ฝนหลงฤดูมาเยือนมวกเหล็ก
ยามเมื่อฝนเทลงมาบนพื้นไร่อันแห้งผาก
ความร้อนในดินพลันก่อให้เกิดไอสีขาวลอยอ้อยอิ่งสวนสายฝนขึ้นมา
พร้อมกับกลิ่นดินอันหอมกรุ่น นี่เป็นที่มาของบทเพลงมนต์รักลูกทุ่งที่ว่า
“...หอมดิน
เคล้ากลิ่นไอฝน”
พูดถึงเพลงลูกทุ่ง
ใครๆก็รู้กันทั้งเมืองว่าผมชอบร้องเพลงลูกทุ่ง
เพราะว่าคนที่มีกำพืดมาจากบ้านนอกคอกนาอย่างผมนี้
ย่อมต้องเข้าถึงและชอบเพลงลูกทุ่งทุกคน แม้กระทั่งสิ่งที่เราไม่เคยเห็น แต่ถ้าเป็น
“ลูกทุ่ง” แท้แล้ว
ก็ต้องจินตนาการออกมาจากเพลงได้ อย่างตอนสมัยเด็กๆ ผมฟังเพลง “บ้านเรือนแพ” ของไวพจน์ เพชรสุพรรณ ที่ว่า
“บางกอกน้อย...
ตลาดน้ำ
เรือพายจ้ำ
แจวกันขรม
เสียงเรือหาง
ครางระงม
เหมือนเสียงขม
ของพี่คราง..”
ผมตอนนั้นซึ่งเป็นเด็กดอย
ไม่เคยเห็นตลาดน้ำ แต่ก็จินตนาการเนื้อเพลงนี้ออกชัดแจ๋ว และเมื่อพาเพื่อนฝรั่งไปเที่ยว
ได้เห็นตลาดน้ำลึกเข้าไปในคลองซอยของคลองบางกอกน้อยของจริง เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
มันก็เหมือนในจินตนาการของผมไม่มีผิด
แต่ถึงจะชอบร้องลูกทุ่ง
ผมกลับไม่ชอบฟังลูกทุ่ง สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะสมัยหานักร้องสไตล์ออริจินัลฟังยาก
นักร้องใหม่ที่เอาเพลงลูกทุ่งมาร้อง เขาเข้าใจว่าเพลงลูกทุ่งต้องแหกปาก
แต่เขาไม่เข้าใจว่าในการแหกปากนั้นต้องมีสุนทรียะแบบลูกทุ่งอยู่ด้วย
เวลาร้องออกมาแล้วจึงฟังเหมือนคนไข้ชายถูกจับผ่าตัดทำหมัน โดยที่หมอลืมฉีดยาชา..ประมาณนั้น
เวลาร้องผมชอบร้องเพื่อปล่อยอารมณ์
แต่เวลาฟังผมกลับชอบหาอะไรที่หนักๆและเข้าใจยากประเภทยิ่งฟังยิ่งปวดหัว
เพราะสันดานของผมเป็นแบบนี้ คือซีเรียสแม้แต่กับเรื่องขี้หมาไม่เป็นเรื่อง
วันนี้ที่มวกเหล็กผมพยายามฟังเพลงโอเปร่าของว้ากเน่อร์
ซึ่งเล่านิยายปรัมปรายุโรปโบราณเรื่องซีเกิร์ด (Sigurd Saga)
ยามขณะที่เหตุการณ์บ้านเมืองของเรากำลังมุ่งไปสู่จุดจบที่ชวนให้เศร้าและหดหู่โดยที่ตัวเราก็เฝ้าดูอยู่อย่างไม่รู้จะทำอะไรได้นี้
ผมจะเล่าเรื่องซีเกิร์ดให้ท่านผู้อ่านฟัง
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าพวกเทพเยอรมานิกกลุ่มหนึ่งได้ว่าจ้างพวกยักษ์ให้สร้างปราสาท
เมื่อยักษ์สร้างเสร็จก็ให้สมบัติตอบแทนแก่ยักษ์เป็นจำนวนมาก ชื่อว่าสมบัตินิเบลัง
แต่สมบัตินี้พวกเทพผู้ว่าจ้างไม่ได้เป็นเจ้าของเองดอก
