29 พฤศจิกายน 2553

เป็นเก้าท์ กินโปรตีนนิวตริไลท์ของแอมเวย์ได้หรือไม่

ดิฉันเป็นโรคเบาหวานและเก๊านะคะ แต่อยากรับประทานอาหารเสริมโปรตีนสกัดจากถั่วเหลืองและนม(ไม่มีไขมันและโคเลสเตอรอล) คุนหมอที่รักษาบอกว่าโรคเก๊าห้ามรับประทานตะกูลถั่ว คือถั่วทุกชนิดน่ะค่ะ อยากทราบว่าอาหารเสริมตัวนี้จะรับประทานได้รึป่าวคะ เป็นอาหารเสริญของแอมเวชุดนิวทริไลท์ นะคะ

ป้าจิ๋ว

..............................

ตอบครับ

ความเชื่อดั้งเดิมคือคนเป็นเก้าท์อย่ากินอาหารที่มีพิวรีนมาก ได้แก่ อาหารทะเล ผักที่มีพิวรีนสูง และโปรตีนจากสัตว์เพราะเป็นต้นกำเนิดของสารพิวรีน

แต่หลักฐานงานวิจัยที่ดีที่สุดในเรื่องนี้ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์และติดตามดูการกินอาหารของคน47,150 คน นาน 12 ปี ซึ่งในจำนวนนี้ต่อมา 730 คนป่วยเป็นเก้าท์ งานวิจัยนี้ได้ผลสรุปที่แตกต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิมหลายอย่าง ดังนี้

(1) การกินเนื้อสัตว์มากๆโดยเฉพาะเนื้อวัว หมู แกะ ทำให้เป็นเก้าท์มากขึ้นจริง
(2) การกินอาหารทะเลมาก ไม่ว่าเป็นอาหารทะเลชนิดใด (ปูปลากุ้งหอย) ทำให้เป็นเก้าท์มากขึ้นจริง
(3) การดื่มนมทำให้เป็นเก้าท์น้อยลง ซึ่งสอดคล้องกับอีกหลายงานวิจัยที่ทำก่อนหน้านี้
(4) การกินพืชผักที่มีสารพิวรีนสูง เช่นถั่วต่างๆ ไม่ได้ทำให้เป็นเก้าท์มากขึ้น
(5) มองในภาพรวม การกินอาหารโปรตีนก็ไม่ได้ทำให้เป็นเก้าท์มากขึ้น
(6) การมีรูปร่างอ้วนไม่ได้ทำให้เป็นเก้าท์มากขึ้นกว่าคนรูปร่างปกติ
(7) การดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้ทำให้เป็นเก้าท์มากขึ้นกว่าคนไม่ดื่ม

ดังนั้น ถ้าคุณเป็นเก้าท์ อยากจะกินโปรตีนนิวตริไลท์ ซึ่งเป็นโปรตีนที่มาจากถั่วเหลืองและนม ก็ย่อมกินได้ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้เป็นโรคเก้าท์รุนแรงขึ้นแต่อย่างใด

เพียงแต่ผมสงสัยนิดเดียว ว่าทำไมคุณไม่เอาเงินจำนวนที่เท่ากันนี้ไปซื้อนมถั่วเหลืองหรือนมวัวพร่องไขมันกิน ซึ่งได้โปรตีนที่เท่ากัน แต่ประหยัดเงินกว่ากันแยะ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Choi HK, Atkinson K, Karlson EW, Willett W, Curhan G. Purine-Rich Foods, Dairy and Protein Intake, and the Risk of Gout in Men. N Engl J Med 2004; 350:1093-1103
2. Ghadirian P, Shatenstein B, Verdy M, Hamet P. The influence of dairy products on plasma uric acid in women. Eur J Epidemiol 1995;11:275-281
[อ่านต่อ...]

ภาวะแท้งคุกคาม (Threatened abortion)

ตอนนี้ อันท้องได้ 3 เดือน กับ 3วันแล้ว ฝากท้องเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่มีปัญหาอยู่ที่ว่า ตั้งแต่เริ่มท้องมา จะมีอาการปวดท้องคล้ายประจำเดือนจะมา และก็ปวดมากขึ้น แล้วยังอาการน้ำใสๆไหลออกจากเต้านม ไปหาหมอโรงพยาบาลไม่เป็นไร แล้ววันนี้ มีเลือดออกจากช่องคลอด แถมยังมีน้ำใสๆซึมออกมาตลอดเวลาจากช่องคลอด ไปหาหมอมาแล้ว ท่านบอกว่า เป็นภาวะเสี่ยงแท้ง แล้วให้กลับบ้าน พอเราถามกลับมีวิธีป้องกันมั๊ย ท่านบอกว่าถ้ามีเลือดออกมาก และมีน้ำใสๆไหลออกมาอีก ค่อยมา คือตัวอันกลัวว่า พอถึงเวลานั้นจะเป็นอันตรายต่อเด็กมากมั๊ย แล้วพอจะมียาฉีดหรือกินป้อกันหรือเปล่า ขอรบกวนถามคุณหมอเพียงเท่านี้ล่ะค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

อัน
..........................

ตอบครับ

ที่คุณเป็นอยู่เขาเรียกว่าภาวะแท้งคุกคาม (threatended abortion)

1. ภาวะแท้งคุกคามคืออะไร ตอบว่า คือภาวะที่เราตั้งครรภ์แล้วมีเลือดออกมาทางช่องคลอด โดยที่ปากมดลูกก็ยังปิดดีอยู่ เมื่อเจาะเลือดดูระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (HCG) ก็ยังสูงอยู่ และเมื่อตรวจอุลตราซาวด์ก็พบว่าครรภ์ก็ตั้งอยู่ในมดลูกและยังเติบโตดีอยู่

2. ภาวะแท้งคุกคามจะเป็นอันตรายต่อเด็กไหม ตอบว่าการมีเลือดออกไม่ได้ทำให้เด็กผิดปกติหรือพิการแต่กำเนิดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นคนละประเด็นกับการที่เด็กมีความผิดปกติทางพันธุกรรมมาก่อนนะ เพราะโดยธรรมชาติ การที่เด็กมีพันธุกรรมผิดปกติแต่กำเนิดมาก่อน ตัวเด็กมักจะเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะแท้งขึ้น

3. ภาวะแท้งคุกคาม มียาฉีดหรือกินป้องกันได้หรือเปล่า ตอบว่าไม่มีครับ ภาวะแท้งคุกคามไม่มีวิธีรักษาเฉพาะ การรักษาที่ทำกันจนเป็นประเพณีนิยมปัจจุบันนี้มี 3 อย่าง คือ (1) เพิ่มการดื่มน้ำ (2) ให้นอนพักอยู่บนเตียงตลอดเวลา (3) ให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเสริม แต่การวิจัยเปรียบเทียบที่ควบคุมอย่างดีพบว่าการรักษาทั้งสามอย่างนี้ไม่สามารถลดอัตราการแท้งบุตรได้ พูดง่ายๆว่าวิธีรักษาทั้งสามอย่างนี้ไม่ได้ผล

4. ผมแนะนำให้คุณปล่อยวางอย่าไปวิตกจริตมาก ปล่อยให้ธรรมชาติพาเราไป ถ้าธรรมชาติเห็นว่าการตั้งครรภ์ครั้งนี้มีผลดีมากว่าผลเสีย เช่นเด็กมีความพิการแต่กำเนิดรุนแรง ธรรมชาติก็จะยุติการตั้งครรภ์นั้นเสียเอง ดังนั้นช่างมันเสียเถอะ คิดเสียว่าจะออกหัวหรือออกก้อย ก็เป็นผลดีกับเราทั้งนั้น อีกอย่างหนึ่งระยะเวลาที่ต้องลุ้นหนักก็มีเพียงสามเดือนแรกเท่านั้นแหละ เพราะ 80% ของการแท้งจะเกิดในช่วงนี้ ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็จะค่อยยังชั่วแล้ว

5. สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไป การป้องกันภาวะแท้งบุตร ควรทราบถึงสาเหตุของการแท้งบุตร ซึ่งเท่าที่มีหลักฐานวิจัยยืนยัน มีดังนี้
5.1 ทารกมีพันธุกรรมผิดปกติ
5.2 แม่มีอายุมากเกินไป คือถ้าอายุเกิน 35 ปี โอกาสแท้ง 15% แต่ถ้าอายุ 40 ปีขึ้นไปมีโอกาสแท้งมากกว่า 30%
5.3 แม่มีมดลูกผิดปกติแต่กำเนิด
5.4 เป็นผลจากการขูดมดลูก (Asherman syndrome)
5.5 แม่ขาดฮอร์โมนบำรุงครรภ์เพราะโพรงรังไข่ไม่ทำงาน (corpus luteal insufficiency)
5.6 แม่ติดเชื้อ เช่นหัดเยอรมัน ซีเอ็มวีไวรัส เป็นต้น
5.7 แม่มีโรคเรื้อรัง เช่นโรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ โรคเบาหวาน โรคไต โรคไทรอยด์ เป็นต้น
5.8 แม่สูบบุหรี่
5.9 แม่ดื่มสุรา
5.10 แม่ดื่มกาแฟมาก
5.11 แม่มีความเครียด
5.12 พ่อมีอายุมากเกินไป


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

25 พฤศจิกายน 2553

ง่วงนอนตอนกลางวันมาก วูบ สับปะหงกในเวลาทำงาน

ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มาทำงาน โดยในระหว่างวัน จะมีอาการ ง่วงนอน มาก โดย จะมีอาการวูบ หรือ สัปงก ในเวลาทำงาน ทั้งที่ ไม่ได้อดนอน โดยก่อนหน้านี้ นอนดึก ยังไม่มีความรู้สึก นี้ จึงขอเรียนปรึกษา ว่าการเกิดอาการประเภทนี้ ผมควรจัดการอย่างไรหรือควรหาหมอ คลีนิคไหน เพื่อ ช่วยกำจัด อาการประเภทนี้ (เวลานอน 23.00 - 06.00 ประมาณวันละ 7 ชั่วโมงเป็นอย่าง น้อย อายุผม 32 ปี คิดว่า น่าจะนอนเพียงพอครับ )

..................................

ตอบครับ

ถ้าผมได้ทราบอายุ น้ำหนักตัว ส่วนสูง อาชีพและลักษณะงานที่คุณทำ (ต้องทำงานเป็นกะหรือเปล่า) ก็จะช่วยการวินิจฉัยได้มากนะครับ

กรณีที่ไม่มีข้อมูล ผมก็ต้องใช้วิธีเดาเอา ว่าปัญหาของคุณอาจเกิดจาก

1. เวลานอนไม่พอ แต่ละคนต้องการเวลานอนไม่เท่ากัน บางคน 6 ชั่วโมงพอ บางคน 8 ชั่วโมงถึงจะพอ ยิ่งไปกว่านั้น ในคนคนเดียวกัน แต่ต่างเวลาต่างสภาพการณ์ ก็ต้องการเวลานอนไม่เท่ากัน คนที่เคยอยู่วัยหนุ่มฟิตๆ พอเข้าวัยกลางคนความฟิตน้อยลงจะต้องการเวลานอนมากขึ้น คนที่อดนอนมาหลายวัน จะขาดการนอนสะสม ต้องนอนชดใช้ย้อนหลังให้มากกว่าเวลาที่อดนอนไป คนไม่เคยออกกำลังกาย พอมาออกกำลังกาย ก็ต้องนอนมากขึ้น การจะรู้ว่าเวลานอนเราพอหรือไม่มีวิธีเดียว คือจัดเวลานอนเพิ่มให้ชัวร์ๆว่าได้นอนเต็มที่วันละ 8 ชั่วโมงอย่างน้อยสักเจ็ดวัน ถ้าอาการง่วงยังไม่หายไป แสดงว่าง่วงจากสาเหตุอื่น ไม่ใช้เพราะเวลานอนไม่พอ

2. ลักษณะการทำงานเป็นกะ จะทำให้มีอาการง่วงนอนทั้งๆที่ได้จัดเวลานอนพอแล้ว เพราะการนอนกลางวันมักชดเชยการนอนกลางคืนตามธรรมชาติไม่ได้

3. เป็นโรคนอนไม่หลับ (insomnia) นอนตาค้าง ฟุ้งสร้าน สติแตก พลิกไปพลิกมา

4. เป็นโรคหยุดหายใจระหว่างหลับ (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) หรือเรียกแบบชาวบ้านว่าโรคนอนกรน ตามนิยามของวิทยาลัยอายุรศาสตร์การนอนหลับอเมริกา (AASM) โรคนี้คือภาวะที่ทางเดินลมหายใจส่วนบนยุบตัวลงระหว่างนอนหลับ ทำให้หยุดหายใจไปเลย (apnea) นานครั้งละ 10 วินาทีขึ้นไปแล้วสะดุ้งตื่น (arousal) ไม่ต่ำกว่าชั่วโมงละ 5 ครั้ง หรือมี “ดัชนีการรบกวนการหายใจ (Respiratory Distress Index, RDI)” ซึ่งเป็นตัวเลขบอกว่าคนคนนั้นต้องสะดุ้งตื่นเพราะการรบกวนการหายใจแบบใดๆ (respiratory event–related arousals, RERA) มากกว่าชั่วโมงละ 15 ครั้งขึ้นไป ทั้งหมดนี้ต้องร่วมกับการมีอาการง่วงตอนกลางวัน โดยที่ไม่อาจบรรเทาได้โดยการใช้ยาใดๆช่วย คนเป็นโรคหยุดหายใจระหว่างหลับนี้มักเกิดหยุดหายใจไปเลยคืนละหลายครั้งหรือเป็นร้อยๆครั้ง ทำให้มีเสียงกรนดังในจังหวะทางเดินลมหายใจเปิดและลมที่ค้างอยู่ในปอดถูกพ่นออกมา
คนเป็นโรคนี้จะมีอาการง่วงนอนตอนกลางวัน (EDS, excessive daytime sleepiness) มึนงงตั้งแต่เช้า ความจำเสื่อม สมองไม่แล่น ไม่ว่องไว บุคลิกอารมณ์เปลี่ยนแปลง ซึมเศร้า กังวล หย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นโรคกรดไหลย้อน โรคนี้มักเป็นกับคนอายุ 40-65 ปี อ้วน ลงพุง คอใหญ่ วัดรอบคอได้เกิน 17 นิ้ว หรือมีโครงสร้างของกระดูกกระโหลกศีรษะและหน้าเอื้อให้เป็น เช่นกรามเล็ก เพดานปากสูง กระดูกแบ่งครึ่งจมูกคด มีโพลิพในจมูก หรือมีกายวิภาคของทางเดินลมหายใจส่วนบนผิดปกติ เช่น เป็นไฮโปไทรอยด์ ลิ้นใหญ่ ถ้าเป็นหญิงก็มักหมดประจำเดือนแล้ว กรรมพันธ์ สิ่งแวดล้อมเช่น สูบบุหรี่ แอลกอฮอล์ ยานอนหลับ OSA มักเกิดในท่านอนหงาย

แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี ผมแนะนำให้ทำเป็นขั้นตอนดังนี้

1. ประเมินตัวเองว่าคุณเป็นโรคนอนไม่หลับ (insomnia) หรือเปล่า ถ้านอนตาค้างคิดโน่นคิดนี่ นั่นแหละคือเป็นโรคนอนไม่หลับ ถ้าเป็นก็ต้องแก้ปัญหาการนอนไม่หลับด้วยวิธี (1) ออกกำลังกายให้ได้ระดับมาตรฐานทุกวัน (2) เข้านอนให้ตรงเวลาเดิมทุกวัน (3) อย่าทำอะไรตื่นเต้นก่อนนอน แม้กระทั่งการดูทีวีหรืออ่านหนังสือตื่นเต้น (4) ทำบรรยากาศห้องนอนให้เงียบและมืด (5) ฝึกสติสมาธิไม่ให้ฟุ้งสร้าน (6) ถ้ายังไม่หายก็ไปหาหมอที่คลินิกจิตเวชเพื่อรักษาโรคนอนไม่หลับ

2. ถ้าไม่ได้เป็นโรคนอนไม่หลับ ให้ทดลองจัดเวลานอนเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 8 ชม.ติดต่อกันอย่างน้อย 7 วัน แล้วดูว่าอาการหายไปไหม

