26 กันยายน 2556

กลุ่มอาการกระดูกหิว (Hungry Bone Syndrome)

 เรียน คุณหมอสันต์
คุณแม่อายุ  75 ปี ปกติท่านแข็งแรง ออกไปปั่นจักรยานในหมู่บ้านได้สบาย ปัญหาสุขภาพมีแต่ความดันเลือดสูงซึ่งหมอให้กินยา Amolodipine 5 มก. และ Anapril 5 มก. แต่ว่าเมื่อสามเดือนก่อนคุณแม่คลื่นไส้ปวดท้องมาก ไปโรงพยาบาล... หมอให้ส่องตรวจกระเพาะและลำไส้ใหญ่ สองครั้ง ส่องครั้งหลังไม่พบแผลในกระเพาะ แต่ว่ามีแคลเซียมในเลือดสูง แพทย์จึงตรวจต่อมพาราไทรอยแล้วพบว่าเป็นเนื้องอกต่อมพาราไทรอยด์ จึงผ่าตัดให้ คุณแม่ยอมผ่าตัดเพราะปวดท้องทรมานมาก หมอบอกว่าตัดต่อมออกไปต่อมเดียว หลังผ่าตัดมีอาการมือจีบบ้างแต่ก็หายไป ตอนนี้มีอาการ เป็นไข้ตัวร้อนบ่อยๆ ขี้หนาว บางครั้งถูกแอร์จะหนาวจนสั่น ปวดต้นคอ ไหล่ แขน ปวดมากจนไม่ยอมออกไปไหนอย่างเคยเพราะบอกว่าไปแล้วไม่สนุก ไม่ไปไหน ไม่ทำอะไร มีอาการใจสั่นด้วย และมีอาการซึมเศร้า ขี้กลัว ต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อน และชอบร้องไห้อยู่คนเดียว น้ำหนักคุณแม่ลดไปจาก 50 กก. เหลือ 45 กก. ตอนนี้ยาที่หมอให้มากินนอกจากยาความดันและวิตามินบี.รวมแล้วยังมียา Miracid และแคลเซียม 1000 มก. วันละเม็ด และวิตามินดี.3 อีกวันละเม็ด ผลเลือดเป็นอย่างที่ส่งมาให้คุณหมอดู แต่อาการต่างๆไม่ดีขึ้นเลย อยากทราบว่าคุณแม่เป็นอะไร ทำไมผ่าตัดแล้วยังต้องกินแคลเซียม เพราะตัดเอาต่อมออกมากเกินไปหรือเปล่า ทำอย่างไรจึงจะหาย ควรจะไปรักษาที่ไหนต่อดี

……………………………………….

Hb 10.3
Normochromia
Normocytosis
FBS 106
BUN 24
Cr 1.1
eGFR 54
Uric acid 6.4
Cholesterol 120
Triglyceride 56
HDL 61
LDL 68
Albumin 3.4
Globulin 3.6
Protein 7.0
SGOT 23
SGPT 24
Na 133
K 5.1
Ca 7.8
P 2.2

…………………………………………..

ตอบครับ

ถามว่าคุณแม่เป็นโรคอะไร ตอบแบบเดาเอาจากข้อมูลที่ให้มา ท่านน่าจะเป็นโรคที่เรียกว่า “กลุ่มอาการกระดูกหิว” ฟังชื่อน่ากลัวดีแมะ หิ..หิ ชื่อเขาอย่างนี้จริงๆ ผมแปลตรงๆมาจากภาษาหมอเลยนะ ซึ่งเขาใช้คำว่า “Hungry Bone Syndrome”