ได้มาโดยไม่ซื่อจากเทพแห่งไฟชื่อโลกิ ซึ่งเจ้าเทพสันดานโจรคนนี้ก็ไปขโมยมาจากเจ้าแห่งวังหมอกมาอีกทอดหนึ่ง
เจ้าของเขาโมโหก็เลยสาปไว้ว่าใครได้สมบัตินิเบลังนี้ไปขอให้มีอันเป็นไปให้จงสิ้นชาติกันไปทั้งโคตร
คำสาปนั้นได้ผลเสียด้วย เพราะได้สมบัติมาไม่ทันไร
รีมาร์หัวหน้ายักษ์ก็ถูกฟาฟเนอร์ลูกคนโตฆ่าตาย แถมยังไล่น้องชื่อเรจิน ออกจากวังยักษ์ไป
ตัวฟาฟเนอร์นั้นแปลงร่างเป็นมังกรเฝ้าสมบัติเพราะกลัวคนมาเอา
ส่วนเรจินนั้นก็คิดชิงสมบัติจากพี่ตลอดเวลาไม่หนีไปไหนไกล
อาศัยปลอมตัวเป็นช่างตีเหล็กอยู่ใกล้ถ้ำมังกรนั่นเอง
แล้วก็ได้เวลาปล่อยตัวเอกของเรื่อง
เขาเป็นหนุ่มรูปหล่อยอดฝีมือชื่อซีเกิร์ดที่ท่องเที่ยวจรดลไปทั่ว
ได้มาพบลุงที่ทำงานอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่ง
ลุงพยากรณ์โชคชะตาให้เขาฟังว่าฟ้าลิขิตให้เจ้ามาปราบมังกร
เจ้าจะต้องฆ่ามังกรให้ได้ด้วยตัวเองแล้วก็จะได้เป็นเจ้าของสมบัติ
แล้วก็บังเอิญซีเกิร์ดได้พบกับเรจินซึ่งปลอมตัวเป็นช่างตีเหล็ก
รีจินสอนสุดยอดวิชาตีเหล็กให้
และสองสหายก็ร่วมมือกันตีสุดยอดของมีดดาบขึ้นมาเล่มหนึ่งซึ่งใสปิ๊งจนมองไม่เห็น
เรจีนยกดาบนี้ให้ซีเกิร์ดและยุให้ไปฆ่ามังกรเอาสมบัติมาแบ่งกัน ซีเกิร์ดก็อาศัยฝีมือบุกเข้าถ้ำ
แทงมังกรจนเลือดสาดกระเซ็น ก่อนตายมังกรฟาฟเนอร์ก็ร้องตะโกนก้องถ้ำว่า
“เจ้าเรจินมันทรยศข้า
มันก็จะทรยศเจ้าเช่นกัน”
ในจังหวะที่จ้วงแทงมังกรนั้น
เลือดมังกรกระเด็นอาบท่วมตัวซีเกิร์ดไปหมด ทำให้ผิวหนังทุกส่วนที่ถูกเลือดมังกรอาบกลายเป็นส่วนหนังเหนียวแทงไม่เข้า
แต่ยังมีจุดที่เลือดอาบไม่ถึงอยู่นิดหนึ่งที่กลางหลัง
เล่าถึงตอนนี้แล้วท่านผู้อ่านคงเดาจุดจุบของพระเอกซีเกิร์ดได้ไม่ยากใช่ไหมครับ
การได้อาบเลือดมังกรนี้ยังช่วยทำให้ซีเกิร์ดสื่อสารกับจิ้งจก
ตุ๊กแก นก หนู ได้หมด แบบว่ากลายเป็นสะปีชี่เดียวกันแล้ว จึงได้ทราบเรื่องราวจากนกปากโป้งว่าเรจีนคู่หูนั้นกำลังจะวางยาพิษตนอยู่
ซีเกิร์ดจึงฆ่าเรจีนเสีย เลยได้เป็นเจ้าของสมบัติแต่คนเดียว
แต่โดยสันดานเป็นนักท่องเที่ยวผจญภัยไม่ใช่นักผลาญสมบัติ
เขาซ่อนสมบัติไว้แล้วออกจรดลไปในยุทธจักรต่อไปจนได้พบกับสาวชื่อบรินฮิลด์ซึ่งถูกอสูรสาปให้โคม่า
หมายถึง unconscious หลับไม่ตื่น
ต้องนอนหายใจแขม่วอยู่ในวงแหวนแห่งไฟ