3. ถ้าอาการยังไม่หาย ให้ไปที่คลินิกอายุรกรรมโรคปอด หรือคลินิกนอนกรน ที่มีแพทย์เชี่ยวชาญเรื่องโรคนอนกรน (OSA) ให้เตรียมใจไว้เลยว่าหมออาจให้เข้าไปนอนในห้อง sleep lab เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นโรคนี้จริงหรือไม่ ถ้าเป็นก็ต้องทดลองใช้มาตรการทั่วไปดู คือ การลดน้ำหนัก (ถ้าอ้วน) การเลิกบุหรี่ เลิกแอลกอฮอล์ เลิกยากล่อมประสาท-ยานอนหลับ และหลีกเลี่ยงท่านอนหงาย ถ้ายังไม่หายก็ต้องเลือกวิธีรักษาวิธีใดวิธีหนึ่งในสองวิธี คือ (1) ใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น เครื่องเพื่มความดันลมหายใจแบบต่อเนื่องผ่านจมูก (nasal CPAP) หรือ (2) การผ่าตัด ซึ่งมีหลายวิธี ส่วนใหญ่มีความสำเร็จ เพียงประมาณ 50% ของผู้เข้าผ่าตัดเท่านั้น (ความสำเร็จนี้วัดจากการลดจำนวนครั้งของการสะดุ้งตื่นเพราะการรบกวนการหายใจลงได้อย่างน้อย 50%) และมีเหมือนกันประมาณ 31% ที่ทำผ่าตัดชนิดนี้แล้วอาการกลับแย่ลง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. American Academy of Sleep Medicine. International Classification of Sleep Disorders: Diagnostic and Coding Manual, Second Edition. Westchester, Ill: American Academy of Sleep Medicine; 2005.
2. Young T, Palta M, Dempsey J, Skatrud J, Weber S, Badr S. The occurrence of sleep-disordered breathing among middle-aged adults. N Engl J Med. Apr 1993;328(17):1230-5.
3. Tonelli de Oliveira AC, Martinez D, Vasconcelos LF, et al. Diagnosis of obstructive sleep apnea syndrome and its outcomes with home portable monitoring. Chest. Feb 2009;135(2):330-6.
4. Antic NA, Buchan C, Esterman A, et al. A randomized controlled trial of nurse-led care for symptomatic moderate-severe obstructive sleep apnea. Am J Respir Crit Care Med. Mar 15 2009;179(6):501-8.
[อ่านต่อ...]

23 พฤศจิกายน 2553

ไฮโปไทรอยด์ในหญิงตั้งครรภ์

เรียน นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

ดิฉันอยากทราบข้อมูลเรื่อง Hypothyriod ที่เกิดกับหญิงตั้งครรภ์
การเกิดภาวะนี้มีผลอย่างไรกับหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์บ้าง
เช่น กลไกของรกลอกตัวก่อนกำหนด และ
การเกิดกลไกการคลอดก่อนกำหนดที่เกิดในหญิงตั้งครรภ์ที่ป่วยด้วยโรคนี้

ขอแสดงความนับถือ

อารีรักษ์

.......................................

ตอบครับ

ไฮโปไทรอยด์ในหญิงตั้งครรภ์มีได้สองแบบ คือ เป็นป่วยไฮโปไทรอยด์อยู่ก่อนแล้ว แล้วค่อยมาตั้งครรภ์ กับแบบที่ต่อมไทรอยด์ทำงานปกติมาก่อน พอมาตั้งครรภ์แล้วจึงมาเป็นไฮโปไทรอยด์ แบบหลังนี้อาจเกิดจาก (1) การตั้งครรภ์ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (autoantibody) มากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งไปทำลายต่อมไทรอยด์ (2) การมีเอสโตรเจนมีปริมาณมากในขณะตั้งครรภ์ ไปรบกวนตัวรับ (receptor) ฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้คนตั้งครรภ์เป็นไฮโปไทรอยด์ง่าย

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ภาวะไฮโปไทรอยด์ในหญิงตั้งครรภ์มีประเด็นสำคัญดังนี้

1. ถ้าไม่ได้รับการรักษา จะทำให้เกิดการแท้งบุตรง่าย คลอดก่อนกำหนดได้ง่ายๆ บุตรที่คลอดออกมาปัญญาอ่อน หรือมีความพิการแต่กำเนิดอื่นๆได้ง่าย กลไกการเกิดสิ่งเหล่านี้ รวมถึงกลไกการเกิดรกลอกตัวก่อนกำหนดในภาวะไฮโปไทรอยด์ ยังไม่มีใครรู้ว่ามันมีกลไกการเกิดขั้นละเอียดอย่างไร

2. ปัญหาจะเกิดกับแม่และลูกเฉพาะกรณีที่ไม่ได้รับการรักษาเท่านั้น แต่หากได้รับการรักษา ปัญหาก็จะไม่มี ตัวอย่างเช่นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารนิวอิงแลนด์เจอนาลเมื่อปี 1999 พบว่าถ้าแม่ที่เป็นไฮโปไทรอยด์ไม่ได้รับการรักษา บุตรมีโอกาสปัญญาอ่อนมากกว่าบุตรของแม่ที่ปกติถึง 4 เท่า แต่ถ้าแม่ได้รับการรักษา สติปัญญาของบุตรที่เกิดจะเท่ากับบุตรของแม่ปกติทั่วไป ดังนั้นการรักษาไฮโปไทรอยด์ในหญิงตั้งครรภ์จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

3. การตรวจพบโรคเสียตั้งแต่แรกเริ่มตั้งครรภ์มีความสำคัญ เพราะในระยะ 12 สปด.แรกของครรภ์ ทารกต่อมไทรอยด์ของทารกยังผลิตฮอร์โมนใช้เองไม่ได้ ต้องอาศัยฮอร์โมนจากแม่อย่างเดียว ถ้าแม่เป็นไฮโปไทรอยด์และหมอพลาดโอกาสทองที่จะให้ฮอร์โมนทดแทนเสียตั้งแต่ระยะนี้ ก็เปิดช่องว่างให้เกิดปัญหาแท้งและเกิดความผิดปกติกับทารกได้ง่าย

4. การขยันติดตามเจาะเลือดดูระดับฮอร์โมน FT4, FT3 และ TSH อย่างใกล้ชิด แล้วปรับยารักษาตามอย่างจดจ่อ มีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮอร์โมนไทรอยด์ตัวที่ออกฤทธิ์หรือ FT4 เป็นตัวสำคัญมาก เพราะในบางงานวิจัยแม้ระดับฮอร์โมนต่ำเพียงแค่ระดับ 10% ล่างสุดของกลุ่มปกติ ยังไม่ทันต่ำถึงระดับหลุดเกณฑ์ปกติเลย ก็พบว่าบุตรมีโอกาสเกิดภาวะปัญญาอ่อนได้มากกว่าคนทั่วไปแล้ว

5. วิตามินและธาตุเหล็กบำรุงครรภ์ มีผลรบกวนการดูดซึมฮอร์โมนไทรอยด์ที่แม่ทาน ดังนั้นต้องต้องทานวิตามินและเหล็กคนละเวลากับฮอร์โมนไทรอยด์ อย่าทานพร้อมกัน

6. อย่ากลัวการทานฮอร์โมนไทรอยด์ เพราะฮอร์โมนไทรอยด์เป็นยาที่มีความปลอดภัยสูงมากสำหรับแม่และทารก ทางการ
แพทย์จัดเป็นยา category A สำหรับคนตั้งครรภ์ คือเป็นกลุ่มที่ปลอดภัยมากสูงสุด ดังนั้นอย่าลดหรือเลี่ยงยาด้วยความกลัวว่าจะมีผลเสียต่อทารกในครรภ์ การขาดยาต่างหาก ที่เป็นผลเสีย ไม่ใช่การทานยา

7. ในแง่การเลี้ยงนมบุตร ปัจจุบันนี้ คำแนะนำมาตรฐานของแพทย์คือคุณแม่ที่เป็นไฮโปไทรอยด์และทานฮอร์โมนไทรอยด์สามารถเลี้ยงนมบุตรได้เช่นคุณแม่ปกติทั่วไป เพราะฮอร์โมนไทรอยด์ที่ออกมาในน้ำนมมีน้อยมาก แต่ต้องระวังว่าน้ำนมจะไม่พอ เพราะคนเป็นไฮโปไทรอยด์มักมีน้ำนมน้อยกว่าคุณแม่ปกติ ทั้งนี้อย่าสับสนกับยาต้านไทรอยด์ที่ใช้ในคนไข้ไฮเปอร์ไทรอยด์ เช่นยา tapazol นะ เพราะยาเหล่านั้นออกมาในน้ำนมมากและมีผลเสียต่อทารก จึงเป็นยาที่ห้ามใช้สตรีที่ให้นมบุตร

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

22 พฤศจิกายน 2553

Whey protein, Immunocal (HMS 90) เพื่อเพิ่มกลูตาไธโอน

ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนว่าเขากิน HMS 90 เพื่อเพิ่มกลูต้าไธโอน ทำให้ไม่เป็นหวัดบ่อย มีภูมิต้านทานโรคดีขึ้น อยากทราบว่าจริงไหม และถ้ากินนานไปมีอันตรายอะไรไหม

Nid
............................

ตอบครับ

ประเด็นที่ 1. Whey protein,หรือ HMS–90 (Immunocal) คืออะไร ตัวย่อ HMS ย่อมาจาก humanized milk serum คนตั้งชื่อคงตั้งใจจะให้แปลว่า “นมวัวที่คัดเอาแต่ส่วนน้ำใสเพื่อให้เหมาะกับคน” คือในกระบวนการเอานมวัวไปทำชีสนั้น เมื่อแยกเอาส่วนไขซึ่งเป็นของแข็งออกไปเป็นชีสแล้ว ก็จะเหลือส่วนที่เป็นน้ำ เรียกว่าเวย์ (whey) ซึ่งก็เป็นโปรตีนเหมือนกัน เรียกว่าเวย์โปรตีน (whey protein) ส่วนคำว่า Immunocal นั้นเป็นชื่อทางการค้าหรือชื่อยี่ห้อ เป็นการตั้งชื่อเพื่อให้ฟังดูรู้สึกว่าอาหารตัวนี้ไปเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งว่าไปแล้วก็ไม่ได้ผิดความจริง เพราะอาหารทุกชนิดล้วนมีส่วนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคทั้งสิ้น

ประเด็นที่ 2. เวย์โปรตีน ดีอย่างไร จุดขายหลักคือเวย์โปรตีนนี้มีกรดอามิโนชื่อ “กลูตาไธโอน (glutathione) ซึ่งเป็นกรดอามิโนที่ร่างกายใช้ขับสารพิษ ซึ่งในทางการแพทย์ก็ใช้ขจัดพิษยาพาราเซ็ตตามอลออกจากตับ ใช้ขจัดพิษของสารทึบรังสีจากไต เป็นต้น คือเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระด้วย และเป็นตัวที่ผู้ขายอาหารเสริมชูขึ้นมาเป็นสารต้านอนุมูลอิสระระดับพระเอก ขึ้นชื่อว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระก็ต้องบรรยายสรรพคุณว่าต้านความชราได้ ต้านมะเร็งได้ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ รักษาโรคได้สารพัดโรคได้ นี่เป็นคำกล่าวอ้างที่ทุกวันนี้ถือว่าเป็นเรื่องเป็นธรรมดาไปเสียแล้ว แต่งานวิจัยที่พิสูจน์ว่าเวย์โปรตีนทำสิ่งเหล่านี้ได้จริงหรือเปล่านั้นยังมีแต่ในระดับการวิจัยในห้องทดลองและการวิจัยในสัตว์ ซึ่งถือเป็นหลักฐานระดับต่ำ ผมจึงไม่ได้นำมาอ้างไว้ในบรรณานุกรมท้ายนี้

ประเด็นที่ 3. จริงหรือไม่ที่ว่าวิธีการทำเวย์โปรตีนนั้น นมจะไม่โดนความร้อน ทำให้ถนอมโมเลกุลของกลูต้าไธโอนไว้ได้ ขณะที่นมสดพาสเจอไรซ์นั้นนมโดนความร้อน กลูต้าไธโอนที่เสียธรรมชาติ (denatured) กลายเป็นสารตัวอื่น คำตอบก็คือ เป็นความจริง แต่เป็นความจริงที่ไร้สาระ เพราะไม่ว่าเราจะกินกลูต้าไธโอนแบบสดๆ หรือแบบโดนความร้อนตัวแข็งไปแล้วก็ตาม มันก็เหมือนโปรตีนทั้งหลาย คือพอถึงลำไส้ก็จะถูกย่อยลงไปเป็นกรดอามิโนพื้นฐานเหมือนผนังตึกถูกทุบให้เหลือแต่ก้อนอิฐเหมือนกันหมด แต่กรดอามิโนพื้นฐานที่ได้จากการย่อยกลูตาไธโอนคือกรดอะมโนซีสเตอีนนี้ เมื่อร่างกายดูดซึมเข้าไปแล้วก็สามารถนำไปเป็นวัตถุดิบสร้างกลูต้าไธโอนขึ้นใช้ได้อีกถ้าร่างกายต้องการ ดังนั้นการดื่มนมสดหรือดื่มเวย์โปรตีนสิ่งที่จะได้เข้าไปก็คือกรดอะมิโนซีสเตอีนเหมือนกันทุกประการ

ประเด็นที่ 4. เวย์โปรตีนดีไหม ตอบว่าดีครับในแง่เป็นอาหารโปรตีน ข้อดีของเวย์โปรตีนอีกอย่างคือมันไม่มีโมเลกุลเคซีนซึ่งเป็นต้นเหตุหลักของการแพ้นม คนที่แพ้นมทั่วไปจึงดื่มเวย์โปรตีนได้ แต่ก็มีรายงานทางการแพทย์ว่ามีคนแพ้เวย์โปรตีนรุนแรงบ้างเหมือนกัน แต่ก็น้อยกว่าแพ้นมวัวทั่วไป

ประเด็นที่ 5. เวย์โปรตีนคุ้มค่าเงินไหม ตอบว่าไม่คุ้มหรอกครับ เพราะคุณดื่มนมกล่องเอาก็ดีเท่ากันแต่ถูกกว่าแยะ และถ้าคุณเป็นคนบ้าความสด อยากได้กลูต้าไธโอนสดๆ ก็ผักและผลไม้สดๆไงครับ เป็นแหล่งของกลูตาไธโอนอย่างดี ไข่ลวกก็ให้กลูตาไธโอนสดๆดีเหมือนกัน แต่อย่าลืมที่ผมบอกนะครับ กรณีกลูตาไธโอนนี้ สดไม่สดไม่ต่างกัน เพราะต้องถูกลำไส้ย่อยเรียบวุธก่อนแล้วค่อยน้ำไปสร้างขึ้นใหม่เหมือนกันหมด

ประเด็นที่ 6. เวย์โปรตีน กินไปนานๆมีอันตรายไหม ไม่มีครับ เหมือนคุณดื่มนมนะแหละ มีข้อควรระวังสองกรณีเท่านั้นคือ (1) ถ้าคุณแพ้ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยมาก (2) ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่นิยมกินเวย์โปรตีนต้องปรึกษาหมอไตที่รักษาอยู่เพื่อดูภาพรวมของโปรตีนในอาหารทั้งหมดว่าไม่มากเกินไป เพราะคนเป็นโรคไตเรื้อรังถ้าได้โปรตีนมากจะกลายเป็นภาระให้ไตต้องขับออก ทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

19 พฤศจิกายน 2553

ผมมีอะไรกับหญิงที่แปลงเพศมา

พอดีไปมีอะไรกับกะเทยแปลงเพศมาแต่ไม่ได้ใส่ถุงครับอยากถามว่าจะเป็นเอดส์ไหมครับกังวลมากเลยครับกลัวจะติดเอดส์

