30 มกราคม 2557

แค้น..น..น..น

ฝนหลงฤดูมาเยือนมวกเหล็ก

ยามเมื่อฝนเทลงมาบนพื้นไร่อันแห้งผาก ความร้อนในดินพลันก่อให้เกิดไอสีขาวลอยอ้อยอิ่งสวนสายฝนขึ้นมา พร้อมกับกลิ่นดินอันหอมกรุ่น นี่เป็นที่มาของบทเพลงมนต์รักลูกทุ่งที่ว่า

...หอมดิน เคล้ากลิ่นไอฝน

พูดถึงเพลงลูกทุ่ง ใครๆก็รู้กันทั้งเมืองว่าผมชอบร้องเพลงลูกทุ่ง เพราะว่าคนที่มีกำพืดมาจากบ้านนอกคอกนาอย่างผมนี้ ย่อมต้องเข้าถึงและชอบเพลงลูกทุ่งทุกคน แม้กระทั่งสิ่งที่เราไม่เคยเห็น แต่ถ้าเป็น ลูกทุ่ง แท้แล้ว ก็ต้องจินตนาการออกมาจากเพลงได้ อย่างตอนสมัยเด็กๆ ผมฟังเพลง บ้านเรือนแพ ของไวพจน์ เพชรสุพรรณ ที่ว่า

บางกอกน้อย... ตลาดน้ำ
เรือพายจ้ำ แจวกันขรม
เสียงเรือหาง ครางระงม
เหมือนเสียงขม ของพี่คราง..

ผมตอนนั้นซึ่งเป็นเด็กดอย ไม่เคยเห็นตลาดน้ำ แต่ก็จินตนาการเนื้อเพลงนี้ออกชัดแจ๋ว และเมื่อพาเพื่อนฝรั่งไปเที่ยว ได้เห็นตลาดน้ำลึกเข้าไปในคลองซอยของคลองบางกอกน้อยของจริง เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง มันก็เหมือนในจินตนาการของผมไม่มีผิด

แต่ถึงจะชอบร้องลูกทุ่ง ผมกลับไม่ชอบฟังลูกทุ่ง สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะสมัยหานักร้องสไตล์ออริจินัลฟังยาก นักร้องใหม่ที่เอาเพลงลูกทุ่งมาร้อง เขาเข้าใจว่าเพลงลูกทุ่งต้องแหกปาก แต่เขาไม่เข้าใจว่าในการแหกปากนั้นต้องมีสุนทรียะแบบลูกทุ่งอยู่ด้วย เวลาร้องออกมาแล้วจึงฟังเหมือนคนไข้ชายถูกจับผ่าตัดทำหมัน โดยที่หมอลืมฉีดยาชา..ประมาณนั้น

เวลาร้องผมชอบร้องเพื่อปล่อยอารมณ์ แต่เวลาฟังผมกลับชอบหาอะไรที่หนักๆและเข้าใจยากประเภทยิ่งฟังยิ่งปวดหัว เพราะสันดานของผมเป็นแบบนี้ คือซีเรียสแม้แต่กับเรื่องขี้หมาไม่เป็นเรื่อง

วันนี้ที่มวกเหล็กผมพยายามฟังเพลงโอเปร่าของว้ากเน่อร์ ซึ่งเล่านิยายปรัมปรายุโรปโบราณเรื่องซีเกิร์ด (Sigurd Saga)

ยามขณะที่เหตุการณ์บ้านเมืองของเรากำลังมุ่งไปสู่จุดจบที่ชวนให้เศร้าและหดหู่โดยที่ตัวเราก็เฝ้าดูอยู่อย่างไม่รู้จะทำอะไรได้นี้ ผมจะเล่าเรื่องซีเกิร์ดให้ท่านผู้อ่านฟัง

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าพวกเทพเยอรมานิกกลุ่มหนึ่งได้ว่าจ้างพวกยักษ์ให้สร้างปราสาท เมื่อยักษ์สร้างเสร็จก็ให้สมบัติตอบแทนแก่ยักษ์เป็นจำนวนมาก ชื่อว่าสมบัตินิเบลัง แต่สมบัตินี้พวกเทพผู้ว่าจ้างไม่ได้เป็นเจ้าของเองดอก ได้มาโดยไม่ซื่อจากเทพแห่งไฟชื่อโลกิ ซึ่งเจ้าเทพสันดานโจรคนนี้ก็ไปขโมยมาจากเจ้าแห่งวังหมอกมาอีกทอดหนึ่ง เจ้าของเขาโมโหก็เลยสาปไว้ว่าใครได้สมบัตินิเบลังนี้ไปขอให้มีอันเป็นไปให้จงสิ้นชาติกันไปทั้งโคตร คำสาปนั้นได้ผลเสียด้วย เพราะได้สมบัติมาไม่ทันไร รีมาร์หัวหน้ายักษ์ก็ถูกฟาฟเนอร์ลูกคนโตฆ่าตาย แถมยังไล่น้องชื่อเรจิน ออกจากวังยักษ์ไป ตัวฟาฟเนอร์นั้นแปลงร่างเป็นมังกรเฝ้าสมบัติเพราะกลัวคนมาเอา ส่วนเรจินนั้นก็คิดชิงสมบัติจากพี่ตลอดเวลาไม่หนีไปไหนไกล อาศัยปลอมตัวเป็นช่างตีเหล็กอยู่ใกล้ถ้ำมังกรนั่นเอง

แล้วก็ได้เวลาปล่อยตัวเอกของเรื่อง เขาเป็นหนุ่มรูปหล่อยอดฝีมือชื่อซีเกิร์ดที่ท่องเที่ยวจรดลไปทั่ว ได้มาพบลุงที่ทำงานอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่ง ลุงพยากรณ์โชคชะตาให้เขาฟังว่าฟ้าลิขิตให้เจ้ามาปราบมังกร เจ้าจะต้องฆ่ามังกรให้ได้ด้วยตัวเองแล้วก็จะได้เป็นเจ้าของสมบัติ แล้วก็บังเอิญซีเกิร์ดได้พบกับเรจินซึ่งปลอมตัวเป็นช่างตีเหล็ก รีจินสอนสุดยอดวิชาตีเหล็กให้ และสองสหายก็ร่วมมือกันตีสุดยอดของมีดดาบขึ้นมาเล่มหนึ่งซึ่งใสปิ๊งจนมองไม่เห็น เรจีนยกดาบนี้ให้ซีเกิร์ดและยุให้ไปฆ่ามังกรเอาสมบัติมาแบ่งกัน ซีเกิร์ดก็อาศัยฝีมือบุกเข้าถ้ำ แทงมังกรจนเลือดสาดกระเซ็น ก่อนตายมังกรฟาฟเนอร์ก็ร้องตะโกนก้องถ้ำว่า

เจ้าเรจินมันทรยศข้า มันก็จะทรยศเจ้าเช่นกัน

ในจังหวะที่จ้วงแทงมังกรนั้น เลือดมังกรกระเด็นอาบท่วมตัวซีเกิร์ดไปหมด ทำให้ผิวหนังทุกส่วนที่ถูกเลือดมังกรอาบกลายเป็นส่วนหนังเหนียวแทงไม่เข้า แต่ยังมีจุดที่เลือดอาบไม่ถึงอยู่นิดหนึ่งที่กลางหลัง เล่าถึงตอนนี้แล้วท่านผู้อ่านคงเดาจุดจุบของพระเอกซีเกิร์ดได้ไม่ยากใช่ไหมครับ

การได้อาบเลือดมังกรนี้ยังช่วยทำให้ซีเกิร์ดสื่อสารกับจิ้งจก ตุ๊กแก นก หนู ได้หมด แบบว่ากลายเป็นสะปีชี่เดียวกันแล้ว จึงได้ทราบเรื่องราวจากนกปากโป้งว่าเรจีนคู่หูนั้นกำลังจะวางยาพิษตนอยู่ ซีเกิร์ดจึงฆ่าเรจีนเสีย เลยได้เป็นเจ้าของสมบัติแต่คนเดียว

แต่โดยสันดานเป็นนักท่องเที่ยวผจญภัยไม่ใช่นักผลาญสมบัติ เขาซ่อนสมบัติไว้แล้วออกจรดลไปในยุทธจักรต่อไปจนได้พบกับสาวชื่อบรินฮิลด์ซึ่งถูกอสูรสาปให้โคม่า หมายถึง unconscious หลับไม่ตื่น ต้องนอนหายใจแขม่วอยู่ในวงแหวนแห่งไฟ ต้องอาศัยผู้กล้าฝ่าทะเลเพลิงเข้าไปช่วยเท่านั้นจึงจะรอดได้ ซึ่งซีเกิร์ดก็โชว์ฟอร์มเข้าไปช่วยได้สำเร็จตามคาดหมาย แล้วความรักแท้ก็เกิดขึ้น ทั้งคู่สาบานว่า

เราจะรักกันไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย

สาบานแล้วซีเกิร์ดก็ออกท่องจรยุทธ์อีก จนไปได้เพื่อนซี้ชื่อกุนนาร์ เลยถูกน้องสาวของเพื่อนซึ่งมีชื่อว่ากุดรุนมอมยาให้ลืมอดีตและลืมสาวบรินฮิลด์เสีย เข้าใจว่าเป็นยาประเภท Dormicum เนี่ยแหละ เพื่อให้เขามาแต่งงานกับเธอแทน ซึ่งทุกอย่างก็สำเร็จตามแผน ซีเกิร์ดนอกจากจะลืมแฟนเก่าแล้วยังรับคำร้องขอของเพื่อนซี้กุนนาร์เป็นเจ้ากี้เจ้าการให้แฟนเก่าตกเป็นเมียเพื่อนเสียอีก บรินฮิลด์อดีตเจ้าหญิงนิทรายั๊วะมากจนความแค้นขึ้นสมองเลยวางแผนแกล้งจ๊ะจ๋ากับน้องชายคนเล็กของกุนนาร์ชื่อกุทตอร์มแล้วอ้อนให้กุทตอร์มไปแอบแทงจุดบอดที่กลางหลังของซีเกิร์ด จนซีเกิร์ดเด๊ดสมอเร่คาที่

ฝ่ายกุดรุนเฝ้ารอซีเกิร์ดผู้สามีด้วยใจที่เต็มไปด้วยลางสังหรณ์และจี้ถามน้องชายตนว่าไปทำอะไรซีเกิร์ดหรือเปล่า เมื่อพบว่าสามีตายก็โศกาคร่ำครวญปิ่มว่าจะขาดใจ

ทางด้านบรินฮิลด์อดีตเจ้าหญิงนิทราเมื่อได้ผัวใหม่แล้วก็ร้องเยาะเย้ยกุนนาร์สามีใหม่ของตนด้วยเสียงร้องเชือดเฉือนจากก้นบึ้งของหัวใจว่าเจ้านั้นไม่มีวันจะได้ความรักจากข้าดอก เพราะหัวใจข้านั้นมอบให้ซีเกิร์ดจนหมดสิ้น แล้วเธอก็แทงตัวตายตามที่หน้าเมรุที่เตรียมไว้เผาศพของซีเกิร์ด ศพของทั้งสองจึงได้วางไว้คู่กันและเผาไปพร้อมกัน 

นับตั้งแต่พระเอกซีเกิร์ดตาย กุดรุนหญิงม่ายก็มีแต่ความโศกเศร้า จึงเดินทางไปเดนมาร์กเพื่อไปอยู่กับน้องสาว ไปอยู่นั่นได้ไม่นานก็มีเจ้าชายแขกหนุ่มชื่ออัทลีมาอ้อนวอนขอแต่งงานว่า

อีนี่น้องจ๋า แต่งงานกับเจ้าชายอย่างพี่เถิดนะ  ถ้าน้องปฏิเสธ ก็จะเดียวดายไปจนแก่ เป็นการ underutilize ทรัพยากรมดลูกเสียเปล่านะน้อง 

ทั้งๆที่รู้ว่าเจ้าชายถังแตกอัทลีมาขอแต่งเพราะอยากได้สมบัตินิเบลังของซีเกิร์ดซึ่งทนายได้ตีความแล้วว่าเป็นสินสมรสของเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถทนการรบเร้าของแม่ตนเองที่ลุ้นให้แต่งเพราะกลัวเธอจะขึ้นคาน กุดรุนก็ยอมแต่งงานกับเจ้าชายอัทลี และจำใจมีลูกให้เขาคนหนึ่ง แต่ในใจนั้นมีแต่ความ

แค้น..แค้น..แค้น

แค้นทั้งอัทลีที่เห็นเธอเป็นเครื่องมือเข้าหาสมบัติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแค้นกุนนาร์น้องของเธอเองที่เป็นคนฆ่าซีเกิร์ด จึงออกอุบายส่งเทียบไปเชิญกุนนาร์ให้ยกทัพมาหา แสร้งบอกไปในสาสน์ว่าพี่นี้อยู่ที่นี่มีแต่ตรอมใจ แล้วก็เสี้ยมให้อัทลีกับกุนนาร์แย่งสมบัตินิเบลังกัน กุนนาร์แพ้ถูกจับล่ามโซ่ในคุกงู ต้องใช้เท้าดีดพิณเป็นเพลงเศร้าโดยมีงูอยู่เป็นเพื่อนฟัง ส่วนกุดรุนนั้นก็เดินหน้าชำระแค้นต่อไปโดยลงมือฆ่าบุตรชายของตนเองที่เกิดจากอัทลี เอามาปรุงอาหารให้อัทลีกับขุนทหารของเขากินดื่มฉลองชัย โอ้โห.. อะไรจะเป็นงานเลี้ยงอำมหิตขนาดนั้น คืนนั้นเมื่อขุนทหารเมาหลับได้ที่เธอก็แทงอัทลีตาย แล้วก็วิ่งไปห้องขัง แล้วฆ่ากุนนาร์น้องชายตาย ถึงตอนนี้เธอร้องเพลง ซึ่งหากเทียบกับเพลงลูกทุ่งคงจะเทียบได้กับเพลงของ ศรเพชร ศรสุพรรณ ที่ว่า

          มันสะไจ๊..มั้ยน้อง..ง...ง

เป็นอันว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์หมดสิ้นราบคาบไปตามคำสาปจริงๆ ตัวกุดรุนนั้นเอาไฟเผาปราสาท แล้วกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย

แต่เธอไม่ตายแฮะ เพราะว่าเธอนั้นเป็นอาซ้อ ไม่ใช่ลูกหลานสายตรงของยักษ์ที่ขโมยสมบัติมา และแม้ทนายจะตีความว่าสมบัตินั้นเป็นสินสมรส แต่ศาลฎีกาพิพากษาว่ามันเป็นสมบัติที่ติดซีเกิร์ดมาแต่ก่อนแต่งงาน ไม่ใช่สินสมรส คำสาปจึงออกฤทธิ์ไม่ถึงเธอ เธอลอยตุ๊บป่องไปขึ้นฝั่งที่ปราสาทของคิงโจนาเคอร์ซึ่งรับเอาเธอเป็นเมีย และมีชีวิตเป็นราชินีอยู่ในปราสาทนั้นต่อมาแบบราชินีซึมเศร้าในวัยชราที่ไร้คุณภาพชีวิตอีกนานตราบชั่วอายุขัย

เอวังของเรื่องซีเกิร์ดจึงมีด้วยประการฉะนี้

ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ญาติโยมทั้งหลาย

ที่มีความแค้นอยู่ก็ขอให้ใช้สติปัญญาดับความคิดปรุงแต่งอันเป็นรากเหง้าของอุปาทานความแค้นนั้นเสีย

มิฉะนั้นแม้จะรวยมีสมบัติล้นฟ้า ถึงจะชำระแค้นได้สะใจ แต่ก็จะมีชีวิตอับเฉาไปจนตายแบบราชินีกุดรุนนี่เอง..

อามิตตาพุทธ


                                                   สันต์ ใจยอดศิลป์


ปล. ถ้าท่านผู้อ่านไปเที่ยวเยอรมันครั้งหน้า ลองขับรถออกจากเมืองมิวนิคไปสักสองชั่วโมงไปตามช่วงตอนใต้ของถนนโรแมนติกโร้ด จะเห็นปราสาทเทพนิยายอยู่บนเขาชื่อนอยชวานสไตน์ ในนั้นมีภาพวาดเล่าเรื่องราว Sigurd Saga ไว้อย่างละเอียด

.............................................

จดหมายจากผู้อ่าน (31 มค. 57)
สวัสดีค่ะคุณหมอสันต์
ดิฉันอายุหกสิบปลายๆ เรียกว่าเป็นพี่ของคุณหมอได้เต็มปาก ได้ติดตามอ่านคุณหมอเงียบๆมาสามปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนคุณหมอประกาศผู้อ่านครบหนึ่งล้านคนแรกเสียอีก ได้นำความรู้สุขภาพจากบล็อกของคุณหมอไปใช้ประโยชน์กับตัวเองอย่างมาก แต่ดิฉันสังเกตเห็นว่าคุณหมอเปลี่ยนไปมากในสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เหมือนคุณหมอมีแรงกดดันอะไรลึกๆอยู่อย่างค่อนข้างแรง เหมือนคุณหมอรู้หรือเห็นอะไรที่เลวร้ายแล้วไม่กล้าพูดตรงๆ ดิฉันไม่ได้คิดอะไรมากเมื่อคุณหมอเขียนเรื่องการเมือง เพียงแต่เซอร์ไพรส์เล็กน้อยในตอนนั้น แต่มามั่นใจในข้อสรุปของตัวเองเมื่อได้อ่านที่คุณหมอเขียนเรื่อง “แค้น..น” 

มีอะไรในใจหรือเปล่าคะ
ขออภัยถ้า “พี่” ถามไม่เข้าเรื่อง
ขอบคุณค่ะ
..............................................

