ช่วงนี้เป็นช่วงทำแค้มป์ลดน้ำหนักซึ่งต่อเนื่องถึงเจ็ดวัน แค้มป์นี้มีโปรแกรมให้สมาชิกต้องออกมาใช้ชีวิต out door ทุกวัน เมื่อวานนี้ก็เพิ่งไปลุยเก็บขยะในคลองมวกเหล็กกันมา
วันนี้ผมอยู่ที่หลังบ้านนกฮูก ความจริงผมตั้งชื่อบ้านนี้ว่า Solitude Hut แต่คนงานเรียกกันว่า "บ้านนกฮูก" ไม่ยอมเรียก Solitude Hut โอเค. นกฮูก ก็นกฮูก วันนี้สมาชิกแค้มป์ลดน้ำหนักมาเดินป่าที่หลังบ้านนี้ หลังเดินป่าแล้วสมาชิกส่วนใหญ่แม้จะออกอาการปวดเมื่อยและเคลื่อนไหวช้าลงแต่ก็ยังขุดดินปลูกต้นไม้กลางแดดอย่างขยันขันแข็งได้อยู่
พื้นที่ป่าหลังบ้านนี้เป็นที่สาธารณะ จะว่าเป็นป่าสงวนก็ไม่ใช่ จะเป็นวนอุทยานก็ไม่ใช่ เรียกง่ายๆว่าเป็นป่าของรัฐบาลก็แล้วกัน เดิมมันเป็นป่าเบญจพรรณผลัดใบแบบที่ภาษาป่าไม้เรียกว่า deciduous มีไม้ใหญ่อย่างสักและยางนาเป็นต้น แต่ว่าคนรุ่นก่อนได้ตัดไม้ใหญ่เสียเหี้ยนเตียน เพราะทั้งยางนาทั้งสักต่างก็เป็นไม้ยอดนิยมในการก่อสร้าง ต่อมาทางป่าไม้เขาเข้มงวดห้ามตัดต้นไม้ ป่าที่หมดสภาพแล้วนี้มันก็เริ่มฟื้นของมันเอง ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นป่ากระถินยักษ์ กระถินยักษ์นี้มีข้อเสียตรงที่มันไม่ได้เขียวตลอดปีเพราะมันเป็นไม้เนื้ออ่อนรากตื้น แม้มันแพร่เร็วและทนแล้ง แต่ปีไหนที่แห้งมากๆมันก็แห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลติดไฟง่ายเพราะเนื้อไม้มันฟ่าม เมื่อบวกกับชาวบ้านและคนงานชอบทำมาหากินด้วยการจุดไฟไล่ล่าสัตว์ป่าก็เลยเกิดเป็นไฟป่าซ้ำซาก แผนของผมคือผมจะใช้เวลาว่างปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นสภาพป่าหลังบ้านนกฮูกนี้แห่งนี้ให้มันกลายเป็นป่าผลัดใบที่ค่อนข้างจะเขียวตลอดปี โดยขีดวงไว้ตามกำลังของคนแก่คนเดียวจะปลูกไหว คือขีดวงไว้ว่าจะปลูกแค่เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ จังหวะไหนดวงดีมีคนมาช่วยอย่างวันนี้ก็จะมีผลเร่งให้แผนนี้สำเร็จเร็วขึ้น เมื่อพื้นที่นี้ทำสำเร็จแล้วหากผมยังไม่ตายก็ค่อยมาดูกันว่าจะปลูกต่อไหวไหม ต้นไม้ที่ผมเลือกมาปลูกมีชนิดเดียวที่เห็นต้นกล้าอยู่ตรงหน้านี่แหละ คือยางนา ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dipterocarpus alatus Roxb.
