31 กรกฎาคม 2565

การพลิกผันโรคไตเรื้อรังด้วยตนเอง เรียนรู้จากคนจริงๆตัวเป็นๆ

สมาชิกที่มาเข้าแค้มป์ RDBY ท่านหนึ่งได้เล่าประสบการณ์การเจ็บป่วยของตัวเองให้เพื่อนร่วมแค้มป์ฟัง ผมเห็นว่าเป็นเรื่องราวที่มีประโยชน์ จึงขอเอามาเล่าต่อให้แฟนบล็อก

“..ผมอายุ 65 ปี เรื่องมันเริ่มจากการที่ผมเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาไขมันในเลือดสูงและมีป้ญหาอ้วน (นน. 81 กก.) แล้วถูกส่งต่อไปพบหมอโรคไตเพราะผลตรวจเลือดพบว่าเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 คือตรวจได้ eGFR 43 หมอโรคไตถามว่าไม่ทราบหรือว่าเป็นโรคไตเรื้อรังมาสามปีแล้ว เพราะผลตรวจเลือดเมื่อสามปีที่แล้วการทำงานของไตก็แย่ประมาณนี้แล้ว ผมตอบว่าไม่ทราบเลยเพราะทางคุณหมอไม่เคยบอก

ผมกับภรรยาถามว่าแล้วจะมีวิธีไหนที่จะทำให้โรคไตเรื้อรังที่เกิดขึ้นแล้วมันกลับมาดีดังเดิมบ้าง

หมอโบกมือตอบว่าไม่มีทาง โรคไตเรื้อรังไตนั้น ไตเมื่อเสื่อมแล้วก็เสื่อมเลย ไม่มีวันที่จะกลับมาดีได้

เราสองคนพากันใจเสียและวิตกกังวลมาก เพราะตัวผมเองไม่อยากต้องมาล้างไตเข้าๆออกๆโรงพยาบาลในวัยเกษียณ และไม่อยากเป็นภาระให้กับลูกชายคนเดียว ซึ่งเขาทำงานอยู่ในต่างประเทศ จึงเอาเรื่องนี้ปรับทุกข์กับลูก

ลูกซึ่งเป็นวิศวกรถามผมว่าหมออายุมากหรือยัง ผมตอบว่าก็ประมาณวัยกลางๆคน ลูกบอกว่าอย่าไปเชื่อหมอเพราะหมอยังอายุน้อย ยังไม่มีประสบการณ์มากพอ จึงรู้ไม่หมด ลูกชายให้ศึกษาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ทรวมทั้งข้อมูลจากบล็อกหมอสันต์ด้วย และสั่งให้พ่อแม่ทำตามเป็นข้อๆ โดยกำชับว่าพ่อกับแม่ต้องดูแลตัวเองอย่าให้ต้องเป็นภาระแก่เขาในอนาคต และกำชับให้ปฏิบัติตัวตามที่บล็อกหมอสันต์อธิบายไว้ คือเปลี่ยนอาหารมาทานอาหารพืชเป็นหลักในรูปแบบไม่สกัดไม่ขัดสีและมีไขมันต่ำ ให้ออกกำลังกายทุกวัน นอกจากนั้นลูกยังสั่งให้ชั่งน้ำหนักวัดความดันและเจาะเลือดดูค่าต่างๆเช่นน้ำตาล ไขมัน ค่าตับ ค่าไต แล้วส่งผลการตรวจให้เขาดูทุกเดือน

เราซึ่งเป็นพ่อแม่ก็ทำตามที่ลูกสั่งแต่โดยดี โดยเปลี่ยนอาหารที่เคยทานไปเสียอย่างสิ้นเชิง ภรรยาซึ่งไม่อยากเห็นผมต้องมาล้างไตตอนแก่ก็ต้องลงมือทำอาหารเอง อาหารเนื้อสัตว์เลิกไม่ทานเลย นม ไข่ ไก่ ปลา ไม่เอาหมด ไปออกกำลังกายด้วยกันทุกวัน งดอาหารเย็นแบบ IF (intermittent fasting) ด้วย จนสามเดือนผ่านไปน้ำหนักผมลดลงไป 15 กก. จากเดิม 81 เหลือ 66 กก. ดัชนีมวลกายเหลือ 20 ภรรยาผมก็พลอยหุ่นดีขึ้นด้วย น้ำหนักลดลงไป 6 กก. ผลการตรวจเลือดที่ต้องเจาะส่งให้ลูกชายดูทุกเดือนๆก็ดีขึ้นเป็นลำดับ จนครั้งสุดท้ายตัวชี้วัดไต GFR เพิ่มจากเริ่มต้น 43 ขึ้นมาเป็น 73 ซึ่งถือว่าเป็นปกติแล้ว โดยที่ตัวอื่นเช่นน้ำตาล ความดัน ไขมันก็อยู่ในเกณฑ์ปกติหมด โดยทั้งหมดนี้ผมไม่ต้องทานยาอะไรเลย

ลูกบอกว่าให้ไปบอกคุณหมอคนเดิมด้วยว่าที่คุณหมอบอกว่าโรคไตเรื้อรังไตเสื่อมแล้วเสื่อมเลยไม่มีทางกลับดีขึ้นได้นั้นไม่จริงเพื่อเป็นข้อมูลให้คุณหมอได้ทราบไว้ ซึ่งเราสองคนก็กลับไปบอกคุณหมอตามนั้น คุณหมอเห็นผลเลือดที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงจนกลับมาเป็นปกติก็เอ่ยปากขอโทษเรา..”

วันนี้เนื้อหาของเรื่องเล่าของแฟนบล็อกท่านนี้มีความสมบูรณ์ในตัวดีแล้ว ผมไม่มีอะไรต้องเขียนเพิ่มเติมครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

26 กรกฎาคม 2565

เรื่องที่จะต้องทำมีมาก เวลามีน้อย พลังไม่มี

กราบเรียนอาจารย์หมอสันต์

หนูทำงาน … อยู่ที่ … บริษัทลดคนลงไปเกินครึ่ง เพิ่มงานให้คนที่เหลือ ทุกวันนี้เรื่องที่หนูจะต้องทำแต่ละวันมีม๊ากมาก เวลาหนูไม่มี เพราะกว่าจะขุดลูกอาบน้ำป้อนข้าวขับไปโรงเรียนถึงที่ทำงาน เสร็จงานขับกลับมารับลูก กินข้าวเย็น เก็บล้าง เอาลูกนอน ยังไม่ทันทำงานบ้านอีกหลายอย่างเลยก็สามทุ่มแล้ว หนูหมดแรง หนูล้า ทุกอย่างขึงพืด หนูไปต่อไม่ถูก หนูจะเริ่มต้นตรงไหนดี

…………………………………………………………………

ตอบครับ

คุณช่างสรุปสามสาเหตุของโรคเครียดของคนยุคนี้ได้กระชับดีมากเลยนะ

(1) เรื่องที่ต้องทำมีมาก

(2) เวลามีน้อย

(3) พลังไม่มี

ถามว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนดี ตอบว่ามันก็ต้องตรงข้อใดข้อหนึ่งในสามข้อนี้แหละ ลองไล่ไปทีละข้อนะ

จะลดปริมาณงานลงเรอะ เดี๋ยวก็โดนโครงการ MSP (ร่วมใจจากกัน) หร็อก

จะเพิ่มเวลาทำงานรึ โถ..แค่นี้ก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้วนะ

จึงเหลือทางไปทางเดียวเท่านั้น คือ..เพิ่มพลังชีวิต

ถามว่าเพิ่มพลังชีวิตทำไงงะ ตอบจากประสบการณ์ของตัวผมเองเมื่อตอนป่วยหนักร่อแร่นะ ผมแนะนำให้คุณทำงี้

1.. หายใจเอาพลังงานเข้ามาแยะๆก่อน ฝึกหายใจลึกๆ กลั้นไว้สักพัก แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออกยาวๆ คล้ายจงใจถอนหายใจ ใช้วิธีนับไปด้วยก็ได้ 4-4-8 เข้านับ 1-2-3-4 แล้วกลั้นไว้ขณะนับ 1-2-3-4 แล้วผ่อนลมหายใจออกและนับ 1-2-3-4-5-6-7-8 ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่คิดขึ้นได้ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา และหาเรื่องสูดลมหายใจลึกๆบ่อยๆ ก่อนดื่มกาแฟสูดกลิ่นกาแฟลึกๆ แล้วรับรู้พลังที่กลิ่นนั้นนำเข้ามาก่อน สูดกลิ่นหอมที่ชอบ ชอบกลิ่นอะไรก็สูดดมกลิ่นนั้นบ่อยๆ สูดเข้าไปแต่ละทีให้สูดลึกๆ รับเอาพลังงานเข้าไปให้เต็มอิ่มพร้อมกับลมหายใจด้วย

2.. ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อร่างกาย ตอนที่หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพักนั้น ตอนหายใจออกให้ผ่อนลมหายใจออกมาแบบสบายๆแล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่างกายพร้อมกันไป ยิ้มที่มุมปากไปด้วย ทำไปพร้อมกับการทำงานหรือขับรถก็ได้ เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวไฟฟ้าในเส้นประสาทที่วิ่งไปกระตุ้นกล้ามเนื้อจะสงบลง เราจะเริ่มรับรู้หรือ feel พลังชีวิตได้ การผ่อนคลายเริ่มที่การยิ้มให้ได้ก่อน ยิ้มทั้งวัน นั่นหมายความว่าเราได้พลังชีวิตเพิ่มขึ้นตลอดวัน

3.. สังเกต นอกเวลาทำงานให้สังเกตมันทุกอย่างรอบตัวเราที่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ สังเกตภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และที่สำคัญสังเกตความคิดของเราด้วย เอ๊ะ..เมื่อตะกี้เราคิดอะไรอยู่ พอรู้ว่าคิดอะไรก็พอละ หันกลับมาสนใจที่จะหายใจเข้าออกลึกๆใหม่ คนช่างสังเกตมีสติสะดังอยู่กับปัจจุบัน จะไม่เป็นคนใจลอยเลอะเทอะย้ำคิดซ้ำซาก

4.. ยอมรับทุกอย่างที่พระพรหมโยนมาใส่ชีวิตเรา อย่าบ่น ยอมรับมันตามที่มันเป็น ไม่ต้องดราม่า ไม่ต้องตั้งแง่กับชีวิตว่านี่หรือชีวิต ไม่ต้องไปคิดอะไรต่อยอดสิ่งที่สังเกตพบเห็น แค่รับรู้มันตามที่มันเป็น ไม่ต้องเอาตัวตนของเราเข้าไปพิพากษาตัดสินอะไรทั้งสิ้น ยอมรับลูกเดียว ท่องคาถา “ขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย เมตตา”

5.. ถ้าไม่ยุ่งกับความคิดได้ เป็นดีที่สุด แต่หากจะคิดอะไร ให้คิดบวกเท่านั้น ระวังติดเชื้อคิดลบจากคนอื่นซึ่งมีมากในบริษัทที่กำลังเผชิญปัญหาธุรกิจ ใครที่มีแต่ความคิดลบพูดแต่เรื่องลบๆอย่าไปอยู่ใกล้เขา ถ้าจำเป็นต้องอยู่ใกล้ก็อย่าไปมองหน้าเขา เดี๋ยวจะติดเชื้อเขามา เขาพูดอะไรก็อย่าไปคิดตามเออออตาม ให้หันมาสนใจลมหายใจของเราแทนปล่อยให้เขาพล่ามผ่านหูของเราไป

6.. ในการทำงานให้ทำอย่างสุดจิตสุดใจ อย่าไปตั้งแง่ว่างานนี้เราชอบหรือไม่ชอบ เอาเป็นว่าอย่างไรเสียตอนนี้เราต้องทำงานนี้เพราะเราต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงผัว ให้หาความสุขจากการได้ลงมือทำงานอย่างสุดจิตสุดใจ ทำอย่างสุดฝีมือ แน่วแน่ จริงจัง ใส่ใจกระกระบวนการทำหรือขั้นตอนตรงหน้า focus on process อย่าไปว่อกแว่กว่าผลลัพท์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไร เพราะการได้ทำอย่างสุดจิตสุดใจทุ่มสุดตัวโดยไม่สนใจว่าใครจะเอาหัวเดินต่างตีนก็ช่างเขาเป็นการเพิ่มพลังชีวิต แต่การมัวพะวงว่าผลลัพท์จะดีหรือไม่ดี นายจะชอบหรือไม่ชอบ คนอื่นจะเอาเปรียบเราหรือเปล่า เป็นการบั่นทอนพลังชีวิต ทำงานเล็กๆเสร็จไปชิ้นหนึ่งก็เฉลิมฉลองกับตัวเองเสียหน่อย ชูกำปั้นให้ตัวเองแล้วร้องเย่ ในใจ ก็ได้

7.. หาเวลาออกกำลังกาย ถ้าไม่มีเวลาก็เอาตอนพักกินข้าวเที่ยงนั่นแหละ ออกไปเดินขึ้นลงที่บันไดออฟฟิศสักครึ่งชั่วโมง การได้ออกกำลังกายให้เหนื่อยเป็นการเพิ่มพลังชีวิต

8.. เลือกกินอาหารที่เสริมพลังชีวิต กินพืชผักผลไม้ถั่วนัทมากๆ ยิ่งอยู่ในสภาพสดยิ่งดี กินเนื้อสัตว์น้อยๆ หลีกเลี่ยงของหวานหรือเครื่องดื่มรสหวานเพราะจะทำให้เกิด sugar dip คือพลังหมดแม้จะกินหวานไปหยกๆ อย่ากินแบบสวาปามเพราะจะบั่นทอนพลังชีวิตคือกินอิ่มเกินไปแล้วอืดเป็นงูเหลือมจนทำอะไรไม่ได้ กินแค่พอใกล้จะอิ่มก็หยุด ไม่ต้องรอให้อิ่ม ปล่อยให้ตัวเองหิวสักนานๆอย่ารีบหาอะไรกิน เพราะความหิวจะทำให้ร่างกายสร้างพลังชีวิตเพิ่มขึ้นจากอาหารที่เก็บตุนไว้เรียบร้อยแล้วในตับ

9.. อาบน้ำเย็นๆ อย่าอาบน้ำร้อน ปล่อยให้น้ำราดรดจากหัวถึงตัวนานๆ น้ำเย็นจะลดอุณหภูมิร่างกายลงทำให้หลับง่าย หลับลึก ตื่นแล้วมีพลัง

10.. ใช้คลื่นความสั่นสะเทือนของเสียงช่วยสร้างพลังชีวิต ขับรถก็เปิดเพลง ไม่ต้องเปิดข่าว หรือเปิดเพลงโปรดที่อัดไว้แล้วร้องตาม ไม่มีอะไรทำก็ครางอื้อ อี๋อ อือ สร้างความสั่นสะเทือนให้เขย่าร่างกายเข้าไว้ ถ้าโอกาสอำนวยเช่นทำครัวล้างจานก็ขยับร่างกายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงขณะที่ฮัมเพลงไปด้วย เวลานั่งหรือยืนให้ตั้งร่างกายให้ตรง เวลาเคลื่อนไหวเดินไปมาให้เคลื่อนไหวเร็ว มั่นใจ ฟุบฟับ ฟุบฟับ เวลาพูดให้พูดเสียงดังฟังชัด มีความกังวานอยู่ในเสียง อย่าพูดเสียงแผ่วแบบคนจะขาดใจตาย

11. เวลาพักให้ออกจากออฟฟิศไปรับแดดรับลมข้างนอกบ้าง ธรรมชาติเช่นต้นไม้ ที่โล่งกว้าง ท้องฟ้า แสงแดด ลมพัด อยู่กลางฝนโปรยปราย เป็นสนามพลังงานในรูปของคลื่นความสั่นสะเทือนอยู่แล้ว แค่เปิดรับเอาพลังงานเข้ามา กางมือออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย ยิ้ม พลังก็มาแล้ว

12.. จัดเวลานอนหลับให้พอ อย่าเอางานมาทำที่บ้าน อย่าเปิดดูหน้าจอจนค่ำมืดดึกดื่น หมดกิจประจำวันแล้วรีบอาบน้ำนอน หัดทำสมาธิวางความคิดก่อนนอนสักห้านาทีได้ยิ่งดี ถ้าไม่ได้ก็สักหนึ่งนาทีก็ยังดี

ลงมือทำทั้งหมดนี้ก่อน ผมรับประกันว่าพลังชีวิตจะมา เมื่อพลังชีวิตมา งานที่ว่ามากก็จะดูเหมือนน้อยเกินไป เวลาที่เคยมีน้อยจนจะหายใจก็แทบไม่มีเวลา ก็จะกลายเป็นว่าทุกลมหายใจทำไมมีแต่ความบันเทิงในชีวิต ลองดูนะ จริงหรือไม่ ไม่ลองไม่รู้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

24 กรกฎาคม 2565

เหล็กในร่างกายสูง กลัวเป็นสนิม?

(ภาพวันนี้: พริกไทย..รึเปล่า)

เรียนอาจารย์หมอสันต์

อยากเรียนปรึกษาคุณหมอเรื่องค่าเฟอร์ริทินครับ ผมตรวจพบว่ามันสูงถึง750 แต่ผมเป็นพาหะธาลัสซีเมีย ยิ่งเสริซ์ว่าจะเป็นมะเร็งยิ่งกังวลมากเลยครับ มีวิธีเอาเหล็กออกจากร่างกาย และให้ค่าเฟอร์ริรินกลับมาปกติหรือไม่ครับ

ขอบพระคุณอาจารย์หมอครับ

……………………………………………………………

1.. ถามว่า Ferritin จริงๆแล้วมันคืออะไร ตอบว่ามันคือโมเลกุลโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายใช้เป็นที่เก็บตุนเหล็กเอาไว้ใช้งาน โดยเก็บเอาไว้ในตับบ้าง ม้ามบ้าง กล้ามเนื้อบ้าง มีล่องลอยอยู่ในกระแสเลือดบ้างประปราย เปรียบเสมือนห้องครัวบ้านหมอสันต์ธรรมดาซื้อผักซื้อหญ้าอะไรมาก็เอามาเพื่อทำอาหารเลยแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ แต่หมอสันต์เป็นคนชอบกินถั่ว นอกจากจะต้องซื้อถั่วเข้ามาแบบต่อเนื่องแล้วภรรยาของหมอสันต์ต้องมีโหลเล็กๆเก็บตุนถั่วอบไว้ในครัวหลายใบด้วยเผื่อวันไหนลืมซื้อถั่วเข้าบ้านก็หยิบเอาถั่วอบในโหลมาใช้ อุปมาถั่วที่ซื้อเข้ามาวันต่อวันก็เหมือนเหล็กในรูปแบบอื่นที่อยู่ในกระแสเลือดซึ่งได้จากอาหารในแต่ละวัน ส่วนโหลเก็บถั่วก็เหมือน ferritin ซึ่งเก็บตุนเหล็กไว้ใช้ ค่าปกติของเฟอริทินในผู้ชายคือ 24-336 ไมโครกรัม/ลิตร มันเป็นตัวชี้วัดปริมาณเหล็กในร่างกายที่วงการแพทย์นิยมใช้มากที่สุด

2.. ถามว่าการเป็นโรคโลหิตจางทาลาสซีเมียหรือเป็นพาหะทาลาสซีเมียทำไมธาตุเหล็กในร่างกายจึงสูง ตอบว่าเพราะผู้ป่วยทาลาสซีเมียหรือพาหะของโรคนี้เม็ดเลือดมักมีลักษณะบิดเบี้ยวแตกง่าย เมื่อแตกแล้วก็จะเหลือธาตุเหล็กซึ่งเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดค้างอยู่ในร่างกาย ดังนั้นคนที่ไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นพาหะหรือเป็นโรคทาลาสซีเมียหรือเปล่าอย่าเที่ยวซื้อยาบำรุงเลือกกินพร่ำเพื่อ หากมีปัญหาโลหิตจางควรตรวจให้แน่ชัดก่อนว่าเป็นโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก หรือโลหิตจางทาลาสซีเมีย หากเป็นจากทาลาสซีเมีย ยาบำรุงเลือดหรือวิตามินใดๆที่มีส่วนผสมของเหล็กอยู่ด้วยจะยิ่งเอาเหล็กเข้าไปค้างในร่างกายจนเกิดพิษได้

3.. ถามว่าเหล็กในร่างกายมากแล้วมันจะเกิดอะไร ตอบว่าเหล็กมันก็เป็นสนิมสิครับ พูดให้ฟังยากหน่อยคือมันจะกลายเป็นอนุมูลอิสระตัวกลั่นที่เรียกว่า hydroxyl radical เที่ยวทำลายอวัยวะเช่นตับ หัวใจ ไทรอยด์ สมองและเส้นประสาท เรียกรวมๆว่าเป็นโรคพิษของเหล็ก (hemochromatosis)

4.. ถามว่าร่างกายมีกลไกการขับเหล็กส่วนเกินทิ้งหรือไม่ ตอบว่าปกติร่างกายมีโปรตีนตัวหนึ่งชื่อ hepcidin ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารโลจิสติกแร่เหล็กในร่างกาย ประสานงานใหัลำไส้ลดการดูดซึมเหล็กและให้ไขกระดูกเร่งเอาเหล็กไปสร้างเม็ดเลือดเมื่อมีเหล็กมากเกิน แต่ในภาพใหญ่คือระบบของร่างกายเราขึ้นทะเบียนให้แร่เหล็กเป็นทรัพยากรณ์อันมีค่าของชาติ จะต้องรีไซเคิลกลับมาใช้ 100% ไม่ยอมปล่อยออกไปนอกร่างกายทุกเม็ดทุกดอกไม่ว่าจะทางปัสสาวะอุจาระไม่ให้ออกทั้งนั้น ยกเว้นในหญิงมีประจำเดือนที่ร่างกายจำเป็นต้องปล่อยเหล็กออกไปกับประจำเดือนทุกเดือน แต่ผู้ชายร่างกายจะไม่ปล่อยเหล็กออกไปทางไหนเลย เหล็กที่เกิดจากเม็ดเลือดแตกภายในจึงค้างอยู่ในร่างกายมาก

5.. ถามว่าเหล็กสูงทำให้เป็นมะเร็งมากขึ้นจริงไหม ตอบว่าจริงสำหรับมะเร็งตับเพราะเฟอริทินเก็บไว้ที่ตับมากที่สุด ซึ่งมะเร็งจะเกิดหลังจากเกิดตับอักเสบจนกลายเป็นพังผืดแทรกตับจนกลายเป็นตับแข็งแล้ว แต่สำหรับมะเร็งชนิดอื่นเช่นตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ ต่อมน้ำเหลืองนั้นมันแค่ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดได้ คือมันมีความสัมพันธ์กันแต่ไม่รู้ว่าอะไรเกิดก่อนอะไรเกิดหลัง อะไรเป็นเหตุของอะไร หมายความว่าการเป็นมะเร็งอวัยวะอื่นอาจเป็นต้นเหตุให้เฟอริทินสูง ดังนั้นคุณอย่าไปกังวลเกินเหตุ แค่ติดตามเฝ้าระวังการเกิดตับอักเสบและการเกิดพังผืดแทรกตับอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาแทรกแซงให้ทัน ก็จะไม่เป็นมะเร็งตับ

