31 กรกฎาคม 2564

ยุทธศาสตร์ฉุกเฉินส่วนตัวสำหรับประชาชน กทม.และปริมณฑล ในช่วงโควิดเข้าระยะเร่ง

ข้อมูลที่ได้จากโครงการชมรมแพทย์ชนบทร่วมกันสป.สช.ที่เข้าไปตรวจคัดกรองในชุมชนของกทม.เป็นข้อมูลที่เปิดวิสัยทัศน์ให้เห็นภาพอีกด้านหนึ่งของเหรียญได้ดีมาก การตรวจครั้งนั้นทำ 12 จุดในกมท. ตรวจได้ 31,518 คน พบว่าตรวจ Rapid test ได้ผลบวก 5,086 คน ตรวจ PCR ได้ผลบวก 5,133 คน หรือได้ผลบวก 16.28 % ข้อมูลชุดนี้สื่อตรงๆว่าการติดเชื้อในชุมชนของกทม.นั้นอาจแพร่ไปได้ถึง 16.28% หรือประมาณ 928,186 คนแล้ว หากคำนวณจากประชากรกทม. 5,701,394 คน ตัวเลขนี้อาจลำเอียงไปทางมากเกินจริงไปบ้างเพราะผู้ขยันเดินออกจากบ้านมารับการตรวจที่ 12 หน่วยนี้อาจจะเป็นผู้ที่เห็นว่าตัวเองมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปก็ได้ หากตัดทอนความลำเอียงนี้ลงไปให้เหลือแค่ 10% ประชากรกทม.ที่ติดเชื้อแล้วก็จะมี 570,138 คน ซึ่งเป็นจำนวนและเปอร์เซ็นต์ที่ถือว่ามากเกินพอที่จะก่อโมเมนตัมให้โรคแพร่ไปอย่างรวดเร็วแบบตูม..ม….ม และจบลงอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงประมาณ 3 เดือน

ในฐานะประชาชนคนธรรมดาของกทม.คนหนึ่ง สามเดือนนี้เราควรจะทำอย่างไรจึงจะไม่ตาย หรือยุทธศาสตร์ส่วนบุคคลเพื่ออยู่ให้รอดจากโควิดคืออะไร นี่เป็นวัตถุประสงค์ที่ผมเขียนบทความนี้

แน่นอนที่สุดมาตรการพื้นฐานที่ยอมรับกันเป็นสากลแล้วอันได้แก่ (1) สวมหน้ากาก (2) อยู่ห่าง (3) ล้างมือ (4) ฉีดวัคซีน ยังคงเป็นมาตรการหลักที่ยังต้องปฏิบัติอยู่อย่างเข้มงวดแม้ในบ้านของเราเอง แต่สิ่งที่ผมจะแนะนำเป็นพิเศษสำหรับสามเดือนอันตรายนี้ คือ

1.. หันมาจัดการปัจจัยเสี่ยงโรคเรื้อรังของตัวเองอย่างจริงจัง ใช่แล้วครับ เรากำลังคุยกันถึงการตายเพราะโควิด ไม่ใช่ตายเพราะโรคเรื้อรัง แต่งานวิจัยที่อังกฤษ กับคน 387,109 คน พบว่าการตายจากโควิดมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับปัจจัยเสี่ยงของโรคเรื้อรังไม่กี่ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (1) การไม่ได้ออกกำลังกาย (2) การมีน้ำหนักตัวมากเกิน (ซึ่งมาพร้อมกับไขมันในเลือดสูง) (3) การสูบบุหรี่ เนื่องจากแฟนบล็อกหมอสันต์ไม่สูบบุหรี่อยู่แล้ว ดังนั้นเหลือเรื่องต้องรีบทำแค่สองอย่าง คือให้ท่านลุกมาออกกำลังกาย สามเดือนจากนี้ไปเป็นโอกาสดีเพราะไม่ค่อยมีอะไรทำอยู่แล้ว ไม่ต้องรอให้ยิมเปิด ออกที่บ้านตัวเองหรือในห้องนอนตัวเองนั่นแหละ สำหรับคนที่น้ำหนักเกิน ก็ให้ใช้สามเดือนอันตรายนี้ลดน้ำหนักของตัวเองอย่างจริงจัง

2.. ปรับอาหารมากินพืชให้มากขึ้น ลดเนื้อสัตว์ลง เพราะงานวิจัยเปรียบเทียบอาหารของแพทย์พยาบาลด่านหน้าที่ติดโควิดแล้วป่วยหนักและตายในหกประเทศพบว่าพวกที่ป่่วยหนักและตายมากที่สุดเป็นพวกกินไม่เลือก คือกินทั้งเนื้อสัตว์และพืช ส่วนพวกกินแบบวีแกน (เจ) ป่วยหนักและตายน้อยกว่าพวกกินไม่เลือก 73% และพวกมังกินปลา (pescatarian) ป่วยหนักและตายน้อยกว่าพวกกินไม่เลือก 59% พูดง่ายๆว่าการกินอาหารแบบพืชเป็นหลักสัมพันธ์กับการที่ผู้ที่เสี่ยงสัมผัสกับเชื้อโควิดจะป่วยหนักและตายจากโควิดลดลง ในสามเดือนอันตรายนี้จึงควรเป็นช่วงฝึกบันยะบันยังการกิน ทำอาหารเองแบบง่ายๆกินโดยใช้พืชผักผลไม้ถั่วนัทเป็นวัตถุดิบให้มากๆ ถ้ากินแล้วไม่อร่อยก็ไม่ต้องกินมันซะเลย ดีเสียอีกจะได้ลดน้ำหนักได้ กินแต่ผลไม้อย่างเดียวเสียยังจะดีกว่าไปเที่ยวกินของอร่อยแต่เพิ่มโอกาสตายมากขึ้น

3. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายอย่างจริงจัง ซึ่งนอกจากการขยันออกกำลังกายและเปลี่ยนมากินพืชให้มากขึ้นแล้ว ท่านยังจะต้อง

(1) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

(2) จัดการความเครียดให้จิตใจผ่อนคลายปลอดความเครียด เช่น โยคะ หรือรำมวยจีน หรือนั่งสมาธิ หรือทำงานอดิเรกที่ได้จดจ่อมีสมาธิโดยไม่เครียดเรื่องผลลัพธ์ที่จะได้

(3) อย่าให้ร่างกายขาดวิตามินและแร่ธาตุที่มีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรคเช่น วิตามินซี. วิตามินดี. วิตามินอี. สังกะสี เป็นต้น ถ้าไม่ชัวร์ก็ซื้อวิตามินเป็นเม็ดมากินเสริม

(4) พาร่างกายกลับเข้าหาธรรมชาติ เพราะนั่นเป็นที่ที่ร่างกายก่อกำเนิดมา ธรรมชาติจะช่วยค้ำจุนร่างกายให้ท็อปฟอร์มอยู่ได้ในภาวะวิกฤติ หาโอกาสสัมผัสดินสัมผัสหญ้าด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า หาโอกาสตากแดด รับลม แช่น้ำ

4. ใช้ประโยชน์จากสมุนไพร พืชสมุนไพรเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและเป็นตัวสร้างความหลากหลายให้กับสารอาหาร โดยเฉพาะสารอาหารที่ร่างกายต้องการน้อยแต่ขาดไม่ได้ (trace element) ร่างกายใช้สารเหล่านี้ในการเสริมสร้างการทำงานของเซลทุกระบบรวมทั้งระบบภูมิคุ้มกันโรค สมุนไพรไทยส่วนใหญ่ใช้ประกอบอาหารไทยอยู่แล้ว เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กระชาย ขมิ้นชัน การกินอาหารไทยเช่นต้มยำและแกงให้บ่อยขึ้นก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายได้รับสมุนไพรที่หลากหลายเป็นระยๆโดยไม่ขาด

5. ใช้ฟ้าทะลายโจร เนื่องจากหลักฐานวิจัยเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจรในการฆ่าไวรัสซารส์โควี2และการรักษาโรคโควิดมีมากพอแล้ว ในภาวะวิกฤติสามเดือนข้างหน้านี้ผมแนะนำให้ใช้ฟ้าทะลายโจร ดังนี้

กรณีที่ 1. ไม่มีอาการอะไร ในช่วงสามเดือนอันตรายนี้ ผมแนะนำให้คนกทม.กินฟ้าทะลายโจรในขนาดผงบดบรรจุแคปซูลละ 400-500 มก. (กรณีของอภัยภูเบศร์บรรจุ 400 มก. มีแอนโดรกราฟโฟไลด์ 12 มก./แคปซูล กรณียี่ห้ออื่นซึ่งไม่ระบุขนาดแอนโดรกราฟโฟไลด์ไว้ข้างขวดก็ใช้วิธีเดาเอาก็แล้วกันว่ามีใกล้เคียงกับของอภัยภูเบศร์) กินวันละ 1 แคปซูล ติดต่อกัน 5 วัน สลับกับเว้นว่าง 2 วัน แล้วกลับมากินอีก 5 วัน กินแบบนี้ไปสามเดือนให้พ้นระยะสามเดือนอันตรายนี้ไปก่อน วิธีกินแบบนี้ผมลอกเลียนมาจากงานวิจัยของ Swedish Herbal Institute ซึ่งทำวิจัยป้องกันโรคหวัดในหน้าหนาวโดยให้กินฟ้าทะลายโจรที่มีแอนโดรกราฟโฟไลด์วันละ 11.2 มก. กินห้าวันเว้นสองวันสลับกันไปนานตลอดหน้าหนาวสามเดือน พบว่าสามารถลดการเป็นหวัดลงได้หนึ่งเท่าตัวและมีความปลอดภัยดี ผมเอามาแนะนำให้ท่านกินแบบนี้จากนี้ไปสามเดือนเพราะ

(1) มันรักษาโรคประสาทได้ (หิ..หิ ตัวหมอสันต์ก็กินด้วยข้อบ่งชี้นี้อยู่)

(2) มันมีความปลอดภัย เพราะงานวิจัยของสถาบันสมุนไพรสวีเดนกินแบบนี้พบว่าปลอดภัย อีกทั้งการสลับเว้นวันว่างไว้ 2 วันต่อสัปดาห์นั้นเป็นคอนเซ็พท์ที่เรียกว่า drug holiday ซึ่งวงการแพทย์ใช้กันอยู่แล้วกับยาที่ต้องกินกันนานแต่ยังไม่มั่นใจในผลแทรกซ้อนระยะยาว

(3) มันฆ่าไวรัสทางเดินลมหายใจส่วนบนได้ อย่างน้อยก็ลดการเป็นหวัดได้ ส่วนจะลดการเป็นโควิดได้หรือไม่ยังไม่รู้

กรณีที่ 2. เมื่อมีอาการป่วยติดเชื้อทางเดินลมหายใจ ให้ท่านทำสองอย่างพร้อมกัน คือ

(1) ด้านหนึ่งกินยาฟ้าทะลายโจรในขนาดรักษาโรคโควิดทันทีโดยไม่ต้องรออะไรทั้งสิ้น คือกินวันละ 180 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ (เทียบแคปซูลผงบดอภัยภูเบศร์วันละ 15 แคปซูล) ติดต่อกัน 5 วันแล้วหยุด

(2) อีกด้านหนึ่งก็ทำการตรวจคัดกรองโควิด (Rapid test) ทันทีจะซื้อมาหรือหาของฟรีก็แล้วแต่ ถ้าได้ผลลบก็แล้วไป ถ้าได้ผลบวกก็ขวานขวายไปตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR ถ้าได้ผลบวกอีกก็ไปสมัครเข้าระบบดูแลของรัฐ ผ่านทาง 1668 หรือผ่าน อสม. ที่ดูแลท่านอยู่ก็ได้ แล้วก็รับการรักษามาตรฐานตามที่เขาจะจัดให้ โดยอย่าลืมบอกเขาด้วยว่าท่านได้กินฟ้าทะลายโจรไปแล้วอย่างไรเท่าไร

โอเค. ผมจะจบแล้วนะ ท่านผู้อ่านอาจจะทักท้วงว่า อ้าว..หมอสันต์ แล้วไม่พูดถึงวัคซีนเลยหรือ หิ หิ พูดเสียหน่อยก็ได้ ว่าเมื่อถึงคิวได้ฉีดวัคซีนก็ให้ท่านไปฉีดตามคิว อย่าไปเกี่ยงว่าเป็นวัคซีนเทพหรือวัคซีนมาร เพราะวัคซีนที่ใช้ในเมืองไทยเป็นวัคซีนที่ WHO รับรองแล้วทั้งหมด มีประโยชน์ใกล้เคียงกันหมด แต่ประเด็นสำคัญคือท่านอย่าไปบ้าหรืออย่าไปได้ปลื้มกับวัคซีนเทพหรือวัคซีนมารโดยละเลยไม่ดูแลตัวเองใน 5 ข้อข้างต้น วัคซีนท่านก็ต้องฉีดไปแต่ต้องดูแลตัวเองด้วย วัคซีนอย่างเดียวไม่ช่วยให้ท่านรอด 100% เพราะแม้ขนาดฉีดวัคซีนดับเบิ้ลเทพ (หมายความว่าฉีดวัคซีน mRNA ครบสองเข็ม) พอเกิดระบาดแบบนรกแตกขึ้นมาที พบว่า 74% ของคนที่ติดโรคครั้งใหม่นี้ล้วนได้วัคซีนดับเบิ้ลเทพมาแล้ว นี่ผมไม่ได้กุเรื่องขึ้นเองนะ ผมอ่านมาจากรายงานของศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ (CDC) เมื่อวานนี้ ว่าเกิดระบาดตูมขึ้นที่เมืองบาร์นสเตเบิลเคาน์ตี้ รัฐแมสซาชูเส็ท มีคนป่วยเป็นโควิดทันที 469 คนในช่วงเวลาแค่สองสัปดาห์ วิเคราะห์แล้วพบว่า 346 คน (74%) ได้วัคซีนเทพมาครบแล้ว ดังนั้นวัคซีนเป็นของดีที่ลดอัตราตายได้ ถึงคิวฉีดท่านก็ไปฉีด แต่มันไม่สำคัญเท่ากับท่านดูแลตัวเองให้ได้ห้าอย่างที่ผมแนะนำมาข้างต้นนั้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Hamer M, Kivimäki M, Gale CR, Batty GD. Lifestyle risk factors, inflammatory mechanisms, and COVID-19 hospitalization: A community-based cohort study of 387,109 adults in UK. Brain Behav Immun. 2020;87:184-187. doi:10.1016/j.bbi.2020.05.059
  2. Kim H, Rebholz CM, Hegde S, LaFiura C, Raghavan M, Lloyd JF, Cheng S. and Seidelmann SB. Plant-based diets, pescatarian diets and COVID-19 severity: a population-based case–control study in six countries. BMJNPH 2021;4:e000272. doi:10.1136/bmjnph-2021-000272
  3. Caceres DD, Hancke JL, Burgos RA, Wikman GK. Prevention of common colds with Andrographis paniculata dried extract. A pilot double blind trial. Phytomedicine. 1997;4(2):101-4.
  4. กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. การเสวนาวิชาการฟ้าทะลายโจรสมุนไพรไทยใน COVID-19 เมื่อ 17 มิย.64. https://www.youtube.com/watch?v=2phuTUSCld8&t=7681s (เล่านิพนธ์ต้นฉบับของงานวิจัยที่รอตีพิมพ์)
  5. CDC. Outbreak of SARS-CoV-2 Infections, Including COVID-19 Vaccine Breakthrough Infections, Associated with Large Public Gatherings — Barnstable County, Massachusetts, July 2021. MMWR Early Release / July 30, 2021 / 70.

[อ่านต่อ...]

30 กรกฎาคม 2564

จม.ถึงลุงตู่ (2) ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์การควบคุมโรคในกทม.และปริมณฑล

กราบเรียนลุงตู่ที่เคารพ

สถานะการณ์ตอนนี้ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นแก้ไม่ได้

ในภาพใหญ่ ในด้านหนึ่ง ข้อมูลที่ผมได้จากจอห์นฮอพคินส์คือมีการติดเชื้อแน่นอนแล้ว 543,361คน (0.08% ของประชากร) ตายไปแล้ว 4,397 คน (0.8% ของผู้ติดเชื้อ) ฉีดวัคซีนครบไปแล้ว 3,652,990 คน (5.45% ของประชากร) โดยที่โรคกำลังอยู่ในระยะมีอัตราเร่ง (acceleration phase)

ในอีกด้านหนึ่ง เฉพาะกทม.และปริมณฑล จากข้อมูลโครงการชมรมแพทย์ชนบทร่วมกันสป.สช.ตรวจคัดกรองในชุมชน 12 จุด ตรวจได้ 31518 คน พบว่าตรวจ Rapid test ได้ผลบวก 5,086 คน ตรวจ PCR ได้ผลบวก 5,133 คน หรือได้ผลบวก 16.28 % ข้อมูลชุดนี้สื่อตรงๆว่าการติดเชื้อในชุมชนนั้นแพร่ไปถึง 16.28% แล้ว หากหักทอนความลำเอียงของข้อมูลว่าพวกที่ยอมมารับการตรวจมักเป็นพวกมีความเสี่ยงมากไปสัก 1 หรือ 2 เท่า ภาพใกล้ความจริงของการติดเชื้อในชุมชนของกทม.ก็น่าจะอยู่ที่ 5-10% ของประชากร กทม.ทั้งหมด หรือประมาณ 285,069 -570,138 คน

มองข้อมูลทั้งสองชุดนี้จะเห็นว่าเฉพาะกทม.และปริมณฑลเป็นจุดที่มีปัญหาโดดเด่นแตกต่างจากภาพรวมของประเทศ อัตราการติดเชื้อระดับ 5-10% เป็นระดับการติดเชื้อที่มากพอที่จะก่อโมเมนตั้มให้ขึ้นถึงจุดระเบิดปัง..ง…ง ที่พ้นการควบคุมได้โดยไม่ยาก

เอกลักษณ์ของ กทม. ปริมณฑล โรงงาน บ้านจัดสรร และชุมชนแออัด

กทม.นั้นมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากประเทศไทยโดยรวม ไฮไลท์ที่ระบบบริหารเมืองแม้ที่จะรวมศูนย์อยู่ที่ผู้ว่ากทม.แต่ก็ไม่ได้เป็นเอกภาพอย่างแท้จริง ยังไม่มีวิธีบูรณาการในการจัดการปัญหาวิกฤติ ในส่วนของการดูแลสุขภาพประชาชน สำนักงานแพทย์กับสำนักอนามัยของกทม.เองก็เป็นเหมือนโลกคนละใบกันที่มีความเชื่อมโยงกันน้อยมาก ต่างจากชนบทที่มีการบูรณาการการดูแลสุขภาพขั้นมูลฐานของประชาชนผ่านรพ.สต.และอสม. ควบคู่ไปกับการบริหารชุมชนของอบต.อย่างค่อนข้างได้ผล

เขตปริมณฑล มีเอกลักษณ์ที่มีวิถีชีวิตแบบโรงงาน คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร และชุมชนแออัด วิถีชีวิตทั้งสี่รูปแบบนี้ดำเนินมาแบบดูแลตัวเองของใครของมันมาช้านาน โดยแทบไม่มีระบบดูแลสุขภาพขั้นมูลฐานของรัฐใดๆเข้าถึงเลย แม้การระบาดในต่างจังหวัดทุกวันนี้ หากสาวไปถึงต้นตอจริงๆก็จะพบว่าเกิดจากรูปแบบวิถีชีวิตหนึ่งในสี่อย่างนี้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบโรงงาน

เมื่อโควิด19 มาเยือนไทย ชนบทใช้ยุทธศาสตร์ร่วม อบต. รพ.สต. อสม. รับมืออย่างได้ผล แต่กทม.และปริมณฑลใช้ยุทธศาสตร์แบบนั้นไม่ได้ เพราะไม่เคยมี หรือมีก็ไม่เคยใช้ หรือพยายามใช้แล้วก็ใช้ไม่ได้ การรับมือกับโรคโควิดต้องไปอาศัยการบริหารสถานะการผ่านสื่อมวลชน ซึ่งทำได้แค่ปฏิบัติการด้านจิตวิทยา แต่การควบคุมโรคที่แท้จริงซึ่งต้องอาศัยความถึงลูกถึงคนในเรื่องการค้นหาโรค สอบสวนโรค กักกันโรค นั้นไม่มีกลไกเอื้อให้ทำได้ทันการณ์ ตอนนี้มันจำเป็นแล้วที่จะต้องมียุทธศาสตร์การควบคุมโรคสำหรับ กทม.และปริมณฑล

หน้าตาของยุทธศาสตร์ควบคุมโรคในกทม.และปริมณฑล

ผมเสนอตุ๊กตาหน้าตาของยุทธศาสตร์ที่ว่านี้ให้ลุงพิจารณานะครับ

1..ต้องเปลี่ยนหน่วยย่อยของการควบคุมโรค จากหมู่บ้าน ตำบล หรือแขวง เขต มาเป็น โรงงาน คอนโด หมู่บ้านจัดสรร ชุมชนแออัด หมายความว่าโรงงานหนึ่งโรงก็เป็นหนึ่งหน่วยควบคุมโรค คอนโดหนึ่งหลังก็เป็นหนึ่งหน่วยควบคุมโรค บ้านจัดสรรหนึ่งหมู่บ้านก็เป็นหนึ่งหน่วยควบคุมโรค หนึ่งชุมชนแออัดก็เป็นหนึ่งหน่วยควบคุมโรค โดยรัฐเข้าไปร่วมกับชุมชนตั้งหน่วยควบคุมโรคนี้ขึ้น ไม่ต้องมีอะไรมาก แค่โต๊ะหนึ่งตัว โทรศัพท์หนึ่งเครื่องก็เริ่มทำงานได้แล้ว หน่วยควบคุมโรคนี้เป็นของรัฐ และเชื่อมโยงโดยตรงกับหน่วยงานสาธารณสุขทั้งเอกชน กึ่งเอกชน และภาครัฐ หลายๆหน่วยที่เกี่ยวข้อง (เช่นศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น โรงพยาบาล เป็นต้น)

