ภรรยากระซิบข้างหูว่าแฮปปี้เบิร์ทเดย์ จึงได้รู้ว่าวันนี้ผมมีอายุผ่าน 65 ขึ้นไปสู่ปีที่ 66 แล้ว ใจนั้นลืมอดีตไกลๆไปเกือบหมดแล้ว ที่ยังเก็บไว้ก็แต่ความจำช่วงประมาณ 10 ปีสุดท้าย เมื่อตัวเองเริ่มป่วยเป็นหัวใจขาดเลือด เจ็บหน้าอก ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ลงพุง และ เครียด แล้วลงมือรักษาตัวเองด้วยการปรับการใช้ชีวิต หันมาทานอาหารที่มีพืช ผัก ผลไม้ ถั่ว นัท เป็นหลัก ออกกำลังกาย จัดการความเครียดด้วยวิธีต่างๆ ทั้งสมาธิ ไทชิ โยคะ แล้วพบว่าชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดี ตัวชี้วัดสุขภาพต่างๆดีขึ้น ความดันเลือดสูงหายไป (จากเดิมวัดได้ 168/98 เมื่อวานไปสอนนักเรียนเรื่องวิธีวัดความดัน ให้นักเรียนทดลองวัดกับตัวครู ได้ 105/70) ไขมันในเลือดสูงหายไป พุงยุบ เลิกกินยาได้หมด และได้เริ่มสอนคนอื่นให้ทำตาม จนนำมาสู่การเปิดแค้มป์สุขภาพเวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์สอนให้คนดูแลตัวเองตั้งแต่เมื่อสองปีที่ผ่านมา
เมื่อประสบความสำเร็จด้วยตัวชี้วัดเชิงคณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความดัน ไขมัน น้ำหนัก เส้นรอบพุง ความถี่ของอาการเจ็บหน้าอก ชีวิตก็ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งก็ตามมาด้วยการ “ปล่อยตัว” ให้ไหลไปกับความขี้เกียจแบบเป็นธรรมชาติ พุงก็ค่อยๆกลับมา การเกงเริ่มคับ เวลาที่เคยใช้ออกกำลังกายทุกวันวันละเป็นชั่วโมงก็หดหายไปเหลือแทบจะสัปดาห์ละชั่วโมง ผมรู้ตัวว่ากำลังถอยกลับไปสู่จุดเดิมอีกครั้งอย่างช้าๆ เหมือนกบที่กำลังถูกต้มในน้ำที่ค่อยๆอุ่นขึ้นๆซึ่งแน่นอนว่ามันจะร้อนจนตัวมันเองสุกเข้าสักวัน โดยที่ตัวผมเองในฐานะกบนั้นก็รู้เห็นเป็นใจอยู่ด้วย
ผ่านวัย 65 ปีมาแล้ว กลัวตายไหม ไม่กลัวหรอก เพราะผมรู้ด้วยความคิดอ่าน (intellect) และด้วยปัญญาญาณ (intuition) ของผมเอง ว่าชีวิตนี้ประกอบไปด้วยสามส่วน คือร่างกาย ความคิด และความตื่นหรือความรู้ตัว เมื่อผมตายไป ผมรู้ว่าความรู้ตัวหรือความตื่นนี้จะยังคงอยู่ ในรูปของจิตสำนึกรับรู้ที่ไร้ขอบเขตและเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลนี้โดยไม่แยกเราเขา ซึ่งสภาวะเช่นนั้นผมเคยประสบเมื่ออยู่ในสมาธิ ซึ่งมันก็สุขสบายดีไม่เห็นจะมีปัญหา ส่วนความคิดนั้น ผมวางมันลงไปได้ 99% ตั้งแต่เดี๋ยวนี้แล้ว เมื่อผมตาย ไม่มีความคิดผมก็จะไม่ร่ำร้องหา