30 กรกฎาคม 2562

แพทย์หนุ่มไปเมืองนอกเมืองนากลับมาแล้วท้อถอย

ผมเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่โรงพยาบาลติดชายแดนทางภาคเหนือครับ ช่วงนี้ผมกำลังตัดสิ้นใจกลับไปศึกษาต่อ Residency แต่ยังไม่แน่ใจว่าแผนกไหนดี และควรวางแผนตัวเองอย่างไรครับ ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปประชุมวิชาการหลายที่ ไปแลกเปลี่ยนที่โรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นมาสามแห่งครับ ผมได้เรียนรู้ว่า แค่ผมจบมาไม่กี่ปี ความรู้ นวัตกรรมทางการแพทย์เปลี่ยนไปอย่างมาก แต่หลายๆ อย่างที่ผมได้เรียนรู้ใหม่ๆ กลับไม่ได้มีโอกาสมาใช้เท่าไร ตัวอย่างเช่น ที่บนดอยที่ผมทำงาน มีคนไข้เป็นวัณโรคเยอะมาก แต่ รพ. ไม่มีงบประมาณเพียงพอในการส่งตรวจเชื้อดื้อยา หรือ pcr  ต่างๆ
หรือเคสที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง/หลอดลมอักเสบอยู่เดิม การวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์ปอดไม่แม่นยำมากนัก แต่หากเลือกส่ง ct scan ก็จะทำให้โรงพยาบาลขาดทุนพอสมควร สุดท้าย คนที่ได้รับความเดือดร้อนคือผมที่เริ่มหมดไฟ อุตส่าห์นั่งอ่านหาความรู้ใหม่ๆ แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ใช้ และคนไข้หลายคนกว่าจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคดื้อยาหรือมะเร็งปอด ก็ล่าช้าครับ

ผมได้อ่านบทความอาจารย์ถึงที่ อาจารย์เคยเล่าว่า อาจารย์ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ด้วยงบรายหัวนี้ที่รัฐบาลให้เพียง 3,000 - 5,000 บาท/หัว มันก็ไม่น่าเพียงพอที่เราจะให้การรักษาการแพทย์ตามที่วิทยาการความรู้การแพทย์ก้าวหน้า ทั้งการตรวจยีน การตรวจรังสีวิทยาใหม่ๆ รวมถึงยาใหม่ๆ ก็ล้วนมีราคาแพง ที่ไม่ระบบประกันสุขภาพไม่น่าจะจ่ายไหว
ประกอบกับ ช่วงปีที่ผ่านมา ผมเห็น หลากหลายองค์กรในประเทศและในโลกต่างปรับตัวจาก technology and digital disruption มากมาย แต่โรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณสุขในต่างจังหวัดที่ผมทำงานอยู่ ยังไม่ได้ปรับตัวใดๆ วันนี้คนไข้เราค่อนข้างเยอะ ทีมสหวิชาชีพก็ยังให้การรักษาแบบเดิมๆ ไปเรื่อยๆ แล้วในอนาคตข้างหน้า การแพทย์ไทย โดยเฉพาะระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า จะเดินต่อไปอย่างไร เมื่อเทคโนโลยีการแพทย์มีแม่นยำมากขึ้น แต่ราคาแพง แต่เราก็เพิกเฉยไม่นำมาใช้ เพราะราคาแพง

ผมจึงมีคำถามกับตัวเองครับว่า ถ้าผมจะไปเรียนต่อ ผมควรวางแผนชีวิตตัวเองอย่างไร และกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาตนเองอย่างไร
ขอบคุณครับ

......................................................

ตอบครับ

     ขออนุญาตหยิบจดหมายของหมอน้อยชายแดนขึ้นมาตอบ ท่านผู้อ่านขาประจำที่อยากจะอ่านเรื่องโรคอาจจะข้ามบทความนี้ไปก่อนก็ได้นะ หมอสันต์จำเป็นต้องตอบจดหมายน้องๆแพทย์รุ่นหลัง มีสาระบ้างไม่มีสาระบ้างตอบหมด เพราะสมัยตัวเองเป็นหมอหนุ่มๆเคยพยายามถามหมอรุ่นเก่าๆไม่มีใครยอมแชร์ประสบการณ์หรือช่วยไขข้อข้องใจอะไรให้เลย มีแต่หัวเราะหึ..หึแล้วว่าเอ็งจะตรัสรู้เอง เมื่อตัวเองมาเป็นหมอแก่ หมอหนุ่มๆสาวๆเขาข้องใจอะไรในชีวิตผมตอบให้เขาหมด เป็นการชดเชยเมื่อผมอายุเท่าพวกเขาผมอยากได้คำแนะนำจากรุ่นพี่แต่ไม่เคยได้

     ประเด็นที่ 1. ไปเห็นเมืองนอกเมืองนา กลับมาแล้วท้อถอย เพราะเราไม่มีเครื่องมือดีๆให้ทำงานหนุกๆอย่างเขา การได้ไปเห็นเมืองนอกเมืองนาเป็นของดีนะ แต่การเห็นของดีแล้วกลับมาท้อถอยเป็นการเห็นอย่างไม่เป็นมวย ผมจะเล่าเรื่องจริงให้ฟังนะ สมัยผมเป็นแพทย์ประจำบ้านอยู่เมืองนอก นอกจากหมอฝรั่งแล้วยังมีหมอกะเหรี่ยงหลายชาติหลายภาษาเป็นแพทย์ประจำบ้านรุ่นเดียวกัน คนหนึ่งฉลาดปราดเปรื่องมากเป็นคนอินเดียมาจากแคว้นพิหารซึ่งเขาบอกว่าเป็นถิ่นของคนจนในบรรดาคนจน คือจนมากว่าง้้นเหอะ ตอนเป็นแพทย์ประจำบ้านเราก็เรียนเทคโนโลยีใหม่ๆเหมือนกัน สมัยนั้นการค้นพบใหม่ๆของวงการผ่าตัดหัวใจคือการใช้เครื่องหัวใจและปอดเทียมช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วยหนักที่รอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เรียกว่าเครื่อง ECMO ผมกลับมาก็ดิ้นรนขวานขวายจนมีเครื่อง ECMO ใช้แบบฝรั่งเขาบ้าง กลับมาทำงานเมืองไทยผ่านไปหลายปีมีโอกาสได้เจอกันกับเพื่อนเก่าที่เป็นหมออินเดีย เรารำลึกความหลังกันสนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกวันอาทิตย์ที่เราเวียนเทียนไปกินบาร์บีคิวดื่มไวน์กันที่บ้านพวกเรากันเองแบบผลัดกันเป็นเจ้าภาพ เมียๆก็เม้าท์กันไป ลูกๆก็เล่นกันไปแบบสนามเด็กเล่นนานาชาติ พวกเราดื่มไวน์เมาได้ที่แล้วก็นินทานายทำท่าล้อเลียนนายเป็นที่สนุกสนาน คุยเรื่องอดีตพอหอมปากหอมคอแล้วก็หันมาถามข่าวคราวว่าคุณกลับประเทศตัวเองแล้วทำอะไรบ้าง ผมก็เล่าว่าผมพยามใช้ ECMO ยื้อคนไข้เพื่อให้ได้ทำผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจมากขึ้น เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่าข้าได้เล่นของแพง แล้วผมก็ถามหมอแขกบ้าง หมอแขกเล่าว่าเขาพัฒนาการผ่าตัดบายพาสโดยใช่ไหมเย็บเส้นเดียว คือปกติในการทำผ่าตัดบายพาส (CABG) เราจะบายพาสหลอดเลือดคราวละสี่เส้นบ้าง ห้าเส้นบ้าง อย่างน้อยก็สามเส้น ต่อบายพาสหลอดเลือดหนึ่งเส้นก็แน่นอนต้องใช้ไหมเย็บหนึ่งเส้น การพัฒนาเทคนิคให้ใช้ไหมเย็บเส้นเดียวเย็บได้หมดในการต่อหลอดเลือดสี่ห้าเส้นอาจจะไม่ใช้เรื่องไฮเทคอะไร แต่มันประหยัดเงินของชาติที่ยากจนอยู่ได้มหาศาลเพราะไหมเย็บในงานผ่าตัดหัวใจสมัยนั้นชื่อ Prolene มันราคาแพงมาก คุณหมอเห็นความแตกต่างระหว่างผมก้บหมอแขกไหม ผมไปอยู่กับฝรั่ง เรียนรู้วิธีของฝรั่ง ฝรั่งทำอะไร ผมเอามาทำตามในลักษณะเลียนแบบ ภาคภูมิใจว่าได้เล่นของแพง โดยบ้านเมืองต้องจ่ายเงินมากขึ้น แต่หมอแขกไปอยู่กับฝรั่ง เรียนรู้วิธีของฝรั่ง แต่กลับมาแล้วเอาวิธีของฝรั่งเป็นแค่พื้นฐานมาประยุกต์สร้างวิธีของตัวเองขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ที่ทำงานของตัวเองได้ตรงๆเหน่งๆ คุณหมอคิดว่าผมกับหมอแขกใครเจ๋งกว่ากันละ

     ความรู้เรื่องการวินิจฉัยวัณโรคด้วยการตรวจยีน (polymerase chain reaction - PCR) ก็ดี เรื่องการใช้ imaging ดีๆอย่าง CT เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยถุงลมโป่งพองก็ดี มันเป็นความรู้ที่ดีนะ เป็นของดี ไม่ใช่ของไม่ดี แต่เมื่อเราเรียนมาแล้ว และเราสามารถเอาความรู้นั้นมาประยุกต์พัฒนางานของเราในบริบทหรือสิ่งแวดล้อมที่ออกจะล้าหลังที่เราเผชิญอยู่ได้นะโดยไม่ต้องใช้เงินซื้อเทคโนโลยีมากๆตามเขาเสมอไป

     ยกตัวอย่างเรื่องการวินิจฉัยวัณโรค หมอชายแดนมีอาวุธจำกัดคือ (1) ภาพเอ็กซเรย์ปอด (2) การย้อมเสมหะ (3) การส่งเชื้อไปเพาะเชื้อซึ่งใช้เวลานานเกินไป รพ.ชายแดนไม่มีเงินซื้อเครื่องตรวจ PCR แต่ผมทราบว่าเดี๋ยวนี้กรมวิทย์ฯได้พัฒนาวิธีตรวจยีนวัณโรคแต่ไม่ใช้เครื่องตรวจแบบ PCR ไปใช้เทคนิคเรียกว่า TB-LAMP แทน  ผมเคยอ่านผลงานวิจัยที่ทำกับคนไข้จริงที่อุบล ความไวและความจำเพาะไม่ต่างจาก PCR เลยนะ ราคาก็ถูกใช้ที่รพ.อำเภอได้เลย แล้วใช้เวลาตรวจแค่สองสามชั่วโมง ตรงนี้ก็เป็นโอกาสให้สร้างสรรค์ได้ คุณหมอก็ทำวิจัยรักษาวัณโรคโดยวินิจฉัยจาก TB-LAMP แล้วส่งเพาะเชื้อแล้วรายงานผลออกมาว่าในรพ.ชายแดนไกลๆอย่างนั้นสามารถวินิจฉัยได้เร็วและแม่นยำเท่า PCR จริงหรือเปล่า นี่เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนมุมไปเล่นกับความท้าทายในบริบทที่เราถูกมัดมือชก