ก่อนที่จะอธิบายให้คุณและผู้อ่านท่านอื่นๆเข้าใจโรคที่มีชื่อเหมือนผีดุนี้ จำเป็นต้องย้อนไปปูพื้นให้เข้าใจธรรมชาติของร่างกายเราเกี่ยวกับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ก่อน คือคนเราปกติมีต่อมพาราไทรอยด์อยู่สี่ต่อม เป็นต่อมเล็กๆขนาดปลายนิ้วก้อย ฝังอยู่ที่หลังต่อมไทรอยด์ที่ข้างลูกกระเดือกของเราเนี่ยแหละ ข้างซ้ายสองต่อม ขวาสองต่อม ต่อมพาราไทรอยด์นี้ผลิตฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (parathyroid hormone) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันระดับแคลเซียมในร่างกายไม่ให้ต่ำเกินเหตุ ด้วยการกระตุ้นเซลสลายกระดูก (osteoclast) ให้สลายเอาแคลเซียมออกมาจากกระดูก ขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้ไตสร้างวิตามินดี (1,25-dihydroxycholecalciferol) ซึ่งจะไปเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากอาหารในลำไส้ให้เข้ามาสู่กระแสเลือดได้มากขึ้น ดังนั้นคนเราจะขาดต่อมพาราไทรอยด์หรือขาดฮอร์โมนพาราไทรอยด์ไม่ได้ ถ้าขาดแคลเซียมจะต่ำจนชักดึ๊ก..ดึ๊ก..ดึ๊ก แต่ว่าในบางคนต่อมพาราไทรอยด์เกิดมีเนื้องอกขึ้นมา แล้วเนื้องอกนี้ขยันผลิตฮอร์โมนพาราไทรอยด์ออกมาจนมากเกินไป ทำให้แคลเซียมในเลือดสูง เป็นนิ่ว หรือเกิดภาวะฉุกเฉินมีอาการแปลกๆเช่นดื่มน้ำมากฉี่มากเปลี้ยล้าอาเจียนปวดท้องมากจนต้องหามเข้าโรงพยาบาลเหมือนอย่างที่คุณแม่ของคุณเป็นนั่นแหละ แล้วพอเจาะเลือดดูแคลเซียมก็สูงปรี๊ด เขียนมาถึงตรงนี้ต้องขอชมหมอที่รักษาคุณแม่ของคุณหน่อยนะว่าเก่งมากเลยที่วินิจฉัยภาวะฉุกเฉินของต่อมพาราไทรอยด์ได้ เพราะธรรมดาโรคหมอส่วนใหญ่ไม่มีใครเคยเห็นจึงวินิจฉัยได้ยากมาก แล้วพอผ่าตัดเอาเนื้องอกออก ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ก็จะกลับมาเป็นปกติ ระดับแคลเซียมก็จะกลับมาเป็นปกติ ทุกอย่างก็จะหายดีดังเดิม ส่วนที่กลัวว่าตัดต่อมออกไปต่อมเดียวหรือข้างเดียวแล้วจะเป็นการตัดมากเกินไปจนฮอร์โมนไม่พอทำให้แคลเซียมต่ำได้ไหม ตอบว่าไม่ใช่หรอกครับ เพราะต่อมนี้ไม่ต้องมีถึงสี่ต่อม มีแค่ต่อมเดียวหรือเสี้ยวหนึ่งของต่อมเดียวก็พอใช้แล้ว กรณีของคุณแม่ของคุณนี้หมอเขาบอกว่าเอาออกไปข้างเดียว เหลือต่อมไว้อย่างน้อยก็สองต่อม รับประกันว่าเหลือเฟือ ไม่เชื่อไปให้หมอเขาเจาะดูระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์ดูก็ได้ รับรองไม่ต่ำกว่าปกติแน่นอน

แต่ว่าในบรรดาคนไข้ที่ผ่าตัดต่อมพาราไทรอยด์อย่างคุณแม่ของคุณนี้ แม้ว่าหลังผ่าตัดระดับฮอร์โมนปกติแล้ว แต่จะมีคนที่ผ่าตัดแล้วประมาณ 13% ที่การที่ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ลดลงพรวดพราดจากสูงปรี๊ดมาเป็นระดับปกติไปทำให้กระดูกเกิดเป็นงงกับชีวิต ว่าเฮ้ย เกิดอะไรขึ้น อยู่ๆฮอร์โมนที่เปรียบเสมือนคำสั่งจากเบื้องที่มาสั่ง สั่ง สั่ง ให้คอยทิ้ง ทิ้ง ทิ้ง แคลเซียม แต่ทันทีทันใดคำสั่งให้ทิ้งก็หยุดปึ๊ด ไม่สั่งแล้ว พวกเซลกระดูกจึงคิดว่าสงสัยโลกมันใกล้จะแตกเสียแล้วมัง อย่ากระนั้นเลยพวกเราตุนแคลเซียมเผื่อเหนียวไว้ดีกว่า คิดได้ดังนั้นแล้วพวกเซลกระดูกก็กักตุนแคลเซียมเป็นการใหญ่ทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง ระดับฟอลฟอรัสและแมกนีเซียมในเลือดก็ต่ำลงด้วยเพราะถูกกระดูกเก็บตุนเหมือนกัน พวกหมอจึงเรียกปรากฎการณ์นี้ว่ากลุ่มอาการกระดูกหิว (Hungry Bone Syndrome) แต่ว่าในคนที่เป็นโรคนี้ โปตัสเซียมในเลือดจะสูงขึ้นมากกว่าปกติ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าทำไม 

