ลดโอกาสเกิดลื่นตกหกล้มลงได้ 43% คือลดได้เกือบครึ่งหนึ่ง นี่มันดีกว่ากินหรือฉีดยารักษากระดูกพรุนอีกนะ

2.. ลดอาการปวด ทั้งอาการปวดหลัง ปวดคอ ปวดออฟฟิศซินโดรม ข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือปวดกล้ามเนื้อและเอ็น ช่วยได้หมด มันดีเสียจนสมาคมโรคข้ออเมริกัน (ACR) แนะนำให้รำมวยจีนรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ก่อนที่จะคิดอ่านใช้ยารักษา

3.. ทำให้สมองเฉียบคม ไท้ชีได้รับการพิสูจน์ว่าลดความเสื่อมถอยของสมองและการขี้หลงขี้ลืม และถูกจัดให้เป็นเครื่องมือหนึ่งในปรับการใช้ชีวิตเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อม

4.. ลดการป่วยจากโรคเรื้อรัง แม้ในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจอยู่ แต่การรำมวยจีนก็ทำให้อัตราป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองลดลง

5. ทำให้อารมณ์ดี ในบรรดางานวิจัยการรำมวยจีนทั้งหลาย ประเด็นการใช้แก้ซึมเศร้าเป็นประเด็นที่ถูกวิจัยมากที่สุด เมื่อยำรวมผลวิจัยทั้งหลายแบบเมตาอานาไลซีส พบว่า 82% ของงานวิจัยเหล่านั้นสรุปได้ว่าการรำมวยจีนทำให้อารมณ์ดีขึ้น ลดความกังวล และเป็นวิธีรักษาโรคซึมเศร้าที่มีประสิทธิผล

6.. ลดความเครียด การได้จดจ่ออยู่ที่หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ผ่อนคลาย ช่วยการวางความคิด ลดความกังวล

7.. ช่วยการนอนหลับ งานวิจัยพบว่าผู้สูงอายุที่รำมวยจีนสม่ำเสมอมีการนอนหลับดีกว่าผู้ที่ไม่ได้รำมวยจีน

กล่าวโดยสรุป คุณพี่เลือกการรำมวยจีนดีที่สุด การจะเริ่มเรียนก็ไม่ลำบากอะไร ไม่ต้องไปหาครูที่ไหน เปิดยูทูปแล้วทำตามเขาไปเลย ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่รำยากหรือรำไม่เป็น หรือจำท่าไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็นเลย จำท่าไม่ได้ก็เอาท่าเดียวหรือสองท่าก็พอ ก็ได้ประโยชน์แล้ว ประเด็นมันอยู่ที่ขี้เกียจรำ เป็นผู้สูงอายุแล้วอย่าขี้เกียจ และอย่าไปเกี่ยงว่าก็พวกลูกหลานเองพวกเขาก็ดีแต่พูด เราอาวุโสกว่า เราต้องเป็นตัวอย่างให้พวกเขา ใช่ไหมครับคุณพี่

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

24 ตุลาคม 2565

เนื้องอกมดลูก (Uterine Fibroid) ไม่ผ่าตัดได้ไหม และอายุเท่าไรควรเริ่มเอ็กซเรย์เต้านม

(ภาพวันนี้: หน้าหนาว อาทิตย์เปลี่ยนมุม ย้ายที่กินอาหารเช้ามาอยู่หน้าบ้านได้)

สวัสดีค่ะคุณหมอ

ก่อนอื่นขอบอกว่าชอบ ชื่นชม และเชื่อมั่นในตัวคุณหมอนะคะ ดิฉันขอปรึกษาสอบถามคุณหมอหน่อยค่ะ ดิฉันอายุ 48 ไปตรวจภายใน ตรวจเมมโมแกรม พบว่า เป็นเนื้องอกที่มดลูก คุณหมอแนะนำให้ตัดมดลูก และอายุเยอะแล้วให้ตัดปีกมดลูกออก 2 ข้าง ด้วยเลย ซึ่งคุณหมอก็ไม่ได้บอกว่าก้อนเนื้อขนาดเท่าไร มีกี่ก้อน ดิฉันเลยจะไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลอื่น พอดีเคยดูคลิปหมอสูติท่านหนึ่งบอกว่า ถ้าอายุเยอะแล้ว ไม่ต้องตัดก็ได้ เพราะถ้าหมดประจำเดือน ก้อนเนื้อมันจะฝ่อไปเอง ซึ่งประจำเดือนดิฉันก็น่าจะใกล้หมดแล้ว จึงไม่อยากผ่า สามารถทานยาที่ให้ฝ่อได้หรือเปล่าค่ะ และอีก   1 เรื่อง ตรวจเมมโมแกรมแล้วพบว่ามีแคลเซียมเกาะ คุณหมอที่ทำอัลตร้าซาวน์บอกว่า เป็นระดับ 3 ถ้าเป็นระดับ 5 ถึงจะเป็นมะเร็งให้ลองปรึกษากับหมอด้านนี้อีกที ซึ่งก็ส่งตัวไปหาหมอศัลยแพทย์บอกว่าไม่เป็นไรเป็นปกติ ให้มาทำเมมโมแกรมทุก 6 เดือน ขอสอบถามคุณหมอว่า สามารถทำให้แคลเซียมหายไป หรือไม่ให้เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นมะเร็งได้หรือเปล่า และทั้ง 2 โรคนี้ จะดูแลตัวเองยังไง ปกติตอนนี้ก็ลดทานเนื้อสัตว์แล้ว ยังทานอยู่บ้างนิดหน่อยค่ะ ถ้าไม่ทานเนื้อสัตว์ ต้องทานอะไรแทน เต้าหู้ทานได้หรือเปล่า มีผลอะไรกับโรคมั้ยค่ะ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

และขอขอบคุณที่ให้ความรู้เป็นประโยชน์กับประชาชนมากๆ ค่ะ

…………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าไม่มีอาการอะไรแต่ตรวจสุขภาพประจำปีพบเนื้องอกมดลูก (uteri fibroid) ไม่ผ่าตัดจะได้ไหม ตอบว่าไม่ต้องผ่าตัดก็ได้สิครับ ความจริงเนื้องอกมดลูกไม่ใช่ว่าเป็นแล้วต้องรีบผ่าออกหมด วิทยาลัยสูติแพทย์อเมริกัน (ACOG) ได้กำหนดข้อบ่งชี้ไว้ว่าควรผ่าออกเฉพาะเมื่อ (1) ประจำเดือนมากหรือปวดมากหรือก่ออาการอื่นจนใช้ชีวิตปกติลำบาก (2) เลือดออกนอกเวลาประจำเดือนปกติ (3) ไม่สามารถวินิจฉัยได้ชัดว่าเป็นเนื้องอกของอะไรกันแน่ เช่นไม่แน่ใจว่าเป็นมะเร็งของรังไข่หรือเปล่า (4) ก้อนโตเร็ว คือเพิ่มขนาดเกินเท่าตัวในเวลาไม่เกินปี ซึ่งชวนให้สงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง (ปกติเนื้องอกมดลูกมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยมาก คือน้อยกว่า 1 ใน 1000)

กรณีของคุณนี้ไม่มีข้อบ่งชี้อะไรซ้ากกะอย่างว่าควรจะผ่าตัด จึงไม่ควรผ่าตัด เพราะหลักวิชาการผ่าตัดมีง่ายๆที่นักเรียนมัธยมก็เข้าใจได้ ว่าหากไม่มีข้อบ่งชี้ให้ผ่าตัดก็ไม่ควรผ่าตัด เพราะการผ่าตัดไม่ใช่การเดินเล่นชมสวน พลาดท่าเสียทีก็เกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ประเด็นขนาดของเนื้องอกหรือจำนวนของเนื้องอกไม่สำคัญตราบใดที่ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าควรผ่าตัด แต่การตรวจอุลตร้าซาวด์วัดขนาดของเนื้องอกอาจมีประโยชน์เพื่อการติดตามดูขนาดใน 6-12 เดือนข้างหน้า เผื่อคุณเป็นคนแจ๊คพ็อต 1 ใน 1000 ขนาดโตขึ้นเกินเท่าตัวก็จะได้ผ่าออกเสีย

2.. ถามว่ายากินให้เนื้องอกมดลูกฝ่อไปได้มีไหม ตอบว่ามีแต่ยาฉีดครับ ชื่อ gonadotropin releasing hormone analogues (GnRHas) แต่ว่าคุณอายุปูนนี้แล้วไม่ต้องฉีดหรอกครับ เดี๋ยวมันก็ฝ่อไปเอง

3.. ถามว่าตรวจแมมโมแกรมแล้วพบแคลเซี่ยมเกาะในเต้านม จะหายามาเอาแคลเซียมออกมีไหม ตอบว่าไม่มีครับ และขอแถมหน่อยว่าคุณอย่าไปกระต๊ากอะไรกับแคลเซียมในเต้านม เพราะเต้านมเขามีไว้ผลิตน้ำนม และน้ำนมก็ผลิตจากแคลเซียม มันก็ย่อมมีแคลเซียมเรี่ยราดอยู่ได้เป็นธรรมดา เนื้อเยื่ออื่นๆของเต้านมก็มักมีแคลเซียมมาเกาะมาพอกเป็นประจำเช่น ผิวหนัง หลอดเลือด เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือแคลเซียมในเต้านมที่ถือว่าปกติ ซึ่งรังสีแพทย์เขาจะมีในใจอยู่แล้วว่าอย่างไหนที่เป็นแคลเซียมแบบปกติ แต่ว่ามันเป็นธรรมเนียมที่จะต้องตามดู 1-2 ครั้งเผื่อว่าถ้ามีมะเร็งจริงตัวมะเร็งมันจะใหญ่ขึ้นอย่างน้อยเท่าตัวซึ่งโตพอที่จะดันให้แคลเซี่ยมที่ตอนแรกดูปกตินั้นโย้ผิดที่ไปได้ซึ่งถือว่าเป็นตัวช่วยให้วินิจฉัยมะเร็งได้ง่ายขึ้น

ในการอ่านผลแมมโมแกรมหมอรังสีเขาจะอ่านเป็นตัวเลขตามระบบฐานข้อมูลรายงานภาพเต้านม หรือ Breast Imaging-Reporting and Data System เขียนย่อว่า BIRADS ถ้า BIRADS-3 ก็แปลว่าไม่น่าจะเป็นมะเร็ง ถ้า BIRADS-4 ก็แปลว่าน่าจะเป็นมะเร็ง ถ้า BIRADS-5 ก็แปลว่าเป็นมะเร็งแหงแซะ ของคุณนี้เขาอ่านมา BIRADS-3 ก็คือไม่น่าจะเป็นมะเร็ง จึงยังไม่ต้องกระต๊าก

การติดตามทำแมมโมแกรมซ้ำเมื่ออ่านว่า BIRADS-3 เป็นสิ่งที่ควรทำสัก 1-2 ครั้งห่างกันสัก 6 เดือน ถ้ามันยังเหมือนเดิมก็เลิกติดตามได้ แค่ลดลงมาตรวจตามรอบการทำแมมโมแกรมปกติ กล่าวคือคณะทำงานป้องกันโรครัฐบาลสหรัฐ(USPSTF)แนะนำรอบการตรวจแมมโมแกรมปกติว่าควรตรวจปีเว้นปีในช่วงอายุ 50-75 ปี

โปรดสังเกตว่าคุณอายุยังไม่ถึง 50 ปีแล้วทำไมรีบไปตรวจแมมโมแกรมละครับ การที่คุณขยันไปตรวจเร็วเกินกว่าที่คำแนะนำมาตรฐานเขาแนะนำเนี่ยไม่ใช่ว่าจะดีนะครับ คำแนะนำมาตรฐานเขาคำนวณความเสี่ยงและประโยชน์มาดีแล้ว การตรวจเร็วขึ้นกว่าคำแนะนำบางครั้งมันกลับนำคุณไปสู่การรักษาที่ไม่จำเป็น ทำให้ได้รับความเสี่ยงหรือทุพลภาพมากกว่าอยู่เปล่าๆเสียอีก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

23 ตุลาคม 2565

เด็กวัยก่อน 7 ขวบ สำคัญที่ต้องได้แคลอรี่เพียงพอ

ภาพวันนี้: ม่วงมงคล (ชื่ออย่างไม่เป็นมงคลคือ “โคลงเคลง”)

สวัสดีค่ะ คุณหมอสันต์

วันนี้ลูกชาย 3.9 ขวบแล้วค่ะ ไปโรงเรียน และยังกินเจอยู่ (บ้านเรากินเจ ไม่นม ไม่ไข่ 3 คน พ่อแม่ลูก ค่ะ) แต่จะมีเพิ่มขนมที่มีส่วนผสมของไข่และนมอยู่บ้าง เพราะโรงเรียนพากิน โรงเรียนเป็นมังสวิรัติค่ะ แต่ที่บ้านแม่ก็ไม่ได้ให้กินนมวัวหรือไข่ไก่เหมือนเดิมค่ะ ไม่อยากไปจุกจิกกับครูมากเกินไปค่ะ น้องแข็งแรงดีค่ะ มีเป็นอีสุกอีใสไปเมื่อ 2 เดือนก่อน เพราะติดจากคุณพ่อ เพราะคุณพ่อไปเจาะแผลงูสวัสให้คุณย่ามา 555 ด้วยความไม่รู้ว่าเป็นโรคติดต่อกันได้ ตอนคุณพ่อมีตุ่มขึ้น 2 ตุ่ม ก็สงสัยและรีบไปหาคุณหมอ ถึงได้รู้ว่าเป็นอีสุกอีใสค่ะ หลังจากนั้นก็แยกกันอยู่ แต่ก็ไม่ทัน ติดกันเรียบร้อย ทั้งแม่และลูกในอีก 2 อาทิตย์ถัดมา ตามระยะฟักตัวเลยค่ะ

ตอนที่แฟนไปหาคุณหมอ คุณหมอสงสัยว่าทำไมไม่มีไข้เลย เลยเช็คผลเลือดให้ พบว่าเลือดสมบูรณ์มาก แฟนแข็งแรงมาก (ทั้งที่ชอบกินมาม่าและน้ำอัดลมอยู่บ่อยๆ) และถามว่าฉีดวัคซีนโควิดหรือยัง แฟนตอบว่ายังไม่ได้ฉีดซักเข็มเลย คุณหมอบอกมีภูมิโควิดแล้ว เลยคิดว่า ไม่ใช่ติดกันทั้งบ้านไปแล้วเหรอนี่ แบบไม่รู้ตัวค่ะ

เมื่อวานกลุ่มแม่ๆ คุยกันเรื่องวัคซีนโควิด ว่ามีการเปิดจอง ลงทะเบียนสำหรับเด็ก 6 เดือน – 5 ปี ที่โรงพบาบาล … วันนี้โรงเรียนก็มีประกาศรายชื่อเด็กที่เคยลงทะเบียนจะฉีดไว้ พ่อ กับ แม่ ตั้งใจจะไม่ฉีดสักเข็มค่ะ แล้วก็ย้อนไปดูบทความเก่าของคุณหมอว่า จะต้องฉีดไปถึงเข็มที่เท่าไร และก็ไม่ได้อยากให้ลูกชาย 3.9 ขวบ ต้องฉีดด้วยค่ะ อยากจะรบกวนถามคุณหมอค่ะ ว่าคิดเห็นหรือมีเหตุผลกับวัคซีนเด็กปฐมวัยอย่างไรคะ เนื้อหาข่าว ตามไฟล์แนบค่ะ

กราบขอบพระคุณที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้ชีวิต ให้ข้อคิด และเป็นประโยชน์อยู่เสมอเลยเลยนะคะ

ชื่นชมคุณหมอสันต์มากค่ะ

…………………………………………………………………

ตอบครับ

ขอถือโอกาสนี้แจ้งข่าวแฟนบล็อกและเฟซบุ้คของผมว่าหมอสันต์ได้เลิกเขียนและเลิกตอบคำถามเรื่องวัคซีนโควิดมาหลายเดือนแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เฟซบุ้คของผมถูกปิด ทั้งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับทางการของไทยเรานะครับ ไม่เกี่ยวเลยโปรดอย่าได้เข้าใจผิด มันเกี่ยวกับผู้มีส่วนได้เสียในต่างประเทศล้วนๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับคนในประเทศไทย ผมยังตอบคำถามเรื่องโรคโควิดอยู่ แต่ว่า…ต้องไม่เกี่ยวกับวัคซีน (หุ..หุ)

ที่ผมหยิบจดหมายคุณขึ้นมาตอบก็เพื่อจะพูดถึงประเด็นหนึ่งซึ่งผมเห็นว่าสำคัญในกรณีเลี้ยงลูกด้วยอาหารแบบมังสวิรัติหรือวีแกน นั่นคือประเด็นการให้เด็กก่อนวัยเรียนอย่างลูกของคุณนี้ได้รับแคลอรีอย่างพอเพียง เพราะงานวิจัยพบว่าไม่ว่าจะเลี้ยงด้วยอาหารแบบไหน หากเด็กไม่ได้รับแคลอรี่พอเพียงจะทำให้การเติบโตของเด็กชะงักในสามสี่ปีหลังหยุดนมแม่ เพราะเมื่อแคลอรี่ไม่พอใช้ ร่างกายจะไปเบียดเอาโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาเผาผลาญให้พลังงานแทน ทำให้เด็กผอมหรือมีดัชนีมวลกายต่ำกว่าที่ควร

การจะให้ได้แคลอรี่เพียงพอมีหลักง่ายๆว่าให้เด็กได้กินจนอิ่ม กลไกที่จะทำให้อิ่มในกรณีที่ยังไม่เสพย์ติดรสชาติของอาหาร จะมีกลไกหลักคุมอยู่สองกลไกเท่านั้น คือ (1) เมื่ออาหารเต็มกระเพาะจนผนังกระเพาะถูกยืด เด็กจะอิ่ม และ (2) เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นถึงระดับหนึ่ง อินสุลินจะเป็นตัวแจ้งสมองให้เกิดความอิ่ม

สำหรับเด็กที่กินอาหารมังสวิรัติหรืออาหารวีแกน หากจัดอาหารที่ได้สัดส่วนของแคลอรี่สูงพอก็ไม่มีปัญหา แต่หากจัดอาหารให้มีสัดส่วนของใยอาหาร (กาก) มากเกินไป ปริมาณอาหารจะเต็มกระเพาะก่อนที่แคลอรี่จะเข้าไปในร่างกายได้เพียงพอต่อความต้องการ เพราะใยอาหารเป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ แม้แต่ผลไม้ซึ่งรสหวานก็ยังจัดเป็นอาหารที่มีสัดส่วนของกากสูงสัดส่วนของแคลอรี่ต่ำ

การจะแก้ปัญหานี้ต้องให้เด็กได้กินอาหารที่ให้แคลอรีสูงมากขึ้นโดยให้มีสัดส่วนของใยอาหารต่ำลง อาหารไขมันเป็นอาหารให้แคลอรีสูงที่สุด จึงควรให้กินอาหารไขมันเช่น อะโวกาโด ถั่วต่างๆ งา นัทต่างๆ น้ำมันมะกอก เป็นต้น อาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารให้แคลอรีครึ่งหนึ่งของอาหารไขมันแต่ร่างกายก็นำไปสร้างเป็นพลังงานได้เร็วที่สุด จึงควรเน้นอาหารคาร์โบไฮเดรตด้วย เช่น ธัญญพืชอย่างข้าว ขนมปัง เมล็ดพืชทุกชนิด พวกหัวใต้ดินที่ให้แป้ง เช่น มันเทศ มันฝรั่ง เพื่อให้เด็กได้แคลอรีเพียงพอในพื้นที่กระเพาะอาหารอันจำกัด