     ถึงความทันสมัยของเครื่องมือวินิจฉัยด้วยภาพอย่าง CT ก็เช่นกัน สมัยหนึ่งราวสิบห้าปีมาแล้ว ผมรับเชิญไปสอนที่มหาวิทยาลัยแพทย์แห่งหนึ่งที่ไต้หวัน รู้สึกว่าจะชื่อ "หร่งจน" เขาพาผมไปเดินทัวร์ เฉพาะห้องฉุกเฉิน (ER) ของรพ.แห่งนี้ห้องเดียว มีเครื่อง CT เจ็ดเครื่อง ไม่ต้องพูดว่าทั้งโรงพยาบาลมันจะมีกี่สิบเครื่อง แต่คุณหมอคิดว่าแพทย์ประจำบ้านอีอาร์ที่ไต้หวันจะเก่งกว่าแพทย์ประจำบ้านอีอาร์.ไทยที่ไม่มีเครื่องซีที.สักเครื่องเดียวหรือไม่ คำตอบคุณหมอก็คงรู้ ไม่อย่างแน่นอน ความท้าทายในงานอาชีพ มันขึ้นอยู่กับเราเลือกพลิกใช้ประโยชน์จากบริบทที่เรามีอยู่เป็นอยู่ ไม่ใช่ว่าไปเห็นที่เขารวยกว่าเราดีกว่าเราแล้วกลับมาเซ็งเลิกอาชีพไปขายเต้าฮวย

     สมมุติว่าคุณหมออึดอัดขัดข้องว่าไม่มี CT เพื่อจะวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพองได้แม่นยำ แต่การไม่มีมันก็เปิดโอกาสให้เปลี่ยนมุมเล่นได้นี่ คุณหมอก็รู้อยู่แล้วว่าโรคในกลุ่มทางเดินลมหายใจอุดกั้นเรื้อรังความสำคัญอยู่ที่การจัดการโรคมากกว่าความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค และการจัดการโรคในกลุ่มนี้ความสำคัญอยู่ที่ส่วนที่คนไข้จะเป็นคนทำ ไม่ใช่ส่วนที่หมอจะเป็นคนทำ เราก็เปลี่ยนมุมไปเล่นกับการจัดการโรคในเชิงสร้างโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ อาหาร การออกกำล้งกาย การทำการฟื้นฟูโดยเอาคนไข้เป็นพระเอกหรือเป็นผู้ทำ ทำโปรแกรมนี้ตั้งแต่เมื่อวินิจฉัยแบบเดาเอา (provisional Dx) แล้ว ก็จะได้ข้อมูลไปสู่การเรียนรู้ใหม่ว่าการรีบจัดการโรคตั้งแต่ยังวินิจฉัยจริงไม่ได้ โหลงโจ้งแล้วผลมันจะดีกว่าใช้ต้นทุนต่ำกว่าการรอการวินิจฉัยขั้นสุดท้ายให้ได้แล้วค่อยลงมือรักษาแบบที่เคยทำกันมาหรือเปล่า..เป็นต้น

     ประเด็นที่ 2. ระบบสามสิบบาท ถามว่าระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สามสิบบาท) มีงบค่าใช้จ่ายรายหัวต่ำระดับ 3,000-5,000 บาท มันไม่พอแหงๆ แล้วจะยังไงต่อละครับ แล้วจะยังไงต่อ หรือ What next? เป็นสูตรสำเร็จของการหนีชีวิตในปัจจุบันไปอยู่ในอนาคตนะครับ คุณหมอจะเผลอทำราชการไปจนถึงเกษียณโดยไม่ได้ทำงานจริงๆเลยถ้าเอาแต่ถามว่า What next? หากอยากมีความสุขกับการทำงานให้หามุมสร้างสรรค์ทำสิ่งใหม่ๆขึ้นมาจากสิ่งที่เรามีในระบบปัจจุบันนี้แหละ ให้คุณหมออยู่กับ What is อย่าไปรอ What should be

     พูดถึงระบบสามสิบบาท สมัยที่ระบบนี้คลอดออกมาใหม่ๆคนในวงการแพทย์ส่วนใหญ่เดาว่าคงไปได้ไม่กี่ปีก็ล่ม แต่นี่มันก็อยู่มาได้ 18 ปีแล้วนะ แน่นอนว่ามันมีจุดบกพร่องโดยเฉพาะในประเด็นที่มาของเงินที่จะนำมาหล่อเลี้ยงระบบ แต่คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเช่นนักการเมืองผมคิดว่าเขาก็กำลังหาทางแก้ไขกันอยู่ แต่คุณหมออย่าไปชะเง้อคอรอคอยให้ระบบมันดีกว่านี้ก่อนเลย ลงมือสร้างสรรค์สิ่งดีๆในระบบที่มีอยู่นี่แหละ..เชื่อผม ส่วนตัวระบบสามสิบบาทนั้นถ้าคุณหมอเป็นห่วงผมรับประกันด้วยการเดาเอาว่าไม่ล่มแน่ เหตุผลของผมก็เพราะโรคใหญ่ๆสมัยนี้หากไม่นับโรคติดเชื้ออย่างวัณโรคและโรคเอดส์แล้ว โรคใหญ่ๆสมัยนี้ไม่ต้องมีเครื่องมือวินิจฉัยราคาแพงๆหรือยาราคาแพงๆอัตราตายก็ไม่ได้สูงกว่าการมีเครื่องมือแพงหรือยาแพง ยิ่งไปกว่านั้นหากรู้จักเลือกใช้ของถูกที่ดีอย่างเช่นการส่งเสริมสุขภาพ เปลี่ยนอาหาร เริ่มการออกกำลังกาย อัตราตายกลับจะลดลงมากกว่าใช้เครื่องมือแพงๆใช้ยาแพงๆเสียอีก เพราะฉะนั้นผมรับประกันว่าหากยึดเอาอัตราตายปัจจุบันเป็นมาตรฐานแล้ว ระบบสามสิบบาทยังไงก็ไม่ทำให้อัตราตายสูงขึ้นไปมากกว่านี้และจะไม่เจ๊งด้วย

     ประเด็นที่ 3. คุณหมอกังวลว่าเราล้าหลังเรื่องเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร ที่คุณหมอใช้คำว่า technology disruption ซึ่งคงหมายถึงการใช้เทคโนโลยีก่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เทคโนโลยีข้อมูลจะใช้ได้ประโยชน์สูงสุดที่โรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลชายแดนนะ ก็คือที่คุณหมออยู่นั่นแหละ คุณหมอบอกว่าทีมสหสาขาวิชาชีพก็ยังทำงานแบบเดิมๆไปเรื่อยๆ แต่ว่าคนที่จะก่อการเปลี่ยนแปลงการใช้เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารก็คือทีมสหสาขาวิชาชีพของคุณหมอนี่แหละ ถ้าคนในทีมของคุณหมอเองไม่ยอมเปลี่ยนแล้วการเปลี่ยนแปลงเพื่อใช้เทคโนโลยีข้อมูลจะเริ่มตรงไหนละครับ แล้วเทคโนโลยีข้อมูลเดี๋ยวนี้ก็พร้อมใช้ซะจน lay man แทบทุกคนหยิบมาใช้ได้เลยถ้าอยากจะใช้อย่าว่าแต่เป็นนักวิชาชีพอย่างหมอหรือทีมสหสาขาวิชาชีพเลย ในระดับการแบ็คอัพจากส่วนกลางนั้นรายละเอียดผมไม่ทราบ แต่เมื่อปีกลายผมได้ฟังข่าวว่าปลัดกระทรวงสธ.แถลงข่าวถึงการเปิดบริการให้คนไข้ทั่วไปทุกคนมีฐานข้อมูลเวชระเบียนของตัวเองบนอินเตอร์เน็ทและเปิดให้คนไข้เข้าถึงข้อมูลของตัวเองได้และแชร์ข้อมูลนี้กับรพ.ทั่วประเทศได้ แสดงว่าส่วนกลางก็มองเห็นภาพใหญ่และกำลังกรุยทางอยู่ แต่การจะเริ่มงานนี้ไม่ต้องรอระบบใหญ่ของส่วนกลาง ผมเองใช้เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารแบบง่ายๆเช่นโทรศัทพ์มือถือ ไลน์ และฐานข้อมูลบนอินเตอร์เน็ททำงานและทำวิจัยด้าน FamMed มานานนับสิบปีแล้ว ไม่ต้องรอใคร ดังนั้นมันก็เหลือแต่ "ทีมสหสาขาวิชาชีพ" ของคุณหมอนั่นแหละครับ ว่าเมื่อไหร่ลงมือใช้เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารเสียที ถ้าระดับทีมสหสาขาวิชาชีพไม่เริ่มลงมือ แล้วคุณหมอว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบ disruptive ได้ยังไงละครับ จะรอให้ลุงตู่ 4.0 ทำให้หรือ (อุ๊บ..ขอโทษ เผลอล้อเลียน)

     ประเด็นที่ 4. อนาคตของคุณหมอ จะเรียนอะไร จะทำอะไรดี ตอบว่ามันขึ้นอยู่กับคุณหมอจะเอาอะไรเป็นเป้าหมายชีวิตของตัวเอง ตอนนี้คุณหมอมาอยู่ตรงทางสองแพร่ง

     เส้นทางที่ 1. คือถ้าคุณหมอจะเอาสถานะการณ์ข้างนอกตัวเป็นเป้าหมายชีวิต เช่น การได้เป็นผู้เชี่ยวชาญสาขานั้นสาขานี้ การมีรายได้สูงโดยไม่ต้องเหนื่อยมาก การมีชื่อเสียง มีเกียรติ มียศ ฐา บรรดาศักดิ์ ตำแหน่งทางบริหาร ตำแหน่งทางวิชาการ ได้รับการยอมรับ ได้รับความเคารพนับถือ มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใช้อย่างสะใจ ฯลฯ ถ้าจะไปทางนี้ผมบอกล่วงหน้าก่อนว่าคุณหมอต้องเผื่อความผิดหวังในชีวิตไว้แยะๆนะครับ เพราะเป้าหมายนอกตัวเหล่านี้มันมีปัจจัยร่วมกำหนดเป็นร้อยๆปัจจัยขึ้นไป โดยที่ส่วนมากเป็นปัจจัยที่คุณหมอคุมไม่ได้เลย

     เส้นทางที่ 2. คือคุณหมอเอาความสงบเย็นที่ภายในใจเป็นเป้าหมายชีวิต อันนี้คุณหมอคุมเงื่อนไขทั้งหมดได้ 100% เพราะอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นที่ใจเรา เราเป็นผู้ทำขึ้นทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงกำหนดได้ว่าเราจะเอาชีวิตแบบไหน จะเอาแบบทุกข์ร้ายร้อนรน หรือจะเอาแบบสงบเย็นสบายๆ ถ้าจะมาเส้นทางนี้คุณหมอก็ต้องเริ่มที่การฝึกวางความคิดมาอยู่กับความรู้ตัว เมื่อรู้ตัวดีแล้ว ตัวเลือกอนาคตมันจะโผล่มาสลอนเอง เพราะโดยธรรมชาติเมื่อมีสติจึงจะรู้ว่ามีทางให้เลือก ถึงตอนนั้นคุณหมอก็จะเลือกได้สิ่งที่สอดคล้องกับความสงบเย็นในใจของคุณหมอโดยอัตโนม้ติ ไม่ต้องไปพะวงว่าเลือกสาขาโน้นจะยังโง้น เลือกสาขานี้จะยังงี้ไหม เพราะเหล่านั้นเป็นสถานะการณ์นอกตัวซึ่งไม่ใช่เป้าหมายชีวิตของคุณหมอแล้ว

      ที่แนะนำเป็นสองเส้นทางนี้ไม่แน่ใจว่าคุณหมอจะ "เก็ท" หรือเปล่า ถ้าไม่เก็ทก็ลองอ่านซ้ำสักสองสามรอบ ถ้ายังไม่เก็ทอีกก็...ช่างมันเถอะ ทิ้งคำแนะนำของผมไปเสีย แล้วไปหาเอาใหม่ข้างหน้าก็แล้วกัน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