โดยทั่วไปในคนที่เป็นโรคนี้กระดูกจะหิวอยู่ไม่นาน แล้วก็จะค่อยๆกลับเป็นปกติ แต่ว่าในบางคนก็เป็นกระดูกหิวอยู่นานหลายเดือน แนวทางการรักษาของแพทย์ก็ไม่มีอะไรพิสดาร คือเพียงแค่ใช้หลักเฉยไว้ เดี๋ยวดีเอง ในระหว่างนี้ก็เอาแต่คอยให้แคลเซียมทดแทนไม่ให้ต่ำมากจนเกิดอาการ การให้แคลเซียมนี้ถ้าเป็นน้อยก็ให้กิน ถ้าเป็นมากก็ให้ฉีด กรณีให้กินต้องกินมากทีเดียว คือวันละ 2,000-4,000 มก. ทั้งนี้อย่าลืมว่าแคลเซี่ยมเม็ดบะเล่งเท่งที่ผู้หญิงทั่วไปกินกันนั้นมีแค่เม็ดละ 600 – 1,000 มก.เท่านั้น และการกินแคลเซียมนี้จะต้องไม่กินหลังอาหารทันที เพราะหากทำเช่นนั้นแคลเซียมจะไปจับกับฟอสเฟตในอาหารในลำไส้แล้วพากันออกไปทางก้นเสียฉิบ หมายความว่าออกไปทางอุจจาระโดยไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ร่างกายไม่ได้แคลเซียม จะต้องกินห่างจากมื้ออาหาร คืออย่างน้อยหลังจบมื้ออาหารแล้ว 1 ชั่วโมง แคลเซียมจึงจะถูกดูดซึมจากลำไส้เข้ากระแสเลือดได้

นอกจากการทดแทนแคลเซียมให้ทันแล้ว ยังต้องให้วิตามินดีด้วย เพราะวิตามินดี.จะช่วยการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ในงานวิจัยรักษาโรคนี้มีอยู่งานวิจัยเดียว ซึ่งเขาใช้วิตามินดี.3 แล้วพบว่าได้ผลดี วิตามินดี.3 นี้เป็นรูปแบบที่แอคทีฟพร้อมออกฤทธิ์ได้เลย อย่างไรก็ตามในกรณีที่ไม่ได้เป็นโรคไตเรื้อรัง หมายความว่ากลไกการเปลี่ยนวิตามินดีโดยไตยังใช้ได้ จะใช้วิตามินดี.2 แทนก็น่าจะได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ายังไม่เคยมีงานวิจัยเปรียบเทียบการใช้วิตามินดี.2 รักษาโรคนี้

นอกจากเรื่อง Hungry Bone Syndrome แล้ว ดูจากข้อมูลข้างบนคุณแม่ของคุณยังมีอีกหลายโรค อย่างน้อยก็มีอีกสี่โรค คือ

1.       โรคโลหิตจาง ซึ่งผมดูจากที่ฮีโมโกลบิน (Hb) ต่ำกว่าปกติ แสดงว่าถ้าไม่ขาดธาตุเหล็ก ก็ต้องขาดวิตามินบี 12 หรือไม่ก็ขาดโฟเลท หรือไม่ก็ขาดโปรตีน ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง สิ่งที่ควรทำคือเจาะเลือดดูระดับเหล็ก (ferritin) ก่อน ถ้าเหล็กไม่ต่ำก็ให้กินอาหารโปรตีนให้มากขึ้น กินวิตามินบี.12 และกินโฟเลทเสริม ถ้าขี้เกียจกินยาเม็ดเสริมก็กินผักสดผลไม้สดให้มาก เพราะเป็นแหล่งของโฟเลท

2.       โรคขาดอาหาร (protein energy malnutrition-PEM) ทั้งนี้ดูเอาจากการที่น้ำหนักลดพรวดพราด ไขมันในเลือดต่ำ โปรตีนในเลือดต่ำ คุณไม่บอกส่วนสูงมาด้วยจึงไม่รู้ว่าท่านผอมหรืออ้วน แต่เดาเอาว่าผอมแหงๆ การรักษาโรคขาดอาหารก็ต้องกิน กิน กิน กินโปรตีนแยะๆ กินไข่อย่างน้อยวันละ 1 ฟอง กินผักผลไม้แยะๆ

3.       โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ทั้งนี้ดูเอาจากผลค่า eGFR จำเป็นที่จะต้องป้องกันไม่ให้ไตเสื่อมลงเร็วเกินไป ผมเขียนเรื่องโรคไตเรื้อรังไปแล้วหลายครั้ง หาอ่านดูเองละกัน สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือดื่มน้ำให้มากพอเพียง วันละอย่างน้อยสองลิตร แล้วอย่าแก้ปวดเมื่อยด้วยการกินยาแก้ปวดแก้อักเสบ (NSAID) เพราะทำแบบนั้นไตจะพังเร็วดีนัก