ความชอบใจในต้นยางนาของผมเริ่มตั้งแต่วัยหนุ่ม สมัยเป็นนักเรียนมัธยมต้น เวลาปิดเทอมผมกับเพื่อนจะชอบตามครูซึ่งเป็นพรานป่าเข้าป่า ได้เห็นต้นยางนาซึ่งทั้งสูงทั้งใหญ่สุดพรรณา ใต้ต้นยางนานั้นเต็มไปด้วยเห็ดสีเหลือง(เห็ดชะโงก) เห็ดสีเทา(เห็ดเผาะ) เรียกว่าหากเราตั้งแค้มป์พักแรมใต้ต้นยางนาริมห้วยก็แทบไม่ต้องไปหาอาหารที่ไหนไกลเลย ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2511 ผมไปสอบเข้าเรียนวิทยาล้ยเกษตรแม่โจ้ที่เชียงใหม่ การสอบต้องวิ่งจากเชียงใหม่ไปแม่โจ้ซึ่งสมัยนั้นเป็นระยะทางประมาณ 18 กม. ผมไปพักบ้านเพื่อนที่อ.สารภี แล้วทุกเช้าก็ออกซ้อมวิ่งไปตามถนนสารภี-เชียงใหม่ซึ่งสองข้างทางมีต้นยางนาใหญ่มากระดับสองคนโอบเรียงรายสวยงามและร่มเย็น ยามลมพัดลูกของมันจะหมุนติ้วไปตามลมได้ไกล ดูไม่เบื่อ นึกขอบคุณว่าใครหนอช่างกรุณาปลูกยางนาเป็นแถวเป็นแนวไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม
พอตัวเองเกษียณอายุแล้วมีเวลาไปเที่ยวตามป่าตามวนอุทยานต่างๆก็พบความจริงที่น่าใจหายว่าต้นยางนาขนาดใหญ่ในป่าดงดิบก็ดี ป่าผลัดใบก็ดี ได้ถูกทำลายลงไปเกือบหมดเกลี้ยง ป่าผลัดใบเกือบทั้งหมดถูกแทนที่โดยกระถินยักษ์และไผ่ เป็นไปได้ทีเดียวว่าลูกหลานรุ่นต่อไปจะไม่รู้จักต้นไม้ยักษ์อย่างยางนาเสียแล้ว จึงมีความคิดอยากจะปลูกป่ายางนาไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักหรือเอาไว้ให้ชาวบ้านได้เก็บเห็ดกินก็ยังดี ความคิดนั้นมาเป็นจริงก็เมื่อต่อมาอยู่ดีๆก็มีคนมาเสนอขายบ้านนกฮูกซึ่งอยู่ชายป่าเสื่อมสภาพนี้ให้ ผมก็เลยซื้อไว้เป็นฐานที่มั่นในการปลูกป่าครั้งนี้ เป็นเหตุให้ผมมานั่งอาบเหงื่ออยู่นี่ไง
พูดถึงยางนา มันเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ที่เขียวตลอดปีไม่ผลัดใบเพราะรากมันหยั่งลึกระดับบ่อน้ำบาดาลนั่นเชียว ลำต้นมันสูงตั้งตรงแหนวขึ้นไปบนท้องฟ้าถึง 40-50 เมตร เปลือกมันก็มีลวดลายคลาสสิกดูไม่เบื่อ เวลามันออกดอกสีชมพู ดอกจะออกรวมกันเป็นช่อสั้นๆ ตามง่ามใบตอนปลาย มีกลีบแดงยาวสองกลีบ เวลาร่วงสู่พื้นจะหมุนติ้วเหมือนใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ กล่าวโดยสรุปมันเป็นไม้ป่าที่โรแมนติกเข้ากับนิสัยของหมอสันต์มาก