29 กรกฎาคม 2562

Somogyi reaction ยิ่งพยายามเพิ่มยาลดน้ำตาล น้ำตาลยิ่งเด้งขึ้น

คุณหมอสันต์ที่เคารพ
ดิฉันอายุ 58 เป็นเบาหวานรักษากับหมอตามคลินิกเพราะขี้เกียจไปรอคิวที่โรงพยาบาล กินยา metformin 500 มก.วันละสองเม็ด ซึ่งก็คุมน้ำตาลได้ดี ระดับ 130 มาสามปีแล้ว เมื่อ 28 กค. ดิฉันไปตรวจสุขภาพประจำปี (ส่งผลมาพร้อมนี้) พบว่าน้ำตาลหลังอดอาหารขึ้นไปถึง 170 หมอที่คลินิก ... จึงเพิ่มยา Actos มาให้อีกหนึ่งตัว เมื่อกลับมากินยาใหม่ได้สองวันดิฉันรู้สึกไม่ค่อยดีแบบมึนๆงงๆสงสัยว่าน้ำตาลในเลือดจะต่ำเกินไป จึงไปหาหมอที่คลินิกข้างบ้านชื่อคลินิก .... หมอเจาะเลือดแล้วพบว่าน้ำตาลขึ้นไปถึง 200 หมอบอกว่าเบาหวานของดิฉันเป็นชนิดคุมยาก จึงได้เพิ่มยา Acarbos มาให้อีกตัวหนึ่ง ดิฉันไม่สบายใจเลยว่าทำไมเบาหวานของดิฉันคุมได้นิ่งมานานตั้งหลายปีแล้วทำไมอยู่ดีๆจึงเกิดคุมยากขึ้นมาทันที ดิฉันอ่านวิธีกินอาหารในบล็อกของคุณหมอพอสรุปได้ว่าจะต้องลดเนื้อสัตว์ลงและกินผักผลไม้ให้มากขึ้น ดิฉันตั้งใจว่าจะทดลองทำตามเพราะไม่อยากกินยามาก อยากถามคุณหมอว่านอกจากนี้มีอะไรที่ดิฉันควรทำอีกหรือเปล่า
ขอบพระคุณคุณหมอค่ะ

...................................................

ตอบครับ

     ดูจากรายงานการตรวจสัญญาณชีพที่ส่งมาให้ คุณอยู่ในภาวะที่เรียกว่าระบบประสาทอัตโนมัติเอียงไปทางขาเร่ง (over sympathetic activities) ผมดูเอาจากการที่คุณมีอัตราการเต้นของหัวใจเร็ว หายใจเร็ว ทั้งๆที่ปริมาณเม็ดเลือดและฮอร์โมนต่อมไทรอยด์ก็ปกติดี คือระบบประสาทอัตโนมัติของคนเรานี้มีสองขา ขาเร่ง (sympathetic) กับขาหน่วง (parasympathetic) หน้าที่ของระบบประสาทอัตโนมัติคือควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในทั้งหมด และบัญชาการสนองตอบต่อสิ่งคุกคามจากภายนอกทั้งมวล เมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งคุกคามจากภายนอก ระบบนี้ก็จะเดินเครื่องขาเร่ง จะมีการผลิตฮอร์โมนบางตัวมากขึ้น เช่น epenephrine (adrenaline), glucagon, cortisol เรียกรวมๆว่าฮอร์โมนเครียด (stress hormones) ฮอร์โมนเหล่านี้จะยังผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นทันที เป็นกลไกธรรมชาติที่จะให้มีพลังงานพร้อมรับมือกับภาวะฉุกเฉิน

     ในกรณีของคุณซึ่งเบาหวานคุมได้ดีเรื่อยมา แล้วอยู่ๆน้ำตาลก็พรวดสูงขึ้น และผลการตรวจร่างกายบ่งชี้ว่าร่างกายกำลังถูกเร่งเครื่องอย่างนี้ สาเหตุที่น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นก็คงไม่ใช่เรื่องอื่น น่าจะเป็นเรื่องความเครียดนี่เอง

     พอคุณไปหาหมอ หมอเห็นน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นก็ต้องเพิ่มยาเป็นธรรมดา แต่การเพิ่มยาในภาวะที่น้ำตาลสูงจากความเครียดเช่นนี้ มันมีโอกาสที่ยาจะไปทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดต่ำลงมากเกินไปในบางขณะ ในช่วงที่น้ำตาลต่ำมากเกินไปนั้น ระบบประสาทอัตโนมัติจะรับรู้ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำว่ากำลังเกิดภาวะคุกคาม (stressor) ที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และจะยิ่งระดมปล่อยฮอร์โมนเพื่อเพิ่มน้ำตาลในเลือดให้มากขึ้นไปกว่าเดิมอีก น้ำตาลในเลือดก็ยิ่งกระฉูดขึ้นไปอีกทั้งๆที่เพิ่งเพิ่มยาไปแหม็บๆ เหมือนเป็นน้ำตาลบ้าคุมไม่ได้ ภาษาหมอเรียกภาวะนี้ว่า Somogyi reaction

    ทางแก้คือ

     ขั้นที่ 1. คุณต้องสงบประสาทของคุณลงไปก่อน หมายความว่าคลายเครียดซะก่อน ผมไม่รู้ว่ามันตั้งต้นด้วยคุณเผชิญความเครียดเรื่องอะไร อาจจะเป็นเรื่องทางใจ เช่นความคิดของคุณเอง หรือเรื่องทางกาย เช่นการอักเสบติดเชื้อในร่างกายเป็นต้น แต่ไม่ว่าเครียดจากเรื่องอะไร คุณสงบประสาทคุณลงไปเสียก่อน อย่างน้อยคุณคลายเครียดทางใจของคุณได้ด้วยการวางความคิด ด้วยวิธีคลายเครียดนานาที่ผมมักพูดไปแล้วบ่อยมาก คุณหาอ่านเอาได้ในบล็อกนี้

     ขั้นที่ 2. คุณต้องกลับไปหาหมอของคุณใหม่ ขอให้เป็นหมอคนเดิมนะ อย่าย้ายหมอบ่อยหรือร่อนไปตามคลินิกอย่างที่เคยทำมา ไปเพื่อประเมินผลจริงๆของยาเบาหวานว่ามันพอดีหรือมากเกินไป โดยวิธีเล็งให้ได้เจาะเลือดคนละเวลากับครั้งก่อน สมมุติว่าครั้งก่อนคุณไปเจาะเลือดเอาตอนน้ำตาลเด้งขึ้น (ประมาณภายใน 6-8 ชม.หลังจากเหตุการณ์น้ำตาลต่ำ) คราวนี้ให้คุณเล็งเวลาให้ดีให้ได้เจาะเลือดประมาณเวลาที่เกิดน้ำตาลต่ำพอดี ผมหมายถึงตอนที่คุณมึนๆงงๆนั่นแหละ เพื่อให้เห็นภาพที่แท้จริงว่าขณะที่เป็นเวลาออกฤทธิ์เต็ม (peak action) ของยา ระดับน้ำตาลในเลือดเป็นอย่างไร คุณหมอของคุณจะได้ปรับยาให้คุณได้พอดีโดยไม่เกิดปรากฎการณ์ยิ่งปรับเพิ่มยาน้ำตาลยิ่งเด้งขึ้น

     ขั้นที่ 3. คุณปรับดุลของแคลอรี่ขาเข้ากับขาออกให้มันได้ดุล หมายความว่าที่กินเข้าไปกับที่เผาผลาญได้ให้มันได้ดุลกันหน่อย ดูจากผลการตรวจสุขภาพน้ำหนักของคุณ 68 กก. เมื่อเทียบกับความสูง 157 ซม.ก็จัดว่าน้ำหนักเกินไปมากโขอยู่ ผมเดาเอาว่าคุณต้องมีพุงด้วย การรักษาเบาหวานในคนน้ำหนักเกินหรือมีพุงนี่ง่ายมากเลยนะ คุณทำไงก็ได้ให้คุณผอม แล้วเบาหวานมันจะหายเอง ไม่รู้จะทำไงคุณไปจ้างหมอฟันให้เขาเอาลวดเคียนฟันไม่ให้คุณอ้าปากเคี้ยวอาหารก็ได้ หิ..หิ พูดเล่น แต่ที่ว่าถ้าคุณผอมลงเบาหวานจะหายนั้นพูดจริง ดูพวกคนที่เขาไปลดความอ้วนด้วยการผ่าตัดมัดกระเพาะนั่นปะไร เบาหวานหายเป็นแถวๆ สำหรับคนอ้วนขอให้ผอมลงเสียอย่างไม่ว่าจะผอมด้วยเลห์หรือด้วยกล เบาหวานหายแน่นอน การปรับดุลของแคลอรี่ก็คือลดอาหารให้พลังงานลง ลดไขมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันจากสัตว์ ลดเนื้อสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและเนื้อที่ผ่านการปรับแต่งถนอมเช่นไส้กรอก เบคอน แฮม ซึ่งงานวิจัยในคนพบว่าสัมพันธ์กับการเป็นเบาหวานมากขึ้น เพิ่มอาหารเส้นใยเช่นพืชผักผลไม้ให้เยอะๆ นี่คือการลดการนำเข้าแคลอรี่ อีกด้านหนึ่งก็ออกกำลังกาย เล่นกล้าม นี่คือการเพิ่มการเผาผลาญ เพราะกล้ามเนื้อคือโรงงานเผาผลาญแคลอรี่ การมีกล้ามก็คือการเปิดเดินเครื่องโรงงานใหญ่ ก็จะเผาผลาญได้เร็วทันการนำเข้า แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือต้องเผาผลาญให้ได้เร็วกว่าการนำเข้า คือให้ดุลแคลอรีเป็นลบ พุงจึงจะยุบ เบาหวานจึงจะหาย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

28 กรกฎาคม 2562

หมอสันต์แชร์ประสบการณ์ในการปลุกปล้ำกับความบันดาลใจ (motivation)

(หมอสันต์พูดกับสมาชิกแค้มป์สุขภาพดีด้วยตนเอง - GHBY47) 

     เนื่องจากในแค้มป์นี้มีแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลราวครึ่งห้อง หลายท่านต้องกลับไปทำงานรับผิดชอบการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้ผู้ป่วย และทุกคนก็มีปัญหาที่ผ่านมาว่าจะทำอย่างไรดีกับผู้ป่วยประเภทที่ รู้..แต่ไม่ทำ หรือปัญหาเรื่องความบันดาลใจ (motivation) ทำอย่างไรจะให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพอยู่ยั้งยืนยง ผมจึงจัดหนึ่งชั่วโมงนี้ขึ้นเป็นพิเศษแทนการฝึกใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าอัตโนมัติเพราะเห็นว่าทุกๆท่านจะได้ประโยชน์กับเรื่องนี้มากกว่า

    ก่อนอื่นผมขอเล่าประสบการณ์ว่าสิบปีที่ผ่านมาผมได้พยายามใช้เทคนิคอะไรบ้างในเรื่องการสร้างความบันดาลใจนี้ ซึ่งผมขอแบ่งเป็นสี่ยุค ดังนี้

     ยุคที่ 1. ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง (Stage of Change Model)

    ในยุคแรกที่ผมเริ่มให้ความรู้ให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองคือเมื่อราวสิบปีที่แล้ว ผมเริ่มต้นด้วยการใช้หลักทฤษฎีที่ใช้กันทั่วไปในงานวิจัยทางการแพทย์ คือทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Trans Theoretical Model ซึ่งมีสาระสำคัญว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนเรานี้มีอยู่หกขั้นตอน แต่ละขั้นตอนก็ต้องใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับขั้นตอนนั้นๆ ดังนี้

(1) ขั้นยังไม่สนใจ (Precontemplate) คือในหกเดือนข้างหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน ในขั้นนี้กลยุทธ์ที่ใช้ก็คือปลุกจิตสำนึกลูกเดียว ให้ข้อมูล ให้ความรู้

(2) ขั้นสนใจแต่รอฤกษ์ (Contemplate) ประมาณว่าถ้าโน้มน้าวดีๆ อาจจะเกิดการลงมือทำในเวลาไม่เกินหกเดือน กลยุทธ์ที่ใช้ในขั้นตอนนี้คือการเชียร์ ด้วยการชักจูงให้ไตร่ตรองดูผลดีที่จะเกิดกับตนเอง กับลูกเมีย กับคนรอบข้าง ไปจนถึงสังคม