ควบคู่กันไปต้องเปิดให้เด็กได้ออกกำลังกายเต็มที่และได้นอนหลับอย่างเสรี เพราะยิ่งออกกำลังกายมากยิ่งได้นอนหลับมาก ยิ่งมีฮอร์โมนการเติบโตออกมามาก ร่างกายยิ่งสร้างมวลกล้ามเนื้อได้มาก เด็กยิ่งเติบโตดี การให้เด็กได้หลับมากนี้ต้องยอมให้ผลการเรียนลดลง หรือแม้จะถูกลดชั้นก็ยอม หรือแม้ต้องย้ายมาอยู่โรงเรียนใกล้บ้านซึ่งสู้โรงเรียนเก่าที่อยู่ไกลไม่ได้ก็ยอม เพราะวัยนี้การได้วิ่งเล่นและได้นอนหลับสำคัญและเป็นประโยชน์กับเด็กมากกว่าสิ่งใดๆที่เด็กจะได้จากโรงเรียน

ในความเห็นส่วนตัวของหมอสันต์ ช่วงอายุ 1-7 ปีซึ่งเป็นวัยที่กฎหมายยังไม่บังคับให้ไปโรงเรียน เด็กไม่ควรไปโรงเรียนเลยจะดีที่สุด เพราะวัยนี้เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีกว่า มีสุขภาพดีกว่า หากได้กินๆเล่นๆนอนๆอยู่นอกโรงเรียน ผมไม่เชื่อว่าการให้เด็กไปโรงเรียนช้า(คือ 7 ขวบเมื่อกฎหมายบังคับ) พอเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะโง่กว่าหรือมีความสามารถน้อยกว่าหรือมีพัฒนาการด้อยกว่าคนที่ไปโรงเรียนเร็ว เพราะผมไม่เคยเห็นงานวิจัยแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะบ่งชี้ว่ามันเป็นเช่นนั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

21 ตุลาคม 2565

เป็นโรคกังวลเกินเหตุ (GAD) มาหกปี ฝึกสมาธิมาหลายปี แต่วางไม่ได้

(ภาพวันนี้: ฟาแลนสีขาว)

สวัสดีครับคุณหมอครับ

ผมขออนุญาตสอบถามหน่อยนะครับพอดีผมมีอาการไม่มีแรงท้องอืดเวียนหัวมึนหัววิตกกังวลมีความกลัวนอนไม่หลับหลับไม่ลึกเหมือนรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลามีการใจสั่นตกใจง่ายผมไปตรวจมาหลายโรงพยาบาลแล้วครับทางโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนเอกซเรย์แล้วปกติตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจแล้วปกติส่องกล้องหมอบอกว่าปกติตรวจเลือดผลเลือดเป็นปึกๆแล้วครับแต่หมอก็บอกว่าปกติแต่มันมีอาการใจสั่นวิตกกังวลมีความกลัวกลัวการกินกลัวกินนั่นจะแพ้อาหารกลัวกินนี่ก็จะแพ้ทั้งที่เมื่อก่อนกินทุกอย่างไม่เคยแพ้อะไรแต่อยู่ๆมันมากลัวแพ้ได้ไงก็ไม่รู้ครับซื้ออาหารเสริมมาก็ไม่กล้ากินกลัวแพ้แต่ก็อยากซื้อซื้อมาเก็บไว้จนหมดอายุเพราะไม่กล้ากินหมอที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้ให้ยาอะไรมากินแล้วครับหมอเขาบอกว่าให้ทำ 2 อย่างทำบุญกับทำใจแล้วก็ไม่ได้นัดอะไรแล้วครับผมเป็นแบบนี้มา 5-6 ปีแล้วครับผมควรทำอย่างไรดีครับพอดีผมตามมาจากรายการเจาะใจครับที่อาจารย์ไปออกรายการเจาะใจครับสิ่งที่อยากจะทำตอนนี้คืออยากเอาชนะใจตนเองอยากออกจากความกลัวผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเฝ้ากลัวอะไรนักหนาครับผมควรทำอย่างไรดีครับตอนนี้ผมฝึกนั่งสมาธิมาได้หลายปีแล้วครับแต่ก็ยังวางความกลัวไม่ได้ครับ

………………………………………………………………….

ตอบครับ

เดาเอาจากคำบอกเล่า หมอต่างๆที่คุณไปหาได้วินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคกังวลเกินเหตุ หรือ GAD (ย่อมาจาก gerneralized anxiety disorder) ซึ่งเป็นภาวะที่มีความกังวลซ้ำซาก เกินเหตุ ไม่สมจริง และบั่นทอนร่างกายจิตใจ ซึ่งก่ออาการไปทุกระบบเช่น ระบบประสาทอัตโนมัติ (ใจสั่น เหงื่อแตก ความดันขึ้น) ระบบกล้ามเนื้อกระดูก (เปลี้ยล้า ปวดกล้ามเนื้อ) ระบบทางเดินอาหาร (คลื่นไส้ ท้องร่วง) ระบบหายใจ (หายใจไม่อิ่ม หอบหืด ภูมิแพ้ ) จิตประสาท (กลัวเกินเหตุ ตั้งสติไม่ได้ หงุดหงิดโมโหง่าย นอนไม่หลับ ซึมเศร้า) เป็นต้น เป็นกันทุกเพศทุกวัย สาเหตุของโรคนี้แท้จริงแล้วไม่มีใครทราบ ได้แต่เดาเอาว่าส่วนหนึ่งมาจากกรรมพันธุ์ อีกส่วนมาจากการเลี้ยงดูหรือประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา

การรักษาตัวเอง คุณต้องลงไปให้ถึงรากของปัญหา ผมจะชี้แนะ คุณต้องอ่านอย่างอดทนนะ เพราะมันอาจจะเข้าใจยากอยู่ คือต้องทำความเข้าใจกับสมองของเราก่อน ความกังวลก็คือความคิดนั่นแหละ โดยธรรมชาติเมื่อได้รับสิ่งเร้า (stimulus) สมองจะเอาข้อมูลนี้ไปผสมกับความจำในอดีตแล้วก่อร่างความคิดหรือความรู้สึกใหม่ (though formation) ขึ้นมา สิ่งเร้าที่ว่านี้บางทีก็เป็นข้อมูลที่ผ่านเข้ามาทางอวัยวะรับรู้เช่นตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง บางทีก็เป็นความคิดที่ป๊อบขึ้นมาในสมองเองดื้อๆแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยโดยเราไม่ได้ตั้งใจคิด เมื่อก่อเป็นความคิดใหม่ขึ้นมาแล้ว สมองก็จะบันทึกไว้ในความจำ แล้วความคิดนั้นก็ฝ่อไป ถูกแทนที่ด้วยความคิดที่ใหม่กว่าอีกๆๆ โดยที่ความจำที่บันทึกไว้นั้น จะกลายมาเป็นวัตถุดิบสำหรับก่อความคิดครั้งใหม่ๆในอนาคต เป็นเช่นนี้วนเวียนอยู่ไม่รู้จบ คนที่กังวลจึงมักคิดกังวลซ้ำๆซากๆ กลไกการก่อความคิดกังวลนี้เกิดขึ้นแบบเป็นอัตโนมัติ ความคิดเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไปมีผลต่อพฤติกรรม นั่นก็คือความคิดนั้นจะเป็นนายเรา จนดูเผินๆคล้ายกับเป็นวงจรการเกิดพฤติกรรมในสัตว์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมใดๆ

แต่อันที่จริงสมองยังมีความสามารถอีกแบบหนึ่งคือสามารถเฝ้ามองการเกิดขึ้นและการฝ่อไปของความคิดที่ก่อตัวขึ้นมาได้ หรือพูดอีกอย่างได้ว่าสมองมีความสามารถที่จะเลือกได้ว่าจะสนองตอบต่อสิ่งเร้าแต่ละครั้งแบบไหน ไม่จำเป็นต้องสนองตอบออกไปแบบอัตโนมัติเสมอไป จิตแพทย์ชาวยิวชื่อวิคเตอร์ แฟรงเคิล ได้อธิบายกลไกนี้ว่าเมื่อมีสิ่งเร้าเข้าสู่การรับรู้ของสมอง ก่อนที่จะมีปฏิกิริยาสนองตอบออกไป จะมีช่องว่างอยู่นิดหนึ่ง ซึ่งผู้ที่ฝึกทักษะความรู้ตัวมาดีพอ จะสามารถแทรกเข้าไปในช่องว่างนี้เพื่อเลือกได้ว่าจะสนองตอบต่อสิ่งเร้านั้นแบบใด เช่นเมื่อตัวหมอวิคเตอร์เองถูกนาซีทรมานเอาตัวเขาไปทดลองผ่าตัดท้องโดยไม่ให้ดมยาสลบ แทนที่เขาจะสนองตอบด้วยการโกรธแค้น กลัว หรือโศกเศร้า แต่ด้วยการมีทักษะความรู้ตัวที่ดี เขาสามารถเลือกสนองตอบอีกแบบหนึ่ง คือเขาสมมุติว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เขาใช้ประกอบการสอนนักเรียนแพทย์ว่านาซีทรมานเชลยอย่างไร สมมุติให้ตัวเขาออกไปยืนเป็นผู้ยืนบรรยายเหตุการณ์นี้อยู่ที่หน้าห้องสอน ขณะที่ร่างกายของเขากำลังถูกพวกนาซีทรมานอยู่นั้น คือเขาเปลี่ยนวิธีสนองตอบต่อสิ่งเร้าเดิมที่เคยทำให้เขาโกรธ กลัวหรือเศร้า ไปเป็นการรู้สึกยินดีที่ได้เผยแพร่ความรู้แทน

การที่เราจะพลิกบทบาทจากการเป็นทาสของความคิดที่ก่อตัวขึ้นในหัวของเราได้นั้น กุญแจสำคัญคือต้องมีทักษะที่จะสังเกต (observe) ว่า ณ ขณะนั้นมีสิ่งเร้าใดมากระตุ้นสมอง หรือสมองก่อความคิดอะไรขึ้นมา เมื่อเราพลิกกลับขึ้นมาเป็นผู้ดูการเกิดความคิดได้สำเร็จ สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนมาเป็นเราคือผู้รู้ทันความคิดนั้น ไม่ใช่เป็นทาสของความคิดนั้นโดยไม่ทันรู้ตัวอีกต่อไป

ทั้งหมดนั้นเป็นคอนเซ็พท์ แต่ปัญหาของคุณคือการขาดทักษะปฏิบัติการ เหมือนคุณอ่านคู่มือการว่ายน้ำแล้วยังว่ายน้ำไม่เป็น ตราบใดที่คุณไม่เคยลงน้ำตราบนั้นคุณก็จะยังว่ายน้ำไม่เป็น เพราะการว่ายน้ำต้องใช้ทักษะปฏิบัติการ ไม่ใช่มีแต่คอนเซ็พท์แล้วจะว่ายได้ ที่ว่าฝึกสมาธิมาหลายปีแต่ยังวางความคิดไม่ได้ก็หมายความว่าที่ฝึกมานั้นมันไม่เวอร์ค ก็ต้องไปตั้งต้นที่สนามหลวงเริ่มฝึกใหม่ ไม่ได้ซีเรียสอะไร

ผมแนะนำให้คุณวางเป้าแค่ขอให้เห็นมองความคิดของตัวเอง “บ้าง” ก่อน โดยการใช้เครื่องมือสองอย่าง คือ “การผ่อนคลายร่างกาย” และ “การสังเกต” สิ่งที่โผล่ขึ้นมาที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ซึ่งรวมถึงความคิดด้วย วันที่ผมไปออกรายการคุณดู๋นั้นผมได้สอนให้คุณดู๋ใช้เครื่องมือสองตัวนี้ในเวลา 1-2 นาที คุณฝึกทำตามนั้นเลย ฝึกทุกวัน วันละหลายๆครั้ง ครั้งละ 1-2 นาที ขยันฝึกไป ยังไม่ต้องไปคาดการณ์ว่ามันจะได้ผลไม่ได้ผล หรือมันจะยังไงต่อไป เลิกคิด หันมาสนใจปฏิบัติการสังเกตความคิด มันไม่มีทางลัด มีแต่ต้องเพียรพยายามฝึกทำไป ลงมือฝึกเบื้องต้นนี้ไปสักสองสามเดือนให้มองเห็นความคิดของตัวเองให้ได้ “บ้าง” ก่อน อย่าเพิ่งไปโลภถึงจะเอาชนะใจตัวเองหรือเอาชนะความกลัว อย่าเพิ่งไปไกลถึงขนาดนั้น เอาแค่มองเห็นความคิดของตัวเองบ้างก่อน เอาแค่กลัวก็รู้ว่ากำลังกลัวก่อน ย้ายจากการเป็น “ผู้คิด” มาเป็น “ผู้สังเกต” ให้ได้บ้างก่อน ขั้นต่อไปค่อยว่ากัน แต่ถ้าทำแล้วไม่ได้เลย ให้หาโอกาสมาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

16 ตุลาคม 2565

อย่าไปสับสนว่าความสมบูรณ์พูนสุข (wealth) กับเงิน (money) เป็นเรื่องเดียวกันนะ

(ภาพวันนี้: เทียนหยด เมื่อต้นหนาว)

กราบเรียนคุณลุงหมอ

หนูไปลงเรียนคอร์ส … กับ … ซึ่งเขาสอนวิธีทำธุรกิจให้รวย เขาบอกว่าเงินทองความมั่งคั่งมันมีอยู่ไม่จำกัด เราไม่ต้องไปแย่งกับใคร เราคิดว่ามันมีไม่จำกัดและมันจะมาหาเรามันก็จะมา เราคิดและเชื่อว่าจะรวยเราก็จะรวย

จริงอย่างนั้นหรือคะคุณลุงหมอ โดยเฉพาะที่ว่าเงินมันมีอยู่ไม่จำกัดไม่ต้องไปแย่งกับใคร

…………………………………………………………….

ตอบครับ

มาอีกละ พวกนิยมทฤษฎีกฎแรงโน้มถ่วง เอ๊ย..ไม่ใช่ กฎแรงดึงดูด ส่วนใหญ่จะเป็นพวกวัยยี่สิบสามสิบ แต่ผมจะตอบจดหมายอารมณ์นี้บ้างนานๆครั้งเพื่อแก้เบื่อ สำหรับท่านผู้อ่านขาประจำที่ไม่ชอบเรื่องเพี้ยนๆก็ผ่านไปก่อนก็ได้นะครับ

1.. ถามว่าจริงหรือที่ว่าโลกนี้มีเงินเหลือเฟือสำหรับทุกคน ชนิดที่ไม่จำเป็นต้องแย่งกัน หิ หิ ผมแต่งคำถามของคุณให้มันกว้างขึ้นนิดหนึ่ง ให้มีพื้นที่พอจะสวมโลกทัศน์ของหมอสันต์ลงได้ไหม คือผมขอแต่งใหม่ว่า

“จริงหรือที่ว่าโลกนี้มีความสมบูรณ์พูนสุขเหลือเฟือสำหรับทุกคน”

ตอบว่าจริงครับ เพราะโลกนี้หรือจักรวาลนี้โดยธรรมชาติเนื้อแท้ของมันก็เป็นเพียงแค่ศักยภาพความเป็นไปได้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด คำว่าศักยภาพ (potential) นี้ไม่ได้หมายความว่ามันต้องแสดงออกอย่างนั้นอย่างนี้เสมอไป มันย่อมขึ้นกับโอกาสหรือความน่าจะเป็น (probability) ในแต่ละฉากทัศน์ด้วย ยกตัวอย่างเช่นลูกแก้วมังกรเนื้อม่วงที่ผมเพิ่งผ่ากินลูกนี้ มันมีเมล็ดสีดำเล็กๆอยู่ภายในหนึ่งผลนี้แยะมาก แยะชนิดที่หากปลูกมาเป็นต้นแก้วมังกรกันจริงๆที่ดินทั้งมวกเหล็กวาลเลย์นี้อาจจะไม่พอปลูกด้วยซ้ำ นี่คือศักยภาพของแก้วมังกรผลนี้ที่จะเติบโตไปเป็นป่าแก้วมังกรได้หนึ่งป่าใหญ่ๆได้ ฉันใดก็ฉันเพล มนุษย์ทุกคนอัดแน่นด้วยศักยภาพที่จะเข้าถึงและขยายผลเอาพลังชีวิตของตนออกมาแสดงออกเป็นความสมบูรณ์พูนสุขของตนและของคนรอบข้างหรือแม้กระทั่งของโลกได้เยอะมาก คุณจะเรียกว่าไม่มีขีดจำกัดหรือ “เหลือเฟือ” ก็ไม่น่าจะผิด คือศักยภาพนั้นมีแน่ ขอเพียงแต่อย่าเอาสะเป๊คหรือกรอบความคิดที่ถูกครอบมาจากโรงงานผลิตมนุษย์ (อันได้แก่โรงเรียน ครอบครัว สังคม) มาปิดกั้นการแสดงออกของพลังงานชีวิตเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้งอกก็แล้วกัน เปรียบเหมือนแก้วมังกรผลนี้ พอมาเข้าปากผมแล้วอนาคตของมันก็คือถูกชักโครกลงบ่อเกรอะ ศักยภาพที่จะเป็นป่าแก้วมังกรได้ก็หมดลง

2.. ถามว่าอะไรเป็บเบาะแสที่จะเข้าถึงความสมบูรณ์พูนสุขที่ว่านี้ ตอบว่าก็พลังชีวิตของคุณไง ท่านผู้อ่านจำได้ไหมผมเคยแนะนำแฟนบล็อกนี้ท่านหนึ่งที่มีปัญหาหลงทิศหลงทางในการใช้ชีวิตว่าให้ตามตัวชี้นำเล็กซึ่งเป็นเบาะแสถึงพลังชีวิตที่จำเพาะสำหรับตัวเราไป ไม่ว่าจะเป็นความสุขเล็กๆ ความตื่นเต้นเล็กๆ ความอยากรู้เล็กๆ ความมหัศจรรย์เล็กๆ เป็นต้น ก็เพราะพลังชีวิตคือตัวกำหนดความสมบูรณ์พูนสุข (wealth) ในชีวิตที่แท้จริง แม้มนุษย์เรานี้มองเผินๆเหมือนกับว่าเราถูกหล่อมาจากโรงงาน (โรงเรียน ครอบครัว สังคม กฎหมาย) ว่าจะต้องคิดจะต้องทำจะต้องชอบอย่างนี้เหมือนกันหมด แต่ความจริงไม่ใช่ การหล่อหลอมเกิดขึ้นจริงแต่มันหล่อหลอมได้แค่ชั้นของความคิดหรือชั้นของคอนเซ็พท์ในใจซึ่งเป็นชั้นที่มีอายุสั้นมากหากคุณไม่รีไซเคิลมันซ้ำๆซากๆมันก็จะหมดฤทธิ์ทันที แต่พ้นไปจากความคิดซึ่งเป็นชั้นเบื้องตื้นนี้ เบื้องลึกของแต่ละชีวิตคือการแสดงออกของพลังชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับตัวเขา หรือพูดแบบเด็กวิทย์ก็คือเป็นย่านความถี่เฉพาะสำหรับแต่ละคน ซึ่งถ้าเขาได้เปิดให้พลังนั้นได้แสดงออกมาเขาก็จะท็อปฟอร์มในการเกิดมามีชีวิตครั้งหนึ่งนี้