Deadlock

ตอบครับ

ผู้ชาย มีเพศสัมพันธ์ผ่าน vagina เทียมของผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งผ่านการผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิงมา ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีโอกาสติดเอดส์จากกันและกันได้ครับ เพราะการมีเพศสัมพันธ์ผ่านช่องคลอดเทียม มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บและถลอกของผิวหนังและเยื่อบุ ซึ่งทำให้เลือดและน้ำเหลืองของทั้งสองฝ่ายมาปะปนกันได้

แต่ไหนๆเรื่องมันก็แล้วไปแล้ว อย่ามัวนั่งกังวลอยู่เลย มาลงมือจัดการในส่วนที่เราจัดการได้ดีกว่า ผมแนะนำว่า

1. จากนี้ไปอย่างน้อยหนึ่งเดือนเป็น window period ซึ่งเราอาจมีเชื้อ แพร่เชื้อได้ แต่ตรวจไม่พบ ดังนั้นหากจะมีอะไรกับใครให้ใช้ถุงยางอนามัยเสมอ

2. ให้ไปตรวจหาตัวเชื้อเอดส์ด้วยวิธี PCR (ไม่ใช่ตรวจหาภูมิคุ้มเอดส์กันแบบ EIA) การตรวจ PCR จะทำให้ทราบว่าเราติดเชื้อมาหรือไม่ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน แม้ว่าจะไม่ 100% แต่ถ้าผลตรวจ PCR เป็นลบ อย่างน้อยก็ทำให้เราสบายใจขึ้นสัก 90% ว่าเราคงจะไม่ติดเชื้อ

3. เมื่อครบสามสิบวันแล้วให้ไปตรวจภูมิคุ้มกัน HIV ด้วยวิธี 4th generation electrochemiluminescence อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ทราบเด็ดขาดว่าเราติดเชื้อเอดส์หรือไม่ในเวลาไม่เกิน 30 วัน ไม่ต้องรอหลายเดือนเหมือนสมัยก่อน เทคโนโลยีช่วยได้เท่านี้ครับ ที่เหลือใช้ดวงเอาก็แล้วกัน

4. อย่าลืม เจ็บแล้วต้องเรียนรู้และจำไว้ ครั้งต่อไป อย่ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันอย่างเด็ดขาด เพราะมันไม่คุ้มกันเลย


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

นพ.สันต์พูดกับคณะตัวแทนประกันชีวิต

สวัสดีครับ

ผมดีใจที่ได้มาพบกับทุกท่าน ซึ่งอยู่ในธุรกิจประกัน ผู้แทนประกันเป็นแนวร่วมที่สำคัญของพญาไท เพราะพันธกิจของพญาไทไม่เหมือนรพ.ทั่วไป คือพญาไทมุ่งสร้างระบบที่มุ่งเพิ่มศักยภาพของลูกค้าให้เขาดูแลสุขภาพตัวเขาเองได้ ให้เขาไม่ป่วย ถ้าป่วยก็ให้เขารู้ว่าต้องรีบทำอย่างไรมันถึงจะไม่ลุกลามบานปลาย การจะเพิ่มศักยภาพให้ลูกค้าดูแลตัวเองได้ ท่านในฐานะผู้แทนประกันเป็นพันธมิตรที่สำคัญ เพราะท่านก็ไม่อยากให้ลูกค้าของท่านป่วย จะไ-ด้ไม่เปลืองสินไหม ดังนั้นอาชีพของท่านก็คือเป็นเทวทูต นำสิ่งดีๆไปให้ลูกค้า ให้เขาไม่ป่วย มีอายุยืน

การจะทำหน้าที่นี้ได้ดี ท่านต้องทำตัวเองไม่ให้ป่วยได้ก่อน การจะทำตัวเองไม่ให้ป่วยได้ ท่านต้องรู้วิธีก่อน ดังนั้นความรู้ หรือการรู้หนังสือ หรือ literacy จึงสำคัญ สถิติบอกว่าคนไทยรู้หนังสือน้อยกว่าคนเวียตนาม อันนี้เราฟังแล้วเรารู้เลยว่าอนาคตประเทศเราจะแย่กว่าเวียตนาม เพราะความรู้นี้เป็นสิ่งสำคัญ คนจะสุขภาพดีได้ต้องรู้เรื่องสองเรื่องคือโภชนาการและการออกกำลังกาย เมื่อสองเดือนก่อนหน่วยงาน USDA ของอเมริกันเพิ่งออกมาตรการใหม่มาเพื่อแก้ความไม่รู้หนังสือในด้านโภชนาการของคุณอเมริกัน หรือ nutrition literacy คือเขาประเมินแล้วว่าคนอเมริกันไม่มีความรู้เรื่องโภชนาการ ว่าสาระหลักของความไม่รู้หนังสือของคนอเมริกันนั้นมีสามประเด็น คือ
1. การไม่รู้จักเฝ้าระวังดุลของแคลอรี่ หมายความว่าอาหารอะไรกินแล้วให้พลังงานเท่าไร มันเข้ามามากเกินกว่าที่ร่างกายเผาผลาญออกไปหรือเปล่า ถ้าเกินผลก็คือโรคอ้วน

2. การไม่รู้ว่าจำเป็นต้องกินพืชให้มากขึ้น คือหลักฐานวิทยาศาสตร์มันชัดว่าโรคต่างๆเกิดขึ้นเพราะคนอเมริกันกินพืชกันน้อยไป เขาจึงส่งเสริมให้กินผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต้มสุก ผลไม้เปลือกแข็ง หรือ nut ต่างๆให้มากขึ้น

3. การไม่รู้จัก SoFAS อันนี้เป็นคำย่อเพื่อให้คนจำง่าย SoF ย่อมาจาก Solid Fat ซึ่งหมายถึงไขมันทรานส์ หรือไขมันที่เป็นผงในอาหารอุตสาหกรรมต่างๆเช่น คอฟฟี่เมทหรือครีมเทียมใส่น้ำตาล ทั้งหลาย เนยเทียม ขนมกรุบกรอบ เค้ก คุ้กกี้ ไอศครีม ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นให้ไขมัน LDL ในเลือดสูง นำไปสู่โรคต่างๆ ส่วน AS นั้นย่อมาจาก Added Sugar หมายถึงเครื่องดื่มใส่น้ำตาลต่างๆไม่ว่าจะเป็นโค้ก เป๊บซี่ น้ำเขียว น้ำแดง ชาเขียว จิปาถะ คือพวกเครื่องดื่มใส่น้ำตาลนี้ไม่มีอะไรดีเลยมีแต่ให้แคลอรี่ซึ่งเป็นสิ่งที่มีมากเกินพอในร่างกายของคนอเมริกันอยู่แล้ว

จะเห็นว่าของคนไทยก็ไม่ต่างกันนะครับ แต่ว่าคนไทยอาจจะต้องเพิ่มความไม่รู้หนังสือเรื่องการออกกำลังกาย หรือ exercise literacy เข้าไปด้วย คือคนไทยไม่รู้เรื่องการออกกำลังกายในประเด็นสำคัญ 3 ประเด็นต่อไปนี้คือ

1. ไม่รู้จักวิธีการออกกำลังกายแบบต่อเนื่องหรือแอโรบิก ซึ่งมีประเด็นสำคัญสามประเด็นย่อยคือ หนึ่ง ต้องทำให้ได้ถึงระดับเหนื่อยพอควร คำว่าเหนื่อยพอควรตามคำนิยามคือต้องเหนื่อยจนร้องเพลงไม่ได้ ถ้าออกๆไปแล้วยังร้องเพลงได้สบายอันนี้แสดงว่ายังไม่ได้ถึงขนาดเหนื่อยพอควร สอง ต้องทำให้ต่อเนื่อง คือเหนื่อยพอควรติดต่อกันไปนานอย่างน้อย 30 นาที สาม ต้องทำให้สม่ำเสมอ คือสัปดาห์หนึ่งอย่างน้อยต้องทำ 5 ครั้งขึ้นไป

2. ไม่รู้จักการออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อ (strength training) หรือการเล่นกล้าม ไม่รู้ว่าต้องออกกำลังกายแบบนี้ควบไปด้วย ไม่รู้ว่าการเล่นกล้ามนี้ทำอย่างไร หลักมันก็มีอยู่ว่าการเล่นกล้ามนี้เรามุ่งออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อเฉพาะกลุ่มได้ออกแรงหนักมากจนล้า เช่นเราออกกำลังกายกล้ามเนื้อของแขนด้วยวิธียกดัมเบลขึ้นลงสักสิบครั้ง น้ำหนักของดัมเบลมันต้องหนักมากพอจนยกสักสิบครั้งแล้วแขนล้ายกต่อไม่ไหว ถ้ายกสิบครั้งแล้วยังไม่ล้า แสดงว่าน้ำหนักยังไม่พอ ยังไม่ใช่การฝึกกล้ามเนื้อ เพราะการฝึกกล้ามเนื้อต้องให้กล้ามเนื้อได้ออกแรงเต็มที่เพิ่มขึ้นๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อใหญ่ขึ้นๆ เพราะคนเราเมื่อแก่ตัวลงกล้ามเนื้อจะลีบลงๆ การเล่นกล้ามทำให้มีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เมื่อมีกล้ามเนื้อมากก็จะเป็นตัวช่วยเผาผลาญพลังงานที่เก็บสะสมไว้ในรูปของไขมันทั่วร่างกาย เป็นการรักษาโรคต่างๆอันสืบเนื่องมาจากมีแคลอรี่ในร่างกายมากเกิน

3. คนไทยเข้าใจว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องของเด็กๆและคนหนุ่มสาว คนแก่ไม่ต้อง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก คนยิ่งแก่ยิ่งต้องออกกำลังกายให้มากและหลากหลายมากกว่าคนอายุน้อย เพราะโรคที่จะมาตอนแก่ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดัน หัวใจ อัมพาต กระดูกหัก ล้วนเป็นผลพวงจากการไม่ได้ออกกำลังกายทั้งสิ้น

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากฝากท่านเป็นพิเศษ คือตอนนี้ผมกำลังดูสถิติของผู้ป่วยที่มารับบริการตรวจสุขภาพกลุ่มต่างๆ ก็พบว่ากลุ่มลูกค้าประกันมีดัชนีมวลกายสูงกว่ากลุ่มอื่น พูดง่ายๆว่าลูกค้าของท่านเป็นโรคอ้วนกันมาก โรคอ้วนนี้เป็นโรคยอดนิยมและเป็นปัญหาระดับโลก ท่านพบลูกค้าบ่อย ผมอยากให้ท่านรู้จัก “พฤติกรรมอ้วน” แปดอย่างต่อไปนี้ เพื่อช่วยหาทางให้ลูกค้าของท่านลดละเลิก คือ

1. เอาแต่ดูทีวี ดูอยู่ได้
2. ไม่ออกกำลังกาย
3. ชอบไปทานนอกบ้าน
4. ชอบทานฟาสท์ฟู้ด
5. ดื่มเครื่องดื่มใส่น้ำตาล ไม่ว่าจะเป็น กาแฟเย็น โค้ก เป๊ปซี่ ชาเขียว น้ำผลไม้ที่ใส่น้ำตาลหวานเจี๊ยบ
6. ไม่ทานอาหารเช้า
7. ไม่เฝ้าระวังแคลอรี่
8. ทานแต่ละทีจานใหญ่ ทานไม่เหลือ ทานแบบกลัวเสียของ

พฤติกรรมทั้งแปดอย่างนี้ถ้าเลิกไม่ได้ก็ไม่มีทางหายจากโรคอ้วน

ความจริงเขาใช้ให้ผมมาเปิดงานนะครับ นี่จะกลายเป็นผมเป็นผู้บรรยายเองเสียแล้วนี่ สุดท้ายผมฝากท่านไปถึงลูกค้าของท่านถึงสรุปวิธีที่จะทำให้มีสุขภาพดี ซึ่งมีอยู่ห้าอย่างเท่านั้น คือ

1. ออกกำลังกายให้ได้ระดับมาตรฐาน
2. โภชนาการที่ถูกต้อง
3. นอนหลับให้พอ จัดการความเครียดให้ดี
4. รู้ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพของตนเอง
5. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคที่ป้องกันได้ให้ครบ

ถ้าท่านดูแลลูกค้าของท่านให้ทำได้แค่นี้ ลูกค้าของท่านก็จะไม่ป่วย ท่านก็ไม่ต้องจ่ายสินไหม โอเค.ครับ ผมขอเป็นงานสัมนาครั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

16 พฤศจิกายน 2553

การเลือกผ้าปูที่นอนปลอกหมอนที่ป้องกันไรฝุ่นได้จริง

เป็นหวัดไอจามแพ้บ่อยมาก ตัวเองไม่ชอบไปหาหมอ แต่สามีไปหาหมอตรวจพบว่ามีภูมิต้านทาน mite antigen มีคนแนะนำแยะมากว่าต้องเลือกใช้ผ้ากันไรฝุ่นมาทำผ้าปูที่นอนปลอกหมอน แต่ก็มีหลายชนิดเหลือเกิน ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

........................................................








ตอบครับ

งานวิจัยที่ดีที่สุดเรื่องผ้าป้องกันไรฝุ่นคืองานวิจัยของศิริราชเรานี่เอง ซึ่งได้พิสูจน์ว่าครึ่งหนึ่งของผ้าป้องกันไรฝุ่นในตลาดนอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ยังเป็นที่ซุกซ่อนอย่างดีสำหรับไรฝุ่นไปเสียอีก งานวิจัยนี้แบ่งผ้าป้องกันไรฝุ่นในตลาดออกเป็น 5 ชนิด ซึ่งผมขออนุญาตนำรูปประกับในรายงานวิจัยมาลงให้ดูด้วย

A. ผ้ากันไรฝุ่นชนิดทอหลวมเคลือบฟิลม์ ใช้ไม่ได้ผล เพราะตัวไรฝุ่นใช้ซุกซ่อนตัวได้ดังภาพที่ลูกศรชี้
B. ผ้ากันไรฝุ่นชนิดไม่ถักทอ (non woven) ใช้ไม่ได้ผล เพราะตัวไรฝุ่นอาศัยอยู่ได้สบายเช่นกัน
C. ผ้ากันไรฝุ่นชนิดเคลือบสารฆ่าไร ใช้ได้ผลดี เพราะตัวไรฝุ่นจะตายเมื่อสัมผัสกับสารเคมีที่เคลือบผ้า ในภาพจะเห็นไรตายเป็นก้อนดำๆ
D. ผ้ากันไรฝุ่นชนิดไม่ถักทอแบบละเอียด (non woven) ไม่ได้ผล เพราะไรฝุ่นสามารถซ่อนตัวอยู่ได้จำนวนมาก จะเห็นนอนกันอยู่เป็นแถวตามที่ลูกศรชี้
E. ผ้ากันไรฝุ่นชนิดทอแน่น (knitted woven) ใช้ได้ผลดี เพราะไม่มีช่องว่างให้ตัวไรฝุ่นอาศัยหรือเดินทางฝ่าข้ามไปได้ (ภาพสุดท้าย)

สรุปว่าต้องเป็นผ้ากันไรฝุ่นชนิดทอแน่น หรือผ้ากันไรฝุ่นชนิดเคลือบสารฆ่าไร จึงจะใช้ได้ผล
นอกจากการเลือกใช้ผ้าปูที่นอนปลอกหมอนที่ป้องกันไรฝุ่นได้จริงมาคลุ่มที่นอนแล้ว อย่าลืมว่าการป้องกันกำจัดไรฝุ่นยังต้องรวมไปถึง

1. การหมั่นทำความสะอาดเพื่อกำจัดแหล่งอาหารของมัน อันได้แก่โปรตีนจากสะเก็ดผิวหนังที่หลุดลอก น้ำมูกแห้ง ขี้ไคล เชื้อรา บักเตรี ที่ติดอยู่ตามที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม พรม ตุ๊กตา

2. การปรับบรรยากาศที่นอนไม่ให้ไรฝุ่นชอบ คือมันชอบที่นอนอับๆ ชื้นๆ มีแสงน้อย เราต้องทำห้องนอนของเราให้เป็นตรงกันข้าม

3. การซักล้างด้วยความร้อน

4. การซักล้างด้วยสารเคมีฆ่าไรฝุ่น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Mahakittikun V, Boitano JJ, Tovey E, Bunnag C, Ninsanit P, Matsumoto T, Andre C. Mite penetration of different types of material claimed as mite proof by the Siriraj chamber method. Journal of Allergy and Clinical Immunology. 2006; 118(5):1164-1168
[อ่านต่อ...]