5.. ถามว่าแล้วมีวิธีไหนจะเอาเหล็กออกจากร่างกายไหม ตอบว่า วิธีที่หนึ่ง คือเจาะเอาเลือดออกทิ้งไปดื้อๆ ซึ่งในคนเป็นโรคโลหิตจางอยู่แล้วอย่างคุณนี้วิธีนี้ใช้ไม่ได้ วิธีที่สอง คือการฉีดสารที่โมเลกุลของมันทำตัวเป็นคีมหนีบเพื่อไปหนีบเอาโมเลกุลเหล็กออกมา (chelation) ตัวอย่างของสารที่ใช้ก็เช่น deferoxamine เป็นต้น การทำคีเลชั่นนี้ปกติแพทย์จะไม่ทำเพียงเพื่อให้ผลเฟอริทินกลับมาปกติ แต่จะทำก็ต่อเมื่อมีหลักฐานว่าตับเริ่มจะเสียหาย เช่นมีตับอักเสบ หรือมีพังผืดแทรกตับ เป็นต้น คือหลักทางแพทย์จะไม่มุ่งรักษาผลแล็บให้ปกติ แต่มุ่งรักษาร่างกายให้ทำงานได้ปกติ

ขอแถมนิดหนึ่งสำหรับท่านผู้อ่านทั่วไป โปรดสังเกตด้วยว่าวิธีเอาโลหะหนักออกจากร่างกายด้วยวิธีคีเลชั่นนี้ถูกคนจำพวกหนึ่งนำไปหากินโดยทำทีเป็นเจาะเลือดดูค่าโลหะหนักต่างๆในเลือดแล้วบอกว่ามีพิษของโลหะหนักชนิดนั้นชนิดนี้ต้องทำคีเลชั่นโดยเรียกเก็บเงินแพงๆ หรือบางทีก็หลอกว่าถึงเลือดปกติดีก็ควรมาทำคีเลชั่นกับเขาเป็นระยะๆเพื่อล้างเลือดให้ปลอดสารพิษซึ่งมีอยู่รอบตัวและเข้าสู่ร่างกายทุกวัน หรือล้างพิษให้กลับเป็นหนุ่มเป็นสาวอะไรทำนองนั้น ทั้งหมดนี้เป็นวิทยาศาสตร์เทียม (pseudoscience) ที่เอาเครื่องมือแล็บมาหากินเพื่อตบทรัพย์เข้ากระเป๋าตัวเอง หลักวิชาแพทย์ของจริงจะทำคีเลชั่นก็ต่อเมื่อมีหลักฐานว่ามีโลหะหนักในร่างกายสูงผิดปกติจนก่ออาการเท่านั้น ไม่ใช่ฉีดคีเลชั่นกันพร่ำเพรื่อ ดังนั้นอย่าตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ หากถูกวินิจฉัยว่าเป็นพิษของโลหะหนัก ให้ท่านขวานขวายพาตัวเองไปรับการรักษากับหมอด้านพิษวิทยา (toxicologist)จะปลอดภัยกว่า อย่าไปเที่ยวทำคีเลชั่นตามคลินิกหรือศูนย์ชื่อแปลกๆต่างๆเพราะมันมีความเสี่ยงจะถูกเขาหลอกเอา

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Koyama S, Fujisawa S, Watanabe R, Itabashi M, Ishibashi D, et al.
    Serum ferritin level is a prognostic marker in patients with peripheral T-cell
    lymphoma. Int J Lab Hematol. 2017;39:112-117.
  2. Kalousova M, Krechler T, Jachymova M, Kuběna A, Zak A,et al. Ferritin
    as an independent mortality predictor in patients with pancreas cancer.
    Results of a pilot study. Tumour Biol. 2012;33:1695-1700.
  3. Kowdley KV, Belt P, Wilson LA, Yeh M, Sanyal J, et al. Serum ferritin is an independent predictor of histologic severity and advanced fibrosis in patients with nonalcoholic fatty liver disease. Hepatology. 2012;55:77-85.
  4. Lee S, Song A, Eo W. Serum ferritin as a prognostic biomarker for
    survival in relapsed or refractory metastatic colorectal Cancer. J Cancer.
    2016;7:957-964.
[อ่านต่อ...]

22 กรกฎาคม 2565

ข้อมูลใหม่ ประโยชน์และความเสี่ยงของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในเด็ก

เมื่อ 20 กค. 65 วารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์เจอร์นาล ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยการใช้วัคซีนโควิด-19 ในเด็กอายุ 5-11 ขวบ ที่ประเทศสิงคโปร์ ข้อมูลที่ตีพิมพ์เป็นข้อมูลใหม่ที่ให้ภาพในเรื่องนี้ชัดเจนกว่าที่ผ่านมา ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ ครูอาจารย์ และผู้กำหนดนโยบายของรัฐในแง่ที่จะชั่งน้ำหนักความเสี่ยงและประโยชน์ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะฉีดวัคซีนให้เด็กหรือไม่ จึงได้สรุปมาให้อ่าน ในงานวิจัยจริงเขาสรุปท้ายงานวิจัยโดยไฮไลท์ที่อัตราการการติดเชื้อและอัตราต้องถูกรับเข้ารักษาในโรงพยาบาลว่าเป็นตัวชี้วัดสำคัญ แต่ในการสรุปของผมนี้ผมโฟกัสเอาการติดเชื้อรุนแรงถึงให้ออกซิเจนหรือเข้าไอซียู. (severe infection rate )เป็นตัวชี้วัดสำคัญแทนการติดเชื้อและแทนอัตราการรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพราะทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเราฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อรุนแรงซึ่งเป็นปากทางไปสู่อัตราตาย

ในภาพใหญ่งานวิจัยนี้เป็นการติดตามเด็กสิงคโปร์ จับช่วงเวลาตั้งแต่ 21 มค. 65 ถึง 8 เมย.65 ซึ่งเป็นยุคโอไมครอน 100% ครอบคลุมเด็กจำนวน 255,936 คน ในจำนวนนี้ได้รับวัคซีนครบสองเข็มแล้ว 66.7% (173,268 คน) ได้แต่ไม่ครบ 12%(30,712 คน) ไม่ได้วัคซีนเลย 20.3% (51,995 คน)

ในแง่ของการรักษาโรค มีการติดเชื้อโควิด-19 เกิดขึ้น 53,429 ครั้ง ต้องเข้าโรงพยาบาล 288 ครั้ง เด็กที่ไม่ฉีดวัคซีนมีอัตราการติดเชื้อและอัตราเข้ารพ.มากกว่าเด็กฉีดวัคซีน แต่ประเด็นสำคัญคือในจำนวนทั้งหมดที่ต้องเข้ารพ.นี้เป็นการป่วยหนักถึงต้องให้ออกซิเจนหรือเข้าไอซียู 5 คน ในจำนวน 5 คนที่ป่วยหนักนี้ เป็นคนไม่ได้วัคซีนมาก่อนเลย 1 คน ได้วัคซีนแล้ว 4 คน (ได้ครบ 2 คน ได้ไม่ครบ 2 คน)

ในแง่ของประสิทธิผลของวัคซีนถ้าได้ครบสองเข็มในการป้องกันการติดเชื้อเมื่อเทียบกับผู้ไม่ได้วัคซีนพบว่าในหมู่ผู้ได้วัคซีนให้ประสิทธิผลในการป้องกันสูงสุด 48.9% หลังฉีดเข็มสองได้ 7-14 วัน แล้วลดเหลือ 37.6% หลังเข็มสองได้ 15-19 วัน แล้วลดเหลือ 28.5% หลังฉีดเข็มสองได้ 30-59 วัน แล้วลดเหลือ 25.6% หลังฉีดเข็มสองได้ 60 วัน

ในแง่ของผลข้างเคียงของวัคซีน มีการเกิดผลเสียของวัคซีนระดับรุนแรง (severe adverse reaction) ตามนิยามทางการแพทย์ขึ้น 22 ราย คิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากจำนวนโด้สที่ฉีด 0.005%

ข้อสรุปของหมอสันต์

เพื่อให้ท่านที่ไม่คุ้นกับการอ่านผลวิจัย ผมสกัดออกมาให้ดังนี้

1.. งานวิจัยนี้ทำในยุคโอไมครอน จึงใช้กับเหตุการณ์วันนี้ได้มากกว่างานวิจัยอื่นๆก่อนหน้านี้ที่ทำในยุคเดลต้า

2.. ความเชื่อแต่เดิมที่เชื่อกันว่าการฉีดวัคซีนให้เด็กจะป้องกันการป่วยรุนแรงได้นั้นอาจไม่เป็นความจริงในงานวิจัยนี้ เพราะอัตราการป่วยรุนแรงไม่แตกต่างกันระหว่างผู้ได้กับไม่ได้วัคซีน

3.. ความเชื่อแต่เดิมที่เชื่อกันว่าผลเสียระดับรุนแรงของวัคซีนมีน้อยกว่าประโยชน์ที่จะได้จากการป้องกันการป่วยรุนแรงเพราะโรคนั้นอาจไม่เป็นความจริง เพราะอัตราเกิดผลเสียระดับรุนแรงของวัคซีนสูงกว่าอัตราป่วยรุนแรงถึงขั้นให้ออกซิเจนหรือเข้าไอซียู.จากโรค (ผลเสียรุนแรงของวัคซีนเกิด 0.005% ขณะที่การป่วยรุนแรงจากโรคเมื่อไม่ได้วัคซีนเกิด 0.002% ประมาณว่าฉีดวัคซีนมีความเสี่ยงโหลงโจ้งมากกว่าไม่ฉีด)

4.. ถ้าจะถือตามเกณฑ์สมมุติบัญญัติของวงการแพทย์ที่ว่าวัคซีนที่จะนำมาใช้ควรป้องกันโรคได้ 50% ขึ้นไปวัคซีนโควิดในเด็กก็สอบตก เพราะป้องกันโรคสูงสุดได้ไม่ถึง 50% ในช่วงพีคคือสองสัปดาห์แรก และผ่านไปแค่สองเดือนก็ป้องกันได้แค่ 25%

สรุปของสรุป จากงานวิจัยนี้คือประโยชน์ที่พึงได้จากวัคซีนในแง่ป้องกันการป่วยรุนแรงในเด็กไม่ต่างจากการไม่ฉีด ความเสี่ยงระดับรุนแรงจากตัววัคซีนมีมากกว่าการความเสี่ยงจากการติดโรค (ทั้งหมดนี้เป็นข้อสรุปจากการสกัดตัวเลขจากงานวิจัยนี้เพียงงานเดียวนะครับ ท่านผู้อ่านต้องใช้ดุลพินิจในการนำไปใช้ประโยชน์)

คำสรุปเพิ่มเติม (24 กค. 65)

ยังมีอีกสองประเด็นที่ผมไม่ได้กล่าวไว้ในข้อสรุปก่อนหน้านี้ แต่ควรเพิ่มไว้ตรงนี้

  1. คณะผู้วิจัยเองสรุปว่าอัตราการติดเชื้อและอัตราเข้ารพ.ของผู้ได้วัคซีนต่ำกว่าผู้ไม่ได้วัคซีน
  2. ในงานวิจัยนี้มีผู้ป่วยที่มีอาการ MIS-C (การอักเสบทั่วร่างกายในเด็ก) เกิดขึ้น 6 ราย เป็นผู้ได้วัคซีน 2 ราย ไม่ได้วัคซีน 4 ราย อาการ MIS-C พูดแบบบ้านๆก็คือ long covid ในเด็ก ซึ่งในงานวิจัยนี้ผู้ไม่ได้วัคซีนจะเกิดมากกว่า

คำขอบคุณ

หมอสันต์ขอขอบคุณทีมงานแพทย์ของสิงคโปร์ที่ได้สร้างสรรค์งานวิจัยระดับดีเยี่ยมชิ้นนี้ขึ้นมาซึ่งทำให้คนไทยและคนชาติอื่นๆทั่วโลกได้ใช้ประโยชน์ เมื่อครั้งที่เคยทำงานด้วยกันมาและได้ชี้หน้าด่าปรามาสกันอย่างหยาบๆคายๆลั่นวอร์ดในอดีตนั้นหมอสันต์กราบขออภัย ขอเปลี่ยนเป็นคำชื่นชมว่าพวกท่านเป็นหมออาชีพที่ได้ใช้วิชาชีพรังสรรค์โลกนี้ให้ดีขึ้นอย่างแท้จริง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

……………………………………………………………

ตอบจดหมายท่านผู้อ่านหลายท่านแบบเหมารวม(24 กค. 65)

บทความข้างต้นนี้ทำให้มีแพทย์หลายท่านเขียนทักท้วงเข้ามา ผมจับประเด็นรวมและตอบรวมเลยนะครับว่า

ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านที่เขียนมานะครับ

(1) หมอสันต์ไม่เล่าข้อสรุปของผู้วิจัย ซึ่งผิดมารยาทของการอ้างงานวิจัย ตอบว่าเป็นความจริงครับ ผมมุ่งจะเอาแต่ข้อสรุปของตัวเองได้ไม่เล่าสักคำว่าคณะผู้วิจัยเขาสรุปของเขาว่าอย่างไร อันนี้ผมยอมรับว่าผมเสียมารยาท ผมต้องขออำไพด้วย และเพื่อแก้ไขผมได้เพิ่มเติมใน addendum ท้ายบทความแล้ว

(2) หมอสันต์สรุปว่าอัตราการป่วยรุนแรงอาจไม่ต่างกันระหว่างผู้ได้กับไม่ได้วัคซีนเอาจากข้อมูลเปรียบเทียบในหมู่คนป่วยมากเพียง 5 คนซึ่งไม่มีรายละเอียดเลยว่ากลุ่มไหมมีความเสี่ยงมากเสี่ยงน้อยอยู่ก่อนหน้านั้นกลุ่มละกี่คน ตอบว่านี่เป็นคำทักท้วงที่มีน้ำหนักมากครับ ผมเห็นด้วยทุกประการว่าตรงนี้ไม่ใช่เป้าหมายอย่างเป็นทางการของการวิจัย แต่ในการอ่านงานวิจัย นิสัยของผมชอบแคะอ่านเอา “ระหว่างบรรทัด” ว่ามีอะไรที่อาจแคะเอามาใช้ประโยชน์ได้ด้วย อย่างไรก็ตามผมได้แสดงข้อมูลดิบที่มีทั้งหมดประกอบด้วยแล้ว ตรงนี้จึงต้องทิ้งไว้ให้เป็นดุลพินิจของท่านผู้อ่านว่าคำสรุปของผมใช้การได้หรือใช้การไม่ได้ครับ

(3) ทำไมหมอสันต์ไม่พูดถึง MIS-C ซึ่งในงานวิจัยนี้เกิดในเด็กไม่ฉีดวัคซีนมากกว่า ตอบว่าตรงนี้ต้องสารภาพว่า miss ไป จึงได้เอามาเพิ่มใน addendum ท้ายบทความครับ

(4) ทำไมต้อง highlight ว่าประสิทธิภาพของวัคซีนต่ำว่ากว่า 50% ทั้งๆมันก็ต่ำไปนิดเดียว อีกอย่างเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่าวัคซีนนี้ไม่ได้ผลิตมาสำหรับ Omicron ซึ่งเป็นประเด็นที่ยอมรับกันอยู่แล้ว ตอบว่าก็ไม่ถึงกับไฮไลท์นะครับ แค่เล่าสู่กันฟัง

(5) การเปรียบเทียบความเสี่ยงและประโยชน์ของวัคซีนโดยเอาอัตราการป่วยรุนแรงไปเทียบกับอัตราการเกิด severe adverse vaccine reaction ซึ่งไม่มีรายละเอียดให้เลยนั้น ไม่น่าจะเปรียบเทียบกันได้ จะทำให้เข้าใจผิดเปล่าๆ ตอบว่า การเปรียบเทียบความเสี่ยงและประโยชน์ของวัคซีนโควิดทุกวันนี้เป็นสิ่งที่เราอยากรู้แต่เรายังไม่เคยมีงานจัยระดับ RCT สักงานเดียวนะครับ มันจึงหลีกเลี่ยงยากที่ต้องอาศัยตะแบงเปรียบเทียบหมากับไก่ไปพลางๆก่อน จนกว่าเราจะมีผลวิจัยเปรียบเทียบอัตราตายและอัตราเกิดทุพลภาพแบบตรงๆครับ

ขอขอบคุณแพทย์ทุกท่านที่เขียนมาหานะครับ ซึ่งผู้อ่านได้ประโยชน์เต็มๆทั้งจากเนื้อหาการทั้งท้วงและจากการที่ผมปรับเพิ่ม addendum ของบทความให้ครบถ้วนขึ้น ผมเองก็ได้ประโยชน์ตรงที่ได้เรียนรู้มากขึ้น ผมเอาข้อมูลทั้งหมดขึ้นเปิดเผยในบล็อกยกเว้นชื่อคน ที่เหลือคงต้องปล่อยให้เป็นดุลพินิจของท่านผู้อ่านเลือกหยิบเอาไปใช้ประโยชน์เองแล้วละครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

ตอบครับ

จดหมายจากท่านผู้อ่าน2 (23 กค. 65)

  1. “ในภาพใหญ่งานวิจัยนี้เป็นการติดตามเด็กสิงคโปร์ จับช่วงเวลาตั้งแต่ 21 มค. 65 ถึง 8 เมย.65 ซึ่งเป็นยุคโอไมครอน 100% ครอบคลุมเด็กจำนวน 255,936 คน ในจำนวนนี้ได้รับวัคซีนครบสองเข็มแล้ว 66.7% (173,268 คน) ได้แต่ไม่ครบ 12%(30,712 คน) ไม่ได้วัคซีนเลย 20.3% (51,995 คน)”

จะเห็นว่า คนไข้ในจำนวนที่ฉีดวัคซีนครบ มีจำนวนมากกว่า 3 เท่า ของคนไม่ได้ฉีด ดังนั้น การจะสรุปว่า

“ประเด็นสำคัญคือในจำนวนทั้งหมดที่ต้องเข้ารพ.นี้เป็นการป่วยหนักถึงต้องให้ออกซิเจนหรือเข้าไอซียู 5 คน ในจำนวน 5 คนที่ป่วยหนักนี้ เป็นคนไม่ได้วัคซีนมาก่อนเลย 1 คน ได้วัคซีนแล้ว 4 คน (ได้ครบ 2 คน ได้ไม่ครบ 2 คน)”

จึงไม่สมเหตุสมผล อีกทั้งงานวิจัยยังบอกด้วยว่า เด็กทั้งหมดไม่มีใครเสียชีวิต และไม่มีรายละเอียดในรายงานว่า ในส่วนที่อาการหนักนั้นเพราะเด็กมีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงต่อการต้องเข้า ICU ไหม เพราะโดยมากกลุ่มเด็กที่ได้รับวัคซีนครบนั้น น่าจะเป็นเด็กที่อยูในกลุ่มเสี่ยง มากกว่าเด็กทั่วๆไป เพราะแพทย์เองต้องกระตุ้นให้กลุ่มเสี่ยงไปรับวัคซีนให้ครบ ข้อนี้จึงไม่ควรไปสรุปนอกงานวิจัย (คิดไปเอง) โดยที่ไม่ได้ดูข้อเท็จจริง

แต่ในส่วนของงานวิจัยที่บอกว่า การเกิด MIS-C (ที่เรากลัวกันมากกว่าการเป็นโควิด) ทั้งหมด 6 ราย เป็นกลุ่ม ไม่ได้ฉีดวัคซีน 4 ราย , จากกลุ่ม partial vaccine 1 ราย และ กลุ่รับวัคซีนครบ 1 ราย กลับไม่ยกเอามาพูดถึง

2. “ในแง่ของประสิทธิผลของวัคซีนถ้าได้ครบสองเข็มในการป้องกันการติดเชื้อเมื่อเทียบกับผู้ไม่ได้วัคซีนพบว่าในหมู่ผู้ได้วัคซีนให้ประสิทธิผลในการป้องกันสูงสุด 48.9% หลังฉีดเข็มสองได้ 7-14 วัน แล้วลดเหลือ 37.6% หลังเข็มสองได้ 15-19 วัน แล้วลดเหลือ 28.5% หลังฉีดเข็มสองได้ 30-59 วัน แล้วลดเหลือ 25.6% หลังฉีดเข็มสองได้ 60 วัน”

จุดนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าวัคซีนโควิดนี้ ไม่ได้ผลิตมาสำหรับ Omicron จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจว่าทำไมไม่ถึง 50% แต่ก็ใกล้เคียงมาก และใกล้เคียงกับงานวิจัยอื่นๆที่ออกมา ผมไม่อยากเอาไปเปรียบเทียบกับวันซีนเชื้อตาย ซึงแทบจะไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน Omicron. ได้เลย

3. ผลข้างเคียงรุนแรงจากการฉีด 0.005 = 5 : 100,000 แต่ไม่มีการเสียชีวิต น่าจะเป็นจำนวนปกติจากการรายงานของการรับวัคซีนนี้ที่เราทราบกันไหมครับ แต่ทั้งนี้ การวิจัยนี้บอกว่ามีข้อจำกัดเรื่องอาการและความรุนแรงที่ว่า เลยไม่สามารถบอกได้เต็มปากไหมครับ

4. ข้อสรุปเดียวทางสถิติที่งานวิจัยนี้สรุปออกมามีข้อหลักเดียวคือ ” ระยะเวลาในช่วงที่เชื้อ Omicron ระบาด นี้ วัคซีน BNT162b2 ( Pfizer) ช่วยลด Risk ในการติดเชื้อ Covid -19 และการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ ในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี “ อันนี้ต้องอย่าลืมสรุป ให้เกียรติคนทำวิจัยด้วยครับ ขอบคุณครับ

……………………………………….