วิธีปลูกของผมไม่ได้ใช้วิธีตามหลักวิชาวนศาสตร์ดอก คือไม่มีการทำเคลียริ่ง ไม่มีการทำวีดดิ้ง ใช้วิธีปลูกแบบยัดเข้าไปในท่ามกลางกระถินยักษ์นั่นแหละ หน้าแล้งอาศัยร่มเงาของกระถินยักษ์ช่วยพรางแดดให้ และอาศัยแรงงานของผมเองรดน้ำให้กล้ายางนาพอมีชีวิตรอด หน้าฝนก็ต้องอาศัยแรงงานของผมอีกนั่นแหละคอยตัดกิ่งกระถินยักษ์ให้แดดส่องถึงกล้ายางนา พากเพียรทำอย่างนี้ไปทุกปี จนกว่ายางนาจะสูงพ้นกระถินยักษ์ขึ้นไป นี่เป็นแผนที่ต้องอาศัยแรงงานตัวเองเข้าทุ่ม จึงต้องเจียมสังขาร ไม่อาจโลภมากปลูกทีละเยอะๆได้ ได้แต่ปลูกไปดูแลไป ทีละต้น ทีละต้น จนกว่าจะเต็มพื้นที่ที่ขีดไว้
ป่าไม้ต้นไม้มันเป็นสิ่งเดียวกับชีวิตของเรา เพราะเราเกิดมาก็ได้รับโอนหุ้นบริษัทที่เราถือหุ้นคนละครึ่งร่วมกับป่าไม้มาจากท้องแม่แล้ว ผมหมายความว่าปอดของเรานั้นออกแบบมาให้เวอร์คเฉพาะเมื่อมีต้นไม้ ถ้าไม่มีต้นไม้ มีปอดก็เหมือนไม่มี เราหายใจเอาของเสียออก ต้นไม้หายใจเอาของเสียของเราเข้าไป ต้นไม้หายใจเอาของดีออกมา เราหายใจเอาของดีจากต้นไม้เข้ามาเลี้ยงชีวิตเรา ของดีนั้นก็คือออกซิเจน ซึ่งหากขาดมันแค่ห้านาทีชีวิตเราก็อยู่ไม่ได้แล้ว แต่เรากำลังทำลายหุ้นส่วนของเราไปในอัตราเร็วที่น่าใจหาย องค์การ WWF ได้แสดงตัวเลขว่าใน 25 ปีที่ผ่านมา (1990-2015) โลกได้เสียพื้นที่ป่าไป 129 ล้านเฮกตาร์ซึ่งเท่ากับทวีปอาฟริกาทั้งทวีป โอ้ โฮะ นี่หมายความว่าอย่างไรกันพี่น้อง แค่ 25 ปีเสียไปหนึ่งทวีปใหญ่ อีกไม่ถึงร้อยปีก็หมดเกลี้ยงพอดีใช่ไหมครับ ถ้าหมอพอมีลูก โลกที่ไม่มีต้นไม้คือโลกอนาคตที่หลานของผมจะต้องอยู่อาศัย (หิ หิ แต่ว่าโดยความสัตย์จริงผมไม่ได้วอรี่เรื่องหลานของของผมดอก เพราะจนป่านนี้หมอพอยังไม่ได้แต่งงานเลย)
กลับมาคุยเรื่องป่าต่อดีกว่า ป่าหลังบ้านนกฮูกนี้แม้จะเป็นป่าผลัดใบที่ค่อนข้างโกร๋นแล้ว แต่ก็ยังมีคุณค่าของความเป็นป่าอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนกลางคืน ผมชอบขึ้นไปเดินป่าข้างหลังนี้ ผมแผ้วทางเดินในป่ายาว 1 กม. เป็นวงกลับมาจบที่เดิมไว้เรี่ยมเรียบร้อยแล้ว