ไตเหลือ 15% หมอจะให้รีบล้างไต

ดิฉันเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 การทำงานของไตเหลืออยู่ 15% หมอบอกว่าดิฉันควรตัดสินใจล้างไตเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอให้มีอาการจากโปตัสเซียมคั่ง เพราะการล้างไตแต่เนิ่นๆจะทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น ดิฉันอยากปรึกษาคุณหมอสันต์ว่าการล้างไตเร็ว จะทำให้อายุยืนขึ้นจริงไหม

......................

ตอบครับ

แต่เดิมวงการแพทย์ก็เชื่อกันว่าถ้ารีบล้างไตเสียแต่เนิ่น น่าจะทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น

แต่ไม่นานมานี้ได้มีงานวิจัยใหม่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ เขาเอาคนเป็นโรคไตเรื้อรังถึงขั้นที่ 5 แบบคุณนี้มา 828 คน เอามาจับฉลากแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ล้างไตเร็ว คือพอปริมาณเลือดไหลผ่านตัวกรองของไต (GFR) ต่ำกว่า 15 ซีซี./นาทีก็จับล้างไตเลย อีกลุ่มหนึ่งรอไปล้างไตช้า คือรอจน GFR ต่ำกว่า 5 – 7 ซีซี.ต่อนาทีหรือจนมีอาการไม่สบายก่อนจึงค่อยเริ่มล้างไต แล้วติดตามดูทั้งสองกลุ่มนี้ไปนาน 8 ปี พบว่าทั้งสองกลุ่มมีอัตรารอดชีวิตในระยะยาวไม่ต่างกัน

งานวิจัยนี้เป็นหลักฐานที่ดีที่สุดที่ทำให้เราได้ข้อสรุปใหม่ว่า การล้างไตช้าหรือล้างไตเร็ว ไม่ได้ทำให้อายุยืนต่างกัน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Cooper BA, Branley P, Bulfone L, Collins JF, Craig JC, Fraenkel MB, et. al. for the IDEAL Study. A Randomized, Controlled Trial of Early versus Late Initiation of Dialysis. N Engl J Med 2010; 363:609-619
[อ่านต่อ...]

ความดันเลือดเท่าไรจึงจะพอดี

ผมอายุ 44 ปี น้ำหนัก 68 กก. สูง 165 ซม. รักษาความดันเลือดสูงมาสามปี หมอไม่เคยบอกว่าความดันเลือดควรจะเป็นเท่าไร ต่อมาต้องเปลี่ยนหมอเพราะหมอคนเดิมย้าย หมอคนใหม่บอกว่าเป้าหมายการรักษาความดันเลือดคือต้องให้ความดันเลือดตัวบนต่ำกว่า 120 ซึ่งผมกังวลว่านี่ขนาดกินยาสองอย่างแล้วความดันยังอยู่ระดับ 145 - 150 อยู่เลย จำเป็นไหมครับที่ต้องให้ความดันเลือดต่ำขนาดนั้น

.......................

ตอบครับ

มาตรฐานเป้าหมายการรักษาความดันเลือดสูงทั่วโลกในปัจจุบันถือตามผลประชุม JNC7 ซึ่งแบ่งคนไข้เป็นสามกลุ่มดังนี้

คนไข้ทั่วไป รักษาความดันไม่ให้เกิน 140/90
คนไข้โรคหัวใจขาดเลือด รักษาความดันไม่ให้เกิน 140/80
คนไข้โรคไตเรื้อรัง รักษาความดันไม่ให้เกิน 130/80

จะเห็นว่ากลุ่มคนไข้โรคไตเรื้อรังหมอจะกดความดันให้ต่ำที่สุด อย่างไรก็ตาม เมื่อสองเดือนก่อน ได้มีการตีพิมพ์งานวิจัยใหม่ ที่เอาคนไข้โรคไตเรื้อรังพันกว่าคนมาจับฉลากแบ่งเป็นสองพวก พวกหนึ่งรักษาความดันไว้ที่ระดับคนทั่วไปคือความดันตัวบนอยู่ประมาณ 140 กับอีกพวกหนึ่งกดความดันตัวบนให้ต่ำกว่า 130 แล้วตามดูทั้งสองกลุ่มนี้ไปนานถึง 12 ปี พบว่าทั้งสองกลุ่มมีอัตราตายและอัตราการต้องล้างไตไม่แตกต่างกัน แต่มีข้อยกเว้นเฉพาะคนไข้ที่มีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ ซึ่งกลุ่มที่กดความดันเลือดให้ต่ำจะมีอัตราตายต่ำกว่ากลุ่มที่ปล่อยให้ความดันเท่าคนไข้ทั่วไป

งานวิจัยนี้สนับสนุนว่าไม่ว่าในผู้ป่วยโรคอะไร การรักษาความดันตัวบนไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 140 ถือว่าโอเค ยกเว้นเฉพาะผู้ป่วยไตวายที่มีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ การรักษาความดันตัวบนให้ต่ำกว่า 130 จะดีกว่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม
1. Aram V. Chobanian; George L. Bakris; Henry R. Black; William C. Cushman; Lee A. Green; Joseph L. Izzo, Jr; Daniel W. Jones; Barry J. Materson; Suzanne Oparil; Jackson T. Wright, Jr; Edward J. Roccella; Seventh Report of the Joint National Committee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Pressure. Hypertension. 2003;42:1206.
2. Appel LJ, Wright JT, Greene T, Agodoa LY, Astor BD, Bakris GL et. al. for the AASK Collaborative Research Group. Intensive Blood-Pressure Control in Hypertensive Chronic Kidney Disease. N Engl J Med 2010; 363:918-929
[อ่านต่อ...]

ภาวะดื้ออินสุลินกับอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ

คุณหมอคะ

มีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ คือเพิ่งทานอาหารไปได้ชั่วโมงกว่าแล้วไปชอปปิ้ง ขณะกำลังเดินก็มีอาการใจสั่นมือไม้สั่น หวิวๆ ต้องรีบหาอะไรหวานๆอม และพักอยู่ตั้งนานกว่าอาการจะหมดไปและเดินได้ใหม่ เป็นอย่างนี้แล้วสองสามครั้ง เคยไปตรวจสุขภาพประจำปีน้ำตาลในเลือด (FBS) 102 อยู่ประมาณนี้มาทุกปี ไม่ได้ทานยาอะไรอยู่ประจำเลย อยากทราบว่าอาการเช่นนี้เกิดจากอะไร ถ้าเกิดจากน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำไมจึงเป็นหลังจากทานอาหารไปไม่นานเลย

....................................

ตอบครับ

1. อาการของน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) แบบคลาสสิกจากเบาไปหาหนัก คือ มีอาการหงุดหงิด กระวนกระวาย เหนื่อย หมดแรง เข่าอ่อน หน้ามืด สั่น หวิว ผิวหนังเย็นชื้น อาจง่วงหรือปวดหัว กังวล สับสน ปวดกล้ามเนื้อ ตามัว หอบ คันตามตัว ถ้าเป็นมากก็หมดสติ ชัก โคม่า จะรู้ว่าเป็นน้ำตาลในเลือดต่ำจริงหรือเปล่าก็จากการที่ถ้ากินอะไรที่ให้พลังงานเช่นน้ำตาลแล้วอาหารมันหายไป หรือขณะมีอาการถ้าเจาะเลือดดูระดับน้ำตาลแล้วพบว่าต่ำกว่า 45 มก./ดล. ก็ชัวร์

2. ส่วนใหญ่ อาการน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นอาการของคนไข้เบาหวานที่ได้ยารักษาเบาหวานอยู่ การไม่ได้ดุลระหว่างอาหารที่กินกับจังหวะที่ยาออกฤทธิ์ ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ นี่เป็นเหตุที่พบบ่อยที่สุด

3. อาการน้ำตาลในเลือดต่ำเกิดหลังกินอาหารไม่นานได้ ขึ้นอยู่กับดุลยภาพระหว่างปริมาณและชนิดอาหารที่กิน กับกิจกรรมใช้พลังงานหลังกินอาหารแล้ว ถ้ากินอาหารที่ให้พลังงานต่ำ หรือให้พลังงานสูงแต่ให้เร็วหมดเร็ว บวกกับมีกิจกรรมใช้พลังงานมากเช่นทำอะไรแยะหรือโมโหโกรธาใครเข้าแบบสุดขีด ก็เกิดน้ำตาลในเลือดต่ำได้แม้จะกินอาหารมาได้ไม่นาน

4. คนที่ไม่ได้เป็นเบาหวานอย่างคุณนี้ ก็มีน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ถ้ามีภาวะดื้อต่ออินสุลินอยู่ หมายถึงการที่ร่างกายผลิตอินสุลินมากเกินไปเนื่องจากมีภาวะที่เซลร่างกายสนองตอบต่ออินสุลินน้อยลง (insulin resistance) คนแบบนี้น้ำตาลในเลือดจะบัดเดี๋ยวขึ้นไปสูง บัดเดี๋ยวลงมาต่ำแบบรถตีลังกาเหาะโรลเลอร์โคสเตอร์ในสวนสนุก สาเหตุของภาวะดื้อต่ออินสุลินเกิดจากกรรมพันธุ์บ้าง เกิดจากปัจจัยแวดล้อมบ้าง กรรมพันธ์ก็คือกรรมพันธ์เบาหวานนั่นแหละ อย่างกรณีคุณนี้น้ำตาลในเลือดอยู่ในเขตที่เรียกว่าใกล้เป็นเบาหวาน (prediabetes) ก็อาจมีกรรมพันธ์ของภาวะดื้ออินสุลินได้

5. ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เกิดภาวะดื้ออินสุลินมีได้หลายอย่าง ได้แก่

5.1 กินอาหารคาร์โบไฮเดรตแบบปรุงสำเร็จ (high refined) เช่นน้ำตาล มากเกินไป น้ำตาลนี้เมื่อกินเข้าไปแล้วดูดซึมได้ทันที ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นจู๊ดทันที และกระตุ้นให้อินสุลินขึ้นสูงขึ้นทันทีเช่นกัน ซึ่งอินสุลินที่สูงขึ้นไปมากนี้จะไปลดระดับน้ำตาลลงอย่างรวดเร็วจนเกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ถ้ากินอาหารแบบนี้นานๆเข้าก็จะไปทำให้เซลต่างๆเซ็งระดับอินสุลินที่สูงมากๆบ่อยๆจึงรวมหัวกันดื้อด้านต่ออินสุลิน นำไปสู่การเป็นเบาหวานชนิดที่ 2

5.2 การขาดวิตามินและเกลือแร่บางชนิดก็ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทำได้ไม่ดีทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นครั้งคราวได้ กลไกการควบคุมน้ำตาลในเลือดต้องอาศัยวิตามินบี.6 บี.3 (niacin) และแร่ธาตุเช่นโครเมียม แมงกานีส สังกะสี วานาเดียม แคลเซียม ธาตุอาหารเหล่านี้มีอุดมในอาหารธรรมชาติทั้งพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ แต่มักถูกทำลายไปในกระบวนการผลิตอาหารเชิงอุตสาหกรรม การกินอาหารที่มีผักผลไม้น้อย กินอาหารที่เป็นผลผลิตแบบอุตสาหกรรมเช่นขนมกรุบกรอบ มันฝรั่งทอด มาก จึงเป็นเหตุของภาวะดื้ออินสุลินได้

5.3 ความเครียดก็เป็นปัจจัยทำให้เกิดภาวะดื้ออินสุลิน เพราะมันไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิตฮอร์โมนคอร์ติโซนและ DHEA ซึ่งเร่งการใช้น้ำตาล ซึ่งหากเกิดขึ้นซ้ำซากก็จะมีผลทำต่อมหมวกไตล้า เซ็ง ไม่ยอมผลิตฮอร์โมน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง อินสุลินสูงเรื้อรัง เกิดภาวะดื้ออินสุลินตามมา

5.4 การไม่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็มีหลักฐานวิจัยชี้ชัดว่าทำให้เกิดภาวะดื้ออินสุลินง่าย เป็นเบาหวานง่าย และเมื่อเปลี่ยนนิสัยไปออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเล่นกล้าม (strength training) ก็ทำให้ภาวะดื้ออินสุลินลดลง และหายจากเบาหวานโดยบางกรณีไม่ต้องใช้ยาเลย
กล่าวโดยสรุป ให้คุณ (1) ปรับอาหารที่กินให้เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจากธรรมชาติแทนน้ำตาล (2) ปรับปริมาณแคลอรี่ในอาหารให้พอดีกับชนิดของกิจกรรมที่จะทำหลังกินอาหาร (3) กินผักผลไม้แยะๆทุกวัน (4) ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวันรวมทั้งเล่นกล้ามด้วย (5) อย่าเครียด ถ้าทำได้ทั้งห้าอย่างนี้ อาการของคุณก็จะหายไปครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

การรำมวยจีนรักษาโรคปวดกล้ามเนื้อและเอ็น (FMS)

คุณหมอสันต์ที่นับถือ

อายุ 52 ปี สูง 156 ซม. น้ำหนัก 48 กก. ป่วยเป็นโรคข้อปวดกระดูกและกล้ามเนื้อมา 5 ปี เจ็บลึกๆในกระดูก บางวันอ่อนเปลี้ยไม่มีแรงแม้กระทั่งจะเปิดประตูรถ เคยรักษาแบบรูมาตอยด์ แต่หมอคนใหม่บอกว่าไม่ใช่รูมาตอยด์ให้หยุดยา เคยตรวจ SLE แล้วหมอก็บอกว่าไม่ใช่ แล้วส่งดิฉันไปหาจิตแพทย์ทำนองว่าดิฉันคิดมาก ซึ่งหมอพูดไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

......................

ตอบครับ

คุณมีดัชนีมวลกาย 19.7 จัดว่ากำลังดีไม่ผอมไม่อ้วน

อาการป่วยของคุณนั้น ทางการแพทย์เขาเหมาเรียกว่าเป็นกลุ่มอาการปวดเอ็นและกล้ามเนื้อ (fibromyalgia syndrome - FMS) คือปวดและตึงเป็นหลัก ไวต่อความรู้สึกปวด บางทีเสียงดังหนวกหูหรือเครียดก็ปวดแล้ว โดยไม่มีภาวการณ์อักเสบใดๆเกิดขึ้นในร่างกาย บ่อยครั้งอาการมักเกิดตามหลังการบาดเจ็บครั้งใหญ่ หรือการติเชื้อ หรือการมีความเครียดทางใจ เวลาปวดมาก็ปวดได้ทั่ว ไม่ว่าจะเป็นคอ ก้น หลัง ไหล่ แขน อก ข้อต่างๆ ปวดได้ทั้งสองข้าง บางจุดที่ปวดเวลาไปกดเข้าก็เจ็บจนสะดุ้ง เป็นมากจนบางทีนอนไม่หลับ เหนื่อย เพลีย เปลี้ย กังวล หรือซึมเศร้าไปเลย บางทีก็พาลทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน

สาเหตุของโรคนี้ไม่มีใครทราบ ทราบแต่ว่าไม่มีอาการอักเสบใดๆเกิดขึ้น ไปตรวจหารูมาตอยด์ ตรวจหาเอสแอลอี.ซึ่งเป็นการตรวจหาภาวการณ์อักเสบและหาภูมิคุ้มกันที่ทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง จะไม่เจออะไรผิดปกติเลย และไม่มีความผิดปกติหรือการผิดรูปผิดร่างของข้อใดๆเกิดขึ้นด้วย

การวินิจฉัยโรคนี้ต้องอาศัยวิธีตรวจเพื่อวินิจฉัยแยกโรคอื่นที่อาการคล้ายๆกันออกไปก่อน ได้แก่โรครูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี. โรคไฮโปไทรอยด์ โรคขาดวิตามินดี โรคกล้ามเนื้ออักเสบ โรคเนื้องอกหรือมะเร็งที่ทำให้ปวดกระดูก โรคติดเชื้อเรื้อรังเช่นไวรัสตับอักเสบบี โรคเอดส์ เป็นต้น เมื่อแน่ใจไม่มีโรคเหล่านี้แล้ว จึงวินิจฉัยว่าอาการปวดเกิดจากกลุ่มอาการปวดเอ็นและกล้ามเนื้อ หรือ FMS
การรักษา FMS ต้องมุ่งไปที่การบรรเทาอาการเฉพาะแต่ละคนเพราะแต่ละคนอาการไม่เหมือนกัน การบอกให้รู้ว่าโรคนี้ซึ่งแม้จะเรื้อรังแต่ก็ไม่ได้รุนแรงถึงคอขาดบาดตาย เป็นสะเต็พแรกของการรักษาที่ดี การจัดการความเครียดและการออกกำลังกายสม่ำเสมอ การงดเว้นแอลกอฮอล์และกาแฟ และการใช้ยาแก้ปวดแก้อักเสบ (NSAID) และยาต้านซึมเศร้า ถือเป็นมาตรฐานการรักษาในปัจจุบัน

เมื่อไม่กี่เดือนมานี้วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ได้ตีพิมพ์ผลวิจัยการรักษากลุ่มอาการปวดเอ็นและกล้ามเนื้อ (FMS) ด้วยวิธีให้รำมวยจีนแบบขุนศึกตระกูลหยาง (Yang-style tai chi) โดยสุ่มเอาคนเป็น FMS มาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้เรียนรำมวยจีนและรำวันละ 60 นาที สัปดาห์ละ 2 วันนาน 12 สัปดาห์ อีกกลุ่มหนึ่งก็ให้ทำอะไรก็ได้ตามอัธยาศัย การประเมินเมื่อสิ้นสุดงานวิจัยและ 6 เดือนหลังจากนั้นพบว่ากลุ่มที่รำมวยจีนทุกวันมีอาการลดลงมากกว่าและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า งานวิจัยทำให้ถือได้ว่าการรำมวยจีนเป็นวิธีร่วมรักษา FMS ที่ได้ผลวิธีหนึ่ง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Wang C, Schmid CH, Rones R, Kalish R, Yinh J, Goldenberg DL, Lee Y, McAlindon M. A Randomized Trial of Tai Chi for Fibromyalgia.
N Engl J Med 2010; 363:743-754
[อ่านต่อ...]