ต้องอาศัยผู้กล้าฝ่าทะเลเพลิงเข้าไปช่วยเท่านั้นจึงจะรอดได้
ซึ่งซีเกิร์ดก็โชว์ฟอร์มเข้าไปช่วยได้สำเร็จตามคาดหมาย แล้วความรักแท้ก็เกิดขึ้น
ทั้งคู่สาบานว่า
“เราจะรักกันไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย”
สาบานแล้วซีเกิร์ดก็ออกท่องจรยุทธ์อีก
จนไปได้เพื่อนซี้ชื่อกุนนาร์
เลยถูกน้องสาวของเพื่อนซึ่งมีชื่อว่ากุดรุนมอมยาให้ลืมอดีตและลืมสาวบรินฮิลด์เสีย
เข้าใจว่าเป็นยาประเภท Dormicum เนี่ยแหละ เพื่อให้เขามาแต่งงานกับเธอแทน ซึ่งทุกอย่างก็สำเร็จตามแผน
ซีเกิร์ดนอกจากจะลืมแฟนเก่าแล้วยังรับคำร้องขอของเพื่อนซี้กุนนาร์เป็นเจ้ากี้เจ้าการให้แฟนเก่าตกเป็นเมียเพื่อนเสียอีก
บรินฮิลด์อดีตเจ้าหญิงนิทรายั๊วะมากจนความแค้นขึ้นสมองเลยวางแผนแกล้งจ๊ะจ๋ากับน้องชายคนเล็กของกุนนาร์ชื่อกุทตอร์มแล้วอ้อนให้กุทตอร์มไปแอบแทงจุดบอดที่กลางหลังของซีเกิร์ด
จนซีเกิร์ดเด๊ดสมอเร่คาที่
ฝ่ายกุดรุนเฝ้ารอซีเกิร์ดผู้สามีด้วยใจที่เต็มไปด้วยลางสังหรณ์และจี้ถามน้องชายตนว่าไปทำอะไรซีเกิร์ดหรือเปล่า
เมื่อพบว่าสามีตายก็โศกาคร่ำครวญปิ่มว่าจะขาดใจ
ทางด้านบรินฮิลด์อดีตเจ้าหญิงนิทราเมื่อได้ผัวใหม่แล้วก็ร้องเยาะเย้ยกุนนาร์สามีใหม่ของตนด้วยเสียงร้องเชือดเฉือนจากก้นบึ้งของหัวใจว่าเจ้านั้นไม่มีวันจะได้ความรักจากข้าดอก
เพราะหัวใจข้านั้นมอบให้ซีเกิร์ดจนหมดสิ้น
แล้วเธอก็แทงตัวตายตามที่หน้าเมรุที่เตรียมไว้เผาศพของซีเกิร์ด
ศพของทั้งสองจึงได้วางไว้คู่กันและเผาไปพร้อมกัน
นับตั้งแต่พระเอกซีเกิร์ดตาย
กุดรุนหญิงม่ายก็มีแต่ความโศกเศร้า จึงเดินทางไปเดนมาร์กเพื่อไปอยู่กับน้องสาว
ไปอยู่นั่นได้ไม่นานก็มีเจ้าชายแขกหนุ่มชื่ออัทลีมาอ้อนวอนขอแต่งงานว่า
“อีนี่น้องจ๋า
แต่งงานกับเจ้าชายอย่างพี่เถิดนะ
ถ้าน้องปฏิเสธ ก็จะเดียวดายไปจนแก่ เป็นการ underutilize ทรัพยากรมดลูกเสียเปล่านะน้อง”
ทั้งๆที่รู้ว่าเจ้าชายถังแตกอัทลีมาขอแต่งเพราะอยากได้สมบัตินิเบลังของซีเกิร์ดซึ่งทนายได้ตีความแล้วว่าเป็นสินสมรสของเธอ
แต่เธอก็ไม่สามารถทนการรบเร้าของแม่ตนเองที่ลุ้นให้แต่งเพราะกลัวเธอจะขึ้นคาน กุดรุนก็ยอมแต่งงานกับเจ้าชายอัทลี
และจำใจมีลูกให้เขาคนหนึ่ง แต่ในใจนั้นมีแต่ความ
แค้น..แค้น..แค้น
แค้นทั้งอัทลีที่เห็นเธอเป็นเครื่องมือเข้าหาสมบัติ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแค้นกุนนาร์น้องของเธอเองที่เป็นคนฆ่าซีเกิร์ด