3.. อย่าไปสับสนว่าความสมบูรณ์พูนสุข (wealth) กับเงิน (money) เป็นเรื่องเดียวกันนะ ถ้าคุณสับสนตรงนี้คุณจะกลายเป็นคนหิวเงินหรือบ้าเงินไปตลอดชาติไม่ว่าคุณจะมีเงินเท่าใดก็อาจจะไม่หายหิวไม่หายบ้า เพราะเงินเป็นเพียงสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในหลายๆสัญญลักษณ์ของความสมบูรณ์พูนสุข ถ้าคุณเจาะจงไปวิ่งตามเอาที่เงิน มันมีโอกาสที่คุณอาจจะพลาดเป้าไม่ได้พบความสมบูรณ์พูนสุขเลย ตรงนี้สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแฟนบล็อกที่เป็นผู้ใหญ่แล้วและมีเงินมีทองมากแล้วทั้งหลาย แต่ถ้าคุณวิ่งไปตามเบาะแสของพลังชีวิตที่เบ่งบานในตัวคุณ อย่างไรคุณก็จะได้พบกับสมบูรณ์พูนสุขในชีวิตแน่นอน เพราะความสมบูรณ์พูนสุขในชีวิตก็คือนิยามของการมีพลังชีวิตมากมายเหลือเฟือนั่นเอง

4.. การที่เราอยากจะเป็นคนรวย จริงๆแล้วก็คือเราอยากมีความสุข ถูกแมะ ทำไมคุณไม่ลองมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้วก่อนละครับ ลมหายใจนี่เป็นของที่มีอยู่แล้ว คุณลองหาความสุขกับมันหรือยัง เพราะมัน (ลมหายใจ) นี่แหละที่เป็นต้นกำเนิดของพลังชีวิตของคุณซึ่งจะสร้างความสมบูรณ์พูนสุงในชีวิตให้คุณ ของอย่างอื่นเช่น ดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก พระจันทร์เต็มดวง น้ำค้างบนยอดหญ้าตอนเช้า เมฆไหลบนท้องฟ้า แสงแดดเมื่อสาดลงบนใบไม้แล้วเกิดแสงและเงาสลับกันอย่างซับซ้อนสวยงาม คุณเคยลองมองดูมันบ้างไหม หรือลองทำอะไรสักอย่างง่ายๆเช่นถอนหญ้าแห้วหมูในกระถางต้นไม้แบบใส่ใจทำอย่างจริงจังและละเมียดดูบ้างสิ หรือแม้กระทั่งน้ำประปาที่คุณอาบอยู่ทุกวัน คุณเคยสัมผัสความเย็นและความใสสะอาดของมันอย่างใส่ใจแล้วรับรู้ความสุขที่เกิดขึ้นบ้างไหม ลองของง่ายๆพวกนี้ดูก่อนไม่เสียหลาย เรียกว่าซ้อมมีความสมบูรณ์พูนสุขไว้โดยไม่ต้องรอให้มีเงิน ลองดูนะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

15 ตุลาคม 2565

ปริมาณอุจจาระมาก ผิดปกติไหม

(ภาพวันนี้: กล่ำปลีแดง แข่งกับแมลงหลังฝน ยังไม่รู้ใครจะชนะ)

สวัสดีค่ะอ.หมอสันต์

หนูมีประเด็นทั้งอยากถามและแนะนำผู้ที่ขับถ่ายยาก คือว่า แต่ก่อนที่หนูยังทานเนื้อสัตว์จะมีปัญหาถ่ายยาก บางที 2-3 วันถ่ายที และถ่ายลำบาก ก้อนอุจจาระแข็ง และเป็นริดสีดวงตามมา ไม่ได้รักษาหรือผ่าตัดใดๆ 

แต่พอมาเริ่มทานมังสวิรัติ การขับถ่ายดีมาก คือทุกวันและไม่ต้องเบ่งมาก วันละครั้ง ริดสีดวงก็หายไป  ที่ดีไปกว่านั้นอีกคือ ทานมังฯค่อนไปทางวีแกน และอาหารเช้า เป็นพวกผลไม้ ผักเล็กน้อย เช่น กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล แครอท แตงกวา เป็นหลัก นอกนั้นก็ผลไม้ตามฤดูกาล ส่วนกลางวันเป็นวีแกนมื้อใหญ่ เย็นก็เบาๆ ทำให้การขับถ่าย ยิ่งไหลลื่นกว่าเดิม คือมากกว่าหนึ่งครั้งต่อวัน บางวัน3-4ครั้ง หนูสังเกตว่า แม้จะถ่ายช่วงเช้ามีดไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่พอทานผักผลไม้ตอนเช้า บางวันยังตามมาติดๆอีกเป็นสองหรือสามครั้ง แต่texture อ่อนกว่าครั้งแรก แต่ปริมาณยังมากอยู่ เป็นไปได้อย่างไรที่ร่างกายเรายังกักเก็บอุจจาระในปริมาณมากทั้งๆที่ถ่ายออกไปหนึ่งครั้งแล้ว ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หรือจะจริงอย่างที่การรักษาทางเลือกมักจะให้กำจัดของเสียทางการขับถ่ายออกให้เยอะเข้าไว้ คือยิ่งถ่ายมากยิ่งดี(ถ้าไม่ใช่ท้องเสีย) และตั้งแต่ที่เริ่มทานผักผลไม้เป็นอาหารเช้า ก็ยังไม่มีโรคภัยแม้แต่หวัดมารบกวน เพิ่งเปลี่ยนอาหารเช้าเป็นพวกผักผลไม้ โดยไม่ทานข้าวเช้าเลยมา5 เดือน อาจจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าดีจริง แต่เรื่องขับถ่ายดีแน่ ไม่ต้องสวนอุจจาระด้วย เพราะแพทย์ทางเลือกมักจะมีข้อแนะนำเวลาเจ็บป่วยว่าให้ลองสวนอุจจาระดู เพื่อระบายของเสียออกจากร่างกายให้มากที่สุด แล้วแต่ก่อนเมื่อหนูมีไข้ ก็จะสวนอุจจาระเอง ไข้จะลงฮวบอย่างเห็นได้ชัด ก็แปลกดี(แต่จริง) อย่างที่เล่าข้างต้น อาจารย์คิดว่าถ่ายอุจจาระบ่อยที่ไม่ใช่ท้องเสียดีจริงหรือไม่ และที่น่าแปลกคือ ทำไมถ่ายครั้งแรกตอนเช้าว่าเยอะแล้ว แต่ปริมาณในครั้งที่สองหรือสามก็ไม่แพ้กัน แล้วอย่างนี้คนที่ถ่ายครั้งเดียวต่อวัน ก็ยังมีอุจจาระคั่งค้างในท้องต่อไปอีกหนึ่งวันหรืออย่างไร

แถมอีกนิดเรื่องจิตวิญญาณคือหนูฝึกสมาธิตามแบบดร.โจ ดิสเพนซ่าอยู่ ยังไม่มีอะไรหวือหวาเป็นรูปธรรม แต่ก็รู้สึกสงบ และความอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นลดลง แต่ก็รู้ว่าเขาให้โฟกัสไปที่อนาคต คิดบวก ใช้ความคิดมารักษาตัวเอง(ไม่รู้เข้าใจถูกหรือเปล่า) แต่ก็ยังดีกว่าไม่นั่งสมาธิเลย และบางครั้ง จะมีแรงบันดาลใจดีๆเกิดขึ้นในด้านบวก ก็คิดไปเองว่าคงเริ่มตระหนักรู้ในระดับหนึ่ง ก็จะพากเพียรต่อไป หรืออาจารย์จะมีข้อแนะนำอย่างไรก็ขอน้อมรับมาปรับใช้ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

…………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าเปลี่ยนอาหารมากินมังสวิรัติแล้วปริมาณอุจจาระมาก บางครั้งต้องขับถ่าย 3-4 ครั้ง โดยท้องไม่เสีย ผิดปกติไหม ตอบว่าไม่ผิดปกติครับ สมัยก่อนนานมาแล้วหมออังกฤษคนหนึ่งชื่อดร.เบอร์กิตไปทำงานที่อูกันดา เขาเห็นว่าคนที่นั่นไม่เป็นโรคหัวใจหลอดเลือดและไม่เป็นมะเร็งสำไส้ใหญ่เลย แถมยังขับถ่ายอุจจาระวันละ 5 ครั้ง เขาเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดจึงรายงานไว้ในวารสารการแพทย์ BMJ แต่สมัยนี้เรารู้กันทั่วแล้วว่าความปกติของการขับถ่ายคือมีของเสียแค่ไหนก็ขับออกมาอย่างเป็นธรรมชาติให้หมด ไม่มีมาตรฐานดอกว่าวันละกี่ครั้งหรือวันละกี่กรัมจึงจะปกติ

2.. ถามว่าถ้าคนกินมังสวิรัติขับถ่ายอุจจาระออกมามากขนาดนี้แล้วคนกินเนื้อสัตว์ที่สองวันถ่ายทีเขาเอาอุจจาระไปซ่อนไว้ที่ไหน ตอบว่าเขาไม่ได้เอาไปซ่อนไว้ที่ไหนดอกเพียงแต่ปริมาณอุจจาระของเขามีน้อยเพราะปริมาณอุจจาระมันขึ้นอยู่กับว่าใครมีแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่มากกว่ากัน งานวิจัยที่อังกฤษซึ่งเอาอุจจาระของคนที่กินอาหารทั่วไปทั้งพืชและสัตว์มาวิเคราะห์ดูพบว่าประมาณ 50% ของน้ำหนักอุจจาระเป็นตัวแบคทีเรีย การกินอาหารพืชอย่างเดียวยิ่งทำให้ปริมาณแบคทีเรียทั้งปริมาณและความหลากหลายมากขึ้นจนกลายเป็นมวลส่วนใหญ่ของอุจจาระ ผมบอกเปอร์เซ็นต์แน่นอนไม่ได้เพราะยังไม่เคยมีงานวิจัยวิเคราะห์เปอร์เซ็นต์แบคทีเรียในอุจจาระของคนกินมังสวิรัติ ผมเดาเอาว่าน่าจะประมาณ 75% ของน้ำหนักอุจจาระทั้งหมด ดังนั้นคนกินมังสวิรัติมีปริมาณอุจจาระมากเพราะปริมาณแบคทีเรียนี่เอง

พูดถึงเรื่องขับถ่ายมากโดยท้องไม่เสีย สมัยผมป่วยใหม่ๆเมื่อ 15 ปีก่อน ผมไปซื้อเครื่องปั่นผักผลไม้ความเร็วสูงมาปั่นผักผลไม้กินเพราะขี้เกียจเคี้ยว คนขายเครื่องเขาแถมหนังสือมาให้เล่มหนึ่งคนเขียนเป็นหมอทางเลือกแผนจีนหากินอยู่ในอเมริกาชื่อดร.อู๋ เขาเล่าว่าเวลารักษาคนไข้เขาจะถามคนไข้ว่าวันหนึ่งเข้าห้องน้ำขับถ่ายอุจจาระกี่ครั้ง ถ้าคนไข้ตอบว่าน้อยกว่า 3 ครั้งเขาจะยังไม่รักษาแต่ไล่ให้ไปกินผักผลไม้เพิ่มขึ้นจนเข้าห้องน้ำได้วันละ 3 ครั้งค่อยกลับมาหาเขาใหม่ นี่แสดงว่าแพทย์แผนจีนอย่างน้อยก็ดร.อู๋คนนี้มองว่าการขับถ่ายวันละ 3 ครั้งเป็นเรื่องปกติ

3.. ถามว่าได้ฝึกสมาธิตามแบบ Dr. Joe Dispenza แล้วใจสงบดี หมอสันต์มีอะไรจะแนะนำเพิ่มเติมไหม ตอบว่าไม่มีครับ เมื่อลองทางนั้นไปได้ดีแล้วก็เดินหน้าต่อไปทางนั้นแหละ เพราะไม่ว่าจะเดินเข้าทางไหน ท้ายที่สุดมันไปโผล่ที่ที่เดียวกัน

สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไปที่ไม่รู้จัก Dr. Joe Dispenza ผมขอเล่าแทรกไว้ตรงนี้นิดหนึ่งเผื่อเป็นความรู้ประดับกาย เขาเป็นหมอจัดกระดูกที่เรียนจบปริญญาเอกทางด้านประสาทวิทยาด้วย แต่มามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะครูสอนทางจิตวิญญาณคนดังคนหนึ่งของอเมริกา สอนโดยการเปิดคอร์สเก็บค่าลงทะเบียนเรียน หลักการสอนของเขาคือเอาหลักฮินดูนิกายเวดานตะ (non-dualism) มาพูดในภาษาวิทยาศาสตร์ จุดเน้นของเขาคือให้กล้าก้าวจากสิ่งที่รู้ไปสู่สิ่งที่ไม่รู้ (step from known to unknown) กล้าทิ้งตัวตนเดิมไปเป็นตัวตนใหม่ (change identity) และเน้นการลงมือทำ (be a doer) เช่นเขาสอนว่าทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาให้ถามตัวเองว่า (1) วันนี้มีอะไรที่ขวางกั้นระหว่างฉันกับความหลุดพ้น (2) อะไรที่ฉันเลิกคิด เลิกพูด เลิกทำ แล้วจะหลุดพ้น (3) อะไรที่ฉันเริ่มทำ แล้วจะหลุดพ้น เป็นต้น ส่วนที่ลึกที่สุดของคำสอนของเขาเป็นการชี้นำและเร่งเร้าให้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงปรมาตมันซึ่งเขาเรียกว่า unified field of unknown โดยวิธีการเข้าถึงที่เขาแนะนำก็คือตัดความเชื่อมต่อกับอายตนะทั้งหกเสียให้หมด (disconnect from all sense organs) ซึ่งก็หมายถึงการฝึกสมาธิเข้าฌาณนั่นแหละ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

14 ตุลาคม 2565

เป็นเบาหวานประเภทที่ 1 หรือประเภทที่ 2 กันแน่ จะพิสูจน์ได้อย่างไร

(ภาพวันนี้: ฟ้าหลังบ้านเป็นสีเป็นปลายฝนต้นหนาว)

เรียนคุณหมอ

ดิฉันอายุ 58 ปีตอนอายุ 48 เป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัวถึงขั้นช็อกเข้าโรงพยาบาล … พอออกจากโรงพยาบาลก็มีทั้งยากินยาฉีด ยาลดเบาหวาน ยาลดความดัน ยาลดไขมัน และฉีดอินสุลินด้วย ดิฉันเบื่อไปหาหมอแต่ละทีต้องรอนานมาจึงรักษาตัวเอง โดยปรับยาฉีดเองทั้งอินสุลินแบบสั้นแบบยาว หมอบอกว่าฉันน่าจะเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ดิฉันถามว่าจะพิสูจน์ด้องอย่างไรหมอเขาก็ไม่พูดถึงการพิสูจน์ แต่เนื่องจากดิฉันรักษาตัวเองจึงอยากรู้ว่าจะพิสูจน์อย่างไรจึงจะรู้ว่าตัวเราเป็นชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2 รบกวนคุณหมอบอกวิธีให้ละเอียดด้วยเพราะดิฉันต้องทำเอง ถ้าเป็นชนิดที่1 จริงการรักษามันแตกต่างจากชนิดที่2 หรือว่าเหมือนกัน ถ้าแตกต่างกันจะต้องดูแลตัวเองแตกต่างออกไปจากคนเป็นชนิดที่ 2 อย่างไร และคุณหมอว่าอย่างดิฉันเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ได้ไหม ถ้าเป็นควรรักษาอย่างไร เพราะดิฉันไปกินอาหารโลว์คาร์บแล้วไขมัน LDL ขึ้นไปถึง 380 ก็กล้วเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ พอเปลี่ยนมากินมังสวิรัติก็ผอมลง ดิฉันกลัวผอมเพราะตอนนี้ผอมอยู่แล้ว ช่วยแนะนำด้วย

ขอบคุณค่ะ

…………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ตอบว่าพิสูจน์ได้ด้วยการเจาะเลือดดูซี เพ็พไตด์ (C-peptide) ผลมันจะออกมาเป็นสามอย่างดังนี้

1.1 ถ้าเจาะได้ค่าต่ำกว่า 1.5 ng/mL เท่ากับว่าระดับอินสุลินต่ำกว่าปกติ แปลว่าเป็นเบาหวานประเภทที่ 1 ซึ่งตับอ่อนสร้างอินสุลินได้น้อยหรือไม่ได้เลย

1.2 ถ้าเจาะได้ค่าอยู่ระหว่าง 1.5-3.0 ng/mL เท่ากับว่าระดับอินสุลินปกติดี แปลว่าเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 ที่ยังไม่รุนแรง ไม่มีการดื้อต่ออินสุลิน

1.3 ถ้าเจาะได้ค่าสูงกว่า 3.0 ng/mL เท่ากับว่าระดับอินสุลินมากกว่าปกติ แปลว่าเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 ระดับรุนแรง มีการดื้อต่ออินสุลิน ทำให้ตับอ่อนผลิดอินสุลินออกมามากขึ้น

อนึ่ง ขอเล่าเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจสักหน่อยว่า ซีเพ็พไทด์นี้มันเป็นตัวแทนอินสุลินซึ่งวงการแพทย์ใช้เป็นตัวบอกระดับอินสุลิน สำหรับท่านที่อยากรู้ลึกกว่านี้ ก่อนที่จะมาเป็นอินสุลินร่างกายจะต้องสร้างสารตั้งต้นชื่อ proinsulin ขึ้นมาก่อนแล้วตับอ่อนจะเอาโปรอินสุลินมาแยกเป็นสองโมเลกุลคือซีเพ็พไทด์กับอินสุลินอย่างละเท่าๆกัน แต่ที่วงการแพทย์ไปตรวจซีเพ็พไทด์แทนที่จะตรวจอินสุลินตรงๆก็เพราะซีเพ็พไทด์อยู่ในเลือดได้นานพอให้ตรวจได้ และซีเพ็พไทด์บอกระดับอินสุลินที่ตับอ่อนผลิตขึ้นได้แม่นยำกว่าการตรวจอินสุลินแม้ว่าจะฉีดอินสุลินอยู่เพราะอินสุลินจากภายนอกไม่ทำให้ให้ค่าซีเพ็พไทด์เปลี่ยนแปลง การตรวจไปตรวจที่แล็บไหนก็ได้ ค่าตรวจเป็นระดับหลายร้อยบาท

นอกจากซีเพ็พไทด์แล้ว ตัวช่วยวินิจฉัยอีกตัวหนึ่งคือเจาะเลือดดูภูมิคุ้มกันทำลายตนเองชนิด Auto antibodies of Glutamic Acid Decarboxylase (Anti-GAD) ซึ่งถ้าพบก็จะยืนยันว่าเป็นป่วยเบาหวานประเภทที่ 1 ซึ่งเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองโรคหนึ่ง

2.. ถามว่าเมื่อรู้ว่าเป็นเบาหวานประเภทที่ 1 จะทำให้การรักษาต่างไปจากเบาหวานประเภทที่ 2 หรือไม่ ตอบว่ามันมีทั้งส่วนที่รักษาเหมือนกันและส่วนที่ต่างกัน