(3) ขั้นตัดสินใจทำ (Preparation) มาถึงขั้นนี้ก็คือจะเอาแน่แล้ว ไม่เกินหนึ่งเดือนได้เรื่องแน่ กลยุทธ์ที่ใช้ในขั้นนี้คือการเปิดโอกาสให้มีทางเลือก เช่นจะเลิกบุหรี่ก็เสนอทางเลือกว่าจะหักดิบ หรือใช้หมากฝรั่งนิโคติ หรือใช้แบบแปะผิวหนัง เป็นต้น เพราะเมื่อมีทางเลือก ก็จะตัดสินใจได้เร็วขึ้น

(4) ขั้นลงมือทำ (Action) คือลงมือไปแล้ว แต่ยังไม่ติดลม กลยุทธ์ในขั้นตอนนี้ก็คือ วินัยตนเอง วินัยกลุ่ม และกัลยาณมิตร (ตัวอย่างวินัยกลุ่ม เช่น การห้ามใช้ลิฟท์ บังคับให้ใช้บันได้ หรือการจัดที่จอดรถไว้ไกลที่ทำงาน นี่ก็เป็นวินัยกลุ่ม)

(5) ขั้นทำได้ยืด (Maintenance) คือติดลมแล้ว แต่ยังไม่เกิน 5 ปี กลยุทธ์ในขั้นตอนนี้คือให้ใช้หลักอยู่กับความยืนหยัดและหลบหลีกสิ่งเย้ายวน

(6) ขั้นสำเร็จแน่แล้ว (Termination) คือทำได้นานเกิน 5 ปี ดูแลตัวเองได้ ถือว่าปิดโครงการติดตามช่วยเหลือได้

     ตอนที่ผมนำทฤษฎีนี้ลงใช้นั้น เรียกว่าลงทุนใช้อย่างเป็นกิจจลักษณะมากทีเดียว จ้างเขาเขียนซอฟท์แวร์ช่วย ให้แพทย์ต้องลงบันทึกในการพบกันแต่ละครั้งว่าผู้ป่วยเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองอยู่ในขั้นไหนของทั้งหกขั้นตอน กำลังใช้กลยุทธ์ใดช่วยการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตั้งใจทำตั้งใจตามอย่างดี เคยรวบรวมเป็นงานวิจัยไว้ก็มี แต่..

     น่าเสียดายที่ทฤษฏีที่คิดฝันมาอย่างสวยสดงดงามและหมอโพรแชสก้าใช้ได้ผลในการให้ผู้ป่วยเลิกบุหรี่นี้ พอผมเอามาใช้กับผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องเปลี่ยนอาหารและหันมาออกกำลังกายจริงจังนั้น มันไม่เวอร์ค ทุกคนมาตายที่ขั้นตอนเดียวกันหมด มาถึงขั้นตอนที่สี่ คือลงมือทำไปแล้ว แต่ยังไม่ติดลม แล้วก็แป่ว..ว คือจอดไม่ต้องแจวในเวลาช้าบ้างเร็วบ้าง อย่างที่แป่วเร็วก็คือหนึ่งเดือน แบบว่าสาบานตนดิบดีตอนวันขึ้นปีใหม่ พอวันที่ 1 กุมภาก็ไปเสียแล้ว เมื่ออัตราการล้มเหลวสูง ในที่สุดผมจึงต้องเลิกใช้วิธีนี้ไป

     ยุคที่ 2. ทฤษฏีการบริหาร (Management Model)

     ช่วงหนึ่งตัวผมเองนอกจากจะเป็นผู้บริหารธุรกิจเองคือเป็นผอ.โรงพยาบาลเอกชนเองแล้ว ผมยังสอนวิชาบริหารในระดับปริญญาโทอยู่ด้วย จึงมีความคิดว่าหลักวิชาบริหาร (Management Model น่าจะนำมาใช้เปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยได้ดีกว่า เพราะเป็นหลักการที่ผู้ป่วยลงมือทำเอง แพทย์หรือทีมงานเป็นเหมือนผู้จัดการธุรกิจที่ผู้ช่วยติดตามดูให้สำเร็จ หลักวิชาบริหารนี้มีหลักพื้นฐานประมาณว่าในหน้าที่ของผู้จัดการ จะต้องทำหกอย่างคือ

1.  ตั้งเป้าหมาย (Set goal) กำหนดตัวชี้วัด

2. วางแผน (Planning)

3. มอบหมายงาน (Delegation)

4. ตามไปกำกับตรวจสอบ (Supervision)

5. ทำเป็นตัวอย่าง (Role model)

6. ประเมินผล (Evaluation)

     ในการเอาหลักนี้มาใช้ก็เริ่มด้วยการให้ทำกิจกรรมประเมินความเสี่ยงสุขภาพของตัวเอง โดยอิงตัวชี้วัดง่ายๆเจ็ดตัว (Simple Seven) ที่สมาคมหัวใจอเมริก้นทำวิจัยไว้แล้ว คือน้ำหนัก ความดัน ไขมัน น้ำตาล การกินผักผลไม้ต่อวัน การออกกำลังกายต่อสัปดาห์ การสูบบุหรี่ เมื่อประเมินว่าตัวชี้วัดไหนตัวเองยังผิดปกติก็เอามาจัดทำแผนเปลี่ยนชีวิตตัวเอง ในการทำแผนก็กำหนดลงไปให้ชัดจนประเมินผลได้ว่าเริ่มจากตรงไหน จะทำให้ได้แค่ไหน ในเวลาเท่าไหร (from X to Y, by When and by How) เช่นจะลดไขมัน LDL ในเลือดก็ทำแผนว่าจะลดไขมัน LDL จาก 196 มก./ดล.ให้เหลือ 130 มก./ดล. ภายใน 31 ธค. 62 ด้วยวิธีเปลี่ยนไปกินอาหารมังสะวิรัติแบบไขมันต่ำ ทุกตัวชี้วัดที่ผิดปกติให้ทำแผนรองรับหมด แล้วให้ทีมงานแพทย์และผู้ช่วยแพทย์ติดตามดูผ่านโทรศัทพ์และเครื่องมือทางอินเตอร์เน็ท ติดขัดตรงไหนก็ช่วยเชียร์ช่วยชี้แนะ นอกจากนี้ยังเน้นที่แพทย์และทีมงานต้องทำตัวเองให้เห็นเป็นตัวอย่าง (role model) ด้วย ผู้ช่วยแพทย์ที่ทำงานกับผมทุกคนรวมทั้งเชฟด้วยหากอ้วนอยู่ต้องลดน้ำหนักหมดทุกคน ต้องกินอาหารแบบที่สอนให้คนไข้กิน ต้องออกกำลังกายแบบที่สอนให้คนไข้ออก

ถามว่าทำแบบนี้แล้วได้ผลดีไหม ตอบว่าดีกว่ายุคที่ใช้ทฤษฏีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีผู้ป่วยอีกจำนวนมาก คือประมาณ 50% ที่หมดแรงเคี่ยวเข็นตัวเองไปกลางคัน และความที่การพบกับแพทย์และทีมงานแต่ละครั้งแต่ละรอบก็คือการประเมินความก้าวหน้า สมาชิกส่วนนี้ก็จะ "หนีหน้า" คือหล่นหายไป ยิ่งแพทย์และทีมงานตามจี้จิกมาก อัตราการหนีหน้าก็ยิ่งสูง ที่ยังตากหน้ากลับมาพบแพทย์หรือกลับมาเข้าแค้มป์ก็มาด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีกับตัวเอง ซึ่งมองเห็นได้ชัดว่าหากถูลู่ถูกังใช้วิธีนี้ต่อไปอีกก็จะต้องหนีหน้ากันไปจนได้ในที่สุด

ยุคที่ 3. สร้างความบันดาลใจด้วยการคิดบวก (Positive Thinking) และสั่งจิต (NLP)

     มาตรการทางจิตวิทยาที่ใช้กันมากทั่วโลกก็คือการคิดบวกบ้าง สั่งจิตตัวเองหรือ NLP บ้าง ผมเองก็ได้นำหลักการนี้มาช่วยเสริมกับการใช้ทฤษฎีบริหาร โดยชี้นำให้คิดบวกในแง่มุมต่างๆเช่น

1. หาเหตุผลบอกตัวเอง
2. ทำให้มันเป็นเรื่องที่ต่อรองไม่ได้ (not negotiable)
3. บริหารเวลาเสียใหม่
4. เลือกวิธีที่สนุก ทำให้มันสนุก
5. เปลี่ยนรสนิยม
6. เก็บความรู้สึกดีๆนี้ไว้ชักจูง
7. เก็บความรู้สึกแย่ไว้ขู่ตัวเอง
8. จินตนาการถึงตนเองที่สวยหล่อ
9. อ่านฟิตเนสแมกกาซีน
10. เขียนบันทึก
11. รับฟังความสำเร็จของคนอื่น
12. ให้รางวัลตัวเอง
13. จูงใจด้วยเสื้อผ้า
14. ลงทุนซื้ออุปกรณ์
15. ถ่ายรูป “before” ไว้รอ “after”
16. สร้างตัวเองเป็นนายแบบนางแบบ(model) ในจินตนาการ 
17. คุยกับตัวเอง
18. ชั่งน้ำหนักสัปดาห์ละครั้ง
19.คิดแผนกิจกรรมใหม่
20. คิดแต่บวก เลิกคิดลบ

     ทฤษฎีคิดบวกก็เป็นอีกหนึ่งทฤษฎีที่สวยหรู แต่ว่าเอาเข้าจริงๆแล้วมันก็เวอร์คนะ แต่มันเวอร์คได้แป๊บเดียว แล้วมันก็แผ่ว..ว คือมันเบื่อที่จะบังคับให้ตัวเองคิด แล้วก็เลยเลิกคิด สรุปว่าสำหรับสมาชิกส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนไข้โรคเรื้อรัง หากวัดกันที่ระยะยาว วิธีนี้ได้ผลน้อย

     ยุคที่ 4. ความบันดาลใจมาจากพลังงาน (Energy Model)  

     ทฤษฎีนี้ท่านไม่ต้องไปเปิดตำราหรือค้นหาอินเตอร์เน็ทนะครับ ไม่มีหรอก เพราะมันเป็นวิธีผมมั่วคิดฝันขึ้นมาเองหลังจากที่สามยุคแรกมันไม่ได้ผลสะใจผม มันมาจากการที่ในปีหลังๆผมทำแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDBY) บ่อยขึ้น เนื่องจากโรคเรื้อรังสัมพันธ์แนบแน่นกับความเครียด ผมจึงเน้นสอนการวางความคิดเพื่อเข้าถึงความรู้ตัวเพื่อให้เป็นเครื่องมือจัดการความเครียดควบไปด้วย แล้วจึงได้เห็นความสำเร็จแบบเหลือเชื่อของคนไข้บางคนที่พลิกผันโรคของตัวเองและเปลี่ยนตัวเองได้ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือแถมเปลี่ยนได้แบบอยู่ยั้งยืนยงด้วย และเมื่อวิเคราะห์เจาะลึกลงไปก็พบว่าคนไข้เหล่านั้นเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือทุกคนล้วนประสบความสำเร็จในการวางความคิดและเข้าถึงความรู้ตัวของเขาเองได้ ผมจึงผูกทฤษฎีขึ้นมาใช้เองว่าไม่ใช่ความคิดบวกดอกที่เป็นตัวสร้างแรงบันดาลใจที่แท้จริง พลังงาน (energy) ต่างหาก ความคิดบวกช่วยสร้างแรงบันดาลใจได้ไม่ใช่เพราะตัวความคิด แต่เพราะความคิดกระตุ้นให้เกิดพลังงานคึกคักขึ้นในระยะสั้นๆ ผมได้มั่วจัดลำดับความแรงของพลังงานจากแหล่งต่างๆจากน้อยไปหามากขึ้นมาเอง ดังนี้