จดหมายจากท่านผู้อ่าน1.(23 กค. 65)

ขอท้วงติงนิดหนึ่งว่าทำไมหมอสันต์อ้างงานวิจัยแล้วสรุปผลวิจัยไม่เหมือนที่คณะผู้วิจัยได้สรุปไว้ มีเจตนาอะไรหืรอเปล่า

ตอบครับ

ขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาเขียนมาท้วงติง ผมอนุญาตคุยกับอาจารย์แบบแพทย์คุยกับแพทย์นะครับ ผมเชื่อว่าอาจารย์ได้อ่านนิพนธ์ต้นฉบับของงานวิจัยนี้แล้ว ดังนั้นผมคงไม่ต้องฉายตัวเลขในนิพนธ์ต้นฉบับซ้ำอีก แต่หากอาจารย์ได้อ่านเฉพาะ abstract ถ้าผมอ้างถึงตัวเลขไหนแล้วอาจารย์อ่าน abstract แล้วไม่เห็นเจอผมรบกวนอาจารย์ช่วยกลับไปอ่านใน original article เอาเองอีกรอบนะครับ จะได้ไม่ต้องสื่อสารกันไปมาหลายเที่ยว เพราะตัวเลขบางตัวหากอ่านเผินๆจะไม่เห็น ยกตัวอย่างเช่นอัตราการเกิด severe adverse reaction ของการฉีดวัคซีนในงานวิจัยนี้ ไม่ได้แสดงไว้ในหัวข้อ Result แต่ไปแสดงไว้ในหัวข้อ Discussion เป็นต้น

วิธีที่ผมประเมิน (appraisal) งานวิจัยนี้และการนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์เป็นคนละประเด็นการการที่คณะผู้วิจัยสรุปไว้ท้ายงานวิจัยนะครับ เพราะผู้วิจัยก็สรุปในประเด็นที่เขาสนใจ แต่ผมประเมินค่าในประเด็นที่ผมสนใจ ยกตัวอย่างเช่น

ประเด็นที่คณะผู้วิจัยสรุป การวิจัยนี้เขาสรุปมาในประเด็นเดียว คือ

(1) เด็กที่ได้กับไม่ได้วัคซีนพวกไหนเกิดการติดเชื้อและเข้าโรงพยาบาลมากกว่ากัน ซึ่งผลวิจัยสรุปได้ว่าเด็กที่ได้วัคซีนติดเชื้อน้อยกว่า เข้าโรงพยาบาลน้อยกว่า แต่ผมไม่ได้สนใจในประเด็นนี้

ประเด็นที่ผมสนใจในเรื่องการฉีดวัคซีนให้เด็กคือ

(1) เด็กที่ได้กับไม่ได้วัคซีน พวกไหนจบด้วยการติดเชื้อระดับรุนแรงมากกว่ากัน เพราะทุกวันนี้เราพร่ำพูดกันตลอดเวลาว่าเราฉีดวัคซีนเพื่อลดการป่วยระดับรุนแรงลง

(2) การชั่งน้ำหนักประโยชน์และความเสี่ยง ฉีดวัคซีนในเด็กมันได้ประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อรุนแรงคุ้มกับความเสี่ยงของตัววัคซีนหรือเปล่า ทั้งนี้ไม่นับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจนะครับเพราะผมถือว่าในช่วงเวลาอย่างนี้เราเอาแค่ประโยชน์และความเสี่ยงทางการแพทย์อย่างเดียวก็พอ

(3) วัคซีนมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคแค่ไหน โดยอิงเกณฑ์หยาบๆที่ใช้กันทั่วไปว่าหากประสิทธิผลของวัคซีนนั้นต่ำกว่า 50% ก็ถือกันว่าเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิผลในการป้องกันต่ำ

ผมจึงอ่านเอาข้อมูลเหล่านั้นมาสรุปในสามประเด็นที่ผมสนใจนี้ และโชคดีที่งานวิจัยนี้มีการเก็บข้อมูลที่ครบถ้วน รอบด้าน จนผมสรุปทั้งสามประเด็นนี้ได้หมดโดยใช้ตัวเลขจากงานวิจัยนี้ทั้งสิ้น

ประเด็นเจตนา ของผม

ผมมีเจตนาเพียงต้องการให้ข้อมูลความจริงแก่ผู้ป่วยให้ครบถ้วนที่สุดเท่าที่ผมทราบ เมื่อมีงานวิจัยออกมาชิ้นหนึ่ง คนสองคนอ่านย่อมได้ข้อมูลและการเอาไปใช้ประโยชน์ที่ต่างกัน เราซึ่งเป็นแพทย์เราย่อมสนใจมากไปกว่าบทสรุปที่คณะผู้วิจัยสรุปไว้เสมอ เพราะเรารู้ดีที่บ่อยมากทำวิจัยเรื่องหนึ่งไปสรุปอีกเรื่องหนึ่ง แต่งานวิจัยนี้ผมสนใจว่านอกจากบทสรุปท้ายงานวิจัยยังมีอะไรที่ซุกซ่อนอยู่ซึ่งเราเก็บเอาไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง แล้วเอามาคลี่ให้ผู้ป่วยเห็น ส่วนการตัดสินใจเอาไปใช้ประโยชน์นั้นเป็นเรื่องของผู้ป่วยเอง เพราะนี่เป็นเพียงข้อมูลจากงานวิจัยที่ดีงานหนึ่ง ในจำนวนงานวิจัยทีดีหลายๆงาน ผู้ป่วยเป็นผู้ให้น้ำหนักและนำไปใช้ประโยชน์เอง

อนึ่ง ผมไม่มีเจตนาจะต่อต้านวัคซีน ไม่มีเจตนาต่อต้านนโยบายของชาติ หรือต่อต้านคณะแพทย์หรือคณะผู้เชี่ยวชาญคณะใดๆทั้งสิ้น เพราะผมไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆกับเรื่องวัคซีน หรือเรื่องยา ผลประโยชน์ของผมมีเรื่องเดียว คือหากได้ให้ข้อมูลกับผู้ป่วยในแง่มุมที่ผู้ป่วยควรรู้และจะนำไปใช้ประโยชน์ได้แล้ว ผมก็มีความสุข

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Tan SHX, Cook AR, Heng D, Ong B. Lye DC, Tan KB. Effectiveness of BNT162b2 Vaccine against Omicron in Children 5 to 11 Years of Age. New Eng J of Med. July 20, 2022 DOI: 10.1056/NEJMoa2203209

[อ่านต่อ...]

21 กรกฎาคม 2565

สูงวัยแล้วจะใช้แอ็พหาคู่ดีไหม

(ภาพวันนี้: ฝนตกกระหย่อมเดียว)

คุณหมอสันต์คะ

หนูเป็น top fan สี่สิบกลางๆ มีความรู้สึกอยากจะหาคู่ชีวิต แบบว่ามาเป็น soulmate อยากจะหาทางแอ็พหาคู่ คุณหมอสันต์ว่าจะดีไหมเอ่ย (เพื่อนที่เมกาแนะนำ อิ อิ)

…………………………………………………

ตอบครับ

เมื่อคุณอยากหาคู่ จะผ่านแอ็พหรือผ่านแม่สื่อ หรือผ่านอะไรก็ตาม คุณมองหาคนแบบไหน คุณย่อมจะมองหา

(1) คนมีความร่าเริงเบิกบานเป็นอาจิณ พูดง่ายๆว่าเป็นคน happy

(2) คนไม่เห็นแก่ตัว ชอบเป็นผู้ให้ ไม่ใช่คนงกที่คอยจ้องแต่จะเอาเปรียบ หรือกลัวเสียเปรียบ

ถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณมีคุณสมบัติทั้งสองข้อนี้อยู่ในตัวหรือเปล่า เพราะสิ่งที่เราคาดหมายว่าคู่ของเราจะมี ก็คือสิ่งเดียวกันกับคนที่จะมาเป็นคู่ของเราคาดหมายว่าเราจะมีนั่นเอง โหลงโจ้งท้ายที่สุด คู่ที่เราได้มาจะมีสองอย่างนี้มากหรือน้อยพอๆกับที่เรามี

ทุกครั้งเมื่อเราพูดอะไรกับใคร จะมีคลื่นความสั่นเสทือนกระเพื่อมหรือสะท้อนออกไปจากเรา ถ้าเราพูดแต่คำบ่น ข้อเรียกร้อง การแสดงออกถึงความอัดขัดข้องไม่พอใจ คลื่นลบเหล่านี้จะกระจายออกไปกดดันคนรอบข้าง แล้วใครจะอยากมาอยู่ใกล้ๆเราละครับอย่าว่าแต่จะมาเป็น soulmate กับเราเลย ถึงเขาหรือเธอหลงทางมาอยู่กับเราได้แป๊บเดียวพอเขาเจอของจริงว่าอะไรเป็นอะไรแล้วเขาหรือเธอก็จะไม่มีความสุขแล้วก็ไปจากเราอยู่ดี

ดังนั้นผมแนะนำว่าก่อนจะไปใช้แอ็พหาคู่ ฝึกฝนและเปลี่ยนตัวเองให้มีคุณสมบัติสองข้อนี้เสียก่อนดีไหม เลิกชีวิตในโหมดจู้จี้ขี้บ่นขี้หงุดหงิด ยิ้มอย่างใสซื้อเปื้อนหน้าเป็นอาจิณ การฝึกวางความคิด meditation เป็นเครื่องมือฝึกตนเพื่อการนี้อย่างดียิ่ง ใช้เวลาไม่นานดอก แค่หาวันว่างสองสามวันถอยกลับไปอยู่กับความเงียบคนเดียว ฝึกผ่อนคลายแล้วหัดยิ้ม คุณก็เป็นคนละคนแล้ว นิสัยวงแตกที่ไปอยู่วงไหนคนก็กระเจิงที่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะอยู่ติดตัวเราถาวร มันเป็นแค่ความย้ำคิดซึ่งนำมาสู่การย้ำทำ มันมาแล้วก็ไปเพียงแต่มันชอบมาบ่อย ถ้าเราฝึกจนมีสติรู้ตัวถี่ขึ้น มันมาเราก็รู้ ไม่ไปคิดตามหรือเล่นด้วย เราก็เปลี่ยนตัวเองได้ในช่วงเวลาแค่ข้ามวัน

อีกอย่างหนึ่ง ในการจะหาคู่อย่าไปมัวพะวงแต่งหน้าเมคอัพจนลืมยิ้ม เพราะไม่มีเมคอัพยี่ห้อไหนจะแทนรอยยิ้มจากใจได้หรอก เปลี่ยนตัวเองได้แล้วหลังจากนั้นคุณจะหาคู่วิธีไหนก็เชิญได้เลย โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการขยายชีวิตของคุณไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวเข้ากับชีวิตอื่นได้จริงๆก็อยู่เพียงแค่เอื้อม อย่าลืมว่าการเข้าสู่ชีวิตคู่ที่แท้จริงคือการมาพบหน้ากันแล้วพูดได้อย่างเต็มปากและจริงใจว่า

“ที่รัก..ฉันมาที่นี่เพื่อคุณนะ

Darling .. I am here for you.”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

20 กรกฎาคม 2565

ไม่ใช่โรคของจังหวะการเต้น ไม่ใช่ของลิ้น ไม่ใช่ของกล้ามเนื้อ ไม่ใช่ของหลอดเลือด แต่เป็น..

(ภาพวันนี้: สวนดอกไม้กลางตลาดมวกเหล็ก)

สวัสดีครับ คุณหมอที่นับถือ

ผมขออนุญาตแจ้งข้อมูลส่วนตัวดังนี้ครับ 

1. ผมอายุ 41 ปี เป็นวิศวกร … น้ำหนัก 63 kg  ส่วนสูง 173 cm มีพุง แต่วัดไม่เกิน 85 cm ออกกำลังกายบ้าง หยุดบ้าง เมื่อก่อนส่วนใหญ่วิ่ง แต่ช่วงหลังเปลี่ยนมาเล่น body weight หรือ calisthenics workout ตรวจสุขภาพล่าสุด มีไขมันในเลือดสูง LDL 198 cholesterol 256 HDL 53 Triglyceride 69 อันที่จริงผมมีเรื่อง cholesterol เกิน 200 มาหลายปีแล้ว แต่ LDL เพิ่งมาเกิน 130 ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ตัดสินใจปรึกษาคุณหมอหัวใจ ก็เลยให้ทานยาลดไขมัน simvastatin 20 mg วันละ 1 เม็ด ทานมาได้ 7 เดือนแล้ว ผลปรากฏค่าต่างๆ ดีขึ้นมาก อยู่ในเกณฑ์ปกติ ครับ

2. เมื่อช่วงประมาณ 4 ปี ก่อน ผมมีอาการใจสั่น บ่อย ตื่นเต้น การนอนไม่มีคุณภาพ คือ หลับได้ แต่ตื่นกลางดึกแล้วก็ไม่หลับเลย ไปตรวจมาหลายอย่าง สุดท้ายไปพบจิตแพทย์ ผมเป็น panic กินยา escitalopram 10 mg วันละ 1 เม็ด อาการดีขึ้นตามลำดับ ทุกวันนี้ ผมก็ยังกินอยู่แต่เหลือวันละครึ่งเม็ด ครับ

3. จากข้อ 2 มีอยู่ครั้งนึงคุณหมอท่านนึง ให้ผมทำ echo หัวใจ ปรากฏพบ เป็นลิ้นหัวใจหย่อน MVP ทำให้มีผลเรื่องใจเต้นแรงบ้าง แต่ผมลองไปพบหมออีกท่าน ทำ echo เหมือนกัน แต่ไม่พบว่าเป็น MVP ครับ 

4. กลางคืน บางคืน รู้สึกตัวกลางดึก รับรู้ได้ว่าเหมือนหัวใจเต้นแรง เต้นช้าสลับเร็ว ช้าสลับเร็ว ประมาณ 2 รอบ ช่วงที่เป็น ไม่เกิน 5 วินาที แล้วก็หายไป คืนนั้นก็ไม่เป็นอีก บางช่วงก็จะเป็นแบบนี้บ่อยเกือบทุกคืน บางช่วงก็เว้นไปไม่เป็นหลายเดือน ครับ

5. เมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ผมตื่นนอนลุกจากเตียง แล้วมีอาการวูบหมดสติ แต่เป็นแปปเดียว ไม่ถึงนาที ก็ได้สติ เลยไปพบแพทย์ ตรวจ EKG ทำ Echo เจาะเลือดตรวจความบกพร่องของหลอดเลือด ผลปกติดี (คุณหมอท่านนี้ก็ไม่พบ MVP) ครับ

6. วันที่ 5/6/65 ผมไปไดร์ฟกอล์ฟ พอเริ่มรู้สึกเหนื่อย ใจเต้นแรงตามปกติของการออกกำลังกาย ชีพจร ประมาณ 100 แต่จู่ๆ รู้สึกว่าจังหวะการเต้นหัวใจมันสะดุด อธิบายเหมือนจังหวะดนตรี 4/4 เต้นไปเรื่อยๆ แต่มีบางโน๊ต หายไป แทนที่จะเป็น 4/4 แต่เป็น 3/4 ..เหมือนมันหายไปจังหวะนึง เป็นแบบนี้ประมาณ 2 รอบ ช่วงห่างกันพอสมควร แต่ก็ไม่มีอาการอย่างอื่น เพียงแต่รู้สึกกังวล ทำให้เหมือนหวิวๆ เลยหยุดพักสักครู่ แล้วลุกไปตีต่อ แต่ก็เหมือนเป็นอีก จึงหยุดตี ครับ

7. ล่าสุดสัปดาห์ถัดมาจากข้อ 6 เมื่อวันที่ 11/6/65 ตีไปเข้าถาดที่สาม ก็มีอาการแบบเดิมอีก คราวนี้เลยหยุดเล่น แล้วกลับบ้าน แต่ก็ไม่มีอาการอีกครับ 

8. นึกขึ้นได้ อาการ แบบข้อ 6,7 เคยเป็นตอนนั่งเฉยๆ อยู่สองครั้ง แต่ความรู้สึกไม่แรงเท่า ครับ

คำถามครับ

A. จากข้อ 6 กับ 7 ผมเป็นอะไรครับ ร้ายแรงมั้ย ต้องทำอย่างไรต่อครับ

B. อาการที่เล่ามาจาก ข้อ 4 – 7 เป็นอาการที่เกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ครับ แล้วมันออกไปทางร้ายแรงขึ้นหรือเปล่าครับ หรือ หากไม่ใช่อาการที่เกี่ยวเนื่องกัน รบกวนคุณหมอช่วยแยกแยะอาการ วิธีการรักษา การปฎิบัติตัวต่อจากนี้ให้ด้วยครับ

C. ผมจะออกกำลังกายได้มั้ย แบบไหนได้บ้างครับ

สุดท้ายผมหวังว่าคุณหมอจะได้อ่านและกรุณาตอบคำถามหรือให้ข้อเสนอแนะด้วยครับ 

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

………………………………………………………

ตอบครับ

สรุปปัญหาของคุณในเชิงการแพทย์ (Problems List) ก็คือ (1) ไขมันในเลือดสูง (2) โรคกลัวเกินเหตุ (panic disorder (3) มีอาการวูบหมดสติ (syncope) โดยไม่ทราบสาเหตุ

เอ้า มาตอบคำถาม

1.. ถามว่าอาการวูบหมดสติเป็นโรคอะไร ตอบว่าไม่ทราบครับ ทราบแต่ว่าไม่ได้มีสาเหตุจากหัวใจ ทั้งไม่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทั้งไม่มีหัวใจขาดเลือด ทั้งไม่มีหัวใจล้มเหลว ไม่มีหลักฐานว่าเกิดจากความผิดปกติของสมอง แต่มีความเป็นไปได้ (differential diagnosis) ที่จะเกิดจากความกลัว (panic) ความกังวล ความเครียด

2.. ถามว่าอาการทั้งหมดเกี่ยวข้องกันไหม ตอบว่าทั้งอาการใจสั่น (palpitation) อาการหวิวๆ (lightheadedness) กับอาการวูบ (syncope) เกี่ยวข้องกันครับ โดยวิธีคิดของแพทย์จะต้องคิดว่ามันมาจากเหตุเดียวกันไว้ก่อน จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่

3.. ถามว่าแล้วจะออกกำลังกายได้ไหม ตอบว่าได้ครับ อาการทั้งหมดนั้นซึ่งพิสูจน์ได้แล้วว่าไม่เกี่ยวกับหัวใจ ไม่เกี่ยวกับสมอง สามารถออกกำลังกายได้เหมือนคนปกติครับ

ผมตอบคำถามคุณหมดแล้วนะ ขอขยายความนิดหนึ่งเพราะคุณเป็นวิศวกรย่อมจะอยากรู้ตรรกกะที่หมอใช้วินิจฉัยเขา

ทำไมผมจึงว่าอาการของคุณไม่ได้เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ ก็เพราะคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่ส่งมาให้ทุกครั้ง ไม่แสดงว่ามีการเต้นผิดจังหวะ หลักฐานแค่นี้ก็พอแล้วในการวินิจฉัยชั้นต้น แต่ถ้ามีเหตุให้ไปชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ก็ค่อยไปหาหลักฐานเพิ่มเอาจากการติดตามดูการเต้นหัวใจ (Rhythm monitoring) จะด้วยวิธีใช้เครื่องมือที่เรียก Holter หรือใช้นาฬิกาวัดหัวใจก็ได้ แต่ผมยังมองไม่เห็นเหตุที่จะต้องไปทำเช่นนั้น

ทำไมผมจึงว่าอาการของคุณไม่ได้เกิดจากหัวใจขาดเลือด เพราะจากมุมมองของอาการวิทยา อาการของคุณเกิดขึ้นโดยไม่สัมพันธ์กับการออกแรง คือออกกำลังกายก็เป็น พักก็เป็น แบบนี้ไม่ใช่อาการของหัวใจขาดเลือด(stable angina) ซึ่งมักจะมาเมื่อต้องออกแรงมากเท่านั้น และยิ่งไม่ใช่กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากหัวใจขาดเลือด (acute MI) เพราะเมื่อเข้าโรงพยาบาลหลักฐานทั้งคลื่นไฟฟ้าหัวใจและทั้งเอ็นไซม์ของหัวใจไม่ได้บ่งชี้ว่าเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายขึ้น

ทำไมผมจึงว่าอาการของคุณไม่ได้เกิดจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เพราะอาการมันไม่เหมือนนั่นอย่างหนึ่ง และผลการตรวจ Echo บ่งชี้ว่าทั้งการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจและการเปิดปิดของลิ้นหัวใจปกติหมด ส่วนที่หมอท่านหนึ่งวินิจฉัยว่าเกิดลิ้นหัวใจไมทรัลแล่บ (MVP) นั้นเป็นการวินิจฉัยจากภาพการไหลย้อนกลับของเลือดนิดหนึ่งในจังหวะหัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัว เป็นสิ่งที่พบได้ในคนทั่วไป ไม่สมควรนับเป็นเหตุของอาการใดๆ

ทำไมผมจึงว่าอาการของคุณไม่ได้เกิดจากเหตุในสมอง เพราะเหตุในสมองจะมาพร้อมกับอาการทางประสาทวิทยา รายละเอียดขอยกไว้ก่อนเพราะมันยาว เอาเป็นว่าคุณไม่มีอาการทางประสาทวิทยา (neurological symptom) ในชั้นต้นนี้จึงไม่ควรไปเพ่งเล็งอะไรที่สมอง

สรุปว่าตอนนี้เพ่งเล็งที่ panic disorder หรือโรคกลัวเกินเหตุ ให้คุณจัดการตัวเองไปทางนั้น ผมเคยเขียนเรื่อง panic disorder ไปแล้วหลายครั้ง คุณลองหาอ่านดูได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

17 กรกฎาคม 2565

เพราะการแต่งงานคือรูปแบบของทาส (slavery) ที่ฝ่าข้ามยุคสมัยมาได้จนถึงวันนี้

(ภาพวันนี้: ยี่เข่ง)

กราบเรียนคุณหมอ

หนู … นะคะ ขอถามเรื่องการแต่งงานสั้นๆ เพราะตอนนี้มีผู้ชายที่อายุมากกว่าหนึ่งรอบมาจีบ (ตัวเองก็สามรอบแล้ว) ทำให้ละล้าละลัง อยู่คนเดียวก็สบายดีไม่เหงา อนาคตจะเหงาหรือเปล่าไม่รู้ อยากถามว่าการแต่งงานสำหรับคนโสด มีอะไรที่จะต้องสูญเสียบ้าง อะไรเป็นปัจจัยจำเป็นที่ทำให้คนเราต้องแต่งงาน ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องเหงา ไม่แต่งงานก็ได้ใช่ไหม

……………………………………………………………..