ตอบครับ

            แหม คุณพี่เนี่ยรู้จักตัวผมดีกว่าตัวผมเองซะอีกนะ ถามว่าผมมีอะไรไหม ตอบว่าผมปล๊าว เปล่า ผมไม่มีอะไร บ๋อแบ๋
           
           โอเค. ผมยอมรับว่าตั้งแต่เริ่มปีใหม่มานี้ผมเสียสติไประดับหนึ่งจริงๆ

            ถามว่าผมมีความกังวลเรื่องบ้านเมืองอยู่ลึกๆหรือเปล่า ตอบว่าก็มีเหมือนที่คนไทยคนอื่นมีทุกคนแหละครับ

            ถามว่าผมมีข้อมูลอะไรลึกๆในเรื่องการบ้านการเมืองที่ผมรู้แล้วไม่กล้าพูดหรือเปล่า ตอบว่าในวิชาแพทย์ เราตัดสินใจรักษาคนไข้ไปด้วยการวิธีวินิจฉัยโดยที่เราไม่รู้ความจริงทั้งหมดดอก หมายความว่ารวบรวมหลักฐานเท่าที่มี แล้วเดาเอาว่าคนไข้เป็นโรคอะไร แล้วลงมือรักษาไป วิธีนี้ใช้กับการดูแลสุขภาพระยะยาวด้วย คือรวบรวมหลักฐานปัจจัยเสี่ยงสุขภาพต่างๆที่คนไข้คนนั้นมีอยู่ ณ วันนี้ แล้วเดาเอาว่าอนาคตเขาจะป่วยด้วยโรคอะไรบ้าง แล้วลงมือส่งเสริมสุขภาพหรือป้องกันไม่ให้คนป่วยต้องไปทุพลภาพหรือเสียชีวิตด้วยโรคเหล่านั้น ซึ่งวิธีแบบนี้พลาดน้อยมากและเวอร์คเป็นส่วนใหญ่

            คุณพี่ถามถึงเรื่องการเมือง ผมสัญญาแล้วว่าจะเขียนถึงเรื่องการเมืองเพียงครั้งเดียว ซึ่งก็เขียนไปแล้ว และหยุดแล้ว จึงขออนุญาตไม่ต่อความยาวอีก ขอตัดบทเพียงสั้นๆว่าถ้าเอาหลักวิชาแพทย์มาใช้กับการมองปัญหาบ้านเมือง ผมมองปัจจัยต่างๆทางสังคมและการเมืองที่ได้เกิดขึ้นแล้วและได้ดำเนินมา ผมก็เดาได้ทะลุปรุโปร่งแล้วว่าบ้านเมืองของเรากำลังเดินหน้าไปสู่อะไรในปีสองปีข้างหน้านี้  เดาเสร็จแล้วก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ เพราะว่า

            “....มนุษย์เล็กๆ
              คนหนึ่งอย่างฉัน...”

            โธ่..มนุษย์เล็กๆคนหนึ่ง จะไปทำอะไรกับเรื่องใหญ่ๆที่จะเกิดขึ้นได้ละครับ 

            ขอบพระคุณคุณพี่ที่ถามมาด้วยท่วงทำนองเป็นห่วง ผมเข้าใจ เพราะหลายคนเขียนมาหาผมแล้วบอกว่าไม่เคยมีญาติเป็นหมอแต่รู้สึกเหมือนมีผมเป็นญาติสนิททั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้า ผมเข้าใจความรู้สึกนั้น 

          แต่ว่า..เราอย่าคุยกันเรื่องการเมืองเลยนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

โรคขาสองข้างยาวไม่เท่ากัน (leg length discrepency - LLD)

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ

              ผมอายุ 65 ปี มีอาการปวดหลังเรื้อรัง ปวดคอเรื้อรังมานานกว่า 40 ปี อาการปวดคอของผมทำให้ผมนอนยากที่สุด ต้องทำหมอนเองแบบเจาะรูเป็นหลุมตรงกลางเพื่อหย่อนหัวทุยลงไปจึงจะนอนหลับได้ เวลาไปเมืองนอกต้องเอาหมอนนี้ไปด้วย ไม่งั้นนอนไม่หลับ อาการปวดหลังของผมก็ทำให้ผมต้องไปหาหมอบ่อย หมอทำ MRI แล้ววินิจฉัยว่าเป็นหมอนกระดูกสันหลังแลบที่ระดับ L1 และ L2 หมอกระดูกบางคนแนะนำให้ผมผ่าตัด แต่บางคนก็แนะนำว่ายังไม่ต้องผ่าก่อนก็ได้ ผมก็ทนอยู่กับอาการปวดหลังเรื่อยมา ตลอดสี่สิบปี
              เนื่องจากมีคนทักผมว่าทำไมเวลาผมเดินจึงตัวเอียงเหมือนคนขาสั้นข้างหนึ่ง  เวลาผมส่องกระจกดูตัวเองก็เห็นว่าตัวเองคอเอียงไปข้างหนึ่งเสมอ เรียกว่าเป็นคนทำคอตั้งตรงๆไม่ได้ ในที่สุดผมจึงตัดสินใจไปทำส้นรองเท้าข้างขวาให้สูงขึ้น โดยทำเอง เนื่องจากผมเป็นวิศกรอยู่แล้ว ผมเสริมให้ส้นรองเท้าขวาให้สูงขึ้นอีก 6 มม.แล้วเอาสีดำทาไม่ให้คนรู้ ปรากฏว่าอาการปวดหลังปวดคอที่ผมทนทรมานตลอด 40  ปีที่ผ่านมาหายไปได้
              หลังจากนั้นผมจึงเสาะหาอะไรมาเสริมเพื่อชดเชยกับขาข้างที่สั้นแบบที่มีทำขายสำเร็จโดยไม่ต้องทำเอง ผมได้รับคำแนะนำให้ไปร้าน Doctor Kong โดยตั้งต้นหาจากอินเตอร์เน็ท และได้ซื้อแผ่นรองในรองเท้าและซื้อแผ่นเสริมส้นของเขามาใช้ ซึ่งผมแนะนำว่าใช้ได้ดี มาก ผมเข้าใจว่าร้านนี้เขาเป็นสาขามาจากร้านแม่ที่ฮ่องกง ผมจึงอยากรบกวนคุณหมอสันต์เอาจดหมายของผมเผยแพร่เรื่องการแก้ปัญหาปวดหลังเพราะขายาวไม่เท่ากันด้วยครับ

..............................................

ตอบครับ

              รู้สึกว่าบล็อกของผมจะมีหน้าที่เพิ่มอีกอย่างแล้วหละ นอกจากผมจะเขียนบทความให้ความรู้ คือตอนนี้มีหน้าที่เป็นที่ “บอกข่าวเอาบุญ” ด้วย หมายความว่าใครมีประสบการณ์อะไรดีๆในเรื่องสุขภาพก็เขียนมาขอให้ผมบอกต่อ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการกินหญ้าแห้งอัดเม็ด  สมุนไพร สารพัดชนิดรักษาโรคซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันไม่มีวิธีรักษา โดยที่ผมไม่มีความรู้จะไปวินิจฉัยแม้แต่น้อย  ว่าดีจริงหรือไม่ จึงไม่ได้เอาจดหมายลงให้ จึงต้องขอโทษท่านที่อุตสาห์บอกมาด้วยเจตนาดีเหล่านั้นด้วย แต่ก็มีบางกรณีเป็นการบอกเรื่องราวที่องค์ความรู้แพทย์มีอยู่แล้ว เพียงแต่การตีความหรือความเชื่อของแพทย์บางท่านตีความแคบเกินไป จดหมายแบบนี้ผมเห็นว่าน่าจะเอามาเผยแพร่

ยกตัวอย่างเช่นมีอยู่ท่านหนึ่งเล่าว่าปวดหลัง แพทย์บอกว่าเป็นหมอนรองกระดูกหลังเลื่อน แนะนำให้ผ่าตัด ตัวเขาไม่ยอมผ่า และเขาไปบอกหมอว่าเขาจะไปยกน้ำหนักเล่นกล้ามได้ไหม  แพทย์ผู้รักษาบอกว่า

"...อย่านะ.. ห้ามทำเด็ดขาด"