ระดับที่ 1: พลังจากความคิดบวก (Thought) มีความแรงระดับน้อยและประเดี๋ยวประด๋าว

ระดับที่ 2: พลังจากเพื่อนช่วยเพื่อน (Synergy) มีความแรงปานกลางและนานเพียงแค่ที่ยังมีเพื่อนอยู่

ระดับที่ 3. พลังจากความรู้ตัว (Awareness) มีความแรงระดับมากและอยู่ได้ยาวนานไม่สิ้นสุด

ผมได้พูดถึงเรื่องระดับที่ 1 คือความคิดบวกไปแล้ว ลองมาดูระดับที่ 2 และที่ 3 นะ

     ระดับที่ 2: พลังจากเพื่อนช่วยเพื่อน (Synergy) คือคนเราเมื่ออยู่คนเดียวก็มีพลังใจระดับหนึ่ง แต่หากสองคนเอาใจมาช่วยกัน พลังใจมันมากเป็นทวีคูณไม่ใช่จากหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง แต่เป็นระดับหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสามหรือเป็นห้าโน่นเลย และเป็นพลังที่แรงกว่าการนั่งคิดบวกอยู่คนเดียว วิธีสร้างพลังแบบเพื่อนช่วยเพื่อนนี้ ที่ผมใช้แนะนำสมาชิกก็ เช่น

1. จัดกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หนึ่งแค้มป์ก็หนึ่งกลุ่ม
2. ยุให้ไปคบหาเพื่อนใหม่
3. จ้างเทรนเนอร์
4. ไปฟิตเนส เพื่อจะอาศัยบรรยากาศ
5. สมัครแข่งมินิมาราธอน
6. ท้าพนัน แข่งนับก้าว แข่งลดน้ำหนัก
7. ทำตัวเป็นแม่แบบ (role model) ไปสอนคนอื่น
8. ไปพักยาวกินนอนในรีสอร์ทสุขภาพ
9. พ่วงการกิจกรรมสุขภาพกับสิ่งที่ชอบ

     วิธีเพื่อนช่วยเพื่อนนี้เป็นวิธีเสริมที่ดีมาก โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนที่จัดให้แต่ละแค้มป์นั้นมีผลดีมากเกินคาด แต่อย่างไรก็ตามถึงจะดีอย่างไร วิธีนี้ยังเป็นได้แค่วิธีเสริม เพราะมันจะยังมีแรงอยู่ได้ตราบเท่าที่เพื่อนยังอยู่เท่านั้น ในชีวิตจริงคงไม่มีใครจะฝากชีวิตไว้กับคนอื่นได้ตลอดไป การจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนมันต้องทำเอง

     ระดับที่ 3: พลังจากความรู้ตัว (Awareness) ชีวิตประกอบด้วยสามส่วน คือร่างกาย ความคิด และความรู้ตัว เมื่อวางความคิดไปหมด ก็จะเหลือความรู้ตัว ซึ่งมีลักษณะเป็นพลังงานความตื่น ความสามารถรับรู้ ในบรรยากาศที่ไม่มีความคิดมาเกี่ยวข้อง ตรงนี้เป็นความสงบเย็น ที่มีพลังงานหนักแน่นเต็มเปี่ยมเพราะมันเป็นพลังงานที่เอ่อขึ้นมาจากส่วนลึกและเชื่อมโยงกับพลังงานจากภายนอก ผมหมายถึงพลังงานที่เป็นพลังงานพื้นฐานของจักรวาลนี้ ที่บางทีก็นิยมเรียกกันว่า Grace หรือพลังเมตตา เมื่อวางความคิดไปเป็นความรู้ตัว พลังงานที่หนักแน่นเต็มเปี่ยมนี้จะแผ่ขึ้นมาหล่อเลี้ยงชีวิตให้มีพลังทำอะไรก็สำเร็จเองโดยไม่มีคำอธิบายเป็นภาษาพูด มันง่ายและตรงไปตรงมาขนาดนั้น

     ผมสังเกตเห็นคนไข้ที่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตโดดเด่น เกือบทุกคนเป็นคนที่สนใจการวางความคิดเพื่อให้เข้าถึงความรู้ตัว ส่วนใหญ่หลังจากกลับจากแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตัวเอง (RDBY) ไปแล้ว มักจะกลับมาเข้ารีทรีตทางจิตวิญญาณ (SR) ซึ่งเป็นแค้มป์ที่ผมจัดขึ้นสำหรับผู้สนใจเสาะหาความหลุดพ้นจากความทุกข์โดยไม่เกี่ยวอะไรกับการจัดการโรค แล้วผมพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองก็มักจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการวางความคิดเข้าสู่ความรู้ตัวด้วยเสมอ 

     ทุกวันนี้ผมยังอาศัยทฤษฏีการบริหารในการจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพของคนไข้ และใช้หลักคิดบวกอยู่ แต่หันมามุ่งเน้นการสร้างความบันดาลใจที่ถาวรด้วยการชักจูงให้สมาชิกหรือผู้ป่วยฝึกวางความคิดเพื่อเข้าถึงความรู้ตัวเป็นมากขึ้น เริ่มด้วยการฝึกถอยความสนใจออกจากความคิดมาอยู่กับความรู้สึกบนร่างกาย ซึ่งก็คือพลังงานของร่างกายนั่นเอง มันจะค่อยๆพาความสนใจไปจอดอยู่กับความรู้ตัวอย่างเป็นอัตโนมัติเอง แล้วพลังงานสร้างสรรค์ดีในชีวิตก็จะเกิดขึ้น เป็นวิธีที่ผมมั่นใจว่าจะนำพาให้ผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาได้อย่างหนักแน่นถาวรที่สุดในบรรดาวิธีทั้งหมดสี่วิธีที่ผมได้ทดลองทำมาแล้วในสิบปีที่ผ่านมากับคนไข้จำนวนหลักพันขึ้นไป ที่ผมเล่ามานี้เป็นประสบการณ์การใช้งานจริงกับคนไข้จริง สำหรับท่านที่เป็นแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลที่โดยหน้าที่แล้วต้องช่วยให้คนไข้มี motivation ที่อยู่ยั้งยืนยง เอาวิธีนี้ไปทดลองทำดูนะครับ ส่วนวิธีที่ผมทำแล้วไม่ค่อยได้ผล ไม่ว่าเรื่องทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง การใช้หลักวิชาบริหารจัดการ การคิดบวก การสั่งจิต ท่านจะเอาไปทดลองทำซ้ำก็ได้เผื่อท่านจะจับได้แง่มุมที่ผมไม่รู้แล้วมันเกิดเวอร์คขึ้นมา กรณีท่านลองแล้วเกิดความรู้ใหม่ๆขึ้นมาก็ช่วยแชร์มาให้ผมทราบด้วยนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Prochaska JO, Velicer WF. The transtheoretical model of health behavior change. Am J Health Promot 1997 Sep-Oct;12(1):38-48.
[อ่านต่อ...]

27 กรกฎาคม 2562

เคยไหมที่คุณจะนั่งนิ่งๆเปิดโอกาสให้พระเจ้าได้พูดบ้าง

กราบเรียนอาจารย์ที่นับถือ
หนูชื่อ ... อายุ ... ปี ทำงานอยู่ที่ .... เคยมีแฟนแล้วแต่ต้องแยกกันไป ตอนนี้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งขอร้องแกมบังคับให้หนูไปหาจิตแพทย์ หนูก็ไป และได้ยามาทานเยอะมาก เป็นยาช่วยนอนหลับบ้าง ช่วยลดความกังวลบ้าง ช่วยต้านซึมเศร้าบ้าง หนูยอมรับว่าหนูพูดน้อยลงไม่อยากสุงสิงกับใครจึงอยู่คนเดียวมากขึ้น หนูไม่คิดว่าตัวเองป่วยอะไร หนูยอมรับว่าหนูไม่มีความสุข แต่หนูก็ขยันอธิษฐาน ขยันภาวนา แทบจะไม่ห่างจากพระเจ้าเลยตลอดวัน ที่จิตใจหนูไม่สดใสหนูว่าเป็นเพราะส่วนหนึ่งหนูทนเห็นสิ่งไม่ดีไม่งามที่ตำตาอยู่รอบๆตัวไม่ค่อยได้ อาจารย์คะ นอกจากการอธิษฐานภาวนาเป็นประจำแล้ว หนูควรจะดำเนินชีวิตเพิ่มเติมอย่างไรชีวิตจึงจะเป็นสุขสงบเย็นแบบอาจารย์ว่า

.....................................................

ตอบครับ

     1.  ประเด็นการอธิษฐานพูดคุยกับพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ผมขอเริ่มด้วยการเล่านอกเรื่องก่อนนะ วันหนึ่งเสร็จจากสอนในแค้มป์แล้วผมขับรถจะกลับขึ้นบ้านบนเขา ผ่านบ้านเพื่อนเห็นไฟสว่างก็รู้ว่าเพื่อนอย่างน้อยสองสามคนต้องมากินข้าวเย็นด้วยกันที่นั่น จึงแวะเข้าไป ก็เป็นจริงดังคาดคือมีแขกหนึ่งคนกับเจ้าบ้านอีกสองคนกำลังนั่งคุยกันหลังอาหารอยู่ เหลือบเห็นขวดไวน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะพร่องไปแล้วสองในสาม ไฮไลท์ที่จะเล่าก็คือ เมื่อต่างก็มึนได้ที่แล้ว ฝ่ายแขกก็พูดถึงประสบการณ์ของตัวเองอย่างออกรส พอฝ่ายเจ้าบ้านขยับจะพูดผสมโรงบ้าง ฝ่ายแขกซึ่งยังคุยไม่จบก็ยกมือห้ามแล้วคุยต่อด้วยเสียงที่ดังขึ้นจนฝ่ายเจ้าบ้านยั้งเรื่องที่ตัวเองจะพูดไว้ก่อน สักพักก็เป็นเช่นนี้อีก คือฝ่ายเจ้าบ้านขยับจะพูดบ้าง ฝ่ายแขกที่ปากกำลังพูดมือก็ยกขึ้นห้ามเจ้าบ้านไว้อีกพร้อมกับพูดเสียงดังขึ้น เป็นเช่นนี้หลายครั้ง แต่บรรยากาศก็สนุกสนานดีตลอดเวลาราวหนึ่งชั่วโมงที่ผมร่วมแจมอยู่ด้วย จนกระทั่งถึงเวลาที่ผมบอกลาเพื่อเดินทางกลับบ้านของตัวเอง

      เวลาคุณอธิษฐานกับพระเจ้า คุณเป็นแบบแขกที่มาคุยกับเจ้าบ้านที่ผมเล่าหรือเปล่า คือเวลาอยู่กับพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณพูดอยู่ข้างเดียว คุณพูดแต่เรื่องของคุณ ซึ่งก็หนีไม่พ้นสามอย่างในใจคุณเท่านั้นแหละ คือ "ความกลัว" ของคุณ หรือไม่ก็ "ความหวัง" ของคุณ หรือไม่ก็ "ความรู้สึกผิด" ในเรื่องอดีตของคุณ คำว่าความหวังนี้มันมีแต่บางศาสนาเท่านั้นนะที่ถือว่าเป็นคำสูง แต่ในบางศาสนาเช่นศาสนาพุทธเขาใช้คำว่า "กิเลส" แทน ซึ่งแปลว่าของไม่ดี แต่มันก็อันเดียวกันกับความหวังนั่นแหละ คือคุณคุยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละทีมีแต่เรื่องต่อรองผลประโยชน์ของตัวคุณเองทั้งนั้น