2.1 ส่วนที่รักษาเหมือนกันคือการเปลี่ยนอาหารเพื่อรักษาภาวะที่เซลล์ดื้อต่ออินสุลิน หมายถึงการลดละเลิกอาหารให้พลังงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันอิ่มตัวจากสัตว์และน้ำตาลทรายและน้ำเชื่อมคอร์นไซรัพ (HFCS) ซึ่งมีฟรุคโต้สสูงโดยที่ไม่มีกากมาช่วยดูดซับ แต่ผลไม้ไม่ต้องเลิกเพราะมีกากที่ธรรมชาติให้มาพร้อมกับเนื้อผลไม้ช่วยดูดซับฟรุคโตสได้ นอกจากนั้นผลไม้ให้วิตามินเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย

2.2 ส่วนที่รักษาต่างกันคือการใช้อินสุลิน เบาหวานประเภทที่ 1 จำเป็นต้องใช้อินสุลินฉีดในการรักษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นานไปถ้าโรคดีขึ้นอาจจะลดลงได้ แต่เบาหวานประเภทที่ 2 ไม่ควรใช้อินสุลินในการรักษาเลย เพราะในภาวะที่ดื้อต่ออินสุลินในเลือดมีระดับอินสุลินสูงผิดปกติอยู่แล้ว การให้อินสุลินเพิ่มเข้าไปเป็นการไปแก้ปัญหาปลายเหตุทำให้ดูเหมือนดีขึ้นเพราะลดน้ำตาลได้แต่แท้จริงแล้วยิ่งจะทำให้กินอาหารให้พลังงานได้มากขึ้น ยิ่งทำให้เป็นโรครุนแรงขึ้น แทนที่จะแก้ต้นเหตุคือเปลี่ยนอาหารที่ทำให้เซลล์ดื้อต่ออินสุลิน

3.. ถามว่าอายุปูนนี้ (50 ปี) เป็นเบาหวานประเภทที่ 1 ได้ไหม ตอบว่าเป็นได้ เขาเรียกว่าประเภทที่ 1 ชนิดออกอาการช้า (latent autoimmune diabetes of the adult – LADA) บางคนก็เรียกว่า type 1.5 คือโรคที่มีกลไกการเกิดเหมือนเบาหวานประเภทที่ 1 ทั่วไปทุกประการแต่ออกอาการช้าค่อยๆเป็นค่อยๆไป คือมามีอาการชัดเอาตอนอายุ 30-40 ปีไปแล้ว

4. ถามว่าถ้าเป็นเบาหวานประที่ 1 ควรจัดการตัวเองอย่างไรโดยไม่ให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยและไม่ให้ผอมด้วย ตอบว่า

4.1 ในประเด็นการป้องกันการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจซึ่งเป็นจุดจบที่เลวร้ายของโรคเบาหวานนั้น คำแนะนำของผมมีอย่างเดียวคือเปลี่ยนอาหารมากินอาหารแบบพืชเป็นหลักชนิดไขมันต่ำ วิธีอื่นไม่มี

4.2 ในประเด็นกลัวผอมนั้นผมแนะนำให้ทำสามอย่างคือ

4.2.1 เลิกกินอาหารแบบชั่งตวงวัดนับคาร์บ นับแคลอรี่ นับโปรตีนเสีย เลิกให้หมด เพราะหลักฐานวิจัยล้วนชี้ชัดแล้วว่าการวัดมันไม่เที่ยงและการขยันนับก็ไม่ได้เกิดมรรคผลลดอัตราตายและอัตราเกิดจุดจบที่เลวร้ายซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของโรคเบาหวานแต่อย่างใด ผมแนะนำให้หันมาเกาะติดรูปแบบของอาหารที่กิน (eating pattern) เช่นเกาะติดอาหารพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำ (PBWF) แล้วกินให้อิ่มจนมั่นใจว่าได้แคลอรีมากพอ ไม่ต้องวัดอะไรมากอะไรน้อยทั้งสิ้น เพราะถ้ากินไม่อิ่มเพราะกลัวนั่นจะมากนี่จะน้อย จะเป็นเหตุให้ร่างกายได้รับแคลอรี่ไม่พออันเป็นต้นเหตุที่แท้จริงของการผอมแบบซูบ เพราะเมื่อแคลอรีไม่พอร่างกายก็ไปสลายเอากล้ามเนื้อมาใช้ ทำให้กล้ามเนื้อลีบ การกินโปรตีนแก้ก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะสิ่งที่ต้องการคือแคลอรี่ โปรตีนให้แคลอรี่ 4 แคลอรี่ต่อกรัมเท่าคาร์โบไฮเดรตก็จริง แต่ร่างกายสูญเสียพลังงานในการเผาผลาญโปรตีนมากกว่าเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต สรุปว่าโปรตีนเป็นอาหารให้แคลอรี่ที่สู้คาร์โบไฮเดรตไม่ได้

ส่วนความกลัวว่ากินคาร์โบไฮเดรตจะได้น้ำตาลมากจนทำให้โรคแย่ลงนั้นก็ให้กินคาร์โบไฮเดรตในรูปของแป้งไม่ขัดสีเพราะมีกากที่ดูดซับน้ำตาลไม่ให้ถูกดูดซึมมาก อีกประการหนึ่งแป้งให้น้ำตาลชนิดกลูโค้สเท่านั้นซึ่งก่อการดื้อต่ออินสุลินน้อย ต่างจากน้ำตาลและน้ำเชื่อมคอร์นไซรัพซึ่งให้ทั้งกลูโค้สและฟรุคโต้สซึ่งเปลี่ยนเป็นไขมันได้มากกว่าและทำให้เซลดื้อต่ออินสุลินได้มากกว่า

4.2.2 ออกกำลังกายให้มากทั้งวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นกล้าม (muscle strength training) เพราะการซูบเกิดจากกล้ามเนื้อลีบ ซึ่งมีสองสาเหตุคือ (1) กินแคลอรีไม่พอ กับ (2) การไม่ได้ใช้งานกล้ามเนื้อนานๆ โดยเฉพาะในคนสูงอายุ

4.2.3 ถ้าอยากจะเร่งให้กล้ามเนื้อโตทันใจ ก็หาโปรตีนผงมากิน เช่น โปรตีนถั่วเหลือง หรือเวย์โปรตีน เพราะงานวิจัยงานหนึ่ง (ในคนทั่วไปที่อายุไม่มาก) พบว่าการกินโปรตีนผงควบกับการเล่นกล้ามช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ แต่ระวังอ่านฉลากให้ดี อย่าไปซื้อโปรตีนผงที่ใช้น้ำตาลทรายหรือน้ำเชื่อมคอร์นไซรัพเป็นตัวช่วยสร้างพลังงาน เพราะจะหนีเสือปะจรเข้ (ปล. ระวัง..โปรตีนผงยอดนิยมของผู้สูงวัยที่ใช้กันทั่วเมืองไทยขณะนี้ ใช้น้ำเชื่อมคอร์นไซรัพเป็นตัวให้พลังงาน ซึ่งแสลงยิ่งนักสำหรับคนเป็นเบาหวาน)

การใช้โปรตีนผงใช้เมื่อกินอาหารให้พลังงานได้มากเพียงพอแล้ว และใช้ไม่เกินวันละ 20 กรัมก็พอ เกินนั้นงานวิจัยพบว่าไม่มีประโยชน์ในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ อย่าใช้โปรตีนผงกินแทนอาหารให้พลังงานเพราะกินอะไรไม่ลง การทำอย่างนั้นไม่มีประโยชน์อะไร

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Jones, A. G., & Hattersley, A. T. (2013). The clinical utility of C-peptide measurement in the care of patients with diabetes. Diabetic medicine : a journal of the British Diabetic Association, 30(7), 803–817. https://doi.org/10.1111/dme.1215

[อ่านต่อ...]

13 ตุลาคม 2565

มีฟ้าแล่บเกิดขึ้นในลูกตาขณะนั่งสมาธิ

(ภาพวันนี้: ดอกแคแดง)

สวัสดีค่ะคุณหมอ

มีคำถามค่ะคุณหมอ เมื่อเช้าตื่นมานั่งสมาธิ ตอนหลับตา มีแสงขาวๆเหมือนฟ้าแลบ เกิดขึ้นติดๆกัน 3 ครั้งสั้นๆค่ะ (ตอนแรกคิดว่าฟ้าแลบจริงๆ ลืมตาแล้วไม่ใช่ค่ะ)

เป็นอาการของโรคอะไรหรือเปล่าคะ? เตรียมตัวจะไปเที่ยวตปท. … นี้ค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

……………………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่านั่งสมาธิอยู่แล้วมีแสงวาบเหมือนฟ้าแล่บเกิดขึ้นสามครั้งเป็นอะไรคะ ตอบว่าไม่ทราบครับ เป็นอะไรก็ได้นับตั้งแต่

(1) ไมเกรน (ซึ่งเหนี่ยวนำโดยความเครียด) 

(2) น้ำวุ้นขยับออกจากหลังตา (posterior vitreous detachment)

(3) จอประสาทตาฉีกหรือลอก (retina tear or detachment)

(4) จอรับภาพเสื่อม (macular degeneration)

(5) เบาหวานลงตา

(6) ต้อหินเฉียบพลัน

(7) บรรลุธรรม (ฮิ..ฮิ)

2.. ถามว่ามีอาการแสงแว่บในลูกตาอย่างนี้ควรทำไงต่อไป ตอบว่าใครก็ตามที่มีแสงวาบขึ้นในลูกกะตา นั่นเป็นเวลาอันสมควรที่จะต้องไปหาหมอตาเป็นการด่วนแล้วครับ หมอตาจะวินิจฉัยแยกเรื่องร้ายๆด้วยการเอาเครื่องมือส่องดูจอประสาทตา ถ้ามีปัญหาฉุกเฉินก็มักจะบำบัดฉุกเฉินด้วยการใช้เลเซอร์ ดังนั้นจะให้ดีควรจะไปพบหมอตาก่อนเดินทางไปไหนไกลๆ เพราะโรคบางโรคซึ่งทำให้เกิดอาการแสงวาบเช่นโรคจอประสาทตาหลุดลอก ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินทางตา

เขียนมาถึงตอนนี้ขอนอกเรื่องไปเล่าถึงเพื่อนของหมอสันต์คนหนึ่งซึ่งเป็นวิศวกรใหญ่ทำธุรกิจข้ามชาติ วันหนึ่งไปเลี้ยงรุ่นกัน เขาก็เล่าให้ผมฟังว่ามีแสงวาบๆอยู่ในตาข้างหนึ่งและตาข้างนั้นออกจะมัวๆไป ผมบอกว่านี่อาจเป็นภาวะฉุกเฉินทางตาได้นะ ให้เขารีบไปให้หมอตาดู เขาบอกว่าคืนนี้ต้องเดินทางไปตรวจโรงงานที่ต่างประเทศ เอาไว้ให้กลับมาก่อน แล้วเราก็ไม่ได้เจอกันอีกจนหลายเดือนให้หลัง พบกันอีกทีตอนไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านของเพื่อนอีกคนหนึ่ง เขาเล่าว่าหมอตาวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคต้อหิน และตาข้างนั้นมืดสนิทแบบถาวรไปเรียบร้อยแล้ว ผมจึงถือโอกาสซ้ำเติมว่า

“ข้าบอกเอ็งแล้วว่าให้รีบไปให้หมอตาดู”

เขายิ้มเผล่อย่างผ่อนคลาย แล้วตอบผมว่า

“ไม่เป็นไร ข้ายังมีเหลืออีกข้างนึง”

(ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

11 ตุลาคม 2565

Dr. Jekyll and Sister Hyde ตัวอย่างของการเปลี่ยนตัวตน (Change of Identity)

(ภาพวันนี้: กล้วยแดง)

จั่วหัวไว้เป็นชื่อหนังสยองขวัญสมัยผมยังหนุ่มๆอายุไม่ถึง 20 ปี เป็นเรื่องราวของหมอหนุ่มผู้มุ่งมั่นจะวิจัยหาวิธีเยียวยาคนเจ็บไข้ แต่งานวิจัยกับตัวเองของเขาทำให้เขากลายเป็นคนสองตัวตน กลางวันเป็นหมอแจคกิลนายแพทย์นักวิจัย กลางคืนกลายเป็นหญิงชื่อนางสาวไฮด์คนสวยใจโหดเที่ยวฆ่าคน เปล่า ผมไม่ได้จะเปลี่ยนบล็อกของผมเป็นคอลัมน์วิจารณ์หนังดอกนะ แต่จะพูดถึง “การเปลี่ยนตัวตน (change of identity)” อย่างที่ดร.แจกกิลเปลี่ยนตัวเองเป็นซิสเตอร์ไฮด์นั่นแหละ ว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้คุณหลุดพ้นจากสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออีโก้ที่ครอบคุณอยู่นี้ไปได้

ประเด็นคือเมื่อไม่เป็นบุคคลคนนี้แล้ว จะไปเป็นใคร เพราะคุณคงไม่อยากจะเปลี่ยนจากคนดีๆอย่างดร.แจ้กกิลไปเป็นคนร้ายๆอย่างซิสเตอร์ไฮด์ คำตอบก็คือคุณต้องเปลี่ยนจากการเป็นบุคคลนี้ ไปเป็น “สิ่งที่เหลืออยู่” เมื่อไม่่มีบุคคลคนนี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว หรือจะพูดอีกอย่างว่ากลับไปเป็น “สิ่งที่มีอยู่แล้ว” ก่อนที่จะมีบุคคลคนนี้ ก็ได้

หมอสันต์เริ่มพูดกวนโอ๊ยฟังไม่รู้เรื่องแล้วใช่ไหม ใจเย็นๆ ครับคุณพี่ ใจเย็นๆ

ถามว่า เมื่อพ้นไปจากความเป็นบุคคลคนนี้ รวมถึงความคิด และร่างกายนี้ด้วย แล้วจะมีอะไรเหลืออยู่เรอะ ตอบว่า

“มีสิ ก็ความรู้ตัวไง ตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่ ว่างๆเงียบๆไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย ไม่มีความเกี่ยวดองหรือผลประโยชน์ของคนชื่อหมอสันต์คนนี้เหลืออยู่สักจิ๊ด..ดเดียว”

อุปมาเหมือนวันหนึ่งเราเดินออกจากบ้านของตัวเองไป แล้วได้ไปแวะพักที่แห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นหมือนกับว่ามันเป็นบ้านของทุกๆชีวิตที่ทุกชีวิตมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวอยู่ที่นั่น ไม่มีความคิดเลยว่านี่คือบ้านใหม่ของเรา..ไม่เลย ที่ตรงนั้นไม่มีเราไม่มีเขาเสียแล้ว ทุกชีวิตกลายเป็นหนึ่งเดียวกันหมด จะเป็นชีวิตสุดชาติชั่วมาแต่ก่อนหรือชีวิตสุดดีเลิศประเสริฐศรีมาถึงตรงนี้ก็มาหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันหมดจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครเสียแล้ว มาถึงที่ตรงนี้ก็จะถึงบางอ้อว่าที่เขาเรียกว่าเมตตาธรรมอย่างไม่มีขีดจำกัดนั้นเป็นอย่างนี้นี่เอง จะเข้าใจว่าเราไม่อาจสร้างความรักหรือเมตตาขึ้นมาด้วยการคิดหรือท่องเอาว่าสัตว์ทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด เมตตาธรรมมันคือหนึ่งเดียวกับความรู้ตัวซึ่งเป็นธรรมชาติลึกๆที่ข้างใน เมื่อสิ่งที่บดบังถูกปัดออกไปเมตตาธรรมก็จะโผล่ขึ้นมาเอง

และด้วยคอนเซ็พท์แยกเราแยกเขาไม่ออกแล้วนี่แหละ ทำให้เรายอมรับทุกอย่างที่ตรงหน้าได้หมด ไม่ต้องวิ่งหาอะไรที่เราชอบ ไม่ต้องวิ่งหนีอะไรที่เราไม่ชอบอีก เพราะเราไม่มีเสียแล้ว ชีวิตก็จะสงบเย็น อยากจะทำงานสร้างสรรค์อะไรก็ทำได้ ไม่ต้องพะวงว่าตัวเราจะได้จะเสีย เพราะตัวเราไม่มีแล้ว

นี่คือคุณประโยชน์ของการเปลี่ยนตัวตน หรือ Identity changing ซึ่งผมกำลังจะบอกคุณว่ามันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้หลุดพ้นออกไปจากกรงความคิดของ “เรา” คนนี้ได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

10 ตุลาคม 2565

มายาคติเกี่ยวกับการป้องกันกระดูกหักและการใช้ยารักษากระดูกพรุน

(ภาพวันนี้: พรมญี่ปุ่น)

สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันมีปัญหาเรื่อง กระดูกพุน บาง กินยา fosamax plus มาเกิน5ปีแล้ว ก็ไม่มีผลดีขึ้น คุณหมอแนะนำ ให้ฉีดยา ดิฉันไม่มีปัญหาเรื่องปวด ขา เลยค่ะ อายุตอนนี้ย่าง70 ไม่อยากฉีดยา แต่กินยา ก็นานไปแล้ว ขอความเห็นคุณหมอ ด้วยค่ะ ดิฉัน อ่า…

(ข้อความมีแค่นี้ เพราะผู้เขียนไปเขียนในช่องหัวเรื่อง (Subject) ของอีเมล ไม่ได้เขียนในช่องเนื้อความ ผมเข้าใจว่าสว.แฟนบล็อกนี้จำนวนมากมีปัญหากับการใช้อินเตอร์เน็ท อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา บางท่านเล่าว่าจะเขียนมาหาหมอสันต์แต่จดหมายร่อนไปหาเพื่อนคนอื่นได้ไงไม่รู้ หิ หิ ผมตอบจดหมายฉบับนี้แม้จะจับใจความได้ไม่ครบ เพราะปัญหาเรื่องการใช้ยารักษากระดูกพรุนเป็นปัญหาของผู้สูงอายุจำนวนมาก)

……………………………………

ตอบครับ

ประเด็นที่คนทั่วไปเข้าใจถูกต้องกันดีพอสมควรแล้ว คือ

ประเด็นที่ 1. ยารักษากระดูกพรุนชนิดกิน กินได้แค่ 5 ปี เพราะผลวิจัยมีแค่นั้น การใช้เกิน 5 ปี มีรายงานว่าเกิดผลเสียคือกระดูกหักอาจจะมากขึ้น และอาจจะเป็นกระดูกหักชนิดอันตรายยิ่งขึ้น

ประเด็นที่ 2. ยารักษากระดูกพรุนชนิดฉีดรุ่นใหม่ ฉีดแล้วหยุดไม่ได้ เพราะหยุดแล้วผลวิจัยพบว่าทำให้กระดูกหักมากขึ้น เมื่อตัดสินใจฉีดแล้วก็ต้องฉีดกันตลอดไป

สองประเด็นนี้คนรู้กันทั่วแล้ว เราไม่ต้องพูดถึงอีกก็ได้ มาพูดถึงประเด็นที่คนทั่วไปไม่รู้ หรือรู้มาแบบเข้าใจมาหรือเชื่อมาแบบเชื่อผิดๆ ซึ่งผมขอเรียกว่าเป็นมายาคติในเรื่องการป้องกันกระดูกหักกันดีกว่า คือ

มายาคติ 1. เข้าใจผิดว่ายารักษากระดูกพรุนป้องกันกระดูกหักได้ 40-68% ความเป็นจริงคือยารักษากระดูกพรุนป้องกันกระดูกหักได้น้อยกว่า 5%