12 พฤศจิกายน 2553

ผลตรวจภายในเป็น HSIL

เรียน อาจาร์หมอ

ได้ไปตรวจมะเร็งปากมดลูก ผลออกมาคือ Low grade squamous intraepithelial lesion (LSIL) encompassing HPV change and atypical squamous cells cannot exclude HSIL (ASC-H) อยากทราบว่าอาการรุนแรงเพียงใดคะ และถือว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ หมอนัดไปจี้เย็นค่ะ ควรทำหรือไม่เพียงใดคะ
รบกวนคุณหมอช่วยตอบให้ด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ / aree
........................

ตอบครับ

คำที่แพทย์ใช้อ่านผลการตรวจเซลจากการตรวจภายในจากปกติไปจนเป็นเซลมะเร็งปากมดลูก เรียกว่าระบบเบเทสด้า (Bethesda System) โดยมองหาความผิดปกติของเซลแล้วแบ่งชั้นตามความรุนแรง คือ
1. ปกติ
2. มีจุดผิดปกติที่อาจเป็นมะเร็งหรือ Squamous intraepithelial lesion เรียกย่อว่า SIL ซึ่งยังแบ่งออกเป็นสามเกรด สุดแล้วแต่ว่าจะมีความแก่กล้าของการกลายเป็นมะเร็ง (Cervical Intraepithelium Neopasia หรือ CIN) มากหรือน้อย คือ
2.1 พวกเกรดต่ำ คือมีเยื่อบุผิดปกติแบบไม่เจาะจง หรือ Atypical squamous cells of undetermined significance นิยมเรียกย่อว่า ASC–US พวกนี้ถือว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งต่ำ บางทีจึงเรียกว่า Low-SIL หรือ LSIL ถ้ามองในแง่ระดับของการกลายเป็นมะเร็งก็ถือว่าะเป็นระดับ CIN1 ความผิดปกติระดับนี้มักเกิดจากการติดเชื้อเอ็ชพีวี และมักหายไปได้เอง
2.2 พวกเกรดสูงหรือ High-SIL หรือ HSIL คือเซลมีการกลายไปในเชิงเป็นมะเร็งมากขึ้้น (CIN2 หรือ CIN3) ถ้ากลายมากหรือ CIN3 ก็คือเป็นมะเร็งในที่ตั้ง (Carcinoma In Situ หรือ CIS) นั่นเอง ถ้าเจอระดับเกรดสูงนี้หมอต้องลงมือรักษา อย่างน้อยก็ด้วยการส่องกล้องเข้าไปตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อออกมาตรวจ
2.3 พวกแบ่งเกรดไม่ได้ หรือ Atypical squamous cells, cannot exclude HSIL เรียกย่อว่า ASC–H หมายความว่าหมอไม่แน่ใจ จะเกรดต่ำก็ไม่ใช่ จะสูงก็ไม่เชิง บางทีก็พบเป็นเซลต่อมที่ดูผิดปกติไป เรียกว่า Atypical glandular cells เรียกย่อว่า AGC พวกนี้ก็มีความหมายเหมือนกัน คือจะเกรดสูงก็ไม่สูง จะต่ำก็ไม่ต่ำ ถ้าอยู่กลุ่มนี้ หมอจะยังไม่รีบร้อนรักษา แต่จะดูเชิงด้วยการตรวจคัดกรองถี่กว่าปกติไปก่อน

กรณีของคุณนี้พยาธิแพทย์อ่านกั๊กมาว่าเป็นได้ทั้ง LSIL และ HSIL สูติแพทย์ที่รักษาก็จำเป็นต้องถือว่าเป็น HSIL ซึ่งเป็นหลักปลอดภัยไว้ก่อน การเป็น HSIL หมายความว่าเซลผิดปกติถึงระดับที่อาจเป็นระยะเริ่มต้นของมะเร็ง (precancerous) การรักษามาตรฐานคือส่องกล้องเข้าไปดู (colposcopy) มองหากลุ่มเซลผิดปกติเหล่านี้ แล้วก็ทำลายเสีย จะด้วยวิธีเอาความเย็นเข้าไปจี้ (cryotherapy) หรือเอาห่วงลวดไฟฟ้าจี้ตัดออกมาเป็นแว่น (loop electrosurgical excision procedure – LEEP) ก็ถือเป็นวิธีมาตรฐานทั้งสองอย่าง มาถึงตอนนี้แล้วไม่มีคำถามแล้วว่าจะทำดีไหม เหลือแต่ว่าจะทำวิธีไหนดี คำตอบก็คือวิธีไหนก็ได้ การที่หมอสูติเขาเสนอทำ cryo แสดงว่าเขาไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรมากมายเพราะคำอ่านมันกั๊กๆพิกล แต่ถ้าหากเขาส่องเข้าไปดูแล้วบริเวณผิดปกติกว้างและลึกกว่าที่คาดหมาย เขาอาจเปลี่ยนไปทำ LEEP ก็ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่เลือดตกยางออกมากกว่า แต่ก็มีข้อดีทีได้ชิ้นเนื้อออกมาตรวจทำให้มั่นใจได้ 100% ว่ายังไม่ได้เป็นมะเร็ง ดังนั้นต้องทำใจเผื่อไว้เลยว่าตั้งใจจะทำแค่ cryo แต่อาจจบลงด้วยการทำ LEEP ก็ได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

.........................................................
บรรณานุกรม
1. Solomon D, Davey D, Kurman R, Moriarty A, O'Connor D, Prey M, et al. The 2001 Bethesda System: terminology for reporting results of cervical cytology. JAMA. 2002;287:2114–9.
[อ่านต่อ...]

Panic disorder

คุณหมอครับ

ผมรักษาโรคความดันโลหิตสูงที่ร.พ.พญาไท 2 มาประมาณ 1 ปีแล้ว แต่เมื่อประมาณเดือนที่แล้วต้องเข้าไป admission กลางดึกเพราะมีอาการนอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว ซึ้งหลังจากตรวจคลื่นหัวใจ กับ x-ray หัวใจและตรวจเลืดแล้ว ไม่พบอาการโรคหัวใจ แต่ความดันคืนนั้นขึ้นสูงมาก คุณหมอให้ทานยา Sanax เพื่อให้นอนหลับ ก็อาการดีขึ้นหลังจากได้นอนหลับ กลังจากกลีบจากโรงพยาบาลก็พยายามไม่ทานยา sanax แต่มีอาการบางครั้งเหมือนกับอาการในบทความของโรค Panic Disorder ทุกอย่าง คือใจสั่น เหงื่อแตก หายใจขัด เหมือนอะไรติดคอ ซึ่งผมมีอาการแบบนี้มาประมาณเกือบปีแล้ว ไม่ใช่หลังจากออกจากโรงพยาบาลเมื่อเดือนที่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยทราบว่าเป็นอะไร และจะเป็นบ่อยเวลาขับรถกลับบ้าน ซึ่งอยู่ ๆ ก็จะเป็ยขึ้นมาเฉย ๆ อยากทราบว่าผมเป็น Panic Disorder หรือเปล่า เพราะดู ๆ แล้วอาการเหมือนกันทุกอย่าง และไม่ทราบว่ายา sanax ที่คุณหมอให้มาใช้รักษาได้หรือเปล่า แต่กลัวว่าจะง่วงเวลากินหลังจากมีอาการ หรือควรจะเป็นยาตัวอื่นๆ และไมทราบว่าที่ร.พ.พญาไท 2 มีคลีนิครักษาโรคนี้หรือเปล่าครับ

Watana


ตอบครับ


1. การวินิจฉัยโรคกลัวเกินเหตุ หรือ Panic disorder วินิจฉัยเอาจากอาการ ไม่มีการตรวจทางแล็บยืนยัน ดังนั้นถ้ามีอาการครบเกณฑ์โดยที่รู้แน่ชัดแล้วว่าไม่ได้เป็นโรคอื่น ก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ได้เลยครับ เกณฑ์วินิจฉัย (DSM-IV) นิยามโรคนี้ว่าอยู่ๆก็กลัวอะไรขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กลัวแบบสุดขีด (intense fear) ขึ้นถึงขีดสุดในเวลาไม่เกิน 10 นาที และต้องมีอาการร่วมคือ (1) กังวลว่าจะกลับเป็นอีก (2) กังวลว่ากลับเป็นแล้วจะมีผลเสียตามมา (3) มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปเพราะความกลัวนั้น ทั้งนี้อาการเหล่านี้ต้องไม่เกิดจากยา หรือการเจ็บป่วยอื่นใด และต้องเป็นอยู่นานเกินหนึ่งเดือน โดยต้องมีอาการอย่างน้อย 4 อย่างใน 13 อย่างต่อไปนี้
1.1 ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
1.2 เหงือแตก
1.3 ตัวสั่นหรือสะทกสะท้าน
1.4 หายใจสั้นๆขัดๆ
1.5 รู้สึกอะไรติดคอ หายใจไม่ได้
1.6 เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก
1.7 คลื่นไส้ ไม่สบายท้อง
1.8 เวียนหัว หรือเป็นลม
1.9 เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง คล้ายๆกับผีเข้า
1.10 กลัวคุมสติไม่อยู่ กลัวจะเป็นบ้า
1.11 กลัวตาย
1.12 รู้สึกชาๆตื้อๆหรือเหมือนมีแมลงไต่ที่ผิวหนัง
1.13 หนาวสั่นหรือร้อนวูบวาบ

2. เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่วงการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุ ยาที่ใช้จึงเป็นยาบรรเทาอาการ ยา Alprazolam (Xanax) ที่คุณได้รับมานั้นก็เป็นยายอดนิยมตัวหนึ่งในการรักษาโรคนี้ ยานี้ทำให้ง่วงได้ แต่ไม่มีอันตรายอย่างอื่น ไม่เสพย์ติด เพียงแต่อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่าต้องพึ่งยาจึงจะอยู่ได้ (psychological dependence) เคยมีคนไข้เขียนมาที่นี่แล้วเล่าให้ผมฟังว่าเป็นโรคนี้และกินยานี้ไปนับได้ถึง 3,000 เม็ด ซึ่งช่วยยืนยันว่าถึงไม่เสพย์ติด แต่ก็ทำให้กินกันจนลืมได้เหมือนกัน

3. ที่รพ.พญาไท 2 มีคลินิกจิตเวชซึ่งรักษาโรคนี้โดยตรงครับ เปิดทุกวัน ทั้งนี้คุณต้องทำใจก่อนนะว่าการรักษาทางจิตเวชในเมืองไทยเรานี้จะใช้ยาเป็นวิธีหลักแทบจะวิธีเดียวเลยหละ การรักษาร่วมอย่างอื่นเช่นการสอนให้คิดใหม่ (Cognitive therapy) หรือการทำพฤติกรรมบำบัด (behavioral therapy) เช่นการพาคนไข้กลับไปเจอกับสิ่งที่ทำให้กลัวซ้ำๆหลายๆครั้งจนดื้อด้านต่อความกลัวไปเองนั้น จะไม่ทำกัน เข้าใจว่าเพราะเสียเวลามาก หมอจึงไม่มีเวลาทำ ดังนั้นคุณมารพ.จะได้แต่ยา ส่วนการรักษาร่วมแบบอื่นคุณต้องทำเอง

4. ผมแนะนำเพิ่มเติมแบบหลังไมค์หน่อยนะ คืออยากให้คุณทำความเข้าใจกับ “จิตใจ” หรือ mind ของเราให้ถ่องแท้ คือใจนี้ประกอบด้วยกิจกรรมหรือพฤติกรรมทางจิตสามอย่างคือ (1) ความคิด หรือ though (2) ความรู้สึก หรือ feeling (3) ความรู้ตัวหรือ self awareness พฤติกรรมทั้งสามอย่างนี้จะเกิดได้ทีละอย่าง จะเกิดพร้อมกันไม่ได้ เช่นเมื่อกำลังคิด หรือกำลังกลัว เราจะไม่มีความรู้ตัว แต่อาจจะสลับกันเกิดวูบวาบวูบวาบได้ ความคิด จะก่อตัวแล้วพอกพูนกันเองขึ้นเป็นความคิดใหม่ๆ ต่อยอดกันไปเรื่อยๆ (mental formation) รวมทั้งต่อยอดไปเป็น feeling เช่นความกลัว ตัว feeling นี้เป็นการผสมโรงกันระหว่างส่วนของใจกับอาการทางร่างกาย เช่นถ้ากลัวก็จะมีใจสั่น เป็นต้น เรื่องนี้มีสองประเด็น ประเด็นที่ 1. คือต้องสร้างความรู้ตัวให้เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะความรู้ตัวจะเป็นตัวแทนที่หรือบล็อคความคิดและความรู้สึกโดยอัตโนมัติ ประเด็นที่ 2. คือการบล็อคความคิดและความรู้สึกจะใช้วิธีห้ามใจนั้นไม่ได้ ต้องใช้วิธีใช้ความรู้ตัวเฝ้ามองมันเฉยๆ (bare attention) นี่เป็นสุดยอดวิชาของเรื่องนี้ คุณลองเอาไปทำดูนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม
1. American Psychiatric Association. Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, Fourth Edition, Text Revision. Washington, DC: American Psychiatric Press; 2000.
2. American Psychiatric Association. Practice guideline for the treatment of patients with panic disorder. Work Group on Panic Disorder. American Psychiatric Association. Am J Psychiatry. May 1998;155(5 Suppl):1-34.
[อ่านต่อ...]

11 พฤศจิกายน 2553

Will my husband die soon, after bypass surgery.

Dear Dr. Sant,

Found your web page interesting. I would like to consult with you about my husband who had his open heart surgery in Aug 2010 and he is still now in the hospital for rehabilitation. He could not walk so long as only about 7-10 minutes and claimed that his left leg was still weak. Physically, he looks good but inside I do not know as at the beginning after the surgery he had the renal problem and had to do dialysis for eight times in a month. He has a good memory and could recall all after the surgery. I am afraid that in the long run, would he be paralyzed because of the malfunction of kidney, leg ,heart ? He had the heart attack before sending to the hospital and his heart stopped working for 3 times. How long he could live ? He smoked but never admitted it and before having the heart attack he said he never had any sign showing his heart problem..which is not true. He lied.