2..ต้องเปิดรับสมัครและฝึกอบรม อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุข) ในทุกชุมชนเพื่อสร้างเป็นทีมงานอสม.ที่แข็งแกร่งที่เข้าถึงสมาชิกชุมชนทุกคนทุกครัวเรือนได้ ยกตัวอย่างเช่นในหนึ่งชั้นของคอนโดมิเนียมก็อาจจะมีอสม.หนึ่งหรือสองคน ในโรงงานก็มีอสม.หนึ่งหรือสองคนต่อหนึ่งแผนก เป็นต้น

อสม.หนึ่งคนจะทำงานกับสมาชิกในชุมชุนประมาณ 5 -10 ครอบครัว โดยการพบปะกันแบบ face to face และการทำงานแบบโค้ชชิ่งผ่านแอ๊พมือถือที่คนในชุมชนทุกคนต้องใช้แอ๊พนี้ในการบอกสถานะเขียวเหลืองแดงของตัวเอง และโค้ชสามารถเข้าไปติดตามดูสถานะของลูกข่ายของตนเอง หากเห็นห่างหายไม่ลงข้อมูลก็สามารถเดินไปเยี่ยมพูดคุยได้ เป้าหมายสุดท้ายของการทำงานของอสม.กับแอ๊พก็คือให้ระบบสามารถเกาะติดสถานะเขียวเหลืองแดงของประชาชนทุกคนในกทม.และปริมณฑลได้แบบวันต่อวัน

3..เมื่อสามารถเกาะติดสถานะเขียวเหลืองแดงของประชาชนทุกคนในกทม.และปริมณฑลได้แล้ว ศูนย์บริหารสถานะการณ์ (command post) ก็จะสามารถปรับยุทธวิธีในการรับมือกับโรคได้ล่วงหน้า นอกเหนือจากการคอยรับมือเป็นรายวันอย่างที่กำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ home isolation, community isolation, hospitel, hospital ก็ตาม

4.. เมื่อแต่ละวันรู้ว่าประชาชนทุกคน ใครอยู่ที่ไหน มีสถานะอะไรเขียวเหลืองแดง ก็จะใช้ยุทธวิธีระบาดวิทยามาตรฐานคือวินิจฉัย สอบสวน กักกัน เข้าไปควบคุมโรคได้ในเวลาไม่นาน เราทำได้แน่ เพราะการควบคุมโรคคือจุดแข็งของเรา อย่าลืมว่าวงจรชีวิตของโรคนี้มันสั้นมาก และพาหะก็มีอย่างเดียวคือคน ช่วงที่โรคติดต่อกันได้จริงๆมีแค่ 8 วันเท่านั้น คือสองวันก่อนมีอาการ และ 6 วันหลังมีอาการ หลังจากนั้นแม้จะยังป่วยอยู่ แต่ไวรัสก็หมดความสามารถที่จะไปติดต่อคนอื่นแล้ว

ลุงรักษาสุขภาพด้วยนะครับ

(รักลุง ตั้งแต่ครั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดง และยังรักลุงอยู่)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

29 กรกฎาคม 2564

เรื่องไร้สาระ (21) โปรเจ็คนางฟ้า

ตกงาน เวลาว่างมาก ก็มีเวลาทำเรื่องไร้สาระบ่อย ตอนนี้มวกเหล็กฝนมาแล้ว พันธกิจเร่งด่วนก็คือการขุดลอกคลองไส้ไก่ในป่าอาหารเพื่อเอาใบไม้กิ่งไม้ที่ทำให้ท้องคลองตื้นเขินออกเป็นการเตรียมคลองไส้ไก่ไว้กักเก็บน้ำฤดูฝนใหม่ น้ำจะได้ซึมลงดินสร้างความชุ่มชื้นให้กับพืชและสัตว์ในดินแทนที่จะไหลหายแว้บไปแถมชะเอาหน้าดินทิ้งไปอีกต่างหาก แขนที่เพิ่งหักไปทั้งสองข้างก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ บางจังหวะที่จอบกระแทกใส่หินแรงๆก็เล่นเอาแปล๊บ..บ ไปเหมือนกัน กำลังขุดลอกด้วยจอบอยู่นั้นผมก็เหลือบไปเห็นต้นพืชในดงหญ้าลักษณะใบสีเขียวเข้มปลายรีคล้ายๆฟ้าทลายโจรก็ดีใจ แต่ไม่แน่ใจจึงเด็ดใบมาชิมดู รสชาติธรรมดาไม่ขม แสดงว่าไม่ใช่แน่ เมื่อมองให้ละเอียดจึงเห็นว่าต้นของมันกลมซึ่งไม่ใช่ลักษณะของฟ้าทลายโจร เพราะฟ้าทลายโจรลำต้นต้องเป็นเหลี่ยม ไม่ใช่กลม และใบของมันก็รีแหลมมากเกินไป ลุงดอน คนสวนเห็นผมก้มๆเงยๆเด็ดใบหญ้ามาชิมจึงออกปากถามว่า

ฟ้าทะลายโจร ที่ชายป่า

“คุณหมอหาอะไรครับ”

ผมตอบว่าหาฟ้าทลายโจร เขาบอกว่าเห็นอยู่ทางริมรั้วที่ชายป่าไม่รู้ใช่หรือเปล่า ผมตามเขาไปดู เออ..คราวนี้คงจะใช่แน่ เขียวสด ใบเรียวพอควร ลำต้นเหลี่ยม เด็ดใบมาเคี้ยวชิมพิสูจน์ คนสวนคงจะเห็นหน้าผมตอนชิมจึงเอ่ยปากอย่างเกรงใจว่า

“โคตร..ขมเลยใช่ไหมครับ”

ผมพยักหน้าแบบไว้เชิง ตามองดูกลุ่มต้นฟ้าทลายโจรที่เขียวสดสะพรั่งอยู่ตรงหน้าก็คิดไปว่าช่างเป็นสมุนไพรที่ขึ้นง่ายและหาง่ายเสียนี่กระไรแถมใช้รักษาโควิดได้อีกต่างหาก ในอนาคตถ้าโควิดต้อนเราชาวไทยจนมุมขึ้นมาจริงๆฟ้าทลายโจรนี้น่าจะช่วยคนไทยเราได้ เสียแต่ว่าความรู้ที่มีอยู่ตอนนี้มันยังไม่พอที่จะให้ชาวบ้านปลูกฟ้าทลายโจรเองกินเองเพื่อรักษาโควิดได้เอง เพราะอย่างน้อยเราก็ยังไม่รู้สองเรื่อง คือ หนึ่ง เราไม่รู้ว่าใบฟ้าทลายโจรสดๆหนึ่งใบมีแอนโดรกราฟโฟไลด์ซึ่งเป็นตัวแทนของสารออกฤทธิ์กี่มิลลิกรัม สอง เราไม่รู้ว่าขนาดหรือโด้สที่ทำเพิ่งทำวิจัยในกันคนมาหมาดๆ (180 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ต่อวันนาน 5 วัน) นั้น มันเป็นขนาดที่สูงเกินความจำเป็นหรือเปล่า เพราะมันเป็นโด้สที่สูงมาก ถ้าเป็นผงบดวันหนึ่งต้องกินระดับสิบกว่าแคปซูลขึ้นไป พยาบาลท่านหนึ่งบอกผมว่า

“โด้สสูงขนาดนี้ก็ต้องกินกันจนอ๊วกแตกอ๊วกแตนเลยซิคะ”

งานวิจัยของฝรั่งเองเช่นงานวิจัย Kalmcold ใช้ฟ้าทลายโจรที่มีแอนโดรกราฟโฟไลด์ 66 มก.ต่อวันห้าวันก็รักษาการติดเชื้อทางเดินหายใจเช่นหวัดไข้หวัดใหญ่ได้แล้ว ส่วนงานวิจัยของสถาบันสมุนไพรสวีเดนซึ่งกำลังวิจัยใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด19 เช่นกันก็ใช้โด้สเพียง 90 – 120 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ต่อวันเท่านั้นเพียงแต่ว่ายังทำวิจัยไม่จบผลยังไม่ออกมา

สรุปว่าตราบใดที่ไม่มีงานวิจัยที่ตอบคำถามสองประเด็นนี้ได้ ตราบนั้นชาวบ้านไทยตาดำๆก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องกินฟ้าทะลายโจรเองอย่างไรจึงจะรักษาโควิดได้ น่าเสียด๊าย เสียดาย ..จบข่าว

วันนั้นกลับขึ้นบ้านกินข้าวแล้วเล่าให้หมอสมวงศ์ฟังว่าผมเห็นต้นฟ้าทะลายโจรขึ้นเองริมรั้วสวยเชียว เธออยากเห็นบ้าง รุ่งเช้าสองตายายจึงควงกันไปชมต้นฟ้าทะลายโจร ขณะชมป่าเพลินๆอยู่นั้นผมบอกหมอสมวงศ์ว่า

“เด็ดใบไปทำวิจัยเล่นๆกันดีกว่า”

พอดีก่อนหน้านั้นผมซื้อเครื่องชั่งแบบละเอียดเป็นมิลลิกรัมมาจากลาซาด้า จึงเอาใบฟ้าทะลายโจรมาชั่งทีละใบจนครบร้อยใบ หมอสมวงศ์แย้งว่า

ชั่งทีละใบ

“รู้น้ำหนักจะไปมีประโยชน์อะไร เพราะใบมันมีหลายขนาด” ผมตอบว่า

“คำนวณดูค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)ก็รู้นี่ ว่าขนาดของใบมันหลากหลายจริงหรือเปล่า”

เออ..ชักสนุกแล้วแฮะ ลองหาน้ำหนักแห้งมันดูหน่อยไหม ว่าใบสดกับใบแห้งมันจะหนักเบากว่ากันสักกี่เท่า ว่าแล้วผมก็เอาใบไปตากแดดแล้วลงไปขุดดินฟันหญ้า พอกลับขึ้นมาปรากฎว่าฝนลง ตากไม่สำเร็จ ไม่เป็นไร เอาเข้าเครื่องอบผลไม้แห้งก็แล้วกัน ตั้งอุณหภูมิ 60 องศา แล้วก็อบไปจนสีซีดและกรอบได้ที่ แค่บี้เบาๆมันก็กลายเป็นผงแล้ว หมอสมวงศ์ว่า

อบแห้งด้วยเครื่องอบผลไม้


“แค่เราส่งผงนี้ไปเข้าแล็บวิเคราะห์หาแอนโดรกราฟโฟไลด์ ก็เท่ากับทำวิจัยเสร็จแล้วสิ” ผมตอบว่า

“แต่เราต้องรู้ก่อนว่าจะส่งไปวิเคราะห์ที่แล็บไหน เขาคิดค่าวิเคราะห์แพงหรือเปล่า เพราะธรรมดาการวิเคราะห์สารที่ไม่มีใครจ้างทำบ่อยอย่างนี้ตัวอย่างหนึ่งก็น่าจะเป็นหมื่น และเราก็ต้องวิเคราะห์แยกใบ ต้น ดอก และผงผสมของใบต้นดอก เพื่อให้ชาวบ้านเขาเลือกกินส่วนที่มียามากที่สุดได้ นอกจากใบแห้งแล้วยังอาจตัองวิเคราะห์ในรูปแบบชาจากการต้มใบสดและชาจากการต้มผงแห้งด้วย อีกทั้งการวิเคราะห์ด้วยเครื่อง HPLC ก็ต้องเก็บตัวอย่างผงแห้งกันอย่างน้อยตัวอย่างละ 50-100 กรัมขึ้นไป เราจะไปเอาใบจำนวนมากมายขนาดนั้นมาจากไหน”

เธอฟังแล้วเงียบ แต่ครู่หนึ่งผมเองไปฝ่ายโพล่งขึ้นมา

“เราก็ปลูกมันเองซะเลยสิ ไหนๆคิดจะทำวิจัยทั้งทีแล้ว ปลูกเองให้มันสะบึมไปเลย” เธอแย้งว่า

“อย่าลืมว่าพ่ออายุมากแล้วนะ แล้วก็เพิ่งป่วยมาหมาดๆยังไม่ทันหายดีเลย จะมาขุดดินถอนหญ้าดูแลโน่นนี่นั่นได้อย่างไร” เจอลูกเบรคเข้าผมก็จ๋อยไป

แต่ก็ยังไม่ถอยจริง ผมโทรศัพท์ไปตะล่อมลูกสาวให้มาช่วยปลูกและดูฟ้าทะลายโจรให้ เธอตอบโอเค. โปรเจ็ค “นางฟ้า” นี้จึงเกิดขึ้น

ประดู่ยักษ์ (กลาง) กับยางนาแคระ (ล่างขวา) ทั้งๆที่รุ่นเดียวกันคือหนึ่งขวบปีพอดี

สถานที่ก็ที่ว่างของผมเองเนื้อที่หนึ่งไร่ริมคลองแห้งตรงที่ผมเคยทำโครงการปลูกป่าริมคลองนั่นแหละ ครั้งสุดท้ายที่ผมมานั่งปิกนิคที่นี่กับหมอสมวงศ์ก็หนึ่งปีเต็มแล้ว กลับมาคราวนี้ไม้ป่าริมคลองที่ปลูกไว้ถ้าเป็นต้นประดู่ป่านั้นสูงร่วมสี่เมตรน่าชื่นใจ แต่ถ้าเป็นต้นยางนากลับเส็งเคร็งอยู่ระดับหัวเข่าน่าสงสาร จึงถ่ายรูปคู่ไว้เป็นหลักฐาน

เริ่มต้นการทำไร่สมุนไพรก็ต้องเอาขี้วัวมาลงก่อนเพราะดินมันขาดอินทรีย์วัตถุ แล้วการปลูกสมุนไพรก็ต้องปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ไม่งั้นสิ่งปนเปื้อนจะเยอะ จึงซื้อขี้วัวมา 30 ตัน ปรากฎว่าวันดีเดย์เอาขี้วัวลงฝนเกิดตกจักๆ ดินแฉะ รถขนขี้วัวติดหล่ม ต้องเทขี้วัวแฉะๆลงอุดประตูรั้วไว้ โห เวร..คำเดียวเลยจริงๆ

ขนขี้วัวให้พ้นประตูด้วยความทุลักทุเล แล้วก็เกลี่ยขี้วัวไปบนผิวดิน แล้วไถดะ (ผานสาม) แล้วก็ไถแปร (ผานเจ็ด) ยกร่องให้เสร็จ ทั้งหมดนี้หมอสันต์ไม่เหนื่อยเลย เพราะไม่ได้ทำเอง จ้างเขาหมด

หมอสันต์ใช้ให้ลูกสาวกับสามีของเธอไปหาต้นกล้าและเมล็ดมา เธอต้องไปไกลถึงนครสวรรค์ ตกลงทางโทรศัพท์ว่าจะซื้อเขา 10,000 ต้น แต่ไปถึงแล้วได้ต้นกล้าพันธ์ุกระปลกกระเปลี้ยมาแค่ 1,000 ต้นเพราะมีคนมาแฮ้บไปก่อนหน้านั้น ผมบอกให้ซื้อเมล็ดพันธ์มาด้วย เพราะในอินเตอร์เน็ทขายกันเมล็ดละ 1 บาท ได้ข่าวว่าชาวไร่จริงเขาขายกันกิโลละ 2-3,000 บาท ไปถึงราคาขึ้นเป็นกิโลละ 12,000 บาท แถมของไม่มี ได้มาแค่สองขีด เพราะต้องแบ่งขายให้ลูกค้าหลายเจ้าไม่งั้นคนขายถูกตื้บ

ผมบอกลูกสาวว่าส่วนที่จะวิจัยปริมาณยาจากดอกฟ้าทะลายโจรนั้นหากรอให้ต้นกล้าที่ปลูกโตจะไม่ทันได้เก็บดอกในสองสามเดือนนี้ ให้ไปซื้อกล้าที่โตแล้วในตลาดมวกเหล็กมาสักสามสิบต้น บอกราคาเธอด้วยว่าวันก่อนผมผ่านไปเห็นปักป้ายขายต้นละ 20 บาท เธอหายหน้าไปสองวันแล้วโทรมาบอกว่าพบต้นกล้าแล้วที่กลางดง เขาขายต้นละ 50 บาท ผมบอกว่าซื้อเถอะ วันต่อมาเธอโทรมาอีกทีบอกว่าซื้อไม่ได้ เพราะเขาขายไปหมดแล้ว อื้อ..ฮือ ฟ้าทะลายโจรในยุคโควิดนี่ช่างเป็นธุรกิจที่ทำมาค้าคล่องซะเหลือเกิ้น

มีใบแค่นิดหน่อย แต่ทำลานตากไว้รอก่อน

วันต่อมาเธอโทรมาอีกว่าเจอไร่ของคุณยายคนหนึ่งอยู่ชายเขตมวกเหล็กไปทางวังม่วง เธอไม่รู้เรื่องโลกภายนอกว่าเขากำลังบ้าฟ้าทะลายโจรกัน เธอขายกล้าต้นละ 6 บาทและคุยว่ามีเป็นพันต้น ผมบอกว่าให้ไปดูด้วยตาตัวเองก่อนแล้วเหมาซื้อใส่รถมาให้หมด เธอยกทัพพาลูกน้องไปกะขนเต็มที่ แต่พอไปถึงอบต.เขาปิดหมู่บ้านห้ามคนนอกเข้า เพราะเขากลัวโควิด..เวร อีกคำหนึ่งเถอะนะ

ไม่ได้กล้าเพิ่มก็ไม่เป็นไร ที่มีอยู่นี้ก็พอเก็บใบทำวิจัยแล้วแหละ ต่อจากนั้นก็เพาะเมล็ดเอา ในโปรเจ็คนี้ตัวผมทำหน้าที่วางระบบท่อสปริงเกิ้ล ไหนๆก็ไหนๆทำทั้งทีแล้วมันอดไฮเทคไม่ได้ จึงติดตั้งระบบควบคุมการจ่ายน้ำแบบอัตโนมัติซะเลย หมดค่าศูนย์ควบคุมและวาลว์จ่ายน้ำสิบห้าตัวไปร่วมสองหมื่นบาท หิ หิ ช่วยไม่ได้จริงจริ๊ง เพราะเป็นคนแก่แบบชอบของไฮเทคอะ ม.รู้เข้าก็ค่อนแคะว่าทำอะไรให้เหมือนชาวบ้านเขาหน่อยไม่ได้รึไง ผมตอบว่าบางส่วนผมก็เลียนแบบชาวบ้านนะ แล้วเล่าให้เธอฟังว่าอย่างเช่นการประสานท่อตามหลักวิชาจริงๆต้องทากาวน้ำเชื่อมท่อ แต่ชาวบ้านเขาไม่ทา ผมก็ลองไม่ทาบ้าง แต่พอทดสอบสปริงเกิ้ลปรากฎว่าข้อต่อหลุดกระจุยน้ำพุ่งเป็นฝอยขาวโพลนไปหมด จึงถามชาวบ้านว่าไหงเป็นงั้น ปราชญ์ชาวบ้านแนะนำว่า

ระบบสปริงเกิล หลังทุบด้วยฆ้อนไม้แล้ว

“เวลาต่อท่อต้องเอาฆ้อนไม้ทุบท่อให้เข้าแบบแน่นๆก่อนนะ ไม่งั้นน้ำดันแล้วหลุดแหง”

สอบตกจนได้เห็นแมะ นึกว่ารู้แต่รู้ไม่จริง คราวนี้ทุบ ทุบ ทุบ พอเอาฆ้อนไม้ทุบท่ออย่างเขาว่าก็ไม่มีปัญหาข้อต่อหลุดอีกเลย

เตรียมแปลงเสร็จแล้วนับได้ 15 แปลง แต่ต้นกล้าที่มีอยู่พอปลูกได้แค่แปลงเดียว จำเป็นต้องหาพืชคลุมดินอื่นมาขัดตาทัพไปก่อนระหว่างหาเมล็ดพันธ์ยังไม่ได้ ผมฝากให้ช่างต่อท่อที่จะไปหาซื้อท่อที่ปากช่องว่าให้ซื้อเมล็ดถั่วเขียวมาสักครึ่งถุงปุ๋ยด้วย จะเอามาหว่านปลูกคลุมบำรุงดินไปก่อน ช่างกลับมารายงานว่า

“เมล็ดพันธ์ถั่วเขียวสำหรับปลูกไม่มีครับ ผมจึงซื้อถั่วเขียวที่เขาใช้ต้มน้ำตาลมาแทน” ผมฟังแล้วตาเหลือก

“ฮ้า มันจะแทนกันได้เหรอวะเนี่ย” ช่างตอบอย่างมั่นใจว่า

“ได้สิครับ ราคามันถูกด้วยนะ กิโลละสามสิบบาทเอง”

ด้วยความหวาดระแวง ผมลงมือหว่านถั่วเขียวเองโดยไม่ไหว้วานใครอีกแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่วันผมก็ได้เรียนรู้ว่าที่ช่างพูดนั้นถูกต้อง เพราะถั่วเขียวต้มน้ำตาลนั้นขึ้นเขียวชอุ่มดีเชียว

ชักจะมีความสวยงามเหมือนไร่จริงๆขึ้นมาแล้ว น่าจะต้องมีชื่อซะหน่อยนะ เอาชื่อ “นางฟ้า” ก็แล้วกัน คือฟ้าทลายโจรไง ต้องทำป้ายโครงการก่อน เอารูปอะไรเป็นโลโก้ดี ไร่นางฟ้าโลโก้ก็ต้องเป็นผู้หญิงสิ ผู้หญิงก็ต้องมีหน้าอกใช่ไหม ผมขอสีอะคริลิกของหมอสมวงศ์มาวาดป้าย แถ่น..แทน..แท้น ผู้หญิงมีหน้าอก เอ๊ย.. ไม่ใช่ นางฟ้า ว้าว..ว เอ็กซ์ซะ

ที่แนะนำให้ชมมากเป็นพิเศษ คือป้ายหน้าไร่ ฮิ..ฮิ

จากนี้ไปก็เราก็จะรอให้ฟ้าทลายโจรโตจนมีปริมาณมากพอให้ตัดไปแยกหมวดหมู่อบแห้งแล้วป่นเป็นผง และทดลองทำเป็นตัวอย่างรูปแบบการบริโภคแบบต่างๆเช่นกินใบสดๆ กินผงใบป่นชงเป็นชา กินใบสดต้มน้ำร้อนเป็นชา กินผงต้นใบดอกป่นใส่แคปซูล เป็นต้น โดยส่งตัวอย่างเหล่านี้ไปวิเคราะห์ปริมาณแอนโดรกราฟโฟไลด์ว่าการกินแต่ละรูปแบบจะได้เนื้อยามากน้อยอย่างไร ด้วยความรู้ประมาณนี้ชาวบ้านทั่วไปก็จะใช้ฟ้าทะลายโจรหลังบ้านตัวเองรักษาโควิดด้วยตัวเองได้

งานวิจัยนี้จะสำเร็จสมปรารถนาหรือไม่ โปรดอดใจรอชม แต่ตอนนี้ที่ท่านชมได้แล้วแน่นอนก็คือ “ไร่นางฟ้า” โดยเฉพาะยิ่งที่แนะนำให้ชมมากเป็นพิเศษคือ..ป้ายหน้าไร่ หิ หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

27 กรกฎาคม 2564

ติดโควิดกันแล้วทั้งบ้าน แต่ภรรยาให้นมบุตรอยู่จะกินฟ้าทลายโจรได้ไหม

สวัสดีครับอาจารย์  ตอนนี้คอบครัวผมติดเชื้อโควิดกันหมด มีด้วยกัน4คน  ผมภรรยา แม่ยาย และลูก 1เดือน26วัน ตอนนี้ภรรยาให้นมลูก ถ้ากินฟ้าทะลายโจร ยังให้นมลูกได้หรือเปล่าครับ 

ขอรบกวนตอนกลับด่วนด้วยนะครับ

…………………………………………………………….