ตอนกลางคืนเวลาพระจันทร์ขึ้นเป็นเวลาสุดยอดที่ผมชอบซุ่มนั่งเงียบฟังซิมโฟนี่ที่บรรเลงโดยคณะจิ้งหรีดเรไรและแมลงไม่รู้กี่พันกี่หมื่นชีวิตในป่าแห่งนี้ ปกติผมชอบฟังเพลงคลาสสิก แต่เพลงที่บรรเลงโดยแมลงในป่ามีความคลาสสิกกว่า มันมีความแน่นอนแม่นยำเหมือนกันทุกวันจนเขียนออกมาเป็นสูจิบัตรที่รับผู้ชมวันละรอบแล้วเล่นเหมือนเดิมทุกวันได้ แบบว่า
18.15 น. สนทนาลาก่อนกลางวัน โดยคณะนกจ๊อกแจ๊กจอแจ
18.30 น. เพลงโหมโรงโดยคณะไม้สูง นำโดยจั๊กจั่น
18.35 น. คอนแชร์โต้ระหว่างจิ้งหรีดเป็นดนตรีนำ คลอด้วยวงซิมโฟนี่สาระพัดแมลง
18.48 น. เพลงร้องสด "สวัสดีราตรี" โดยนกฮูก
19.00 น. (พิเศษเฉพาะครื้มฝน) โอเปร่าเสียงบาริโทน โดยคณะกบเขียดและอึ่งอ่าง
ปล. ขออภัยงดแสดงเสียงน้ำไหลริน เพราะตอนนี้เป็นหน้าแล้งและเราแสดงกันบนภูเขา
การบรรเลงมีตลอดคืน ยิ่งผู้ฟังทำตัวเงียบ นักดนตรีก็ยิ่งบรรเลงแบบมันส์ในอารมณ์ ซิมโฟนี่ในป่าเป็นความบันเทิงที่สงบเย็นอย่างแท้จริง ฟังแล้วเข้าถึงง่ายๆและซึ้งมากๆเพราะมันเป็นรากของเรา ก็เรากำเนิดมาจากป่านี่เองนะครับอย่าลืมเสียเล่า ใหม่ๆเข้าป่าผมก็เผลอตัวว่ารากของผมอยู่ในเมืองมีตัวตนอันยิ่งใหญ่คับฟ้าของตัวเองติดเข้ามาด้วย แต่งูเงี้ยว เขี้ยวขอ ตะขาบ ต่อ แตน และหนามแหลม มันสนว่าใครยิ่งใหญ่มาจากไหนเสียเมื่อไหร่ละครับ ดังนั้นชีวิตในป่าเป็นชีวิตกลับคืนสู่รากเหง้าของเราแบบไร้อัตตา ใหญ่แค่ไหนมาอยู่ในป่าแล้วเท่ากันหมด สำหรับคนมีลูกควรอย่างยิ่งที่จะหาโอกาสพาลูกๆไปเดินป่าดูและฟังความประสานสอดคล้องกัน พึ่งพากันและกัน สลับกับห้ำหั่นกันอยู่ในทีของสาระพัดชีวิตในป่า ป่าเป็นรากเหง้าของคน ให้เด็กได้รู้จักรากเหง้าของตัวเองแล้วเขาจะได้ไม่หลงทิศในการใช้ชีวิต หากไม่รู้จักป่า คนก็ไม่รู้จักรากเหง้าของตัวเอง ก็จะไปต่างอะไรกับคนตาบอดที่ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาจากไหนและจะเดินไปไหนต่อใช่ไหมครับ ดังนั้นการพาลูกมาเดินป่าหัดฟังเสียงจิ้งหรีดเรไรสำคัญกว่าการพาลูกไปดิสนีย์แลนด์ เดินป่าที่ไหนก็ได้ในเมืองไทยนี้เป็นเขตร้อนมีป่ามากมีวนอุทยานที่มีบ้านพักในป่าเยอะแยะ ไม่รู้จะไปที่ไหนมาเดินป่าหลังบ้านนกฮูกก็ได้ แต่ต้องเสียเงินค่าเช่าบ้านทั้งหลังคืนละ 2,000 บาทนะ (ปล. ใครจะมาจริงให้โทร.จองบ้านที่หมอสมวงศ์ 0819016013)