4.       โรคซึมเศร้า ทั้งนี้ดูจากประวัติที่ชอบนั่งร้องไห้คนเดียว โรคนี้ส่งผลให้ไม่ได้ออกกำลังกาย พอไม่ได้ออกกำลังกาย ก็ทำให้ซึมเศร้า เป็นเวรเป็นกรรมต่อกันไปมาอย่างนี้ไม่รู้จบ ไปจบเอาตอนกระดูกพรุนแล้วหกล้มกระดูกหักเข้าโรงพยาบาล แล้วติดเชื้อ แล้ว.... ไม่ได้แช่งนะครับ แต่เส้นทางปกติมันเป็นสาละวันเตี้ยลงอย่างนี้จริงๆ การจะตัดวงจรชั่วร้ายนี้ต้องแข็งใจลากท่านไปออกกำลังกายก่อน ทั้งแบบแอโรบิกและแบบฝึกกล้ามเนื้อ ถ้าออกกำลังกายได้ เดี๋ยวอย่างอื่นมันจะดีเอง คือพอออกกำลังกายเหนื่อย ก็จะมีความอยากอาหาร พอได้อาหาร โลหิตจางก็จะดีขึ้น พอโลหิตจางดีขึ้น ภาวะซึมเศร้าก็จะดีขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังกายยังทำให้มีสารต้านซึมเศร้า (endorphine) ออกมาในเลือดมากขึ้น มันก็จะเข้าสู่ภาวะสาละวันลุกขึ้น ลุกขึ้น ลุกขึ้น สาละวัน ลุกขึ้นฟ้อน สาละวันเอ๊ย..ย

“..พลับพลึง กำลังช่อใหม่
ปลูกเอาไว้ อยู่ในแดนดง
รูปหล่อ ก็ออกมาโค้ง
รำวง รำวงสาละวัน
สาละวันลุกขึ้น
ลุกขึ้น ลุกขึ้น สาละวัน...”

ปล. ผมจะขอลากิจจากท่านผู้อ่านหนึ่งเดือนโดยไม่ตอบคำถามใครนะครับ จะไปขับรถแอ่วไปตามชนบทของประเทศเชค ที่ยุโรปตะวันออก ท่าทางจะม่วนขนาด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

[อ่านต่อ...]

19 กันยายน 2556

เมียไม่ยอมมีเซ็กซ์ด้วย (Female Sexual Dysfunction)

สวัสดีครับคุณหมอ..
ผมมีเรื่องรบกวนถามนะครับ..ผมอายุ 35 ปี สูง165 หนัก 48 กิโลไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ ไม่เคยนอกใจภรรยาแต่งงานมาปีนี้ก็ 7 ปีแล้ว มีลูก 2 คน คนโต 5 ขวบ คนเล็ก 3 ขวบ ภรรยาผมอายุ 35 ปีเท่ากัน....ปัญหาของผมคือ ภรรยาไม่ยอมมีอะไรด้วย (ก่อนมีลูกมีอะไรกันประมาณ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์แบบว่าสามารถสัมผัสเธอได้ทุกส่วนและสอดใส่ได้) รวมๆจะ 6 ปีแล้วที่ไม่มีอะไรกัน...ที่ผ่านมาพอเอ่ยปากขอ...เธอก็นอนคว่ำหนีบนมหนีบจิ๋ม (ขอโทษด้วยครับถ้าไม่สุภาพ) ให้ผมสัมผัสแค่แผ่นหลังและก้นเท่านั้น...เท่านั้นจริงๆ เป็นอย่างนี้มา 6 ปีแล้ว แรกๆก็คิดว่าอาจจะเครียดเรื่องเลี้ยงลูกเพราะลูกๆยังเล็กอยู่...แต่ตอนนี้ลูกๆพอรู้เรื่องขับถ่ายอะไรก็บอกได้ไม่ตื่นมาร้องงอแงกลางดึก จับฉี่ก่อนนอนแล้วลูกสามารถนอนยาวได้ถึงเช้าเลย...แต่พอลูกหลับเธอก็หลับตามไปเลย บางวันนัดแนะกันไว้อย่างดีแต่สุดท้ายก็หลับตามลูกไปเลยก็มี...เธอเคยขอว่าจะมี sex เฉพาะกลางคืน...เวลาอื่นไม่ได้ เคยคุยกันถ้าหลับเร็วอย่างนี้เราลองตื่นเช้าสักหน่อยแล้วมา sex กัน แต่เธอก็ไม่ยอม..........เคยมีบ้างบางครั้งที่พยายามสอดใส่เธอถึงกลับดิ้นบ้างร้องไห้บ้าง จนผมคิดว่านี่เรากำลังจะข่มขืนเธอรึนี่ และสุดท้ายก็หมดอารมณ์เลิก sex ไป ผมเคยอ่านหนังสือบางเล่มแนะนำให้ช่วยตัวเองให้เธอแอบเห็นบ้าง..ครับผมลองทำแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น....เคยคุยกันแบบจริงจังแล้วเธอ บอกว่าเครียดเรื่องลูก+งานทุกวันพาลไม่มีอารมณ์เธอคงให้ sex ไม่ได้อยากมีเมียน้อยก็ได้นะเธอไม่ว่าแต่อย่าทิ้งลูก (ผมนี่โมโหมากให้ไม่ได้ยังแนะนำทางลงนรกให้อีก) สรุปคือไม่มีทางออกครับ...อ้อ...งานบ้านผมก็ช่วยแบ่งเบาไม่ได้ปล่อยให้เธอทำคนเดียวนะครับ......ทุกวันนี้ผมช่วยตัวเองครับ.............จะเลิกก็คงทำไม่ได้เพราะห่วงลูกผมควรทำอย่างไรดีผมไม่รู้จะปรึกษาใคร....ทุกวันนี้ผมตั้งปณิทานว่าเราสองคนคงเป็นแค่คนสองคนมาทำหน้าที่พ่อและแม่เท่านั้นเอง ส่วนสามีภรรยาคงไม่มีที่ว่างให้ลง ผมลดบทบาทลงไปเยอะครับ แต่งงานมา 7 ปี ทุกวันเกิดของเธอวันวาเลนไทน์, วันครบรอบแต่งงานวันปีใหม่ ผมให้ดอกไม้ของขวัญทุกปีพาไปเที่ยวต่างจังหวัดเฉลี่ย 2 เดือน/ครั้ง...แต่คิดว่าผมคงทำต่อไปไม่ไหวแล้วและคงไม่ทำให้อีกต่อไป...........เมื่อก่อนเคยได้ยินที่เค้าพูดกันว่าอยากจนแทบตะกายฝาผนังเป็นยังงัยตอนนี้เข้าใจแล้วสุดๆ