     เคยไหม ที่เวลาคุยก้บสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุณจะนั่งนิ่งๆ เปิดให้โอกาสพระเจ้าได้พูดบ้าง เคยไหมที่คุณจะเป็นคนฟังบ้าง ถ้าคุณจะทำจริงๆมันก็ไม่ยากนะ คุณรู้อยู่แล้วนี่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อคุณเดินหรือนั่งบนสนามหญ้า ลองถอดรองเท้าออก ให้เท้าเปลือยเปล่าสัมผัสหญ้า หลับตา ทำตัวเป็นหญ้า รับรู้ถึงความเปียกชื้นบนใบหญ้า รับกลิ่นแผ่วๆและเบาบางของหญ้า รู้สึกถึงน้ำค้างหรือหยดน้ำที่ราดรดแล้วติดค้างอยู่บนใบหญ้า รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นคุณ รู้สึกถึงแสงแดดที่ลูบไล้บนใบหญ้า ปล่อยวางความคิดไปหมด เหลือแต่ความรู้สึก เหลือแค่ feeling ไม่ว่าอยู่ในบรรยากาศแบบไหน สถานะการณ์แบบไหน ให้คุณหยุดคิดแล้ว feel สิ่งรอบตัวคุณอย่างนี้ ไม่ว่าเมื่อคุณแช่อยู่ในน้ำ นอนเกลือกบนผืนทราย มองดูดวงจันทร์หรือดวงดาวตอนกลางคืน มันมีโอกาสนับไม่ถ้วนที่คุณจะวางความคิดของคุณทิ้งไป หันมารับรู้หรือ feel สิ่งรอบตัว แล้วจากนั้นทีละเล็กทีละน้อยคุณจะค่อยๆเริ่ม "รู้ตัว" โดยไม่ต้องอาศัยการคิดต่อยอดเอาจากข้อมูลที่ผ่านมาทางอายตนะทั้งห้าเลย คุณจะเริ่มรู้ว่านอกจากสิ่งต่างๆที่คุณรับรู้มาผ่านอายตนะทั้งห้าแล้วนี้ ยังมีอีก "สิ่งหนึ่ง" ที่ดำรงอยู่อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง และเป็นพื้นฐานของทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ สิ่งนั้นผมเรียกว่าความรู้ตัว ตรงนั้นแหละคือความสงบเย็นที่คุณถามหา ซึ่งการจะไปตรงนั้นคุณต้องผ่านด่านหน้าด่านแรก คือวางความคิดทั้งหมดของคุณทิ้งไปก่อน นั่นคือเมื่อคุณจะไปหาพระเจ้าอีกครั้ง ให้คุณหยุดพูด หยุดอธิษฐาน เปิดโอกาสให้พระเจ้าได้พูดบ้าง แล้วคุณก็จะพบความสงบเย็น

     2. ประเด็นทนเห็นสิ่งไม่ดีไม่งามที่ตำตาอยู่ไม่ค่อยได้ หรือพูดแบบบ้านๆว่าเป็นทุกข์เพราะความ "บ้าดี" ก่อนอื่นผมไม่ได้ต่อต้านคนบ้าดีนะ เพราะหากคนเราไม่เก็บกดสัญชาติญาณของสัตว์ในตัวเราไว้ด้วยคอนเซ็พท์ดีชั่ว มนุษย์ก็คงจะอยู่รวมกันแน่นขนัดเป็นฝูงอย่างนี้ไม่ได้ คุณบ้าดีโอเค. ก็ดี ผมไม่ได้ว่าอะไร แต่คุณกำลังเป็นทุกข์เพราะความบ้าดีของคุณเอง คุณเป็นทุกข์เพราะความมืดรอบๆตัวคุณ ทุกข์นี้มันจะไม่หายไปไหนหรอกตราบใดที่รอบตัวคุณยังมืด แต่ทุกข์นี้จะหายไปนะ ถ้าคุณยอมรับก่อนว่าเออ..มันมืด แล้วจุดเทียนขึ้น ผมหมายความว่าถ้าคุณลงมือทำอะไรก็ได้เล็กๆน้อยๆในเขตอำนาจที่คุณทำได้ที่จะช่วยให้สังคมนี้ โลกนี้ ให้มันดีขึ้นอย่างที่คุณอยากจะให้มันเป็น คุณทำโดยไม่ต้องบอกใครก็ได้ คุณคงเคยได้ยินเรื่องของคนบางคนที่งุดๆๆปลูกต้นไม้ด้วยตัวเองโดยไม่มีใครรู้เห็นเลย กว่าคนอื่นจะรู้เรื่องของเขา เขาก็ปลูกต้นไม้ไปได้เป็นหมื่นเป็นแสนต้นแล้ว นั่นคือตัวอย่างของคนที่จุดเทียนไล่ความมืดรอบตัวเขาเท่าที่เขาพอมีกำลังทำได้ เทียนแค่ริบหรี่ของเขาไม่ได้ทำให้ความมืดในพื้นที่อัันกว้างใหญ่หายไปหรอก แต่ความทุกข์จากความบ้าดีของเขาหายไปทันทีที่เขาได้ลงมือทำอะไรสักอย่างให้กับสังคมและโลกที่เขาเป็นห่วง มันทำให้เขาลืมที่จะไปต่อรองผลประโยชน์ส่วนตนกับพระเจ้าอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริงของมนุษย์เราไปเสีย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

26 กรกฎาคม 2562

เรื่องด่วนมีเรื่องเดียวคือคุณจะต้องลงมือเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการใช้ชีวิตเสียที

จะผ่าตัดหัวใจ ต้องการความช่วยเหลือด่วน
เรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพ
ผมเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล ... ไปตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจตั้งแต่วันที่ ๑๙ กค ที่ผ่านมา เพราะเกิดอาการแน่นหน้าอก ปวดร้าวลงแขน เข้าฉีดสีสวนหัวใจเมื่อวันที่ ๒๓ ที่ผ่านมา หมอบอกว่าเส้นเลือดตีบทั้งสามเส้น ทำบอลลูนยาก ต้องผ่าตัดอย่างเดียว นัดตรวจร่างกายเตรียมความพร้อมในวันที่ ๓๑ กค ผมจึงศึกษาหาทางเลือกอื่นๆจากวีดีโอและบทความของคุณหมอ เชื่อว่านี่น่าจะเป็นทางออกได้ จึงเขียนมาขอความช่วยเหลือจากคุณหมอพร้อมส่งรายละเอียดการตรวจมาประกอบด้วย มีรายละเอียดอื่นๆคือ
๑.) ผมชื่อ ... อายุ ๕๘ ปี ทำงานราชการ เป็นผู้บริหารระดับสูงอยู่ที่ ...
๒.) เมื่อเดือนมีนาคมปี ๒๕๕๙ ขี่จักรยานออกกำลังกายเกิดแน่นหน้าอกนานไม่หายจึงไปหาหมอตรวจตามขั้นตอน แต่ไม่ยอมตรวจด้วยการฉีดสี เพราะความเชื่อส่วนตัวไม่ชอบ invasive แบบที่หมอเขียน จึงตรวจด้วย CT SCAN ที่รพ กรุงเทพภูเก็ต พบว่าเส้นเลือดตีบหนึ่งเส้น อีกเส้นก็เริ่มมีปัญหา หมอก็ให้ยาต่างๆมา ผมกินสักพักก็ไม่กิน เพราะเป็นพวกหวาดกลัวผลข้างเคียงยาเคมีแต่ใช้วิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆเช่น ออกกำลังกาย งดอาหารเย็น ไม่กินอาหารผักทอด บางช่วงไม่กินเนื้อเลย และกินอาหารเสริม สมุนไพร(ไปคลินิกหมอสมุนไพรสมัยใหม่ในกรุงเทพ) ล่าสุดเมื่อสองเดือนที่แล้วทดลองกินอาหารแบบคีโตจีนิคส์ ผมไปตรวจเลือดดูไขมันสม่ำเสมอทุกสองสามเดือนตลอดสามปีที่ผ่านมา เรียนกับหมอตามตรงว่าไม่ค่อยได้ผลในการลดไขมัน สามปีที่ผ่านมาไขมันรวมจะอยู่ระหว่าง ๒๕๐-๓๐๐ ไตรกลีเซอไรด์สูงมาก ระหว่าง ๒๕๐-๓๙๐ เฮชดีแอล ๓๖-๓๙ เคยเป็น ๔๒ อยู่ครั้งเดียวหลังกินอาหารคีโต แอลดีแอลระหว่าง ๑๖๐-๒๐๐ คงเป็นเพราะผมไม่เข้มงวดเรื่องอาหาร ประกอบกับต้องเดินทางทำงานทั่งประเทศ การจัดการเรื่องนี้จึงไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด จึงมาจบที่ตีบสามเส้น
๓.) นอกจากไขมันแล้ว โดยรวมผมเป็นคนสุขภาพดี ไม่มีเบาหวาน ความดันสูง ประวัติในครอบครัว พ่อแม่ก็ไม่มีประวัติ (อาจะมีแม่เสียชีวิตตอนอายุ๗๔ ด้วยอาการช้อค ส่งโรงพยาบาลไม่ทัน น่าจะมาจากเส้นเลือดอุดตันหรือเปล่า?)ไม่เคยเข้ารักษาในโรงพยาลตั้งแต่เกิด
๔.) ผมไม่ต้องการการผ่าตัดหัวใจ ถึงขั้นยอมรับความเสี่ยงทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น พร้อมที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมทุกอย่าง อย่างที่คุณหมอแนะนำ และตอนนี้ก็เริ่มทำแล้ว
อยากเรียนถามคุณหมอว่า
๑.) ดูจากผลการตรวจแล้วคุณหมอคิดว่าผมยังสามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดได้หรือไม่ มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ที่จะมาปรับพฤติกรรมการกินแทน
๒.) นอกเหนือจากการงดอาหารที่คุณหมอแนะนำไว้ตามบทความ วีดีโอต่างๆแล้ว เฉพาะกรณีผมคุณหมอแนะนำการกินอาหารอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษไหมครับ ผมปรับเปลี่ยนได้ทุกอย่าง
๓.) ตอนนี้หมอสั่งยา Bisoprolol Fu,Aspirin 81mg,Omeprasole20mg,และAtorvas 20mg ควรกินตามนี้หรือปรับเปลี่ยนอย่างไร ผมไม่มีประวัติแพ้ยาหรือแพ้อาหารอะไรทั้งสิ้น
ขอขอบพระคุณล่วงหน้า
ปล.ผมจบคณะ ... รู้จักพี่ที่เป็นหมอหลายคน เช่นหมอ ...ฯลฯ ทุกคนตำหนิผมทั้งนั้นที่มาเลือกทางแบบนี้

.......................................................

ตอบครับ

     ประเด็นที่ 1. การจัดการปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ 

     คุณทราบว่าตัวเองเป็นโรคหัวใจขาดเลือดมาหลายปีแล้ว ทราบด้วยว่าปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ในกรณีของคุณคือการที่ไขมันในเลือดสูงเพียงอย่างเดียว ปัจจัยอื่นไม่มี แต่ระดับไขมันในเลือดที่ส่งมาให้ดูยังสูงอยู่ต่อเนื่องหมายความว่าคุณไม่ได้จัดการปัญหาไขมันในเลือดสูงอย่างจริงจังเลย หากย้อนเวลาได้ คนที่รู้ว่าเป็นโรคแน่ชัดแล้วและรู้ว่าไขมันในเลือดสูงแล้วอย่างคุณนี้ สมควรที่จะหาทางเอาไขมันเลว (LDL) ในเลือดลงมาให้ต่ำกว่า 70 มก/ดล.ให้ได้ ด้วยการปรับลดไขมันในอาหารอย่างเข้มงวด ควบกับการออกกำลังกาย หากไม่สามารถเอาลงมาได้ในเวลาอันควรก็จำเป็นต้องใช้ยาลดไขมันช่วย จน LDL ลดลงต่ำกว่า 70 มก/ดล.ให้ได้ เมื่อเปลี่ยนอาหารได้ดีแล้ว ไขมันลงและนิ่งดีแล้ว จึงค่อยๆทดลองลดยาลดไขมัน โดยที่ยังต้องใช้ไขมันในเลือดเป็นตัวชี้วัดอย่างเข้มงวดเช่นเดิม หมายความว่าหากมันกลับไปสูงกว่า 70 มก./ดล.ใหม่ ก็ต้องกลับไปใช้ยาลดไขมันใหม่ เพราะคนอย่างคุณนี้ (เพศชาย เป็นโรคตั้งแต่อายุน้อย และเป็นโรครุนแรง) เป็นกลุ่มคนที่จะได้ประโยชน์จากการลดไขมันในเลือดลงมากที่สุด แต่เนื่องจากสามปีที่ผ่านมาคุณไม่ได้ใช้นโยบายลดไขมันอย่างเข้มงวดแบบนี้ โรคจึงดำเนินไปข้างหน้าจนมาเกิด heart attack หรือเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันขึ้น

     ประเด็นที่ 2. เจ็บหน้าอกแบบไหนต้องรีบไปรพ.