ตอบครับ

ปกติผมจะไม่ตอบจดหมายที่จะเอาด่วนเอาเร็วเพราะผมเป็นคนหวานเย็น พอมีใครมาเร่งอะไรแล้วจะเกิดอาการเหน็บกินขยับทำอะไรไม่ได้ แต่ระยะนี้มีจดหมายแบบนี้เกี่ยวกับโรคโควิดเข้ามาเยอะมากทุกประเด็น รวมทั้งประเด็นผลข้างเคียงและข้อพึงระวังในการกินฟ้าทะลายโจรกับการให้นมบุตรนี้ด้วย จึงถือโอกาสรวบตอบเสียในวันนี้

ก่อนตอบท่านผู้อ่านต้องเข้าใจนะว่าผมเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่มีความรู้ในแพทย์แผนจีนหรือแพทย์แผนไทยเลย ดังนั้นการตอบจะตอบเฉพาะสิ่งที่ผมรู้ ซึ่งก็คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำวิจัยไว้ นอกเหนือจากนั้นตอบให้ไม่ได้ เพราะไม่รู้ และคำตอบของผมก็อาจไม่เหมือนหลักวิชาแพทย์แผนไทยหรือแผนจีน เพราะมันคนละหลัก หลักใครก็หลักมัน โอเค.นะครับ

ฟ้าทะลายโจรและแอนโดรกราฟโฟไลด์ซึ่งเป็นโมเลกุลเด่นของมันนั้น มีงานวิจัยทำไว้แยะก็จริง คือตีพิมพ์ไว้แล้วประมาณกว่า 600 เปเปอร์ แยกสารออกมาได้แล้วอย่างน้อย 344 ตัว แต่เกือบทั้งหมดเป็นหลักฐานชั้นต่ำ คือเป็นหลักฐานในสัตว์ทดลองหรืออย่างดีก็ในเซลคนที่เอาออกมาใส่จานเพาะเลี้ยงในห้องทดลอง ที่จะเป็นหลักฐานวิจัยติดตามผลการใช้ยาในคนจริงๆนั้นมีเท่าที่ผมตามได้ 33 เปเปอร์แค่นั้นเอง (ไม่นับงานวิจัยใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดของไทยอีก 3 เปเปอร์ที่รอการตีพิมพ์) ในจำนวนนี้ ไม่มีเปเปอร์ไหนเจาะจงดูผลข้างเคียงของฟ้าทะลายโจรหรือแอนโดรกราฟโฟไลด์เลย มีแต่เอ่ยถึงแบบเลียบๆเคียงจากการตั้งสมมุติฐานหรือตั้งข้อสังเกตโดยไม่มีการประเมินผลเชิงสถิติในประเด็นผลข้างเคียงอย่างจริงจัง ดังนั้นจะเห็นว่าคำถามของคุณนี้ผมตอบแทบไม่ได้เลย แต่ก็จะพยายามตอบให้เท่าที่หลักฐานมี

ประเด็นที่ 1. หลักฐานว่าฟ้าทะลายโจรมีอันตรายอะไรต่อทารกในครรภ์ยังไม่มีแต่ไม่ควรเสี่ยง

ช่วงสามเดือนของการตั้งครรภ์เป็นช่วงที่ทารกในครรภ์กำลังก่อร่างสร้างอวัยวะ เป็นช่วงที่อ่อนไหวต่อสารนอกร่างกายที่มีผลต่อการแบ่งตัวของเซล วงการแพทย์ได้เรียนรู้ผลร้ายของความเซ่อซ่าให้หญิงมีครรภ์กินยาใหม่ๆโดยไม่ระมัดระวังจากกรณียาแก้อาเจียนชื่อทาลิโดไมด์ งานนั้นทำให้เด็กทารกเกิดมาพิการถึงสามหมื่นกว่าคน นับตั้งแต่นั้นมาวงการแพทย์ก็แทบจะถือเป็นกฎว่าจะไม่ให้หญิงมีครรภ์กินโมเลกุลแปลกปลอมนอกร่างกายที่ยังไม่เคยทำวิจัยความปลอดภัยในหญิงมีครรภ์มาก่อน ยาที่ผ่านการทำวิจัยแบบนี้แล้วเรียกว่ายา category A คือหญิงมีครรภ์กินได้ แต่ว่าสมัยนี้ยาใหม่ที่ไหนจะมีโอกาสได้ทำวิจัยในหญิงมีครรภ์ละครับ ยกเว้นเป็นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นเองอยู่แล้วเช่นฮอร์โมนหรือเป็นสารอาหารปกติที่คนกินกันมาช้านานแล้ว ยาใหม่ทุกชนิดนอกจากนี้จึงถือเป็นยาต้องห้ามในหญิงมีครรภ์ทั้งสิ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่มีฤทธิ์ต้านเอ็นไซม์ที่ใช้ในการก๊อปปี้รหัสพันธ์กรรมเช่นยาต้านไวรัสเป็นต้น ฟ้าทะลายโจรก็มีผลวิจัยว่ามีฤทธิ์เป็นยาต้านไวรัสด้วยจึงถูกห้ามไม่ให้ใช้ในหญิงมีครรภ์ด้วย แม้ว่าหลักฐานวิจัยที่ในคนระดับ cohort จะยังไม่มี แต่ก็ต้องห้ามไว้ก่อน เพราะกลัวจะแจ๊คพ็อตเหมือนยาทาลิโดไมด์ ข้อห้ามนี้แม้จะยังไม่มีหลักฐานผมก็เห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งเพราะด้านความเสี่ยงคือการได้ทารกพิการนั้นมันมากกว่าประโยชน์ใดๆที่จะได้จากยา

ประเด็นที่ 2. ไม่มีหลักฐานในคนว่าฟ้าทะลายโจรมีอันตรายต่อหญิงให้นมและต่อบุตรที่กินนม

ยังไม่งานวิจัยในคนแม้แต่ชิ้นเดียวในประเด็นฟ้าทะลายโจรและแอนโดรกราฟโฟไลด์ว่าจะมีผลต่อหญิงให้นมบุตรและบุตรที่กินนมเลย คือดีหรือไม่ดียังไม่รู้ การตั้งข้อห้ามไม่ให้ใช้ฟ้าทะลายโจรในขณะให้นมบุตรเป็นการตั้งข้อห้ามแบบคาดเดา (extrapolation) หรือพูดแบบบ้านๆว่าแบบกลอนพาไป คือไหนๆก็ห้ามในหญิงมีครรภ์แล้วก็ห้ามในหญิงให้นมบุตรด้วยซะเลย แบบว่าเพลย์เซฟไว้ก่อน ซึ่งเป็นข้อห้ามที่ตัวผมเองไม่เห็นด้วย เพราะความเสี่ยงมีหรือไม่มียังไม่รู้ และถ้ามีก็ไม่ได้เป็นความเสี่ยงที่ซีเรียสซึ่งเป็นกรณีที่แตกต่างจากกรณีหญิงตั้งครรภ์เพราะการได้ลูกพิการเป็นความเสี่ยงที่ซีเรียส ขณะที่ด้านประโยชน์นั้นบางครั้งมีมากกว่าความเสี่ยงแยะ ยกตัวอย่างเช่นกรณีภรรยาของคุณนี้เป็นต้น ประโยชน์ของฟ้าทะลายโจรมีมากเห็นๆเพราะติดโควิดกันแล้วทั้งบ้านแล้วเธอจะรอดไปได้อย่างไร แค่ประโยชน์ที่ทำให้เธอสบายใจก็คุ้มแล้ว ด้านความเสี่ยงอย่างมากก็ประมาณว่าทำให้น้ำนมขมหรือน้ำนมแห้ง (สารที่ออกฤทธิ์ทำลายเซลได้อย่างฟ้าทะลายโจรนี้อาจทำให้การผลิตสารคัดหลั่งของเซลเช่น น้ำนม น้ำอสุจิ ลดลง) การจะกินหรือไม่กินจึงควรใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักประโยชน์และความเสี่ยงเป็นรายๆไป ไม่ใช่ห้ามแบบรูดมหาราช

ถ้าผมเป็นภรรยาคุณ ผมจะกินฟ้าทะลายโจร แต่ถ้าผมเป็นคนอื่นที่ให้นมบุตรอยู่โดยความเสี่ยงเป็นโควิดไม่มาก เช่นไม่มีอาการผิดปกติ ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดคนเป็นโรค ผมก็จะไม่กิน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

24 กรกฎาคม 2564

กลุ่มอาการตามหลังโรคโควิดระยะเฉียบพลัน (PASC)

รบกวนคุณหมอสันต์ครับ

ผมป่วยเป็นโควิด เข้าโรงพยาบาล เข้าไอซียูหกวัน รวมอยู่โรงพยาบาล 14 วันแล้วหมอให้กลับบ้านทั้งๆที่ผมยังหอบเหนื่อยให้ออกซิเจนอยู่เลย ที่บ้านผมไม่มีใครดูแลผมด้วย ขออยู่โรงพยาบาลต่อก็ไม่ให้อยู่ ขอตรวจเชื้อไวรัสก่อนกลับก็ไม่ยอมตรวจให้ ทั้งหมดนี้หมอรักษาผมแบบผิดมาตรฐานหรือเปล่าครับ แล้วผมควรไปหาตรวจไวรัสที่รพ.เอกชนไหม ผมจะเอาโรคมาติดลูกเมียหรือเปล่า ถ้าผมหายแล้วอย่างที่หมอว่าจริงทำไมผมยังหอบเหนื่อยและไออยู่ อย่างนี้เขาเรียกว่าผมเป็นโรคอะไรอีกครับ

ขอบพระคุณครับ

……………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าป่วยเป็นโควิดรักษาได้ 14 วันอาการยังไม่หายดีแพทย์ก็ให้กลับบ้านแล้ว แบบนี้เป็นการรักษาที่ผิดวิธีหรือเปล่า ตอบว่าไม่ใช่การรักษาที่ผิดวิธีครับ แพทย์ตัดสินใจว่าผู้ป่วยรายไหนจะกลับบ้านได้โดยปลอดภัยเขาดูองค์ประกอบหลายอย่างรวมทั้งผลตรวจการทำงานของอวัยวะหลักและแนวโน้มการลดลงของอาการ เมื่อดูภาพรวมเห็นว่าปลอดภัยแล้วเขาก็ให้กลับ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้อาการหมดเกลี้ยง เนื่องจากโรคบางโรคเช่นโรคโควิดนี้ ในบางคนกว่าอาการจะหมดเกลี้ยงก็พ้นสามเดือนหลังจากได้กลับบ้านไปแล้ว ดังนั้นมันไม่มีเหตุผลเลยถ้าจะให้คุณอยู่ในโรงพยาบาลอีกสามเดือนเพื่อรอให้อาการหมด

2. ถามว่ากลับมาบ้านก็ไม่มีคนดูแล ขออยู่โรงพยาบาลต่อไม่ได้หรือ ตอบว่า โรงพยาบาลไม่ใช่ของเราคนเดียว แบ่งๆให้คนอื่นเขาใช้บ้างก็ดีนะครับ ส่วนเรื่องอยู่บ้านไม่มีคนดูแลนั้นมันก็เป็นปัญหาที่มีเหมือนกันทุกคน เพราะสมัยนี้ทุกคนล้วนกลัวบ้านของตัวเอง ป่วยก็ไม่กล้าอยู่บ้าน จะตายก็ไม่กล้าตายที่บ้าน ทั้งหมดนี้มันเป็นความผิดของวงการแพทย์ที่ไปเสี้ยมให้ผู้คนเสพย์ติดโรงพยาบาลจนสูญสิ้นศักยภาพที่จะดูแลตัวเองไปหมด สำหรับคุณนี่เป็นโอกาสดีแล้วที่จะหัดดูแลตัวเอง ถึงแฟนบล็อกหมอสันต์ท่านอื่นทุกท่านก็เถอะ วันหนึ่งเราจะต้องมาถึงตรงนี้ คือวันที่เราต้องดูแลตัวเองโดยที่คนอื่นเขาช่วยอะไรเราไม่ได้เลย

เวลาหมอเขาให้ออกจากโรงพยาบาลคุณอย่าไปโทษเขาเลย หมอเขามีหน้าที่ตัดสินใจว่าใครจะได้ประโยชน์จากเตียงโรงพยาบาลคุ้มค่าที่สุด การตัดสินใจตรงนี้มีหลักจริยธรรมแพทย์กำกับไว้ข้อหนึ่ง คือหลักยุติธรรม (Principle of justice) ว่าเมื่อจำเป็นต้องจัดสรรสิ่งที่มีอยู่จำกัดให้แก่คนไข้ แพทย์พึงยึดถือหลักยุติธรรม ไม่ลำเอียงด้วยอคติเช่นชาติ ศาสนา ความเชื่อ สีผิว เพศ ของคนไข้ สรุปว่าแพทย์เขาตัดสินใจของเขาดีแล้ว ส่วนเมื่อกลับบ้านแล้วคุณจะดูแลตัวเองอย่างไร นั่นเป็นปัญหาของคุณ

3. ถามว่าก่อนกลับบ้านขอตรวจไวรัสแพทย์ไม่ตรวจให้ ควรจะไปขอตรวจไวรัสที่รพ.เอกชนดีไหม ตอบว่าไม่ดีครับ การตรวจดูตัวไวรัสก่อนกลับบ้านไม่ใช่มาตรฐานการรักษาโรคโควิด เพราะงานวิจัยพบว่าคนป่วยโควิดที่รักษาหายแล้วมีจำนวนมากที่ยังตรวจพบไวรัสอยู่ในตัวได้นานหลังจากนั้นตั้งหลายเดือน ซึ่งวงการแพทย์ถือว่าเป็น “ซากของไวรัส” เพราะเมื่อพยายามเอาไวรัสที่ตรวจพบหลังป่วยไปเพาะเลี้ยงก็เลี้ยงไม่ขึ้น และเมื่อติดตามดูไปก็ไม่พบว่ามีใครเอาซากไวรัสนี้ไปติดคนอื่นได้ ดังนั้นการตรวจหาไวรัสก่อนออกจากรพ.นอกจากไม่จำเป็นแล้วยังไม่สมควรตรวจอีกต่างหาก เพราะตรวจไปก็ไลฟ์บอย ยังไงก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี แถมได้โรคประสาทกลับบ้านมาด้วยหากผลตรวจพบว่ายังมีไวรัสอยู่แม้จะเป็นแค่ซากก็ตาม แล้วจะไปตรวจมันทำไม

4. ถามว่ารักษาโควิดเพิ่งได้ 14 วันและอาการไม่หมดดี จะเอาโควิดมาติดลูกเมียไหม ตอบว่างานวิจัยยังไม่เคยพบว่ามีผู้ป่วยรายไหนที่มีชีวิตรอดมาได้นานเกิน 6 วันนับจากวันที่มีอาการและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโควิดแล้วจะเอาไวรัสในตัวเองไปติดคนอื่นได้ ดังนั้นจากสถิตนี้คุณพ้นหกวันอันตรายสำหรับลูกเมียมาแล้ว ให้คุณสบายใจได้ว่าคุณจะไม่เอาไวรัสไปติดพวกเขา แต่เนื่องจากโควิดเป็นโรคใหม่ที่ความรู้แพทย์อาจจะยังมีไม่ครบถ้วน ดังนั้นแม้กลับบ้านแล้วคุณก็สมควรใช้มาตรการป้องกันโรค สวมหน้ากาก อยู่ห่าง ล้างมือ ไว้ตลอดเวลาแม้จะอยู่ในบ้านตัวเอง

5. ถามว่าถ้าหายจากโควิดจริงแต่ยังทำไมไอและเหนื่อยหอบอยู่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นโรคอะไรอีกหรือเปล่า และต้องทำอย่างไรต่อไป ตอบว่าคนที่จบการรักษาโควิดในโรงพยาบาลกลับมาบ้านนานเกินหนึ่งเดือนไปแล้วแต่อาการยังไม่จบ คำวินิจฉัยทางแพทย์เขาเรียกรวมกันเป็นเข่งเดียวว่า “กลุ่มอาการที่เป็นผลตามหลังโรคโควิดช่วงเฉียบพลัน” หรือ post-acute sequelae of SARS-CoV-2 infection (PASC)

อาการที่ยังคงอยู่อาจเป็นอาการเก่าที่เคยเป็น หรืออาการเกิดขึ้นใหม่ก็ได้ เช่นหอบเหนื่อย หายใจลึกไม่ได้ เปลี้ยล้า เพลียง่าย สมองมึนงงสับสน ไอ เจ็บหน้าอก ปวดหัว ใจสั่น ใจเต้นเร็ว ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ เหน็บชา นอนไม่หลับ เป็นไข้ โหวงเหวงในหัว ทำกิจวัตรไม่ได้ เคลื่อนไหวไม่สะดวก จมูกไม่ได้กลิ่น กังวล ซึมเศร้า เป็นต้น อาการอาจเป็นอยู่นานหลายเดือนและอาจทำให้อวัยวะหลายอวัยวะทำงานผิดปกติไป

ณ ตอนนี้วงการแพทย์ยังมีแค่คำวินิจฉัย แต่ยังไม่รู้สาเหตุและยังไม่รู้วิธีรักษามันเลย การรักษา PASC ที่ดีที่สุดตอนนี้คือเฉยไว้ การขยันไปตรวจเพิ่มเติมก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแถมยังมีแต่จะก่อความกังวล ศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐ (CDC) จึงแนะนำแค่ให้ดูแลตัวเองหรือรักษากับหมอประจำครอบครัวไปตามอาการ โดยไม่แนะนำให้สืบค้นรายละเอียดใดๆเลยใน 45 วันแรกแม้จะมีอาการมากอยู่ หรือใน 90 วันแรกหากไม่มีอาการแล้ว การใจร้อนตรวจในช่วงนี้ไม่มีประโยชน์ ถ้าเกิน 45 วันแล้วอาการยังมากค่อยกลับไปหาหมอที่โรงพยาบาลใหม่เพื่อวินิจฉัยแยกการติดเชื้อเบิ้ล (re-infection) ซึ่งเกิดขึ้นได้นานๆครั้ง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Korea Centers for Disease Control and Prevention. Findings from Investigation and Analysis of re-positive cases. Press Release May 19, 2020.

2. Cheng HW, Jian SW, Liu DP, Ng TC, Huang WT, Lin HH, et al. Contact Tracing Assessment of COVID-19 Transmission Dynamics in Taiwan and Risk at Different Exposure Periods Before and After Symptom Onset. JAMA Intern Med 2020 May 1; doi:10.1001/jamainternmed.2020.2020

[อ่านต่อ...]