.....................................................


ตอบครับ

     พุทธัง ธัมมัง สังคัง อะไรมันจะคัน เอ๊ย ไม่ใช่ อะไรมันจะปวดหมองอย่างนี้ อ่านจดหมายของคุณจบแล้วผมพูดไม่ออก บอกไม่ถืก มันเขิน แบบว่า

“...อยากจะบอกว่ารัก ได้แต่ร้อง เย เย เย
เย เย เย เยเยเย้
เย เย เย เยเยเย้
เย เย เย เยเยเย้
เย เย เย
เย เย เย เยเยเย้
เย เย เย
อยากจะบอกว่ารัก ได้แต่ร้อง เย เย เย.....”

เอาเถอะ เลิกเขินละกัน มาตอบคำถามของคุณดีกว่า

     ถามว่าภรรยาคุณเป็นอะไรไป ทำไมจึงเป็นคนหยั่งนี้ ตอบแบบเหมาเข่งว่าเธอมีปัญหาเซ็กซ์ผิดปกติในผู้หญิง (Female Sexual Dysfunctionหรือ FSD) ซึ่งเป็นปัญหาหนักอกวงการแพทย์มาก เพราะไม่ใช่จะวินิจฉัยและรักษากันได้ง่ายๆแบบของผู้ชายซึ่งมี “นกเขา” เป็นเครื่องมือแบบว่าออลอินวันตัวเดียวอันเดียว ถ้านกเขามันไม่คึกหรือไม่ขัน การวิจัยและรักษามันก็เจาะไปที่เดียวมันจึงง่าย แต่ว่าผู้หญิงนี้แท้จริงแล้วเรื่องมาก มีประเด็นปลีกย่อยแยะ โรคนี้ในผู้หญิงถูกแจกลูกออกไปตามสาเหตุและอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันอีกเพียบ เช่น

1.      Noncoital sexual pain คือยังไม่ทันเข้าได้เข้าเข็มกันเลย แค่ลูบๆคลำข้างนอกก็เกิดอาการปวดในช่องคลอดรุนแรงจนทำอะไรต่อไม่ได้ ขืนทำต่อก็ได้เลือดตกยางออกกันแน่นอน
2.      Vaginismus คือตอนโหมโรงก็โอเค. แต่พอจะมีการสอดใส่อวัยวะเพศ ช่องคลอดจะหดตัวรุนแรงจนสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปไม่ได้เลย ทั้งๆที่ช่องคลอดไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
3.      Dyspareunia คือเจ็บช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์ บ่อยๆเข้าแค่คิดถึงก็เจ็บแล้ว อย่าว่าแต่มีเซ็กซ์จริงเลย
4.      Orgasmic disorder คือตั้งแต่เกิดเป็นลูกผู้หญิงมา ไม่เคยถึงจุดสุดยอดเวลาร่วมเพศกับเขาบ้างเลย ก็เลยเซ็ง ซะงั้น
5.      Sexual arousal disorder พูดง่ายๆว่าโรคปลุกมู้ดไม่ขึ้น ลูบๆคลำๆยังไงก็ไม่มีอารมณ์
6.      Sexual aversion disorder คือกลัวการมีเซ็กซ์แบบขี้ขึ้นสมอง หนีสุดฤทธิ์สุดเดช
7.      Hypoactive sexual desire disorder (HSDD) คือ มันเบื่อ แรกๆก็เบื่อๆอยากๆ หนักเข้าก็มีแต่เบื่อล้วนๆ ไม่มีอยาก