ตอบครับ

จดหมายของคุณทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง เขาเป็นนักแต่งเพลง วันหนึ่งน้องที่เขาชอบเรียกมาช่วยร้องเพลงได้มาปรับทุกข์ให้ฟังถึงที่ผู้ชายคนหนึ่งมาเกาะแกะมาจีบทำให้เธอว้าวุ่นใจเพราะเธอไม่อยากทิ้งชีวิตอิสระที่ลงตัวดีอยู่แล้วไปแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น เพื่อนเขาจึงแต่งเพลงให้เธอร้อง เนื้อความมีประมาณว่า

“…แม้..เธอจะให้ซึ่งความจริงใจ

ฉันยังไหวหวั่นว่ามันไม่จริง

เธอบอกว่าฉันนั้นเป็นทุกสิ่ง

เป็นความรักจริง ไม่มีสักวันเสื่อมคลาย

….ฉัน..ฟังคำพูดก็ติดใจตรึง

เผลอตัวแว้..บ..บ หนึ่ง ใจจะละลาย

ฉันอย่างจะรัก รักเธอง่ายๆ

ให้เหมือนนิยาย ไม่รอให้ต้องจบตอน…”

จำเนื้อต่อไปไม่ได้ละ กลับมาตอบคำถามของคุณดีกว่า

1.. ถามว่าการแต่งงานมันจะมีผลต่อชีวิตของคนโสดอย่างไรบ้าง ตอบว่ามันจะมีผลให้เสรีชนกลายเป็นทาส เพราะการแต่งงานก็คือระบบทาสที่ฝ่าข้ามยุคสมัยมาได้จนถึงปัจจุบัน ระบบทาส (slavery) นี้เป็นระบบที่มนุษย์เองนี่แหละคิดขึ้น สัตว์ชนิดอื่นก็มีบ้างที่ใช้ระบบทาสเช่นมดบางชนิดจับเอาลูกมดจากรังอื่นมาเป็นทาสทำงานหนักในรังของพวกตน แต่เราอย่านอกเรื่องไปไกลถึงเรื่องของมดเลย เอาแต่เรื่องของคนก็แล้วกัน ระบบทาสมีคอนเซ็พท์ว่าอย่ายอมให้ใครมีความเป็นปัจเจก (individual) หรือเป็นเสรีชน ทุกคนต้องมีชีวิตอยู่เพื่อทำกิจของส่วนรวม ผมว่าคอนเซ็พท์แบบนี้เป็นพื้นฐานให้สังคมมนุษย์เติบใหญ่จนเบียดไล่ที่สังคมของสัตว์อื่นๆลงได้เกือบเหี้ยนเต้ ตัวระบบเองมีรูปแบบหลากหลายและถูกปรับเปลี่ยนเรื่อยมาตามยุคสมัย แต่รูปแบบที่ค่อนข้างอยู่ยั้งยืนยงคือ “การแต่งงาน”

ที่ไหนมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ การลุกฮือของทาสเกิดขึ้นเรื่อยมาในประวัติศาสตร์ และเป็นต้นเหตุให้ทาสหลายรูปแบบสูญหายสลายไป แต่รูปแบบการแต่งงานยังอยู่ เพราะการแต่งงานมีกลไกเล็กๆเป็นรูระบายป้องกันการระเบิดหรือลุกฮือได้ เช่น การหย่าร้าง การแอบนอกใจ หรือผละจากไปบวชเป็นฤาษี ชีไพรดื้อๆ

2.. ถามว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้เราปฏิเสธการแต่งงานไม่ได้ ตอบว่าการอยากทำลูกเป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้เราปฏิเสธการแต่งงานไม่ได้ เพราะเราทำลูกคนเดียวไม่ได้ จริงอยู่การไปซื้อน้ำเชื้อมาทำลูกเองเป็นไปได้ในต่างประเทศ แต่ในเมืองไทยนี้ผมยังไม่เคยเห็นสูติแพทย์คนไหนยอมทำลูกให้ผู้ป่วยด้วยวิธีนี้ ยังไม่นับว่าชีวิตของลูกนอกสมรส (เด็กกำพร้า) ในเมืองไทยนี้เป็นชีวิตที่ไม่ค่อยสบายนัก การจะมีลูกจึงควรทำผ่านการแต่งงานเป็นดีที่สุด ส่วนเหตุผลอื่นๆที่ทำให้คนแต่งงานกันในสมัยก่อนนั้น สมัยนี้ไม่จำเป็นแล้ว เช่น แต่งงานเพื่อจะได้มีเซ็กซ์ สมัยนี้ไม่ต้องแล้ว เจรจาต้าอวยให้เจตนาตรงกันแล้วก็ไปมีเซ็กซ์กันได้แล้ว อยากมีเซ็กซ์กันทุกวันก็หอบผ้าไปอยู่ด้วยกันเลยจนหายอยากแล้วค่อยย้ายกลับ ไม่ต้องมาแต่งงานกันให้วุ่นวายขายปลาช่อน

3.. ถามว่าถ้าไม่มีปัญหากับการอยู่คนเดียว ไม่มีปัญหากับความเหงา ไม่ต้องแต่งงานได้ไหม ตอบว่า ได้ ใครจะไปทำอะไรคุณละครับ อย่างน้อยตำรวจก็ไม่จับคุณเพราะข้อหาทึนทึกแน่นอน ตอนนี้คุณอยู่คนเดียวได้ไม่เหงานั้นดีแล้ว ที่กลัวจะเหงาในอนาคตนั้น ผมจะเล่าให้ฟังว่าธรรมชาติของใจมนุษย์ในเรื่องความเหงา มันเป็นไปตามแบบที่ใครสักคนเขียนไว้ ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเบอทรันด์ รัสเซล เขาเขียนไว้ว่า

“..มนุษย์มีสันดานขี้เหงา โหยหาความรักและการเอาใจใส่

พอได้รับความรักและการเอาใจใส่แล้วเขารู้สึกอึดอัดกับความผูกพัน เขาก็โหยหาอิสรภาพ

พอเขาได้อิสระภาพแล้วเขาก็เหงาและโหยหาความรักและการเอาใจใส่..”

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำซากอยู่ในหัวคุณเองและอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณเองทั้งนั้น คุณจะเอาแบบไหนก็คงต้องตัดใจเลือกเอาเองสักแบบหนึ่ง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

16 กรกฎาคม 2565

ไม่เต็มบาทนั้นโอเค. แต่ไม่เต็มร้อย...ไม่โอเค.

หมอสันต์พูดกับสมาชิกแค้มป์ Spiritual Retreat ขณะนั่งสมาธิกันบนสนามหญ้าตอนเช้า

เรามักพูดถึงคนที่ไม่ให้ราคากับสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ให้ราคา กลับไปชอบทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเขาไม่ทำกันว่าเป็นคน “ไม่เต็มบาท” บางทีก็เรียกว่าเป็นคนสามสลึง ภาษาเหนือมีสะแลงว่า

“มีสองสลึงป๋ายแหมซาวห้า”

แปลว่ามีสองสลึงบวกอีกยี่สิบห้าสตางค์ ก็คือสามสลึงหรือไม่เต็มบาทนั่นแหละ ซึ่งในภาพรวมก็คือคนไม่เต็มเต็ง คนขาดตกบกพร่อง ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่แบบฉบับที่ดีของสังคม จะไปคาดหวังอะไรกับคนแบบนี้ไม่ได้

แต่ในเส้นทางการแสวงหาความหลุดพ้นจากกรงความคิดของตัวเอง การเป็นคนไม่เต็มบาทไม่ใช่เรื่องซีเรียส กลับจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเสียอีกตรงที่การเป็นคนไม่อินังขังขอบกับกฎกติกาของสังคมอยู่แล้วทำให้ทิ้งความยึดมั่นในคอนเซ็พท์ไร้สาระที่หลงยึดมั่นมานานได้ง่ายๆ แต่ที่ซีเรียสสุดๆสำหรับคนเดินในเส้นทาง spirituality คือการเป็นคนทำอะไรแบบ “ไม่เต็มร้อย” หมายความว่าทำอะไรแบบไม่สุดจิตสุดใจ ไม่ทุ่มเทชีวิตให้ ชอบดมๆโน่นนิด ดมๆนี่หน่อย ผมเรียกง่ายๆว่าเป็นคนไม่เต็มร้อยก็แล้วกัน คนแบบนี้ไม่ว่าจะเดินบนเส้นทางนี้มายาวนานกี่สิบปี ท้ายที่สุดก็จะวนกลับมาอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหนไกลจนกระทั่งตายคาที่

ผมขอพูดถึงความหมายคำว่าไม่เต็มร้อยนี้ให้ลึกซึ้งสักหน่อยนะ

อุปมาที่หนึ่ง สมมุติว่าคุณเป็นคุณนาย มีคนรับใช้อยู่ในบ้าน ตื่นเช้ามาคุณเห็นคนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดบ้านคุณจะทักเธอว่าสวัสดีค่ะ เช้านี้เป็นอย่างไรบ้าง อย่างนี้หรือเปล่า เปล่าเลยใช่ไหมครับ คุณจะไม่ทักเธออย่างนั้นหรอก อย่างดีคุณก็จะทำเป็นไม่เห็นเธอหรือเห็นแว้บหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือหรือดูจอของคุณต่อไป เพราะคุณเป็นคุณนาย คุณต้อง “ไว้ตัว” คุณต้องวางฟอร์ม ต้องกั๊ก ต้องแบ่งแยกว่านี่คือฉันซึ่งเป็นคุณนาย นั่นคือคนใช้ การไว้ตัวเป็นสิ่งตรงข้ามกับเต็มร้อย ความเป็นคุณนายจะไม่ยอมให้คุณเต็มร้อยกับคนใช้ของคุณ

อุปมาที่สอง สมมุติว่าคุณมีลูกน้อยอายุขวบสองขวบ คุณไม่ได้มองเห็นว่าลูกเป็นคนอีกคนหนึ่งดอกแม้ว่าจริงๆแล้วเขาจะเป็นคนอีกคนหนึ่งก็ตาม ในทางตรงกันข้าม คุณโอบรับเอาลูกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ หรือคุณ “เปิดตัว” ออกไปเป็นหนึ่งเดียวกับลูก อย่างนี้เรียกว่าคุณเต็มร้อยกับลูก คุณมีลูกสามคนคุณก็เต็มร้อยกับลูกทั้งสามคน ผมเคยไปออกทีวีกับผอ.โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าคนหนึ่ง เธอบอกผมว่าเธอมีลูกสองร้อยกว่าคน ในความหมายคำพูดนั้นก็คือเธอเต็มร้อยกับเด็กกำพร้าในความดูแลของเธอทุกๆคน กรณีเป็นการเต็มร้อยระหว่างเรากับชีวิตอื่นอย่างนี้คุณจะเรียกมันว่าเมตตาธรรมก็คงได้

อุปมาที่สาม พวกเรากำลังนั่งอยู่กลางสนามหญ้าท่ามกลางธรรมชาติกันอยู่อย่างนี้ หากเราเป็นคนไว้ตัว เราก็จะต้องระมัดระวังทาครีมกันแดด สวมหมวก พ่นยาไล่แมลง แอบๆอยู่ใกล้ชายคา พิถีพิถันขยับขอบเสื่อไม่ให้อยู่ใกล้ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเพราะกลัวส่วนของร่างกายไปแตะเอาดินหรือหญ้าเข้า นี่เป็นเพราะเราไว้ตัว ไม่ยอมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

ในทางตรงกันข้าม หากพวกเราทำอีกแบบหนึ่ง เอ้า ทุกคนลองทำไปพร้อมกันนะ ให้กางมือออก สูดหายใจเข้าลึกๆ เปิดรับเอาอากาศข้างนอกเข้ามาสู่ตัวเราด้วยความรู้สึกว่าเรากับธรรมชาติรอบตัวนี้เป็นสิ่งเดียวกัน มองธรรมชาติรอบตัวด้วยความซาบซึ้งขอบคุณ มองเห็นเป็นสิ่งสวยงามน่ารื่นรมณ์ เปิดตัวรับเอาแดดเอาลมที่มาสัมผัสและเหยียบเท้าเปล่าลงไปบนผืนดินอย่างไม่รังเกียจ นี่เรียกว่าเราเต็มร้อยกับธรรมชาติรอบตัว หรือเต็มร้อยกับจักรวาลนี้ ว่ามันกับเราแท้จริงก็เป็นสิ่งเดียวกัน

อุปมาที่สี่ สมมุติว่ามีคนๆหนึ่งเขามีความเข้าใจลึกซึ้งว่าชีวิตเขานี้มันก็เป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตอื่นนั่นแหละ ลมหายใจที่เขาหายใจเข้าออกเดี๋ยวคนอื่นก็จะเอาไปหายใจเข้าออก อาหารที่เขากินเข้ามาและขับถ่ายออกไป เดี๋ยวมันก็จะผันแปรไปเป็นพืชหรือสัตว์กลายเป็นอาหารให้คนอื่นกินและขับถ่ายต่อๆกันไป โดยนัยนี้พลังชีวิตซึ่งได้มาจากอากาศที่หายใจก็ดี ร่างกายที่ได้มาจากผืนดินนี้ก็ดี ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันสำหรับชีวิตทุกชีวิต เขาจึงมองชีวิตของเขาว่าเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตอื่นๆ อย่างนี้เรียกว่าคนคนนั้นเต็มร้อยกับชีวิตอื่นทุกชีวิต คือเขาเปิดตัวออกไปเป็นหนึ่งเดียวกับทุกชีวิต

อุปมาที่ห้า วันพรุ่งนี้ผมจะให้ทุกคนลองทำงานศิลปะ ให้ทุกคนลองทำงานที่ต้องใช้ creativity ก็จะมีพวกเราบางคนที่เริ่มออกตัวว่าไม่เอาหงะ ไม่ชอบวาดเขียน ขอไม่ทำดีกว่า อย่างนี้เรียกว่าเราไว้ตัว ไม่ยอมเปลืองตัว ไม่เต็มร้อย แล้วใครกันหนอที่มาเสี้ยมให้เราเป็นคนไว้ตัว ก็กรงของความคิดที่เราถักขึ้นไว้คุ้มกันและยกย่องตัวตนหรือ identity ของเรานี่ไง มันเป็นผู้เสี้ยมเรา เพราะมันกลัวตัวมันเองจะเสียฟอร์ม วาดรูปไม่เป็นทำอะไรเห่ยๆออกมาให้คนอื่นเห็นแล้วกลัวคนอื่นเขาดูถูกเอาหรือเห็นเป็นตัวตลก มันจึงเสี้ยมให้เราไว้ตัวไม่ยอมทำอะไรที่เราไม่เคยทำหรือที่เราทำได้ไม่ดี

creativity ก็คือการออกจากพื้นที่ที่เรารู้จักดีแล้ว (known) ไปสู่พื้นที่ที่เราไม่รู้จักเลย (unknown) ถ้าเราเป็นคนไม่เต็มร้อย เราจะไม่ยอมทำอะไรที่เป็น creativity แต่ถ้าเราเป็นคนเต็มร้อย เราจะเปิดตัวออกไปสู่ unknown อย่างเด็มใจ ไปทดลองทำทดลองสัมผัสค้นหาอะไรที่เรายังไม่รู้จักอย่างไม่เกี่ยงงอนอะไรทั้งสิ้น

บนถนน spirituality นี้ถ้าเป็นคนไม่เต็มบาทมาเดินถนนนี้ ย่อมเดินได้อย่างไม่ลำบาก แต่ถ้าเป็นคนไม่เต็มร้อย มาเดินบนถนนนี้จะเสียเวลาในชีวิตเปล่าๆ ถนนสายนี้ทุกคนต่างมาเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น หมายความว่าอย่างไรอยากจะหลุดพ้น ก็หมายความว่าเรากำลังถูกจับขังอยู่ใช่ไหมจึงหลุดพ้นออกไปไหนไม่ได้ แล้วอะไรละที่เป็นกรงที่จำกัดจำขังเราไว้ ก็กรงของความคิดของเราเองที่ถักทอขึ้นเป็นคอนเซ็พท์ของตัวตนหรือ ego หรือ identity ของเรานี่ไง การเป็นคนไว้ตัวก็คือการเป็นคนเคารพบูชายกย่องกรงขังอันนี้เพราะเราเชื่อและชื่นชม “ตัวเรา” อย่างเต็มแม็ก ขณะที่การเป็นคนเต็มร้อยคือการเป็นคนพร้อมที่จะแหกกรงอันนี้ทิ้งออกไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งอื่นชีวิตอื่นที่เราเคยเรียกว่า “ไม่ใช่ตัวเรา” เพราะไม่เชื่อว่าเส้นสมมุติที่แบ่งแยกตัวเราออกมาจากสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรานั้นเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงว่าการเป็นคนเต็มร้อยเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นของคนที่คิดจะมาเดินบนถนนเส้นนี้

นพ.สันต์ ใจขอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

15 กรกฎาคม 2565

หมอสันต์ออกกฎหมายห้ามขนมหวานเข้าบ้าน

(ภาพวันนี้ ; ดอกลำโพง หรือแตรนางฟ้า)

เมื่อสิบห้าปีก่อน ผมป่วย (ตอนนั้นอายุ 55 ปี) ในการรักษาตัวเอง ผมออกกฎหมายห้ามนำโค้กและเค้กเข้าบ้าน เพราะก่อนหน้านั้นผมดื่มโค้กแทนน้ำ และกินเค้กแทนอาหารมื้อหนักรอบดึกหลังจากผ่าตัดมาเหนื่อยๆใกล้เที่ยงคืน ผมเปลี่ยนอาหารเช้าและกลางวันเป็นผักผลไม้ปั่นและสลัด และลดข้าวที่กินในอาหารเย็นลงเหลือมื้อละ 2 ช้อน จากเดิมที่เคยกินมื้อละสองทัพพี แต่สิ่งหนึ่งที่ยังแอบดอดเข้ามาอยู่ในบ้านผมได้เนียนๆคือ..ขนมหวาน เพราะลึกๆแล้วผมเป็นคนติดขนมหวาน นั่นประการหนึ่ง และผู้มีอำนาจเหนือธรรมนูญ คือพี่สาวของ ม. ผมเอง ชอบซื้อขนมหวานเข้าบ้าน นั่นอีกประการหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สิบห้าปีผ่านไป การเปลี่ยนอาหารแค่ที่ทำไปก็ทำให้ผมพลิกผันโรคของผมได้สำเร็จ เลิกยาได้หมดโดยความดัน น้ำตาล ไขมัน และน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติดีแบบไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเลยแม้จะจ๊อกกิ้งหรือเดินขึ้นเขาลงห้วยก็ตาม ทำให้ขนมหวานยังคงสิงอยู่ในบ้านผมได้ตลอดมา

สมัยก่อนที่จะป่วย ซึ่งผมทำงานแอคทีฟอยู่ ผมไม่เคยสังเกตร่างกายของตัวเองเลย บางวันเรอเอิ๊ก เอิ๊ก จนเพื่อนหมอด้วยกันคนหนึ่งบรรยายว่า “เรอเหมือนหมูเลยวุ้ย” บางวันสะอีกทั้งวันตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน บางวันนอนท้องอืดเป็นงูเหลือมนานสองสามชั่วโมง ทำอะไรไม่ได้นอกจากดูโทรทัศน์ บางคืนตื่นขึ้นมากลางดึกแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแล้วหลับต่อไม่ได้ บางวันกลับถึงบ้านแล้วหมดแรงขึ้นชั้นสองไม่ไหวก็นอนมันที่หน้าทีวีนั่นแหละ บางวันหงุดหงิดจนบรรดาเลขาหน้าห้องเข้าหน้าไม่ติด ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นแบบรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง แต่ผมไม่เคยใส่ใจ ถือว่านี่เป็นปกติของการมีชีวิตอยู่แบบคนสุขภาพดีพอสมควรคนหนึ่งจะพึงเป็น

มาวันนี้ผมอายุ 70 ปีแล้ว แม้จะยังทำงานแอคทีฟอยู่แต่ก็มีเวลาสังเกตตัวเองมากขึ้น การฝึกปฏิบัติสังเกตความคิดของตัวเองทำให้ผมมองเห็นความคิดของตัวเองได้จริงๆ พอมีความคิดเกิดขึ้น ผมมักจะรู้ทันที พอจิตใจหรืออารมณ์ของผมเปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อย ผมจะรู้ทันที เมื่อผมหงุดหงิดผมจะรู้ทันทีว่าผมเริ่มหงุดหงิดแล้ว ทำให้ผมเฝ้าสังเกตมันได้ง่ายและแป๊บเดียวมันก็หายไป พอร่างกายผมเปลี่ยนไปแม้เพียงเล็กน้อย ผมก็จะรู้ทันทีเช่นกัน

จากความไวในการสังเกตตัวเองเมื่อยามแก่นี้ ทำให้ผมรับรู้เหตุการณ์เล็กๆฉิวเฉียดสองสามเหตุการณ์ที่หากเป็นสมัยก่อนผมไม่มีทางรับรู้ได้ คือ

เหตุการณ์แรก สืบเนื่องจากสมัยนี้พวกคนมีเงินล้วนพากันปลูกกล้วยกับมะนาวเพื่อหนีภาษีที่ดินรกร้าง จึงมักมีคนเอากล้วยกับมะนาวมาฝากไม่ขาด หมอสมวงศ์เห็นกล้วยแยะไม่รู้จะทำยังไงดีก็จึงทำกล้วยบวชชีให้ผมกิน ผมก็กินแบบจะช่วยชาติใช้ประโยชน์จากกล้วย แล้วผมก็สังเกตว่าในหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นผมมีอาการ “เปลี้ย” หรือ “เดี้ยง” ถ้าเป็นสมัยก่อนผมจะสังเกตไม่เห็นดอก แต่เดี๋ยวนี้ผมสังเกตตัวเองได้เก่งขึ้น เมื่อนึกย้อนไปก็คิดได้ว่าไม่กี่วันก่อนหน้านี้ที่บ้านกรุงเทพฯผมก็มีอาการแบบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นหลังอาหารเย็นที่ผมกินขนมอร่อยที่พี่เขาซื้อมาใส่ตู้เย็นไว้ จึงตั้งสมมุติฐานว่าผมเกิดอาการ sugar dip หมายถึงการได้น้ำตาลแล้วร่างกายซึ่งแก่และโทรมรับมือกับน้ำตาลแยะๆไม่ทัน ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงปรี๊ด ร่างกายต้องปั๊มอินสุลินออกมาไล่ตามเก็บน้ำตาลเข้าเซลอย่างรวดเร็ว ผลก็คือน้ำตาลลดระดับลงจากสูงปรี๊ดกลายเป็นต่ำผิดปกติเรียกว่า sugar dip จนเกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำชั่วคราวขึ้น นี่เป็นลางบอกถึงความเสื่อมของกลไกการเผาผลาญ (metabolism) ของร่างกายว่าไม่ได้เจ๋งเหมือนแต่ก่อนแล้ว การจะพิสูจน์ว่าวินิจฉัยถูกหรือเปล่าก็ไม่ยาก แค่คอยเจาะน้ำตาลในเลือดดูตามจังหวะ แต่ผมขี้เกียจเจาะ จึงหันไปใช้วิธีวินิจฉัยด้วยการรักษาแทน คือเลิกกินขนมหวานแล้วติดตามดูว่าอาการแบบนี้จะหายไปหรือเปล่า ถ้าหายก็ ซ.ต.พ. และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผมก็จำใจต้องออกกฎหมายห้ามนำขนมหวานเข้าบ้าน ไม่ต้องห่วงว่าคนอื่นจะเดือดร้อนเพราะคนเดือดร้อนจริงๆมีผมคนเดียว ลูกเมียเขาไม่ชอบขนมหวานกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