19 กรกฎาคม 2564

(เรื่องไร้สาระ20) สวนครัวประหยัดขา

วันนี้ขอหยุดตอบปัญหาเพื่อเขียนอะไรเล่น ก่อนอื่นขอรายงานติดตามผลโครงการป่ามอสที่ทำไว้ตั้งแต่ก่อนป่วย ว่า..เจ๊งไปแล้วเรียบร้อย เพราะหมอสันต์ป่วยต้องไปนอนฟื้นฟูอยู่สองเดือนไม่ได้อยู่บ้าน หัวพ่นหมอกถูกหินปูนอุดตัน ต้นมอสแห้งตาย..จบข่าว

ผมจึงตัดสินใจปรับปรุงแก้ไขโครงการ คือเลิกทำป่ามอสแบบพ่นหมอกด้วยตนเองเสียเพื่อไปหาที่ทำป่ามอสใหม่ชนิดเข้าหุ้นกับเทวดาเอาดีกว่า วันหนึ่งกำลังเอาเก้าอี้ผู้กำกับมากางนั่งเล็งโขดหินผาที่หลังบ้านข้างนอกห้องครัวซึ่งมีมอสธรรมชาติขึ้นอยู่บ้างแล้วว่าจะเป็นที่ตั้งโครงการใหม่ได้ไหม แต่ก็คิดไปไม่ตลอดเพราะมันยังมีช่วงขาดน้ำทำให้มอสแห้ง การจะต้องขยันออกมาหลังบ้านเพื่อฉีดน้ำรดมอสมันก็ไม่คุ้ม กำลังคิดสะระตะก็ได้ยิน ม. ซึ่งกำลังทำอาหารเย็นอยู่ร้องสั่งการว่า

เอาปูนกับหินมาก่อเป็นคันลดหลั่นลงมาตามหน้าผา

“พ่อ..มีพริกสดไหม”

ผมตอบว่า

“มี ..แต่ไม่มีปัญญาไปเอา”

สาบเสือ(บนซ้าย) และสวนมอสแบบเข้าหุ้นกับเทวดา

เธอฟังแล้วก็เงียบไปโดยดุษฏี พริกสดในโครงการป่าอาหารที่ผมปลูกไว้ที่ตีนเขามีอยู่แน่นอนทั้งพริกแดงพริกเขียว แต่สภาพร่างกายของหมอสันต์ขณะนั้นการจะเดินลงไปตีนเขาแล้วเดินกลับขึ้นมามันจะเป็นการทำร้ายขาและสะโพกมากเกินไป แม้จะมีกายอุปกรณ์ช่วยแต่ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำยี่สิบนาทีถ้าไม่พลิกคว่ำพลิกหงายไปเสียก่อน จึงบอก ม. ว่าโทรศัพท์สั่งมอไซค์แกร๊บมวกเหล็กเอาพริกมาส่งให้ง่ายกว่าแยะ หิ หิ

ฉับพลันผมก็นึกขึ้นได้ว่าวันหนึ่งเคยไปนั่งกินอะไรเล่นที่บ้านเพื่อนที่ในมวกเหล็กวาลเลย์นี้ ที่ระเบียงรับแขกของเขาปลูกผักสวนครัวใส่กระถางไว้ จะกินก็เด็ดกินกันตรงนั้นได้เลย เออ อย่ากระนั้นเลย ถ้าผมทำสวนครัวขึ้นที่นอกห้องครัวนี่ก็จะเป็นการเซฟแก่ขาและสะโพกซึ่งยังไม่หายดี นอกจากจะได้ผักสวนครัวกินได้ทันทีแล้วการรดน้ำผักสวนครัวบ่อยๆยังจะทำให้เกิดสวนมอสบนหินบริเวณนี้ได้ด้วย อะฮ้า ได้การแล้ว โปรเจ็คใหม่ “สวนครัวประหยัดขา” ตรองตกแล้วจึงอาศัยไหว้วานให้ช่างที่กำลังซ่อมห้องน้ำอยู่เอาปูนและหินมาก่อเป็นขั้นบันไดลดหลั่นกันลงมาบนหน้าผาหินเพื่อใส่ดินเป็นแปลงผัก พื้นที่แคบๆหลังบ้านตรงไหนมีซอกพอตั้งกระถางได้ก็ตั้งเข้าไป เพื่อจะได้ไม่ต้องรดน้ำบ่อยก็ใส่จานรองก้นกระถางไว้ด้วย ยักแย่ยักยันเอากล้าผักสลัดหลายๆชนิดปลูกประเดิมไปก่อน ปลูกต้นสะเดาหนึ่งกระถางไว้กินใบ กระถางที่เหลือก็ปลูกเคล พริก ผักแพว สะระแหน่ แมงลัก กะเพรา เป็นต้น

ผักแพว มอสบนหน้าผา แพงพวย และเถาย่านาง

เชิงหน้าผาหินนี้มีพืชดั้งเดิมหลายอย่างอยู่ก่อนแล้ว เช่นเถาย่านางนั่นทิ้งไว้ก่อน วันหน้าอาจหาวิธีใช้ประโยชน์จากมันได้ แม้กระทั่งต้นสาบเสือผมก็ยังไม่ถอนทิ้ง เผื่อวันหนึ่งบาดเจ็บเลือดออกจะได้อาศัยใบมันขยี้ห้ามเลือด อีกอย่างหนึ่งเพื่อไม่ให้มีแต่สีเขียวผมปลูกดอกไม้ง่ายๆเช่นแพงพวยสลับฉากแก้เลี่ยนด้วย สวนผักหลังบ้านของผมจึงออกแนวรกรุงรัง นี่ยังไม่นับถังขยะ ถุงขยะ และเครื่องซักผ้า ที่ถูก ม. อัปเปหิออกมาจากในบ้านเพราะความอัปลักษณ์ ต่างก็ล้วนมาร่วมสร้างความรกอยู่ในสวนหลังบ้านนี้ด้วย เหอะน่า รกหน่อยก็ไม่เป็นไร แลกกับการก็ได้ผักกินแบบอินสะแต้นท์

ใส่จานรองกระถางเพื่อไม่ต้องรดน้ำบ่อย

ผ่านไปได้ไม่กี่สัปดาห์ผักก็งามพอที่จะเก็บกินได้แล้ว เวลาเพื่อนมากินข้าวที่บ้านก็มีผักสดชนิดเปิดประตูหลังบ้านออกไปก้าวเดียวก็เก็บผักมาเลี้ยงดูกันได้เลยเป็นที่อะเมซซิ่งทิงนองนอยแก่ผู้พบเห็น

มีที่ว่างตรงไหนก็วางกระถางเบียดลงไป

แต่ไม่กี่วันต่อมาเรื่องแอนตี้โรแมนติกที่ชอบตามความโรแมนติกมาก็เริ่มโผล่หน้าให้เห็น คือหมอสมวงศ์ร้องเอะอะขึ้นว่าเธอเห็นหนูอยู่ในครัว เรื่องใหญ่ละสิคราวนี้ สงสัยสวนหลังบ้านจะเรียกแขกเสียแล้ว เผอิญวันนั้นหมอพอมาอยู่ด้วยที่มวกเหล็ก ทั้งสามพ่อแม่ลูกจึงช่วยกันต้อนหนูแล้วเอาตะกร้าครอบและลากมันออกไปทางประตูหลัง พอมาสำรวจละเอียดจึงเห็นว่ามันกัดมุ้งลวดเข้ามาตอนที่เราเผลอ ต้องจ้างสาระพัดช่างเจ้าประจำมาเปลี่ยนมุ้งลวดให้ใหม่ แต่ใหม่ก็ใหม่เหอะ อีกไม่กี่วันมันกัดอีกแล้ว ผมหารือช่างว่าเอาไงดี ช่างบอกว่าก็ทำแบบที่ชาวบ้านเขาทำสิครับ คือเอาแผ่นอลูมิเนียมกรุแทนมุ้งลวดไปเลย โห..เอางั้นเลยหรือ ไม่ค่อยเห็นด้วยแต่ก็ต้องทำตามเพราะไม่รู้วิธีอื่นที่ดีกว่านี้

ดังนั้นใครมาบ้านหมอสันต์เห็นประตูมุ้งลวดหลังบ้านท่อนล่างกรุอลูมิเนียมมันว้าบดูบ้านน๊อก..ก บ้านนอก ก็อย่าว่านะ ถึงมันจะเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นแต่มันก็เวอร์คนะ หิ หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

18 กรกฎาคม 2564

เรียนรู้โควิดจากเรื่องคนที่ถูกกลิ่นบุหรี่ของเพื่อนบ้านรังควาญ

กราบเรียน คุณหมอสันต์ ที่เคารพ

ขอรบกวนคุณหมอหน่อยค่ะ

สรุปแบบย่อๆ สืบเนื่องตั้งแต่โควิด ทำให้คนอยู่บ้านตลอด เพื่อนบ้านสูบบุหรี่(หลังๆได้กลิ่นยาเส้นแทน)ในบ้าน ตั้งแต่สายยันค่ำ พัดลมดูดอากาศชั้นสองไม่เคยปิด เปิดประตูหน้าต่างระบายกลิ่นด้วย เพื่อนบ้านรอบๆได้กลิ่นเป็นระยะ  ร้องเรียนทุกทางแล้วก็ไม่เป็นผล(จนท.รัฐไม่ทำหน้าที่) ยังคงไม่มีความละอาย เพื่อนบ้านได้แต่คอยปิดประตูหน้าต่างเมื่อได้กลิ่น(ทั้งหน้าบ้าน หลังบ้าน) ปิดๆเปิดๆทั้งวัน จริงๆปิดยังไงกลิ่นก็เข้ามาได้อยู่ดี  ผ่านมาปีกว่า วันนึง ดิฉัน(ปีหน้า 60 ไม่มีโรคประจำตัว) รู้สึกว่ากลิ่นมันแรงมากจนปวดหัว แสบคอ มึนไปหมด อยู่ห้องแอร์ หรือเปิดพัดลมสักพัก กลิ่นยิ่งแรง รู้สึกกลิ่นติดที่จมูก หลอนแทบตลอดเวลา ของใช้ เสื้อผ้าในบ้านเต็มไปด้วยกลิ่น ผ่านมาระยะหนึ่งค่อยเอะใจ จึงค้นหาในเน็ต อาการเข้าข่าย ภูมิแพ้ ไซนัส หรือ โพรงจมูกอักเสบ ช่วงเวลานี้ ใครจะกล้าไปโรงพยาบาล ดิฉันก็ลองหนีจากสิ่งแวดล้อมนี้โดยขอหลวงพ่อไปเจริญสติที่แห่งหนึ่งสองอาทิตย์ ระหว่างนั้นได้ซื้อชุดน้ำเกลือมาล้างจมูกทุกวัน และสูดดมอากาศยาวๆบ่อยๆ มันดีขึ้นมาก แต่เมื่อกลับมาอยู่ที่บ้าน อาการมันกำลังกลับมาใหม่เพราะแสบคอทุกวัน ตอนนี้แม้แต่กลิ่นหอมยังทนไม่ได้เลย กลายเป็นคนจมูกไวต่อทุกกลิ่น

สงสัยค่ะว่า กลิ่นกับสารพิษของบุหรี่(หรือยาเส้น)มันมาด้วยกันไหม นี่ขนาดอยู่บ้านเดี่ยว(ในกทม.) กลิ่นมันโชยมาไกล 10-30 เมตร สารพิษมันตามมาด้วยไหมค่ะ หรือแค่กลิ่น หรือไม่มีกลิ่นก็มีสารพิษที่เป็นฝุ่น PM 2.5 จริงๆดิฉันอยากไปอยู่ที่อากาศดีๆ มีน้ำไฟ อย่างที่คุณหมอแนะนำ หามาหลายปีก็ยังหาไม่ได้ เพราะเขาขายแต่แปลงใหญ่ แต่ตัวเองขอแค่บ้านเล็กแบบบ้านพักคนสวน(หรือเถียงนา) แล้วไปซื้อหาผักผลไม้ไร้สารพิษไม่ไกลมาก (เพราะปลูกเองได้ไม่กี่อย่าง ลองแล้วมันไม่ง่าย) แล้วช่วงโควิดนี้อีกยาวไกล คงต้องอยู่บ้านนี้ไปก่อนและยอมรับสภาพ คิดว่าคนสูบมันไม่ตายง่ายๆ แล้วเราจะป่วยก่อนได้ไง  ขอคำแนะนำจากคุณหมอหน่อยค่ะ เกี่ยวกับการรักษาตัวเอง และสถานการณ์นี้

กราบขอบพระคุณคุณหมอมากค่ะ

……………………………………………………………………..

ตอบครับ

แหะแ..หะ คิดไม่ถึงเรื่องอย่างนี้ก็มีคนเอามาถามหมอสันต์ด้วย

ก่อนจะตอบคำถามของคุณ ขอถือโอกาสเอาจดหมายของคุณเป็นเครื่องมือให้ความรู้แฟนบล็อกเรื่องการแพร่กระจายของโรคโควิดเสียเลย ว่าโรคโควิดแพร่จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้สองวิธี คือ

(1) โดยเกาะไปกับเม็ดเสมหะหรือน้ำลาย (droplets) ซึ่งเป็นเม็ดมีขนาดโตเวลาไอก็กระจายไปได้เป็นเมตร แต่ว่าการใส่ผ้าปิดจมูกจะป้องกันการแพร่กระจาย (ขาออก) ผ่านทางเม็ดเสมหะหรือน้ำลายนี้ได้เด็ดขาด

(2) โดยเกาะไปกับฝอยละออง(aerosol) ในอากาศ ซึ่งมีขนาดเล็กมาก เล็กกว่า 1 ไมครอน กลิ่นในควันบุหรี่เป็นตัวอย่างที่ดีของ aerosol มันล่องลอยไปได้ไกลมาก อย่างในกรณีของคุณนี้ก็คือลอยข้ามบ้านเดี่ยวข้ามรั้วมาได้เลย และลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศได้นานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องปิดประตูปิดหน้าต่าง (ก็คือห้องแอร์นั่นแหละ) งานวิจัยของฮาร์วาร์ดทดลองเอาเชื้อโควิดเกาะไปกับฝอยละอองแล้วตามดูว่ามันจะลอยเท้งเต้งอยู่ได้นานแค่ไหน พบว่าสามชั่วโมงผ่านไปแล้ว จำนวนหนึ่งก็ยังล่องลอยอยู่ในอากาศในห้องนั่นแหละไม่ไปไหน

ประเด็นของผมคือเราสวมมาสก์นั้นดีแน่ช่วยป้องกันไม่ให้ใครสูดเอาเม็ดเสมหะน้ำลายของเราเข้าไป แต่เราต้องระวังหลีกเลี่ยงการเข้าไปในห้องแอร์ที่มีคนอยู่กันมากแบบไม่รู้เป็นใครมาจากไหนกันบ้างด้วย เพราะมันมีโอกาสที่ฝอยละอองขนาดเล็กมากที่เราสูดผ่านมาสก์เข้ามาอาจฟลุ้คๆมีเชื้อโควิดเป็นของแถมติดมาจากระยะไกลด้วย

โอเค. คราวนี้กลับมาตอบคำถามของคุณ ผมแยกเป็นสองประเด็นนะ ประเด็นแรกคือเพื่อนบ้านเฮงซวยไม่เอาไหน พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง จะทำอย่างไรดี ตอบว่าผมไม่ทราบครับ เพราะสมัยผมเป็นนักเรียนในโรงเรียนแพทย์เขาไม่ได้สอนเรื่องนี้ หิ..หิ จบข่าว

ขอตอบเฉพาะประเด็นที่สอง คือ จะแก้ปัญหามลภาวะในอากาศที่เป็นฝอยละอองขนาดเล็กมากๆในบ้านได้อย่างไร ข้อนี้ผมตอบได้เพราะสมัยเป็นผอ.รพ.ต้องทำห้องสาระพัดแบบเช่นห้องผ่าตัด ห้องคลอด ห้องแยกคนไข้ที่ชอบปล่อยเชื้ออันตรายไปติดคนอื่น ห้องแยกคนไข้ที่จะตายง่ายถ้าติดเชื้อจากคนอื่น ในกรณีของคุณนี้ต้องทำห้องแยกแบบสำหรับคนที่จะตายง่ายถ้าติดเชื้อจากคนอื่น วิธีการก็ไม่ยาก เขาเรียกว่าทำห้องความดันบวก (positive pressure) ความจริงห้องแอร์ทั่วไปก็เป็นห้องความดันบวกอยู่แล้ว เพียงแต่คุณต้อง

(1) ซื้อเครื่องเป่าลมเข้าห้อง (positive pressure ) ให้เกิดความดันข้างในและข้างนอกแตกต่างมากกว่าปกติสักหน่อย อย่าลืมว่าตอนนี้คุณทำตรงกันข้ามอยู่นะ คุณเปิดพัดลมดูดอากาศไว้ทั้งวัน เท่ากับว่าคุณทำให้ห้องของคุณเป็น negative pressure มันยิ่งเรียกแขกคือมันจะดูดเอาควันบุหรี่ของเพื่อนบ้านเข้ามาในบ้านคุณ

(2) ยาขอบประตูหน้าต่างให้มิดชิด

(3) ต้องติดตั้งเครื่องเป่าลมเข้าห้องโดยดูดอากาศมาจากทิศตรงกันข้ามกับเพื่อนบ้านขี้ยาหรือดูดลงมาจากท้องฟ้าเลยยิ่งดี

(4) เครื่องที่ซื้อมาต้องมีแผ่นกรองที่เรียกว่า HEPA filter ทางด้านพัดลมเป่าลมเข้าห้องเพื่อดักฝอยละอองขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอน

(5) เครื่องที่ซื้อมาต้องมีการติดชั้นกรองดูดกลิ่นด้วยถ่าน (activated carbon) หรือสารกรองกลิ่นอีกชั้นหนึ่งเพราะควันบุหรี่มีโมเลกุลกลิ่นเรียกว่า volatile organic compounds หรือ VOCs ซึ่งเล็กมากและบางส่วนลอด HEPA filter ได้และเจ้าตัว VOCs นี่แหละที่เป็นสารพิษตัวจริง

ทั้งหมดนี้ฟังดูยุ่งยากแต่ความจริงไม่ยากเพราะซื้อเครื่องมาราคาระดับใกล้ๆหมื่นแล้วจ้างช่างเขาเจาะผนังติดให้ หากจะเอาให้ง่ายกว่านั้นก็คือซื้อเครื่องฟอกอากาศ air purifier ที่มีทั้ง HEPA filter และชั้นกรองดูดกลิ่นที่มีคุณภาพดีหน่อยมาตั้งดื้อๆก็พอได้เหมือนกัน

หรือถ้าจะเอาให้ง่ายยิ่งกว่านั้นอีกก็เอาแบบที่คุณได้ลองทำมาแล้วนั่นไง คือ หนีไปอาศัยหลวงพ่อ หิ..หิ

หรือถ้าจะเอาให้ง่ายกว่านั้นอีกก็ยังมีอีกวิธีหนึ่งนะ คือยอมรับมัน (acceptance) เอาธรรมะเข้าขย่ม แบบว่า ปลงเสียเถอะ แม่จำเนียร ฮี่..ฮี่ นี่เป็นวิธีง่ายสุดสุดจีจี

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

17 กรกฎาคม 2564

(script) หลักฐานวิทยาศาสตร์ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 มีมากพอแล้ว

(script, last update Aug10, 2021)

สวัสดีครับ ผมสันต์ ใจยอดศิลป์ นะครับ

ผมเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัวหรือ family medicine หน้าที่หนึ่งก็ของการเป็นแพทย์สาขานี้ก็คือการให้ความรู้และตอบคำถามแก่คนทั่วไปเรื่องการดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดี ซึ่งผมทำผ่านอีเมล เฟซบุ้ค และบล็อก ปรากฎว่าคำถามที่เข้ามาในระยะหลังนี้มีแต่คำถามเรื่องโควิดในประเด็นต่างๆรวมทั้งการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดด้วย ยิ่งความหวังที่จะพึ่งพาวัคซีนได้นั้นต้องถอยห่างออกไปอีกอย่างน้อยสองปี ในระหว่างนี้ความจำเป็นที่จะต้องพึ่งสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่วัคซีนก็มีมากขึ้น หนึ่งในสิ่งที่อาจจะพึ่งได้เหล่านั้นก็คือฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata) นี่แหละ

ในอดีตผมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจอยู่นานประมาณ 20 ปี ตัวผมเองมีความสนใจในการเลือกใช้หลักฐานวิทยาศาสตร์มากำหนดแนวทางรักษาผู้ป่วยมากเป็นพิเศษ เพราะช่วงหนึ่งในชีวิตประมาณช่วงปีค.ศ. 2000 ผมได้ไปทำงานเป็นอนุกรรมการคัดเลือกหลักฐานวิทยาศาสตร์มาออกคำแนะนำการช่วยชีวิตให้กับสมาคมหัวใจอเมริกัน หรือ American heart association ทำให้ผมมีประสบการณ์ในการจัดชั้นของหลักฐานและการเลือกใช้หลักฐาน นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมมาพูดกับท่านในวันนี้ ประเด็นของวันนี้คือหลักฐานวิทยาศาสตร์สนับสนุนการใช้ฟ้าทะลายโจรมารักษาโรคโควิด19 ตอนนี้มันมีหลักฐานมากพอแล้วหรือยัง