     เรื่องโรคไม่เอาเซ็กซ์ในผู้หญิงนี้ วงการแพทย์ก็ทำได้แค่จำแนกโรค แต่ไม่เคยมีวิธีรักษาอะไรที่ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม งานวิจัยยาปลุกเซ็กซ์หญิงด้วยความเชื่อว่าเป็นเพราะขาดสารเคมีที่เชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเซลประสาท (neurotransmitter) จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถผลิตยาออกมาได้ วิธีรักษาปัจจุบันจึงสะเปะสะปะ รักษาไปแล้วไม่รู้ว่าได้ผลหรือเปล่า เพราะไม่มีผลวิจัยเปรียบเทียบ แต่ผมจะพยายามรวมรวมให้เป็นหมวดหมู่ให้เข้าใจง่าย ว่าการรักษาปัจจุบันมีอยู่สามส่วน คือ

     ส่วนที่ 1. การค้นหาและรักษาโรคร่วม ที่อาจจะเป็นสาเหตุของเซ็กซ์เสื่อมในผู้หญิง รวมทั้งวิเคราะห์ยาที่ทานอยู่ประจำด้วย เช่น

1.1  โรคเบาหวาน ทำให้ช่องคลอดแห้ง ช่องคลอดอักเสบ ติดเชื้อ
1.2  โรคต่อมไทรอยด์ ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต ทำให้ช่องคลอดแห้ง
1.3  โรคโลหิตจาง ทำให้ไร้ความรู้สึก ปลุกไม่ขึ้น
1.4  โรคอัมพาต อัมพฤกษ์ หรือบาดเจ็บของไขสันหลัง ทำให้ความรู้สึกลดลง
1.5  ช่องคลอดอักเสบ ติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ ทำให้เจ็บเวลาร่วมเพศ
1.6  เนื้องอกมดลูก ทำให้หมดอารมณ์ ปลุกยาก
1.7  โรคไตวาย ทำให้ฮอร์โมนเสียดุลจนความอยากลดลง
1.8  โรคข้ออักเสบ ทำให้ไม่อยากขยับตัว อย่าว่าแต่เด้งเลย เพราะมันปวดข้อ
1.9  การผ่าตัดใดๆที่เคยทำ เช่นตัดรังไข่ ตัดมด (ศัพท์ของพยาบาลที่เขาเรียกตัดมดลูกนะครับ) ทำให้ช่องคลอดแห้งได้
1.10          การตัดฝีเย็บ (episiotomy) ขณะคลอด อาจมีผลให้เกิดปากช่องคลอดรัดตัวมากจนเจ็บได้
1.11          การผ่าตัดเต้านม มีผลให้เสียความมั่นใจ จนหมดอารมณ์ได้
1.12          ยาลดความดัน และยารักษาโรคจิตโรคประสาททั้งหลาย ล้วนลดความอยากทางเพศ และทำให้ถึงออร์แกสซั่มยาก
1.13          ยาแก้ปวดในกลุ่มฝิ่น มอร์ฟีน โคเดอีน ทำให้ความอยากทางเพศหายไปได้

    ส่วนที่ 2. การใช้ยา ซึ่งก็มียาเท่าที่มีให้หมอเลือกใช้ตอนนี้มีอยู่สองตัว คือฮอร์โมนเพศหญิงทดแทน ในกรณีที่ระดับฮอร์โมนเพศหญิงลดลงต่ำเนื่องจากใกล้หมดหรือหมดประจำเดือน เพราะถ้าไม่ทดแทนช่องคลอดและอวัยวะเพศก็จะแห้ง ยาอีกตัวหนึ่งที่ FDA อนุมัติให้ใช้คือฮอร์โมนเพศชาย (เทสโทสเตอโรน) ชนิดแปะผิวหนัง ทั้งนี้เพราะการเกิดความรู้สึก “อยาก” ในทางเพศนี้ ไม่ว่าจะในผู้ชายหรือผู้หญิง ล้วนขับดันโดยฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทั้งสิ้น ยานี้มีขายในชื่อการค้าว่า Intrinsa