 เพราะจะทำให้โรคของเขารุนแรงขึ้น แต่เขาไม่เชื่อ จึงไปเล่นกล้ามยกน้ำหนักโดยไม่สนใจคำทักท้วงของแพทย์ ผลปรากฏว่าอาการปวดหลังของเขาหายไปเลย เขามีความเชื่อมั่นในวิธีรักษาปวดหลังด้วยการออกกำลังกายนี้มาก จนถึงกับเลิกอาชีพเดิมหันมาตั้งฟิตเนสและไปเรียนเป็นคนสอนออกกำลังกายมาทำงานฟิตเนสแทนจนทุกวันนี้ เรื่องราวแบบนี้ฟังเผินๆเหมือนกับว่าคำแนะนำของแพทย์ผิด หรือหลักวิชาแพทย์ใช้ไม่ได้ แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ ความเป็นจริงคือว่าแพทย์บางท่านมองมาจากมุมหนึ่งของปัญหา คือการเสื่อมของกระดูกจะเสื่อมมากขึ้นหากใช้งานมันมาก แต่หลักวิชาแพทย์ในภาพรวมนั้นเรื่องนี้มีหลายองค์ประกอบ มุมที่แพทย์มองคือความเสื่อมของกระดูกนั้นก็เป็นความจริงอยู่ แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นเช่นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลัง  (core muscle) เช่น rectus abdominis, erector spinae หากฝึกให้มันแข็งแรงพอแล้ว มันจะช่วยค้ำและรับน้ำหนักแทนกระดูกสันหลังได้ วงการแพทย์ไม่ใช่ไม่รู้  รู้มานานแล้ว ตัวอย่างเช่นสมัยก่อน สมัยที่ผมยังเป็นรักเรียนแพทย์ คนเป็นวัณโรคกระดูกสันหลังเราผ่าตัดควักกระดูกสันหลังที่ผุออกไปทีละหลายท่อน ปล่อยให้กระดูกสันหลังลอยเท้งเต้งขาดกลางอยู่อย่างนั้น แต่คนไข้ก็ยืนหรือนั่งตัวตรงอยู่ได้เพราะกล้ามเนื้อมันช่วยค้ำไว้ การเอาประเด็นแบบนี้มาบอกเล่าต่อและอธิบายให้เข้าใจแจ่มแจ้งผมเห็นว่ามีประโยชน์ตรงที่จะทำให้ท่านผู้อ่านใช้ความรู้แพทย์แก้ปัญหาให้ตัวเองได้เต็มที่มากขึ้น ไม่ใช่จำกัดอยู่เฉพาะคำแนะนำของแพทย์เฉพาะสาขาที่อาจจะจำกัดมุมมองไว้เพียงบางด้าน

กลับมาที่จดหมายของคุณดีกว่า พูดถึงคนทำคอเอียง สมัยผมเด็กๆมีดาราหนังอยู่สองคนซึ่งทำตัวคอเดียงจนดัง คนหนึ่งเป็นดาราฝรั่งเศสชื่อ อะเลน เดอ ลอง อีกคนเป็นดาราญี่ปุ่นจอมยียวน ชื่อ โย ชิชิโด สองคนนี้เขาจะคาบบุหรี่เผล่และคอเอียงกระเท่เร่ประจำ ไม่ทราบว่าเขาจะมีขาข้างขวาสั้นเหมือนคุณด้วยหรือเปล่า


เป็นความจริงที่ว่าแพทย์ส่วนใหญ่ไม่มีใครสนใจประเด็นคนปวดหลังเกิดจากขาไม่เท่ากัน แม้โรคที่เรียกว่า “โรคขาขวาสั้นกว่าขาซ้าย” หรือ Short Right Leg Syndrome แพทย์ก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นโรคที่มีอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็นแค่จินตนาการ

ในแง่ของหลักฐานวิทยาศาสตร์ ได้มีงานวิจัยเรื่องนี้ไว้บ้างเหมือนกัน หลายสิบปีมาแล้วเคยมีคนทำวิจัยโดยตั้งเกณฑ์นิยาม กลุ่มอาการขาขวาสั้นขึ้นมา แล้วจับคนไข้สามร้อยกว่าคนที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังมาเอ็กซเรย์ ก็ได้ผลว่า 66% เป็นโรคกลุ่มอาการขาขวาสั้น ต่อมาเมื่อไม่นานมานี้ ประมาณปี 2004 ก็มีคนทำวิจัยแบบนี้ซ้ำอีก และก็ได้ผลแบบเดียวกันอีก คือได้ผลว่า 68% ของคนไข้ปวดหลังเรื้อรัง เป็นโรคกลุ่มอาการขาขวาสั้น ข้อมูลเหล่านี้นำมาสู่การยอมรับแบบแกนๆว่าน่าจะมีโรคขาไม่เท่ากัน  (unequal leg length หรือ leg length discrepancy – LLD) อยู่ในโลกนี้จริง และได้ใส่ชื่อโรคนี้ไว้ในสาระบบการจำแนกโรค ICD โดยได้โค้ด ICD9 ว่าเป็นโรคเลขที่ 736.81 ซึ่งมีผลให้ใครก็ตามที่ป่วยด้วยโรคนี้ สามารถเบิกประกันสังคม (Blue Cross, Blue Shield) ได้ แต่ว่าโรคนี้ก็ยังเป็นโรคนอกกระแสหลักของความรู้แพทย์ และมีหมอที่สนใจหรือเชื่อว่ามีโรคนี้อยู่จริง มีอยู่เป็นจำนวนไม่มากนัก

การวินิจฉัยโรคขาไม่เท่ากันนี้ทำโดยวัดความยาวของขา (จากโหนกกระดูกหน้าตะโพก (ASIS) ไปยังตาตุ่มด้านใน (MM) หรือจากสะดือ ไปยังตาตุ่มด้านในของขาแต่ละข้าง  อีกวิธีหนึ่งคือให้ยืนด้วยขาข้างสั้นบนลังสบู่แล้วปล่อยขาอีกข้างลอยเท้งเต้งแล้ววัดความแตกต่างของความยาวที่ข้างลังสบู่ วิธีนี้ก็ถือว่าโอเค.


การยืนยันการวินิจฉัยด้วยภาพเอ็กซเรย์ตะโพกในท่ายืนซึ่งจะเห็นกระดูกตะโพก (pelvis) เอียงไปข้างขวา อันนี้ถือว่าเป็นการยืนยันการวินิจฉัยที่เชื่อถือได้ในปัจจุบัน

เมื่อขายาวไม่เท่ากัน ร่างกายสองข้างก็ไม่สมมาตร (asymmetry) การเคลื่อนไหวก็ถูกจำกัด และกล้ามเนื้อและเอ็นก็ผิดปกติไปเพราะต้องรับแรงกระทำที่ไม่เป็นธรรมชาติ ก่ออาการได้หลายแบบ ตั้งแต่ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเชิงกราน (SI joint) หรือแม้กระทั่งปวดเข่า

งานวิจัยการรักษาโรคขาสองข้างไม่เท่ากันนี้ก็มีวิจัยไว้มากจนสรุปวิธีรักษาได้ชัดเจนแล้ว งานวิจัยสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบคนเป็นโรคขาไม่เท่ากัน พบว่าการใส่ส้นเสริม หรือแผ่นรองในรองเท้า (insole) เสริมข้างที่สั้น มีผลลดอาการปวดหลังอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งก็ตรงกันกับข้อมูลจากประสบการณ์ของคุณที่เขียนจดหมายนี้มา

กล่าวโดยสรุป เมื่อปวดหลังเรื้อรังหรือปวดคอเรื้อรัง จะให้คิดถึงโอกาสที่จะเกิดจากขาสองข้างไม่เท่ากันด้วย วิธีที่ดีที่สุดก็คือถามคุณหมอกระดูกที่ดูแลอยู่ว่ามีโอกาสจะเป็นกรณีขาสองข้างยาวไม่เท่ากันได้ไหม จะตรวจพิสูจน์ได้ไหมว่าเป็นหรือไม่เป็น และถ้าเป็น คุณหมอมีแผนจะรักษาอย่างไร เพียงแค่นี้ก็จะเป็นการใช้ประโยชน์จากเรื่องที่คุณผู้อ่านท่านนี้เล่ามาได้เต็มที่แล้วครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

 บรรณานุกรม

1.    Juhl J. Prevalence of frontal plane pelvic postural asymmetry. J Am Acad Osteopath Assoc, October 2004;104(10):411-21.
2.       Aaron A, Weinstein D, Thickman D, Eilert R. Comparison of orthoroentgenography and computed tomography in the measurement of limb-length discrepancy. J Bone Joint Surg Am. 1992;74:897–902. [PubMed]
3.      Badii M, Shin S, Torreggiani WC, Jankovic B, Gustafson P, Munk PL, Esdaile JM. Pelvic bone asymmetry in 323 study participants receiving abdominal CT scans. Spine. 2003;28:1335–1339. [PubMed]
4.      Defrin R, Ben Benyamin S, Aldubi RD, Pick CG. Conservative correction of leg-length discrepancies of 10 mm or less for the relief of chronic low back pain. Arch Phys Med Rehabil. 2005;86:2075–2080. [PubMed]

5.      Fisk JW, Baigent ML. Clinical and radiological assessment of leg length. N Z Med J. 1975;81:477–480. [PubMed]
[อ่านต่อ...]

29 มกราคม 2557

ตัวเรียนเภสัช แต่ใจอยากเรียนหมอ


คุณหมอคะ
ขอเรียนถามคะ ตอนนี้หนูเรียนเภสัช แต่ใจอยากเรียนหมอ ถ้าเราเรียนเภสัชให้จบแล้วต่อหมอ จะแก่เกินไปมั๊ยคะ แล้วถ้าเราไปเรียนตอนนั้นวงการแพทยเค้าจะยอมรับมั๊ยคะ หรือจะยอมรับแต่คนที่เข้าตามเกณฑ์คะ

...................................