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]
สมาชิกแค้มป์ลดน้ำหนักกำลังลุยเก็บขยะคลองมวกเหล็ก |
วันนี้ผมอยู่ที่หลังบ้านนกฮูก ความจริงผมตั้งชื่อบ้านนี้ว่า Solitude Hut แต่คนงานเรียกกันว่า "บ้านนกฮูก" ไม่ยอมเรียก Solitude Hut โอเค. นกฮูก ก็นกฮูก วันนี้สมาชิกแค้มป์ลดน้ำหนักมาเดินป่าที่หลังบ้านนี้ หลังเดินป่าแล้วสมาชิกส่วนใหญ่แม้จะออกอาการปวดเมื่อยและเคลื่อนไหวช้าลงแต่ก็ยังขุดดินปลูกต้นไม้กลางแดดอย่างขยันขันแข็งได้อยู่
พื้นที่ป่าหลังบ้านนี้เป็นที่สาธารณะ จะว่าเป็นป่าสงวนก็ไม่ใช่ จะเป็นวนอุทยานก็ไม่ใช่ เรียกง่ายๆว่าเป็นป่าของรัฐบาลก็แล้วกัน เดิมมันเป็นป่าเบญจพรรณผลัดใบแบบที่ภาษาป่าไม้เรียกว่า deciduous มีไม้ใหญ่อย่างสักและยางนาเป็นต้น แต่ว่าคนรุ่นก่อนได้ตัดไม้ใหญ่เสียเหี้ยนเตียน เพราะทั้งยางนาทั้งสักต่างก็เป็นไม้ยอดนิยมในการก่อสร้าง ต่อมาทางป่าไม้เขาเข้มงวดห้ามตัดต้นไม้ ป่าที่หมดสภาพแล้วนี้มันก็เริ่มฟื้นของมันเอง ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นป่ากระถินยักษ์ กระถินยักษ์นี้มีข้อเสียตรงที่มันไม่ได้เขียวตลอดปีเพราะมันเป็นไม้เนื้ออ่อนรากตื้น แม้มันแพร่เร็วและทนแล้ง แต่ปีไหนที่แห้งมากๆมันก็แห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลติดไฟง่ายเพราะเนื้อไม้มันฟ่าม เมื่อบวกกับชาวบ้านและคนงานชอบทำมาหากินด้วยการจุดไฟไล่ล่าสัตว์ป่าก็เลยเกิดเป็นไฟป่าซ้ำซาก แผนของผมคือผมจะใช้เวลาว่างปลูกต้นไม้เพื่อฟื้นสภาพป่าหลังบ้านนกฮูกนี้แห่งนี้ให้มันกลายเป็นป่าผลัดใบที่ค่อนข้างจะเขียวตลอดปี โดยขีดวงไว้ตามกำลังของคนแก่คนเดียวจะปลูกไหว คือขีดวงไว้ว่าจะปลูกแค่เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ จังหวะไหนดวงดีมีคนมาช่วยอย่างวันนี้ก็จะมีผลเร่งให้แผนนี้สำเร็จเร็วขึ้น เมื่อพื้นที่นี้ทำสำเร็จแล้วหากผมยังไม่ตายก็ค่อยมาดูกันว่าจะปลูกต่อไหวไหม ต้นไม้ที่ผมเลือกมาปลูกมีชนิดเดียวที่เห็นต้นกล้าอยู่ตรงหน้านี่แหละ คือยางนา ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dipterocarpus alatus Roxb.