Please advise if he could live his life as before or he will die soon.

Thank you and best regards,
Vipa

ตอบครับ

1. ที่เขามีอาการเดินได้น้อย ขาไม่มีแรง ในระยะไม่กี่สัปดาห์แรกหลังผ่าตัดหัวใจนั้นเป็นธรรมดาครับ การผ่าตัดหัวใจเป็นการผ่าตัดที่ใหญ่มาก ผ่าแล้วจะสะง็อกสะแง็กอยู่นาน กว่าคนไข้จะฟื้นตัวได้เต็มที่ก็ประมาณ 6 เดือนผ่านไปแล้ว

2. การที่ต้องล้างไตหลังผ่าตัด ไม่ได้เป็นตัวกำหนดอัตราการรอดชีวิตในระยะยาว ผู้ป่วยล้างไตสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานไม่มีกำหนด แต่ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจหลอดเลือด ส่วนที่กังวลว่าจะเป็นอัมพาตเพราะไตไม่ดีนั้น เป็นความกังวลที่มากเกินไป การต้องล้างไตเพิ่มอุบัติการณ์ของการเป็นอัมพาตขึ้นไปกว่าปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่าไปกังวลถึงมันเลยครับ ข้อเสียของการต้องล้างไตมีอย่างเดียวเท่านั้นคือมันทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง แต่ปัจจุบันนี้การใช้ระบบล้างไตที่บ้านทำได้ง่าย ลองปรึกษาหมอเพื่อใช้วิธีล้างไตที่บ้านดูสิครับ

3. สามีสูบบุหรี่แต่ไม่เคยยอมรับ อันนี้เราก็คงต้องทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้เขาแล้วแหละครับ ชักชวนให้เขาเห็นคุณค่าของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในบั้นปลาย ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการจัดการปัจจัยเสี่ยงตัวเอ้ๆเช่นการเลิกบุหรี่ให้สำเร็จ เขาต้องการแรงหนุนนะครับ จึงจะเลิกบุหรี่ได้สำเร็จ

4. เขาจะอยู่ได้อีกนานหรือจะตายในไม่ช้านี้ โอ้..อันนี้ผมว่าเผลอๆพระเจ้าก็จะยังตอบไม่ได้เลยครับ ตัวกำหนดอัตราการรอดชีวิตที่สำคัญในคนไข้ล้างไตอย่างสามีคุณนี้คือโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของกล้ามเนื้อหัวใจตายที่เกิดขึ้นก่อนผ่าตัด และความสำเร็จของการจัดการปัจจัยเสี่ยงหลังผ่า(ตัดรวมทั้งการเลิกบุหรี่) การที่เขาหัวใจหยุดเต้นไปแล้วสามครั้งก่อนผ่าตัด เป็นตัวบอกว่ากล้ามเนื้อหัวใจคงเสียหายไปมากแล้ว และอาจจะไม่กลับมาดีดังเดิม ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว การที่เขาเดินสิบก้าวแล้วเหนื่อยบ่งบอกถึงภาวะหัวใจล้มเหลว แต่การจะประเมินภาวะหัวใจล้มเหลวว่ามีมากแค่ไหนต้องรอไปสักหกเดือนก่อนครับ ให้ผ่านระยะพักฟื้นจากการผ่าตัดไปก่อน ถ้าหกเดือนไปแล้วยังมีอาการหัวใจล้มเหลวชัดเจน เช่นเดินไม่กี่ก้าวก็เหนื่อย อย่างนี้ก็จะอยู่ได้อีกไม่นาน คือจากสถิติ 50% ของผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวระดับรุนแรงจะเสียชีวิตในเวลาไม่เกิน 1 ปีครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

ประจำเดือนไม่มาหลายเดือน ไม่ท้องด้วย จะทำอย่างไรดี

เรียนคุณหมอค่ะ

ไปผ่าตัดเนื้องอกในมดลูกมาได้เดือนกว่าแล้ว แต่ประจำเดือนยังไม่มาเลยค่ะ น่าจะเป็นเพราะอะไรคะ และควรทำอย่างไรดี
ประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายเมื่อ 15 ก.ย. และผ่าตัดไปเมื่อ 25 ก.ย. ค่ะ
...............................

ตอบครั้งที่ 1.

โอ้.. แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ย

ประเด็นที่ 1. คุณอายุเท่าไหร่แล้ว ใกล้เวลาเลือดจะไปลมจะมาหรือยัง
ประเด็นที่ 2. ทำไมคุณถึงต้องผ่าตัด เป็นเพราะมันมีอาการ หรือเป็นเพราะหมอบอกว่าเนื้องอกมันโตขึ้น ถ้าไปผ่าตัดเพราะอาการ เป็นอาการอะไร เป็นอาการผิดปกติของการมีประจำเดือนหรือเปล่า
ประเด็นที่ 3. คุณได้รับการผ่าตัดอะไรไป รังไข่ยังเหลืออยู่หรือเปล่า เหลือข้างเดียวหรือสองข้าง ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น มดลูกของคุณยังอยู่ดีหรือเปล่า หรือหมอเขายกยวงออกไปหมดแล้ว
ประเด็นที่ 4. เนื้องอกที่หมอตัดออกมา ผลการตรวจทางพยาธิเขาบอกว่าเป็นอะไร
ประเด็นที่ 5. คุณเคยท้องไปกี่ครั้ง มีบุตรหรือยัง มีกี่คน แท้งไปกี่ครั้ง บุตรคนเล็กอายุเท่าไร
ประเด็นที่ 6. คุณเคยหรืออยู่ในระหว่างคุมกำเนิดหรือเปล่า ถ้าคุม คุมด้วยวิธีไหน
ประเด็นที่ 7. การอยู่กับแฟน หมายถึงการมีเซ็กซ์นะ เป็นอย่างไรบ้าง ครั้งตั้งแต่หลังผ่าตัดมีอะไรกันไปบ้างแล้วหรือยัง เมื่อไรบ้าง
คุณให้ข้อมูลทั้งเจ็ดประเด็นนี้มาก่อน ผมถึงจะเดาแอ็กได้ว่าโอกาสที่ประจำเดือนคุณไม่มาอาจจะเกิดจากอะไรได้บ้าง..โอเค้?

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์


เรียนคุณหมออีกครั้งค่ะ

ขอขอบคุณคุณหมอมากค่ะ และตามประเด็นที่คุณหมอแจ้งนั้น ขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้ค่ะ

ประเด็นที่ 1 อายุ 43 น้ำหนัก 48-50 กก. สูง 154 ประจำเดือนมาช่วงวันที่ 10 กว่า ครั้งล่าสุดที่มาวันที่ 15 ก.ย. โดยเข้าผ่าตัดวันที่ 25 ก.ย. ค่ะ (คุณหมอตรวจฮอร์โมนให้ก่อนผ่าตัด เห็นว่ายังไม่ใกล้วัยหมดประจำเดือนค่ะ)

ประเด็นที่ 2-4 ปกติไม่เคยปวดท้องจากการมีประจำเดือนเลย และเป็นคนที่ประจำเดือนมาตรงกำหนด คือภายใน 28-30 วันค่ะ และใช้ผ้าอนามัยช่วงกลางวัน 2 แผ่น/วัน ค่ะ แต่อาการที่พบเมื่อช่วงเดือน มี.ค. – พ.ค. 2553 คือจะมีเลือดออกซึม ๆ กระปิดกระปอยในช่วงกลางของรอบที่จะมีประจำเดือน (ใช้ผ้าอนามัยแผ่นบาง ๆ 1-2 แผ่น/วัน) เลยทำให้รอบประจำเดือนคลาดเคลื่อนไป ปรึกษาสูตินรีแพทย์ในช่วงแรก ๆ (คุณหมอไม่ได้ตรวจอัลตราซาวด์ แต่กดหน้าท้องพบว่ามีก้อนเนื้อค่ะ) ประกอบกับให้ข้อมูลคุณหมอว่าเคยตรวจร่างกายประจำปี (3-5 ปีก่อน) พบเนื้องอก 1 ก้อน ขนาด 5 cm. คุณหมอก็วินิจฉัยว่าอาจเกิดจากความเครียดที่มีมากในช่วงนั้น หรือความผิดปกติของเนื้องอกที่เคยตรวจพบ และแนะนำให้ follow ดูก่อน แต่หลังจากนั้นเดือน มิ.ย. – ก.ค. ประจำเดือนจะมาเยอะมาก ใช้ผ้าอนามัยช่วงกลางวัน 3-4 แผ่น/วัน สีเลือดจะออกแดง ๆ เลยปรึกษาสูตินารีแพทย์และทำอัลตราซาวด์ พบเนื้องอกขนาดใหญ่ 5 cm. 1 ก้อน และ 2-3 cm. อีก 3 ก้อน จึงแนะนำให้ผ่าเนื้องอกแบบเปิดหน้าท้องค่ะ เข้ารับการผ่าตัดเมื่อ 25 ก.ย. ค่ะ (ตามข้อ 1) คุณหมอพบว่ามีก้อนเนื้อขนาดใหญ่ 5 cm. 1 ก้อน , ขนาด 2-3 cm. 3 ก้อน และเม็ดเล็กเม็ดน้อยหลายก้อน รวมที่ผ่าออกทั้งหมดเป็นเนื้องอก 11 ก้อน และซีสที่ท่อรังไข่ 1 ก้อน คุณหมอแจ้งว่าได้เคลียร์ออกให้ทั้งหมด โดยมดลูกและรังไข่ยังอยู่ครบค่ะ ผลการตรวจชิ้นเนื้อเป็นปกติดีไม่พบปัญหา หลังผ่าตัดได้ 2 อาทิตย์ (วันที่ 10 ต.ค.) คุณหมอนัดดูแผล ก็ไม่พบปัญหาอะไรค่ะ แผลสมานดี กดไม่เจ็บ ไม่มีอาการติดเชื้อหรืออักเสบ คุณหมอยังบอกว่าอีกเดือนนึงก็สามารถตั้งท้องได้แล้ว

ประเด็นที่ 5-6 แต่งงานมา 16 ปี ไม่เคยคุมกำเนิด แต่ยังไม่มีบุตร

ประเด็นที่ 7 หลังผ่าตัดยังไม่ได้มีอะไรกับแฟน
ตอนนี้ (10 พ.ย.) ประจำเดือนก็ยังไม่มาค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ตอบครั้งที่ 2.

การที่ประจำเดือนหายไปนั้น ไม่ได้เกิดจากการตั้งครรภ์อย่างแน่นอน (แป่ว.ว..ว...ว) เพราะประจำเดือนครั้งสุดท้ายมา 15 กย. คุณไปผ่าตัด 25 กย. ซึ่งไข่ยังไม่ทันตก แล้วหลังผ่าตัดจากวันนั้นจนถึงวันนี้ คุณก็ยังไม่เคยมี พสพ. (ขออนุญาติใช้ศัพท์คนไข้วัยรุ่น) กับแฟนเลย จึงเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะตั้งครรภ์

ปัญหาประจำเดือนไม่มา ทางหมอเราแบ่งออกเป็นสองแบบ แบบที่หนึ่งคือไม่เคยมาตั้งแต่เกิด เรียกว่า primary amenorrhea กับแบบที่สองคือเคยมาดีๆอยู่แล้วก็ไม่มา อย่างกรณีของคุณนี้ หมอเขาเรียกว่า secondary amenorrhea สาเหตุของแบบที่สองนี้ไล่เลียงลงมาตามกลไกของการเกิดเมนส์ ได้ดังนี้

1. สาเหตุจากความผิดปกติของสมองส่วนไฮโปทาลามัสไม่ผลิตฮอร์โมนชื่อ GnRH ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้ผลิตฮอร์โมนกระตุ้นโพรงในรังไข่ (FSH) ความเพี้ยนของไฮโปทาลามัสนี้อาจเกิดจาก
1.1 โรคกลัวอ้วนจนไม่ยอมกิน (anorexia nervosa) หรือกินแล้วอ๊วก กินแล้วอ๊วก (bulemia) กรณีของคุณ ดูจากดัชนีมวลกายของคุณซึ่งปกติอยู่ที่ระดับ 20.2 แสดงว่าคุณไม่ได้เป็นโรคนี้
1.2 โรคยอดหญิงนักกีฬา (female athlete triad) คือหญิงที่เล่นกีฬาบ้าเลือดควบกับการจำกัดอาหาร พฤติกรรมเกินพอดีเช่นนี้ทำให้ไฮโปทาลามัสนึกว่ากำลังเผชิญความเครียดขนาดหนัก จึงบล็อกประจำเดือน โรคนี้ที่เรียกว่า triad เพราะมีเอกลักษณ์สามอย่างคือ (1) มีความผิดปกติของการกิน (2) กระดูกพรุน และ (3) ไม่มีประจำเดือน
1.3 ความเครียดทางอารมณ์ก็ดี ทางร่างกายก็ดี ทำให้ไฮโปทาลามัสบล็อกประจำเดือนได้
1.4 โรคขาดอาหาร
1.5 การใช้ยาฉีดคุมกำเนิด

2. สาเหตุจากต่อมใต้สมองไม่ผลิตฮอร์โมนกระตุ้นโพรงในรังไข่ (FSH) มีหลายโรคเช่น
2.1 โรคฮอร์โมนกระตุ้นต่อมน้ำนมขึ้นสูง (hyperprolactinemia) ธรรมดาฮอร์โมนกระตุ้นต่อมน้ำนมหรือโปรแล็คตินนี้ผลิตมาจากหายที่ แต่ที่สำคัญคือจากต่อมใต้สมอง บางทีต่อมใต้สมองเกิดเนื้อตาย หรือมีเลือดออก หรือมีเนื้องอก ทำให้เพี้ยนไปได้ พอผลิตฮอร์โมนนี้ออกมามาก ร่างกายก็จะเข้าใจผิดว่านี่กำลังตั้งครรภ์เลี้ยงนมลูกอยู่ก็เลยหยุดผลิตฮอร์โมนกระตุ้นโพรงในรังไข่ โรคนี้พบบ่อยพอควร ดังนั้นผู้หญิงทุกคนที่ประจำเดือนไม่มาโดยไม่ได้ตั้งครรภ์ รวมทั้งตัวคุณเองด้วย ต้องตรวจพิสูจน์ว่าไม่ได้มีฮอร์โมนโปรแลคตินสูงเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นโรคนี้
.2.2 โรคความผิดปกติของต่อมใต้สมองจากสาเหตุอื่น เช่นสมองอักเสบ เนื้อต่อมใต้สมองตายหลังคลอด (Sheehan syndrome) เป็นต้น

3. สาเหตุจากรังไข่ผิดปกติ ทำให้ผลิตฮอร์โมนเพศไม่ได้ ซึ่งก็มีอีกหลายโรค ได้แก่
3.1 โรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS)
3.2 เนื้องอกรังไข่ที่ผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนมาลบล้างฮอร์โมนเพศหญิง
3.3 โรครังไข่ล้มเหลวก่อนวัยอันควร (premature ovarian failure) คำว่าก่อนวัยอันควรหมายความว่าก่อนอายุ 40 ปี มีอาการขาดฮอร์โมนเพศ เช่นผิวหนังแห้ง อวัยวเพศแห้ง เบื่อเซ็กซ์ เป็นต้น บางทีรังไข่ก็ล้มเหลวจากสาเหตุอื่นเช่นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง ก็มี

4. สาเหตุจากความผิดปกติของต่อมหมวกไต เช่นมีเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต ผลิตฮอร์โมนสะเตียรอยด์หรือแอนโดรเจนออกมามาก หรือเป็นโรคคุชชิ่ง (Cushing disease) คือมีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองโน่น ทำให้ต่อมใต้สมองปล่อยฮอร์โมนมากระตุ้นต่อมหมวกไตมาก ต่อมหมวกไตก็เลยผลิตฮอร์โมนสะเตียรอยด์มาก ก็เลยบวมฉุหน้ากลมเป็นพระจันทร์

5. สาเหตุจากต่อมไทรอยด์ไม่ผลิตฮอร์โมน (ไฮโปไทรอยด์)