     ในการเจ็บหน้าอกครั้งสุดท้าย (20 กค. 62) บันทึกของแพทย์เขียนว่าคุณเจ็บหน้าอกขณะพัก เจ็บอย่างต่อเนื่อง ด้วยระดับความเจ็บ 5/10 นานจนข้ามวันก็ยังไม่หาย จึงไปศูนย์แพทย์ แล้วยังไม่หาย จึงไปโรงพยาบาล เมื่อหมอตรวจก็พบกว่าการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ (EF) เสียหายไปมากพอควรแล้ว ตรงนี้ผมขอซักซ้อมความเข้าใจหน่อยเผื่อคุณเอาไว้ใช้ประโยชน์คราวหน้า และเผื่อท่านผู้อ่านท่านอื่นด้วย ว่าการเจ็บหน้าอกมีสองแบบ คือแบบไม่ด่วน (stable angina) กับไม่ด่วน (acute MI) โดยตัดสินกันที่เวลาเท่านั้น คือถ้าเจ็บนานเกิน 20 นาทีแล้วไม่หาย ถือว่าเป็นแบบด่วน ต้องไปโรงพยาบาลทันที อย่ารอเป็นชั่วโมงหรือรอข้ามวัน เพราะหากไปเร็ว เปิดหลอดเลือดได้ทัน กล้ามเนื้อหัวใจก็จะไม่เสียหายไปมากอย่างนี้

     ประเด็นที่ 3. จะหลีกเลี่ยงการผ่าตัดได้หรือไม่ 

     โรคของคุณนี้เรียกว่ากล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิด NSTMI ที่รอดพ้นจากการตายใน 3 วันแรกมาได้ โดยที่ไม่มีรอยตีบที่โคนหลอดเลือดใหญ่ข้างซ้าย (LM) ได้มีงานวิจัยขนาดใหญ่ชื่อ OAT trial เอาคนไข้แบบคุณนี้มา 2,166 คน จับฉลากแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเอาไปทำบอลลูนหรือผ่าตัดหมด อีกกลุ่มหนึ่งให้กินยาอย่างเดียว แล้วตามดูโดยเอาจุดจบที่เลวร้ายของโรคเป็นตัวชี้วัด (ตายหรือเกิดหัวใจหรือหัวใจล้มเหลวจนต้องเข้ารพ.ซ้ำ) พบว่ากลุ่มที่เอาไปทำบอลลูนผ่าตัดมีจุดจบที่เลวร้าย 17.2% ขณะที่กลุ่มที่กินยาอย่างเดียวมีจุดจบที่เลวร้าย 15.6% คือไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยนี้ตอบคำถามของคุณได้ ว่าคนอย่างคุณนี้ จะบอลลูนผ่าตัดหรือกินยาอย่างเดียวก็แป๊ะเอี้ย คือตายเท่ากัน มีข้อวิจารณ์ว่างานวิจัยนี้ใช้ขดลวดแบบไม่เคลือบยาซึ่งดีสู้ขดลวดแบบเคลือบยาไม่ได้ แต่การทบทวนงานวิจัยระดับสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่ม 22 งานวิจัยซึ่งมีผู้ป่วยรวมถึง 9,470 คน และงานวิจัยระดับไม่ได้สุ่มตัวอย่าง 34 งานซึ่งมีผู้ป่วยรวม 182,901 คนกลับไม่พบว่าสะเต้นท์เคลือบยาให้ผลดีกว่าอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังแต่อย่างใด การจะอ้างเอาการมีสะเต้นท์เคลือบยามาสนับสนุนการทำบอลลูนใส่สะเต้นท์ว่าจะให้ผลดีกว่าผลวิจัยที่ใช้สะเต้นท์แบบไม่เคลือบยาก็ฟังไม่ขึ้น
ดังนั้นงานวิจัย OAT นี้ถือว่าเป็นหลักฐานดีที่สุดหลักฐานเดียวที่วงการแพทย์มีอยู่ตอนนี้ที่จะตอบคำถามของคุณได้

    อีกงานวิจัยหนึ่งที่อาจนำผลมาประกอบการตัดสินใจของคุณได้คืองานวิจัย COURAGE trial ซึ่งเอาผู้ป่วยเจ็บหน้าอกจากหลอดเลือดหัวใจตีบสองเส้นบ้าง สามเส้นบ้างแต่ LM ปกติ จำนวน 2,287 คน มาสุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ทำบอลลูนใส่สะเต้นท์ อีกกลุ่มหนึ่งให้กินยาอย่างเดียว ตามดูไปสิบกว่าปี พบว่าอัตราตายกับอัตราเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในระยะยาวไม่ต่างกันเลย

    แล้วในแง่ของการบรรเทาอาการละ การรักษาแบบรุกล้ำจะช่วยลดโอกาสเจ็บหน้าอกและเพิ่มคุณภาพชีวิตในอนาคตในคนไข้แบบคุณนี้ได้หรือไม่ นี่ก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ เพราะเพิ่งมีงานวิจัยที่ดีมากทำที่อังกฤษ ชื่อ ORBITA Trial ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet ทำวิจัยแบบบ้าบิ่นมาก คือเอาคนไข้โรคหัวใจขาดเลือด 230 คน ที่มีรอยตีบเกิน 70% ในหลอดเลือดเส้นหน้า (LAD) และมีอาการเจ็บหน้าอกแบบไม่ด่วน (stable angina) มาสุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเข้าทำบอลลูนใส่ขดลวดจริง อีกกลุ่มหนึ่งเข้าทำบอลลูนใส่ขดลวดหลอก หมายความว่าเอาเข้าไปในห้องสวนหัวใจเหมือนกัน ทำทุกอย่างเหมือนกันหมด ฉีดยาชา จิ้มเข็มเข้าที่ขา เอะอะมะเทิ่ง ไม่มีคนไข้คนไหนรู้ว่าตัวเองได้ทำบอลลูนจริงหรือทำบอลลูนปลอม วิธีนี้วงการแพทย์เรียกว่าทำ sham surgery แล้วตามไปดูนาน 6 สัปดาห์ว่าใครจะมีผลบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกและสามารถออกกำลังกาย (exercise time) ได้ดีกว่ากัน ผลปรากฎว่าทั้งสองกลุ่มต่างออกกำลังกายได้ดีขึ้น และออกกำลังกายได้ไม่แตกต่างกันเลยไม่ว่าจะได้ใส่สะเต้นท์จริง หรือไม่ได้ใส่สะเต้นท์เลย ผู้วิจัยสรุปว่าผลของการหลอก (placebo effect) ว่ามีผลบรรเทาอาการได้ไม่ต่างจากการทำบอลลูนใส่ขดลวดจริงๆ

     ประเด็นที่ 4. ความเสี่ยงของการปรับพฤติกรรมการกินแทน

     การปรับพฤติกรรมการกินเพื่อลดไขมันในอาหารไม่มีความเสี่ยงอะไร โธ่ คุณเปลี่ยนจากการกินอาหารเลวๆไปกินอาหารดีๆมันจะไปมีความเสี่ยงอะไรละครับ คนเดี๋ยวนี้เป็นอะไรกันนะ ถ้าจะใช้ชีวิตแบบก่อโรคให้ตัวเองแล้วไปทำบอลลูนไปผ่าตัดหัวใจนี่ถือว่าเป็นวิธีที่ไม่เสี่ยง แต่ถ้าจะกินอาหารดีๆออกกำลังกายและจัดการความเครียดให้ร่างกายกลับมาดีกลับเห็นเป็นเรื่องที่เสี่ยง ขอโทษ บ่นนอกเรื่อง เอาเป็นว่าไม่ว่าคุณจะผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัด อย่างไรเสียคุณก็ต้องปรับพฤติกรรมการกิน เพราะการปรับพฤติกรรมการกินกล่าวคือลดไขมันในอาหารลงอย่างเข้มงวด ลดเนื้อสัตว์และไขมันจากสัตว์ลงเปลี่ยนเป็นกินพืชมากขึ้นเป็นสิ่งเดียวเท่าที่หลักฐานวิทยาศาสตร์มีตอนนี้ว่าจะช่วยให้โรคถอยกลับได้ ส่วนวิธีอื่นนั้นยังไม่มี การทำบอลลูนหรือผ่าตัดในกรณีของคุณนี้ไม่อาจช่วยลดอัตราตายลงได้ ตรงนี้มีหลักฐานแน่นอนแล้ว

    ประเด็นที่ 5. คำแนะนำของหมอสันต์ 

     ผมมองว่าปัญหาของคุณไม่ใช่อยู่ที่การที่คุณจะผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัด แต่อยู่ที่คุณไม่เอาจริงในการปรับเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนอาหารการกิน ผลงานของคุณในสามปีที่ผ่านมามันฟ้อง ถ้าคุณไม่เอาจริงในเรื่องนี้เสียเรื่องเดียว เรื่องอื่นคุณจะทำอะไร ไม่ทำอะไร มันก็แป๊ะเอี้ย คือคุณก็จะพบกับจุดจบอันเลวร้ายของโรคเร็วขึ้นอยู่ดี

     ถ้าคุณคิดว่าคุณจะเอาจริง คุณก็เลื่อนการตัดสินใจผ่าตัดออกไปก่อนสักหกเดือนได้ เพราะการผ่าตัดของคุณมันเป็นการผ่าตัดแบบทำเมื่อไหร่ก็ได้ (elective surgery) มันไม่ใช่การผ่าตัดด่วน คำว่าการผ่าตัดด่วน (emergency surgery) นี้วงการแพทย์เขามีข้อบ่งชี้ว่ากรณีไหนที่ด่วน ของคุณไม่ใช่กรณีด่วนแน่นอน เรื่องที่ด่วนมีเรื่องเดียวคือเรื่องที่คุณจะต้องลงมือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการใช้ชีวิตของคุณเสียที เรื่องอื่นไม่มีอะไรด่วน ดังนั้นในหกเดือนที่เลื่อนการตัดสินใจออกไปนี้คุณก็โฟกัสที่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างจริงจังโดยใช้ตัวชี้วัดง่ายๆเจ็ดตัวที่ผมพร่ำพูดถึงบ่อยๆคือ (1) น้ำหนัก (2) ความดัน (3) ไขมัน (4) น้ำตาล (5) จำนวนผักผลไม้ที่กินต่อวัน (6) จำนวนเวลาที่ออกกำลังกายต่อชั่วโมง และ (7) การสูบบุหรี่ รายละเอียดวิธีทำคุณหาอ่านเอาเองจากในบล็อกนี้ ถ้าทำเองไม่ได้ก็หาเวลามาเข้าแค้มป์ RDBY และแน่นอนว่าในหกเดือนนี้คุณจะต้องกินยาตามที่หมอเขาให้มาเต็มแม็กจนกว่าตัวชี้วัดทุกตัวจะปกติคุณจึงจะค่อยๆลดยาลงโดยใช้ตัวชี้วัดทั้งเจ็ดเป็นตัวชี้นำว่ายาไหนจะลดได้ลดไม่ได้ เมื่อครบหกเดือนคุณก็ค่อยมาตัดสินใจก็ได้ว่าจะผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัด ข้อมูลผมให้คุณหมดแล้ว การตัดสินใจเป็นหน้าที่ของคุณ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Hochman J.S., et al. "Coronary Intervention for Persistent Occlusion after Myocardial Infarction". The New England Journal of Medicine. 2006. 355(23):2395-2407.
2. Weintraub WS, Spertus JA, Kolm P, Maron DJ, Zhang Z, Jurkovitz C, et al. For the COURAGE Trial Research Group. Effect of PCI on quality of life in patients with stable coronary disease. N Engl J Med. 2008;359(7):677–687.
3. Al-Lamee R, Thompson D, Dehbi HM, Sen S, Tang K, Davies J, et al. ORBITA Investigators Percutaneous coronary intervention in stable angina (ORBITA): a double-blind, randomised controlled trial. Lancet. 2018;391(10115):31–40.
4. Kirtane AJ, Gupta A, Iyengar S, Moses JW, Leon MB, Applegate R, et al. Safety and efficacy of drug-eluting and bare metal stents: comprehensive meta-analysis of randomized trials and observational studies. Circulation. 2009;119(25):3198–3206.
5. Bonaa KH, Mannsverk J, Wiseth R, Aaberge L, Myreng Y, Nygård O, et al. NORSTENT Investigators Drug-eluting or bare-metal stents for coronary artery disease. N Engl J Med. 2016;375(13):1242–1252.