เหตุการณ์ที่สอง ก็เกิดซ้ำสองสามครั้งเหมือนกัน แต่เป็นอาการท้องอืดหลามทำอะไรไม่ได้หลังการไปกินอาหารเย็นกับเพื่อนบ้าน คือวิถีชีวิตที่มวกเหล็กวาลเลย์ทุกสัปดาห์เพื่อนบ้านจะกินข้าวเย็นสรวลเสเฮฮาด้วยกันบ้านโน้นบ้างบ้านนี้บ้าง ทำอย่างนี้มาร่วมยี่สิบปีแล้ว แต่มาระยะหลังนี้ผมพบว่าถ้าคืนก่อนหน้านั้นไปกินข้าวกับเพื่อนบ้านมา ก่อนนอนท้องยังอืดนั้นเป็นของแน่ แต่วันรุ่งขึ้นร่างกายของผมจะไม่ “ท็อปฟอร์ม” เหมือนอย่างเคย บางครั้งถึงกับไม่มีอารมณ์ขุดดินฟันหญ้าซึ่งเป็นงานอดิเรกที่ชื่นชอบ เมื่อนึกย้อนหลังถึงของอร่อยๆที่กินกันก็จะหนีไม่พ้นพวกปลาพวกไข่ที่ปรุงแบบง่ายๆบ้านๆเช่นทำเป็นปลาทอดบ้าง ไข่พะโล้บ้าง ทั้งๆที่ตัวเองปวารณาตนเป็น “เจเขี่ย” แต่พอไปเจอของอร่อยก็ “เจแตก” ขณะที่ร่างกายคุ้นกับอาหารพืชมากกว่าอาหารเนื้อสัตว์ พอนานๆเจอเนื้อทีหนึ่งจึงเกิดอาการปั่นป่วนขึ้น

เหตุการณ์ที่สาม สืบเนื่องมาจากสวิสต์ควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติของเครื่องทำน้ำร้อนบนหลังคาที่บ้านกรุงเทพเสีย ทำให้น้ำในระบบท่อประปาร้อนจัดและกลายเป็นไอดันข้อต่อท่อพีวีซีตามจุดต่างๆระเบิดออก ผมกับลูกชายจึงตกลงฟอร์มทีมสองพ่อลูกแก้ไขกันเองแบบยกยวงรวมทั้งถือโอกาสเทคอนกรีตพื้นเพื่อตั้งถังเก็บน้ำที่เอียงกะเท่เร่มาตั้งแต่สมัยน้ำท่วมใหญ่ให้ได้ดิ่งเสียที ผมเริ่มงานแต่เช้าก่อนลูกชายตื่น เขียนแบบการต่อท่อ นับจำนวนข้อต่อที่จะต้องซื้อ แล้วขับรถออกไปซื้อข้อต่อท่อที่กลางซอยหมู่บ้าน พอไปถึงร้านก็พบว่าลืมเอาแบบมา จึงซื้อโดยพยายามนึกเอาซึ่งก็แน่นอนว่าซื้อได้ไม่ครบ ต้องขับออกไปอีกเป็นรอบที่สอง กลับมานั่งลงเริ่มตัดท่อและกำลังจะต่อก็พบว่ากาวในกระป๋องเก่าหมดเพราะไม่ได้ตรวจดูก่อน ต้องขับรถออกไปร้านกลางซอยอีกเป็นรอบที่สาม ทั้งหมดนี้ในเวลาแค่ชั่วโมงเดียวผมต้องเทียวไล้เทียวขื่อไปร้านขายท่อสามรอบเพราะ..เป็นลืม..ม

ทั้งสามเหตุการณ์ เมื่อมาประจวบกับวัยที่ขึ้นเลข 7 ทำให้ผม “ได้คิด” ว่าร่างกายนี้ไม่ได้เจ๋งเหมือนเดิมแล้ว หากไม่มีการวางแผนฟูมฟักดูแลตัวเองให้ดีวันหนึ่งก็จะเดี้ยงถาวร ซึ่งนอกจากจะทำประโยชน์อะไรให้ใครไม่ได้แล้วยัง จะกลายเป็นภาระให้ลูกเมียอีกด้วย จึงคิดว่าโอกาสขึ้นเลข 7 นี้ต้องปรับวิธีใช้ชีวิตให้สมกับวัย แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าควรจะเริ่มตรงไหนก่อน จึงจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองสักสามเดือน โดยวิธีบันทึกข้อมูลในแต่ละวันลงในตารางเอกเซลอย่างละเอียดทีละวันๆไปทุกวันๆ ตั้งแต่อาหารที่ผมกินทุกมื้อ ถ้ากินผักก็นับด้วยว่ากินกี่อย่าง กินผลไม้กี่อย่างก็บันทึกไว้ ออกกำลังกายทำอะไรบ้าง ผลงานทุกชิ้นที่ผมผลิตได้ในแต่ละวันไม่ว่าจะเป็นการสอนในแค้มป์ การสอนคนไข้ที่มาฟื้นฟูร่างกาย การตอบคำถามทางบล็อก การทำคลินิกออนไลน์ และการขุดดินฟันหญ้าปลูกต้นไม้ ก็บันทึกหมด การพักผ่อนทุกรูปแบบรวมทั้งการเดินเล่น การออกแดด การนอนเล่น และการนอนหลับจริงๆ ความเป็นไปของท้องไส้ การขับถ่าย ความเฉียบคมของสมอง (ด้วยการทดสอบง่ายๆเช่นวันนี้วันที่เท่าไร หรือมองเลขโทรศัพท์เบอร์ใหม่ๆแล้วหลับตาท่องจากหลังมาหน้า) และไฮไลท์ของงานวิจัยนี้ก็คือผมจะบันทึกระดับพลังชีวิตในแต่ละวันไว้อย่างละเอียดด้วย พลังชีวิต ผมหมายถึงถ้าวันไหนมีพลังมากก็มีความกระตือรือล้นกระฉับกระเฉงว่าวันนี้อยากทำโน่นทำนี่และเมื่อทำแล้วก็เพลินไม่อยากหยุด ถ้าวันไหนพลังหมดก็เอาแต่นอนลูกเดียว โดยผมจะให้คะแนนพลังชีวิตของตัวเองไว้สามระดับ คือ (1) จ๋อย (2) ทรงๆ และ (3) ซู่ซ่า บันทึกไว้วันละสี่ครั้ง ครั้งแรกหลังตื่นนอน ครั้งที่สองในภาคเช้า ครั้งที่สามในภาคบ่าย และครั้งที่สี่ก่อนนอน ตั้งใจว่าจะทำวิจัยกับตัวเองอย่างนี้ไปสักสามเดือนแล้วเอาทั้งหมดมาประเมินดูว่าอะไรมันสัมพันธ์กับอะไร มีอะไรจะต้องปรับปรุงการใช้ชีวิตเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากวัยเลข 7 มากที่สุดบ้าง

ผมทำตารางเอ็กเซลเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว ดีเดย์คือวันนี้ นี่เป็นงานวิจัยไร้อันดับ ภาษาการจัดชั้นหลักฐานเรียกว่า anecdotal เอาไปอ้างที่ไหนไม่ได้ ทำเสร็จแล้วตีพิมพ์ผลได้ที่เดียวคือที่บล็อกหมอสันต์นี่เอง แต่อย่างน้อยแฟนบล็อกที่เป็นสว.ก็จะได้อ่านเล่นๆเป็นอุทาหรณ์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

14 กรกฎาคม 2565

แค้มป์สุขภาพดีด้วยตัวเอง (GHBY-72 (23-24 กค. 65) ปรับหลักสูตรใหม่

แค้มป์นี้เหมาะสำหรับใคร

คนทั่วไปที่ไม่ป่วย หรือป่วยไม่มาก (ยังทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันได้) ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้และทักษะที่จะดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีด้วยตัวเอง

ความเป็นมาของ GHBY 

     คอร์สหรือแค้มป์สุขภาพดีด้วยตนเอง เกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว จากการที่ตัวผมเองป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือดเมื่ออายุ 55 ปี แล้วหันมาดูแลตัวเองในเรื่องการกิน การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด จนแก้ปัญหาให้ตัวเองได้ เลิกกินยาความดัน ยาไขมัน ยาหัวใจได้ ผมจึงได้ตัดสินใจเลิกอาชีพหมอผ่าตัดหัวใจ เปลี่ยนมาทำอาชีพหมอส่งเสริมสุขภาพ สอนผู้ป่วยให้รู้วิธีดูแลสุขภาพของตัวเองได้ด้วยตัวเอง ทำสถานที่ เปิดแค้มป์สุขภาพสอนคนที่ยังไม่ป่วยให้ดูแลตัวเองเป็นว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ป่วย ตั้งชื่อแค้มป์ว่า GHBY (Good Health By Yourself) แปลว่า “แค้มป์สุขภาพดีด้วยตัวเอง” ซึ่งทำไปแล้ว 71 ครั้ง โดยจับประเด็นความรู้ที่สำคัญออกมาคลี่ให้เห็นโดยใช้หลักฐานวิทยาศาสตร์ประกอบ และแก้ไขปัญหาการขาดทักษะ (skill) ที่จะลงมือปฏิบัติ เช่นจะเปลี่ยนอาหารไปเป็นอาหารแบบกินพืชเป็นหลัก (PBN) แต่ก็ยังทำไม่เป็น จะออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แต่ก็ไม่รู้วิธี ในแง่ของการจัดการความเครียด ผมก็จับเอาผลวิจัยว่าอะไรลดความเครียดได้เอามาฝึกมาสอนหมด ไม่ว่าจะเป็นโยคะ สมาธิ ไทชิ เป็นต้น ในรูปของการให้ฝึกลงมือทำ และวางพื้นฐานให้สามารถดูแลตัวเองได้ต่อเนื่องโดยใช้ตัวชี้วัดเจ็ดตัวบนแอ็พมือถือด้วยตนเอง ตัวชี้วัดทั้งเจ็ดตัวได้แก่ น้ำหนัก ความดัน ไขมัน น้ำตาล การกินพืชผักผลไม้ การออกกำลังกาย และการไม่สูบบุหรี่

ประเด็นสำคัญที่เปลี่ยนแปลง

1.. นับตั้งแต่ได้นพ.ปัณณพัฒน์ ลาวัลย์ตระกูล (เน็ท) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว เข้ามาร่วมทำแค้มป์ ผมได้ปรับเนื้อหาสาระของแค้มป์ให้ครอบคลุมทุกด้านของแขนงวิชาเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) ซึ่งมีอยู่ 6 ด้าน คือ (1) อาหารแบบกินพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ (PBWF), (2) การเคลื่อนไหวออกกำลังกาย, (3)การจัดการความเครียด, (4) การมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันทางสังคม, (5) การนอนหลับที่มีคุณภาพ, (6) การหลีกเลี่ยงสารพิษสิ่งภายนอกในสิ่งแวดล้อม

2.. คอนเซ็พท์ของต้นเหตุของโรคเรื้อรังได้ค่อยๆเปลี่ยนเรื่อยมาตามหลักฐานใหม่ๆที่ออกมา ว่าโรคเรื้อรังทั้งหลาย แท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากที่เดียวกันคือการกินการอยู่การใช้ชีวิต มีกลไกพื้นฐานเดียวกันที่วงการแพทย์มีหลักฐานดีแล้ว 9 กลไกซึ่งใช้อธิบายได้ทุกโรค ใน GHBY-72 ผมจึงปรับเนื้อหาเพื่อให้ครอบคลุมกลไกพื้นฐานของโรคเรื้อรังทั้งเก้ากลไก อันได้แก่

(1) กลไกการเปลี่ยนแปลงของชุมชนจุลชีพ (microbiomes) ในร่างกายแล้วนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรัง

(2) กลไกการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเผาผลาญ (metabolism) ของเซลล์และระบบของร่างกาย

(3) กลไกการกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติมากเกินไปจนกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง

(4) กลไกการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายจำนวนมากขณะที่การสร้างสารต้านอนุมูลอิสระไม่ได้ดุลกัน

(5) กลไกการณ์อักเสบเรื้อรังในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หรือหลายอวัยวะ
 
(6) กลไกการเกิดสารทีเอ็มเอโอ (TMAO) ขึ้นในร่างกายแล้วก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง
 
(7) กลไกการสร้างหลอดเลือดใหม่ (angiogenesis) ในจุดที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์
(8) กลไกการควบคุมการแสดงออกของยีน (epigenetic)
(9) กลไกเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรค (immunity system)

3.. ในแง่ของการจัดการความเครียด เนื่องจากเวลาอันจำกัดมาก และสมาชิกส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสมาเข้า Spiritual Retreat ผมจึงปรับประสบการณ์เรียนรู้ให้เรียนจบทำได้เองในช่วงเวลาอันสั้น คือได้ออกแบบการฝึก meditation เสียใหม่ ให้ฝึกใช้เครื่องมือเพียงสองชิ้นคือ (1) การผ่อนคลาย (relaxation) และ (2) การสังเกต (observation)    (3) ตัวผมเองมีประสบการณ์ตรงทางด้านจิตวิญญาณมากขึ้นกว่าเดิม และมองเห็นโอกาสที่จะนำมันมาใช้สร้างความบันดาลใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ดีขึ้น

     4.. แอ็พ We Care App ที่แต่เดิมผมออกแบบและชวนสวทช.มาช่วยทำ ตอนนี้ผมเอามาพัฒนาต่อแบบเอกชนเต็มตัวเพื่อให้มันรวดเร็วทันใจ ตอนนี้แอพต้นแบบออกมาแล้ว จะได้ทดลองให้สมาชิกใช้ดูแลสุขภาพตนเองในระยะยาวตั้งแต่ GHBY72 นี้ ซึ่งก็อาจจะต้องมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนต่อไปอีก

      ……………………………………………………….

หลักสูตรคอร์สสุขภาพดีด้วยตัวเอง Good Health By Yourself (GHBY72)

Motto
 “เรียน” สิ่งที่ยังไม่เคยรู้ (knowledge)
“ทำ” สิ่งที่ยังไม่เคยทำ (skill)
“ชอบ” สิ่งที่ไม่เคยชอบ (attitude)

คอนเซ็พท์ของแค้มป์ (Conceptual Design)

     ให้คนกลุ่มเล็กๆประมาณ 15-30 คน ได้มาพักผ่อนปลายสัปดาห์ (2 วัน 1 คืน) ร่วมกับ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์และนพ.ปัณณพัฒน์ ลาวัลย์ตระกูล ที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ ที่มวกเหล็ก ซึ่งอยู่ในธรรมชาติที่เงียบสงบ แล้วเรียนรู้สาระสำคัญเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพตนเอง และฝึกทักษะต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ในการดูแลสุขภาพตนเองไปด้วยกัน ในบรรยากาศการพูดคุยและฝึกทำอะไรไปด้วยกันแบบกันเองและไม่เป็นทางการ

วัตถุประสงค์  (Objectives)

1. วัตถุประสงค์ด้านความรู้ (knowledge)

มุ่งให้ผู้เข้าคอร์สมีความรู้ในเรื่องต่อไปนี้

1.1 งานวิจัยใหม่ล่าสุดเกี่ยวกับภาพรวมของการมีสุขภาพดี
1.2 หลักพื้นฐานของวิชาเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine)

1.3 กลไกพื้นฐานของการเกิดโรคเรื้อรัง 9 กลไก

1.4 โภชนาการในแนวกินพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้ธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันปรุง (low fat, plant based, whole food)
1.5 หลักโภชนาการที่ดี (ประเด็นรูปแบบการกิน ประเด็นความหลากหลาย ประเด็นคุณค่าต่อหน่วยพลังงาน)
1.6 คำแนะนำทางโภชนาการขององค์กรและรัฐบาลประเทศต่างๆที่นำมาใช้ประโยชน์ได้
1.7 อาหารพืชที่มีคุณสมบัติพิเศษในการลดความดันเลือด และต่อต้านมะเร็ง
1.8 ผลของการปรุงอาหารแบบต่างๆต่อการทำลายคุณค่าของอาหาร
1.9 การออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง (aerobic exercise) สามประเด็น (1) หนักพอควร คือหอบเหนื่อยร้องเพลงไม่ได้ (2) ต่อเนื่อง คือ 30 นาทีขึ้นไป (3) สม่ำเสมอ คือ สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 5 วัน
1.10 การออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อ (strength training) ในประเด็น (1) กลุ่มกล้ามเนื้อหลัก (2) การยืดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (3) ท่าร่าง (4) การหายใจ (5) การเคลื่อนไหวช้าๆ (6) การทำเพิ่ม (overload) ทีละนิด (7) หลักพักและฟื้น
1.11 การออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัว (balance exercise) รวมถึง 5 องค์ประกอบของการทรงตัว (สติ สายตา หูชั้นใน กล้ามเนื้อ ข้อ)
1.12 ความเครียด กลไกการเกิด ผลต่อร่างกาย
1.13 วิธีจัดการความเครียดด้วยการใช้เครื่องมือวางความคิด 7 ชนิด (1) การดึงความสนใจ (2) ลมหายใจ (3) การคลายกล้ามเนื้อ (4) การรับรู้ร่างกาย (5) การขยันปลุกตัวเองให้ตื่น (6) การสังเกตความคิด (7) การจดจ่อสมาธิ
1.14  สุขศาสตร์ของการนอนหลับ (Sleep hygiene)

1.15 ผลของสัมพันธภาพที่ดีต่อกันทางสังคมต่อสุขภาพ

1.16 สิ่งภายนอกที่เป็นพิษต่อสุขภาพ
1.17 ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพอย่างง่าย 7 ตัว (1) น้ำหนัก (2) ความดัน (3) น้ำตาล (4) ไขมัน (5) ปริมาณผักผลไม้ที่กินต่อวัน (6) เวลาที่ใช้ออกการออกกำลังกายต่อสัปดาห์ (7) บุหรี่
1.18 การดูแลระบบภูมิคุ้มกันโรคด้วยตัวเอง
1.19 ประโยชน์และวิธีใช้ We Care App บนมือถือเพื่อติดตามบริหารจัดการสุขภาพตนเอง

2 วัตถุประสงค์ด้านทักษะ

มุ่งให้ผู้เข้าแค้มป์ มีทักษะ สามารถทำสิ่งต่อไปนี้ได้ด้วยตนเอง
2.1 จัดหาและเลือกอาหารแนว plant based, whole food nutrition (PBN) มาเพื่อการบริโภคของตัวเองและครอบครัวได้
2.2 อ่านฉลากอาหาร แปลความหมาย และใช้ประโยชน์จากฉลากอาหารได้
2.3 ลงมือทำอาหารแนว PBWF ได้ด้วยตนเอง
2.4 ออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง (aerobic exercise) ได้ด้วยตนเอง
2.5 ประเมินและติดตามดูสมรรถนะร่างกายตนเองด้วยวิธี six minute walk test ได้
2.6 ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (strength training) ได้ด้วยตนเอง ทั้งแบบมือเปล่า ใช้ดัมเบล ใช้สายยืด และใช้กระบอง
2.7 ออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัว (balance exercise) ได้ด้วยตนเอง
2.8 ใช้เครื่องมือ 7 อย่างวางความคิดด้วยตัวเองผ่านกิจกรรม ทำสมาธิ ไทชิ โยคะ ได้
2.9 ปฏิบัติสุขศาสตร์ของการนอนหลับได้ด้วยตนเอง
2.10 ใช้ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพอย่างง่าย 7 ตัวของ AHA ติดตามดูแลสุขภาพของตนเองได้
2.11 ใช้ประโยชน์จาก Wecare App เพื่อดูแลสุขภาพตัวเองด้วยตัวเองได้

3 วัตถุประสงค์ด้านเจตคติ

     มีเป้าหมายให้ผู้เข้าแค้มป์มีเจตคติที่
3.1 รักการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (health promotion attitude)
3.2 ชอบการใช้ชีวิตแบบกระตือรือล้นและเคลื่อนไหวมาก (active lifestyle attitude)
3.2 ชอบดูแลตัวเองและทำอะไรด้วยตนเอง (do it yourself attitude)

แผนกิจกรรม

สถานที่: เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ (Wellness We care Center) มวกเหล็ก-เขาใหญ่

วันเวลาสำหรับแค้มป์ GHBY72

เสาร์ 23 กค. 65 – อาทิตย์ 24 กค. 65

ตารางกิจกรรม

วันแรก 

08.30 – 09.00   เช็คอินที่บ้าน Grove House เข้าห้องพัก ทำกิจธุระส่วนตัว + Coffee Break 

09.00 – 10.00   ชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิต ฝึกใช้ Wecare App ที่ Grove house หรือที่ Hall 

                        Lecture 1 Overview of good health and Simple 7 

                        ภาพรวมของการมีสุขภาพดี และ การใช้ ดัชนีชี้วัดง่ายๆ 7 อย่าง 

10.00 – 11.00   Lecture 2. Nine basic mechanism of chronic diseases 

11.00 – 12.00   Lecture 3 : Plant-based nutrition & Nutrition guidelines Part 1 

                        โภชนาการแบบพืชเป็นหลัก คำแนะนำโภชนาการมาตรฐานทั่วโลก 

12.00 – 14.00   Workshop : Plant-based nutrition skill 

                        Lunch 

                        ชั้นเรียนชมการสาธิตสอนแสดงวิธีทำอาหารด้วยตนเองในแนวทางพืชเป็นหลัก 

                        รับประทานอาหารเที่ยง 

14.00 – 14.30   Lecture 4 : Plant-based nutrition & Nutrition guidelines Part 2 

14.30 – 15.15   Workshop : Food shopping 

                        กิจกรรมจ่ายตลาดฉลาดซื้อ 

15.15 – 15.30   Coffee/Tea break พักดื่มน้ำชา/อาหารว่าง 

15.30 – 16.45   Workshop : Muscle strength training and stretching 

                        ฝึกปฏิบัติการออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง 

                        และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ 

16.45 – 17.30   Workshop : Balance and flexibility exercise 

                        ฝึกปฏิบัติการออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัว 

17.30 – 18.00   Workshop : Six-minute walk test 

                        ฝึกประเมินสมรรถนะร่างกายตนเองด้วยวิธีเดินหกนาที 

18.00               Dinner รับประทานอาหารเย็น 

วันที่สอง 

07.00 – 09.00   Workshop : Morning routine and stress management 

                        กิจวัตรยามเช้า (โยคะ + การทำสมาธิ + ไทชิ + การจัดการความเครียด) 

09.00 – 10.30   Breakfast รับประทานอาหารเช้า 

10.30 – 11.00   Lecture 4 : สุขศาสตร์ของการนอนหลับ Sleep Hygiene

11.00 -12.00 Lecture5 : การป้องกันและพลิกผันโรคเรื้อรัง Prevent and reverse NCDs                     

12.00 – 13.30   รับประทานอาหารเที่ยง 

13.30 – 14.00   Self-motivation and love more (learning by sharing) 

                        การสร้างพลังเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตด้วยตนเอง 

(เรียนรู้ผ่านการแบ่งปันเรื่องราวของกันและกัน) 

14.00 – 15.30   Questions and Answers  

                        ตอบคำถาม และให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพรายบุคคล  

โดยผู้ร่วมกิจกรรมสามารถร่วมรับฟัง แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ได้ 

15.30               ปิดแคมป์ 

ค่าลงทะเบียน

     ราคาปกติของคอร์ส GHBY คือท่านละ 9,000 บาท รวมอาหารทุกมื้อ ที่พัก อุปกรณ์การเรียน แต่ไม่รวมค่าเดินทางมายังเวลเนสวีแคร์ (ผู้เรียนต้องเดินทางมาเอง)

     ในกรณีที่แชร์ห้องพักก้นได้ (ห้อง double bed) ห้องละ 2 คน จะได้ส่วนลดค่าห้องคนละ 1,000 บาท

     การเข้าพักก่อนกำหนดเปิดแค้มป์ (ล่วงหน้าไม่เกิน 1 วัน) ต้องชำระค่าห้องเองสำหรับวันที่พักล่วงหน้าในราคาคนละ 1,000 บาท)

วิธีลงทะเบียนเข้าเรียน

   1. โทรศัพท์ลงทะเบียนกับเวลเนสวีแคร์ที่คุณน้ำ หมายเลข 0636394003 หรือไลน์ @wellnesswecare หรืออีเมล host@wellnesswecare.com หรือหรือคลิก https://lin.ee/6JvCBsf
   

การเตรียมตัวไปเข้าคอร์ส

     แนะนำให้เตรียมเครื่องแต่งกายที่เคลื่อนไหวทำกิจกรรมและออกกำลังกายสะดวก ควรมีรองเท้าผ้าใบที่เดินบนพื้นหินขรุขระได้ และควรมีหมวกกันแดด และครีมกันแดด

การเดินทางไปเข้าแค้มป์

     เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ตั้งอยู่ในมวกเหล็กวาลเลย์ เลขที่ 204/39 ม.5 ต.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หรือขึ้นรถตู้กทม.-มวกเหล็ก หรือรถไฟ (ลงสถานีมวกเหล็ก) ในกรณีเดินทางด้วยรถตู้หรือรถไฟ ต้องหารถรับจ้างจากตลาดมวกเหล็กเพื่อโดยสารมา WWC

………………………………………….