ตอบครับ

1.. เรื่องแก่เกินแกง เอ๊ย.. แก่เกินจะเรียนแพทย์ ตอบได้ว่าไม่มีแก่หรอกครับ ผมเห็นหมอหลายคนมาเรียนแพทย์เอาตอนอายุสามสิบกว่า ก็มีความสุขในชีวิตดี พวกที่เข้าหลักสูตรแพทย์แนวใหม่ (New Tract) หมายถึงจบ ป.ตรี แล้วทำงานสองปีก่อน แล้วจึงจะสอบเข้าเรียนได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่กลมกลืนกับเด็กมัธยมที่มาเรียนแพทย์ตามเส้นทางปกติ เพราะเท่าที่ผมเห็นทุกคนก็กลมกลืนกันดี เป็นแฟนกันไปก็มี

2. เรื่องความรังเกียจว่าเป็นหมู ..เอ๊ย ไม่ใช่เป็นหมอสายพันธ์ไหน ในหมู่แพทย์ด้วยกัน ไม่มีหรอกครับ รับประกัน เพราะที่ทำงานอยู่ด้วยกันทุกวันนี้ยากที่จะทราบว่าใครมาจากทางไหน นานๆจะเจอคนทำอะไรหลุดโลกซักคนหนึ่ง ซึ่งในกรณีเช่นนั้นเพื่อนร่วมงานก็จะซุบซิบสืบโคตรเหง้าศักราชว่ามาเธอจากทางไหน แต่ผลที่ได้ก็จะ random คือไม่ว่ามาจากทางไหนก็มีอุบัติการณ์หลุดโลกได้พอๆกัน ไม่เกี่ยวกับสถาบันหรือประเทศที่เรียนมาเลย

3. การเรียนเภสัชให้จบแล้วเอาคุณวุฒิไปเรียนต่อแพทย์ จะได้ย่นระยะเวลาแค่ปีเดียวนะ คือสอบเข้าแล้วต้องเรียนอีก 5 ปี เป็นหลักสูตรที่เรียกว่า หลักสูตรแนวใหม่หรือ New Tract ซึ่งปัจจุบันนี้เหลือสอนอยู่ที่ม.นเรศวร และ ม.พะเยา (ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ผมไม่แน่ใจว่าเลิกไปหรือยัง) ดังนั้นคุณต้องคำนวณความคุ้มค่าให้ดี เพราะเภสัชเองก็เรียน 5-6 ปีเข้าไปแล้ว การออกไปเริ่มต้นใหม่โดยไม่ต้องรอให้เรียนเภสัชจบจะเป็นวิธีที่คุ้มค่ากว่าหรือเปล่า ลองคิดดู

3. การเรียนแพทย์ในเมืองไทยนั้น ไม่ว่าจะเรียนที่สถาบันไหน เรื่องคุณภาพไม่มีปัญหา ปัญหามีอยู่อย่างเดียวคือมันสอบเข้ายากเลือดตากระเด็น ดังนั้นผมแนะนำให้มองหาทางเลือกอื่นๆ ตามลำดับความยากในการสอบเข้า ลดหลั่นกันไปดังนี้

3.1 เอาวูฒิมัธยม สอบเข้ามหาลัยผ่าน กพสท. เป็นวิธีที่ประหยัดเงินที่สุด แต่การสอบโหดที่สุด

3.2 เอาวุฒิมัธยม สอบเข้าแพทย์มศว.หลักสูตร Nottingham เสียค่าเทอมแพง แต่การสอบไม่โหดเท่า แต่ก็ยังโหดอยู่ดี เพราพวกลูกหมอทั้งหลายที่สอบกพสท.ไม่ได้จะมาออกันที่นี่

3.3  เอาวุฒิมัธยม สอบเข้าแพทย์รังสิต เสียเงินค่าเทอมแพง การสอบเข้าได้ง่ายขึ้นหน่อย แต่ก็ยังหินไม่เบา เรื่องใช้เงินตัดทิ้งได้ เพราะทุกคนมาที่นี่มีเงินหมด ส่วนเรื่องใช้เส้นก็อย่าไปหวัง บอกได้คำเดียวว่า ยากส..ส์ เพราะมหาลัยเขากลัวรับเข้าไปแล้วไปสอบตกกลางคันทำให้ชั้นเรียนว่างและทำให้เขาขาดทุนในบั้นปลาย

3.4 นอกจากนี้ยังมีบางแห่งเช่นจุฬาฯ และแม่ฟ้าหลวง ที่เงื้อง่าจะเปิดหลักสูตรแพทย์ AEC (ผมขอแปลเอาง่ายๆว่าหลักสูตรที่เก็บค่าเทอมแพงขึ้นแต่สอบเข้าง่ายกว่าเดิม) ผมไม่ได้ติดตามข่าวว่าเปิดรับไปหรือยัง ถ้าคุณสนใจก็ลองสืบข่าวดูเองก็แล้วกัน

3.5 เอาวุฒิมัธยมไปเรียนแพทย์ที่จีน หรืออินเดีย

3.6 เอาวุฒิป.ตรีเช่นเภสัชหรือพยาบาล ไปเรียนแพทย์ที่ฟิลิปปินส์

4.. การที่คุณคิดอยากจะเป็นหมอ ถ้ามันเป็น passion ที่คุณอยากจะมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือคนอื่น หากเป็นความมุ่งมั่นจริงจัง ผมก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ถ้ามันเป็นแค่ความอยากทัดเทียมเพื่อน อยากได้รับการยอมรับจากสังคม อยากให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ หรือแค่อยากมีงานทำชัวร์ๆ ผมว่ามันไม่คุ้มที่จะทิ้งสาขาเภสัชมาเริ่มต้นเรียนแพทย์ใหม่หรอกครับ เพราะเส้นทางกว่าจะได้เป็นหมอนั้นยาวนานและมีอุปสรรคขวากหนามสารพัด แถมยังมีความยากที่ต้องใช้น้ำอดน้ำทน หากสู้อุตสาห์ตะเกียกตะกายจนพ้นพงหนามเพียงเพื่อจะได้มาทำอาชีพที่คุณไม่ได้ “อิน” หรือมีความสุขกับมันอย่างแท้จริง มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีแน่นอนครับ ที่ผมพูดดักคอไว้อย่างนี้เพราะเห็นน้องๆที่จบหมอหลายคนไม่มีความสุขกับงานอาชีพนี้ บางคนเปลี่ยนไปขายเครื่องสำอาง บางคนไปทำกล่องโฟมขาย บางคนหลังจากพบว่าอาชีพนี้ "ไม่ใช่" ก็ไปตั้งต้นใหม่ ไปทำงานเป็นพนักงานบนเครื่องบินบ้าง บางคนสายตายังดีหน่อยก็เลิกเป็นหมอไปเรียนขับเครื่องบิน ประเด็นคือ...

     “...อาชีพอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่คุณมีความสุขเมื่อได้ทำมันหรือเปล่า”


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

28 มกราคม 2557

วุ้นเส้น เป็นโปรตีนหรือคาร์โบไฮเดรตกันแน่ (cellophane noodle)

คุณหมอสันต์ที่เคารพรัก

หนูกำลังลดความอ้วน โดยทำตามสูตร Dukan ที่คุณหมอแนะนำ แต่ว่าประยุกต์ไปเล็กน้อย โดยทานแต่โปรตีนและผักผลไม้ งดพวกคาร์โบไฮเดรต ทุกวันนี้อาหารหลักของหนูคือยำวุ้นเส้น เพราะมีคนบอกว่าวุ้นเส้นทำมาจากถั่วเขียวล้วนๆ ไม่มี ingredient อย่างอื่นเลย จึงเป็นโปรตีน ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรต จึงเหมาะที่จะเป็นอาหาร “เล้น” ที่ใช้ลดความอ้วน อย่างไรก็ตาม หนูอยากมั่นใจว่าหนูเดินทางถูก จึงขอตรวจสอบกับคุณหมอว่าเรื่องวุ้นเส้นไม่มีคาร์โบไฮเดรตนี้ เป็นความจริงหรือไม่ค่ะ อีกอย่างหนึ่งหนูชอบทานยาคูลท์ มันใช้ลดน้ำหนักได้จริงไหมค่ะ
......................................................