จึงออกอุบายส่งเทียบไปเชิญกุนนาร์ให้ยกทัพมาหา แสร้งบอกไปในสาสน์ว่าพี่นี้อยู่ที่นี่มีแต่ตรอมใจ
แล้วก็เสี้ยมให้อัทลีกับกุนนาร์แย่งสมบัตินิเบลังกัน
กุนนาร์แพ้ถูกจับล่ามโซ่ในคุกงู ต้องใช้เท้าดีดพิณเป็นเพลงเศร้าโดยมีงูอยู่เป็นเพื่อนฟัง
ส่วนกุดรุนนั้นก็เดินหน้าชำระแค้นต่อไปโดยลงมือฆ่าบุตรชายของตนเองที่เกิดจากอัทลี
เอามาปรุงอาหารให้อัทลีกับขุนทหารของเขากินดื่มฉลองชัย โอ้โห.. อะไรจะเป็นงานเลี้ยงอำมหิตขนาดนั้น
คืนนั้นเมื่อขุนทหารเมาหลับได้ที่เธอก็แทงอัทลีตาย แล้วก็วิ่งไปห้องขัง แล้วฆ่ากุนนาร์น้องชายตาย
ถึงตอนนี้เธอร้องเพลง ซึ่งหากเทียบกับเพลงลูกทุ่งคงจะเทียบได้กับเพลงของ ศรเพชร
ศรสุพรรณ ที่ว่า
“มันสะไจ๊..มั้ยน้อง..ง...ง”
เป็นอันว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์หมดสิ้นราบคาบไปตามคำสาปจริงๆ
ตัวกุดรุนนั้นเอาไฟเผาปราสาท แล้วกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
แต่เธอไม่ตายแฮะ
เพราะว่าเธอนั้นเป็นอาซ้อ ไม่ใช่ลูกหลานสายตรงของยักษ์ที่ขโมยสมบัติมา และแม้ทนายจะตีความว่าสมบัตินั้นเป็นสินสมรส
แต่ศาลฎีกาพิพากษาว่ามันเป็นสมบัติที่ติดซีเกิร์ดมาแต่ก่อนแต่งงาน ไม่ใช่สินสมรส คำสาปจึงออกฤทธิ์ไม่ถึงเธอ
เธอลอยตุ๊บป่องไปขึ้นฝั่งที่ปราสาทของคิงโจนาเคอร์ซึ่งรับเอาเธอเป็นเมีย
และมีชีวิตเป็นราชินีอยู่ในปราสาทนั้นต่อมาแบบราชินีซึมเศร้าในวัยชราที่ไร้คุณภาพชีวิตอีกนานตราบชั่วอายุขัย
เอวังของเรื่องซีเกิร์ดจึงมีด้วยประการฉะนี้
ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ญาติโยมทั้งหลาย
ที่มีความแค้นอยู่ก็ขอให้ใช้สติปัญญาดับความคิดปรุงแต่งอันเป็นรากเหง้าของอุปาทานความแค้นนั้นเสีย
มิฉะนั้นแม้จะรวยมีสมบัติล้นฟ้า
ถึงจะชำระแค้นได้สะใจ แต่ก็จะมีชีวิตอับเฉาไปจนตายแบบราชินีกุดรุนนี่เอง..
อามิตตาพุทธ
สันต์
ใจยอดศิลป์
ปล. ถ้าท่านผู้อ่านไปเที่ยวเยอรมันครั้งหน้า ลองขับรถออกจากเมืองมิวนิคไปสักสองชั่วโมงไปตามช่วงตอนใต้ของถนนโรแมนติกโร้ด
จะเห็นปราสาทเทพนิยายอยู่บนเขาชื่อนอยชวานสไตน์ ในนั้นมีภาพวาดเล่าเรื่องราว Sigurd
Saga ไว้อย่างละเอียด
.............................................
.............................................