6. สาเหตุจากตัวมดลูกเองผลิตประจำเดือนไม่ได้แล้ว เช่นอักเสบจนเยื่อบุหลอมติดกันไปหมด (Asherman’s syndrome)

ทีนี้จะทำอย่างไรดี แนะนำให้คุณทำเป็นขั้นตอนดังนี้นะครับ

ขั้นที่ 1. เนื่องจากเพิ่งผ่าตัดมาใหม่ ควรรอดูเชิงไปก่อนสัก 3 เดือน ในระหว่างที่รอนี้มี พ.ส.พ. กับ ส.ม. ได้ตามปกติ ฟูมฟักสุขภาพให้ดี ปรับโภชนาการให้ถูกต้อง ออกกำลังกายให้ได้ระดับมาตรฐานทุกวัน นอนหลับให้พอเพียง ครบสามเดือนแล้วถ้าเมนส์ยังไม่มา ก็ค่อยไปทำขั้นที่ 2

ขั้นที่ 2. กลับไปหาหมอ คราวนี้นอกจากจะหาหมอสูติแล้วยังต้องไปหาหมอเฉพาะทางต่อมไร้ท่อ (endocrinologist) ด้วย โดยบอกหมอว่าอย่างน้อยขอตรวจระดับฮอร์โมนโปรแล็คติน ฮอร์โมนไทรอยด์ และสะเตียรอยด์ แล้วทำใจไว้เลยนะ ว่าถ้าข้อมูลด้านฮอร์โมนบ่งชี้ แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจ MRI ของสมองเพื่อหาสาเหตุที่ไฮโปทาลามัสหรือต่อมใต้สมอง หรือทำ CT ช่องท้องเพื่อดูต่อมหมวกไต ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการตรวจวินิจฉัยที่มีเหตุผล ไม่ใช่หาเรื่องตรวจเอาเงิน เพราะโรคที่หมอเขาค้นหานั้นเป็นโรคที่มีอันตรายต่อชีวิต ไม่ใช่แค่ทำให้ไม่มีประจำเดือน

ขั้นที่ 3. ถ้าตรวจทั้งหมดนั้นแล้วพบว่าระดับฮอร์โมนก็ปกติหมด ตรวจสมองก็ไม่มีเนื้องอกที่สมอง ตรวจซีที.ท้องก็ไม่มีเนื้องอกที่รังไข่และต่อมหมวกไต คราวนี้ถือว่าเหตุที่ซีเรียสนั้นไม่มีแล้ว คุณจะหยุดทุกอย่างอยู่แค่นี้ ใช้ชีวิตที่เหลือแบบ “ทำใจ” ก็ถือว่าโอเค. แต่ถ้าคุณยังไม่แล้วใจ คือคุณอยากมีลูกจริงจังใจจะขาด ก็ต้องไป

ขั้นที่ 4. ผมแนะนำให้ไปคลินิก Fertility Clinic ผมจำไม่ได้ว่าเขาเรียกชื่อไทยว่าอะไร พูดง่ายๆว่าคลินิกทำลูกก็แล้วกัน ซึ่งแน่นอนว่าหมอเขาจะต้องส่องกล้องตรวจมดลูก (colposcopy) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มีความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูกแบบ Asherman ‘s syndrome ถ้าส่องแล้วพบว่าโพรงมดลูกปกติดี หมอเขาก็จะใช้ฮอร์โมนช่วยกระตุ้นการตกไข่เพื่อให้มีประจำเดือนและมีลูกได้


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

09 พฤศจิกายน 2553

เป็นสาวแต่เจ็บหน้าอก

เรียนคุณหมอดิฉันอายุ 26 ปี มีอาการเจ็บหน้าอกเป็นพักๆ ร้าวไปที่แขนขวา(เจ็บมากๆ แล้วก็หายปวด สักพักก็เจ็บใหม่) เป็นมา 4 วัน แล้วค่ะ อยากทราบว่าเป้นเพราะอะไรค่ะ หรือว่าเป็นเพราะอากาศเย็น

.................

ตอบครับ

อาการเจ็บหน้าอก ร้าวไปแขนขวา เป็นพักๆ ไม่สัมพันธ์กับการออกกำลังกาย เป็นอาการไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งไม่เกี่ยวกับโรคหัวใจขาดเลือด ส่วนสาเหตุนั้นอาจเป็นได้หลายอย่าง เช่น

(1) การปวดกล้ามเนื้อหน้าอกจากกรดแล็คติค (lactic acid) คั่ง ซึ่งมักเกิดหลังจากการใช้กล้ามเนื้อแบบต้องออกแรงมากๆในระยะเวลาสั้นๆ โดยที่เราเองอาจไม่รู้ตัว เช่นเอามือง้างเปิดประตูหนักๆ เอามือเขย่งยันตัวเองขึ้นกำแพง หรือแม้กระทั่งการไอหรือจามแรงๆหลายๆครั้ง เป็นต้น อาการปวดด้วยเหตุนี้อาจจะเป็นๆหายๆอยู่นาน บางครั้งนานหลายสัปดาห์ ถ้าไปหาหมอ หมอก็จะบอกว่าเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ

(2) เกิดจากการฟกช้ำหรือระบบของกล้ามเนื้อและเอ็น โดยมีสาเหตุจากการกระทบกระแทก บางครั้งก็เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัวเช่นกัน บางครั้งก็มีรอยฟกช้ำดำเขียวให้เห็น บางครั้งก็ไม่มี อาการปวดแบบนี้จะเป็นอยู่นานกว่าแบบแรก บางทีอยู่นานถึง 6 สัปดาห์ ถึงสามเดือน หรือนานกว่านั้น อากาศเย็นจะทำให้อาการปวดจากกล้ามเนื้อและเอ็นจากภาวะระบมนี้เด่นชัดขึ้น

การปวดทั้งสองแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษา มันหายของมันเอง ยาทั้งหมดที่ใช้เป็นยาบรรเทาอาการปวดเท่านั้น ไม่มียาอะไรทำให้มันหายเร็วขึ้นได้ ความเชื่อที่ว่ายาทาฮิรูดอยด์ก็ดี ยาแดนเซ่นหรือยาทาเรพาริ่ลแก้บวมก็ดี ทำให้มันหายเร็วขึ้นนั้น เป็นความเชื่อที่เหลวไหลไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์รองรับ ยาพวกนี้พวกหมอเรียกเล่นๆว่า “ยาผีบอก” แต่เวลาไปหาหมอบางหมอที่สุภาพหน่อยก็จะจ่ายยาผีบอกพวกนี้ให้บ้างเหมือนกัน เพราะไม่มีอะไรจะให้ แต่ถ้าไปเจอหมอไม่สุภาพก็อาจจะไล่กลับบ้านแล้วบอกว่าไม่มียารักษา ซึ่งเป็นความจริง แต่หมอแบบหลังนี้ถ้าไม่ปรับตัวก็จะสูญพันธ์ในไม่ช้าเพราะคนไข้ไม่ชอบ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

มีเซ็กซ์แล้วกี่วันจึงจะตรวจการตั้งครรภ์พบ

ฉีดยาคุมมาประมาณเกือบ 3 ปี แล้วแต่ในระยะเวลา 3 ปีก็ฉีดบ้างไม่ฉีดบ้าง แล้วประจำเดือนไม่มาเลยแต่มีอาการปวดท้องคล้ายประจำเดือนจะมาแต่ก็ไม่มาทุกเดือน ตอนนี้หยุดฉีดไปประมาณเกือบ 6 เดือนแล้วอยากทราบว่าหลังจากมีเพศสัมพันธ์กี่วันจะรู้ว่าท้องรึป่าว แล้วทำยังไงให้ประจำเดือนมาปกติค่ะ

พัชราณี

ตอบครับ

1. ยาฉีดคุมกำเนิด ไม่แนะนำให้ใช้นานเกิน 2 ปี หากเกินนั้นจะมีผลเสียตามมามากมายรวมทั้งประจำเดือนหายไปเลยเช่นกรณีของคุณนี้เป็นต้น

2. กรณีพึ่งการนับประจำเดือนไม่ได้ จะตรวจการตั้งครรภ์ได้เมื่อไรหลังการมีเพศสัมพันธ์ ให้นับวันที่มีเพศสัมพันธ์เป็นวันที่ 0 ให้เวลาสะเปิร์มอ้อยอิ่งอยู่กว่าจะได้พบกับไข่ 0-2 วัน เมื่อพบกับไข่แล้ว เผื่อเวลาที่ไข่ต้องเดินทางไปฝังตัวที่มดลูกอีก 6-12 วัน เมื่อฝังตัวแล้วหลังจากนั้นอีก 3-4 วันก็จะตรวจฮอร์โมนตั้งครรภ์ (HCG) ในเลือดพบ และหลังจากนั้นอีก 2-3 วันก็จะตรวจฮอร์โมนในปัสสาวะพบ ดังนั้นสำหรับคนที่นับประจำเดือนไม่ได้เลย จากวันมีเพศสัมพันธ์ถึงวันตรวจการตั้งครรภ์โดยวิธีตรวจปัสสาวะจะยืนยันว่ามีการตั้งครรภ์ได้ใช้เวลา 11-21 วันครับ

3. ทางเลือกที่จะให้กลับมีประจำเดือนปกติ มีสามทาง คือ

3.1 ถ้าไม่ต้องการคุมกำเนิดแล้ว ไม่ต้องทำอะไร รอลูกเดียว

3.2 ถ้าต้องการคุมกำเนิด ให้ใส่ห่วงแล้วรออีกเหมือนกัน

3.3 เปลี่ยนไปคุมกำเนิดด้วยวิธีกินยาคุม จะมีเลือดออกทันทีที่ยาหมดแผง แม้จะไม่ใช่ประจำเดือนจริงแต่ก็อาจช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้ แต่วิธีนี้ผมไม่แนะนำ เพราะคุณใช้ฮอร์โมนคุมกำเนิดมานานเกินไปแล้ว ควรเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น เช่นใส่ห่วง หรือถ้าเลิกคิดมีบุตรแล้วก็ทำหมันไปเลยดีกว่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

หูดที่นิ้วมือทำให้เป็นโรคหงอนไก่ที่อวัยวเพศได้หรือไม่

คุณหมอคะ แฟนเป็นหูดที่ฝ่ามือ ใกล้นิ้วโป้ง แล้วดิฉันเป็นหูดหงอนไก่หลังจากที่เขาหายมา 7 เดือนแล้ว อยากทราบว่าหูดทั้งสองนี้สัมพันธ์กันไหมคะ เกิดจากสาเหตุเดียวกันรึป่าวคะ รบกวนไขปัญหาข้องใจหน่อยนะคะ

...................................................

ตอบครับ

ทั้งหูดผิวหนัง (common wart) และหูดหงอนไก่ (condyloma accuminata) ต่างก็เกิดจากไวรัส HPV เหมือนกันแต่คนละสายพันธ์ (type) หมายความว่าไวรัสเอ็ชพีวีเองก็มีหลายสายพันธ์ เหมือนมนุษย์เราก็มีสายพันธ์ฝรั่งผิวขาว นิโกร มองโกลอยด์ เป็นต้น หูดผิวหนังส่วนใหญ่เกิดจากเอชพีวี.สายพันธ์ 2 และ 4 ส่วนหงอนไก่เกิดจากเอ็ชพีวี.สายพันธ์ 6 และ 11 ทั้งนี้เป็นคนละเรื่องกับมะเร็งปากมดลูกซึ่งเกิดจากสายพันธ์ 16 และ 18 ทั้งสองสายพันธ์หลังนี้ถูกจึงจัดว่าเป็นสายพันธ์ที่มีความเสี่ยงสูง

ความรู้เรื่องสายพันธ์ของไวรัสเอ็ชพีวี.มีประโยชน์ในการเลือกชนิดของวัคซีนป้องกันไวรัสเอ็ชพีวี. เพราะวัคซีนแต่ละยี่ห้อ ครอบคลุมจำนวนและชนิดของสายพันธ์ไม่เท่ากัน

กรณีของคุณ แฟนคุณอาจมีไวรัสเอ็ชพีวี.ตุนอยู่ในตัวหลายสายพันธ์ แล้วปล่อยมาให้คุณแบบเป็นชุด บางสายพันธ์ที่ไม่ก่ออาการในเขาอาจมาก่ออาการที่เราก็เป็นได้ เพราะคนติดเชื้อไวรัสเอ็ชพีวี.มาแล้ว ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดอาการไปทุกคน ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคนครับ


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

จริงหรือ..ความหวานของเมเปิลไซรัพให้พลังงานน้อยกว่าน้ำตาลทราย

จริงหรือไม่ที่ว่าน้ำตาล Maple Syrub มีแคลรอรี่น้อยกว่าน้ำตาลทราย คนเป็นเบาหวานรับประทานได้

.................

ตอบครับ

ประเด็นที่ 1. น้ำตาลในเมเปิ้ลไซรัพให้พลังงานน้อยกว่าน้ำตาลทรายจริงไหม.. คำตอบคือไม่จริงครับ เมเปิ้ลไซรัพของแท้ ประกอบด้วยน้ำตาล 66% เกือบทั้งหมดเป็นน้ำตาลซูโครส (sucrose) เหมือนกับน้ำตาลในพืชอื่นๆเช่นอ้อยเป็นต้น ให้แคลอรี่เท่ากัน คือ 1 กรัมให้ 4 แคลอรี่ เท่ากับน้ำตาลทรายทุกประการ

เอกลักษณ์ของเมเปิ้ลไซรัพอยู่ที่มีแร่ธาตุบางชนิดเช่นสังกะสี แมงกานีส และน้ำมันหอมระเหยต่างๆเช่นวานิลลิน ในสัดส่วนที่ทำให้มีรสและกลิ่นเฉพาะตัวลอกเลียนได้ยาก แต่ก็มีคนทำของปลอมออกมาขายจนได้ ส่วนคุณวิเศษอื่นๆนอกเหนือจากการเป็นน้ำหวานธรรมดานั้น ไม่มีหลักฐานใดๆทางการแพทย์ยืนยันครับ

ประเด็นที่ 2. คนเป็นเบาหวานกินน้ำตาลได้หรือไม่ ตรงนี้ขอเคลียร์นิดหนึ่งนะครับ เราไปตั้งชื่อโรค diabetes ในภาษาไทยว่าเบาหวาน ก็เลยพาลตีความเอาว่าเบาหวานห้ามกินของหวาน แต่ของอื่นที่มันๆหรือไม่หวานกินได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดเป้าไปมาก

ความจริงคือสิ่งที่แสลงกับโรคเบาหวานคือการได้รับพลังงาน (แคลอรี่) ส่วนเกินจากอาหารมากเกินไป พลังงานส่วนใหญ่มาจากอาหารไขมัน เพราะหนึ่งกรัมให้ถึง 9 แคลอรี่ รองลงมามาจากคาร์โบไฮเดรท คือหนึ่งกรัมให้ 4 แคลอรี่ จะหวานหรือไม่หวานหากเป็นคาร์โบไฮเดรตก็ให้แคลอรี่เท่ากัน ดังนั้นคนเป็นเบาหวานต้องระวังไขมันเป็นอันดับหนึ่ง คาร์โบไฮเดรตเป็นอันดับสอง ของหวานก็เป็นคาร์โบไฮเดรตอย่างหนึ่ง จึงถือว่าแสลงต่อคนเป็นเบาหวาน แต่ไม่สาหัสเท่าไขมัน ซึ่งแสลงมากที่สุด


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

02 พฤศจิกายน 2553

การลดความอ้วน (ภาค 1. ภาพรวมของโรคอ้วน)

คุณหมอยังไม่ได้ตอบคำถามที่สัญญาว่าจะตอบให้หนูเลย เรื่องการลดความอ้วน หลังจากรักษาไฮโปไทรอยด์แล้ว ลืมหนูหรือเปล่าคะ
เมียว