ตอบครับ

1.     ถามว่าวุ้นเส้นเป็นโปรตีนที่ไม่มีคาร์โบไฮเดรตจริงหรือไม่ ตอบว่า “ไม่จริงครับ” เรื่องวุ้นเส้นนี้ผมรู้ดี เพราะสมัย ประมาณปี พ.ศ. 2528 ผมไปเป็นหมออยู่ที่รพ.สระบุรี ได้เคยตะลอนไปหาซื้อที่ดินแถวหนองแคเพื่อจะทำไร่ปลูกผัก อย่าไปคิดว่าผมเป็นราชาที่ดินนะครับ สมัยนั้นที่ดินไร่ละห้าพันบาทเอง เหตุที่ผมต้องไปหาที่หนองแคก็เพราะหนองแคมีคลองระพีพัฒน์ซึ่งมีน้ำตลอดปี ใช้รดผักได้ง่าย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ซื้อที่ดิน ได้แต่ไปทัวร์โรงงานวุ้นเส้นที่นั่น จึงได้ทราบกระบวนการผลิตวุ้นเส้นโดยละเอียด คือเขาจะเอาถั่วเขียวมาโม่จนเป็นผง แล้วทิ้งให้มันตกตะกอนในสารละลาย กระบวนการตกตะกอนนี้จะแยกแป้งออกจากโปรตีน ส่วนที่เป็นแป้ง เขาเอามาทำวุ้นเส้น ส่วนนี้เป็นแป้งเสีย 86% แทบไม่มีโปรตีนเลย เขาจึงนิยมเอาให้คนไข้โรคไตเรื้อรังที่กลัวโปรตีนกิน เพราะหากเทียบกับเส้นด้วยกัน วุ้นเส้นเป็นอะไรที่มีโปรตีนน้อยที่สุด ในกระบวนการผลิต ส่วนที่ตกตะกอนเป็นโปรตีนนั้น เขาเอาไปทำอาหารสัตว์ ดังนั้นขอให้เข้าใจชีวิตเสียใหม่ ว่าวุ้นเส้นคือแป้ง ไม่ใช่โปรตีน

2.     ถามว่าทำไมคนนิยมทานวุ้นเส้นแทนเส้นอื่นๆเพื่อลดน้ำหนัก อันนี้ผมคิดว่ามาจากการคำนวณแคลอรี่ในอาหาร เพราะในเอกสารการวิเคราะห์แคลอรี่ในอาหารของกองโภชนาการ กรมอนามัย ได้ระบุว่าหากคิดต่อน้ำหนัก 100 กรัมแล้ว วุ้นเส้นให้แคลอรี่แค่ 80 แคลอรี่ ขณะที่ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กให้ 220 แคลอรี่ เส้นใหญ่ให้ 160 แคลอรี่ นักลดน้ำหนักในค่ายนับแคลอรี่จึงแนะนำวุ้นเส้นแทน แต่คำแนะนำแบบรูดมหาราชของผมคือหากจะลดน้ำหนัก ให้ลดคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ซึ่งหมายความรวมถึงการเลิกทาน "เส้น" ทุกชนิดและวุ้นเส้นด้วย

3.      ประเด็นการใช้นมเปรี้ยว (yogurt) ในการลดน้ำหนักนั้น มันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อนมเปรี้ยวนั้นทำมาจากนมไร้ไขมัน (zero fat milk) และไม่ได้ใช้น้ำตาลเพิ่มเข้าไป (อาจใช้สารทดแทนความหวานอย่างอื่นแทน) นมเปรี้ยวยี่ห้อที่คุณพูดมานั้นเป็นนมเปรี้ยวที่ทำจากนมจากเต้า  (whole milk) จึงมีไขมันอิ่มตัวอยู่เต็มพิกัด แถมใส่น้ำตาลแยะอีกต่างหาก ใช้ลดน้ำหนักไม่ได้หรอกครับ หากคุณอยากลดน้ำหนักด้วยนมเปรี้ยว ผมแนะนำให้อ่านฉลาก เลือกนมเปรี้ยวที่ใช้ 0% fat milk และไม่ใส่น้ำตาล หรือถ้าจะให้ดีก็ทำนมเปรี้ยวทานเสียเอง ผมไม่รู้หรอกว่าทำอย่างไร แต่ได้ยินว่ามันทำไม่ยาก

4.     ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมแถมให้ คือการทานผลไม้ขณะลดความอ้วน คือผลไม้เป็นอะไรที่ดีต่อสุขภาพก็จริงอยู่ แต่สำหรับคนอ้วน ผลไม้ก็เป็นแหล่งแคลอรี่ จะสังเกตว่าในสูตรอาหารของดูก็องไม่ได้ให้ทานผลไม้เลยจนกว่าน้ำหนักจะลงไปถึงน้ำหนักเป้าหมาย คือให้ทานแต่ผัก ตรงนี้ผมแนะนำว่าหากคุณต้องการเร่งเอาน้ำหนักลง ควรทานผลไม้แต่น้อย ทานเฉพาะชนิดที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ หรือจะให้ดีงดผลไม้ไปก่อน คุณอาจจะแย้งว่า

“...แล้วจะเอาอะไรมาขบเคี้ยวละ เพราะหากไม่มีอะไรขบเคี้ยวชีวิตอาจดับสิ้นได้นะ”

 ผมแนะนำว่าคุณมีทางเลือกสองทาง

ทางเลือกที่ 1.  ให้คุณทำแบบหมอคนหนึ่งในที่ทำงานของผมซึ่งเธอลดความอ้วนได้ผลจนกลับมาเป็นหมอคนสวยได้ ปกติเธอชอบกินจุบกินจิบ พอเธอลดความอ้วนเธอเอาผักเช่นผักคะน้าต้มบ้างนึ่งบ้างแล้วตัดเป็นท่อนเรียงสวยงาม แล้วเอามาทานเป็นอาหารว่าง เวลานั่งคุยกันในห้องพักแพทย์ ผมเห็นเธอเงยหน้าขึ้นหย่อนผักต้มเข้าปากหมดเกลี้ยงๆเป็นจานๆในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

 ทางเลือกที่ 2.  ให้คุณทำแบบน้องคนหนึ่งในรายการเต้นเปลี่ยนชีวิต (Dance Your Fat Off) มีอยู่คนหนึ่งลดน้ำหนักได้ดีมาก คือลดได้สัปดาห์ละมากกว่า 6 กก. ผมถามว่าเอาชนะความรู้สึกอย่างเคี้ยวนั่นเคี้ยวนี่ได้อย่างไร เขาตอบว่า

                “..ผมเคี้ยวน้ำแข็งแทนครับ”

คือทั้งวันต้องมีน้ำแข็งเปล่าไว้เคี้ยว กร้วมๆๆ ทั้งวัน ก็แก้ความรู้สึกคันปากไปได้


นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

........................................
[อ่านต่อ...]

27 มกราคม 2557

Passion พลังขับดันชี้วิตที่กระเพื่อมได้ไกล


      เชียงใหม่ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2513...         ผมอายุยังไม่เต็ม 18 ปี วันหยุดยาวช่วงปีใหม่ พวกเราสี่คนวางแผนหยุดเรียนบวกขาดเรียนแถมหัวท้ายเพื่อไปเดินป่ากัน เราทั้งสี่เป็นเพื่อนซี้กากี่นั้งกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนมัธยมอยู่เซ็นต์แมรี่ รัชกับอู๊ดมาเรียนว.ค. (วิทยาลัยครู) เชียงใหม่ คนที่สามคือนัน ซึ่งไปเรียนช่างอุตสาหกรรมที่กรุงเทพฯแต่ไม่แฮปปี้เลยหนีมาสิงอยู่กับพรรคพวกที่ว.ค. ส่วนผมนั้นเรียนอยู่ที่แม่โจ้
          
      เราวางแผนไว้ว่าจะเดินข้ามดอยปุย ขึ้นทางห้วยแก้ว ข้ามยอดเขาไปอีกฟากหนึ่ง แล้วไต่ดอยอินทนนท์ไปทางใต้ ปลายทางคือหมู่บ้านลั๊วะซึ่งอยู่ในเขตอำเภอแม่แจ่ม
      
     กว่าจะตุนเสบียงจัดหามีดพร้าปืนผาได้ครบก็บ่ายแล้ว พวกเรานั่งสองแถวจากห้วยแก้วขึ้นไปดอยสุเทพ ไปถึงดอยสุเทพก็ด้อมๆมองๆหาเผื่อฟลุ้คว่ามีฝรั่งมาว่าจ้างสองแถวให้ไปภูพิงค์จะได้ขออาศัยไปด้วย แต่ไม่มี เราจึงต้องเดินไป ถึงภูพิงค์เอาบ่ายคล้อย ผ่านหน้าประตูพระตำหนักที่ปิดเงียบอยู่ผมนึกถึงเมื่อต้นหน้าหนาวที่ผ่านมา อาจารย์เกณฑ์พวกเราที่แม้โจ้มาราวยี่สิบคนเพื่อมาดายหญ้าให้แปลงกุหลาบบนภูพิงค์ กุหลาบที่นี่หน้าหนาวดอกใหญ่พอๆกับชามก๋วยเตี๋ยว พวกเราทำงานกันเหงื่อไหลไคลย้อยจากเช้าจนถึงใกล้เที่ยงจึงวางจอบนั่งพักสูบบุหรี่ใต้ร่มไม้ อยู่ๆพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จลงมาแวะทักทายโดยไม่ได้คาดฝัน ทุกคนรีบย้ายก้นจากหัวจอบลงนั่งพนมมือแต้บนพื้นดินโดยอัตโนมัติ ทรงมีรับสั่งว่า

            ทำงานกันมาเหนื่อย เที่ยงนี้อยากจะกินอะไรกัน จะหาให้

           พวกเรารวมทั้งอาจารย์ ยังไม่หายตลึง จึงเงียบหมด สักครู่เพื่อนจอมทะเล้นประจำกลุ่มคนก็ออกโรงพนมมือจรดหน้าผากเงยหน้าขึ้นแบบลิเกแล้วกราบบังคมทูลเสียงดังฟังชัดว่า