วันนี้ผมอยู่ที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ที่มวกเหล็ก ตรงที่ผมนั่งอยู่นี้เป็นสวนสมุนไพรของเวลเนสวีแคร์ ข้างๆผมนี่ก็คือต้นฟ้าทะลายโจร นั่นคือกระชายขาว ต้นเขียวสูงๆนี่คือขมิ้นชัน

ก่อนอื่นเรามาพูดถึงระดับชั้นความเชื่อถือได้ของงานวิจัยทางการแพทย์สักหน่อยนะครับ เพราะสิ่งที่เราเรียกว่าการวิจัยนั้นมันมีหลายระดับชั้นความน่าเชื่อถือ ความจริงวงการแพทย์แบ่งหลักฐานวิจัยออกเป็น 7 ระดับ แต่วันนี้ผมจะแบ่งระดับชั้นให้เห็นง่ายที่สุดเป็นสามระดับก็แล้วกัน

ระดับต่ำ ก็คือผลวิจัยในสัตว์หรือในห้องทดลอง ซึ่งเรายังเอาผลมาใช้ในคนไม่ได้

ระดับกลาง ก็คือผลวิจัยในคนโดยไม่มีการสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่ม ถ้ามีการเปรียบเทียบกันก็เรียกว่างานวิจัยแบบตามดูกลุ่มคน (cohort) ถ้าไม่มีการเปรียบเทียบก็เรียกว่าเป็นรายงานผู้ป่วย (case series) ซึ่งงานวิจัยระดับนี้เอาผลมาใช้ในคนได้ แต่อาจจะยังมีปัจจัยกวนที่ไม่เป็นไปตามผลวิจัยได้อยู่

ระดับสูง ก็คือผลวิจัยในคนที่ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ หรือ randomized controlled trial เรียกย่อติดปากในวงการแพทย์ว่างานวิจัยระดับ RCT เป็นงานวิจัยทางการแพทย์ระดับสูงสุดที่ใช้เป็นพื้นฐานในการเปลี่ยนวิธีรักษาโรคต่างๆในวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน

กลับมาพูดถึงเรื่องที่เราจะคุยกันวันนี้ ในการวิจัยเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจร ทั่วโลกนิยมใช้สารออกฤทธิ์ตัวหนึ่งชื่อแอนโดรกราฟโฟไลด์ (andrographolide) เป็นตัวแทนฟ้าทะลายโจรเพื่อความง่ายในการนับหน่วยน้ำหนักและกำหนดขนาดยา ดังนั้นเมื่อผมพูดถึงมิลลิกรัมของยา ผมจะหมายถึงมิลลิกรัมของแอนโดรกราฟโฟไลด์

ก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด19 ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่ใช้ป้องกันโรคหวัดและใช้รักษาการติดเชื้อทางเดินลมหายใจส่วนบนอยู่ทั่วโลกมานานแล้วโดยมีงานวิจัยระดับ RCT ในเรื่องนี้อยู่ 33 รายการ งานวิจัยในสัตว์ทดลองและในห้องทดลองมีแยะมาก ประมาณ 600 กว่าเปเปอร์ สามารถแยกสารออกมาได้ถึง 344 ตัว ศึกษาครอบคลุมทั้งประเด็นการฆ่าเชื้อไวรัส แบคทีเรีย มาลาเรีย ต้านมะเร็ง ป้องกันตับ ป้องกันระบบประสาท รักษาเบาหวาน เป็นต้น ในจำนวนงานวิจัยเหล่านี้ ที่เป็นผลงานของนักวิจัยไทยก็มีไม่น้อย

เมื่อแรกเริ่มมีโควิดระบาด ที่ใต้หวันได้มีการทำวิจัยในห้องทดลองซึ่งพิสูจน์ได้ว่าฟ้าทะลายโจรสามารถยังยั้งเชื้อไวรัสซาร์สโควี2 ซึ่งเป็นต้นเหตุของโควิดในจานเพาะเลี้ยงได้ โดยผ่านกลไกการระงับเอ็นไซม์โปรตีเอสของตัวไวรัส โดยได้ตีพิมพ์ผลวิจัยไว้ในวารสาร Biochem Biophys Res Commun. เมื่อปีกลาย ต่อมาในปีนี้ ม.มหิดลได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยในห้องทดลองซึ่งยืนยันว่าฟ้าทะลายโจรในรูปสารสกัดหยาบที่มีแอนโดรกราฟโฟไลด์อยู่ด้วยสามารถทำลายไวรัสนอกเซลและยับยังการขยายตัวของไวรัสในเซลได้ดีพอที่จะเดินหน้าทำเป็นยาต้านไวรัสได้ งานวิจัยหลังนี้ได้ตีพิมพ์ไว้ในวารสาร Natural Products นอกจากนี้ยังมีอีกงานวิจัยหนึ่งของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ได้ทำวิจัยในห้องทดลองที่ได้ผลในลักษณะเดียวกัน แต่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ กล่าวโดยสรุป ในระดับงานวิจัยในห้องทดลอง มีหลักฐานแน่ชัดแล้วว่าฟ้าทะลายโจรทำลายไวรัสที่ก่อโรคโควิด19 ได้ทั้งไวรัสในเซลและนอกเซล ยังขาดอยู่ก็แต่งานวิจัยในคนว่ามันได้ผลจริงไหม ซึ่งจนถึงบัดนี้ยังไม่มีใครตีพิมพ์ผลวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด19 ในคนไว้เป็นหลักฐานให้อ้างอิงเลย มีก็แต่งานวิจัยที่กำลังตั้งต้นทำโดยสถาบันสมุนไพรสวีเดนซึ่งลงทะเบียนไว้กับ ClinicalTrial.gov หนี่งรายการ และมีงานวิจัยของไทยที่ทำเสร็จแล้วแต่รอการตีพิมพ์อยู่ 3 รายการ ทำให้แพทย์ยังไม่มีหลักฐานที่จะขยับใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาคนไข้โควิด19อย่างจริงจังได้เสียที

โดยธรรมชาติของการตีพิมพ์ผลงานวิจัย วารสารที่มีมาตรฐานดีจะต้องใช้เวลา 1-2 ปีในการตรวจนิพนธ์ต้นฉบับ รับฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (peer review) อีกอย่างน้อยสองคนซึ่งแน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญก็ต้องการเวลาในการค้นคว้าก่อนให้ความเห็น หากผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นขัดแย้งกันก็ต้องหาผู้เชี่ยวชาญคนที่สามก็ต้องยืดเวลาออกไปอีก เพราะตัวผมเองก็เคยเจอปัญหาแบบนี้มาแล้วเวลาส่งผลวิจัยของตัวเองไปตีพิมพ์ แต่ในกรณีเรื่องฉุกเฉินอย่างการรักษาโรคโควิด19นี้ เมื่อวิจัยออกมาแล้วกว่าจะได้ตีพิมพ์ ผลวิจัยนั้นก็เสียโอกาสที่จะนำออกใช้ให้ทันการณ์ไป คือกว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ไปเสียแล้ว

แต่เป็นที่น่ายินดีที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกซึ่งเป็นเจ้าของงานวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด19 ในคนที่รอการตีพิมพ์อยู่ทั้งหมด 3 รายการ (ซึ่งเป็นผลงานร่วมของหลายสถาบัน) ได้ยอมเปิดเผยผลวิจัยที่กำลังรอตีพิมพ์แก่แพทย์และนักวิชาชีพด้านสุขภาพผ่านทางการประชุมวิชาการแบบ online เมื่อวันที่ 17 มิย. 64 ที่ห้องประชุมของกรม ซึ่งผมขอนำข้อมูลผลวิจัยสามชิ้นนี้มาเล่าให้ท่านฟังวันนี้

งานวิจัยชิ้นที่ 1. เป็นงานวิจัยทำที่รพ.สมุทรปราการในคนป่วยเป็นโควิด ในรูปแบบที่เรียกว่า case series คือเอาผู้ป่วยโควิด19 มา 6 คน ให้กินยา 180 มก. ติดต่อกัน 5 วัน แล้วตรวจดูจำนวน(ก๊อปปี้)ของไวรัสซาร์ส์โควี2ซึ่งเป็นต้นเหตุโรคโควิดเป็นระยะๆ พบว่าสองรายที่ก่อนกินยามีไว้รัสต่ำอยู่แล้วพอครบห้าวันไวรัสหายเกลี้ยง อีกสามรายที่ก่อนกินยามีไวรัสสูงมาก พอครบห้าวันไวรัสลดจำนวนลงไปมากหลายร้อยถึงหลายพันเท่าแม้จะไม่หมดเกลี้ยง ทั้งหมดไม่มีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น

ตารางแสดงจำนวนไวรัสหลังให้ฟ้าทะลายโจร

อาสาสมัครก่อนให้ยาวันที่3วันที่5
1907600
27252,0720
39,857,464,593344,507,73631,754,737
4296,46630813,935
515,7311,92431
6000

งานวิจัยชิ้นที่ 2. เป็นการวิจัยในรูปแบบย้อนหลังกลับไปดูกลุ่มคน (retrospective cohort study) ทำในโรงพยาบาล 9 แห่ง ที่รับคนไข้คลัสเตอร์ใหญ่ตลาดกุ้งมหาชัยโดยย้อนไปดูคนไข้โควิด19 ที่ได้รับยาฟ้าทะลายโจรที่มีเนื้อยาแอนโดรกราฟโฟไลด์ 180 มก.ต่อวันนาน 5 วัน จำนวน 296 คน แล้วเอาผลไปเทียบกับผู้ป่วยโควิด19 อีก 243 คนจากแหล่งเดียวกันที่ไม่ได้รับฟ้าทะลายโจร พบว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับฟ้าทะลายโจรเป็นปอดอักเสบหรือปอดบวม 71 คน (24%) ขณะที่คนที่ได้รับฟ้าทะลายโจรเป็นปอดอักเสบ 1 คน (0.4%) เมื่อตามไปดูหนึ่งคนที่เป็นปอดอักเสบนี้พบว่าเริ่มกินฟ้าทะลายโจรเอาเมื่อวันที่ 11 หลักจากพิสูจน์ได้ว่าติดเชื้อแล้ว ซึ่งเป็นการเริ่มกินช้าเกินไป อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยนี้มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก (p=<0.001) ระหว่างการใช้กับไม่ใช้ฟ้าทะลายโจร โดยที่ผลข้างเคียงที่สำคัญก็ไม่ปรากฎให้เห็น

กลุ่มผู้ป่วยได้ฟ้าทะลายโจรไม่ได้ฟ้าทะลายโจรP value
จำนวนผู้ป่วย296 คน243 คน 
เป็นปอดอักเสบ1 คน (0.4%)71 คน (24%)<0.001

งานวิจัยชิ้นที่ 3. ทำกับคนไข้ในด่านกักกันโรคหรือสะเตทควารันทีน เป็นงานวิจัยระดับสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ซึ่งถือว่าเป็นระดับหลักฐานชั้นสูงสุดของการวิจัยทางการแพทย์ รายละเอียดของงานวิจัยมีอยู่ว่าผู้วิจัยได้ใช้ผู้ป่วย 57 คน สุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง 29 คน ให้กินฟ้าทะลายโจรซึ่งมีเนื้อยาแอนโดรกราฟโฟไลด์ 180 มก.ต่อวันกินนาน 5 วัน อีกกลุ่มหนึ่ง 28 คน ให้กินยาหลอก โดยใช้การเกิดปอดอักเสบ (pneumonia) และการเพิ่มของสารบ่งชี้การอักเสบ CRP เป็นตัวชี้วัด พบว่ากลุ่มที่กินยาหลอกเกิดปอดอักเสบ 3 คน (10.7%) ขณะที่กลุ่มที่กินฟ้าทะลายโจรไม่เกิดปอดอักเสบเลย (0 คน) และเมื่อดูตัวชี้วัดการอักเสบ CRP ตอนสิ้นสุดการใช้ยาว่ากลุ่มไหนมีคนที่ยังเหลือ CRP มากเกิน 10 mg/L ก็พบว่ากลุ่มได้ฟ้าทะลายโจรไม่มีเลย แต่กลุ่มได้ยาหลอกมี CRP เกินสิบอยู่ 5 คน (17.9%) ข้อมูลทั้งหมดนี้บ่งชี้ไปทางว่าฟ้าทลายโจรป้องกันการเกิดปอดอักเสบในผู้ติดเชื้อโควิดได้ แต่เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างเล็กเกินไป ไปภายหน้าผมหวังว่าจะมีงานวิจัยที่ใช้กลุ่มตัวอย่างใหญ่กว่านี้เพื่อให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนขึ้น

กลุ่มผู้ป่วยได้ฟ้าทะลายโจรได้ยาหลอกP value
จำนวนผู้ป่วย29 คน28 คน 
เป็นปอดอักเสบ0 คน (0%)3 คน (10.7%)<0.039
CRP >100 คน (0%)5 คน (17.9%)<0.023

งานวิจัยทั้งสามชิ้นนี้เป็นหลักฐานการวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด19ในคนที่สรุปผลได้สอดคล้องต้องกันว่าใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด19แล้วดีกว่าไม่ใช้ สมัยที่ผมทำงานเป็นอนุกรรมการคัดเลือกหลักฐานวิจัยมาทำคำแนะนำการช่วยชีวิตของสมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) หลักเกณฑ์ที่เราใช้คัดหลักฐานมาออกคำแนะนำคือหากมีหลักฐานวิจัยในมนุษย์สองชิ้นขึ้นไปที่ให้ผลสอดคล้องต้องกันโดยไม่มีหลักฐานอื่นใดให้ผลขัดแย้ง และหนึ่งในสองชิ้นนั้นเป็นหลักฐานระดับ RCT ก็ถือว่าหลักฐานมากพอที่จะนำมาทำเป็นคำแนะนำให้ปฏิบัติได้ ดังนั้นเรื่องการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด19นี้ ข้อมูลแค่ที่มีอยู่นี้ผมมีความเห็นว่า “มากพอแล้ว” ที่จะตัดสินใจใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด19 ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอการตีพิมพ์ผลวิจัยให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเพราะความเร่งด่วนของสถานะการณ์ไม่เอื้อให้รอได้

นอกจากหลักฐานวิจัยทั้งสามชิ้นในคนที่ผมเล่าไปแล้ว ยังมีข้อมูลเชิงระบาดวิทยาเมื่อเกิดการระบาดของโควิดครั้งใหญ่ในเรือนจำเมื่อต้นปีนี้ ข้อมูลนี้แถลงโดยปลัดกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ ของกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 12 ก.ค.64 เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมกรมราชทัณฑ์ว่า มีผู้ต้องขังติดเชื้อสะสมรวม 37,656 คน หายป่วยสะสม 35,472 ราย (94.2%) ตายสะสม 47 ราย (0.1%) ซึ่งเมื่อเปรียบกับข้อมูลระดับประเทศซึ่งมีอัตราตายสะสม 0.8% แล้วก็พบว่าในเรือนจำมีอัตราตายต่ำกว่าถึง 8 เท่า 

กลุ่มผู้ป่วยผู้ป่วยทั้งประเทศผู้ป่วยในเรือนจำ
จำนวนผู้ป่วย345,027 คน37,656 คน
ตาย2,791 คน (0.8%)47 คน (0.1%)

สรุปว่าหล้กฐานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ทั้งในระดับ cohort และ RCT ในคน และข้อมูลเชิงระบาดวิทยาตามที่ผมแสดงให้เห็นแล้วนี้เป็นหลักฐานที่มากพอแล้วที่จะใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาผู้ป่วยโควิด19 ได้ทันที แน่นอนว่าการวิจัยเพิ่มเติมยังจะต้องทำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อตอบคำถามอีกหลายประเด็นที่เรายังไม่ทราบ แต่การใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิดควรทำไปก่อนทันทีโดยไม่ต้องรอผลวิจัยเพิ่มเติม

การใช้ฟ้าทะลายโจรควบคุมโรคโควิด19

เนื่องจากฟ้าทะลายโจรหาง่าย ราคาถูก และจากงานวิจัยทั้งสามรายการข้างต้นพบว่ามีความปลอดภัยสูง ยิ่งใช้เร็วยิ่งได้ผลกำจัดโรคได้เด็ดขาด ในสถานะการณ์ของประเทศจากนี้ไปอีกสองปีข้างหน้าซึ่งการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม (vaccine coverage) ยังจะไม่ถึงเป้า ในระหว่างนี้ผมแนะนำว่าควรใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นเครื่องมือหลักในการควบคุมโรคควบคู่ไปมาตรการค้นหาสอบสวนกักกันโรค โดยให้คนทุกคนที่เข้าข่ายสามกลุ่มต่อไปนี้กินฟ้าทะลายโจรในขนาดรักษาโควิด คือ180 มก. (เทียบเท่าแคปซูลผงของอภัยภูเบศร์ 15 แคปซูล) ต่อวันทันที กินนาน 5 วัน ทั้งสามกลุ่มได้แก่

(1) ผู้ที่ไปสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิดมาไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอาการก็ตาม

(2) ผู้ที่มีอาการเป็นหวัดที่มีไข้แบบทั่วๆไปแม้จะไม่มีประวัติว่าได้สัมผัสผู้ติดเชื้อโควิดมาก็ตาม

(3) ผู้ที่ได้รับการตรวจพิสูจน์แล้วว่าติดเชื้อโรคโควิด19 ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม

ถ้าคนไทยทั้งสามกลุ่มนี้รีบกินฟ้าทะลายโจร 180 มก.ทุกวันนาน 5 วันทันทีทุกคน โรคโควิด19 ก็น่าจะหมดไปจากเมืองไทยอย่างรวดเร็ว

การใช้ฟ้าทะลายโจรป้องกันโควิด19

ในระดับประเทศ การระดมให้คนทั่วไปที่ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อและไม่มีอาการอะไรเลยกินฟ้าทะลายโจรในขนาด 180 มก. ต่อวันนาน 5 วันเพื่อกำจัดโรคนั้นผมมีความเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะฟ้าทะลายโจรเป็นยาฆ่าไวรัส การกินยาฆ่าไวรัสเมื่อยังไม่มีไวรัสอยู่ในตัวย่อมได้ประโยชน์น้อย อีกทั้งการระบาดของโรคนี้ในประเทศไทยยังเพิ่งอยู่ในระยะเป็นหย่อมๆ (clusters of cases) ไม่ใช่ระยะการระบาดในชุมชน (community spreading) เราเพิ่งมีผู้ป่วยเป็นโรคแล้วเพียงไม่ถึง 1% ของประชากรไทยทั้งหมด การให้คนอีก 99% ซึ่งไม่มีไวรัสอยู่ในตัวกินฟ้าทะลายโจรแบบปูพรมพร้อมกันคราวเดียวเพื่อทำลายเชื้อให้หมดประเทศจะต้องใช้ยาจำนวนมหาศาล ทำได้ยาก ไม่คุ้มลงทุน

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่อยากกินฟ้าทะลายโจรในเชิงป้องกันโรคเป็นการส่วนตัวโดยไม่เกี่ยวกับคนอื่น คือชอบกินยา หรือกินรักษาโรคประสาทก็แล้วแต่ ผมแนะนำให้กินเลียนแบบงานวิจัยที่ทำโดยสถาบันสมุนไพรสวีเดน (Swedish Herbal Institute) ซึ่งเขาเอาฟ้าทะลายโจรให้คนกินป้องกันการเป็นหวัด ในขนาด 11.2 มก. (เทียบเท่าแคปซูลผงบดอภัยภูเบศร์ 1 แคปซูล) ต่อวันกินติดต่อกันห้าวันสลับกับหยุดกินสองวัน กินอย่างนี้เรื่อยไปจนครบสามเดือน พบว่าป้องกันการเป็นหวัดได้หนึ่งเท่าตัว คือกลุ่มที่กินยาหลอกเป็นหวัด 62% กลุ่มที่กินฟ้าทะลายโจรเป็นหวัด 30% โดยไม่มีอาการไม่พึงประสงค์จากยาระดับรุนแรงเกิดขึ้นเลย วิธีกินแบบนี้ปลอดภัย แต่จะป้องกันโควิดได้หรือไม่ไม่รู้นะครับ อันนั้นตัวใครตัวมัน

โอเค.ครับ เราคุยกันมานานพอควรแล้ว ผมต้องขอลาท่านไปก่อน เอาไว้พบกันอีกในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Shi TZ, Huang YL, Chen CC, Pi WC, Hsu YL, Lo LC, Chen WY, Fu SL, Lin CH. Andrographolide and its fluorescent derivative inhibit the main proteases of 2019-nCoV and SARS-CoV through covalent linkage. Biochem Biophys Res Commun. 2020;533(3):67–473.
  2. Khanit Sa-ngiamsuntorn, Ampa Suksatu et al. Anti-SARS-CoV-2 Activity of Andrographis paniculata Extract and Its Major Component Andrographolide in Human Lung Epithelial Cells and Cytotoxicity Evaluation in Major Organ Cell Representatives. Nat. Prod. 2021, 84, 4, 1261–1270. https://doi.org/10.1021/acs.jnatprod.0c01324
  3. กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. การเสวนาวิชาการฟ้าทะลายโจรสมุนไพรไทยใน COVID-19 เมื่อ 17 มิย.64. https://www.youtube.com/watch?v=2phuTUSCld8&t=7681s
  4. กรุงเทพธุรกิจ 14 กค. 64. กรมราชทัณฑ์เผยผู้ต้องขังหายป่วยโควิด-19 แล้ว 94.2%. https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/948538
  5. Caceres DD, Hancke JL, Burgos RA, Wikman GK. Prevention of common colds with Andrographis paniculata dried extract. A pilot double blind trial. Phytomedicine. 1997;4(2):101-4.
  6. Efficacy and safety of Andrographis paniculata extract in patients with mild COVID-19: A randomized controlled trial. Kulthanit Wanaratna, Pornvimol Leethong, Nitapha Inchai, Wararath Chueawiang, Pantitra Sriraksa, Anutida Tabmee, Sayomporn Sirinavinmed. Rxiv 2021.07.08.21259912; doi: https://doi.org/10.1101/2021.07.08.21259912
  7. Benjaponpithak A, Visithanon K. et al. Short Communication on Use of Andrographis Herb (FA THALAI CHON) for the Treatment of COVID-19 Patients. Journal of Thai Traditional and Alternative Medicine 2021:19(f Andrographis Herb (FA THALAI CHON) for the Treatment of COVID-19 P1);229-233

[อ่านต่อ...]