แบบที่ฝรั่งเขาว่า Who cares? มีแต่ร่างกายนี้เท่านั้นที่ผมเห็นว่ามีคุณค่าใช้ประโยชน์ได้ แต่ก็รู้ว่าวันหนึ่งมันก็ต้องไป เอาแค่ว่าวันเวลาที่เหลืออยู่ทำอย่างไรผมจะช่วยให้ร่างกายนี้อยู่ช่วยผมได้เต็มประสิทธิภาพนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ก็พอแล้ว เหมือนกับคนได้รถประจำตำแหน่งมา ถึงไม่ใช่รถของตัวเองแต่ก็ต้องดูแลอย่างดี เพราะตัวเองเป็นคนขับขี่ใช้งาน ถ้าดูแลรถไม่ดี เดี๋ยวเสีย เดี๋ยวเสีย คนที่เดือดร้อนก็คือคนที่ใช้งาน แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังปล่อยตัวไม่ดูแลรถคันนี้เสียแล้ว หิ หิ
น้ำหนักเท่าไหร่ เมื่อวานชั่งแล้ว.. 65 กก. ยังไม่ขึ้นมากหรอก
พุงเท่าไหร่.. ยังไม่แย่มากหรอก ยังใส่เบอร์ 32 ได้ แต่ว่าแบบคับๆ อย่าลืมว่าอดีตเคย 34 นะ
แล้วดูแขนที่เคยแข็งแรงนี่สิ ยวบยาบไปหมดแล้วเห็นไหม
ดูไม่ดีนั่นเรื่องหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนแก่อายุ 66 แต่เรื่องใหญ่คือการไม่ออกกำลังกายต่อไปมันจะนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อลีบ ลื่นตกหกล้ม และเจ็บป่วย ชีวิตในบั้นปลายที่เหลืออยู่ที่ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นก็จะไม่ได้ใช้ เพราะร่างกายจะไม่เป็นใจ ที่ว่าในใจตอนนี้ไม่มีสำนึกความเป็นบุคคลเหลืออยู่แล้วเหลือแต่เมตตาธรรมนั้น คงไม่จริงมั้ง ถ้าจริงทำไมไม่ตั้งใจดูแลตัวเองให้มีแรงช่วยเหลือคนไข้ไปได้นานๆโดยไม่ล้มหมอนนอนแซ่วให้คนอื่นต้องเป็นฝ่ายเดือดร้อนมาดูแลตัวเอง
ฮี่ ฮี่ อดีตผ่านไปแล้ว อย่าไปลำเลิกเบิกประจานเลย เรามีชีวิตอยู่ที่เดี๋ยวนี้นะ
โอเค. ลุกไปยกดัมเบลที่ห้องน้ำเดี๋ยวนี้เลย
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]
หมอสันต์เมื่อ 66 |
เมื่อประสบความสำเร็จด้วยตัวชี้วัดเชิงคณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความดัน ไขมัน น้ำหนัก เส้นรอบพุง ความถี่ของอาการเจ็บหน้าอก ชีวิตก็ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งก็ตามมาด้วยการ “ปล่อยตัว” ให้ไหลไปกับความขี้เกียจแบบเป็นธรรมชาติ พุงก็ค่อยๆกลับมา การเกงเริ่มคับ เวลาที่เคยใช้ออกกำลังกายทุกวันวันละเป็นชั่วโมงก็หดหายไปเหลือแทบจะสัปดาห์ละชั่วโมง ผมรู้ตัวว่ากำลังถอยกลับไปสู่จุดเดิมอีกครั้งอย่างช้าๆ เหมือนกบที่กำลังถูกต้มในน้ำที่ค่อยๆอุ่นขึ้นๆซึ่งแน่นอนว่ามันจะร้อนจนตัวมันเองสุกเข้าสักวัน โดยที่ตัวผมเองในฐานะกบนั้นก็รู้เห็นเป็นใจอยู่ด้วย