ความเข้าใจผิดนี้เกิดจากวิธีการนำเสนอความเสี่ยงแบบทำให้เข้าใจผิดว่าการลดความเสี่ยงสัมพัทธ์ (relative risk reduction-RRR) นั้นมันเหมือนกับการลดความเสี่ยงสัมบูรณ์ (absolute risk reduction-ARR)

ขอขยายความตรงนี้หน่อย ยกตัวอย่างที่ 1 งานวิจัยเมตาอานาไลซีสขนาดใหญ่ที่สุดมีคนไข้ในงานวิจัยทุกงานรวมกัน 39,197 คน เกิดกระดูกหักขึ้น 3,036 คน (7.7%) ในกลุ่มใช้ยาจริง 21,355 คน เกิดกระดูกหัก 1,268 คน (5.9%) ในกลุ่มใช้ยาหลอก 17,862 คน เกิดกระดูกหัก 1,768 คน (9.9%) เท่ากับว่ายาลดการเกิดกระดูกหักได้ 4% พูดแบบนี้เป็นการพูดถึงการลดความเสี่ยงแบบสมบูรณ์ (ARR) แล้วคนทั่วไปเข้าใจทันทีและรู้ได้ทันทีว่ามันลดการเกิดกระดูกหักได้นิดเดียว แต่เปลี่ยนวิธีนำเสนอว่าในงานวิจัยเดียวกันนี้ ยาลดความเสี่ยงกระดูกหักได้ 40.4% นี่เป็นการพูดแบบความเสี่ยงสัมพัทธ์ (RRR) ตัวเลขดูดีมาก แต่แท้ที่จริงก็เป็นตัวเลขเดิม 4% นั่นแหละ เพียงแต่เอามานำเสนอคนละแบบ

ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง เอางานวิจัยต้นแบบที่ทำให้อย.สหรัฐอนุมัติให้ใช้ยาฉีดรุ่นใหม่ denosumab รักษากระดูกพรุนที่หมอเขาแนะนำคุณให้ใช้นี้ก็ได้ เขาทำวิจัยโดยเอาหญิงหมดประจำเดือนที่อายุ 60-90 ปี (ส่วนใหญ่ค่อนไปทาง 90) ที่เป็นโรคกระดูกพรุน มีคะแนน T-score อยู่ระหว่าง -2.5 ถึง -4 มาจำนวน 7,868 คน เอามาจับฉลากแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งฉีดยา denosumab ขนาด 60 มก.เข้าใต้ผิวหนังทุกหกเดือน อีกกลุ่มหนึ่งฉีดยาหลอก ทำอย่างนี้อยู่ 36 เดือนแล้วจึงประเมินการเกิดกระดูกหักที่กระดูกสันหลังของแต่ละกลุ่มพบว่ากลุ่มฉีดยาจริงมีกระดูกหักเกิดขึ้นจริง 2.3% กลุ่มฉีดยาหลอกมีกระดูกหักเกิดขึ้น 7.2% เรียกว่ายาจริงกระดูกหักน้อยกว่ายาหลอก (absolute risk reduction – ARR) 4.9% ทั้งนี้ต้องขยันฉีดยาจนครบสามปีนะ ลดโอกาสหักได้ 4.9% แต่ถ้าเอา 7.2 -2.3 แล้วหารด้วย 7.2 คูณด้วย 100 ก็จะได้ตัวลขใหม่เป็นความเสี่ยงสัมพัทธ์ (ARR) 68% ซึ่งดูดีกว่า 4.9% แยะ แต่เป็นผลวิจัยเดียวกัน นี่ยังไม่นับประเด็นปลีกย่อยเช่นเขาจงใจนำเสนอเฉพาะกระดูกสันหลังเพราะยาจริงดีกว่ายาหลอกมากๆ แต่ส่วนอื่นเช่นที่สะโพกซึ่งยาจริงต่างจากยาหลอกเพียง 1.5% เขาไปเอามาเสนอ หรือไม่ไฮไลท์ ทำให้ลูกค้าเข้าใจคุณค่าของสินค้าซึ่งก็คือยาของเขาผิดความจริงไปแยะ

มายาคติที่ 2. เข้าใจผิดว่ายารักษากระดูกพรุนมีความปลอดภัยระดับใกล้ 100% แต่ในความจริงยารักษากระดูกพรุนก็มีผลแทรกซ้อนเช่นยาอื่นทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่นยาฉีด denosumab งานวิจัยนี้ซึ่งทำกับคนเจ็ดพันกว่าคนใช้เวลาสามปีไม่พบภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แต่วงการแพทย์มีข้อมูลว่ายานี้ซึ่งวงการแพทย์ใช้รักษามะเร็งแพร่กระจายไปกระดูกมานานแล้ว มีชื่อเสียงในทางไม่ดีมาก่อนว่าทำให้เกิด (1) แคลเซียมในเลือดต่ำ โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคไตเรื้อรัง (2) ทำให้เกิดกรามผุฟันร่วง (osteonecrosis of the jaw (3) ทำให้กระดูกขาหักเฉียงแบบมีคมอันตราย (atypical subtrochanteric femoral fracture) (4) เมื่อหยุดยาแล้วจะเกิดกระดูกสันหลังทรุดหลายจุด (MVF) มากขึ้น (5) เป็นพิษต่อทารกในครรภ์ เป็นต้น

มายาคติที่ 3. เข้าใจผิดว่ากินยาหรือฉีดยาตอนนี้ไปครบ 5 ปีแล้วจะป้องกันกระดูกหักในวัยชราได้ตลอดไป สมมุติว่าตอนนี้อายุห้าสิบกว่าหรือหกสิบกว่ากินยาฉีดยาไปห้าปีแล้วไปหวังว่าเมื่อชราภาพอายุเจ็ดสิบแปดสิบแล้วกระดูกจะหักน้อยลง นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะงานวิจัยพบว่ายานี้ลดการเกิดกระดูกหักได้เฉพาะช่วงที่ฉีดหรือกินยานี้อยู่เท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับตอนความชรามาเยือนหลังใช้ยาครบห้าปีแล้ว ซึ่งตอนนั้นไม่ว่าจะยังได้ยาหรือหยุดยาไปแล้วก็ตาม เรายังไม่มีข้อมูลเลยนะว่ายารักษากระดูกพรุนจะตามไปป้องกันกระดูกหักในตอนนั้นได้ ไม่เกี่ยวกันเลย มีแต่ข้อมูลว่าหากใช้ยานานกว่าห้าปีแล้วหรือเมื่อหยุดฉีดยาแล้วอาจเกิดกระดูกหักมากกว่าตอนใช้ยา

มายาคติที่ 4. เข้าใจผิดว่ากระดูกพรุนหรือคะแนนความแน่นกระดูก (T-score) ต่ำ เป็นสาเหตุตรงของการเกิดกระดูกหัก ความเป็นจริงก็คือการมีคะแนนความแน่นกระดูกต่ำมีความสัมพันธ์กับการเกิดกระดูกหักมากขึ้นก็จริง แต่ไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน สิ่งที่เป็นสาเหตุของการเกิดกระดูกหักเชิงเป็นเหตุเป็นผลกันอย่างแท้จริงคือการลื่นตกหกล้มหรืออุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งสัมพันธ์กับ

(1) ความสามารถในการทรงตัว ซึ่งเป็นผลจากการฝึกใช้ สติ สายตา หูชั้นใน กล้ามเนื้อ และข้อ ให้ทำงานร่วมกัน

(2) การใช้ยาบางอย่างซึ่งจะเพิ่มการลื่นตกหกล้มมากขึ้น เช่นยาลดความดัน ยานอนหลับ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดไขมัน เป็นต้น

(3) การขาดการออกกำลังกายและมีกล้ามเนื้อลีบหรือเป็นคนง่อยเปลี้ยเพลียแรง (frailty syndrome)

(4) การขาดการจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อป้องกันอุบัติเหตุการลื่นตกหกล้มให้ผู้สูงวัย

ดังนั้น ลำดับความสำคัญสูงสุดของการป้องกันกระดูกหักอยู่ที่การป้องกันการลื่นตกหกล้ม ไม่ใช่การกินหรือฉีดยารักษากระดูกพรุน

กล่าวโดยสรุป ผมได้ให้ข้อมูลประโยชน์ของยาว่าของจริงมีกี่เปอร์เซ็นต์ ความเสี่ยงมีอะไรบ้าง อะไรควรทำเป็นลำดับความสำคัญสูงสุด ต่อจากนี้เป็นการเอาข้อมูลที่ผมให้ไปประกอบการตัดสินใจของคุณเองว่าจะใช้หรือไม่ใช้ยารักษากระดูกพรุน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Byun JH, Jang S, Lee S, Park S, Yoon HK, Yoon BH, Ha YC. The Efficacy of Bisphosphonates for Prevention of Osteoporotic Fracture: An Update Meta-analysis. J Bone Metab. 2017 Feb;24(1):37-49. doi: 10.11005/jbm.2017.24.1.37. Epub 2017 Feb 28. PMID: 28326300; PMCID: PMC5357611.
  2. Cummings SR1, San Martin J, McClung MR, Siris ES, Eastell R, Reid IR, Delmas P, Zoog HB, Austin M, Wang A, Kutilek S, Adami S, Zanchetta J, Libanati C, Siddhanti S, Christiansen C; FREEDOM Trial. Denosumab for prevention of fractures in postmenopausal women with osteoporosis. N Engl J Med. 2009 Aug 20;361(8):756-65. doi: 10.1056/NEJMoa0809493.
[อ่านต่อ...]

08 ตุลาคม 2565

พิษของน้ำตาล มันมี 4 ประเด็นนะ

(ภาพวันนี้: ต้นซิการ์)

เรียนคุณหมอที่เคารพ

กำลังสอนให้ลูกกินผลไม้มากๆแต่หมอเด็กที่รักษาลูกบอกว่าห้ามกินผลไม้มากเพราะมีฟรุคโต้สซึ่งเป็นพิษ จะทำให้ป่วย หนูสงสัยว่าน้ำตาลเป็นของเลวกับเด็กจริงหรือ แล้วฟรุคโต้สเป็นพิษจริงหรือ แล้วถ้าเป็นพิษจริงก็ให้เด็กกินผลไม้มากไม่ได้ใช่ไหมเพราะผลไม้ก็คือฟรุคโต้ส

ขอบพระคุณคะ

ตอบครับ

1.. ถามว่าน้ำตาลเลวต่อเด็กจริงหรือ ตอบว่าเลวจริงครับ งานวิจัยให้ผลชัดว่าน้ำตาลทำให้เด็กอ้วน อันนี้พิสูจน์แล้วแน่นอน และมีข้อมูลบ่งชี้ไปทางว่าเด็กกินน้ำตาลมากจะโตขึ้นเป็นโรคเรื้อรัง เช่นเบาหวาน และกลุ่มโรคที่เรียกว่าเมตาโบลิกซินโดรม

2.. ถามว่าน้ำตาลฟรุคโต้สเป็นพิษ น้ำตาลกลูโคสไม่เป็นพิษ จริงหรือ ตอบว่าจริงครับ เพราะน้ำตาลกลูโค้สนั้นเซลร่างกายทุกเซลใช้ประโยชน์ได้หมด ขณะที่ฟรุ้คโต้สต้องใช้โดยตับเท่านั้น วิธีการใช้ของตับจะเปลี่ยนประมาณ 30% ของฟรุคโต้สไปเป็นไขมันผ่านกลไกที่เรียกว่า de novo lipogenesis ทำให้มีไขมันแทรกอยู่ในเนื้อตับ ทำให้เซลล์ตับดื้อต่ออินสุลิน กลายเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ

3.. ถามว่าฟรุ้คโตสเป็นพิษ ผลไม่ก็มีฟรุ้คโตสจึงเป็นพิษด้วยใช่ไหม ตอบว่าไม่ใช่ครับ ตรงนี้สำคัญนะ ให้คุณตั้งใจอ่านให้ดี เพราะคำแนะนำของแพทย์บางครั้งก็ไปผิดทางเพราะแพทย์เองมีข้อจำกัดในเรื่องความรู้ความเข้าใจภาพใหญ่ของกลไกของร่างกาย เอาเป็นว่าคนอื่นใครเขาจะว่าอย่างไรคุณเก็บเอาไว้ก่อน ให้คุณตั้งใจอ่านตรงนี้ให้ดี

น้ำตาลมีโทษหรือประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร มันมีสี่ประเด็น คือ

ประเด็นที่ 1. ปริมาณที่กิน ของทุกอย่างเช่นน้ำเป็นของมีคุณอนันต์ แต่ถ้ากินเข้าไปมากก็จะตายจากน้ำเป็นพิษ น้ำตาลก็เป็นของที่มีคุณอนันต์เพราะกลูโค้สเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกเซลล์ต้องใช้สร้างพลังงาน แต่ถ้ากินเข้าไปมากก็เกิดพิษให้ตายได้เช่นกัน

สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สองคนกินน้ำตาลเฉลี่ยคนละ 4 ปอนด์ต่อปี ทุกวันนี้กินเฉลี่ย 100 ปอนด์ต่อปี เพิ่มขึ้นมา 25 เท่า

น้ำตาลทรายประกอบด้วยกลูโค้สกับฟรุ้คโต้สอย่างละครึ่ง หากนับเฉพาะฟรุ้คโต้สซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่เป็นพิษที่สุดของน้ำตาลทราย สมัยก่อนสงครามโลกคนกินฟรุคโต้สเฉลี่ย 12-15 กรัมต่อคนต่อวัน (ส่วนใหญ่ผ่านทางผลไม้) แต่ทุกวันนี้คนกินฟรุ้คโต้สเฉลี่ย 78 กรัมต่อคนต่อวัน (ส่วนใหญ่ผ่านเครื่องดื่มและอาหารใส่น้ำตาล) คือการกินมากเกินไปเป็นปัญหา

ประเด็นที่สอง การมีสารแก้พิษควบคู่มาด้วย อาหารธรรมชาติทุกอย่างเมื่อธรรมชาติให้สารพิษมาก็จะให้สารแก้พิษมาด้วย เช่นน้ำตาลฟรุคโต้สในอาหารธรรมชาติก็คือผลไม้ สารแก้พิษที่ธรรมชาติให้ควบคู่มาด้วยคือกาก (fiber) ดังนั้นถ้ากินผลไม้โดยไม่ทิ้งกากไม่ทิ้งเปลือก (ยกเว้นทุเรียนไม่ต้องกินเปลือกก็ได้ หิ หิ) จะกินมากเท่าใดก็กินได้ไม่มีปัญหาเพราะกากเป็นตัวดูดซับพิษฟรุคโต้สในปริมาณที่ธรรมชาติให้มาสมดุลกันดีแล้ว ยังไม่นับว่าผลไม้ให้วิตามินแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่น้ำตาลทรายกับน้ำเชื่อม HFCS (high fructose corn syrup) มีแต่ฟรุ้ตโต้สบวกกลูโค้ส ลุ่นๆ โดยไม่มีกากเลย เท่ากับว่าให้สารพิษมาเต็มๆโดยไม่มีสารแก้พิษควบคู่มา แล้วให้มาคราวละมากกว่าปกติถึง 25 เท่า ก็ต้องเสร็จสิครับ ใช่ไหม

ประเด็นที่สาม การทำลายจุลินทรีย์ในลำไส้ น้ำตาลในขนาดเข้มข้น มีธรรมชาติเป็นยาฆ่าเชื้อ คือเป็นตัวทำลายจุลินทรีย์ในลำไส้ซึ่งจุลินทรีย์นี้เป็นของดีมีประโยชน์ การไปทำลายจุลินทรีย์นี้มีผลเสียต่อระบบของร่างกายอย่างมาก การจะป้องกันผลเสียนี้มีทางเดียวคือต้องมีกากจำนวนมากมาดูดซับน้ำตาล แต่คนกินอาหารที่มีน้ำตาลมากเช่นอาหารฟาสต์ฟู้ดนั้นไม่ได้กินกากเลย หรือกินน้อยมาก เพราะนิยามของอาหารฟาสตฟู้ดในสำนวนของนักโภชนาการคือ “Fiberless food” หรืออาหารปลอดกาก ฟาสต์ฟูดมีกากไม่ได้เพราะมันจะเก็บไว้บนหิ้งได้ไม่นาน ดังนั้นน้ำตาลในฟาสต์ฟูดก็คือยาฆ่าเชื้อดีๆนั่นเอง

ประเด็นที่สี่ ฟรุ้คโต้สกับกลูโค้ส พื้นฐานของโมเลกุลคาร์โบไฮเดรตในอาหารพืชทุกชนิดมีสองอย่าง คือ กลูกโค้สกับฟรุคโต้ส อาหารแป้งมีแต่กลูโค้สอย่างเดียวไม่มีฟรุคโต้ส แต่น้ำตาลมีทั้งกลูโค้สและฟรุคโต้ส ในระหว่างสองตัวนี้หลักฐานแน่ชัดแล้วว่าฟรุ้คโต้สนั้นหากมีมากจะเป็นพิษ ขณะที่กลูโค้สถึงมีมากก็ไม่เป็นพิษ กลไกการเป็นพิษของฟรุ้คโต้สนั้นออกจะซับซ้อนซึ่งผมคงไม่มีเวลานั่งอธิบายให้คุณเข้าใจละเอีอด ขออธิบายแบบลวกๆว่ากลูโค้สเข้าไปแล้วทุกเซลล์เอาไปใช้ได้ (หากไม่มีภาวะดื้อต่ออินสุลิน) ส่วนฟรุคโต้สคนใช้มีอวัยวะเดียวคือตับ ในการใช้ฟรุคโต้สของตับถ้ามีวัตถุดิบมากเกินไปฟรุ้คโต้สประมาณ 30% จะถูกตับเปลี่ยนเป็นไขมัน กลไกนี้เรียกว่า de novo lipogenesis ซึ่งเป็นช่องทางบายพาสกลไกการเผาผลาญน้ำตาลปกติเอาฟรุคโต้สเหลือใช้ไปเปลี่ยนเป็นไขมันซึ่งจะกลายต่อไปเป็นไตรกลีเซอไรด์ที่ตรวจได้ในเลือด เอาไปเก็บไว้ตามเซลล์ไขมันทำให้อ้วน แต่ส่วนใหญ่จะถูกจับแทรกไว้ในตับนั่นแหละ กลายเป็นโรคไขมันแทรกตับ ตับอักเสบจากไขมันแทรกตัว และทำให้เซลล์ตับดื้อต่ออินสุลิน ผลพลอยเสียจากการนี้คือได้กรดยูริกซึ่งมีฤทธิ์ระงับการผลิดก้าซไนตริกออกไซด์ (NO) ของเยื่อบุด้านในหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายขยายตัวได้ยาก กลายเป็นความดันเลือดสูง ซึ่งเป็นกลไกการเกิดความดันเลือดสูงในผู้ป่วยที่เป็นโรคเมตาโบลิกซินโดรม

สรุปทั้งสี่ประเด็นว่า ผลไม้ถ้าไม่ทิ้งกากนั้นกินมากเท่าไหร่ก็ได้ไม่มีปัญหาเพราะฟรุคโตสที่ได้มีปริมาณน้อยและถูกดูดซับพิษโดยกากในตัวผลไม้เองอย่างได้สัดส่วนกัน แต่น้ำตาลทรายก็ดี หรือน้ำเชื่อม HFCS ก็ดี มันคือยาพิษที่ไม่มีสารแก้พิษดีๆนี่เอง