ยางนา ในความจริง |
ความชอบใจในต้นยางนาของผมเริ่มตั้งแต่วัยหนุ่ม สมัยเป็นนักเรียนมัธยมต้น เวลาปิดเทอมผมกับเพื่อนจะชอบตามครูซึ่งเป็นพรานป่าเข้าป่า ได้เห็นต้นยางนาซึ่งทั้งสูงทั้งใหญ่สุดพรรณา ใต้ต้นยางนานั้นเต็มไปด้วยเห็ดสีเหลือง(เห็ดชะโงก) เห็ดสีเทา(เห็ดเผาะ) เรียกว่าหากเราตั้งแค้มป์พักแรมใต้ต้นยางนาริมห้วยก็แทบไม่ต้องไปหาอาหารที่ไหนไกลเลย ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2511 ผมไปสอบเข้าเรียนวิทยาล้ยเกษตรแม่โจ้ที่เชียงใหม่ การสอบต้องวิ่งจากเชียงใหม่ไปแม่โจ้ซึ่งสมัยนั้นเป็นระยะทางประมาณ 18 กม. ผมไปพักบ้านเพื่อนที่อ.สารภี แล้วทุกเช้าก็ออกซ้อมวิ่งไปตามถนนสารภี-เชียงใหม่ซึ่งสองข้างทางมีต้นยางนาใหญ่มากระดับสองคนโอบเรียงรายสวยงามและร่มเย็น ยามลมพัดลูกของมันจะหมุนติ้วไปตามลมได้ไกล ดูไม่เบื่อ นึกขอบคุณว่าใครหนอช่างกรุณาปลูกยางนาเป็นแถวเป็นแนวไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม
พอตัวเองเกษียณอายุแล้วมีเวลาไปเที่ยวตามป่าตามวนอุทยานต่างๆก็พบความจริงที่น่าใจหายว่าต้นยางนาขนาดใหญ่ในป่าดงดิบก็ดี ป่าผลัดใบก็ดี ได้ถูกทำลายลงไปเกือบหมดเกลี้ยง ป่าผลัดใบเกือบทั้งหมดถูกแทนที่โดยกระถินยักษ์และไผ่ เป็นไปได้ทีเดียวว่าลูกหลานรุ่นต่อไปจะไม่รู้จักต้นไม้ยักษ์อย่างยางนาเสียแล้ว จึงมีความคิดอยากจะปลูกป่ายางนาไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักหรือเอาไว้ให้ชาวบ้านได้เก็บเห็ดกินก็ยังดี ความคิดนั้นมาเป็นจริงก็เมื่อต่อมาอยู่ดีๆก็มีคนมาเสนอขายบ้านนกฮูกซึ่งอยู่ชายป่าเสื่อมสภาพนี้ให้ ผมก็เลยซื้อไว้เป็นฐานที่มั่นในการปลูกป่าครั้งนี้ เป็นเหตุให้ผมมานั่งอาบเหงื่ออยู่นี่ไง
ยางนา ในความฝัน |
พูดถึงยางนา มันเป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ที่เขียวตลอดปีไม่ผลัดใบเพราะรากมันหยั่งลึกระดับบ่อน้ำบาดาลนั่นเชียว ลำต้นมันสูงตั้งตรงแหนวขึ้นไปบนท้องฟ้าถึง 40-50 เมตร เปลือกมันก็มีลวดลายคลาสสิกดูไม่เบื่อ เวลามันออกดอกสีชมพู ดอกจะออกรวมกันเป็นช่อสั้นๆ ตามง่ามใบตอนปลาย มีกลีบแดงยาวสองกลีบ เวลาร่วงสู่พื้นจะหมุนติ้วเหมือนใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ กล่าวโดยสรุปมันเป็นไม้ป่าที่โรแมนติกเข้ากับนิสัยของหมอสันต์มาก