ตอบครับ

ไม่ลืมครับ แต่ที่ยังไม่ตอบสักทีเพราะเรื่องการลดความอ้วนนี้มันมีประเด็นมาก และต้องคุยกันอย่างลึกซึ้ง เพราะการลดความอ้วนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ระดับโลกเลยทีเดียวเชียว คุยกันสามวันสามคืนไม่จบ ผมจึงตัดสินใจว่าจะทยอยเขียนตอบแยกเป็นสามตอน คือ (1) ภาพรวมของโรคอ้วน (2) โภชนบำบัด (3) การออกกำลังกาย ฉบับนี้เอาแค่ตอนแรกก่อนนะ

ตอนที่ 1. ภาพรวมของโรคอ้วน



นิยามของโรคอ้วน

ความอ้วนหมายถึงการมีไขมันส่วนเกินสะสมไว้ในร่างกายมาก ดัชนีมวลกาย หรือ BMI (ซึ่งได้จากการเอาน้ำหนักเป็นกก.ตั้ง แล้วเอาส่วนสูงเป็นเมตรไปหารสองครั้ง) เป็นตัววัดความอ้วนที่มีความสัมพันธ์ตรงกับปริมาณไขมันส่วนเกินสะสมในร่างกาย โดยนิยามโรคอ้วนว่า

ดัชนีมวลกาย 25 กก./ตรม. ขึ้นไปคือน้ำหนักเกิน (overweight หรือเกรด I)


ดัชนีมวลกาย 30 กก/ตรม. ขึ้นไปคืออ้วน (obesity) ซึ่งยังแบ่งเป็นสองเกรด คือ

เกรด II คือดัชนีมวลกาย 30-39.9

เกรด III คือดัชนีมวลกาย 40 ขึ้นไป ซึ่งในเกรด III นี้ก็ยังแบ่งต่อไปอีกเป็นสองระดับ คือ

อ้วนร้ายแรง (morbid obesity) คือดัชนี 40-49.9

อ้วนซุปเปอร์ (super obese) คือดัชนีมวลกาย 50 ขึ้นไป

ข้อพึงระวังในเรื่องนิยามคือในคนเอเชียแม้ดัชนีมวลกายไม่สูงมากแต่ก็อาจมีไขมันสะสมซ่อนอยู่ได้มาก ดังนั้นแพทย์ในเอเซียบางรายจึงนิยามความอ้วนของคนเอเซียด้วยดัชนีมวลกายที่ต่ำกว่าของสากล คือถ้า 23 ขึ้นไปถือว่าน้ำหนักเกิน และ 25 ขึ้นไปถือว่าอ้วน


ผลเสียของความอ้วน

ความอ้วนทำให้เป็นโรคกับทุกระบบ ได้แก่

1. ระบบหัวใจหลอดเลือดทำให้เป็น ความดันเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจโต กล้ามเนื้อหัวใจพิการ ความดันหลอดเลือดในปอดสูง เป็นเส้นเลือดขอดที่ขามาก และขาบวมจากเลือดดำไหลกลับได้ช้า

2. ระบบประสาทและสมอง ทำให้เป็นอัมพาต ความดันในกะโหลกศีรษะสูง การรับความรู้สึกของปลายประสาทผิดปกติ (paresthetica)

3. ระบบทางเดินอาหารทำให้เป็นโรคของถุงน้ำดี เช่นเป็นนิ่วหรืออักเสบ ไขมันแทรกตับ ตับอักเสบจากไขมันโดยไม่เกี่ยวกัแอลกอฮอล์ (non alcoholic steatohepatitis หรือ NASH) และทำให้เป็นกรดไหลย้อน

4. ระบบการหายใจทำให้เป็นโรคนอนกรนและหยุดหายใจขณะนอนหลับ กลุ่มอาการหอบเพราะอ้วน (Pickwickian syndrome) ติดเชื้อในปอดง่าย และเป็นหอบหืดง่าย

5. ระบบกระดูกและข้อ ทำให้เกิดข้อเสื่อม ขาโก่ง (coxa vara) หัวกระดูกขาหลุดเลื่อนออกจากเบ้าตะโพก ปวดหลังเรื้อรัง

6. ระบบน้ำเหลือง คนอ้วนจะมีอาการขาบวมจากน้ำเหลืองไหลกลับได้ช้า

7. ระบบเมตาโบลิสม์ โรคอ้วนทำให้เกิดภาวะดื้ออินสุลิน และเป็นเบาหวานประเภท 2

8. ระบบสืบพันธ์ โรคอ้วนทำให้เป็นหนุ่มสาวเร็วกว่ากำหนด เป็นหมัน ไม่มีการตกไข่ ไม่มีประจำเดือน เป็นโรคมีถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS)

9. ในง่สูติศาสตร์ความอ้วนทำให้เป็นความดันเลือดสูงขณะตั้งครรภ์ ทารกมีขนาดใหญ่ และทารกติดขณะคลอด

10. ในแง่การเป็นมะเร็ง โรคอ้วนทำให้เป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มากขึ้น และอาจทำให้เป็นมะเร็งปอดมากขึ้นด้วย

11. ในแง่จิตวิทยา โรคอ้วนทำให้รู้สึกมีปมด้อย และทำให้เกิดโรคซึมเศร้า

12. ในแง่ความเสี่ยงของการผ่าตัด คนอ้วนที่เข้ารับการผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนสูง เช่น ติดเชื้อ ปอดบวม หลอดเลือดดำอักเสบ (DVT) และลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันปอด


อ้วนลงพุงกับอ้วนตะโพกผาย

การอ้วนแบบลงพุง (android obesity) ซึ่งเกิดจากมีไขมันสะสมที่พังผืดลำไส้และอวัยวะในท้องมากทำให้เป็นโรคได้มากกว่าอ้วนแบบตะโพกผาย (gynecoid obesity) ทางการแพทย์ถือว่ามีการอ้วนแบบลงพุงจนถึงระดับเสี่ยงเมื่อวัดเส้นรอบพุงได้มากกว่า 94 ซม.ในผู้ชายและมากกว่า 80 ซม.ในผู้หญิง และหากเส้นรอบพุงขึ้นไปถึง 102 ซม.ในผู้ชาย หรือ 88 ซม.ในผู้หญิงถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากและถือเป็นเกณฑ์ที่ต้องรักษาแบบรุนแรง



สาเหตุของโรคอ้วน

สาเหตุของโรคอ้วนเกิดจากการสูญเสียดุลของแคลอรี่ โดยที่แคลอรี่ที่กินเข้าไปในแต่ละวัน มีปริมาณมากกว่าแคลอรี่ที่เผาผลาญทิ้งไปได้ในแต่ละวัน เมื่อเจาะลึกลงไปจะพบว่าสาเหตุของโรคอ้วนเป็นการผสมกันของเหตุต่างๆหลายอย่างได้แก่

1. มีการออกกำลังกายน้อยกว่าที่ควร

2. โภชนาการไม่ถูกส่วน อาหารที่กินมีสัดส่วนของอาหารให้พลังงานเช่นไขมัน คาร์โบไฮเดรต มากเกินไป

3. พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่นชอบนอนอืดดูโทรทัศน์ ชอบจ่อมเล่นเกมส์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน

4. พฤติกรรมการกินผิดปกติ เช่น กินแบบพายุบุแคม กินไม่รู้จักอิ่ม ชอบแสวงกิน หรือพฤติกรรมสืบเนื่องเช่นเลิกบุหรี่แล้วหันมากินมากแทน

5. ฮอร์โมน เช่นสะเตียรอยด์ ยาคุมกำเนิด

6. กินยาบางชนิดซึ่งทำให้อ้วน เช่นยากันชัก ยาเบาหวาน

7. วัฒนธรรมของสังคมหรือกลุ่มคน บางกลุ่มคนยึดเอาการกินเป็นวิถีหลักของชีวิต

8. ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ในประเทศพัฒนาแล้ว คนยิ่งจน ยิ่งอ้วน

9. กรรมพันธุ์ ประมาณ 5% ของโรคอ้วนในเด็กเกิดจากพันธุกรรม พูดง่ายๆว่ามียีนอ้วน (obesity gene) ซึ่งปัจจุบันนี้ค้นพบแล้วหลายตัว ซึ่งมักเป็นยีนที่ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนฮอร์โมนบางตัวได้น้อยลง เช่น

10. ฮอร์โมน Proopiomelanocortin (POMC) และ alpha–melanocyte-stimulating hormone (alpha-MSH) ที่มีฤทธิ์กระตุ้นสมองให้ลดการกินอาหาร หรือฮอร์โมนเลปติน (leptin) ซึ่งมีหน้าที่แจ้งข่าวความอิ่มอาหารให้ไฮโปทาลามัส เป็นต้น

11. เป็นโรคซึ่งทำให้เกิดความอ้วน (secondary obesity) ได้แก่

11.1โรคไฮโปไทรอยด์

11.2โรคร่างกายผลิตสะเตียรอยด์มากเกิน (Cushing’s syndrome)

11.3โรคเนื้องอกที่ผลิตอินสุลิน (Insulinoma)

11.4โรคอ้วนจากไฮโปทาลามัสผิดปกติ (Hypothalamic obesity)

11.5โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic ovarian syndrome)

11.6ความผิดปกติแต่กำเนิดเช่นกลุ่มอาการหน้ายาวจมูกใหญ่ ( Prader-Willi Syndrome) หรือโรคกรรมพันธ์ที่ทำให้ร่างกายดื้อต่อฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (pseudohypoparathyroid)

11.7โรคขาดฮอร์โมนเพื่อการเติบโต (Growth hormone deficiency)

11.8โรคขาดฮอร์โมนเพศ (hypogonadism)

11.9โรคซึมเศร้า ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติและการไม่ออกกำลังกาย



หากจะลดความอ้วน ให้ลืมเรื่องยาไปได้เลย

ประวัติศาสตร์การใช้ยาลดความอ้วนของวงการแพทย์ เป็นโศกนาฏกรรมมากกว่าเป็นความสำเร็จ ยาลดความอ้วนที่ FDA อนุญาตให้ใช้ตอนนี้เหลืออยู่ตัวเดียวคือ Olistat (Xenical) ลดความอ้วนได้ 10% ในเวลาสองปี แต่มีผลข้างเคียงที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่รับไม่ได้ นั่นคือการมีอุจจาระเป็นไขมันเล็ดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจบ่อยๆ และเล็ดแทบทุกครั้งที่ผายลม ยาลดความอ้วนตัวอื่นๆถูกถอนออกจากตลาดไปหมดแล้วเนื่องจากมาพบภายหลังว่ามีพิษมากกว่าประโยชน์ รวมทั้งยาตัวเก่ง Sibutramine (Reductil) ก็คนหัวว่อกเอามาบดใส่กาแฟแล้วโฆษณาว่าเป็นกาแฟลดความอ้วน ก็เพิ่งถูกถอนจากตลาดไปตั้งแต่เดือน ตค. 53 นี่เอง เนื่องงานวิจัยพบว่าคนใช้ยานี้พบจุดจบแบบร้ายแรงทางด้านหัวใจมากขึ้นถึง 16% ขณะที่ลดน้ำหนักได้มากกว่ายาหลอกเพียง 2.5%

แต่ทุกวันนี้ในตลาดมืดยังมีการใช้ยาลดความอ้วนอย่างผิดกฎหมายกันอยู่มาก โดยเอายาที่ถูกถอนออกไปเพราะมีพิษกลับมาแอบมาใช้กับผู้ป่วย เช่นฮอร์โมนไทรอยด์ ยาแอมเฟตามีน (ยาบ้า) ยาสีรุ้งซึ่งเป็นส่วนผสมของยาขับปัสสาวะกับยากระตุ้นหัวใจ เป็นต้น การใช้ยาเหล่านี้มุ่งแต่ประโยชน์ทางการค้า อาศัยสร้างผลระยะสั้นเพื่อเอาเงินโดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดแก่ผู้ป่วยซึ่งบางครั้งถึงตาย ที่เป็นข่าวเด็กสาวอยากเป็นพริตตี้ซื้อยาทางอินเตอร์เน็ทไปกินแล้วตายก็อย่างเนี้ยแหละ ผู้ขายและจ่ายยาเหล่านี้สมควรถูกประนาม บางทีผู้ขายเป็นแพทย์หรือรพ.เสียเอง โดยไม่ยอมปิดป้ายชื่อบอกว่าเป็นยาชื่ออะไร มีความเสี่ยงและประโยชน์อย่างไร ซึ่งเป็นการประกอบวิชาชีพที่ผิดมาตรฐาน ใครพบเห็นแพทย์หรือรพ.ประเภทนี้ก็ขอให้แจ้งแพทยสภาทราบด้วยจะเป็นพระคุณ

นอกจากยาแล้ว ยังมีอาหารเสริมที่โฆษณาสรรพคุณเกินจริงว่าลดความอ้วนได้ทั้งๆที่เป็นความเท็จทั้งสิ้น เช่น แอล-คาร์นิทีน กลูต้าไธโอน กาแฟลดน้ำหนัก เป็นต้น ที่แย่กว่านั้นคือบางรายเอายาต้องห้ามที่ถูกสั่งเลิกใช้ไปแล้วมาบดใส่ในกาแฟ อาศัยช่องว่างของการเป็นอาหารมาหลอกขายให้เข้าใจว่าเป็นยา เมืองไทยทุกวันนี้คนซื่อบริสุทธิ์ยังมีอยู่มาก จึงถูกคนเลวหลอกลวงเอาง่ายๆ แค่กระจายข้อมูลทางสื่อหรือทางอินเตอร์เน็ทได้คนก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ผ่านการตรวจสอบจากองค์กรรับผิดชอบมาดีแล้ว บางทีมุกที่ใช้ก็ตื้นๆ เช่นการได้เบอร์ อย.ว่าเป็นอาหาร ก็เอาไปโฆษณาหลอกคนได้แล้วว่าเป็นยาลดความอ้วนของแท้ ได้รับการรับรองจากอย.แล้ว เป็นต้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริง อาหารอะไร ไม่ว่าจะเป็นกะปิ ปลาร้า ตามกฎหมายก็ล้วนขอเลข อย. เพื่อขายเป็นอาหารได้ทั้งนั้น

กล่าวโดยสรุป หากคิดจะลดความอ้วนให้ได้ผล ให้ลืมเรื่องการใช้ยาไปได้เลย เพราะยาที่ได้รับอนุญาตให้ใช้บนดินมีเหลืออยู่ตัวเดียวและมีผลข้างเคียงที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้ ส่วนยาที่ขายกันใต้ดินก็ล้วนมีโทษมากกว่าคุณ



ภาพรวมงานวิจัยวิธีลดน้ำหนัก

งานวิจัยพบว่า

(1) การลดน้ำหนักที่ทำในลักษณะโปรแกรม ที่ประกอบด้วยผู้ป่วย (คนอ้วน) ที่มีความมุ่งมั่น (highly motivated) และทีมงานนักวิชาชีพด้านสุขภาพที่เกาะติดใส่ใจผู้ป่วยจริงจัง (highly committed) ประสบความสำเร็จมากกว่าการลดน้ำหนักด้วยตัวผู้ป่วยเองโดยไม่มีใครช่วย

(2) โปรแกรมลดน้ำหนักที่ดีส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักในอัตรา 0.9-1.5 กก./สปด. โดยลดน้ำหนักรวมได้ 9-10% และตรึงน้ำหนักไว้ได้นาน 6 เดือน – 2 ปี โดยส่วนใหญ่น้ำหนักกลับขึ้นมาอีกหลังจาก 2 ปี

(3) โปรแกรมลดน้ำหนักที่ได้ผล เป็นการผสมผสานกันระหว่าง 1. การปรับโภชนาการ 2. การออกกำลังกาย 3. พฤติกรรมบำบัดเพื่อเปลี่ยนนิสัยและสไตล์การใช้ชีวิต

(4) การติดตามกลุ่มผู้ที่ตรึงน้ำหนักที่ลดลงไปเกิน 10% ไว้ได้นานกว่า 5 ปีพบว่าการปฏิบัติตามสูตรอาหารของโปรแกรมที่ตนใช้อย่างคงเส้นคงวามีความสำคัญต่อการลดน้ำหนักมากกว่าการมุ่งเพิ่มการออกกำลังกายให้มากขึ้นๆ



ตอนที่ 2. โภชนาการเพื่อลดน้ำหนัก



เอาไว้ต่อคราวหน้านะครับ



นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]