[อ่านต่อ...]

12 กรกฎาคม 2565

ผลการชกมวยคู่เอก ระหว่างอาหารคีโตกับอาหารเมดิเตอเรเนียน ออกมาแล้ว

(ภาพวันนี้: เยี่ยมบ้านหลังหนึ่งที่ปากช่อง)

วันนี้ผมงดตอบคำถามหนึ่งวันนะเพื่อเล่าถึงผลวิจัยทางโภชนาการที่น่าสนใจงานหนึ่ง เป็นการวิจัยเพื่อจะตอบคำถามว่าระหว่างอาหารคีโตที่ดีๆ กับอาหารเมดิเตอเรเนียนที่ดีๆ อย่างใหนจะมีผลต่อการลดน้ำหนัก เบาหวานและผลด้านอื่นๆของสุขภาพดีกว่ากัน เป็นงานวิจัยระดับสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ซึ่งหาใด้ยากในสาขาโภชนาการ เพราะงานวิจัยทางโภชนาการระดับดีๆนั้นทำได้ยาก ใช้เงินมาก และไมมีสปอนเซอร์ ผมจึงให้ความสนใจงานวิจัยชิ้นนี้เป็นพิเศษ

ก่อนอื่นมารู้จักอาหารคีโตก่อน อาหารคีโตหมายถึงอาหารที่ได้พลังงานจากไขมันทุกชนิด ลดคาร์โบไฮเดรตลงเหลือน้อยที่สุด (25-50 กรัมต่อวัน) เพื่อบังคับให้ร่างกายต้องหันไปใช้คีโตนซึ่งเป็นโมเลกุลให้พลังงานของอาหารไขมันแทน (ketosis) อาหารชนิดนี้เป็นที่นิยมในการลดน้ำหนักและรักษาโรคเบาหวาน มีงานวิจัยจำนวนหนึ่งบ่งชี้ว่าอาหารคีโตสัมพันธ์กับการลดน้ำหนักได้ดี และควบคุมน้ำตาลในคนเป็นเบาหวานได้ดี เป็นอาหารน้องใหม่มาแรงในหมู่ผู้ชอบกินเนื้อสัตว์และของมันๆ

ที่ผมว่างานวิจัยนี้ใช้อาหารคีโตแบบดีๆนั้นหมายความว่าปกติคนทั่วไปคิดกันง่ายๆว่าอาหารคีโตคืออาหารเนื้อสัตว์จึงกินแต่เนื้อ นม ไข่ ไส้กรอก เบคอน ที่มีแต่ไขมันอิ่มตัวแบบไม่บันยะบันยังซึ่งล้วนเป็นตัวก่อการอักเสบและโรคเรื้อรัง แต่งานวิจัยนี้ใช้อาหารคีโตแบบได้ดุล คือจำกัดโปรตีนไม่ให้สูงเวอร์จนเกิดปัญหากับร่างกายและจัดอาหารพืชที่ไม่มีแป้งสูงให้กินอย่างหลากหลายครบถ้วนด้วย

ส่วนอาหารเมดิเตอเรเนียนนั้นเป็นแชมป์เก่า เป็นอาหารที่มีกำเนิดมาจากเกาะครีต ประเทศกรีก ซึ่งเป็นชุมชนที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังน้อยกว่ายุโรปทั่วไป เป็นอาหารที่อาศัยพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตจากพืชในรูปของธัญพืชไม่ขัดสี หัวใต้ดิน ถั่ว งา นัท และเมล็ดต่างๆ เป็นหลัก กินผลไม้และผักรวมทั้งสมุนไพรและเครื่องเทศแยะ กินเนื้อสัตว์เช่นปูปลากุ้งหอยเป็ดไก่บ้าง กินน้ำมันมะกอกมาก ดื่มไวน์แดงมาก มีงานวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากบ่งชี้ว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างอาหารเมดิเตอเรเนียนกับการลดความเสี่ยงเบาหวาน ไขมันสูง สมองเสื่อม มะเร็งเต้านม ลดน้ำหนัก ทำให้มวลกระดูกเพิ่มขึ้น สุขภาพหัวใจดีขึ้น และอายุยืนขี้น

งานวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีให้อาสาสมัครซึ่งมีน้ำตาลในเลือดสูงระดับเป็นเบาหวานหรือใกล้จะเป็นเบาหวานแล้วทุกคนมาสุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งส่งปิ่นโตอาหารคีโตให้กินทุกมื้อทุกวัน อีกกลุ่มหนึ่งส่งปิ่นโตอาหารเมดิเตอเรเนียน ทำวิจัยอยู่นานรอบละสามเดือน ครบรอบแล้วก็สลับข้างกัน กลุ่มที่เคยกินคีโตเปลี่ยนมากินเมดิเตอเรเนียนแบบแลกที่กัน (cross over) ผลวิจัยขั้นสุดท้ายออกมาพบว่าอาหารทั้งสองแบบให้ตัวชี้วัดต่างๆ ดังนี้

ตัวชี้วัดกลุ่มกินอาหารคีโตกลุ่มกินอาหารเมดิเตอเรเนียน
การลดน้ำหนักได้ดีไม่ต่างกันไม่ต่างกัน
การควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีไม่ต่างกันไม่ต่างกัน
ไขมันเลว (LDL) ในเลือดเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม 10%ลดต่ำลงกว่าเดิม 5%
วิตามิน B1,B6, C, D, E ธาตุฟอสฟอรัสได้รับน้อยกว่าได้รับมากกว่า
อาหารมีกาก (fiber)ได้รับน้อยกว่าได้รับมากกว่ามากๆ

สรุปว่าอาหารทั้งสองแบบต่างก็ลดน้ำหนักและควบคุมเบาหวานในระยะสั้นได้ดีพอๆกัน แต่อาหารคีโตทำให้ไขมันเลวในเลือดสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหลอดเลือดในระยะยาวมากขึ้นกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็ได้รับอาหารกากน้อยซึ่งจะมีผลต่อชุมชนจุลชีวิต (microbiomes) ในลำไส้ในทิศทางที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆมากขึ้นในระยะยาว

แฟนบล็อกหมอสันต์ที่กินอาหารคีโตอยู่ ผมแนะนำว่าหากยังไม่อยากเลิก ก็ควรกินไปแค่พอให้น้ำหนักลงพอให้เกิดกำลังใจพอควรแล้วควรจะค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นอาหารพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ (PBWF) หรืออาหารรูปแบบอื่นที่มีส่วนประกอบของพืชผักผลไม้ถั่วงานัทและธัญพืชไม่ขัดสีมากๆ เพราะนอกจากจะลดน้ำหนักและคุมน้ำตาลได้ดีไม่แตกต่างจากอาหารคีโตแล้ว ยังมีผลดีกว่าในระยะยาวในแง่ที่ช่วยลดการป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่างๆลงได้อีกด้วย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Gardner CDLandry MJ. Effect of a ketogenic diet versus Mediterranean diet on glycated hemoglobin in individuals with prediabetes and type 2 diabetes mellitus: The interventional Keto-Med randomized crossover trial. The American Journal of Clinical Nutrition 2022, nqac154, https://doi.org/10.1093/ajcn/nqac154
[อ่านต่อ...]

10 กรกฎาคม 2565

ถามวิธีใช้กฎของแรงดึงดูดดูดเงิน

(ภาพวันนี้: ถั่วฝักยาวหน้าเล้าไก่)

สวัสดีค่ะอาจารย์

มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆค่ะ คืออาจารย์คิดยังไงกับความคิดที่ว่าเงินคือปีศาจคะ หนูเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ฝันอยากจะพ้นพันธนาการเรื่องเงินกับเขาเหมือนกัน แต่ยังมีภาระเลี้ยงลูกอยู่

สามีหาเงินคนเดียว ส่วนหนูหากินค่ะ คือหาทุกอย่างที่จะลดค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเขาประหยัดเช่น ปลูกผักทานเอง หาเห็ดตามป่า ไม่ซื้อของฟุ่มเฟีอย รีไซเคิลของใช้ ฯลฯ บางครั้งก็สงสารสามีที่บ่นเกี่ยวกับความไม่มั่นคงที่ทำงาน ที่ยังคลอนแคลนตามสถานการณ์โลกโดยเฉพาะสงครามยูเครนก็มีส่วน ในฐานะผู้นำครอบครัวเขาก็เครียด ทำอย่างไรที่จะทำให้ครอบครัวอยู่รอดถ้าวันหนึ่งต้องตกงาน หนูเองมีความเป็นอยู่แบบพอเพียงและพอใจในสภาพความเป็นอยู่ แม้บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ แต่ก็ไม่ขาดปัจจัยสี่ที่จำเป็น ที่สำคีญพวกเรายังมีสุขภาพแข็งแรงกันอยู่ เราสองคนก็ศึกษาด้านจิตวิญญาณเช่นกันแต่ก็ไม่วายกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

หนูเองมาเจอคลิปเกี่ยวกับกฏแรงดึงดูดว่า ถ้าเรามีความคิดที่ดีต่อเงินก็จะสามารถดึงดูดเงินเข้ามาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ถ้าเราคิดลบกับเงิน เขาก็จะไม่มาหาเรา ที่ผ่านมาตัวเองก็ยังมีความคิดลบกับเงินอยู่ เช่นเงินนำพามิตรเทียมบ้าง ทำให้โลภมากขึ้นบ้าง เปลี่ยนนิสัยให้แย่ลงบ้าง ดึงดูดขโมยหรือการโจรกรรม อาชญากรรมไปโน่นเลย จึงทำให้ไม่รวยสักที อิอิ  แต่เมื่อศึกษาเกี่ยวกับกฏแรงดึงดูดที่คนมีชื่อเสียงด้านจิดวิญญาณก็ยังเอามาอ้างอิงว่าดูดเงินก็ได้ก็เริ่มอยากได้อยากมีบ้าง เพราะคิดว่าถ้าเราคำนวณแล้ว  ชั่วชีวิตเราอีกไม่กี่ปีต้องกินต้องใช้อีกเท่าไร เมื่อมีสะสมไว้แล้วก็จะไม่ต้องดิ้นรนหา และหันมาใส่ใจด้านจิตวิญญาณ ช่วยเหลือคนรอบข้างได้ อย่างน้อยก็ญาติพี่น้องเพราะเรามีต้นทุนมาก่อน คือสะสมชีวิตด้านจิตวิญญาณ และธรรมชาติบำบัดล่วงหน้ากว่าพวกเขาแล้ว อยากช่วยเขาที่ยังกังวลหาเงินกันอยู่อย่างน้อยให้มารู้จักด้านนี้กันบ้างก่อนที่ทุกอย่างจะดับไป  การทำตัวอย่างให้พวกเขาดูอาจไม่เพียงพอหรือไม่ทันการณ์ เพราะหลายคนก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งกันซะส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเรามีความพร้อมให้เขา มีที่อยู่ที่กินอย่างสุขสบาย เขาและเราก็จะพ้นจากโหมด survival และหาความสงบสุขด้านจิคใจอย่างแท้จริง อาจารย์อาจจะคิดว่าเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ก็ใช่ค่ะ แต่รู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพ และความพร้อมอย่างเต็มเปี่ยมในการใช้ชีวิต และอยากเผยแพร่ให้ญาติพี่น้องได้เข้าถึง โดยอาศัยเงินเป็นตัวนำทางแต่เป็นทางบวกค่ะ

อาจารย์ว่ามีทางเป็นไปได้และมีข้อแนะนำอย่างไรบ้างคะ

ขอบคุณค่ะ

………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าหมอสันต์รู้เรื่องกฎของแรงดึงดูดไหม ตอบว่าเคยได้ยิน แต่ไม่รู้จักลึกซึ้งครับ รู้จักแต่กฎแรงโน้มถ่วงของไอแซค นิวตัน หิ หิ

2.. ถามว่าหากใช้กฎของแรงดึงดูดถูกต้องจะดูดเงินเข้ามาหาเราได้ไหม ตอบว่า เออ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ามันใช้ได้จริงหากคุณดูดได้แยะแล้วขอผมยืมบ้างนะ เผื่อผมมีเหตุต้องใช้เงินด่วนๆ ฮิ ฮิ พูดเล่น ผมไม่รู้ดอก และไม่กระตือรือล้นที่จะไปรู้เรื่องแบบนั้นเพราะมันไม่ใช่สไตล์ของผม สไตล์ของหมอสันต์คือเปิดตัวอ้าซ่า อะร้าอะร่าม อะไรอยากเข้ามาหาตัวผมก็ปล่อยมันเข้ามา อะไรอยากหนีออกไปจากตัวผมก็ปล่อยมันออกไป แค่อยู่ตรงนี้ นิ่งๆ ยอมรับทุกอย่างที่เข้ามา ที่มีอยู่ ที่ออกไป ไม่วิ่งหาอะไรที่ยังไม่มี ไม่ผลักไสอะไรที่มีให้ออกไป นี่เป็นสไตล์ของผมในสมัยนี้ซึ่งเป็นสมัยที่แก่แล้ว

แต่ตอนที่ผมอายุเท่าคุณผมไม่ได้เป็นแบบนี้นะ เมื่อยี่สิบปีก่อนผมซื้อที่ดินและปลูกกระท่อมอยู่ที่บ้านบนเขาที่ผมอยู่ตอนนี้นี่แหละ น้องสาวแท้ๆมาเยี่ยม เธอเป็นคนเรียนหนังสือแยะจบป.นั่นจากจุฬาป.นี่จากมหิดล แต่มาถึงเธอบอกผมว่า

“พี่สันต์ปลูกบ้านอยู่บนเนินอย่างนี้พี่จนกรอบแน่เพราะเงินไหลลงเขาไปหมด พี่ต้องขุดสระดักไว้ข้างล่างตรงใกล้ประตูทางออก”

ผมนีกในใจว่าเธอไปเรียนหนังสืออะไรของเธอนะจึงได้งมงายอย่างนี้ สมัยนี้เงินเขาเป็นตัวเลขอยู่ในแบงค์หรือเป็นธนบัตรใส่กระเป๋าเจมส์บอนด์มันจะกลิ้งลงเขาหลุนๆได้อย่างไร มันยิ่งกว่าคุณใช้กฎแรงดึงดูดอีกนะ นี่น้องสาวผมเล่นใช้กฎแรงโน้มถ่วงของไอแซค นิวตัน มาดูดเงินเลยเชียว แต่มาหาทีไรเธอก็บ่นอยากให้ขุดสระ ผมจึงยอมขุดสระให้เธอสบายใจ ผมไม่เชื่อเธอหรอกว่าผมจะได้เงินจากการนี้ และที่แน่ๆคือผมเสียเงินจ้างรถแบ้คโฮไปหลายหมื่น หึ หึ

3.. ถามว่าหมอสันต์มีความเห็นว่าเงินเป็นของดีหรือเป็นปีศาจ ตอบว่า บ้า..เงินจะเป็นปีศาจไปได้อย่างไร เงินก็ต้องเป็นของดีสิครับ ทำให้คนเราแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการกันได้โดยไม่ต้องเหนื่อยยากทำเองหมด หรืออยากได้อะไรก็ไม่ต้องออกแรงทำร้ายร่างกายหรือบีบบังคับหรือทำสงครามกัน

4.. ถามว่าทำยังไงจึงจะหาเงินได้เยอะๆ ตอบว่าผมไม่ทราบครับ เพราะผมไม่มีประสบการณ์โชกโชนมาทางนี้ เรื่องนี้คุณไปหาเอาข้างหน้าเถอะนะ

5.. แต่ถ้าคุณถามว่าทำอย่างไรจึงจะรวย ผมตอบคุณได้นะ ก่อนอื่นมานิยามความ “รวย” ก่อน อย่าคิดตื้นๆแค่ว่ารวยก็แปลว่ามีเงินเยอะ ให้คิดข้ามช็อตไปว่าเขามีเงินเยอะเพื่ออะไรกัน ก็เพื่อให้ชีวิตมีความสุขใช่ไหม ดังนั้นปลายทางของความรวยก็คือการสามารถทำให้ชีวิตมีความสุข ตรงนี้ผมสอนคุณให้รวยได้นะ คุณเองก็ทำตามได้ ง่ายๆเลย

เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่เลยนะ คุณออกไปยืนนอกบ้าน สูดอากาศยามเช้าลึกๆเต็มปอดหลายๆที รับรู้พลังชีวิตจากภายนอกที่เข้ามาสู่ตัวคุณ ผ่อนคลายร่างกาย รับรู้ความรู้สึกซู่ซ่าของร่างกายที่กระดี๊กระด๊ารับวันใหม่

พอดวงอาทิตย์ขึ้น ให้คุณมองดูความสวยงามของยามพระอาทิตย์ขึ้น ฝึกเบิกบานกับธรรมชาติที่มันมหัศจรรย์และชวนเบิกบานเป็นบ้า

เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ รับรู้ว่าถึงคุณจะเป็นแค่ฝุ่นเม็ดเล็กๆแต่คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ มองท้องฟ้าให้เห็นความเบิกบานที่ภายในใจคุณ

คราวนี้คุณถอดรองเท้าออกเดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน จะเป็นพื้นหญ้าหรือพื้นขี้ฝุ่นก็ได้ทั้งนั้น ให้เท้าคุณสัมผัสดินสัมผัสหญ้า รับรู้ feel ความรู้สีกที่ฝ่าเท้า รับรู้ความเบิกบานที่ได้มาเดินสัมผัสผืนดินอันเป็นเสมือนแม่ที่ให้กำเนิดร่างกายนี้และวันหนึ่งร่างกายนี้ก็จะกลับไปสู่ดิน ความเป็นหนึ่งเดียวกับผืนดินจะทำให้คุณมีความเบิกบานมั่นคงไม่หวาดกลัวอะไรง่ายๆ

ยามที่คุณก้มลงล้างหน้า เปิดเอาน้ำใสๆใส่ในสองอุ้งมือกอบ มองดูน้ำในอุ้งมืออย่างซาบซึ้งและเป็นหนึ่งเดียวกับมัน อ้า น้ำสะอาด ร่างกายคุณสองในสามเป็นน้ำ คุณกับน้ำเป็นพวกเเดียวกันที่แยกกันไม่ออก ยามที่คุณอาบน้ำจะด้วยฝักบัวหรือขันตักราดก็ตาม รับรู้ความฉ่ำเย็นของน้ำที่ชโลมทั่วร่างกาย ว่ามันเป็นความสงบเย็น เป็นความเบิกบาน

ทั้งหมดนั้นสิ่งที่คุณรับรู้ได้คือความรู้สึกเบิกบาน (enjoyment) ซึ่งเป็นความรู้สึก (feeling) โดยไม่ต้องคิดบังคับหรือชักนำอะไร ความเบิกบานในภาวะปลอดความคิด เป็นความสุขที่ลุ่มลึกและลึกซึ้ง

คุณทำอย่างผมว่านี้ให้ได้ ทำให้เป็นก่อนนะ ทำทุกวัน คือมีความสุขกับสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วให้เป็นก่อน คุณถึงจะรวยได้ ถ้าคุณทำยังไม่เป็น คือมีความสุขกับสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วยังไม่ได้ ถึงคุณจะหาเงินมาได้คุณก็ยังไม่บรรลุความรวยอยู่ดี เพราะของที่ผมพูดมาข้างต้นทั้งหมดล้วนเป็นของดีๆใหญ่ๆและให้พลังผ่าน feeling ซึ่งเป็นความสุขที่แรงกว่าทั้งนั้น ถ้าคุณยังไม่มีปัญญาใช้มันให้เกิดความสุขแล้วคุณจะไปหวังอะไรกับความสุขจากเงินซึ่งต้องไปอาศัยความคิดอีกต่อหนึ่งก่อนจึงจะสร้างความสุขให้คุณได้ ชื่อว่า “ความคิด” คุณจะไปหวังพึ่งมันว่าจะเป็นตัวให้ความสุขแบบถาวรแก่คุณนั้น..ยากส์..ส์ (เติมเอสด้วยนะ แปลว่ายากมาก)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

09 กรกฎาคม 2565

ถามหาทางเลือกเมื่อเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสามเส้น

(ภาพวันนี้: เช้าตรู่หน้าบ้าน)

กราบสวัสดีค่ะ  คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ ที่เคารพค่ะ

หนูชื่อ … เพศ ญ  อายุ 55 ปี  สูง 157  หนัก 60 กก.
โรคประจำตัว : ความดันโลหิตสูง  หลอดเลือดหัวใจตีบค่ะ
เดิม เคยหนักถึง 68.5 กก. เคยมีอาการแสบ แน่นหน้าอก หมอวินิจฉัยเป็นกรดไหลย้อน รักษา และหาย
หมอให้ลดน้ำหนัก   จึงพยายามลดลง ไป 8.5 กก สภาพกาย อาการต่างๆ ดีขึ้น
ต่อมา เมื่ออายุครบ รับสวัสดิการตรวจร่างกายโปรแกรมของ ญ อายุ 50 ++ จึงมีการเดินบนสายพาน  แพทย์จึงพบอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ แนะนำ MRI  ไม่เห็น แนะนำให้ฉีดสีและสวนหัวใจ
ตอนนี้ ทานยา 6 ตัว 
Lorata 50 mg 2 เม็ด, Prenolol 50 mg 1 เม็ด, Lipostat 20 mg 1 เม็ด
Miracid 20 mg 1 เม็ด,  Apolet 75 mg 1 เม็ด,  Aspent-M 81 mg 1 เม็ด

เมื่อ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้เข้ารับการฉีดสี เพื่อตรวจหา และสวนหัวใจ  ที่ รพ. …
คุณหมอให้ดูภาพจากจอ ชี้ให้เห็นเส้นเลือดหัวใจที่มีพบอาการตีบ พบว่ามากเกินกว่าการจะทำบอลลูนหัวใจ 
คุณหมอจึงแนะนำให้ไปปรึกษาคุณหมอด้านบายพาส
ตัวหนู ไม่อยากบายพาส 1. กลัว กังวล ผลข้างเคียงในอนาคต 2. ติดขัดเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งน่าจะสูงมาก  
จึงเสิรช หาข้อมูลแนวทางรักษาแบบทางเลือก อาการเส้นเลือดหัวใจตีบทางอินเทอร์เน็ต
พบข้อมูลของคุณหมอ อ่านอยู่เยอะพอสมควร จึงตัดสินใจหาช่องทางติดต่อคุณหมอ
กราบขออนุญาตรบกวนขอคำปรึกษาค่ะ
1) ตามผลการตรวจที่หนูแนบมา  สามารถใช้การรักษาแบบทางเลือกนี้ได้หรือไม่คะ ปรับเปลี่ยนการทานอาหาร  ออกกำลังกาย เป็นคนไม่ดื่ม ไม่สูบ อยู่แล้ว แต่ เป็นคนเครียดง่ายค่ะ เป็นคนละเอียด คนเป๊ะ
2) ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับหนูทางไหนดีที่สุดคะ
กราบขอบพระคุณ คุณหมอเป็นอย่างสูงมาล่วงหน้าค่ะ
ภาวนา ให้คุณหมอได้รับ Email ของหนูค่ะ

……………………………………………………..