14 กรกฎาคม 2564

หมอสันต์พูดกับสมาชิกสมาคมแพทย์สตรี

สวัสดีครับ ผมดีใจที่ได้มีโอกาสมาพบปะพูดคุยกับเพื่อนแพทย์ในครั้งนี้ มันเป็นโอกาสที่หายากที่พวกเราซึ่งเป็นหมอมีแต่ธุรยุ่งจะได้มานั่งคุยกันแบบสบายๆอย่างนี้ ผมว่าเราคุยกันไปแบบมีเรื่องอะไรอยากคุยกันก็คุยก็แล้วกันนะ อย่าไปตั้งวาระว่าจะต้องพูดในประเด็นนั้นประเด็นนี้ ดังนั้นให้คุณหมอตุ่นในฐานะพิธีการชวนคุยมาได้ทุกเรื่อง เอาแบบกันเองและไม่เป็นทางการก็แล้วกัน

พญ.วริศรา

อยากให้อาจารย์เล่าเรื่องการฟื้นฟูตัวเองจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่ผ่านมาโดยเฉพาะในเรื่องจิตใจว่าทำอย่างไร

นพ.สันต์

หลายท่านคงทราบแล้วว่าผมประสบอุบัติเหตุตกจากหลังคา คงไม่ต้องไปพูดว่าทำไมตกจากหลังคานะเพราะมันเป็นประเด็นทางเทคนิคหรือทางช่าง พูดถึงทางช่างขออนุญาตนอกเรื่องนิดหนึ่ง พอรถฉุกเฉินมารับไปรพ.ชลประทานซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เข้าห้องเอ็กซเรย์ เทคนิเชียนเอากรรไกรตัดกางเกงยีน เจอของในกระเป๋าจึงล้วงออกมาแล้วร้องว่า

“โอ้โฮ..ลุงนี่เป็นช่างอาชีพเลยนะเนี่ย พกไขควงในกระเป๋าตลอดเวลาเลย”

กลับเข้าวาระต่อดีกว่า ว่าผมฟื้นฟูตัวเองมาโดยอาศัยปัจจัยอะไรช่วย ตัวช่วยที่ 1 คือ การยอมรับ (acceptance) คืออะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นแล้ว ผมยอมรับมัน ผมหล่นลงพื้นดินโครม พอตั้งหลักได้มองเห็นแขนตัวเองร่องแร่งสองข้าง ผมยอมรับว่ามันหักแล้วทั้งคู่ แล้วก็ทดสอบกระดิกหัวแม่มือหัวแม่เท้า กระดิกได้ แต่ส่วนอื่นร่างกายกระดิกไม่ได้เลย ผมก็ประเมินตัวเองแบบนิ่งๆว่า spinal cord ยังดีอยู่ แต่ผมมั่นใจว่า ณ นาทีนั้นหากผมกระดิกหัวแม่เท้าไม่ได้ ผมก็ยอมรับแบบนิ่งๆว่าผมเป็นอัมพาตแล้ว เพราะมันเป็นหลักธรรมประจำใจของผมว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้นผมยอมรับมันตามที่มันเป็น ยอมรับให้ทุกอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วผ่านออกไป ไม่กอดยึดสิ่งที่ชอบ ไม่หนีสิ่งที่ไม่ชอบ นั้นเป็นปัจจัยแรกที่ช่วยการฟื้นตัวของผม

การยอมรับก็คือการปล่อยวางนั่นแหละ มันทำให้มีความสุขสงบเย็นนะ ตอนผมป่วยหนักร่อแร่ผมสงบเย็นเป็นสุขดีมาก เทียบกับตอนนี้ซึ่งเริ่มเดินเหินทำกิจกรรมได้แล้วก็ชักจะไม่สงบเย็นแล้วเพราะความอยากทำนั่นทำนี่เริ่มเข้ามาหา ผมต้องคอยเตือนตัวเองให้นึกถึงตอนป่วยหนักว่าผมมีความสุขมากกว่าตอนนี้นะ

คนไข้ของผมที่เป็นมะเร็งแล้วเกิดหายขึ้นมาก็พูดแบบนี้นะ ตอนถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ตายแน่ ใจมันยอมรับ ก็สงบเย็น หันมาใช้ชีวิตไปวันๆอย่างสงบเย็นไม่วิ่งตามหรือวิ่งหนึอะไรอีกแล้ว มีความสุขมาก พอหมอบอกว่าเอ็กซเรย์ปอดซ้ำมะเร็งหายเกลี้ยงแล้ว แทนที่จะมีความสุข กลับพบว่าตัวเองเริ่มมีความทุกข์มากขึ้น ความอยากหน้าเดิมๆก็เริ่มกลับเข้ามา เปลี่ยนงานดีไหม ไม่ตายแล้วนี่ จะได้มีรายได้มากขึ้น อย่างนี้เป็นต้น ฉนั้นผมสรุปตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวจะลืม ว่าไม่ใช่จะตายจะไม่ตาย จะเป็นมะเร็งหรือไม่เป็นหรอกที่เป็นตัวกำหนดความสุข แต่การยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่เดี๋ยวนี้ตามที่มันเป็นต่างหาก ที่เป็นตัวกำหนดความสุข

พญ.วริศรา

แล้วอะไรเป็นเหตุให้อาจารย์รีบฟื้นฟูตัวเอง เพราะตอนตุ่นไปเยี่ยมอาจารย์จะแขนสองข้างอยู่ในเฝือกจะพลิกข้างนี้ก็ปวด ข้างนั้นก็ปวด อาจารย์ฟื้นฟูตัวเองแบบรีบเกินไปหรือเปล่า

นพ.สันต์

อ้า..โอเค. มันเป็นเรื่องของปัจจัยที่สองคือ เมตตาธรรม ในใจเรา คือพอตัวเราป่วยหนัก มีคนเดือดร้อนเพราะเราเยอะมาก ที่มากที่สุดก็คือลูกเมีย ต้องมาอดหลับอดนอนคอยพลิกตัวเช็ดอึเช็ดฉี่ให้เรา เพราะนอกจากแขนหักสองข้างแล้ว ผมยังมี fracture spine และ fracture pelvis อีกด้วย ด้วยเมตตาที่มีต่อคนรอบข้างที่ต้องมาเดือดร้อนผมต้องทำอะไรให้พวกเขาเดือดร้อนน้อยที่สุด ตื่นนอนแต่เช้าผมต้องร้องเพลงเย็นๆออกมาดังๆเพื่อให้ลูกเมียซึ่งนอนเฝ้าอยู่มีความผ่อนคลายสบายใจ พยาบาลบอกว่าเพลงของผมดังออกไปถึงทางเดินในวอร์ด แล้วผมก็มาคิดว่าถ้าผมทำตัวแบบคนไข้ทั่วไป คนแก่อายุใกล้เจ็ดสิบหลังหักสะโพกหักขยับตัวไม่ได้เลย ก็ต้องนอนเตียงสองสามเดือน ซึ่งกล้ามเนื้อมันต้องลีบหมด แล้วผมก็จะกลายเป็นคนพิการต่อไปอีกเป็นปีหรือหลายปีกว่าจะฟื้นฟูตัวเองได้ หรืออาจฟื้นฟูตัวเองไม่ได้เลย ไม่ได้..ไม่ได้ มันมีทางเลือกอื่น คือผมจะต้องฟื้นฟูตัวเอง จะไปรอนักกายภาพบำบัดทำให้มันไม่ทันกิน หลังผ่าตัดได้เก้าวันผมขอออกจากโรงพยาบาลไปอยู่มวกเหล็กเลยเพื่อไปฟื้นฟูตัวเองที่นั่น แล้วก็ออกกำลังกายทุกชั่วโมงตั้งแต่ตื่นจนเข้านอนจนผมลุกขึ้นมาเดินได้ใกล้เคียงปกติในเวลาสองเดือน ทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักดันจากเมตตาธรรมในใจที่มีต่อคนรอบข้าง ไม่อยากให้พวกเขาต้องเดือดร้อน

พญ.วริศรา

ตอนที่นอนนิ่งๆอยู่บนเตียง อาจารย์ไม่มีความคิดหดหู่ซึมเศร้าบ้างเลยหรือคะ

นพ.สันต์

ไม่มีเลยครับ ความหดหู่ซึมเศร้าเป็นความคิดนะ มันเป็นความคิดที่อยากจะหนีไปจากปัจจุบัน อย่ารับรู้มันเลยหนีมันไปดีกว่า ผมไม่มีความคิดอย่างนั้น เพราะมันตั้งต้นด้วยการมีความสงบเย็นจากการยอมรับก่อน ไม่กอดยึดอะไร ไม่หนีอะไร พอใกล้ตาย ใจมันอยู่ตรงกลางๆนิ่งดีมาก แต่ถ้าเผลอมันก็เริ่มมีตัวแทรกแซงนะ มันปลอมมาในรูปแบบความคิดบวกก่อน คือมันจะมาในรูปแบบของความปลื้มปิติให้เราหลงไปกับความดีใจ เอาตั้งแต่ไม่กี่นาทีที่หล่นลงมานอนแอ้งแม้งบนพื้นดินเลย พอรถพยาบาล 1669 มาถึง พวกเวชกรฉุกเฉินเขาก็กรูกันเข้ามาขยันขันแข็งเอาเปลตักมาตักเอาตัวผมขึ้นและร้องสั่งงานกันกระฉับกระเฉง ผมหลับตาฟังพวกเขาทำงานแล้วบังเกิดความปลื้มปิติแทบน้ำตาไหล เพราะช่วงหนึ่งของชีวิตผมเคยช่วยหมอสมชายและหมอแท้จริงในการสร้างให้ระบบรถฉุกเฉินนี้เกิดขึ้นและพ้ฒนามาซึ่งสมัยนั้นเราเรียกว่าศูนย์นเรนทร หนังสือคู่มือฝึกอบรมเวชกรฉุกเฉินเล่มแรกที่พวกนี้ใช้เรียนก็ผมนี่แหละเป็นบรรณาธิการร่วมกับหมอสมชายและผมเป็นคนถ่ายรูปประกอบหนังสือเองทั้งหมดด้วย การสอนการช่วยชีวิตพวกเวชกรฉุกเฉินก็ผมนี่แหละเป็นครูใหญ่ พอมีความปลื้มหรือความดีใจเข้ามา ผมก็ต้องเตือนตัวเองว่าเอ๊ะ เมื่อกี้นิ่งๆอยู่ดีๆ นี่กำลังเผลอเข้าไปกอดสิ่งที่ชอบเสียแล้วนะ เพราะหากผมยอมให้ตัวเองไปกอดสิ่งที่ชอบ เดี๋ยวผมก็จะวิ่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบ ยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า acceptance ก็จะใช้ไม่ได้

พญ.วริศรา

แล้วการรับมือกับความปวดละ อาจารย์มีวิธีอย่างไร

นพ.สันต์

ใช่ มันปวดมาก หลังหัก แขนหัก สะโพกหัก ไม่ปวดก็โกหกแล้ว วิธีรับมือของผมก็คือยอมรับมันตามที่มันเป็น ทำความรู้จักคุ้นเคยกับมันว่าอ้อ เวลาปวดสาหัสสากรรจ์มันเป็นอย่างนี้นี่เองหนอ พูดถึงปวดผมขอนอกเรื่องหน่อยนะ วันที่ผมหล่นจากหลังคา ผมเรียกรถฉุกเฉินของพญาไท2 ไปรับผมมาจากรพ.ชลประทาน ก่อนออกมาผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะช็อกเพราะตั้งแต่บ่ายสองถึงสองทุ่มทำงานอยู่บนหลังคาแดดร้อนเปรี้ยงตลอดไม่ได้กินข้าวกินน้ำเลย และผมคาดว่าสะโพกผมคงหักและมีเลือดออกข้างในเป็นจำนวนมาก จึงบอกคุณหมอหนุ่มที่ดูแลว่าร่างกายผมขาดน้ำมากเพราะอดน้ำมาหลายชั่วโมง ท่านเหลือไปมองหยดน้ำเกลือแล้วว่า

“นี่ก็ให้ชั่วโมงละ 100 ซีซี.แล้วนะ อายุมากให้มากเดี๋ยวน้ำท่วมปอดแล้วจะยุ่ง”

ผมได้ฟังก็จึงเงียบเสีย พอใกล้จะต้องเดินทางออกจากอีอาร์ คุณหมอหนุ่มมาบอกว่าจะฉีดมอร์ฟีนให้นะจะได้ไม่ปวดขณะเดินทาง ผมรีบร้องห้ามเสียงหลงว่า

“โอ ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง ผมไม่ปวดเลยสักนิด”

ที่ต้องโกหกไปเพราะผมกลัวโดนมอร์ฟีนขณะ volume ต่ำแล้วผมจะช็อกไประหว่างเดินทาง ทำให้ผมได้รับรู้ความปวดระดับถึงกึ๋นทุกช็อตที่รถกระดอนๆแล้วกระดูกมันขบกันดังกรอบๆ

สรุปว่าผมรับมือการปวดด้วยการยอมรับ เอาความปวดนั่นแหละเป็นเพื่อนให้ทำความรู้จัก ยาแก้ปวดและยา NSAID หลังผ่าตัดก็ไม่กินเลย ใช้วิธี feel มัน วิธีนี้ทำให้ความคิดหายไปด้วยนะ เพราะเมื่อเราอยู่กับ feeling ทางร่างกาย ความคิดจะไม่มี เป็นการยิงนกทีเดียวได้สองตัว คืออยู่กับความปวดได้ด้วย ได้สมาธิไม่ฟุ้งสร้านด้วย

พญ.วริศรา

แล้วการออกกำลังกายฟื้นฟูตัวเอง อาจารย์มีหลักอย่างไร

นพ.สันต์

ไม่มีหลักอะไรพิศดารมากไปกว่าฟังคำอบรมสั่งสอนของนักกายภาพบำบัดแล้วขยันทำตาม แขม่วตรงนั้น ขมิบตรงนี้ ผมทำตามหมด แต่ว่าผมทำมากกว่าที่นักกายภาพสั่ง คือนักกายภาพบอกให้ทำ 10 ครั้ง ผมทำ 10×10 เป็นต้น คือทำทั้งวัน

พญ.วริศรา

อาจารย์ใช้ดนตรีและเต้นรำในการฟื้นฟูตัวเองด้วย

นพ.สันต์

มันมีประโยชน์ในการฝึกเดิน ซึ่งผมเริ่มด้วยการเดินโดยอาศัยกายอุปกรณ์คือล้อเข็นหัดเดินก่อน แล้วก็ฝึกเดินในน้ำแบบที่เขาเรียกว่าธาราบำบัด แล้วก็มาหัดเดินโดยไม่มีล้อเข็นซึ่งเป็นขั้นตอนยาก ต้องอาศัยดนตรีและจังหวะการเต้นรำช่วย ไม่งั้นทิ้งล้อเข็นไม่ได้ การจะทิ้งล้อเข็นได้ เราต้องยืนเกาะล้อเข็นซอยเท้าให้ได้ก่อน ถ้าไม่มีดนตรีมันซอยเท้าไม่ออก เพราะสะโพกและขามัน stiff สั่งให้ขยับมันไม่อยากขยับ ต้องอาศัยขยับทั้งตัวตามเสียงดนตรี มันก็ค่อยๆซอยเท้าได้ แล้วก็ออกเดินแบบ marching ไปตามจังหวะดนตรี แล้วก็ใช้จังหวะเต้นรำฝึกการเดินสลับขา ฝึกเดินช้าตามจังหวะบีกินก่อน แล้วก็มาเดินเร็วตามจังหวะชะ ชะ ช่า ทำแบบนี้ในที่สุดก็เดินได้ใกล้เคียงปกติ แต่ยังไม่ปกตินะ ยังต้องพยายามไปอีก

พญ.วริศรา

มีคำถามฝากถามว่าให้อาจารย์เล่าวิธีทำสมาธิหน่อยว่าทำอย่างไร

นพ.สันต์์

วิธีของผมไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เป็นแค่หลักง่ายๆว่า

“โต๋เต่อยู่คนเดียวในความเงียบ”

คือนั่งเฉยๆ ถอยความสนใจออกมาจากทุกสิ่งทุกอย่าง ถอยออกมาจากความคิดนั้นแน่นอน ต่อมาก็ถอยออกมาจากสิ่งเร้าที่ผ่าน sense organ ทั้งหมดด้วยไม่ว่าจะเป็นภาพหรือเสียง เหลืออยู่แต่ความรู้ตัวที่ไม่มีอะไรเลย เป็นสภาวะที่เขาเรียกว่าฌาณ ทำอย่างนี้ให้ได้สักห้านาที เดี๋ยวก็บรรลุธรรมได้แล้ว

พญ.วริศรา

ต้องนั่งหรือเปล่า เดินจงกลมได้ไหม นอนทำได้ไหม

นพ.สันต์

คือบังเอิญผมมีครูเป็นโยคีอินเดียด้วย หลักของโยคีคือ spinal cord นี้เป็นทางวิ่งของพลังงาน มันต้องตั้งตรงดิ่งไว้ ดังนั้นหลังต้องตั้งตรง คือนอนทำไม่ได้ แต่ท่าอื่นได้ ความจริงถ้าสังเกตให้ดีของพระพุทธเจ้าก็สอนเหมือนกันนะ อย่างอานาปานสติจะตั้งต้นสอนว่า “ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่น รู้ตัวว่ากำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออก”

ถ้าเจาะเข้าไปให้ลึกอีกหน่อย เทคนิคต่างๆในอานาปานสติก็พูดไว้หมด คือถอยความสนใจออกจากความคิดมาอยู่กับลมหายใจก่อน นี่เป็นเทคนิคที่หนึ่ง แล้วก็ผ่อนคลายร่างกาย muscle relaxation “เราจักทำร่างกายนี้ให้ผ่อนคลาย” นี่เป็นเทคนิคที่สอง แล้วก็เอาความสนใจมาไว้ที่อาการของร่างกาย “เราจักทำความรู้ตัวทั่วพร้อม” นี่เป็นเทคนิคที่สาม การทำสมาธิของผมก็ไม่หนีเทคนิคพื้นฐานประมาณนี้แหละ

ตรงการผ่อนคลายร่างกายนี้เทคนิคประกอบมันต้องเริ่มที่เราต้องยิ้มให้ออกก่อน เราไปวัดมองหน้าพระประธานในโบสถ์แล้วเราผ่อนคลาย เพราะหน้าพระประธานในโบสถ์ยิ้ม เราเห็นเราก็เผลอยิ้มตาม ไม่เชื่อคุณให้ใครถ่ายวิดิโอดูก็ได้ ความจริงมีคนที่ฮาร์วาร์ดทำวิจัยเรื่องนี้ไว้ เขาเรียกว่า emotional contagion คืออารมณ์และความเครียดถ่ายทอดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งโดยการเลียนสีหน้ากัน ทุกเทคนิคทำจบได้ในลมหายใจเดียว หายใจเข้าลึกๆ ยิ้ม แล้วค่อยๆผ่อนลมหายใจออก ผ่อนคลายร่างกาย ปลายของการหายใจออกก็รับรู้ความรู้สึกซู่ซ่าบนผิวกาย หนึ่งลมหายใจ ใช้หมดทุกเทคนิค

พญ.วริศรา

การวางความคิดมันวางยาก บางช่วงทำได้ ช่วงนี้ทำไม่ได้

นพ.สันต์

พวกเราซึ่งเป็นหมอถูกสอนให้เป็นคนเจ้าความคิด เราจึงตกอยู่ในวงจรย้ำคิดถอนตัวไม่ขึ้น ลองใช้เทคนิคสังเกตความคิดจากข้างนอก คือแอบชำเลืองดูทีละแว้บว่าเมื่อตะกี้เราคิดอะไรอยู่ เหมือนเราทำกับข้าวแล้วทิ้งลูกน้อยไว้กลางห้อง ต้องคอยชำเลืองดูว่าลูกยังอยู่ตรงนั้นดีอยู่หรือเปล่า เรียกว่า aware of a thought ไม่ใช่ thinking a thought นะ

การวางความคิดให้ได้นี้มันเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสืบโคตรเหง้าศักราชไปเถอะ ทุกความคิดล้วนชงขึ้นมาโดยอีโก้ของเราทั้งนั้น หากเราวางความคิดไม่ได้ ก็แปลว่าอีโก้ของเรายังไม่หายไปไหน เราก็จะยังไปไหนไม่รอด เพราะติดกับดักอีโก้นี้อยู่