4.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้นะ คือประเด็นน้ำตาลทรายกับน้ำเชื่อม HFCS ว่าทั้งคู่มีดีมีเลวต่างกันอย่างไร ตอบว่ามันมีความเลวเหมือนกันในสองประเด็นคือ (1) มันต่างก็มาในปริมาณมากจึงทำให้ร่างกายได้รับฟรุคโต้สแยะ แถม (2) มันไม่มีกากมาช่วยดูดซับเลย

เฉพาะตัวน้ำเชื่อม HFCS นั้นมันยังเลวกว่าน้ำตาลทรายอีก ในสามประเด็น คือ (1) มันหวานมากกว่า คือ 120 ต่อ 100 ความหวาน ทำให้กินแล้วติด (2) มันมีฟรุ้คโต้สเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าด้วยลูกเล่นทางอุตสาหกรรม ทำให้ได้พิษมากขึ้น (3) มันมีราคาถูกกว่า คือแค่ 50% ของราคาน้ำตาลทราย ทำให้คนเอามาใส่อาหารแทนน้ำตาลทรายอย่างกว้างขวางเพราะผลิตอาหารสำเร็จรูปได้ราคาถูกจนซื้อง่ายขายคล่องและกินกันระเบิดเถิดเทิง

5. แถมอีกข้อหนึ่ง แล้วถ้าเปรียบเทียบระหว่างน้ำตาลกับแป้งละ อย่างไหนเลวกว่ากัน ตอบว่าน้ำตาลเลวกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้ แป้งนั้นให้แต่กลูโค้สซึ่งไม่มีพิษอะไร แต่ถ้ามากเกินไปก็มีผลเสียตรงที่ (1) ทำให้อ้วน และ (2) เป็นตัวฆ่าจุลินทรีย์ในลำไส้เช่นกัน

แต่แป้งกลับจะกลายเป็นแหล่งอาหารให้พลังงานที่ดีที่สุดหากเป็นแป้งชนิดไม่ขัดสี เพราะมีกากมาด้วยซึ่งมีประโยชน์ในแง่ที่ (1) ใช้เป็นอาหารของจุลินทรีย์และ (2) ใช้ดูดซับไม่ให้น้ำตาลในความเข้มข้นสูงไปทำลายจุลินทรีย์ในลำไส้ได้ (3) ลดการดูดซึมไขมันโคเลสเตอรอลจากอาหารอื่นที่กินเข้าไปพร้อมกันด้วย

ดังนั้นหากผอมแห้งแรงน้อยขาดอาหารให้พลังงาน ผมแนะนำให้กินแป้งชนิดไม่ขัดสีเช่นข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต พวกหัวใต้ดินต่างๆแยะๆ กินจนน้ำหนักขึ้นมาปกติและแข็งแรงพอเริ่มออกกำลังกายได้ รับประกัน มีแต่ได้ ไม่มีเสีย เป็นคนผอมแห้งเป็นปลาเค็มอยู่แล้วอย่าไปทำตัวเป็นคน low carb โน่นก็กินไม่ได้นี่ก็กินไม่ได้ คนอ้วนเขาทำตัวแบบนั้นได้เพราะเขามีพลังงานสำรองแยะ นั่นเรื่องของเขา แต่เราเป็นคนผอมสิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องกินอาหารให้พลังงานจนร่างกายได้พลังงานมากพอใช้ก่อน การสร้างมวลกล้ามเนื้อให้หายผอมจึงจะเกิดขึ้นได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

06 ตุลาคม 2565

อายุ 70 เจ็บส้นเท้าสองสามก้าวแรกที่ลงจากเตียงหรือลุกจากเก้าอี้

(ภาพวันนี้: ดอกถ้วยทอง)

สวัสดีค่ะ คุณอาหมอสันต์

คุณแม่อายุ 70ปี มีอาการเจ็บส้นเท้าตอนลุกขึ้นยืนจากนั่งเก้าอี้ และเจ็บ2-3ก้าวแรกเมื่อเริ่มเดิน ก้าวต่อไปความเจ็บก็น้อยลง เคยเป็นครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปี เจ็บอยู่3-4เดือน แล้วจู่ๆก็หายเอง และตอนนี้กลับมาเป็นใหม่ รบกวนขอคำแนะนำในการปฏิบัติตัวเพื่อบรรเทาอาการเจ็บค่ะ (คุณแม่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ปกติค่ะ)

ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

………………………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าอายุ 70 เจ็บส้นเท้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสองสามก้าวแรกที่เพิ่งลงเหยียบพื้นหลังตื่นนอนหรือหลังนั่งพักนานๆ เป็นอะไร ตอบด้วยวิธีเดาแอ็กโดยไม่ได้ตรวจร่างกายว่ามีโอกาสมากที่จะเป็นเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ (plantar fasciitis) หรือที่เรียกแบบบ้านๆว่า “รองช้ำ” นั่นแหละ

2.. ถามว่าแล้วต้องทำไงต่อ ตอบว่าวิธีรักษาที่ดีที่สุดคือการยืดเอ็นร้อยหวายและกล้ามเนื้อน่อง ควบไปกับการฝึกความแข็งแรงกล้ามเนื้อน่อง

ท่ายืดทำได้เองก็เช่น เอาสองมือท้าวผนังก้าวขาข้างหนึ่งไปหน้ายืดอีกขาหนึ่งไปหลังโดยให้ฝ่าเท้าหลังชิดพื้นไว้แล้วโยกตัวไปหาผนังเพื่อให้น่องหลังและเอ็นร้อยหวายถูกยืดจนตึง

หรือไปยืนที่ลูกนอนของบันไดโดยเอาปลายของฝ่าเท้าวางบนพื้นผิวราบของลูกนอนบันได ให้ส้นเท้าอยู่กลางอากาศ มือจับราวบันไดไว้ แล้วเขย่งตัวขึ้นๆลงๆ

หรือให้ง่ายกว่าก็คือสั่งซื้อแท่นยืนเขย่งเท้าที่เขาทำขายกันเกร่อทางอินเตอร์เน็ทอันละ 450 – 500 บาทดังรูปตัวอย่างที่ผมลงให้ดู เอามาวางแล้วก็ขึ้นไปยืนให้ส้นเท้าอยู่ข้างต่ำนะ บางคนเอาไปยืนให้ส้นเท้าอยู่ข้างสูงอย่างนั้นใช้ของผิดสะเป๊ค หิ หิ ที่ถูกต้องยืนให้ส้นเท้าอยู่ข้างต่ำ ยืนแล้วน่องและเอ็นร้อยหวายต้องถูกยืดจนตึง

หรือถ้าชอบของนอกก็ไปซื้อกายอุปกรณ์ของฝรั่งที่ใช้รักษาโรคนี้ มีมากมายหลายแบบ เช่นแผ่นรองฝ่าเท้า (insole) ชนิดต่างๆ เฝือกใส่ยืดฝ่าเท้าตอนกลางคืน (night splint) เฝือกเท้าแบบตั้งองศาข้อเท้าได้ (foot brace) และถุงหุ้มส้นเท้ากันกระแทก (heel cup) เป็นต้น 

3.. ถามว่าถ้าไม่ทำอะไรเลยจะเป็นไรไหม ตอบว่ามันก็ไม่เป็นไรถ้าทนปวดได้ เพราะโรคนี้มันมักจะเป็นเองหายเอง โดยเวลาที่หายก็ประมาณ 6-18 เดือน มีอยู่จำนวนหนึ่งที่เป็นๆหายๆ ซึ่งก็ดีตรงที่มีส่วนช่วยให้พนักงานบีบนวดมีงานทำ

แต่ในกรณีที่อาการมากจนรบกวนคุณภาพชีวิต ควรไปหาหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟูให้เขาดูว่ามันมีเหตุอะไรเป็นพิเศษที่ผิดแผกไปจากรองช้ำทั่วไปหรือเปล่า (เหตุดังกล่าวก็เช่นหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท เป็นต้น) ถ้ามีและเป็นสาเหตุที่แก้ไขได้ก็จะได้แก้ไขเสีย

สำหรับการกินยาแก้ปวดแก้อักเสบในกลุ่มไม่ใช่สะเตียรอยด์ (NSAID) ซึ่งผู้ป่วยเป็นโรคนี้กินกันเกือบทุกคนนั้นหมอสันต์ไม่แนะนำเลย เพราะยาในกลุ่มนี้เมื่อใช้แล้วก็อดจะใช้ซ้ำซากไม่ได้ นานไปก็ชักนำให้เกิดไตวายเรื้อรังบ้าง เกิดปัญหากับหัวใจบ้าง ดังนั้นผมว่าหลีกเลี่ยงการใช้ไว้ให้ถึงที่สุดดีกว่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

04 ตุลาคม 2565

น้ำลายไหลยืด ต้องพกผ้าเช็ดหน้าตลอดเวลา

(ภาพวันนี้: ผึ้งกำลังพยายามกินเกษรดอกบานเช้า)

เรียนคุณหมอสันต์

ฉันอายุ 67 ปี ไม่เคยเป็นอัมพาตอัมพฤกษ์ มีปัญหาว่าน้ำลายไหลยืดจนต้องพกผ้าเช็ดหน้าไว้คอยซับตลอดเวลา มันเกิดจากอะไร และควรจะแก้ไขอย่างไร

…………………………………………..

ตอบครับ

ผมถือเป็นหลักกม. ทางสถิติว่าจดหมายของคุณซึ่งถามเรื่องน้ำลายไหลยืดเข้ามา เป็นกม.ที่บ่งบอกว่าสังคมแฟนบล็อกของหมอสันต์ได้กลายเป็น “สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society)” โดยสมบูรณ์แล้ว เพราะคำถามแบบนี้ ถ้าไม่ใช่สูงอายุตัวจริงเสียงจริง ย่อมไม่ถามมาแน่นอน หิ หิ

มาตอบคำถามของคุณดีกว่า

1.. ถามว่าอายุมากแล้วน้ำลายไหลยืดเกิดจากอะไร ตอบว่าเกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้

1.1 กลไกระบบประสาทควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า โดยเฉพาะกล้ามเนื้อรอบปาก (orbicularis oris) เสียการทำงานไป เช่นในกรณีอัมพาตเฉียบพลัน โรคสมองพิการ โรคพาร์คินสัน เป็นต้น

1.2 มีเหตุให้น้ำลายไหลมากกว่าปกติ เช่นกินอาหารเป็นกรดมาก หรือกำลังตั้งครรภ์

1.3 กลไกการกลืนเสียหาย เช่นการสำรอกอาหารในโรคกรดไหลย้อน การติดเชื้อปากและคอ คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบ มะเร็งหลอดอาหาร

1.4 กล้ามเนื้อใบหน้าและรอบปากอ่อนแอและลีบลง จากการที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน เช่นอยู่คนเดียวนั่งๆนอนๆดูทีวีและแชทไลน์ทั้งวันไม่ได้พูดจาสื่อสารกับใคร

2.. ถามว่าควรแก้ปัญหาน้ำลายไหลยืดอย่างไร ตอบว่าน้ำลายไหลยืดถ้าเป็นในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบไม่ต้องแก้เพราะเมื่อโตขึ้นจะหายเอง หรือถ้าเป็นในผู้ใหญ่ขณะนอนหลับก็ไม่ต้องแก้เพราะขณะหลับกล้ามเนื้อทุกมัดคลายตัวหากนอนในทางมุมปากอยู่ต่ำน้ำลายมันก็ไหลอยู่แล้ว แต่ถ้าไหลยืดทั้งๆที่ตื่นอยู่ ควรรักษาตัวเอง ดังนี้

2.1 ฝึกกล้ามเนื้อคุมการพูดและการกลืน ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของ speech therapy โดยมุ่งในสี่ประเด็นคือ (1) สร้างสติกำกับ (Awareness) ขณะใช้กล้ามเนื้อ (2) ฝึกการประสานงาน (coordination) ของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ (3) ฝึกความแข็งแรง(strength) ของกล้ามเนื้อ (4) ฝึกความอึดหรือทนทาน(endurance) ของกล้ามเนื้อ

ซึ่งมีกลุ่มกล้ามเนื้อที่ต้องฝึกสี่กลุ่ม คือ

2.1.1 กล้ามเนื้อลิ้น โดยการ (1) แลบลิ้น, (2) เลียรอบริมฝีปาก, (3) กระดกลิ้น

2.1.2 กล้ามเนื้อริมฝีปาก ด้วยการ (1) ปิดปากเป่าลมออกมาระหว่างริมฝีปากบนล่างเป็นเสียงเครื่องยนต์ บรื้อ..อ, (2) เม้มปากแน่นๆนานๆ, (3) ทำปากจู๋แบบจูบเสียงดังจุ๊บๆๆ, (4) เม้มปากแล้วพ่นลมออกมาเสียงดังปัง ปึ้ง

2.2.3 กล้ามเนื้อกราม ด้วยการ (1) อ้าปากแล้วโยกกรามล่างไปซ้าย, (2) โยกกรามล่างไปขวา, (3) อ้าปากกว้างค้างไว้นานๆ (4) กัดฟันแน่นๆนานๆ

2.2.4 กล้ามเนื้อแก้ม ด้วยการ (1) ปิดปากแล้วเป่าลมให้แก้มตุ่ย, (2) สลับกับปิดปากแล้วดูดลมให้แก้มบุ๋ม, (3) ยิ้มและยิงฟัน

3. ผ่อนคลายร่างกายและยิ้มที่มุมปากเป็นประจำ

4. ฝึกท่าร่างให้ศีรษะตั้งตรงอยู่เสมอ เพราะน้ำลายมักไหลในท่ากึ่งก้มหน้า

ฝึกพูดชัดถ้อยชัดคำดังๆ อ่านออกเสียงดังๆ ฝึกร้องเพลง

5. ฝึกกลืนน้ำลายอย่างตั้งใจ ฝึกกลืนเนียนๆเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น อาจใช้จิบน้ำช่วย

6. การใช้ยาลดน้ำลายเมื่อการฝึกไม่ได้ผล ยาที่ใช้เช่น Scopolamine (Transderm Scop) แปะผิว ออกฤทฺธิ์นาน 72 ชม. Glycopyrrolate (Robinul) และกรณีระยะสุดท้ายของชีวิต หมอนิยมใช้ยา Atropine sulfate หยดใส่ปาก

7. การผ่าตัดดึงกล้ามเนื้อเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อวิธีอื่นไม่ได้ผล

ทั้งหมดนี้คือหลักวิชา คุณเอาไปฝึกปฏิบัติดูเองนะครับ ไม่ต้องไปโรงพยาบาลหานักพูดบำบัดดอก ฝึกทำเองนั่นแหละดีที่สุด สูงอายุแล้วอย่ามีอะไรนิดก็จะหาหมอหาผู้ช่วย คิดแบบนั้นต้องไปซื้อคอนโดที่เขาขายข้างโรงพยาบาล ให้เอาแบบหมอสันต์ สูงอายุแล้วทำทุกอย่างที่อยากทำด้วยตัวเอง ทำไม่ได้ก็ฝึกเอา

สำหรับแฟนบล็อกที่น้ำลายยังไม่ไหลยืด อย่าเป็นปลื้มว่าจะไม่เป็น มันอาจจะยังสูงวัยไม่ได้ที่ ให้เริ่มฝึกกล้ามเนื้อเสียตอนนี้เป็นการป้องกันซึ่งง่ายกว่าการมารักษา

ส่วนสำหรับแฟนบล้อกผู้ชายที่เกิดอาการนี้ขณะดูคลิปที่เพื่อนชายด้วยกันส่งมาให้ ต้องไปใช้วิธีรักษาอีกแบบ คือให้เวลาดูคลิปให้นั่งใกล้ๆม. จะได้คุมประพฤติสะดวก หิ..หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

03 ตุลาคม 2565

รักษามะเร็งด้วยตนเองได้อย่างไร

(ภาพวันนี้: สวนมินิ ของสว.มินิ)

แฟนบล็อกและสมาชิกแค้มป์ CR ของหมอสันต์ท่านหนึ่ง ดร. … ได้ส่งบทคัดย่อสั้นๆหนังสือของดร.เทอร์เนอร์ (Dr. Kelly A. Turner) มาให้ ผมเห็นว่ามีประโยชน์ในแง่ที่เป็นหลักฐานระดับ anecdote หรือเรื่องเล่า (ดร.เทอร์เนอร์ทำวิจัยติดตามดูผู้ป่วยมะเร็งที่หายราว 1500 คนแล้วเขียนหนังสือนี้) ผมจึงขออนุญาตท่านนำมาลงให้แฟนๆบล็อกได้อ่าน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

…………………………………………

สวัสดีค่ะ

ช่วงโควิด หนูกึ่งแปลกึ่งสรุปหนังสือ Dr Turner เผื่อจะเป็นประโยชน์ค่ะ เอาลงบล็อกได้ตามสบายนะคะ หนูไม่ยึดติด เพื่อนๆ ทยอยเป็นมะเร็งค่ะ ล่าสุด อายุ40ต้นๆก็เป็นค่ะ หนูรายงานตัวค่ะ ครบห้าปีแล้วค่ะ ไม่ได้กินยาเลยค่ะ คุมน้ำตาลด้วยการทำ IF ตอนนี้เริ่ม กินมื้อเดียวค่ะ…Take care 

รอดตายจากมะเร็งแบบแหกคอก (Dr Turner)

1.. เปลี่ยนอาหาร

กินเหมือนหมอสันต์พากินค่ะ จินนี่เป็นมะเร็งเต้านมระยะสาม ไม่ผ่าตัด ตัดสินใจเปลี่ยนอาหาร ทีแรกกลัวว่าจะกินผิด เลยอดอาหาร น้ำหนักลดไป 20 โล ในสองเดือน แล้วค่อยเริ่มกินอาหารแนวใหม่ คือได้ทำ Fasting โดยบังเอิญ นอกจากนี้ เดินออกกำลังกายทุกวันด้วย

หมอบอกต้องตัด คีโม ฉายแสง อยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี เธอโกรธมากกกก เลยหาวิธีของตัวเอง เพราะมีเพื่อนเธอคนนึง หายด้วยการเปลี่ยนอาหารค่ะ เธอเลยเลือกทางนี้ ก้อนมะเร็งยุบหมดทั้งที่นมและต่อมน้ำเหลือง อยู่ปกติมาเกิน 5 ปีแล้วค่ะ

2 รับข้อมูลรอบด้าน เลือกวิธีรักษาตนเอง

ชินเป็นคนญี่ปุ่น ตอนวัยรุ่นชินชอบเล่นเชลโล่ โตมาทำงานหนักมาก ไม่มีเวลาเล่นดนตรี อายุ 46 เป็นมะเร็งไต ตัดไตออกข้างนึง ใช้เวลา 5 เดือนนอนรพ. เพื่อรับคีโม และตามด้วยฉายแสง หลังการรักษา มะเร็งลามไปปอดและลำไส้ใหญ่ท่อนปลายสุด (ไส้ตรง) หมอบอกเมียเค้าว่า อยู่ได้อีกไม่กี่เดือน

วันนึงชินเหม็นห้องที่รพมาก เลยขึ้นไปดาดฟ้าเพื่อรับอากาศ พยาบาลตกใจนึกว่าเค้าจะโดดตึก ฟ้องหมอ หมอโกรธมาก เลิกรักษา ให้กลับไปตายที่บ้าน พอกลับบ้าน ชินเปลี่ยนน้ำดื่มเป็นดื่มน้ำแร่ ทุกเช้าที่ยังหายใจ ชินรู้สึกขอบคุณ ชินขึ้นไปดาดฟ้าทุกวันเพื่อรับความอบอุ่นของแสงอรุณ ต่อมาผสานการหายใจแบบโยคะ ตามด้วยการชาร์จจักระทั้ง7