          เกี๊ยว..พะยะค่ะ

          มื้อเที่ยงนั้นจึงได้กินเกี๊ยวกันจริงๆ
     
     ผ่านหน้าภูพิงค์เราเดินตามทางลูกรังของตชด.(ตำรวจตระเวนชายแดน)ไปทางตะวันตก เพื่อไปยังหมู่บ้านแม้วซึ่งอยู่บนไหล่เขาสูงเกือบถึงสันของดอยปุย ห่างจากพระตำหนักไปไม่กี่กิโลเมตร ไปถึงหมู่บ้านแม้วเอายามโพล้เพล้ ตะวันสีหมากสุกทอแสงทองสาดทั่วทั้งไหล่เขา หมู่บ้านนี้มีบ้านแม้วอยู่ประมาณสิบหลังคา เกือบทุกบ้านปลูกติดพื้นดิน ผนังทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคา เมื่อเห็นคนแปลกหน้าเข้าไป หัวหน้าหมู่บ้านก็ออกมาหา พวกเราเรียกเขาว่าเสี่ยวเฮง เขาเสนอให้เราค้างคืนที่บ้านเขาพลางชี้มือไปที่กระท่อมไม้ไผ่หลังขนาดกลาง นันถามว่า
          เสี่ยวอยู่กันกี่คน เขาตอบว่า

            สิบคนเท่านั้นเอง มีเมียเฮาสี่คน ละอ่อนอีกห้าคน

          ข้อมูลนี้ไม่แปลกอะไร เพราะแม้วมีเมียได้หลายคน ผมถามต่อว่า

            แล้วเสี่ยวมีม้ามีหมูกี่ตัว

          ที่ถามอย่างนี้เพราะเป็นธรรมดาว่าชาวแม้วจะเอาสัตว์เลี้ยงซึ่งส่วนใหญ่เป็นม้ากับหมูนอนอยู่ในบ้านเดียวกันด้วย จะได้สุมไฟที่เดียวใช้ได้ทั้งสัตว์และคน คำตอบที่ได้คือ

          เฮามีม้าตัวเดียว มีหมูสองตัวเท่านั้นเอง

          พวกเราดูขนาดกระต๊อบเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตที่จะต้องยัดเข้าไป 17 ชีวิตแล้ว ก็ต้องรีบขอบอกขอบใจเสี่ยวที่เอื้อเฟื้อ และขอตัวว่าเราตั้งใจจะไปนอนที่โรงเรียน ตชด. แล้วพากันเดินขึ้นเขามุ่งหน้าไปยังโรงเรียน ผ่านบ้านแม้วอีกหลังหนึ่งซึ่งชายชาวแม้ววัยกลางคนสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งกำลังเป่าเครื่องดนตรี ที่ทำด้วยไม้ไผ่คล้ายแคนของชาวอิสานแต่ว่ายาวกว่า คือยาวเป็นวาและปลายโค้งงอนขึ้นเหมือนคันไถ อีกคนนั่งสูบฝิ่นด้วยบ้องสูบยาทำด้วยเครื่องเงินอย่างสบายอารมณ์ พวกผู้หญิงส่วนใหญ่ยังไม่กลับจากไร่ เพราะหญิงแม้วมีหน้าที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงสามี ส่วนพวกสามีนั้นผมเดาเอาว่ามีไว้ทำพันธ์อย่างเดียว ขอประทานโทษคุณผู้ชายถ้าผมพูดไม่สุภาพ ก็โถ..ท่านมีเมียกันคนละสามสี่คนจะมีเวลาไปทำอะไรอื่นอีกละครับ

          เดินผ่านกระต๊อบอีกหลังหนึ่ง เห็นหญิงแม้วคนหนึ่งแต่งตัวเต็มยศนั่งถักทอเครื่องแต่งกายของเผ่าด้วยเข็มคล้ายเข็มถักโครเชท์อยู่ที่บันไดหน้าบ้าน ที่ว่าแต่งตัวเต็มยศหมายถึงสวมชุดดำสีม่อฮ่อม เสื้อนั้นเป็นผ้าคล้ายกำมะหยี่สีดำประดับประดาด้วยสร้อยและเหรียญเงิน จำนวนเหรียญน่าจะไม่ต่ำกว่าสองร้อยหรือสามร้อยเหรียญเต็มหน้าอกพรืดไปหมด เฉพาะที่รอบคอยังมีแผ่นเงินรูปพระจันทร์เสี้ยวห้อยไว้อีกสามสี่อัน เธอสวมหมวกผ้าสีดำที่ประดับประดาด้วยเหรียญเงินมันวับเป็นร้อยๆเช่นกัน เวลาเงยหน้าขึ้นยิ้มเห็นจมูกใหญ่โดดเด่นใสซื่อน่ารัก น่าเสียดายที่การแต่งกายของแม้วแบบเต็มยศอย่างนั้นสมัยนี้หาดูไม่ได้แล้ว

          เดินขึ้นมาจวนจะถึงจุดสูงสุดของหมู่บ้านแล้ว พวกเราคอแห้งผาก มีกระต๊อบหลังหนึ่งขนาดเล็กมาก เล็กพอๆกับห้องสุขา ตั้งอยู่บนเนิน เราแวะไปขอน้ำกิน เจ้าบ้านเป็นแม่เฒ่าที่อยู่คนเดียวและอู้คำเมืองไม่ได้ อู๊ดพูดกับเธอว่า

          กู๋..กู๋.. เฮาเด้

          ผมถามว่าแปลว่าอะไร อู๊ดบอกว่ากู๋แปลว่าฉัน เฮาเด้แปลว่าดื่มน้ำ แม้ว่าฟังคำแปลแล้วไม่น่าจะได้กิน แต่แม่เฒ่าก็เข้าใจ เธอเอื้อมมือไปหยิบน้ำเต้าใส่น้ำที่แขวนบนผนังมาให้พวกเราดื่ม ผมขยับจะนั่งลงบนพื้นบ้านของเธอ พลันก็ได้ยินนันร้องห้ามเสียงหลงว่าอย่านั่ง เมื่อตรวจการด้วยสายตาอีกรอบหนึ่งก็เห็นด้วย เพราะพื้นบ้านของเธอซึ่งทำด้วยไม้ไผ่เอียงตามเสาบ้านต้นหนึ่งที่เอียงกะเท่เร่ด้วยความผุพัง ถ้าผมนั่งลงไปอีกคนหนึ่งบ้านทั้งหลังอาจพังลงมาก็ได้

          เราโบกมือลาแม่เฒ่า ทิวทัศน์จากบ้านแม่เฒ่านี้เด็ดขาดนัก มองจากหน้าบ้านเห็นเขาลดหลั่นลงไปเป็นแอ่งอยู่บนไหล่เขา มีบ้านแม้วอีกสี่ห้าหลังอยู่ข้างล่าง ลานกลางหมู่บ้านเป็นไร่ฝิ่นที่กำลังออกดอกสีม่วงอมชมพูสวยงามนัก บางต้นก็ตกฝักกลมตะลุกปุ๊กใกล้ที่จะกรีดเอายางได้ ไกลออกไปเป็นทิวเขาสีน้ำเงินลดหลั่นสลับซับซ้อน เราเดินต่อไปยังโรงเรียน ตชด.ซึ่งสถาปัตยกรรมก็ไม่ต่างไปจากกระท่อมแม้ว ผนังไม้ไผ่ หลังคามุงจาก พื้นเป็นดิน ขนาดประมาณเล้าหมูของคนบ้านลุ่ม ที่โดดเด่นก็คือมีเสาธงชาติ ตัวธงชาตินั้นเป็นแบบไม่ต้องซัก ไม่ต้องรีด และไม่ต้องเชิญธงขึ้นๆลงๆทุกวัน เพราะเป็นธงสังกะสีตีตะปูติดกับปลายเสาเลย โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนแบบครูคนเดียวนักเรียนอีกสักสิบคน  วันนี้ครู ตชด. ไม่อยู่ เข้าใจว่ากลับไปหาลูกเมียตนเองเนื่องจากเป็นวันหยุดยาว เราจึงถือวิสาสะเข้าไปนอนในโรงเรียนโดยไม่ต้องเปิดประตู เพราะไม่มีบานประตู

          ผมตื่นแต่เช้ามืด พบว่าตัวเองนอนแข็งทื่ออยู่บนโต๊ะนักเรียนเล็กๆสองตัว ตัวหนึ่งรองที่ก้น อีกตัวหนึ่งรองที่หัว ส่วนกลางลำตัวนั้นลอยอยู่กลางอากาศ แต่ก็อยู่มาได้ทั้งคืน อากาศเช้าบนดอยปุยปีนั้นหนาวเย็นเฉียบสุดๆ สองมือแข็งเกร็งจนแบไม่ออก ผมตัดสินใจหยิบมีดเดินเข้าป่าหลังโรงเรียนเพื่อหาเรื่องวอร์มอัพ

          กำลังโค่นต้นไม้อยู่ในป่า อู๊ดก็เดินมาสมทบ เขาถามว่า

            จะเอาไปซ่อมบ้านแม่เฒ่าใช่ไหม?”