พญ.วริศรา

เมื่อความคิดหมดแล้ว มันจะเหลืออะไร

นพ.สันต์

ถ้าเป็นคนอาชีพอื่นอาจจะไม่เข้าใจคำตอบนี้นะ แต่พวกเราเป็นหมอเข้าใจได้ง่าย เมื่อความคิดหมด จะเหลืออยู่อย่างเดียวอยู่ข้างในคือ..เมตตาธรรม คือองค์ประกอบความเป็นชีวิตของเรานี้เมื่อปอกเปลือกนอกออกไปหมดแล้วจะเหลือแต่เมตตาธรรม

พญ.วริศรา

อาจารย์ช่วยสรุปให้หน่อย ว่าอาจารย์ฟื้นฟูตัวเองมาด้วยอะไรบ้าง

นพ.สันต์

(1) ก็คือการยอมรับ (2) อาศัยเมตตาธรรมต่อคนอื่นผลักดันตัวเอง (3) ตั้งใจไว้ตรงกลางไม่กอดรัดไม่หนีอะไร (4) การเอาความปวดเป็นเพื่อนให้เฝ้าดูมัน (5) การออกกำลังกายตามนักกายภาพสอนแต่ขยันทำเป็นสิบเท่า (6) การใช้ดนตรีและการเต้นรำ (7) ผมอาศัยแสงแดดและธรรมชาติรวมทั้งเดินเท้าเปล่าด้วย (8) ในเรื่องอาหารผมกินอาหารมังสวิรัติ (9) ผมใช้การบำบัดแผนไทยและแผนอายุรเวดะด้วย ไม่ว่าจะเป็นนวด ประคบ อบไอน้ำ ย่างไฟ ลองใช้ดูหมด

พญ.วริศรา

มีผู้ฝากถามว่าอาจารย์กินมังสวิรัติตั้งแต่เมื่อไหร่

นพ.สันต์

สิบห้าปีได้แล้วมั้ง ตอนอายุ 55 ตอนนั้นเป็น ischemic heart disease แล้วกลัวไม่อยากสวนหัวใจทำบอลลูนหรือผ่าตัด ก็พยายาม review literature ก็พบว่ามีอยู่สองสามเปเปอร์ที่ใช้วิธีเปลี่ยนอาหารมากินแต่พืชแล้วโรคมันถอยกลับได้ documented โดยการติดตามสวนหัวใจเป็นระยะๆ ผมจึงเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น และเป็นจุดที่เลิกเป็นหมอผ่าตัดหัวใจด้วย เพราะการไม่ยอมรับวิธีที่เราใช้รักษาคนไข้เป็นการทรยศต่อวิชาชีพตัวเองใช่ไหม เราจะตากหน้าทำต่อไปได้อย่างไร

คือผมมีความเห็นว่าอาหารมังสวิรัติเป็นอาหารที่ทำให้มีสุขภาพดี ถ้าเราดู standard guideline ของการรักษาโรคเรื้อรังทุกโรคเลยนะ จะเหมือนกันหมดคือแนะนำให้กินอาหารพืชผักผลไม้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งนี่ guideline บอกชัดเลยว่าให้ลดเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและ processed meat โรคเบาหวานก็เหมือนกัน มีงานวิจัยระดับ RCT พิสูจน์ว่าอาหารพืชเป็นหลักทำให้คนไข้เลิกยาเบาหวานได้

พญ.วริศรา

เราเป็นหมอแล้วไปเป็นคนไข้ อาจารย์มีอะไรแนะนำไหม

นพ.สันต์

เมื่อป่วยความเป็นหมอไม่มี เหลือแต่ความเจ็บปวดของร่างกายและความไม่แน่นอนสาระพัด มีความแน่นอนชัวร์ๆอยู่อย่างเดียวที่อยู่ข้างๆตัว..คือความตาย ทั้งหมดนี้ความเป็นหมอไม่อาจบดบังได้ ดังนั้นพวกเราที่เป็นหมอมาตั้งแต่หนุ่มสาวจนเป็นผู้ใหญ่อย่าอยู่กับความเป็นหมอมากเกินไป ต้องหาเวลาอยู่นอกความเป็นหมอบ้าง คือฝึกเป็นคนธรรมดาบ้าง ไม่งั้นเวลาป่วยมาแล้วจะกลับตัวไม่ทันก็จะกลายเป็นผู้ป่วยที่ “ไม่เก๊ท” ความจริงเหล่านี้ แล้วความเจ็บป่วยจะทำให้เราเป็นทุกข์มากกว่าชาวบ้าน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

…………………………………………………………..

[อ่านต่อ...]

11 กรกฎาคม 2564

วิตามินบี.12

กราบเรียน ท่านอาจารย์

ขอขอบคุณท่านอาจารย์ ผมได้อ่านบทความงานวิจัยของอาจารย์ในวารสารการเเพทย์ BDMS ได้ความรู้กระจ่างดีมากครับ

การขาดวิตามินบี 12 ทำให้โลหิตจางได้ กลุ่มเสี่ยงขาดวิตามินบี 12 คือคนสูงอายุ คนกินมังสวิรัต เด็กอายุขวบปีเเรกที่ไม่ได้ดื่มนมเเม่ นมวัว หรือไม่ได้กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์

วิตามินบี.12 ละลายในน้ำได้ และที่สำคัญมีเเร่ธาตุโคบอลต์เป็นองค์ประกอบ เรียกโคบาลามีน วิตามินนี้มักมีในอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์  อาหารประเภทเนื้อสัตว์จะถูกย่อยด้วยกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหารจนได้วิตามินบี12ออกมา (free  B12) ซึ่งจะจับกับ intrinsic factor ที่เป็นไกลโคโปรตีนที่หลั่งจาก parietal cells ของกระเพาะอาหารจึงจะถูกดูดซึมได้ที่ลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum)  การดูดซึมจะดีถ้ากินวิตามินบี12 ขนาดต่ำหรือพอดีๆ แต่ถ้ากินมากเกินไปจะดูดซึมไม่ดีเพราะเกิน capacity ของไกลโคโปรตีนที่เป็นตัวจับ 

ภาวะขาดวิตามินบี 12 พบมากในคนกินมังสวิรัต คือไม่กินนม เนื้อสัตว์ การตรวจเลือดวัดระดับ homocysteine ยิ่งสูงยิ่งบ่งชี้ว่าขาดวิตามินบี 12   ส่วน Pernicious anemia (โรคโลหิตจางอย่างร้าย) เป็นโรค autoimmune disease (โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง) ที่เยื่อบุกระเพาะอาหารฝ่อขาดสารย่อยอาหาร intrinsic factor ไม่ดูดซึมวิตามินบี 12 ได้ทำให้เกิดโลหิตจาง  คนกินมังสวิรัตควรกินวิตามินบี 12 วันละ 100 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันโรคโลหิตจางและภาวะพร่องวิตามินบี 12 ตัววิตามินบี 12 มีค่าครึ่งชีวิต (half life) ราว 5วัน ส่วนที่ร่างกายดูดซึมได้มากเกินในกระเเสเลือดบางส่วนจะสะสมในตับ  นอกจากการสร้างเม็ดเลือดเเดงเเล้ว วิตามินบี12 ยังมีบทบาทช่วยการทำงานของระบบประสาทและการสร้างดีเอ็นเอ  ด้วย

ข้อเเนะนำคือ เราควรรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินบี.12 เช่นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อ นม ไข่ ในกรณีที่เป็นคนกินมังสวิรัตควรรับประทานวิตามินบี12 เสริม ตามข้อเเนะนำทางการเเพทย์

นพ. ….

รพ ศรีสะเกษ

ส่งจาก iPhone ของฉัน

……………………………………………………..

ตอบครับ

จดหมายของคุณหมอไม่ได้ถามอะไร ท่านคงมีเจตนาที่จะแชร์ความรู้สู่แฟนๆบล็อกหมอสันต์ ผมจึงแค่ลงจดหมายให้โดยไม่ได้ตอบอะไร ส่วนท่านที่สนใจงานวิจัยเรื่องวิตามินบี.12ในคนไทยที่ผมและคณะได้ทำวิจัยและตีพิมพ์ไว้ในวารสาร Bangkok Medical Journal ซึ่งคุณหมอท่านอ้างถึงนั้น สามารถตามไปอ่านได้ที่ https://he02.tci-thaijo.org/index.php/bkkmedj/article/view/216161 หรืออ่านบทแปลงานวิจัย (ซึ่งของจริงตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ) ที่ผมเคยแปลเป็นภาษาไทยไว้ในบล็อกนี้หลายเดือนมาแล้วที่ https://drsant.com/2019/01/12-2.html ประเด็นสำคัญคือการกินมังสวิรัติแบบเข้มงวดมีคุณอนันต์ต่อสุขภาพแต่ก็มีข้อพึงระวังว่าควรกินวิตามินบี.12 เสริม มิฉนั้นจะมีระดับวิตามินบี.12 ต่ำและมีอาการขาดวิตามินบี.12 มากกว่าคนทั่วไป

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

09 กรกฎาคม 2564

ฟ้าทะลายโจร

เรียน อาจารย์นพ.สันต์

ทำไมอาจารย์ไม่พูดถึงฟ้าทะลายโจรเลย มีอะไรปิดกั้นไม่ให้พูดหรือเปล่าคะ อย่างน้อยก็ควรจะพูดให้เป็นที่รู้กันว่าดีหรือไม่ดีจริงไม่ใช่หรือคะ พูดในฐานะแพทย์แผนไทยไม่ได้ก็พูดในฐานะแพทย์แผนปัจจุบันก็ได้นี่คะ

………………………………………………….

ตอบครับ

โห.. แฟนหมอสันต์เดี๋ยวนี้ดุแฮะ หิ หิ เปล่าว่าอะไรนะ พูดเล่น

ก่อนอื่นผมไม่ใช่แพทย์แผนปัจจุบันประเภทที่ต่อต้านสมุนไพร อาหารเสริม หรือวิตามินนะครับ ไม่เลย อย่าเข้าใจผมผิด เพื่อนซี้ของผมก็ทำสมุนไพรอาหารเสริมและวิตามินขาย ผมจะไปต่อต้านเขาทำไม และเพื่อพิสูจน์ว่าผมไม่ได้ต่อต้าน โอเค.วันนี้ผมจะพูดถึงฟ้าทะลายโจร

ความจริงไม่ใช่ว่าผมไม่สนใจเรื่องการใช้พืชสมุนไพรในการรักษาโรคนะครับ ผมสนใจมาก มันเป็นความ “ทึ่ง” ที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยผมเป็นนักเรียนเตรียมแพทย์ คือปิดเทอมแล้วผมรับจ๊อบพาโปรเฟสเซอร์ชาวเยอรมันคนหนึ่งเข้าไปเดินป่าที่เขาคอหงส์ หลังมหาวิทยาลัย (สงขลานครินทร์ หาดใหญ่)เพื่อสำรวจเก็บตัวอย่างพืชไปทำยาที่เยอรมัน การเดินป่าครั้งนั้นเปิดโลกทัศน์เรื่องพืชสมุนไพรให้ผมอย่างมาก และโปรเฟสเซอร์ก็เปิดโลกทัศน์ให้ผมรู้จักว่าการเป็น “มืออาชีพ” นั้นเขาเป็นการอย่างไร เพราะท่านมีความรอบรู้ มีความอึด และมีอุปกรณ์พร้อมจริงๆ แบบว่าล้วงกระเป๋ากางเกงซ้ายได้แว่นขยายออกมาส่องดู ล้วงกระเป๋ากางเกงขวา ได้เทสท์ทูปออกมาเก็บตัวอย่าง ล้วงกระเป๋าเสื้อ ได้มีดเล็กๆออกมาผ่า อย่างนี้เป็นต้น กล่าวโดยสรุป ผมชอบเรื่องพืชสมุนไพรมาก แต่ชีวิตไม่มีโอกาสได้ไปยุ่งกับมันเลยเพราะมามีอาชีพเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ มันคนละทางเลย กลับมาเรื่องที่จะคุยกันวันนี้ดีกว่า

ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata (Burm.f.) Wall. ex Nees) เป็นยาพื้นบ้านในแถบจีน อินเดีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มานาน ใช้กันตั้งแต่รักษาไข้หวัดใหญ่ เจ็บคอ แผลในปากหรือบนลิ้น อาการไอเฉียบพลันหรือเรื้อรัง ลำไส้อักเสบ โรคบิด ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และอาการปวดเวลาปัสสาวะ สารออกฤทธิ์ในพืชชนิดนี้ที่วงการแพทย์รู้จักดีแล้วคือแอนโดรกราฟโฟไลด์(andrographolide) และงานวิจัยก็ทำวิจัยบนสารตัวนี้เป็นหลัก ดังนั้นบางครั้งในบทความนี้ผมจะใช้สารตัวนี้แทนตัวฟ้าทะลายโจร

ฟ้าทะลายโจรต้านการอักเสบในห้องทดลองและในสัตว์ทดลองได้

งานวิจัยในห้องทดลองพบว่าแอนโดรกราฟโฟไลด์มีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยออกฤทธิ์ลด TNF-a [1] การออกฤทธิ์ต้านการอักเสบนี้ทำผ่านกลไกป้องกันการผลิตอนุมูลอิสระโดยเม็ดเลือดขาวนิวโตรฟิลด์ในบริเวณที่อักเสบ [2] กลไกลดการผลิตไนตริกออกไซด์ (NO)โดยเซลมาโครฟาจในบริเวณที่อักเสบ [3] และลดการปล่อยสารก่อการอักเสบผ่านกลไกการลด p38 MAPKs signaling pathways [4]

งานผลต่อการบรรเทาอาการป่วยในสัตว์พบว่าแอนโดรกราฟโฟไลด์ลดปวดและลดบวมในสัตว์ทดลองได้ [5] งานวิจัยที่อินเดียพบว่าแอนโดรกราฟโฟไลด์ลดไข้และลดแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากแอสไพรินในหนูทดลองได้ [6] งานวิจัยในหนูกินิพิกที่ถูกกระตุ้นให้ไอโดยกรดซิตริกพบว่าแอนโดรกราฟโฟไลด์ลดเสมหะและลดอาการไอได้ [7]

งานวิจัยที่จีนทดลองให้หนูติดไข้หวัดใหญ่ H5N1, H1N1, H9N2 แล้วใช้สารปลายทางของแอนโดรกราฟโฟไลด์ชื่อ14-alpha-lipoyl andrographolide (AL-1) กรอกเข้าไปในกระเพาะหนู พบว่ากลุ่มหนูที่ได้รับสาร AL-1 มีอัตรารอดชีวิตจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับสารนี้[9]

งานวิจัยผลต่อเซลมะเร็งในห้องทดลอง

งานวิจัยในห้องทดลองพบว่าแอนโดรกราฟโฟไลด์ต้านเซลมะเร็งหลายชนิดในห้องทดลองได้โดยผ่านกลไกผลิตสารยับยังการทำงานของเซล เพิ่มการแบ่งตัวของเม็ดเลือดขาวและเพิ่มการผลิตสารช่วยการทำงานเม็ดเลือดขาวชนิด interleukin-2 [8]

งานวิจัยพบว่าฟ้าทะลายโจรป้องกันหวัดและรักษาติดเชื้อทางเดินหายใจในคนได้

งานวิจัยในคนแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบที่สวีเดนให้คนหนุ่มสาว 54 คนแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งกินสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแห้งชื่อการค้า Kan Jang วันละ 11.2 mg กินสัปดาห์ละ 5 วัน ต่อสัปดาห์) นาน 3 เดือน พบว่ากลุ่มกินฟ้าทะลายโจรป่วยเป็นหวัด 30% ขณะที่กลุ่มที่กินยาหลอกป่วยเป็นหวัด 62% จึงสรุปว่าฟ้าทะลายโจรลด (ป้องกัน) การเป็นหวัดลงได้ [10]

งานวิจัยระดับสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบอีกงานหนึ่งทำให้คนไข้ติดเชื้อทางเดินลมหายใจส่วนบนจำนวน 223 คนแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนี่งกินสมุนไพรฟ้าทะลายโจรชื่อ KalmCold 200 มก.ต่อวัน (มีแอนโดรกราฟโฟไลด์ 33%) อีกกลุ่มกินยาหลอก ติดตามดู 5 วันพบว่ากลุ่มกินฟ้าทะลายโจรมีอาการลดลงมากกว่ากลุ่มกินยาหลอก จึงสรุปว่าฟ้าทะลายโจรใช้บรรเทาอาการติดเชื้อทางเดินลมหายใจส่วนบนได้ ทั้งสองกลุ่มไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่มีนัยสำคัญ [11]

งานวิจัยพบว่าฟ้าทะลายโจรยับยั้งเชื้อโควิด19 ในห้องทดลองได้

เมื่อมีโรคโควิด19 ระบาดขึ้นมา ที่ไต้หวันได้มีการวิจัยเอาแอนโดรกราฟโฟไลด์มาทำลายเชื้อซาร์สโควี2 ซึ่งเป็นต้นเหตุของโควิด พบว่าสารสกัดฟ้าทะลายโจรนี้สามารถยับยังเชื้อซาร์สโควี2 ได้ ผ่านกลไกยับยังเอ็นไซม์โปรตีเอสของตัวไวรัส [12]

ในเมืองไทยนี้ผมทราบว่ากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์(หรือกรมแพทย์แผนไทยผมไม่แน่ใจ)ได้เคยทำวิจัยในห้องทดลองเอาฟ้าทะลายโจรมายับยั้งไวรัสซาร์โควี2 เช่นกันแต่ผมไม่เคยเห็นว่าได้ตีพิมพ์ผลวิจัยนี้ไว้ที่ไหน

ต่อมาในเมืองไทยนี้ได้มีคณะผู้ทำวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรยับยังไวรัสซาร์สโควี2ในเซลที่ปล่อยให้ติดเชื้อแล้ว พิสูจน์ได้ด้วยการนับตัวไวรัสว่าฟ้าทะลายโจรสามารถยับยั้งไวรัสนี้ได้ในระดับที่ชัดเจนพอที่จะนำไปสู่การผลิตเป็นยาต้านไวรัสซาร์สโควี2 แบบยาเดี่ยวได้ [14]

งานวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด19 ในคน

นับถึง ณ วันนี้ยังไม่เคยมีการตีพิมพ์ผลการวิจัยระดับสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบดูการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโรคโควิด19 ในคนเลยแม้แต่งานเดียว แต่ผมทราบจากการสอบถามว่าได้เคยมีการวิจัยเล็กๆกับอาสาสมัครวัยหนุ่มสาวที่ติดเชื้อโควิดระดับเบาจำนวน 6 คนที่รพ.สมุทรปราการโดยให้กินสารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีแอนโดรกราฟโฟไลด์ 20 มก.ต่อแคปซูล กินครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง นาน 5 วัน ควบคู่ไปกับการรักษาโควิดตามปกติ พบว่าอาการไอ เจ็บคอ เสมหะมาก ปวดหัวลดลงหลังวันที่สามของการกินยาโดยไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ยกเว้นผู้ป่วยหนึ่งคนที่ตรวจพบว่าเกิดตับอักเสบขึ้น (ALT สูง 1.7 เท่า) โดยที่ค่ากลับมาเป็นปกติเมื่อหยุดการรักษา น่าเสียดายที่งานวิจัยคนไข้ไทย 6 รายนี้ไม่ได้ตีพิมพ์ผลไว้ที่ไหนเลย เป็นแค่เรื่องเล่า ผมจึงหารายละเอียดเพิ่มเติมไม่ได้ แต่ก็ทำให้ได้ทราบสองอย่างคือ (1) ขนาด 180 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ต่อวันเป็นขนาดที่ไม่ทำให้เกิดอาการข้างเคียงและได้ผลในการบรรเทาอาการของโรคโควิด19ระดับเบา และ (2) ในขนาดนี้ผู้ป่วยโควิดหนึ่งในหกหรือ 16% อาจจะเกิดตับอักเสบระดับไม่มีอาการขึ้น แต่ว่ากลับเป็นปกติได้หลังจบการรักษา

ต่อมาผมได้อ่านบทความในลักษณะเรื่องเล่าเช่นกัน โดยเล่าไว้ในวารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเมื่อต้นปีนี้เอง[13] ว่าขณะนี้กำลังมีการวิจัยในคนไทยโดยทำโดยกรมแพทย์แผนไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และองค์การเภสัช ร่วมกับอีก 9 โรงพยาบาล ผมเข้าใจเอาเองว่าเป็นการวิจัยในรูปแบบของการย้อนหลังดูกลุ่มคน (retrospective cohort study) โดยย้อนไปดูผู้ป่วยโรคโควิด19 ระดับอาการเบาจำนวน 309 คนกินฟ้าทะลายโจรขนาด 180 มก.ของแอนโดรกราฟโฟไลด์ต่อวัน เทียบกับผู้ป่วยอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้กินฟ้าทะลายโจร 526 คน พบว่ากลุ่มกินฟ้าทะลายโจรมีอาการดีขึ้นเร็วกว่าตั้งแต่วันที่ 1-5 โดยที่เกิดปอดอักเสบต้องใส่ท่อหายใจเพียง 3 ราย (0.97%) ขณะที่กลุ่มไม่ได้กินฟ้าทะลายโจรมีอาการรุนแรงกว่า กล่าวคือมีภาวะปอดอักเสบหรือใส่ท่อช่วยหายใจ 77 ราย (14.64%) ซึ่งแปลว่าให้ผลลดการใส่ท่อได้ดีมาก แต่ในบทความที่เขียนแบบเรื่องเล่านี้ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดว่ามีตับอักเสบเกิดขึ้นหรือไม่เลย (น่าเสียดายมาก) เล่าแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าในการรักษาพบว่าค่ารักษาด้วยฟ้าทะลายโจรอยู่ที่ประมาณ 180 บาทต่อคน ส่วนค่ารักษาด้วยยา Favipiravir อยู่ที่ประมาณ 4,800 บาทต่อคน ผลวิจัยอย่างเป็นทางการยังไม่ได้ตีพิมพ์ แต่ข้อมูลแค่นี้ก็เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากโขอยู่ ผมจึงตั้งตารอดูผลวิจัยจริงที่จะตีพิมพ์ด้วยใจจดจ่อ