จดหมายจากผู้อ่าน (31
มค. 57)
สวัสดีค่ะคุณหมอสันต์
ดิฉันอายุหกสิบปลายๆ
เรียกว่าเป็นพี่ของคุณหมอได้เต็มปาก ได้ติดตามอ่านคุณหมอเงียบๆมาสามปีแล้ว
ตั้งแต่ก่อนคุณหมอประกาศผู้อ่านครบหนึ่งล้านคนแรกเสียอีก ได้นำความรู้สุขภาพจากบล็อกของคุณหมอไปใช้ประโยชน์กับตัวเองอย่างมาก
แต่ดิฉันสังเกตเห็นว่าคุณหมอเปลี่ยนไปมากในสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
เหมือนคุณหมอมีแรงกดดันอะไรลึกๆอยู่อย่างค่อนข้างแรง
เหมือนคุณหมอรู้หรือเห็นอะไรที่เลวร้ายแล้วไม่กล้าพูดตรงๆ
ดิฉันไม่ได้คิดอะไรมากเมื่อคุณหมอเขียนเรื่องการเมือง เพียงแต่เซอร์ไพรส์เล็กน้อยในตอนนั้น
แต่มามั่นใจในข้อสรุปของตัวเองเมื่อได้อ่านที่คุณหมอเขียนเรื่อง “แค้น..น”
มีอะไรในใจหรือเปล่าคะ
ขออภัยถ้า “พี่” ถามไม่เข้าเรื่อง
ขอบคุณค่ะ
..............................................
ตอบครับ
แหม
คุณพี่เนี่ยรู้จักตัวผมดีกว่าตัวผมเองซะอีกนะ ถามว่าผมมีอะไรไหม ตอบว่าผมปล๊าว
เปล่า ผมไม่มีอะไร บ๋อแบ๋
โอเค. ผมยอมรับว่าตั้งแต่เริ่มปีใหม่มานี้ผมเสียสติไประดับหนึ่งจริงๆ
ถามว่าผมมีความกังวลเรื่องบ้านเมืองอยู่ลึกๆหรือเปล่า
ตอบว่าก็มีเหมือนที่คนไทยคนอื่นมีทุกคนแหละครับ
ถามว่าผมมีข้อมูลอะไรลึกๆในเรื่องการบ้านการเมืองที่ผมรู้แล้วไม่กล้าพูดหรือเปล่า
ตอบว่าในวิชาแพทย์ เราตัดสินใจรักษาคนไข้ไปด้วยการวิธีวินิจฉัยโดยที่เราไม่รู้ความจริงทั้งหมดดอก หมายความว่ารวบรวมหลักฐานเท่าที่มี แล้วเดาเอาว่าคนไข้เป็นโรคอะไร
แล้วลงมือรักษาไป วิธีนี้ใช้กับการดูแลสุขภาพระยะยาวด้วย คือรวบรวมหลักฐานปัจจัยเสี่ยงสุขภาพต่างๆที่คนไข้คนนั้นมีอยู่
ณ วันนี้ แล้วเดาเอาว่าอนาคตเขาจะป่วยด้วยโรคอะไรบ้าง แล้วลงมือส่งเสริมสุขภาพหรือป้องกันไม่ให้คนป่วยต้องไปทุพลภาพหรือเสียชีวิตด้วยโรคเหล่านั้น ซึ่งวิธีแบบนี้พลาดน้อยมากและเวอร์คเป็นส่วนใหญ่
คุณพี่ถามถึงเรื่องการเมือง
ผมสัญญาแล้วว่าจะเขียนถึงเรื่องการเมืองเพียงครั้งเดียว ซึ่งก็เขียนไปแล้ว
และหยุดแล้ว จึงขออนุญาตไม่ต่อความยาวอีก ขอตัดบทเพียงสั้นๆว่าถ้าเอาหลักวิชาแพทย์มาใช้กับการมองปัญหาบ้านเมือง ผมมองปัจจัยต่างๆทางสังคมและการเมืองที่ได้เกิดขึ้นแล้วและได้ดำเนินมา ผมก็เดาได้ทะลุปรุโปร่งแล้วว่าบ้านเมืองของเรากำลังเดินหน้าไปสู่อะไรในปีสองปีข้างหน้านี้ เดาเสร็จแล้วก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ เพราะว่า
“....มนุษย์เล็กๆ
คนหนึ่งอย่างฉัน...”
โธ่..มนุษย์เล็กๆคนหนึ่ง
จะไปทำอะไรกับเรื่องใหญ่ๆที่จะเกิดขึ้นได้ละครับ
ขอบพระคุณคุณพี่ที่ถามมาด้วยท่วงทำนองเป็นห่วง ผมเข้าใจ เพราะหลายคนเขียนมาหาผมแล้วบอกว่าไม่เคยมีญาติเป็นหมอแต่รู้สึกเหมือนมีผมเป็นญาติสนิททั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้า ผมเข้าใจความรู้สึกนั้น
แต่ว่า..เราอย่าคุยกันเรื่องการเมืองเลยนะครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์