ตอบครับ

ก่อนตอบ ผมขอสรุปปัญหาสุขภาพของคุณก่อนนะ ว่ามีปัญหาเรียงตามลำดับความสำคัญดังนี้

(1) เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ระยะไม่มีอาการ ได้ตรวจสวนหัวใจแล้วพบว่าหลอดเลือด LM ปกติ แต่มีรอยตีบกระจายอยู่ทั่วหลอดเลือดหลักทั้ง 3 เส้น (LAD, Lcx, RCA)

(2) เป็นโรคความดันเลือดสูง

(3) เป็นโรคไขมันในเลือดสูง

(4) เป็นคนขี้เครียด

เอาละ คราวนี้มาตอบคำถาม

1.. ถามว่าตามผลการตรวจสวนหัวใจที่ส่งมา จะรักษาแบบการแพทย์ทางเลือกได้ไหม หิ หิ นี่หมอสันต์กลายเป็นแพทย์ทางเลือกไปเสียแล้วหรือนี่ จุ๊..จุ๊ ขอเวลานอกประกาศตรงนี้นิดหนึ่งนะ วิธีที่หมอสันต์แนะให้ผู้ป่วยพลิกผันโรคเรื้อรังด้วยตัวเองเช่นอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด เป็นวิธีของวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน (modern medicine) นะจ๊ะคุณน้องขา เป็นแก่น เป็นราก เป็นทั้งปัจจุบันและอนาคตของวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน สรุปมาจากหลักฐานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ตีพิมพ์ไว้ในวารสารการแพทย์ระดับดีที่ชัวร์ป๊าด แน่นปึ๊ก ไม่ใช่การแพทย์ทางเลือกที่พัฒนามาจากทางสมุดข่อย หรือความรู้แต่โบราณของเผ่าพันธ์ หรืออะไรทำนองนั้นนะครับ เอ๊ะ นี่หมอสันต์เผลอโวยวาย แล้วตั้งใจจะตอบคำถามเรื่องอะไรนี่ อ้อ นึกออกละ ถามว่าผลตรวจสวนหัวใจแบบนี้ จะรักษาแบบไม่ทำผ่าตัดบายพาส ไม่ทำบอลลูนได้ไหม ตอบจากงานวิจัยขนาดใหญ่หลายชิ้นโดยเฉพาะงานวิจัย COURAGE ว่าได้แน่นอนครับ คนที่เป็นโรคหัวใจตีบแบบคุณนี้ สองเส้นบ้าง สามเส้นบ้าง เจ็บหน้าอกเกรด 1-3 โดยที่หลอดเลือด LM ยังปกติดี ไม่ว่าจะรักษาแบบรุกล้ำ คือทำบอลลูนหรือบายพาส หรือจะรักษาแบบไม่รุกล้ำ วัดจากการเกิดจุดจบที่เลวร้ายในช่วงเวลา 10-15 ปีแล้ว พบว่าได้ผลไม่ต่างกัน

2.. ถามว่าทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณทางไหนดีที่สุด ตอบเป็นสองระยะนะ

2.1 ระยะแรกที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีสองทางเลือกให้คุณ คือ (1) ทำบอลลูนหรือบายพาส กับ (2) ไม่ทำอะไรรุกล้ำทั้งสิ้น ระหว่างทางเลือกทั้งสองนี้ผลไม่ต่างกัน คุณจะเลือกทางไหน เอาแบบที่คุณชอบเลยครับ

2.2 ในระยะยาว สิ่งที่คุณต้องทำอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงหากยังไม่อยากตายก่อนเวลาอันควร คือคุณจะต้องเปลี่ยนการกินการใช้ชีวิตของคุณเสียใหม่เพื่อให้ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาสู่การเป็นโรคนี้ลดลงหรือหายไป ภาษาแพทย์เรียกว่า risk factors management นี่คือการรักษาโรคที่แท้จริงและคุณต้องทำด้วยตัวเองไม่มีหมอคนไหนมาทำให้คุณได้ การทำบอลลูนหรือบายพาสก็ดี การไม่ทำบอลลูนหรือไม่ทำบายพาสก็ดี การขยันกินยาก็ดี ล้วนไม่ได้ทำให้โรคของคุณหาย โรคมันจะเดินหน้าต่อไป จำตรรกะง่ายๆของผมไว้ว่า

วิธีกินและวิธีใช้ชีวิตของคุณที่ผ่านมานำคุณมาสู่การเป็นโรคนี้

คุณไม่มีทางหายจากโรคนี้ได้หากคุณยังกินและยังใช้ชีวิตแบบเดิม

รายละเอียดปลีกย่อยว่าจะกินอย่างไร จะใช้ชีวิตอย่างไรมีมากและผมพูดซ้ำซากบ่อยมาก ผมคงไม่พูดซ้ำในที่นี้อีก ให้คุณหาอ่านเอาในบล็อกเก่าๆที่ผมตอบไปหลายครั้ง แล้วลงมือทำตามนั้น ลงมือทำเองเลย มีคนทำตามแล้วประสบความสำเร็จในการพลิกผันโรคของตัวเองได้เยอะมาก คุณก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ถ้าทำไปแล้วเกิดรู้สึกไม่ชัวร์ หรือยังเข้าใจไม่ชัด ก็ให้หาโอกาสมาเข้าแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตัวเอง (RDBY)

3.. ถามมาสองข้อ ก็ตอบสองข้อ ครบแล้ว หายกันแล้วนะ คราวนี้เป็นการคุยเล่น

คุณเล่าว่าคุณเป็นคนละเอียด เป็นคนเป๊ะ ฮิ..ฮิ..ฮิ ช่างเป็นคนเข้าใจตัวเองดีจริง ปกติหากจะถือกันตามวิชาแพทย์แบบคลาสสิก โรคหัวใจขาดเลือดเป็นโรคของผู้ชาย แต่ระยหลังมานี้ผู้หญิงค่อยๆสปริ๊นท์ไล่กวดมาติดๆ ยังไม่มีข้อมูลวิจัยเรื่องแคแรคเตอร์ของผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคนี้ แต่ผมสังเกตเอาจากผู้ป่วยผู้หญิงที่เป็นโรคนี้ที่ผมรักษาเองว่าส่วนใหญ่เป็น..คุณนายละเอียด ผมไม่ทราบว่าหญิงเป๊ะได้รับการยกย่องเป็นคุณนายแล้วหรือยัง ถ้าได้แล้วก็ต้องบอกว่าส่วนใหญ่เป็นคุณนายละเอียด และคุณนายเป๊ะ

ถ้าจะนิยามคุณนายละเอียด และคุณนายเป๊ะ ก็คือคนที่ถูกขังอยู่ในกรงความคิดของตัวเองและเกรี้ยวกราดอาละวาดว้ากเพ้ยอยู่ในกรงนั้น เพราะคอนเซ็พท์ที่ดีๆ หรือพูดแบบบ้านๆว่าความ “บ้าดี” ทั้งหลายนั้น มันคือความคิดที่คุณกุขึ้นมาเองนะ กุขึ้นมาเพื่อปกป้องหรืออวยอีโก้หรือตัวตนของคุณเอง คุณต้องมองให้เห็นก่อนว่าคุณกับความคิดเป็นคนละอันกัน ให้เริ่มจากตรงนี้ก่อน เมื่อวานนี้เอง ผมเพิ่งตอบจดหมายแฟนบล็อกท่านหนึ่ง รู้สึกจะหัวเรื่องชื่อ “ขอให้หมอสันต์แนะนำวิธีที่ง่ายกว่านี้” ปัญหาเดียวกันกับคุณแต่คนละสถานะการณ์ คุณไปอ่านดูนะ อ่านดู แล้วให้คุณทดลองทำตามนั้นเลย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

08 กรกฎาคม 2565

ขอให้หมอสันต์แนะนำวิธีที่ง่ายกว่านี้

(ภาพวันนี้: ต้อยติ่ง)

กราบเรียนคุณหมอสันต์

เพิ่งกลับจากเข้าปฏิบัติธรรม 7 วันที่สถาน …. จังหวัด … กลับมาแล้วมีคำถามมากกว่าคำตอบ มีความตึงเครียดเพราะความสงสัย หรืออาจเป็นเพราะพยายามมากเกินไปในการที่จะไม่คิด โดยภาพรวมแล้วรู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ใช่ นี่เพิ่งจะไขกุญแจเข้าบ้าน คุณหมอช่วยดิฉันหน่อย ช่วยแนะนำวิธีที่ง่ายกว่าที่ดิฉันไปปฏิบัติมานี้มีไหม

………………………………………….

ตอบครับ

โอเค. ไขกุญแจเข้าบ้านมาแล้วใช่ไหม เอาละ นั่งลงก่อน เอนหลังพิงพนัก ผ่อนคลาย ยังไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ทิ้งทุกอย่างไว้ก่อน ผ่อนคลาย Relax…x ทิ้งสิ่งที่ผ่านมาพบเจออะไรทิ้งไปก่อน ทิ้งสิ่งที่กำลังค้นหาไปข้างหน้าซึ่งหาไม่เจอสักทีเสียด้วย ปล่อยทิ้งไว้งั้นแหละ

ผ่อนคลาย

Relax..x ยิ้มที่มุมปากนิดๆ

ถ้ายังรู้สึกว่าว่างเกินไป อยู่ว่างไม่ได้ ก็แค่สังเกต Observe สังเกตไปรอบๆตัว สังเกตภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน

สังเกต

Observe

สังเกตแม้กระทั่งเสียงในหัวหรือความคิดของเราเอง มันที่คอยที่จี้จิก ชี้แนะ แนะนำ ค่อนขอด วิจารณ์ แค่สังเกตว่ามันโผล่ขึ้นมา ปล่อยให้มันผ่านเข้ามา เฝ้ามองดูมันอยู่ห่างๆ ไม่ไล่ ไม่อวย แค่สังเกตรับรู้

สังเกตความรู้สึกท้อถอย ผิดหวังที่กำลังประดังเข้ามาด้วย ปล่อยให้มันประดังเข้ามา รับรู้มัน ยอมรับมัน แต่อยู่ห่างมันนิดหนึ่งนะ ไม่เข้าไปเม้าท์ด้วย

ผ่อนคลาย และสังเกต แค่เครื่องมือสองชิ้นนี้ก็เหลือเฟือแล้วที่จะพาคุณหลุดพ้นจากความย้ำคิดของคุณเอง ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ของคุณ ผมหมายความรวมถึงความย้ำคิดเรื่องอยากจะบรรลุธรรม หรือความข้องใจว่าทำไมไม่บรรลุธรรมสักทีด้วย

ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา ทำแค่นี้แหละ ไม่ต้องรีไซเคิลอดีต ไม่ต้องห่วงอนาคต ชีวิตที่นี่เดี๋ยวนี้คือความมหัศจรรย์ คุณรู้หรือว่าชีวิตนี้อีกหนึ่งนาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยคุณก็ไม่รู้หรอกว่าความคิดถัดไปที่จะโผล่ขึ้นมาในหัวของคุณจะเป็นความคิดเรื่องอะไร คุณผ่อนคลาย และสังเกตดูมัน แค่นี่ก็เป็นความตื่นเต้นเร้าใจในการใช้ชีวิตแล้ว ความคิดถัดไปที่จะโผล่ขึ้นมาในหัวจะเป็นความคิดเรื่องอะไร มันเดาไม่ได้จริงๆ มันจึงน่าลุ้นว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร และไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร คุณก็แค่ผ่อนคลาย สังเกต ปล่อยให้มันโผล่ขึ้นมา ยอมรับมัน ปล่อยให้มันฝ่อหายไปของมันเอง คุณแค่ดำรงสถานะของผู้สังเกตไว้หนักแน่น ไม่เผลอไปผสมโรงเล่นด้วยกับความคิด

ทำสองอย่างแค่เนี้ยะ Relax and Observe

แล้วคุณจะค่อยๆเห็นว่าระยะห่างระหว่างคุณในฐานะผู้สังเกต กับความคิดในฐานะสิ่งที่ถูกสังเกต กว้างขึ้นๆ จนคุณรู้สึกชัดเจนด้วยตัวเองว่าคุณในฐานะผู้สังเกต กับความคิดในฐานะสิ่งที่ถูกสังเกต เป็นคนละอันกัน ความคิดไม่ใช่เรา และเราก็ไม่ใช่ความคิด

เมื่อนั่งอยู่ในฐานะเราที่ไม่ใช่ความคิดคุณจะสงบเย็น นี่สิ่งที่คุณตามหาพบอย่างหนึ่งแล้ว ก็คือความสงบเย็นนี่ไง

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนั่งอยู่ตรงที่คุณเป็นผู้สังเกต ความคิดเป็นสิ่งที่ถูกสังเกตนี้ วิสัยทัศน์ของคุณจะกว้างไกลมากขึ้นๆจนคุณเองเซอร์ไพร้ส์ ต่อจากนั้นคุณจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป ยามที่ปลอดความคิดและนั่งสังเกตอยู่ สาระพัดทางเลือกมันจะโผล่มาเอง คุณจะร้องอ๋อด้วยตัวคุณเอง ไม่ต้องไปคาดการณ์หรือคาดหวังอะไรล่วงหน้า แล้วชีวิตมันก็จะ creative หรือสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง

ผมให้เครื่องมือจำเป็นสองชิ้นแก่คุณเสร็จแล้วนะ คราวนี้ขอพูดต่อเรื่องอื่น คุณไม่ได้บอกเล่ามา แต่ผมเดาเอาจากระหว่างบรรทัดที่คุณเขียนว่าคุณมีปัญหาอยู่ในใจ ผมจะบอกคุณว่าปัญหาชีวิตทุกปัญหาสอนให้เรารู้ว่ามีหนามอะไรฝังอยู่ในใจเรา พอมีคนมาเขย่าหนามนั้นเข้าจะโดยตั้งใจหรือโดยบังเอิญก็ตาม เราก็เจ็บ วิธีแก้ปัญหาความเจ็บจากหนามนั้นก็คืออย่าไปยุ่งกับเหตุที่ข้างนอก แต่ให้สนใจข้างใน พอมันเจ็บคุณก็แค่ผ่อนคลาย..ผ่อนคลาย ยิ้มที่มุมปาก ถอยหลังเอนพิงพนัก และสังเกต รับรู้ ยอมรับ ยอมแพ้ ดูความเจ็บนั้นไปโดยไม่ต้องไปปฏิเสธหรือรีบกลบเกลื่อน ถ้าคุณผ่อนคลายและเฝ้าดูอย่างใจเย็นได้จริงๆ มันจะมีพลังจากส่วนลึกเกิดขึ้นมาค่อยๆสลายหนามนั้นจนหมดไปจากใจคุณได้เองแบบอัตโนมัติ ช้าบ้างเร็วบ้างแต่หมดได้เองแน่นอน แค่ใจเย็นๆ ปล่อยให้พลังนั้นทำงาน พลังนั้นมาจากไหนหนอ..ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

ทั้งหมดนี้ไม่ได้บอกให้คุณเพิกเฉยไม่ใส่ใจแก้ปัญหาในชีวิตนะ แต่ผมบอกให้คุณผ่อนคลาย ถอยกลับไปข้างในซึ่งเป็นที่ที่คุณสงบเย็นก่อน ณ ที่ตรงนั้นมันเป็นฐานที่มั่นที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาใดๆของชีวิต ดีกว่าที่จะแก้ปัญหาชีวิตไปแบบไก่สาวขี้ตกใจ กระต๊าก กระต๊าก หรือแบบ reactive หรือแบบ compulsive คือเคยคิดเคยทำอย่างไรก็คิดก็ทำซ้ำซากอยู่อย่างนั้นเหมือนหุ่นยนต์รุ่นโบราณ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ช่วยให้คุณแก้ปัญหาที่ลึกซึ้งได้ดอก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

07 กรกฎาคม 2565

เป็นไปไม่ได้จริงหรือ ที่พ่อเลือดกรุ๊พ AB จะออกลูกมาเป็นกรุ๊พ O

(ภาพวันนี้: พุดน้ำบุตร)

สวัสดีค่ะ คุณหมอ
ตอนนี้เครียดมาก ดิฉันอายุ58 ค่ะ ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจเรื่องgroup เลือดค่ะ วันนี้ลูกชายที่กำลังเรียน … ปี1 ค่ะ มาถามเรื่องgroupเลือดของพ่อและแม่ค่ะ
พ่อAB
แม่B
ลูก O ค่ะ
ลูกบอกมันเป็นไปไม่ได้ค่ะ ที่จะเป็นแบบนี้
แต่เรารู้อยู่แก่ใจว่านี้คือลูกของเราและเรามีแค่พ่อเด็กเป็นสามีและเป็นแฟนคนเดียวที่เรามี ( หน้าตาไม่สวยมากค่ะ) มันเป็นไปได้มั้ยค่ะ ที่ลูกจะมีผลเลือดแบบนี้
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
…………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าทำไมลูกเรียนแพทย์ปี 1 จึงมายืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่คุณพ่อของเขาหมู่เลือด AB จะออกลูกมาเป็นเขาซึ่งหมู่เลือด O ตอบว่าเขาไม่ได้ยืนยันเพราะระแวงแม่ดอก แต่เขายืนยันตามวิชาพันธุศาสตร์ของหมู่เลือด รากของวิชานี้มันมาจากหมอชาวออสเตรียคนหนึ่งชื่อคาร์ล แลนด์สไตเนอร์ ได้คนพบว่าเลือดของคนเรานี้จะซี้ซั้วเอามาปนกันไม่ได้ เพราะบางครั้งมันจะตีกันทำให้เม็ดเลือดแตก เขาได้ตั้งสมมุติฐานขึ้นมาว่าเม็ดเลือดของคนเราล้วนมี “หมาย” (antigen) อยู่บนผิว ซึ่งหมายนี้มีสองแบบซึ่งเขาตั้งชื่อว่าหมู่ A กับ หมู่ B บ้างก็มีหมายทั้งสองชนิดจึงเรียกว่าหมู่ AB แต่บ้างก็ไม่มีสักหมายเขาจึงตั้งชื่อว่า Ohne เป็นภาษาเยอรมันแปลว่าไม่มี เขียนย่อว่าหมู่ O นี่เป็นรากฐานของวิชานี้

ต่อมาวงการแพทย์เรียนรู้ว่าหมู่เลือดนี้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ โดยรูปแบบการถ่ายทอดก็คือจุด (locus) ของยีนที่คุมเรื่องนี้แต่ละคนจะมียีนคู่เดียวซึ่งแต่ละคนจะมียีนได้สามแบบ คือ A, B, O โดยที่ A กับ B เป็นยีนเด่น ส่วน O เป็นยีนด้อย ธรรมชาติของยีนของลูก จะรับมาจากแม่ครึ่งหนึ่ง พ่อครึ่งหนึ่ง มาประกอบกันเป็นคู่ ยีนเด่นก็จะแสดงออก ส่วนยีนด้อยก็จะถูกกลบไว้ตรงนั้นแหละ ไม่ได้แสดงออกในรุ่นลูก แต่อาจไปแสดงออกในรุ่นหลาน ยกตัวอย่างเช่นลูกรับยีน A มาจากแม่ รับยีน O มาจากพ่อ หมู่เลือดของลูกที่แสดงออกจะเป็น A แต่ยีนที่คุมมีสองซีกคือ A กับ o ใช้ตัวเล็กเพราะเป็นยีนด้อยเขียนเป็นตารางการแสดงออกของยีนง่ายๆดังนี้

ยีนพ่อ Aยีนพ่อ Bยีนพ่อ O
ยีนแม่ Aหมู่เลือดลูก Aหมู่เลือดลูก ABหมู่เลือดลูก A
ยีนแม่ Bหมู่เลือดลูก ABหมู่เลือดลูก Bหมู่เลือดลูก B
ยีนแม่ Oหมู่เลือดลูก Aหมู่เลือดลูก Bหมู่เลือดลูก O