     ส่วนที่ 3. การพยุงด้านจิตวิทยา ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นการรักษาในบริบทของ “ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา” ทั้งนี้ต้องคุยกันโดยมีจิตแพทย์เป็นกรรมการกลางนะ เพราะจะหวังให้คุยกันเองแล้วรู้เรื่องนั้นยากส์ คุณเองก็บอกว่าคุยกันแล้วก็ได้ข้อสรุปแบบกระต่ายขาเดียวว่า

 “ฉันเครียด..ฉันไม่มีอารมณ์ เข้าใจมั้ย”

พูดถึงเครียดแล้วไม่มีอารมณ์เซ็กซ์ ผมมีเรื่องจริงจะเล่าให้ฟัง สมัยก่อนตอนที่ผมยังเป็นแพทย์ประจำบ้านเรียนวิชาผ่าตัดหัวใจที่สถาบันแห่งหนึ่งในเมืองไทยนี่แหละ สมัยนั้น (ประมาณ พ.ศ. 2526) ห้องผ่าตัดหัวใจหรือ “ห้องฮาร์ท” เป็นอะไรที่เคร่งเครียดมาก เพราะเทคโนโลยีสมัยนั้นยังไม่ดีมากเท่าปัจจุบัน จะหยุดหัวใจนานๆก็ไม่ได้ ต้องรีบลนลานทำผ่าตัดให้เสร็จทันก่อนที่หัวใจจะไม่ยอมกลับมาเต้น อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยก็สูงกว่าปัจจุบัน ความเครียดแผ่ไปทุกอณู ทุกคนต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาทำงานในห้องนี้คนละหนึ่งเดือนบ้าง สองเดือนบ้าง มียกเว้นก็แต่ตัวศัลยแพทย์และแพทย์ประจำบ้านในสาขานี้เท่านั้นที่ต้องอยู่โยง ส่วนคนอื่นนั้นใครขืนอยู่ประจำก็มีหวังบ้าตาย อย่างพยาบาลถ้าใกล้เวลาหมุนเวียนมาอยู่ห้องฮาร์ท ก็จะเริ่มเครียดและเมนส์จะเริ่มขาดตั้งแต่ยังไม่ทันมาทำงานกันเลยเชียว มันเครียดขนาดนั้น

 มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อเจ้านายผ่าตัดเสร็จและออกจากห้องไปแล้ว ผมกำลังเย็บลวดปิดหน้าอก บรรยากาศก็ผ่อนคลายพอให้พวกเราได้คุยอะไรกันคลายเครียดบ้าง ผมได้ยินพยาบาลดมยาหน้าใหม่ซึ่งเพิ่งหมุนเวียนเข้ามาปรับทุกข์กับพี่ของเธอว่า

“..หนูไม่รู้จะทำยังไงพี่ กลางวันเครียดจากงานก็พอทนแล้ว กลางคือก็ต้องทน ผ. ของหนูมันก็มาคอยวอแวเกาะแกะอยู่นั่นแหละ..”

แล้วผมก็ได้ยินคำแนะนำแบบภูมิปัญญาของผู้อาวุโสฝ่ายพยาบาลเต็มสองรูหูว่า

“..เอาอย่างพี่สิน้อง พี่ถีบแม่..ม เลย”
  
ฮะ..ฮะ...ฮ่า... ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

พูดถึงไหนละ อ้อ เรื่องการรักษาด้วยวิธีพยุงทางด้านจิตวิทยา สรุปก็คือพูดง่ายๆว่าต้องมาหาจิตแพทย์ด้วยกันทั้งคู่ เพื่อให้จิตแพทย์เป็นกรรมการกลาง ประเด็นหลักก็จะเป็นการค้นหาและแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกันและการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจอะไรไม่ตรงกัน ไม่ว่าจะสื่อสารด้วยวาจาหรือด้วยท่าทาง รวมทั้งการหาทางรื้อฟื้นการสร้างความหวานซึ้งตรึงใจกันด้วยวิธีอื่นที่ไม่ต้องมีเซ็กซ์กันขึ้นมาใหม่ด้วย ถ้ามีความเครียดแฝงอยู่ตรงไหน ก็แก้ไขตรงนั้น

      ทั้งสามส่วนที่ว่ามานั้นเป็นหลักวิชานะครับ ส่วนชีวิตจริงคุณตัดสินใจเอาเอง หากยึดว่าอย่างไรเสีย คุณก็จะไม่ทิ้งลูก คุณก็เหลือทางเลือกอยู่สี่ทางเท่านั้น คือ

(1) พากันไปหาจิตแพทย์
(2) ทนๆไป เดี๋ยวก็แก่และเฉาตายจากกันไปเอง
(3) แอบไปเที่ยวผู้หญิง
(4) มีเมียน้อย (ต้องมีเงินพอด้วยนะ)