          ผมพยักหน้า โดยไม่พูดอะไรกันต่อ เราสองคนช่วยกันโค่นต้นไม้ขนาดสองมือกำรอบได้สามต้น แล้วทะยอยแบกขึ้นเนินไปยังบ้านแม่เฒ่า อู๊ดพยายามอธิบายกับเธอเป็นภาษาแม้ว เธอพยักหน้าแล้วลงจากบ้านมานั่งก่อไฟผิงอยู่ข้างนอก เราเอาเสาใหม่เข้าแทนเสาเก่าทั้งสี่เสา มีเด็กมาผิงแดดและมุงดูอยู่สามสี่คน อู๊ดใช้เด็กให้ไปยืมค้อนกับตะปูจากเสี่ยวเฮง ในที่สุดเราก็เอาเสาใหม่เข้าที่เสร็จ เมื่อเอามือดันพื้นดูก็ยังยวบยาบอยู่เพราะตงห่างเกินไป เราจึงทำพื้นให้ใหม่ด้วย เสริมไม้เข้าไปทำตงเพิ่ม แต่รักษาพื้นไม้ไผ่สีเหลืองทองที่มันวับน่านอนเอาไว้เหมือนเดิม ถึงตอนนี้เราหิวจนขาสั่น ก็พอดีนันกับรัชทำอาหารเช้าเสร็จและยกตามมาให้ถึงที่ เรากินอาหารเช้ากันบนกระต๊อบแม่เฒ่าที่มีวิวเป็นเลิศ แล้วก็นอนหงายตั้งใจจะหลับสักงีบด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่พอมองเห็นหลังคา โอ้.. หญ้าคาที่มุงไว้ทะลุเป็นรูอยู่ทั่วไป มองเห็นท้องฟ้าเป็นจุด เราตัดสินใจทำหลังคาอีก คราวนี้เราทำกันสี่คน รัชไปตัดไม้ไผ่ในป่ามาเพิ่ม อู๊ดจักไม้ไผ่เป็นตอกสำหรับมัดหญ้าคา นันไปรวบรวมหญ้าคาเศษเหลือจากทุกซอกมุมของหมู่บ้านมา "ไพ" ให้พร้อมมุง ผมไปเก็บใบตองตึงมาเสียบด้วยไม้ไผ่เป็นแถวเพื่อเอาไว้เสริมช่องโหว่ของหญ้าคา ตะวันยังไม่ทันตก บ้านแม่เฒ่าก็สร้างเสร็จ มีเสาใหม่ หลังคาใหม่ ผนังใหม่ แถมมีหน้าต่างด้วยเพราะนุยได้ปี๊บหน่อไม้เก่ามาใบหนึ่งเราเอาจึงมาตีแผ่ออกเป็นบานหน้าต่างแบบเปิดขึ้นลง

          และแล้ว..เวลาส่งมอบก็มาถึง พวกเรายืนมองแม่เฒ่าหลังโกงค่อยๆก้าวกลับขึ้นบ้านของตนเอง เธอคลำดูเสา ลองเขย่ามันดู คลำผนังฟากไม้ไผ่ ลองเปิดหน้าต่างซึ่งใช้เถาวัลย์แทนบานพับ พวกเราไม่ได้ภาคภูมิใจที่ได้ช่วยให้แม่เฒ่ามีบ้านดอก แต่พวกเรามีความสุขขณะที่สร้างบ้านหลังนี้ จนไม่มีใครเอ่ยถึงแผนการเดินป่าเลย

          ทริปนั้นเราไปไม่ถึงอินทนนท์ด้วยซ้ำ อย่าพูดไกลไปถึงหมู่บ้านลั๊วะที่แม่แจ่มเลย เราเดินลงดอยปุยด้านตะวันตกเฉียงใต้ มาโผล่ที่บ้านปง แล้วอาศัยขอโดยสารรถลากไม้มาลงที่หางดง แล้วกลับเชียงใหม่ด้วยสองแถว กลับเข้าสู่ชีวิตในโหมดปกติ

          หลังจากนั้น นันยังคงเกกมะเหรกเกเรอยู่อีกหลายปี แล้วอยู่ๆเขาก็กลับไปเรียนหนังสือต่อ จบออกมาทำงานเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างบ้าน พบกันเมื่อประมาณยี่สิบปีให้หลังจากทริปนั้น นันกลายเป็นผู้มีอันจะกินไปแล้ว เขาเล่าถึงการมามีอาชีพรับเหมาปลูกบ้านว่า

          ก็รู้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่เขาทุกข์หนัก  แต่เราก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อยากทำอะไร แต่การที่พ่อกับแม่ทุกข์หนักเพราะเรามันก็ไม่ดี ต้องทำอะไรสักอย่าง พยายามคิดดูว่าชีวิตที่ผ่านมานั้น มีตรงไหน ช่วงไหน ที่เรามีความสุขบ้าง  คำตอบก็คือช่วงที่เราปลูกบ้านให้แม่เฒ่าบนดอยปุย เราก็เลยลองไปรับจ้างเป็นคนงานก่อสร้างบ้าน เวลาปลูกบ้าน เรานึกถึงความรู้สึกเมื่อปลูกบ้านให้แม่เฒ่า ว่าสิ่งที่เราบรรจงทำนี้ท้ายที่สุดมันจะกลายเป็นบ้านที่แม่เฒ่าจะได้ใช้อยู่อาศัยไปจนตาย  แล้วเราก็ได้ความรู้สึกนั้นกลับมาจริงๆ จึงรู้สึกว่าเราพบชีวิตสำหรับเราแล้ว พอสนใจจดจ่อกับมันมากๆเข้า ความอยากรู้อยากเรียนเพิ่มมันเกิดขึ้นเอง จึงกลับไปเรียนหนังสือใหม่ แล้วก็หากินทางนี้เรื่อยมา

          นันเป็นตัวอย่างของคนที่เลือกทำในสิ่งที่ตนรัก แบบที่ฝรั่งเรียกว่ามี passion กับมัน ทำให้งานเป็นการนำมาซึ่งความสุข แน่นอนว่าใครที่ตั้งต้นได้อย่างนี้ การงานของเขาต้องสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเพียงแค่ได้ทำ ก็มีความสำเร็จคือมีความสุขใจไปแล้ว  

          passion นี้มีอิทธิพลมาก มันส่งผลกระเพื่อมออกไปถึงงานอื่นๆที่คนเราต้องทำเพราะความจำใจด้วย ผมคิดไปถึงสมัยที่ผมทำงานเป็นหมออยู่ที่เมืองโอ๊คแลนด์ ผมมีแท็กซี่เจ้าประจำคนหนึ่งชื่อจอห์น เป็นหนุ่มอายุยี่สิบปลายๆได้ เขาทอดสมอแท็กซี่ของเขาอยู่ที่หน้าตึกอุบัติเหตุของโรงพยาบาลนั่นเอง เวลาผมเดินไปจะขึ้นรถ เขาจะผละจากหลังพวงมาลัยมาเปิดประตูให้อย่างนอบน้อม ถ้าเห็นผมหน้านิ่วหรือเหนื่อยล้า เขาจะพูดปลอบทำนองว่า

          วันนี้ยาวนะครับ คุณหมอ 
             (Long day, doctor)”

          เวลาเปิดประตูรถให้ เขาจะฮัมเพลงในคอ พอขึ้นรถได้แล้วเขาจะเปิดเพลงของโมสาร์ทหรือบาค และฮัมตามเบาๆ ครั้งหนึ่งผมถามเขาว่า

          ดูคุณจะชอบงานขับแท็กซี่มากนะ เขาตอบว่า

          ไม่ใช่เลยครับ ผมชอบเปียโน ผมฝึกเปียโนวันละ 5 ชั่วโมงทุกวัน แต่ต้องออกมาขับแท็กซี่เพื่อจะได้มีอาหารไปวางบนโต๊ะ

          คุณคาดหวังอะไรจากการฝึกเปียโนหรือ ผมถามเพราะอาชีพศิลปินนั้นมันไม่น่าจะไปรอดอยู่แล้ว

          ก็หวังเพียงให้ผมได้เล่นมันทุกวัน และก็.. วันหนึ่งถ้าได้ไปเล่นที่คาร์เนกี้ ฮอลล์ ก็คงไม่เลว

          เขาคงหมายถึงงานคัดเลือกนักเปียโนของคาร์เนกี้ ฮอลล์ ที่นิวยอร์ค แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นของผมอยู่ตรงที่นายจอห์นนี้ ทำงานขับแท็กซี่ได้ดี มีความสุขกับมัน เพราะมันเป็นงานที่สนับสนุนให้เขาได้เล่นเปียโน ซึ่งเป็น passion ที่แท้จริงของเขา มันแสดงให้เห็นความแรงของ passion ว่าส่งผลกระเพื่อมได้ไกลเพียงไร

          คุณละครับ อะไรเป็น passion ในชีวิตคุณ และคุณใช้อิทธิพลจากมันมาชับดันการทำงานบ้างหรือเปล่า?

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
..................


[อ่านต่อ...]