ผ่านวัย 65 ปีมาแล้ว กลัวตายไหม ไม่กลัวหรอก เพราะผมรู้ด้วยความคิดอ่าน (intellect) และด้วยปัญญาญาณ (intuition) ของผมเอง ว่าชีวิตนี้ประกอบไปด้วยสามส่วน คือร่างกาย ความคิด และความตื่นหรือความรู้ตัว เมื่อผมตายไป ผมรู้ว่าความรู้ตัวหรือความตื่นนี้จะยังคงอยู่ ในรูปของจิตสำนึกรับรู้ที่ไร้ขอบเขตและเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลนี้โดยไม่แยกเราเขา ซึ่งสภาวะเช่นนั้นผมเคยประสบเมื่ออยู่ในสมาธิ ซึ่งมันก็สุขสบายดีไม่เห็นจะมีปัญหา ส่วนความคิดนั้น ผมวางมันลงไปได้ 99% ตั้งแต่เดี๋ยวนี้แล้ว เมื่อผมตาย ไม่มีความคิดผมก็จะไม่ร่ำร้องหา แบบที่ฝรั่งเขาว่า Who cares? มีแต่ร่างกายนี้เท่านั้นที่ผมเห็นว่ามีคุณค่าใช้ประโยชน์ได้ แต่ก็รู้ว่าวันหนึ่งมันก็ต้องไป เอาแค่ว่าวันเวลาที่เหลืออยู่ทำอย่างไรผมจะช่วยให้ร่างกายนี้อยู่ช่วยผมได้เต็มประสิทธิภาพนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ก็พอแล้ว เหมือนกับคนได้รถประจำตำแหน่งมา ถึงไม่ใช่รถของตัวเองแต่ก็ต้องดูแลอย่างดี เพราะตัวเองเป็นคนขับขี่ใช้งาน ถ้าดูแลรถไม่ดี เดี๋ยวเสีย เดี๋ยวเสีย คนที่เดือดร้อนก็คือคนที่ใช้งาน แต่ว่าตอนนี้ผมกำลังปล่อยตัวไม่ดูแลรถคันนี้เสียแล้ว หิ หิ
น้ำหนักเท่าไหร่ เมื่อวานชั่งแล้ว.. 65 กก. ยังไม่ขึ้นมากหรอก
พุงเท่าไหร่.. ยังไม่แย่มากหรอก ยังใส่เบอร์ 32 ได้ แต่ว่าแบบคับๆ อย่าลืมว่าอดีตเคย 34 นะ
แล้วดูแขนที่เคยแข็งแรงนี่สิ ยวบยาบไปหมดแล้วเห็นไหม
ดูไม่ดีนั่นเรื่องหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนแก่อายุ 66 แต่เรื่องใหญ่คือการไม่ออกกำลังกายต่อไปมันจะนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อลีบ ลื่นตกหกล้ม และเจ็บป่วย ชีวิตในบั้นปลายที่เหลืออยู่ที่ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นก็จะไม่ได้ใช้ เพราะร่างกายจะไม่เป็นใจ ที่ว่าในใจตอนนี้ไม่มีสำนึกความเป็นบุคคลเหลืออยู่แล้วเหลือแต่เมตตาธรรมนั้น คงไม่จริงมั้ง ถ้าจริงทำไมไม่ตั้งใจดูแลตัวเองให้มีแรงช่วยเหลือคนไข้ไปได้นานๆโดยไม่ล้มหมอนนอนแซ่วให้คนอื่นต้องเป็นฝ่ายเดือดร้อนมาดูแลตัวเอง
ฮี่ ฮี่ อดีตผ่านไปแล้ว อย่าไปลำเลิกเบิกประจานเลย เรามีชีวิตอยู่ที่เดี๋ยวนี้นะ
โอเค. ลุกไปยกดัมเบลที่ห้องน้ำเดี๋ยวนี้เลย