วิธีปลูกของผมไม่ได้ใช้วิธีตามหลักวิชาวนศาสตร์ดอก คือไม่มีการทำเคลียริ่ง ไม่มีการทำวีดดิ้ง ใช้วิธีปลูกแบบยัดเข้าไปในท่ามกลางกระถินยักษ์นั่นแหละ หน้าแล้งอาศัยร่มเงาของกระถินยักษ์ช่วยพรางแดดให้ และอาศัยแรงงานของผมเองรดน้ำให้กล้ายางนาพอมีชีวิตรอด หน้าฝนก็ต้องอาศัยแรงงานของผมอีกนั่นแหละคอยตัดกิ่งกระถินยักษ์ให้แดดส่องถึงกล้ายางนา พากเพียรทำอย่างนี้ไปทุกปี จนกว่ายางนาจะสูงพ้นกระถินยักษ์ขึ้นไป นี่เป็นแผนที่ต้องอาศัยแรงงานตัวเองเข้าทุ่ม จึงต้องเจียมสังขาร ไม่อาจโลภมากปลูกทีละเยอะๆได้ ได้แต่ปลูกไปดูแลไป ทีละต้น ทีละต้น จนกว่าจะเต็มพื้นที่ที่ขีดไว้
ป่าไม้ต้นไม้มันเป็นสิ่งเดียวกับชีวิตของเรา เพราะเราเกิดมาก็ได้รับโอนหุ้นบริษัทที่เราถือหุ้นคนละครึ่งร่วมกับป่าไม้มาจากท้องแม่แล้ว ผมหมายความว่าปอดของเรานั้นออกแบบมาให้เวอร์คเฉพาะเมื่อมีต้นไม้ ถ้าไม่มีต้นไม้ มีปอดก็เหมือนไม่มี เราหายใจเอาของเสียออก ต้นไม้หายใจเอาของเสียของเราเข้าไป ต้นไม้หายใจเอาของดีออกมา เราหายใจเอาของดีจากต้นไม้เข้ามาเลี้ยงชีวิตเรา ของดีนั้นก็คือออกซิเจน ซึ่งหากขาดมันแค่ห้านาทีชีวิตเราก็อยู่ไม่ได้แล้ว แต่เรากำลังทำลายหุ้นส่วนของเราไปในอัตราเร็วที่น่าใจหาย องค์การ WWF ได้แสดงตัวเลขว่าใน 25 ปีที่ผ่านมา (1990-2015) โลกได้เสียพื้นที่ป่าไป 129 ล้านเฮกตาร์ซึ่งเท่ากับทวีปอาฟริกาทั้งทวีป โอ้ โฮะ นี่หมายความว่าอย่างไรกันพี่น้อง แค่ 25 ปีเสียไปหนึ่งทวีปใหญ่ อีกไม่ถึงร้อยปีก็หมดเกลี้ยงพอดีใช่ไหมครับ ถ้าหมอพอมีลูก โลกที่ไม่มีต้นไม้คือโลกอนาคตที่หลานของผมจะต้องอยู่อาศัย (หิ หิ แต่ว่าโดยความสัตย์จริงผมไม่ได้วอรี่เรื่องหลานของของผมดอก เพราะจนป่านนี้หมอพอยังไม่ได้แต่งงานเลย)
กลับมาคุยเรื่องป่าต่อดีกว่า ป่าหลังบ้านนกฮูกนี้แม้จะเป็นป่าผลัดใบที่ค่อนข้างโกร๋นแล้ว แต่ก็ยังมีคุณค่าของความเป็นป่าอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนกลางคืน ผมชอบขึ้นไปเดินป่าข้างหลังนี้ ผมแผ้วทางเดินในป่ายาว 1 กม. เป็นวงกลับมาจบที่เดิมไว้เรี่ยมเรียบร้อยแล้ว ตอนกลางคืนเวลาพระจันทร์ขึ้นเป็นเวลาสุดยอดที่ผมชอบซุ่มนั่งเงียบฟังซิมโฟนี่ที่บรรเลงโดยคณะจิ้งหรีดเรไรและแมลงไม่รู้กี่พันกี่หมื่นชีวิตในป่าแห่งนี้ ปกติผมชอบฟังเพลงคลาสสิก แต่เพลงที่บรรเลงโดยแมลงในป่ามีความคลาสสิกกว่า มันมีความแน่นอนแม่นยำเหมือนกันทุกวันจนเขียนออกมาเป็นสูจิบัตรที่รับผู้ชมวันละรอบแล้วเล่นเหมือนเดิมทุกวันได้ แบบว่า