ข้อมูลทั้งหมดมีแค่นี้..แล้วไงต่อ

บนข้อมูลที่มีอยู่แค่นี้ และข้อมูลสำคัญเป็นข้อมูลระดับไม่เป็นทางการซะด้วย จึงไม่แปลกว่าทำไมวงการแพทย์ยังไม่ยอมขยับเอาฟ้าทะลายโจรมาเป็นยามาตรฐานในการรักษาคนไข้โควิด19เสียที ก็เพราะว่าหลักฐานมันยังไม่พอ อย่างน้อยก็ควรรอผลวิจัยในคนไทย 309 คนใน 9 โรงพยาบาลที่เพิ่งทำจบให้สรุปตีพิมพ์ได้เป็นเรื่องเป็นราวก่อน ซึ่งอีกไม่นานก็น่าจะสรุปได้แล้วแหละ ใจเย็นๆนะคะคุณพี่

คำแนะนำของหมอสันต์สำหรับผู้อยากใช้ฟ้าทะลายโจร

  1. คำแนะนำนี้ผมขอพูดถึงขนาดยาโดยใช้แอนโดรกราฟโฟไลด์เป็นหลัก ตรงนี้ผมอธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะ คือยาฟ้าทะลายโจรแคปซูลมันมีสองรูป คือแบบผงพืชสมุนไพรทั้งกระบิแบบชาวบ้านเขาทำกันซึ่งจะมีแอนโดรกราฟโฟไลด์ 1-5%ของน้ำหนักแห้ง ขึ้นกับคุณภาพของผง กับอีกรูปแบบหนึ่งเป็นสารสกัดซึ่งบางครั้งก็ทำให้แห้งเป็นผงเหมือนกันแต่มีความเข้มข้นของแอนโดรกราฟโฟไลด์สูงกว่าแล้วแต่จะสกัดแบบไหน ดังนั้นท่านจะกินกี่แคปซูลต้องดูว่าฟ้าทะลายโจรของท่านในหนึ่งแคปซูลมีแอนโดรกราฟโฟไลด์กี่มก.เอาเอง
  2. การกินฟ้าทะลายโจรป้องกันโรคหวัด ให้กินให้ได้แอนโดรกราฟโฟไลด์ 11.2 มก.ต่อวัน (ประมาณ 2-3 แคปซูลผงต่อวัน) สัปดาห์ละ 5 วัน (พักตับเสียสองวัน) กินตลอดช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นหวัด แต่ช่วงละไม่ควรเกิน 3 เดือน ไม่ควรกินตลอดไป เพราะยังไม่มีผลวิจัยว่าตับจะเป็นอย่างไรถ้ากินตลอดไป
  3. ท่านที่อยากกินฟ้าทะลายโจรป้องกันโควิด19ซึ่งเป็นไวรัสทางเดินลมหายใจเหมือนกันกับหวัด จะลองเอาสูตรในข้อ 2 นี้ไปใช้เลยก็ได้ เป็นการทดลองส่วนตัวที่มีความปลอดภัย แต่จะได้ผลในการป้องกันโควิด19จริงหรือเปล่ายังไม่รู้นะ เพราะไม่เคยมีงานวิจัยการกินฟ้าทะลายโจรป้องกันโควิด19
  4. คนที่อยากกินฟ้าทะลายโจรเพื่อรักษาโรคติดเชื้อทางเดินลมหายใจส่วนบนทั่วไป หมายความว่าป่วยเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว ให้กินให้ได้ตัวยาแอนโดรกราฟโฟไลด์วันละ 60 มก. (เทียบประมาณสมุนไพรผงทั่วไป 16 แคปซูลต่อวัน) นาน 5 วัน ถือว่าเป็นวิธีรักษาที่ปลอดภัยและได้ผล
  5. คนที่ป่วยเป็นโควิด19ไปเรียบร้อยแล้วหรือมีอาการที่เดาเอาว่าน่าจะเป็นโควิด19 หากอยากรักษาด้วยฟ้าทะลายโจร มีสองวิธี คือ (วิธีที่ 1) กินแบบการรักษาไข้หวัดใหญ่ในข้อ 4 ซึ่งเป็นขนาดที่ใช้กันอยู่ทั่วไป และเป็นวิธีที่หมอสันต์แนะนำ หรือ (วิธีที่ 2) กินขนาดสูงมากตามการวิจัยที่กำลังทำอยู่ซึ่งยังไม่ได้ตีพิมพ์ ให้ได้ตัวยาแอนโดรกราฟโฟไลด์วันละ 180 มก. นาน 5 วัน (วิธีนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกินในแบบแคปซูลผงบดเพราะต้องกินกันถึงวันละ 40-50 แคปซูลทีเดียว ต้องไปกินในรูปแบบสารสกัดเท่านั้น)
  6. การกินฟ้าทะลายโจรสามารถกินควบคู่ไปกับการรักษาปกติของแพทย์แผนปัจจุบันได้หากผู้ป่วยมีการทำงานของตับและไตปกติ
  7. ในการใช้สมุนไพรทุกชนิด หมอสันต์แนะนำให้ใช้ในรูปของผงบดแห้งดีกว่าในรูปสารที่สกัดออกมาเป็นโมเลกุลเดี่ยว เพราะโมเลกุลที่ออกฤทธิ์ในสมุนไพรมีมากมายหลายชนิดซึ่งความรู้วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง การสกัดเอาสารเพียงบางตัวออกมาใช้ไม่สามารถออกฤทธิ์แทนสารออกฤทธิ์อื่นๆที่มีอยู่ในสมุนไพรนั้นทั้งหมดได้ การกินแบบทั้งหมด (ผงป่น) จึงดีกว่าการกินสารสกัด

ปล. ผมเพิ่งได้รับข้อมูลจากแพทย์ท่านหนึ่งว่าได้ทำงานวิจัยอีกงานหนึ่ง เป็นการวิจัยระดับสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ขณะนี้ทำเสร็จแล้วกำลังรอตีพิมพ์ ในงานวิจัยนี้ใช้ผู้ป่วย 57 คน สุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่มให้กินฟ้าทะลายโจรขนาด 180 มก.ต่อวันนาน 5 วันของแอนโดรกราฟโฟไลด์กับอีกกลุ่มหนึ่งกินยาหลอกโดยเอาการเกิดปอดบวมเป็นตัวชี้วัด ได้ผลว่ากลุ่มกินฟ้าทะลายโจรไม่เป็นปอดบวมเลย กลุ่มกินยาหลอกเป็นปอดบวม 3 คนซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จึงสรุปผลวิจัยว่าฟ้าทะลายโจรลดการเกิดปอดบวมในคนไข้โควิดได้ งานวิจัยนี้เมื่อได้ตีพิมพ์แล้วก็จะถือว่าเป็นงานวิจัยระดับสูงสุดที่ได้ทำกันมา

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Qin LH, Kong L, Shi GJ, Wang ZT, Ge BX. Andrographolide inhibits the production of TNF-alpha and interleukin-12 in lipopolysaccharide-stimulated macrophages: role of mitogen-activated protein kinases. Biol Pharm Bull. 2006.29(2):220-4.
  2. Shen YC, Chen CF, Chiou WF. Andrographolide prevents oxygen radical production by human neutrophils: possible mechanism(s) involved in its anti-inflammatory effect. Br J Pharmacol. 2002;135(2):399-406.
  3. Batkhuu J, Hattori K, Takano F, Fushiya S, Oshiman K, Fujimiya Y. Suppression of NO production in activated macrophages in vitro and ex vivo by neoandrographolide isolated from Andrographis paniculata. Biol Pharm Bull. 2002;25(9):1169-74
  4. Liu J, Wang ZT, Ge BX. Andrograpanin, isolated from Andrographis paniculata, exhibits anti-inflammatory property in lipopolysaccharide-induced macrophage cells through down-regulating the p38 MAPKs signaling pathways. Int Immunopharmacol. 2008;8:951-8.
  5. Sulaiman MR, Zakaria ZA, Abdul Rahman A, Mohamad AS, Desa MN, Stanslas J, Moin S, Israf DA. Antinociceptive and antiedematogenic activities of andrographolide isolated from Andrographis paniculata in animal models. Biol Res Nurs. 2010;11(3):293-301.
  6. Madav S, Tripathi HC, Tandan MSK. Analgesic, antipyretic and antiulcerogenic effects of andrographolide. Indian J Pharm Sci. 1995;57(3):121-5.
  7. Nosálová G, Majee SK, Ghosh K, Raja W, Chatterjee UR, Jureček L, Ray B. Antitussive arabinogalactan of Andrographis paniculata demonstrates synergistic effect with andrographolide. Int J Biol Macromol. 2014;69:151-7.
  8. Rajagopal S, Ajaya Kumar R, Deevi DS, Satyanarayana C, Rajagopalan R. Andrographolide, a potential cancer therapeutic agent isolated from Andrographis paniculata. J Exp Ther Oncol. 2003;3:147-58
  9. Chen JX, Xue HJ, Ye WC, Fang BH, Liu YH, Yuan SH, Yu P, Wang YQ. Activity of andrographolide and its derivatives against influenza virus in vivo and in vitro. Biol Pharm Bull. 2009;32(8):1385-91.
  10. Caceres DD, Hancke JL, Burgos RA, Wikman GK. Prevention of common colds with Andrographis paniculata dried extract. A pilot double blind trial. Phytomedicine. 1997;4(2):101-4.
  11. Saxena RC, Singh R, Kumar P, Yadav SC, Negi MPS, Saxena VS, Amit A. A randomized double blind placebo controlled clinical evaluation of extract of Andrographis paniculata (KalmCold™) in patients with uncomplicated upper respiratory tract infection. Phytomedicine. 2010;17(3-4):178-85
  12. Shi TZ, Huang YL, Chen CC, Pi WC, Hsu YL, Lo LC, Chen WY, Fu SL, Lin CH. Andrographolide and its fluorescent derivative inhibit the main proteases of 2019-nCoV and SARS-CoV through covalent linkage. Biochem Biophys Res Commun. 2020;533(3):67–473.
  13. อัมพร เบญจพลพิทักษ์, ขวัญชัย วิศิษฐานนท์, ธิติ แสวงธรรม, เทวัญ ธานีรัตน์, กุลธนิต วนรัตน์. รายงานสังเขปผลการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วย COVID-19. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก. ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2564 หน้า 231-232.
  14. Khanit Sa-ngiamsuntorn, Ampa Suksatu et al. Anti-SARS-CoV-2 Activity of Andrographis paniculata Extract and Its Major Component Andrographolide in Human Lung Epithelial Cells and Cytotoxicity Evaluation in Major Organ Cell Representatives. Nat. Prod. 2021, 84, 4, 1261–1270. https://doi.org/10.1021/acs.jnatprod.0c01324

[อ่านต่อ...]

(เรื่องไร้สาระ19) เดินเล่นนอกบ้านในมวกเหล็กวาลเลย์

พอลุงตู่ประกาศไม่ให้เดินทางเข้าออกกรุงเทพ ผมซึ่งกำลังจะเริ่มทำงานก็กลายเป็นคนว่างงานใหม่ ต้องเลื่อนแค้มป์สอนและการนัดหมายผู้ป่วยมารับการฟื้นฟูออกไปไม่มีกำหนด ตัวผมเองด้วยเจียมบอดี้ว่าแก่แล้วและเพิ่งหายป่วยครั้งใหญ่มาจึงกักกันตัวเองอยู่ที่มวกเหล็กจะได้ไม่ติดโควิดแล้วกลายเป็นภาระให้คนอื่นมาดูแลตัวเองซ้ำซาก โชคดีที่บ้านที่มวกเหล็กนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านกึ่งร้างจึงค่อนข้างปลอดผู้คน สถานที่แห่งนี้ชื่อมวกเหล็กวาลเลย์ ทุกเช้าผมกับหมอสมวงศ์ออกกำลังกายด้วยการเดินไปตามถนนในหมู่บ้านได้โดยไม่เจอคนเลย วันนี้ผมแอบถ่ายรูปบ้านเรือนและวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่มาให้แฟนบล็อกดูเล่น

หน้าบ้านตัวเอง ยามเช้าค่อนข้างสาย

ก่อนออกไปเดิน ยืนอยู่หน้าบ้านมองย้อนไปทางตะวันออกเห็นแสงตอนสายสวยไปอีกแบบจึงถ่ายไว้เอาฤกษ์เอาชัยก่อน แล้วก็ออกเดินย่ำเท้าไปตามถนนกรวด ต้องเกร็งข้อเท้าเพราะนอนป่วยอยู่นานเอ็นยังไม่แข็งแรง

สังเกตช่องกากบาทซ้ายมือไว้โผล่ปืนมายิงข้าศึก

เดินมาผ่านบ้านหลังแรก เลียนแบบป้อมปืน สังเกตให้ดีจะมีรอยเจาะรูเป็นช่องกากบาทเพื่อเอาปืนโผล่ออกมายิงข้าศึก

หมอสันต์เรียกบ้านนี้ว่าบ้านทรายทอง

บ้านถัดมาผมเรียกว่าบ้านทรายทอง เพราะรูปทรงออกไปทางนั้น มีดอกสาละอยู่หน้าบ้าน ทาสีเขียวอมฟ้าอ่อนสะดุดตา

บ้านนี้เด่นที่รั้ว

แล้วก็ผ่านบ้านที่เด่นตรงที่รั้วซึ่งมีดอกไม้หลากหลายเป็นแนวยาวเหยียด ตัวบ้านเป็นทรงคันทรีสร้างจากไม้ (ปลอม) น่ารักไปอีกแบบ

บ้านหัวช้างเพราะจั่วบ้านประดับด้วยหัวของช้าง

บ้านนี้ผมเรียกว่าบ้านหัวช้าง เพราะที่จั่วบ้านมีหัวช้างบะเริ่มประดับอยู่ การประดับตกแต่งสวนของบ้านนี้จ๊าบมาก ข้างบ้านมีปืนใหญ่ด้วย แอบดูสวนครัวหลังบ้านเห็นผักคอสโตได้ที่แล้ว เจ้าของจะกินทันไหมเนี่ย

แอบดูสวนผักหลังบ้าน ผักคอสโตแล้วกินทันไหมเนี่ย
บ้านคลาสสิกมาก ชาวบ้านเรียกว่าบ้านไม้หมอน

บ้านเรือนในมวกเหล็กวาลเลย์นี้บอกอายุของเจ้าของได้ หลังนี้เป็นบ้านที่คลาสสิกมาก ชาวบ้านเรียกว่าบ้านไม้หมอน เพราะทำจากไม้หมอนรถไฟเสียเกือบทั้งหลัง ตั้งอยู่ชายป่า ดูแล้วคิดถึงบ้านของกัปตันวอนแทร็ป(พระเอกเรื่องซาวด์ออฟมิวสิค) ที่เวอร์มอนต์

มองข้ามรั้วของเวลเนสวีแคร์เข้าไปข้างใน
ภายในเวลเนสวีแคร์
บ้านโกรฟเฮ้าส์

พอเดินมาถึงรั้วของเวลเนสวีแคร์คราวนี้บรรยากาศหักมุมเป็นสีสันของดอกไม้และสิ่งปลูกสร้างด้วยวัสดุสมัยใหม่แต่ยังรักษาแนวคอทเท็จแบบยุโรปอยู่ ตัวบ้านโกรฟเฮ้าส์เป็นอาคารไม้เก่าหลังเดียวที่สถาปัตยกรรมเชื่อมโยงกับอาคารเพื่อนบ้านภายนอกได้

ดอกไม้โผล่เหนือรั้วหัก
บ้านในโคโฮสอง
ชั้นวางกระถางต้นไม้ และถังดินเผาหมักปุ๋ย
สวนครัวที่ระเบียงรับแขก

เดินมาถึงย่านโคโฮสองเห็นร่องรอยสไตล์การใช้ชีวิตจากดอกไม้ที่แพลมออกมาเหนือรั้วสีขาวเตี้ยที่หักเป็นฟันหรออยู่ บ้านนี้รู้จักกันจึงแวะเข้าไปจะทักทายแต่เจ้าของไม่อยู่ จึงแอบถ่ายรูปสวนครัวที่ระเบียงรับแขกและถังดินหมักปุ๋ยไว้เป็นที่ระทึก

มองให้ดีจึงจะเห็นบ้านสีครามซุกซ่อนอยู่

เราเดินผ่านที่เปล่าแปลงหนึ่งปลูกต้นไม้และตัดหญ้าไว้สวยงาม แต่เมื่อเขม้นมองให้ดีจึงจะเห็นว่ามีบ้านสีครามหลังเล็กๆซุกซ่อนอยู่

บ้านสร้างใหม่ ของคนรุ่นใหม่

เราเดินผ่านบ้านที่กำลังสร้างใหม่ ของคนรุ่นใหม่ แบบของเขาดูกุดๆห้วนๆตามสมัย เมื่อตั้งอยู่กลางดงไม้ที่กว้างใหญ่แล้วดูน่ารัก

นี่ก็อีกหลังหนึ่งของคนรุ่นใหม่

นี่ก็อีกหลังหนึ่งของคนรุ่นใหม่ ผมสรุปว่าถ้าจะเป็นคนรุ่นใหม่ต้องเหล็กแยะ กระจกแยะ แบนๆ ตัดๆ แบบเพิงหมาแหงนเหมือนลมพัดเอาหลังคาทิ้งไป มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนคนหนึ่งจะสร้างบ้านในมวกเหล็กวาลเลย์นี้แหละ ผู้หวังดีแนะนำให้สร้างทรงเพิงหมาแหงน เขาตอบว่า “ไปแหง็นไกลๆเลยไป”

บ้านที่อัครฐานที่สุดในหมู่บ้าน แต่ว่าเป็นบ้านร้าง

เราผ่านมาถึงบ้านที่อัครฐานที่สุดในหมู่บ้าน มีห้องนอนถึง 12 ห้อง รูปทรงแบบยุโรป ทำจากไม้สนทั้งหลัง สวยสุดบรรยาย แต่น่าเสียดายที่มันเป็นบ้านร้าง ของจริงหญ้าขึ้นรกแต่บ้านยังดีอยู่ ผมเอารูปเก่าสมัยที่ผมเช่าบ้านนี้ทำแค้มป์สุขภาพมาให้ดูเพื่อให้มีดอกไม้หน่อย

โคโฮหนึ่ง มีบ้านสีน้ำเงินเห็นแต่ไกล
บ้านนี้ระเบียงแดง ดอกไม้เหลือง มีอะไรแมะ
บ้านไม้สักทาสีขาว..แกรนด์เชียว
หมอสันต์ชอบบ้านนี้มากสุด คือบ้านคนสวน

เดินมาถึงย่านที่เรียกว่าโคโฮหนึ่งซึ่งมีบ้านหลายหลังปลูกอยู่ในรั้วเดียวกัน มองเห็นบ้านสีฟ้าครามเด่นเป็นสง่าก่อนเพื่อน แต่ที่หมอสันต์ชอบมากที่สุดคือบ้านคนสวน เห็นเล็กกระจิ๊ดอย่างนี้มีชั้นบนด้วยนะ

เห็นรั้วหน้าบ้านและทิวสนอย่าคิดว่าเป็นอิตาลี
ชาวบ้านตั้งชื่อให้ว่าบ้านมอร็อคโค ไม่รู้ทำไม

เดินต่อมาผ่านทิวสนเป็นแถวเหมือนแถบทัสคานี แวะถ่ายรูปบ้านมอร็อคโค (ชื่อชาวบ้านตั้งให้) สีบ้านจ๊าบอย่าบอกใครเชียว

แวะดื่มกาแฟบ้านเพื่อนหน่อย เขากางร่มรอแล้ว
ภูเขา บึงน้ำ โอ่งดิน และเจ้ามอนเต้

เดินมาจนเมื่อยขาแล้วเพิ่งได้ครึ่งหมู่บ้าน แวะดื่มกาแฟบ้านเพื่อนซี้หน่อยดีกว่า เธอเพิ่งปลูกเสร็จใหม่ๆและเพิ่งย้ายเข้ามา เจ้ามอนเต้กับเจ้าแจ๊ควิ่งลงมาทักทายระริกระรี้ เรานั่งละเลียดกาแฟและอาหารเช้าแบบอัตคัตประกอบด้วยกล้วยน้ำว้า น้อยหน่า และโยเกิร์ตจืดฝีมือเจ้าบ้านโดยลืมนึกไปว่าลุงตู่ห้ามเจ๊าะแจ๊ะไปมาหาสู่ พอนึกขึ้นได้ก็สายแล้วจึงลากลับ

แหงนหน้าขึ้นไปมองบ้านของตัวเองบนเนิน โอ้ ต้องเดินขึ้นอีกละ

กลับเข้าประตูบ้านของตัวเองแล้ว แหงนหน้าขึ้นไปมองบ้านหลังคากระเบื้องลอนสีส้มที่บนเนิน โอ้..ต้องเดินขึ้นอีกแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]