จะเห็นว่าตามตารางนี้ หากหมู่เลือดของพ่อเป็น AB แสดงว่ามียีนคุมเป็นยีนเด่นทั้งคู่คือ A และ B ไม่มียีนด้อยคือ O ทางสายพ่อเลย จึงเป็นไปไม่ได้ที่ลูกจะมีหมู่เลือดเป็น O เพราะการที่ยีนด้อยจะแสดงออกได้นั้นต้องมียีนด้อยมาจากทั้งสองทางคือทางพ่อก็มี O ทางแม่ก็มี O จึงจะมาจ๊ะกันแล้วแสดงออกเป็นหมู่เลือด O ซึ่งเป็นลักษณะด้อยได้

นี่เป็นหลักวิชาพันธุศาสตร์ของหมู่เลือดพื้นฐานที่ลูกชายเขาเรียนมาครับ

2.. ถามว่าแล้วทำไมตัวคุณพ่อของเด็กซึ่งเป็น ผ. แต่ผู้เดียวของคุณ มีหมู่เลือด AB แสดงว่ามียีนเด่นทั้งสองตัวคือ A และ B คือข้างพ่อไม่มีลักษณะด้อยแฝงมาเลยซักกะนิด แล้วทำไมออกลูกมาแสดงลักษณะ O ซึ่งเป็นลักษณะด้อยได้

ตอบว่าในคนเอเซียจำนวนน้อยนิด (ประมาณไม่เกิน 0.03%) ที่ผลตรวจเลือดเป็นหมู่ AB นั้นแท้จริงแล้วมียีนพิศดารเรียกว่า cis-AB เป็นยีนอีกแบบหนึ่งเลย คือแทนที่จะประกอบด้วยยีนเด่น A ข้างหนึ่งกับยีนเด่น B อีกข้างหนึ่งมาประกบกันเป็นคู่ แต่ cis-AB เป็นยีนเด่น AB ข้างเดียว ขณะที่อีกข้างหนึ่งที่มาประกบกันและถูกข่มอยู่จะเป็นอะไรก็ได้ (A, B, หรือ O ก็ได้) ดังนั้นกรณีของพ่อเด็กซึ่งมีหมู่เลือด AB ยีนของเขาอาจจะข้างหนึ่งเป็น cys-AB อีกข้างหนึ่งเป็น O เมื่อยีน O ซึ่งเป็นข้างด้อยของพ่อ ไปจับคู่กับยีน O ซึ่งเป็นข้างด้อยของแม่ ลูกก็แสดงลักษณะด้อย คือหมู่เลือด O ได้… เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

3.. ผมตอบคำถามคุณหมดแล้วนะ คราวนี้ขอผมคุยอะไรเล่นกับคุณบ้าง สังเกตดูนะ ว่าสิ่งที่ทำให้คุณเป็นทุกข์คือความพยายามที่จะปกป้องและเชิดชูความเป็นบุคคลหรืออัตตา (Ego) ของตัวเอง ในระดับเบสิกหรือพื้นๆเลยก็คือเรากลัวว่าคนอื่นเขาจะนินทาว่าร้ายเรา จะไม่ยอมรับเรา จะไม่อวยเรา เราก็เลยเป็นทุกข์สาละวนพยายามที่จะปกป้องหรือเชิดชูอัตตาของเราให้คนอื่นเห็นให้คนอื่นยอมรับ เช่น พอลูกตั้งข้อสงสัยในความน่านับถือของคุณเข้าคุณก็เต้น..น กินไม่ได้นอนไม่หลับทั้งๆที่ตัวเองก็รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่เคยมีอะไรกับใครอื่นแต่ก็ยังไม่วายเป็นทุกข์ นี่เป็นตัวอย่างว่าคอนเซ็พท์ที่คนส่วนใหญ่เขายึดถือกันนี้มันทำให้คนเราเป็นทุกข์ได้แม้ว่าคอนเซ็พท์นั้นมันจะงี่เง่าไร้สาระเป็นเรื่องโป้ปดมดเท็จอย่างไรก็ตาม เพราะคนมักไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นตัวของตัวเองแต่มักหลับหูหลับตามีชีวิตอยู่เพื่อให้สอดคล้องกลมกลืนไปตามคอนเซ็พท์ที่คนส่วนใหญ่เขายอมรับนับถือกัน การใช้ชีวิตแบบนี้จะทำให้เราเป็นทุกข์ทั้งชาติเพราะสิ่งที่คนเขาเฮโลยึดถือกันนั้นนอกจากจะเป็นแค่ความคิดหมู่แล้วมันยังไม่ใช่สิ่งที่เราจะควบคุมได้อีกต่างหาก มีแต่ต้องรู้จักเป็นตัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเราจึงจะพ้นทุกข์จากความกลัวขี้ปากคนอื่นได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Yazer MH, Olsson ML, Palcic MM. The cis-AB blood group phenotype: fundamental lessons in glycobiology. Transfus Med Rev. 2006 Jul;20(3):207-17. doi: 10.1016/j.tmrv.2006.03.002. PMID: 16787828.
[อ่านต่อ...]

02 กรกฎาคม 2565

ก้อนผิดปกติ จะมีนัยสำคัญก็ต่อเมื่อมันเพิ่มขนาดเกินเท่าตัวใน 6-12 เดือน

(ภาพวันนี้.. ป่าตะเคียนปลูกใหม่อายุปีกว่า)

ขอรบกวนเรียนปรึกษาคุณหมอค่ะ
สามีอายุ 78 ปี เป็นไวรัสบีทานยาฆ่าเชื้อมา 2-3 ปีจนปัจจุบันหมอแจ้งว่าจากผลตรวจเหลือเชื้อน้อยแล้ว รวมทั้งเคยผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อต่อมลูกหมากออกเนื่องจากปัสสาวะมีปัญหา  จากที่ไปพบหมอครั้งสุดท้ายและมีการตรวจอัลตราซาวด์ในช่องท้องส่วนบน หมอแจ้งว่าพบก้อนเนื้อเล็กๆที่ตับมีขนาดโตขึ้นจากการตรวจครั้งก่อน และยืนยันที่จะให้ตรวจ CT scan เพื่อดูว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ แต่พี่ก็แย้งหมอไปว่าขอรออีกสัก 2-3 เดือนและมาทำอัลตราซาวด์อีกครั้ง ถ้าขนาดโตขึ้นอีกค่อยทำได้ไหม เนื่องจากพี่เห็นว่าค่าไตก็อยู่ในขั้นที่ค่อนข้างไม่ดี (และจากที่เคยอ่านบทความของคุณหมอว่าการทำซีทีเท่ากับการเอ๊กเรซ์ถึง 6 ร้อยกว่าแผ่น รวมทั้งการต้องฉีดสีทึบแสงซึ่งจะมีผลกับไตอย่างมาก ไม่จำเป็นไม่ควรทำ) แต่แค่พูดว่าให้รอทำอัลตราซาวด์อีกครั้งยังไม่ได้พูดถึงเหตุผล ก็ถูกหมอโวยวายว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรอ ต้องทำ ก็เลยบอกว่าขอกลับมาคิดก่อน ใจคิดไปถึงอยากจะเปลี่ยนหมอเลย จึงอยากขอปรึกษาขอความเห็นคุณหมอโดยได้ส่งผลตรวจอัลตราซาวด์และผลตรวจเลือดของไตมาประกอบการพิจารณาค่ะ หากต้องมีผลตรวจอะไรเพิ่มจากนี้รบกวนคุณหมอช่วยแจ้งด้วยค่ะ

ขอขอบพระคุณคุณหมอเป็นอย่างมาก พี่ไม่รู้จะคิดอย่างไร ตัดสินใจไม่ถูก ได้แต่ขอรบกวนคุณหมอ
ขอบพระคุณจริงๆค่ะ

………………………………………………………

ตอบครับ

ช่วยส่งผลการตรวจครั้งก่อนหน้านี้มาให้ดูหน่อยสิครับ ก่อนที่ผมจะให้คำแนะนำอะไร

ประเด็นคือผลตรวจครั้งนี้ที่ส่งมาให้ ผลการตรวจอุลตร้าซาวด์ตับไม่มีการวัดขนาดสิ่งที่เรียกว่าก้อนผิดปกติ ไม่ได้บอกว่าที่ก้อนผิดปกติเพิ่มขนาดขึ้นนั้นเพิ่มจากกี่ มม. เป็นกี่ มม. ในช่วงเวลาห่างกันเท่าใด ผมเดาเอาว่าแพทย์ไม่มีข้อมูลนี้ จึงไม่พูดถึงในรายงานการตรวจ หรือไม่ก็ขนาดมันเล็กมากจนวัดไม่ถนัด เพราะทีซิสต์อีกอันหนึ่งขนาด 8 มม. อยู่คนละซีกท่านยังบรรยายและวัดขนาดไว้อย่างละเอียดเลย แต่ก้อนที่ว่าสงสัยจะเป็นมะเร็งนี้กลับไม่มีบรรยายรายละเอียดอะไร การขาดข้อมูลการวัดนี้ทำให้ไม่สามารถเอาผลการตรวจครั้งนี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้เลย เพราะ

1. การบอกว่าขนาดเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการวัดขนาดเปรียบเทียบให้เห็นจริง ไม่ใช่ข้อมูลวิทยาศาสตร์ เป็นการดูโหงวเฮ้ง

2. ถ้าขนาดของก้อนใดๆในร่างกายเพิ่มขึ้นช้ากว่าหนึ่งเท่าตัว (double) ในเวลา 6-12 เดือน ยังไม่ถือว่ามีนัยสำคัญในแง่ที่ว่าควรสงสัยมะเร็งหรือไม่ เพราะมองจากมุมภาพการแพทย์ (imaging) จะถือว่าการขยายขนาดของก้อนผิดปกติจะเป็นการขยายขนาดที่เร็วถึงระดับสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งที่ active ก็ต่อเมื่อมีการเพิ่มขนาดเท่าตัวในเวลา 6-12 เดือน ไม่ต้องใจร้อน เพราะใจร้อนไปก็ไลฟ์บอย วัยของผู้ป่วยเกินจุดที่จะใช้การรักษาแบบรีบๆเช่นการผ่าซีกเอาตับออกหรือผ่าตัดเปลี่ยนตับ มันเลยจุดนั้นไปแล้ว

แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ถ้าขี้คุณพี่เกียจจะสืบสาวราวเรื่อง จะใช้วิธีถอยกลับออกมามองในภาพใหญ่แล้วตัดสินใจเรื่องนี้ใหม่ทั้งหมดโดยทิ้งข้อมูลที่มีอยู่ไปเสียทั้งหมดก่อนก็ได้

กล่าวคือ ในภาพใหญ่ คนอายุ 78 ปี จะเป็นมะเร็งที่ตับหรือไม่เป็น ทางเลือกการรักษาที่ดีที่สุดคือไม่ทำอะไรเลยอยู่แล้ว ดังนั้นการพยายามตรวจโน่นส่องนี่ว่าจะเป็นมะเร็งตับไหมนี่เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เพราะตรวจพบว่าเป็นอะไรไม่เป็นอะไร แผนการรักษาหรือการจัดการปัญหาก็ยังเหมือนเดิม คือไม่ทำอะไรอยู่ดี การเที่ยวตรวจเที่ยวทำอะไรทั้งๆที่รู้ๆอยู่แล้วว่าไร้ประโยชน์ โดยมาตรฐานหลักวิชาแพทย์เป็นสิ่งไม่ควรทำ ถือว่าเป็น futile treatment เสียเงิน เสียเวลา และเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ หลักข้อนี้ถือเป็นหลักจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ข้อหนึ่งทีเดียว เรียกว่าหลักไม่ทำสิ่งไร้ประโยชน์ (Principle of futility)

ดังนั้นผมแนะนำว่าคุณพี่มีทางเลือกสองทาง คือ

1.. พาสามีไปทำอุลตร้าซาวด์ตับที่ไหนก็ได้ ให้เขาวัดขนาดก้อนไว้ด้วย กี่มิล กี่เซ็นต์ อ่านดูในรายงานว่าเขาวัดจริงหรือเปล่า ทำสองครั้งห่างกัน 6 เดือน แล้วส่งผลมาให้ผมอีกที เตือนผมด้วยว่าเป็นเรื่องเก่าตอบค้างไว้ แล้วผมส้ญญาว่าจะตอบให้ หรือ..

2. เลิกยุ่งกับผลการตรวจอุลตร้าซาวด์ตับที่ให้ข้อมูลกะบ่อนกะแบ่นนี้เสีย หันไปใช้ชีวิตเพลิดเพลินกับการปลูกผักปลูกหญ้าตามปกติ แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็ยอมรับมันได้ทั้งนั้น

ปูนนี้แล้วสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดก็คือ “วันนี้” นะ อย่ามัวไปยุ่งกับความกังวลถึงอนาคตซึ่งเป็นของไม่มีอยู่จริงจนเสียโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตในวันนี้ไป มิชชั่นในชีวิตคนเราจริงแล้วมีแค่สองอย่างเท่านั้น คือใช้ชีวิต (living) และเรียนรู้ (learning) ใช้ชีวิตก็คือเราจะอยู่ในโมเมนต์นี้อย่างไรให้เบิกบานและสร้างสรรค์ คือชีวิตเขาใช้กันทีละโมเมนต์ ใช้ชีวิตราวกับว่าพรุ่งนี้จะไม่มีแล้ว แต่เรียนรู้ราวกับว่าชีวิตนี้จะอยู่ไปชั่วนิรันดร์ คำว่าเรียนรู้นี้ผมหมายความลึกซึ้งถึงการเรียนรู้สิ่งที่ไกลไปกว่าสิ่งเรารับรู้ผ่านอายตนะและความคิด ปูนนี้แล้วสิ่งที่ผ่านมาทางอายตนะและความคิดมันก็ล้วนแค่หมอนๆเดิมๆที่เราเจนจบหมดแล้ว ไม่ต้องเรียนอะไรเพิ่มแล้ว แต่ผมหมายถึงการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่อยู่พ้นไปจากการรับรู้ผ่านอายตนะและความคิดของเรา อยู่พ้นไปจากภาษา ซึ่งมันต้องเรียนรู้ผ่านการวางความคิดหรือผ่าน meditation

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 

[อ่านต่อ...]

01 กรกฎาคม 2565

มะเร็งเต้านม กับอาการสมองตื้อ ความจำเสื่อม และรวบรวมสติไม่ได้

(ภาพวันนี้: ทุ่งกระดุมทอง)

เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ

หนูอายุ 30 ปี เป็นมะเร็งเต้านม ductal carcinoma in situ ผ่าตัดแล้วเมื่อปี 2562 หมอให้กินยาล็อคเป้า tamoxifen นาน 10 ปี เดิมกินยาไทรอยด์อยู่ด้วย แต่หยุดไปปีกว่าแล้ว ตรวจไทรอยด์ได้ TSH = 1.2 FT4=0.9 ยาอื่นไม่มีนอกจากวิตามินและอาหารเสริม ตอนนี้หนูมีอาการตื่นมากลางดึกแล้วไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน กว่าจะคิดขึ้นได้ก็นานมาก สามีพยายามคุยด้วย หนูก็ไม่รู้ว่าคนนี้คือใคร หนูเป็นมะเร็งกระจายไปสมองหรือเปล่า ควรจะไปเริ่มต้นตรวจกับหมอทางไหนก่อนดี

รบกวนคุณหมอช่วยนะคะ

……………………………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าตื่นขึ้นมาแล้งงงและจำ ผ. ของตัวเองไม่ได้ เป็นเพราะอะไร หิ หิ ตอบว่าเป็นได้จากหลายสาเหตุครับ เอาเฉพาะสาเหตุทางการแพทย์ก็แล้วกันนะ อาการแบบนี้บ้านๆเขาเรียกว่า brain fog บางครั้งถ้าเป็นกับคนได้เคมีบำบัดอยู่เรียกว่า chemo brain ถ้าพูดเป็นภาษาหมอก็คือมันเป็นอาการผสมของอาการสับสน (confusion) ลืม (forgetfulness) ตั้งสติไม่ได้ (lack of focus) และใจมันไม่โล่ง (no clarity)

2.. ถามว่าสาเหตุของ brain fog เกิดจากอะไรได้บ้าง ตอบว่าบ่อยที่สุดก็คือเกิดจากทำงานมากเกินไป อดนอน เครียด ดูหน้าจอมากไป ระบบฮอร์โมนของร่างกายปั่นป่วนรวนเร บางครั้งก็เกิดจากยาที่กิน

3.. ถามว่าในกรณีของคุณนี้ควรทำอย่างไรต่อไป ตอบว่าในกรณีของคุณนี้ต้องเพ่งเล็งยาที่กิน นั่นก็คือ Tamoxifen งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร J of Clinical Oncology พบว่าหญิง 299 คนที่กินยาทาม็อกซิเฟนนานหนึ่งปีมีความจำเสื่อมลงมากกว่ากินยาตัวอื่นที่ใช้เปรียบเทียบกัน อีกงานวิจัยหนึ่งทำที่มหาลัยโรเชสเตอร์ ( URMC) ซึ่งศึกษาผลของยาทาม็อกซิเฟนต่อเซลของระบบประสาทในห้องแล็บก็พบว่ายามีผลฆ่าทำลายเซลประสาทได้ รายงานเรื่องทาม็อกซิเฟนทำให้เกิดอาการสมองตื้อหรือ brain fog นี้มีออกมาเป็นระยะๆ ดังนั้นการที่คุณกินยาทาม็อกซิเฟนแล้วมีอาการสมองตื้อ จะต้องวินิจฉัยไว้ก่อนว่ามันเกิดจากยาทามอกซิเฟน จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ วิธีพิสูจน์ง่ายๆก็คือหยุดยาดูไงครับ ตัวคุณนั่นแหละเป็นคนหยุดเอง

ถ้าพบว่ามันเกิดจากยาจริง คราวนี้คุณจะหยุดยาถาวรเลยหรือจะทนกินยาต่อก็ขึ้นอยู่กับการชั่งน้ำหนักความเสี่ยงและประโยชน์ของยาด้วยตัวคุณเอง งานวิจัยพบว่ายาทาม็อกซิเฟนจะออกฤทธิ์ลดการกลับเป็นใหม่ของมะเร็งเต้านมชนิดสนองตอบต่อตัวรับฮอร์โมนเพศ(SR+)ได้ผลดีมากหากให้นาน ผลดีในการลดอัตราตายของมะเร็งเต้านมจากการให้ยานาน 2-3 ปีนั้นชัดเจนแน่นอน การให้ยานานระดับ 5-10 ปีหรือนานตลอดไปจะลดอัตราตายได้มากขึ้นอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังหรือไม่อันนี้วงการแพทย์เองก็ยังสรุปให้ชัดเจนไม่ได้ แต่มะเร็งของคุณ (DCIS) เป็นชนิดที่อัตรารอดชีวิตใกล้เคียงกับคนปกติอยู่แล้ว คืออัตรารอดชีวิตใน 10 ปี (10 year survival rate) คือ 98% นี่มันใกล้เคียงกับคนปกติเลยนะ ประโยชน์ของยาทามอกซิเฟนมีเพิ่มเติมน้อยมาก ผมแนะนำว่าหากคุณรู้สึกว่าผลข้างเคียงของยามันรบกวนคุณมาก เมื่อได้กินยามาได้ 2-3 ปีแล้วการเลิกกินเสียก็เป็นทางเลือกที่โอเค.นะครับ

อย่าลืมทำตามขั้นตอนที่ผมบอกนะ อย่าลัด คือเริ่มด้วยการเลิกยาทามอกซิเฟนด้วยตัวเองก่อน แล้วรอดูเชิง อย่าใจร้อนไปตรวจ CT สมองก่อน เพราะถ้าทำอย่างนั้นหากไปตรวจเจออะไรเข้า สมมุติว่าเจอภาพเนื้องอกสมอง ถึงจะเป็นชนิดที่ไม่เกี่ยวกับอาการสมองตื้อเลยแต่คุณก็จะถูกจับผ่าตัดสมองเพราะการมีอาการทางสมองควบกับมีเนื้องอกสมองมันเป็นข้อบ่งชี้ (indication) ที่หมอจะจับคุณผ่าตัดสมอง แล้วสมมุติติ๊งต่างว่าคุณสมองตื้อเพราะยา ก็เท่ากับว่าคุณถูกจับผ่าตัดสมองฟรี พอผ่าไปแล้วไม่หายคราวนี้หมอเขาก็จะค่อยมาทดลองหยุดยาทาม็อกซิเฟนภายหลัง แล้วทำไมไม่ทำของที่ง่ายกว่า คือทดลองหยุดยาดูก่อนละครับ ถ้ามันไม่หายใน 3-6 เดือนค่อยไปตรวจ CT สมอง

ผลเสียของการลัดขั้นตอนยังมีอีกประเด็นหนึ่งนะ สมมุติว่าคุณรีบไปตรวจสมองแล้วพบเนื้องอกสมมุติว่าเป็นเมนิงจิโอมาซึ่งหมอบอกว่าไม่ต้องผ่าตัด ไม่เกี่ยวอะไรกับอาการสมองตื้อหรอก น่าจะเกิดจากยาทาม็อกซิเฟนมากกว่า หมอก็ทดลองหยุดยา แต่คราวนี้มีโอกาส 30% ที่อาการสมองตื้อของคุณจะไม่หายแม้ว่ามันจะเกิดจากยาและได้หยุดยาแล้วก็ตาม เพราะใจคุณปักใจว่าคุณมีเนื้องอกในสมองเสียแล้ว คุณปักใจเชื่อว่าตราบใดที่เนื้องอกยังอยู่คุณก็เชื่อว่าอาการมันจะไม่หาย แล้วมันก็ไม่หายจริงๆ แบบนี้เขาเรียกว่า placebo effect หรือผลจากการปักใจเชื่อ ซึ่งหมอและคนไข้หากไม่สันทัดในการจัดขั้นตอนว่าควรตรวจอะไรทำอะไรก่อนหลังกระบวนการวินิจฉัยและรักษาก็จะพาลเสียรูปมวยเอาง่ายๆ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Beral V, Hermon C, Reeves G, Peto R. Sudden fall in breast cancer death rates in England and Wales. Lancet. 1995 Jun 24; 345(8965):1642-3.
  2. Ahles TA, Root JC, Ryan EL, 2012. Cancer- and Cancer Treatment–Associated Cognitive Change: An Update on the State of the Science. J Clin Oncol 30, 3675–3686. 10.1200/JCO.2012.43.0116
  3. University of Rochester Medical Center News. Mental Fog with Tamoxifen is Real; Scientists Find Possible Antidote. Accessed on June 30 ,2022, at https://www.urmc.rochester.edu/news/story/mental-fog-with-tamoxifen-is-real-scientists-find-possible-antidote
[อ่านต่อ...]