18.15 น. สนทนาลาก่อนกลางวัน โดยคณะนกจ๊อกแจ๊กจอแจ
18.30 น. เพลงโหมโรงโดยคณะไม้สูง นำโดยจั๊กจั่น
18.35 น. คอนแชร์โต้ระหว่างจิ้งหรีดเป็นดนตรีนำ คลอด้วยวงซิมโฟนี่สาระพัดแมลง
18.48 น. เพลงร้องสด "สวัสดีราตรี" โดยนกฮูก
19.00 น. (พิเศษเฉพาะครื้มฝน) โอเปร่าเสียงบาริโทน โดยคณะกบเขียดและอึ่งอ่าง
ปล. ขออภัยงดแสดงเสียงน้ำไหลริน เพราะตอนนี้เป็นหน้าแล้งและเราแสดงกันบนภูเขา
การบรรเลงมีตลอดคืน ยิ่งผู้ฟังทำตัวเงียบ นักดนตรีก็ยิ่งบรรเลงแบบมันส์ในอารมณ์ ซิมโฟนี่ในป่าเป็นความบันเทิงที่สงบเย็นอย่างแท้จริง ฟังแล้วเข้าถึงง่ายๆและซึ้งมากๆเพราะมันเป็นรากของเรา ก็เรากำเนิดมาจากป่านี่เองนะครับอย่าลืมเสียเล่า ใหม่ๆเข้าป่าผมก็เผลอตัวว่ารากของผมอยู่ในเมืองมีตัวตนอันยิ่งใหญ่คับฟ้าของตัวเองติดเข้ามาด้วย แต่งูเงี้ยว เขี้ยวขอ ตะขาบ ต่อ แตน และหนามแหลม มันสนว่าใครยิ่งใหญ่มาจากไหนเสียเมื่อไหร่ละครับ ดังนั้นชีวิตในป่าเป็นชีวิตกลับคืนสู่รากเหง้าของเราแบบไร้อัตตา ใหญ่แค่ไหนมาอยู่ในป่าแล้วเท่ากันหมด สำหรับคนมีลูกควรอย่างยิ่งที่จะหาโอกาสพาลูกๆไปเดินป่าดูและฟังความประสานสอดคล้องกัน พึ่งพากันและกัน สลับกับห้ำหั่นกันอยู่ในทีของสาระพัดชีวิตในป่า ป่าเป็นรากเหง้าของคน ให้เด็กได้รู้จักรากเหง้าของตัวเองแล้วเขาจะได้ไม่หลงทิศในการใช้ชีวิต หากไม่รู้จักป่า คนก็ไม่รู้จักรากเหง้าของตัวเอง ก็จะไปต่างอะไรกับคนตาบอดที่ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาจากไหนและจะเดินไปไหนต่อใช่ไหมครับ ดังนั้นการพาลูกมาเดินป่าหัดฟังเสียงจิ้งหรีดเรไรสำคัญกว่าการพาลูกไปดิสนีย์แลนด์ เดินป่าที่ไหนก็ได้ในเมืองไทยนี้เป็นเขตร้อนมีป่ามากมีวนอุทยานที่มีบ้านพักในป่าเยอะแยะ ไม่รู้จะไปที่ไหนมาเดินป่าหลังบ้านนกฮูกก็ได้ แต่ต้องเสียเงินค่าเช่าบ้านทั้งหลังคืนละ 2,000 บาทนะ (ปล. ใครจะมาจริงให้โทร.จองบ้านที่หมอสมวงศ์ 0819016013)
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์