      ผมไม่แนะนำหรอกว่าเลือกวิธีไหนจึงจะดี เพราะพูดไปแล้วกลัวบาปปาก คุณตัดสินใจเองก็แล้วกัน ฮิ..ฮิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1.     Basson R, et al. “Report of the International Consensus Development Conference on Female Sexual Dysfunction: Definitions and Classifications,” Journal of Urology 2000 : 163;888–895
2.     Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (4th ed.). Washington DC: American Psychiatric Association. 2000.
3.      Warnock JJ (2002). "Female hypoactive sexual desire disorder: epidemiology, diagnosis and treatment"CNS Drugs 16 (11): 745–53. PMID 12383030.
4.     Clayton AH (July 2010). "The pathophysiology of hypoactive sexual desire disorder in women"Int J Gynaecol Obstet 110 (1): 7 -11. doi:10.1016/j.ijgo.2010.02.014.PMID 20434725.


[อ่านต่อ...]

17 กันยายน 2556

หญิงผ่าตัดลิ้นหัวใจจะมีลูก (valve operation)

คุณหมอคับ

ผมชื่ออะบราฮีม อยากถามว่าผู้หญิงที่เป็นลิ้นหัวใจรั่วที่รักษาโดยการผ่าตัดแล้วแล้วก็หายดีแล้ว เขาจะมีเพศสัมพันธ์เหมือนกับคนปกติได้หรือไม่ และมีอันตรายต่อรั่งกายไหม และจะมีลูกได้หรือไม่

สวัดดีคับ

..............................................

ตอบคับ

1. ถามว่าหญิงที่ผ่าตัดลิ้นหัวใจแล้วมีเซ็กซ์ได้ไหม ตอบว่ามีได้สิครับ มีได้แน่นอน มีได้ทุกเมื่อ มีได้ทันที มีได้ทุกท่า ไม่มีข้อจำกัด ไม่ต้องขออนุมัติใครด้วย

2. ถามว่าผู้หญิงที่ผ่าตัดลิ้นหัวใจแล้วจะมีลูกได้ไหม ตอบว่าแล้วแต่ผ่าตัดแบบไหน ผมแยกเป็นสองแบบนะครับ

2.1 ถ้าผ่าตัดซ่อมแซมลิ้น (valvuloplasty) ตอบว่า ก็ไม่มีปัญหา ถ้ามีแรง ก็มีลูกได้ หมายความว่าถ้าสภาพของหัวใจดี ไม่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ก็มีลูกได้

2.2 ถ้าผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม (valve replacement) ซึ่งมักจะต้องกินยากันเลือดแข็ง (warfarin) แบบตลอดชีพ แหะ..แหะ ตอบว่า อีนี้..มีลูกแล้วลำบากนะนายจ๋า แต่ก็มีได้ วิธีการก็คือก่อนจะทำลูกต้องทำสัญญากับหมอหัวใจและหมอสูติที่ดูแลอยู่ประจำก่อน หมายความว่าต้องตกลงกับหมอก่อนจะนอนกับแฟนด้วยซ้ำไป ต้องแจ้งแพทย์ว่าจะนอนกับแฟนแบบปล่อยโล่งโจ้งไม่มีการคุมเลยตั้งแต่เมื่อใด วัน ว.เวลา น. บอกให้หมด แต่สถานที่ไม่ต้องบอกก็ได้ (ขอโทษ..พูดเล่น) เหตุผลก็เพราะว่ายา warfarin นี้จัดเป็นยา category X หมายความว่ามีหลักฐานชัดเจนแน่นอนว่าทำให้ทารกพิการทั้งในสัตว์และในคน หากมีแผนจะนอนกับแฟน เอ๊ย.. ไม่ใช่ มีแผนจะตั้งครรภ์ หมอเขาจะต้องเปลี่ยนไปเป็นยากันเลือดแข็งชนิดฉีด (heparin) ซึ่งปลอดภัยต่อทารก และจะต้องฉีดยาไปทุกวันๆจนกว่าจะเริ่มตั้งครรภ์ แล้วต้องฉีดต่อไปอีกทุกวันๆจนกว่าทารกในครรภ์จะโตพ้นสามเดือนแรกซึ่งเป็นช่วงวิกฤติที่ทารกจะพิการได้ไปแล้ว จึงจะเปลี่ยนกลับมาเป็นยากินได้ แล้วพอใกล้ๆจะคลอดก็ต้องเปลี่ยนกลับมาเป็นยาฉีดอีกที เพราะตอนคลอดจะเสียเลือดมากต้องใช้ยาฉีดจึงจะคุมสถานะการณ์ได้ อย่างนี้เรียกว่าลำบากมั้ยละ

ดังนั้น ถ้าเห็นว่าลำบากนักก็ไปขอลูกเขามาเลี้ยง ขอเมี่ยงเขามาอมซะ อาจจะดีกว่า..นะนายจ๋า


นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]