ชินพยายามหาสาเหตุของมะเร็ง พบว่าเป็นเพราะทำงานหนักและไม่ได้พักผ่อน เค้าคิดว่ามะเร็งคือลูกของเค้า ลูกที่ป่วย เค้าจับที่ไตแล้วพูดกับมะเร็ง ลูกพ่อ พ่อรักลูก ชินส่งความรักให้มะเร็งตั้งแต่เช้ายันเย็น ต่อมาชินกลับมาเล่นเชลโล่ เค้าบอกว่าเชลโล่เป็นยา ชินกินอาหารแนวทางแมคโครไบโอติกบ้าง แต่ไม่เข้มงวด เค้ายังคงดื่มกาแฟ ทุกเดือนต้องไปฟื้นฟูที่สถานฟื้นฟูในเขา1สัปดาห์ ได้แช่น้ำพุร้อน ได้อากาศบริสุทธิ์ ทานอาหารออแกนิก ชินรอดมาได้ถึงสามปี หมอของเค้าทึ่งมาก ทำ CT scan พบว่ามะเร็งยังอยู่ 

ชินได้รับเชิญไปพูดและบำบัดที่สกอตแลนด์ 1เดือน ที่นั่นเค้าได้รับความรักความอบอุ่น จากการสวมกอดทั้งวัน

กลับมาโตเกียว ผล CT scan ไม่มีมะเร็งหลงเหลือ เค้ามีชีวิตอยู่ต่อมามากกว่า 25 ปี นับจากวันแรกที่กลับบ้าน

3 เชื่อและทำตามปัญญาญาณของตน

ซูซานเป็นมะเร็งตับอ่อนที่ลามไปปอด หมอบอกถึงรักษาก็อยู่ได้ 1-2 ปี ขณะที่ฟังหมอ เสียงในหัวห้ามเธอรับการรักษา เธอเชื่อ สามีและลูกๆก็ตามใจและอยู่เคียงข้างเธอ เธอขอลดงานเหลือสองวัน ใช้สามวันค้นหาข้อมูลในห้องสมุด โดยปรึกษาเสียงในหัว เธอเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนอาหาร กินอาหารที่เป็นด่าง เช่นผักผลไม้ เธอศึกษาแพทย์แผนจีน เชื่อว่า ก้อนมะเร็งเกิดจากการอุดอั้นพลังงาน การอั้นนี้เกิดจากอารมณ์ต่างๆ เช่นมะเร็งไตเกิดจากความกลัวเกิน มะเร็งปอดเกิดจากการจมอยู่กับความเศร้าโศก ต่อมาเธอเลิกทำงาน รักษาด้วยไคโรแพรคติก เพื่อสลายการปิดกั้นพลังงาน แล้วยังฝึกฝนการบำบัดพลังงานด้วยวิธี Matrix energetic นอกจากนี้ซูซานเดิน1ชั่วโมงทุกเช้า เธอรอดมาเกิน 5 ปี อาการต่างๆหายไปหมด เธอรู้สึกแข็งแรงและเป็นสุขมากขึ้น

4 ใช้พืชสมุนไพรและอาหารเสริม

เจนนี่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ4 เมื่ออายุ51 เธอปรึกษาแพทย์ถึงสามแห่ง หมอแห่งที่สามบอกว่ายังไม่ต้องรีบรักษาด้วยคีโม ให้ลองเปลี่ยนอาหาร กินอาหารสด เสริมด้วยผักผลไม้ ภูมิคุ้มกันน่าจะดีขึ้น เธอจึงเลือกทางนี้

เจนนี่เปลี่ยนอาหาร ผักผลไม้สด ถั่วและธัญพืชไม่ขัดสี ดื่มผักปั่นทุกเช้า เลิกกาแฟ ดื่มชาเขียว เลิกน้ำตาล

กินอาหารเสริมวันละ 40 เม็ด เจนนี่ออกกำลังกายทุกวัน นอกจากนี้เธอยังฝึกสมาธิและสื่อสารกับพระเจ้าทุกวัน

7เดือนผ่านไป ไม่พบมะเร็งหลงเหลือ

5 ปลดปล่อยอารมณ์ขุ่นมัวที่ค้างคาในใจ

โจเติบโตในครอบครัวแคทอลิคที่เคร่งครัด แต่เค้าเป็นเกย์ บาปมาก เลยรู้สึกว่าพระเจ้าเกลียดเค้า อยากฆ่าตัวตาย ก็กลัวตกนรกนิรันดร์ อายุ 40 โจเลิกบุหรี่เพื่อสุขภาพ แต่หมอยังได้กลิ่นบุหรี่ เลยขอตรวจ CT scan พบจุดที่ปอดเป็นโหลและต่อมน้ำเหลืองโต โจเป็นมะเร็งปอดพันธุ์ดุ รักษาแล้ว 50% ตายภายในสองปี ถ้าไม่รักษาก็อยู่ได้ 1-2 ปี

โจขอหมอไปเที่ยวก่อนเพราะเพี่อนชวนไปเที่ยวเมืองไทย ขณะเดินอยู่เมืองไทย มีหมอดูคนหนึ่งพยายามหยุดโจ เค้าทักว่า ถึงคุณจะดูแข็งแรงมาก แต่หมอได้บอกคุณว่าคุณป่วยมาก ใกล้ตาย แต่อย่าเชื่อหมอนะ ผมเห็นว่าคุณจะอยู่ได้ถึง 88 ปี

โจทึ่งมากเลยยอมดูหมอ เค้าบอกเรื่องในอดีตได้ถูกต้องทุกเรื่อง จบลงด้วยคำทำนายว่า คุณจะเจอผู้หญิงผมแดงช่วยนำไปสู่ทางที่จะหายจากโรค

กลับจากเที่ยว โจเล่าเรื่องหมอดูให้เพื่อนร่วมงานฟัง เค้าเอานามบัตรของนักพลังงานบำบัดที่มีชื่อเสียงแถวนั้นให้ โจส่งเมลไป เล่าเรื่องหมอดูแล้วถามว่าคุณผมแดงมั้ย เธอตอบ ใช่ค่ะ โจเลยไปรักษา

สัปดาห์ต่อมาโจไปรับคีโม หมอขอทำ CT scan ก่อน ทุกคนแปลกใจ ก้อนมะเร็งเล็กลง โจเลยขอหมอเลื่อนคีโมไปอีก 6 เดือน หมอไม่ยินดีนัก และเตือนว่าถ้าไม่รักษาจะตายภายใน 1 ปี

เค้ายังคงรักษากับนักบำบัดผมแดง และลองตามเพื่อนแนะ เช่น Reiki ทุกอาทิตย์เค้าชอบมาก ยังรับวิตามินซีปริมาณสูง ดื่มชากัมบูชา 

เค้ายังไปบำบัดกับแพทย์ทางเลือกซึ่งแนะว่าการเก็บกดอารมณ์ขุ่นมัวส่งผลทางกายเค้าจึงพยายามปล่อยวาง

6เดือนผ่านไปผล CT scan ก้อนมะเร็งยุบลง โจจึงขอเลื่อนคีโมไปอีก 6 เดือน

หลังจากอ่านหนังสือเรื่องจิตวิญญาณ โจเริ่มฝึกสมาธิ และได้เข้าปฏิบัติธรรมของพุทธหลักสูตร 10 วัน 

ต้องตื่นตี 4:30 และนั่งสมาธิหลายชั่วโมง วันแรกๆมันทรมานมากเค้าเห็นแต่ความโกรธ วันนี้ 6 ความโกรธจางไป โจได้สัมผัสความสงบเย็นสิบวินาที โจเลิกแบกโลก ปล่อยวางความขุ่นเคืองใดๆ อยู่กับปัจจุบัน

โจตรวจ CT scan ทุก6เดือน  ก้อนมะเร็งยังอยู่แต่หดเล็กลงบ้าง ขนาดอยู่คงที่บ้าง เค้ารอดชีวิตมาเกิน 5 ปีแล้ว

6 สร้างความคิดบวกและอารมณ์บวก

ตอนซารานเน่อายุ 29 เป็นมะเร็งเต้านมระยะ 4 ลามไปที่คอและสันหลัง ช่วงที่รอพบหมอมะเร็ง เธอคิดถึงอารมณ์ขันบำบัดที่เคยได้ยินมา เธอเช่าเทปตลกมาดูทั้งคืน เธอตกลงกับลูกสาว 6 ขวบ ทุกเช้าและเย็นจะหาอะไรตลกๆทำ จะได้หัวเราะกัน หลังผ่าตัด เธอต้องไปรับคีโมครั้งแรก เธอตั้งใจจะจัดคีโมปาตี้ขำๆ หลังจากรับคีโมครบ 6 ชม แทบทุกคนร่วมสนุกกับปาตี้ ทั้งหมอ พยาบาล คนไข้ ญาติ แม้กระทั่งดีเทลยา เธอสนุกมาก

การบำบัดของเธอคือ การจัดการกับความผิดหวัง กลัว และขจัดผู้คนแย่ๆออกไปจากชีวิต และเธอเริ่มสื่อสารกับพระเจ้า

เป็นเวลาสามปีที่เธอวนเวียนอยู่กับการผ่าตัด คีโม ฉายแสง และแพทย์ทางเลือก ขณะเธอรอจะผ่าตัดครั้งที่ 4

เธอรับการรักษากับหมอของท่าน ดาไลลามะ โดยใช้สมุนไพร สมุนไพรนี้ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน เธอรอดมาได้เกิน 16 ปีแล้ว

7 เปิดรับความเกื้อกูลทางสังคมจากคนอื่น

แคทเธอรีน อายุ 63 พบมะเร็งปอดระยะ 3B เธอยังไม่อยากตาย เธออยากเลิกทำงาน เพื่อเอาเวลามารักษา แต่เธอตัวคนเดียวและไม่มีเงินเก็บเลย พอเพื่อนๆและคนในชุมชนโดยเฉพาะโบสถ์ที่เธอเคยช่วยระดมทุนทราบเรื่อง ต่างก็ยื่นมือมาช่วยเหลือเธอ มีรายหนึ่งยินดีจ่ายค่าเช่าบ้านให้เธอตลอดไป การได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นทำให้เธอซาบซึ้งถึงความเกื้อกูลของเพื่อนมนุษย์ รู้สึกว่าเป็นที่รัก คำแนะนำต่างๆหลั่งไหลเข้ามา เช่นอาหารเสริม และกินอาหารพืชเป็นหลัก ไม่ขัดสี ใช้พลังงานบำบัด เช่น ฝังเข็มทุกสัปดาห์

เธอได้ข้อมูลว่า การผ่าตัด คีโม ฉายแสง ช่วยได้ระยะหนึ่ง เธอจึงขอเลื่อนหมอ เธอยังได้รักษาโดยวิธี Life Vessel ที่อริโซน่า เพียงแค่ครั้งแรก เธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก เธอต้องบินไปทำที่อริโซน่าทุกเดือน เพื่อนๆและทางโบสถ์ระดมทุนจนเธอได้รับการรักษาต่อเนื่อง

บางคนอาจจะไม่สบายใจในการรับความช่วยเหลือ เธอมองว่า มีคนมากมายที่มีความสุขในการให้ การรับความช่วยเหลือ ก็เป็นการส่งเสริมให้คนได้ให้

18 เดือนผ่านไป เธอรับการผ่าตัดเมื่อเปิดออกมาหมอพบว่า ไม่มีมะเร็งที่ตับ แต่มีเนื้อร้ายห้อยอยู่ข้างตับ แค่ตัดออกก็จบ ศัลยแพทย์บอกเธอว่า ผมไม่รู้ว่าคุณไปทำอะไรมา ทำต่อไปนะครับ

เธอรอดมาเกิน 7 ปีแล้ว

8 กลับไปหารากเหง้าทางจิตวิญญาณของตน

แมทธิวพึ่งจบมหาลัย เป็นมะเร็งสมองพันธุ์ดุที่สุด  ระยะ 4 ก้อนมะเร็งอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดเอาออกไม่ได้ หมอได้แค่ระบายของเหลวเพื่อลดอาการปวดหัว ตามด้วยฉายแสง หลังฉายแสงก้อนโตช้าลง หมอบอกว่ามีโอกาสเพียง 1-2% ที่เค้าจะอยู่ได้เกิน 16 สัปดาห์ และแนะนำให้เค้าย้ายไปอยู่ใกล้ครอบครัว

แมทธิวโกรธหมอมาก  มึงเป็นใคร กูจะเป็นสอง%นั้น มึงคอยดู เค้าย้ายกลับไปหาครอบครัวและใกล้ชิดเพื่อนๆ

กำลังใจและคำแนะนำมากมายหลั่งไหลมา เค้าลองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝังเข็มหรือพลังงานบำบัด หมอให้คีโมแบบเม็ด แมทธิวกินได้สองสัปดาห์ก็โยนลงถังขยะ มันทำให้ลิ้นเค้าไม่รู้รส แม้กินเกลือทั้งกะปุกก็ไม่รู้สึก

ซึ่งเค้ารับไม่ได้ แมทธิวไปบราซิลเพื่อรับการบำบัดฟรีผ่านร่างทรง ชื่อ John of God มีวิญญาณมากกว่า 30 ดวงที่มาช่วยรักษา ตรงตามโรคที่ป่วย เค้าเลือกที่นี่เพราะมันฟรี เค้าคิดว่าคนที่รักษาฟรีน่าจะต้องการให้หายจริงๆ

เค้าถังแตก แต่มีผู้หญิงคนนึงที่รักษาที่นี่แล้วหายจากมะเร็งเต้านม ได้ออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ เธอบอกให้เค้าคืนเธอเมื่อพร้อม

แมทธิวนั่งสมาธิสัปดาห์ละสามวันที่ห้องบำบัด และรับพลังงานจาก John of God สม่ำเสมอ กินสมุนไพรทุกวัน

ใช้เวลาที่เหลือจีบสาวบราซิล 1 ปีผ่านไป ทั้งสองแต่งงานกัน สองปีผ่านไปเค้าทำ MRI พบว่าก้อนเนื้อร้ายไม่มีเหลือ เค้าอยู่เป็นอาสาสมัครที่นั่นต่ออีกสองปี แมทธิวสุขภาพแข็งแรง มีความสุขกับเมียและลูกสอง

9 หนักแน่นว่าต้องอยู่เพื่ออะไร

ดอนน่าผู้ซึ่งมองโลกในแง่ดี อายุ 58 ปี เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะ 3 เธอตั้งใจที่จะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อได้ใกล้ชิดและเห็นการเติบโตของหลานๆ หลังผ่าตัดเธอมีถุงอึอยู่ที่หน้าท้อง หลังจากรับคีโมทุกวันอยู่ 5 วัน เธอต้องเข้า ICU เพราะร่างกายหยุดผลิตเม็ดเลือดขาว หมอบอกว่าให้เธอไปพักที่บ้านก่อน แล้วจะนัดภายหลัง

ผลจากคีโม ดอนน่าผมร่วงทั้งหมด หน้าร่วงโรยเหมือนอายุ 105 เพื่อนของเธอแนะนำว่าเธอควรจะไปดีทอกซ์คีโมออก

ดอนน่าลากสังขารอันอ่อนแอเข้ารับการบำบัด 10 วันที่สถานบำบัด นอกจากจะฝังเข็มทุกวัน ยังได้กินอาหารพืชหลากสีสันเป็นหลักมีปลาเล็กน้อย ไม่มีน้ำตาลและนม ทั้งยังใช้ Rife machine และ magnetic pulser รวมทั้งกิจกรรมกลุ่มบำบัด หลังการบำบัดเธอแข็งแรงขึ้นมาก จากเดินแทบไม่ไหว เธอเดินได้วันละเกือบสองโล

หน้าตาสดใส มีเลือดฝาด ดอนน่าเปลี่ยนอาหารและยังเข้าอบรมการทำอาหารมังสวิรัติ ฝังเข็มทุกวัน เดินออกกำลังกายทุกวัน กินอาหารเสริมเพิ่มภูมิคุ้มกัน และทำสมาธิทุกวัน

สองปีผ่านไปหมอผ่าตัดให้เธอกลับมาขับถ่ายได้ปกติ นับจากวันที่ออกจาก ICU เธออยู่มาเกิน 8 ปีแล้ว และตั้งใจจะอยู่ต่อไปอีก 20 ปี

………………………………………..

[อ่านต่อ...]

02 ตุลาคม 2565

ปวดร้าวรักแร้ตอนออกแรง หลอดเลือดหัวใจตีบสามเส้น ครอบครัวความเห็นแตกแยก

(ภาพวันนี้: นี่คือกระปุกพริก ฮิ..ฮิ)

เรียน คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์

เนื่องจากคุณพ่อ อายุ 63 ปี เพิ่งตรวจพบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบตันทั้ง 3 เส้น (มีอาการปวดร้าวบริเวณรักแร้-แขนซ้าย เวลาเดินมากหรือเหนื่อย มาประมาณ 3 เดือนจึงไปตรวจ)

คุณหมอที่โรงพยาบาลแนะนำให้ทำบอลลูนหรือบายพาสค่ะ ตอนนี้นัดทำบอลลูนไว้แล้ว แต่คุณพ่อไม่อยากทำ และในครอบครัวมีทั้งความเห็นแตกต่างกันในวิธีการรักษาค่ะ

อยากรบกวนขอเรียนถามคุณหมอ ดังนี้ค่ะ

1. อาการระดับนี้สามารถใช้การดูแลตนเองตามแนวทางของคุณหมอสันต์  โดยไม่ทำบอลลูนหรือบายพาสได้หรือไม่คะ
– อาการที่ทราบจากการฉีดสี คือ
  เส้นด้านหน้า เกือบตันถึงตัน
  เส้นขวา ตีบ 80%
  เส้นข้าง ตีบ 80%
(ครอบครัวกังวลว่าถ้าไม่รีบทำบอลลูนจะน็อคไปเลยค่ะ เพราะคุณหมอที่โรงพยาบาลบอกว่าเร่งด่วนค่ะ)

ส่งผลตรวจสวนหัวใจมาให้ 7 ภาพ และยาทั้งหมดที่กินมาด้วยค่ะ

2. ตอนคุณหมอสันต์เป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ ไม่ทราบระดับการตีบขนาดไหนคะ

3. ถ้าใช้การดูแลตัวเองตามแนวทางของคุณหมอสันต์  ใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะเริ่มเห็นผล และจะเห็นผลอย่างไรคะ

ขอบพระคุณค่ะ

…………………………………………………….

ตอบครับ

ผมได้ดูผลตรวจสวนหัวใจของคุณอย่างละเอียดแล้ว สรุปว่าคุณพ่อของคุณ

1.. เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบแบบไม่ด่วน (stable angina)

2.. มีอาการเจ็บหน้าอกระดับ 1/4

3. ผลสวนหัวใจพบว่าโคนหลอดเลือดข้างซ้าย (LM) ปกติ หลอดเลือดโดยรวมดีมาก มีรอยตีบอยู่สามตำแหน่งที่ LAD, CF และ RCA กล้ามเนื้อหัวใจปกติ

เอาละทีนี้มาตอบคำถาม

1.. ถามว่ามันด่วนไหม ต้องทำนั่นทำนี่กันเดี๋ยวนี้ไม่งั้นตายจริงไหม ตอบว่าไม่ด่วนหรอกครับ ชื่อโรคมันก็บอกอยู่แล้ว stable แปลว่าเสถียร ก็คือไม่ด่วน คนไทยวัยนี้ที่เดินถนนอยู่เป็นโรคระดับนี้ผมว่าอย่างน้อยก็ 10-20% เพียงแต่ไม่รู้ตัวเท่านั้นแหละ ถ้าจะจับเอาคนป่วยเป็นโรคระดับนี้ไปทำบอลลูนหมดต้องขยายไปทำถึงประเทศเพื่อนบ้าน เพราะศูนย์หัวใจในเมืองไทยมันไม่พอทำ ฮิ..ฮิ

2.. ถามว่าถ้าไม่ทำอะไรเลยจะแย่ไปกว่านี้ไหม ตอบว่าแย่แน่นอนครับ เพราะการดำเนินตามธรรมชาติของโรคนี้ในกรณีที่ปัจจัยเสี่ยงยังมีอยู่เหมือนเดิมพร้อมหน้าก็คือโรคจะเดินหน้าต่อไป รอยตีบจะตีบมากขึ้น ถึงจุดหนึ่งตุ่มไขมันจะแตกออก เกิดการอุดตันหลอดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute MI) ซึ่ง ณ จุดนั้นมีโอกาสกลับบ้านเก่า 70%

3.. ถามว่าจะรักษาแบบไหนดี ตอบตามงานวิจัย COURAGE ว่าคนแบบคุณพ่อของคุณนี้ตีบสองเส้นบ้างสามเส้นบ้าง เจ็บหน้าอกระดับไม่เกิน 3/4 รักษาแบบรุกล้ำคือบอลลูนบายพาส กับแบบไม่รุกล้ำ คือไม่ทำ ผลระยะยาวในแง่ของการเกิดจุดจบที่เลวร้ายของโรคเท่ากันครับ รวมทั้งอัตราตายก็เท่ากัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นกลุ่มที่ว่าไม่ทำอะไรรุกล้ำในงานวิจัย COURAGE นั้นไม่ได้เปลี่ยนอาหารเลยนะ ถ้าไม่ทำอะไรรุกล้ำและเปลี่ยนอาหารเลิกกินสัตว์มากินแต่พืชด้วย อย่างในงานวิจัยของดีน ออร์นิช ซึ่งพิสูจน์ด้วยการสวนหัวใจซ้ำๆ พบว่าโรคมันถอยกลับได้ รอยตีบมันโล่งขึ้น ดังนั้นผมเดาเอาว่าถ้าไม่ทำอะไรรุกล้ำด้วยและเปลี่ยนอาหารด้วย ผลจะไม่แค่จะเท่ากับหวังพึ่งบอลลูนบายพาสเท่านั้น แต่จะดีกว่าด้วย

อย่างไรก็ตาม การจะเลือกวิธีรักษาข้างไหน ต้องสุดแล้วแต่ใจของตัวผู้ป่วย กองเชียร์ไม่ควรไปสอดแทรก เพราะมีแต่เสียกับเสีย หากแนะนำให้ทำการรักษาแบบรุกล้ำแล้วไปทำจริงแล้วเกิดตายขึ้นมา กองเชียร์ก็รู้สึกผิด ในทางกลับกันหากแนะนำให้รักษาแบบไม่รุกล้ำ เมื่อทำตามแล้วเขาเกิดตายขึ้นมา กองเชียร์ก็รู้สึกผิดอีก ดังนั้นหน้าที่ของกองเชียร์คือสงบเสงี่ยม แผ่เมตตา เอาใจช่วย แต่มอบให้ผู้ป่วยตัดสินใจเอง

4.. ถามว่าถ้าจะใช้วิธีรักษาตัวเองแบบหมอสันต์ว่าจะใช้เวลากี่วัน กี่เดือน กี่ปี จึงจะหาย ตอบว่า หิ หิ คนจะตอบคำถามนี้ได้มีคนเดียวเท่านั้น คือพระพรหม หมอสันต์ตอบไม่ได้หรอกครับเพราะปัจจัยที่เราไม่รู้มันแยะ อย่างผมถามคุณว่าสมมุติตัวคุณกับเพื่อนของคุณซึ่งอายุเท่ากันและต่างก็มีสุขภาพดีทั้งคู่ ใครจะตายก่อนกัน คุณตอบผมได้ไหมละ

ประเด็นของผมก็คือคนเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจทุกคน ไม่ว่าจะมีอาการแล้วหรือยังไม่มีอาการ ได้เข้าไปมีชื่ออยู่ในบัญชีของยมพบาลแล้วว่าเป็นพวกที่จะไม่ได้ตายดี เพราะโรคหัวใจนั้นชื่อที่แท้จริงของเขาคือโรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) แปลว่ามันจะแข็งตรงไหนก็ได้ ถ้าแข็งที่หัวใจก็เป็นโรคหัวใจ ถ้าแข็งที่สมองก็เป็นอัมพาตหรือสมองเสื่อม แข็งที่ไตก็เป็นโรคไตเรื้อรัง แข็งที่หลอดเลือดใหญ่ที่ท้องก็เป็นหลอดเลือดโป่งพองแล้วแตก แขงที่ปลายขาก็อาจจะต้องตัดขา ทุกโรคเป็นโรคที่ทำให้ไม่ได้ตายดีทั้งนั้น ไม่มีใครรู้ว่าใครมีเวลาเหลือเท่าใดก่อนที่การตายแบบไม่ดีจะมาถึง ใครจะหลุดจากการถูกขึ้นบัญชีนี้เมื่อใดก็อยู่ที่การเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของตัวเองว่าทำช้าทำเร็วทำจริงทำไม่จริงแค่ไหน ดังนั้นทุกคนอย่าว่าแต่คุณพ่อของคุณที่มีอาการเจ็บหน้าอกแล้วเลย ถึงท่านผู้อ่านท่านอื่นที่แค่มีปัจจัยเสี่ยงเช่นไขมันในเลือดสูง อ้วน ความดันสูง ก็ต้องรีบเปลี่ยนอาหารที่กินและเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตแล้ว อย่าไปเชื่อคำขู่ที่ว่ารีบไปทำบอลลูนหรือบายพาสซะจะอายุยืนขึ้น นั่นพิสูจน์แล้วด้วยงานวิจัย COURAGE ว่ามันไม่จริง การทำการรักษาแบบรุกล้ำไม่ใช่ปัจจัยลดจุดจบที่เลวร้ายหรือเพิ่มความยืนยาวของชีวิตในโรค stable angina แต่การรีบเปลี่ยนอาหารให้ได้นี่มันเป็นของที่พิสูจน์ได้แล้วว่าทำให้โรคถอยกลับได้จริง

5.. ถามว่าในทางปฏิบัติการจะรักษาตัวเองตามแนวของหมอสันต์จะทำอย่างไรให้สำเร็จ ตอบว่าการจะสำเร็จมันมีสามองค์ประกอบคือ

(1) ความรู้ ซึ่งผมมั่นใจว่าคุณพ่อของคุณมีอยู่แล้ว เหมือนคนที่มีทุกข์อยู่ทุกวันนี้มีใครไม่รู้หลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาบ้าง ทุกคนรู้หมด แต่ความรู้อย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้โรคหายได้

(2) ทักษะ หรือ skill อันนี้แหละที่มันขาดหายไปในคนส่วนใหญ่ คือทักษะด้านอาหาร พูดง่ายๆว่ากินของดีไม่เป็น ยังไม่ต้องพูดถึงทำเลย เอาแค่กินให้เป็นก่อน ผมจึงต้องเปิดแค้มป์สอนไง ถ้าคุณจะให้คุณพ่อมาเข้าแค้มป์ก็มาเข้า RDBY25 ซึ่งจะมีในวันที่ 18-21 มค. 66 ถ้าใจร้อนต้องมาเร็วกว่านั้นก็มาเข้าโปรแกรมฟื้นฟู 7 วัน มาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่า RP จะหนักไปทางกิจกรรมฟื้นฟูร่างกาย การเรียนการสอนจะไม่เข้มข้นเท่ามาเข้าแค้มป์ เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะได้ประโยชน์จากการมาเข้าแค้มป RDBY คือการลดและเลิกยาที่ไม่จำเป็น ซึ่งไปหาหมอที่อื่นมันยากที่เขาจะลดยาให้ เขามีแต่จะเพิ่ม ยิ่งบ่นมากเขายิ่งเพิ่มยา

(3) เจตคติ หรือ attitude หมายความว่าใจเสาะหรือใจสู้ หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือหวังพึ่งตัวเอง อันนี้มันเป็นบุ๊คหลิกของแต่ละคน หมอสันต์คงช่วยอะไรมากไม่ได้ ตัวใครตัวมันละกัน หิ..หิ

6.. ในระหว่างที่จดๆจ้องๆอยู่นี้ อย่างน้อยให้ออกกำลังกายตามกำลังตัวเองทุกวัน เจ็บหน้าอกก็ผ่อน หายเจ็บก็ออกต่อ เพราะงานวิจัยพบว่าคนเป็นโรคนี้หากออกกำลังกายจะคุณภาพชีวิตดีและตายช้า หากไม่ออกกำลังกายจะคุณภาพชีวิตแย่และตายเร็ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

บรรณานุกรม
1. Ornish D, Brown SE, et al. Can lifestyle changes reverse coronary heart disease. The Lancet 1990fb 336: 129-33 1990.
2. Ornish D, et. al. Intensive lifestyle changes for reversal of coronary heart disease. JAMA 1998; 280(23): 2001-2007 1998
3. Esselstyn CB Jr, Ellis SG, Medendorp SV, Crowe TD. A strategy to arrest and reverse coronary artery disease: a 5-year longitudinal study of a single physician’s practice. J Fam Pract 1995;41:560 –568.
4. Esselstyn CB Jr. Updating a 12-year experience with arrest and reversal therapy for coronary heart disease (an overdue requiem for palliative cardiology). Am J Cardiol 1999;84:339 –341.
5. Esselstyn CB Jr. Resolving the coronary artery disease epidemic through plant-based nutrition. Prev Cardiol 2001;4:171–177.
6. Piepoli MF, Davos C, Francis DP, et al. Exercise training meta-analysis of trials in patients with chronic heart failure (ExTraMATCH). BMJ.2004;328:189.
7. Boden WE, O’rourke RA, Teo KK, et al; COURAGE Trial Co-Principal Investigators and Study Coordinators.The evolving pattern of symptomatic coronary artery disease in the United States and Canada: baseline characteristics of the Clinical Outcomes Utilizing Revascularization and Aggressive DruG Evaluation (COURAGE) trial. Am J Cardiol. 2007;99:208-212.
8. Stergiopoulos K1, Boden WE2, Hartigan P3, Möbius-Winkler S4, Hambrecht R5, Hueb W6, Hardison RM7, Abbott JD8, Brown DL. Percutaneous coronary intervention outcomes in patients with stable obstructive coronary artery disease and myocardial ischemia: a collaborative meta-analysis of contemporary randomized clinical trials. JAMA Intern Med. 2014 Feb 1;174(2):232-40. doi: 10.1001/jamainternmed.2013.12855.

[อ่านต่อ...]

01 ตุลาคม 2565

สิ่งที่เรียกว่า "นิมิต" ขณะที่คุณนั่งสมาธิ มันล้วนเป็นความคิดนะ

(ภาพวันนี้: ฟิก หรือมะเดื่อฝรั่ง)

สวัสดีค่ะคุณหมอ

ที่ผ่านมาบางคืนก็ได้รับความเมตตาจากใครซักคน หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยค่ะ.. เมื่อคืนเหมือนมาจากคุณหมอค่ะ ขอบพระคุณมากนะคะ
เมื่อคืนก่อนประมาณ 4-5 ทุ่ม รู้สึกถึงการช่วยเหลือนะคะ แต่เที่ยงคืนครึ่ง เอ็นสะโพก เข่าและหน้าแข้ง เรียกว่า ทั้งขาซ้ายเริ่มถูกบีบใหม่ แรงขึ้นพักนึง ..หายใจ รู้สึกตัว นิ่งๆ พักใหญ่ก็ค่อยๆคลายไป หลับได้ดีกว่าเดิมค่ะ
ตื่นเองตี 4  ตี 4.30 เหมือนถูกบีบขาที่เจ็บให้ลุกขึ้นภาวนา แต่ไม่ลุก เพราะ ตั้งใจจะเริ่มปฏิบัติ ตี 5.30
พอได้เวลาที่ตัวเองตั้งใจไว้ ก็เริ่มนั่ง ยังมีก้อนเกลียวหมุนๆที่ก้นกบขาหนีบซ้าย ระหว่างนั่ง ได้รับ sense ตามที่ต่างๆ เช่น แมงมุมไต่ตามคอ อก หน้า  มดไต่ตามที่ต่างๆ จี๊ดบนหัวบ้าง นั่งได้นิ่งบ้าง ฟุ้งบ้าง สว่างบ้างมืดบ้างค่ะ

เมื่อคืนนอนไม่ได้ห้อยพระค่ะ ถูกปลุกตื่น ลุกดูเวลาตี 1 เกิด sense ต่างๆ ที่หน้า ที่หัวแรงกว่าทุกคืนค่ะ แล้วเหมือนถูกสะกดถูกตรึงด้วยความรู้สึกแหลมๆที่หัวตาซ้าย ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้  อยู่ๆจิตก็เข้าสมาธิ รู้สึกความดำมากๆอยู่ตรงหน้า แล้วค่อยเป็นความมืด รู้สึกการเคลื่อนไหวบางอย่างภายในร่างกาย อยู่ในความมืดนั้นอยู่นานเริ่มขยับได้ นั่งทบทวนว่าคืออะไร? นอน.. ตี 3 ตื่นเอง ตี 4 ตื่นเอง ไม่มีความรู้สึกถูกให้ตื่นทำสมาธิเหมือนเคย นั่งสมาธิไม่สงบแต่ไม่รู้สึกเกลียวบิดปั่นก้นกบแล้ว ไม่รู้สึกกดบิดที่สะโพกขาที่เจ็บ
รู้สึกเพลียจากนอนหลับๆตื่นๆ แต่โล่ง เหมือนไม่มีอาจารย์กลุ่มนั้นอยู่แล้วค่ะ

ควรจะไปขอขมากลุ่มอาจารย์ที่ … มั้ยคะ? (มีสอนทางการ 2 คน และผู้ช่วยสอน อีก 2-3 คนค่ะ แต่ไม่ได้ประจำค่ะ ท่านเดินทางสอนวนไปทั่วประเทศ) ที่ผ่านมาไม่ได้ไป เพราะกลัวค่ะ คิดว่าครูบาอาจารย์ควรมีเมตตาสูง.. เหมือนคุณหมอที่ให้อภัยคนผิดพลาดได้เสมอ.. แต่พลังต่างๆที่ได้รับจากอาจารย์กลุ่มนั้นมันไม่รู้สึกถึงความเมตตาค่ะ เลยกลัวค่ะ

Thank you very much for being my guiding star.
Thank you for showing me what love is.
ขอบพระคุณนะคะที่สอนให้รู้จักความรัก..รักผู้อื่น ที่ผ่านมามีแต่รักตัวเอง

……………………………………………

ตอบครับ

1.. โห..คุณนี่เป็นตัวอย่างของคนที่จมอยู่ในโลกของความคิดแบบเด้งออกไม่ได้เลยนะ เดี๋ยวมีคนโน้นมาช่วย เดี๋ยวมีผีมาบีบขา เดี๋ยวมีอาจารย์กลุ่มนั้นมาจี้จิก ทั้งหมดนี้มันเป็นความคิดของคุณทั้งนั้นนะ ผมไม่ได้ว่าอะไรที่คนเราย่อมจะมีความคิดป๊อบขึ้นมาในหัวแบบซีรี่ส์เกาหลี แต่ประเด็นคือคุณไปเป็นตุเป็นตะกับความคิด เรียกว่าคุณไปโต๋เต๋หรือ wandering around อยู่ในความคิด ก่อนที่คุณจะถลำลึกไปมากกว่านี้ ขอให้คุณจับหลักการสังเกตความคิดให้ได้ว่าการสังเกตความคิดนั้นเราแค่ grab and go คือเราฉวยเอาแต่หัวเรื่องแล้วรีบถอยออกมาอยู่กับลมหายใจ หรืออยู่กับอะไรก็ได้ที่เกิดขึ้นจริงที่เดี๋ยวนี้ซึ่งคุณกำลังจดจ่ออยู่ จะอยู่กับอาการบนร่างกายเช่นแมงมุมไต่หน้าอกที่คุณเล่าก็ได้ แต่อย่าอยู่ในความคิด

2.. ถามว่าควรจะไปขอขมาอาจารย์กลุ่มโน้นกลุ่มนี้ที่เขาโกรธเราดีไหม ตอบว่าไม่ต้อง การขอโทษ หรือให้อภัย ทำที่ในใจของคุณก็พอเพราะความรู้สึกว่าเป็นโทษมันเกิดขึ้นที่ใจของคุณ ขอโทษในใจแล้วจบ ไม่ต้องเดินทางไปกราบกรานต่อหน้า นั่นมันเป็นการสมยอมเล่นละครให้เรื่องราวในความคิดของคุณเป็นตุเป็นตะมากยิ่งขึ้น อย่าไปทำอะไรเพื่อสร้างความสมจริงให้กับความคิดที่คุณกุขึ้นมา มันจะยิ่งทำให้ความคิดของคุณใหญ่ขึ้นๆและครอบคุณได้นานยิ่งขึ้น ขณะที่ความรู้ตัวของคุณก็จะถูกบีบให้เล็กลงๆ ผมแนะนำให้คุณทำแค่สองอย่างก็พอ คือผ่อนคลาย กับสังเกตอะไรก็ตามที่โผล่มาที่เดี๋ยวนี้ หากความคิดโผล่มาก็สังเกตความคิด ย้ำว่าแค่ grab and go ไม่ใช่เข้าไปผสมโรงคิดต่อ

3.. สิ่งที่เรียกว่า “นิมิต” ขณะที่คุณนั่งสมาธิ มันล้วนเป็นความคิดนะ คุณแค่สังเกต อย่าเข้าไปเล่นด้วย เพราะมัวแต่ไปเล่นด้วยกับความคิดอยู่นั่นแหละแล้วเมื่อไหร่คุณจะสงัดจากความคิดเสียที คุณไม่ใช่คนแรกที่ชอบเขียนมาเล่าว่าเวลานั่งสมาธิแล้วผมไปหา.. บ้า ผมนอนอยู่ที่บ้านมวกเหล็กผมจะลอยไปหาใครที่โน่นที่นี่ได้อย่างไร คุณแค่ใช้สามัญสำนึกคิดดูมันก็ไม่ใช่แล้ว มันเป็นความคิดที่โผล่ขึ้นมาในใจคุณทั้งนั้น ให้คุณแค่ตั้งสติ สังเกต ยอมรับว่ามันโผล่มา ปล่อยให้มันผ่านเข้ามา แล้วปล่อยให้มันผ่านออกไป อย่าไปเล่นด้วย หรืออย่าไปพยายามกำกับความคิด เพราะการกำกับความคิดก็คือการเข้าไปเล่นด้วยหรือ thinking a thought นั่นแหละ เป้าหมายในชั้นนี้คือแค่ให้คุณสงัดจากความคิด แค่มีความสงบเย็นให้ได้ก่อน อย่าหลงทาง ถ้าคุณไม่หลงทาง เมื่อหมดความคิดแล้ว ต่อจากนั้นปัญญาญาณซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความฟุ้งสร้านเวิ่นเว้อ จะค่อยๆโผล่ขึ้นมานำทางพาคุณไปต่อเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]