[อ่านต่อ...]

หมอสันต์สนับสนุนอาหารคีโตถ้า..เป็นคีโตวีแกน

หนูอ่านบล็อกคุณหมอเป็นประจำ แต่หนูกินคีโตไดเอ็ทเพื่อรักษาเบาหวานของหนูเอง หนูรู้สึกว่าหมอสันต์ไม่สนับสนุนอาหารคีโตเลยใช่ไหม ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นทั้งๆที่อาหารคีโคลดน้ำหนักได้และรักษาเบาหวานได้

....................................................

ตอบครับ

     ฟังน้ำเสียงคุณเป็นคนมีความรู้ในทางการแพทย์ เรามาคุยกับแบบเอาเนื้อหาความรู้ล้วนๆนะ แต่ก่อนอื่นเพื่อให้ท่านผู้อ่านท่านอื่นตามทัน ขอนิยามคำว่า อาหารคีโต (ketogenic diet) หน่อยนะ ว่าคืออาหารที่มุ่งลดพลังงานจากแป้งและน้ำตาลลงจนแทบไม่เหลือเลย แต่ไปเพิ่มพลังงานจากไขมันแทน ซึ่งในชีวิตจริงคนกินอาหารคีโตก็ต้องกินเนื้อสัตว์และไขมันจากสัตว์มากๆ ไม่กินข้าวแป้งน้ำตาลเลย เอาละ ทีนี้เรามาคุยกัน

1. ประเด็นอาหารอะไรดีที่สุด

     นับถึงวันนี้ วงการแพทย์รู้แน่ชัดแล้วว่าอาหารที่ดีต่อสุขภาพคืออาหารที่มีพืชแยะๆ มีเนื้อสัตว์น้อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรับแต่งถนอม (ไส้กรอก เบคอน แฮม) และเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้น ยิ่งกินน้อยยิ่งดี นี่เป็นข้อมูลส่วนที่ชัดเจนแล้ว มีหลักฐานดีแล้ว คำแนะนำมาตรฐาน (guidelines) ไม่ว่าจะสำหรับคนเป็นมะเร็ง เป็นโรคหลอดเลือดสมองหัวใจ เป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคอ้วน  และคนทั่วไป จึงล้วนแนะนำให้กินอาหารแบบนี้ทั้งนั้น

     ส่วนที่ว่าจะเลิกกินเนื้อสัตว์ทุกชนิดไปเลยแบบวีแกนหรือแบบเจไปเลย หรือว่าจะกั๊กๆกินเนื้อสัตว์เช่นปูปลากุ้งหอยเป็ดไก่และไข่อยู่บ้างไหม ตรงนี้วงการแพทย์ยังไม่มีข้อมูลว่าอย่างไหนดีกว่าอย่างไหน เรียกว่าเป็นเขตปลอดข้อมูล (data free zone) ใครจะกินอย่างไร จะเอาแบบวีแกน มังกินไข่ มังกินนม มังกินปลา หรือเจเขี่ย ก็พิจารณาเอาตามแต่ที่ท่านชอบเถิด เพราะหลักฐานสนับสนุนยังไม่ชัด ชัดแต่ว่าขอให้พืชมากขึ้น สัตว์น้อยลง

2. ประเด็นการดื้อต่ออินสุลิน

     การที่เซลดื้อไม่ยอมรับคำสั่งของฮอร์โมนอินสุลิน (insulin resistance) เป็นกลไกพื้นฐานของการเป็นเบาหวานที่วงการแพทย์ยอมรับกันทั่วไป แต่อะไรทำให้เกิดการดื้อต่ออินสุลิน ตรงนี้ยังแตกความเห็นเป็นสองฝ่าย ฝ่ายนิยมคีโตก็ว่าคาร์โบไฮเดรต (หมายถึงน้ำตาลและแป้ง) เป็นตัวการ อีกฝ่ายหนึ่งว่าไขมันเป็นตัวการ

     งานวิจัยการใช้อาหารคีโคซึ่งงดแป้งงดน้ำตาลแต่กินไขมันโดยส่วนใหญ่เป็นไขมันที่มากับเนื้อสัตว์แทนในการรักษาเบาหวาน พบว่าทำให้ตัวชี้วัดโรคเบาหวานไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำตาลและระดับอินสุลินดีขึ้นเมื่อเทียบกับการกินทุกอย่างที่ขวางหน้า [1] นั่นเป็นงานวิจัยระยะสั้น ส่วนงานวิจัยอาหารคีโตระยะยาวพบว่าอาหารแบบนี้ทำให้มีอัตราเป็นนิ่วในไตมากขึ้น กระดูกพรุนมากขึ้น และไขมันในเลือดสูงขึ้น [2]

ข้อมูลวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอาหารใดทำให้เป็นเบาหวาน

     ถ้าถอยออกมามองข้อมูลเชิงระบาดวิทยาซึ่งเป็นข้อมูลในระดับกว้างเกี่ยวกับผู้คนจำนวนมาก พบว่าโรคเบาหวานในประชากรจีนเพิ่มขึ้นจา 2.6% ในปี 2000 เป็น 9.7% ในปี 2010 พร้อมๆกับการเปลี่ยนอาหารจากการกินข้าวเป็นหลักมากินเนื้อสัตว์มากขึ้น [3] หมายความว่าช่วงกินข้าวเป็นเบาหวานน้อย ช่วงกินเนื้อสัตว์มาก เป็นเบาหวานมากขึ้น

     ถ้าไปดูในชุมชนพื้นเมืองในประเทศเม็กซิโก เช่นชุมชน Tepehuano, Huichol และ Mexicanero พบว่าในช่วงก่อนปี 2000 ซึ่งอาหารของชุมชนเป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตสูงล้วนจากข้าวโพด ข้าว ถั่ว แตงกวา กลับปรากฎว่าในชุมชนเหล่านี้ไม่มีใครเป็นเบาหวานเลย [4] ถ้าดูชนเผ่า Pima Indians ที่อยู่ในเขตเม็กซิโกและกินอาหารคาร์โบไฮเดรตสูง กินแคลอรีจากไขมันเพียง 25% และจากโปรตีนเพียง 11% พบว่าเป็นเบาหวานน้อยกว่าเผ่าเดียวกันซึ่งอยู่ในเขตสหรัฐที่กินอาหารเนื้อสัตว์ถึง 5 เท่า [5]

     ที่ฮาร์วาร์ดได้มีการทำวิจัยติดตามดูสุขภาพของบุคลากรทางการแพทย์ จำนวนกว่า 40,000 คนซึ่งตอนตั้งต้นไม่มีใครเป็นเบาหวานเลย ตามดูนาน 20 ปี พบว่าคนที่กินเนื้อสัตว์ที่มีไขมันติดด้วยมากเป็นเบาหวานมากกว่าพวกที่กินคาร์โบไฮเดรตมากกินเนื้อสัตว์น้อยถึง 37% [6]

     งานวิจัยในกลุ่มคนกินอาหารเจหรือวีแกน (vegans) ซึ่งเป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตสูงพบว่าเป็นเบาหวานน้อยกว่าคนที่กินอาหารทั่วไป(ที่มีเนื้อสัตว์และไขมันจากสัตว์ด้วย)ถึงครึ่งหนึ่ง แม้ว่าจะได้ปรับเอาข้อมูลปัจจัยเสี่ยงเช่น การออกกำลังกายและความอ้วนออกไปแล้วก็ตาม [7]

     กลับมามองดูงานวิจัยเจาะลึกแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) งานวิจัยหนึ่งเอาผู้ป่วยเบาหวานที่รับไว้รักษาในวอร์ดมากินอาหารแบบอาหารเบาหวาน (ได้แคลอรีจากโปรตีน 20% จากคาร์โบไฮเดรต 43% จากไขมัน 37%) ระยะหนึ่ง แต่ต่อมาให้ทุกคนเปลี่ยนไปกินอาหารแบบคาร์โบไฮเดรตสูง (ได้แคลอรีจากโปรตีน 21% จากคาร์โบไฮเดรต 70% จากไขมัน 9%) จนจบการวิจัย  [8] พบว่าทุกคนลดการฉีดอินสุลินลงได้จาก 26 ยูนิตเหลือ 11 ยูนิต ในช่วงที่กินอาหารแบบคาร์โบไฮเดรตสูง โดยที่น้ำตาลในเลือดและอินสุลินก็ต่ำกว่าช่วงที่กินเนื้อสัตว์สูงด้วย

     อีกงานวิจัยหนึ่งทำนานถึง 74 สัปดาห์ เปรียบเทียบอาหารเบาหวานของสมาคมเบาหวานอเมริกัน (ADA) กับอาหารเจแบบไขมันต่ำ พบว่ากลุ่มที่กินอาหารเจแบบไขมันต่ำลดยาได้มากกว่า ไขมันในเลือดลดลงต่ำกว่า น้ำตาลในเลือดลดลงต่ำกว่า และน้ำหนักลดลงดีกว่ากลุ่มกินอาหารสมาคมเบาหวานประมาณหนึ่งเท่าตัว [9]

     ดังนั้นข้อมูลที่มีถึงวันนี้บ่งชี้ไปทางว่าอาหารเนื้อสัตว์และไขมันจากสัตว์สัมพันธ์กับการเป็นเบาหวาน

อะไรกันแน่ที่เป็นตัวทำให้เกิดการดื้อต่ออินสุลิน

     วงการแพทย์มีหลักฐานตั้งแต่ช่วงปี 1930 แล้วว่าไขมันในอาหารทำให้เกิดการดื้อต่ออินสุลิน [10] ปัจจุบันนี้งานวิจัยในห้องทดลองก็อธิบายกลไกที่ไขมันทำให้เซลดื้อต่ออินสุลินได้แล้วว่ามันเริ่มจากการที่เซลกล้ามเนื้อ ตับ และตับอ่อน รับเอาไขมันเข้าไปจนมากเกินกว่าที่จะเผาผลาญได้ และยังรู้ด้วยว่าหากให้อาหารคาร์โบไฮเดรตสูงจะแก้ไขการดื้อต่ออินสุลินได้ [11- 12] ไขมันส่วนที่แทรกตับอ่อนทำให้ตับอ่อนผลิตอินสุลินได้น้อยลง ยิ่งทำให้เบาหวานรุนแรงขึ้น ยิ่งถ้าหากผู้ป่วยกินอาหารแคลอรีสูงเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญได้ เบาหวานก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น [13]

     อาหารเจแบบไขมันต่ำเป็นอาหารที่ลดน้ำหนักในระยาวได้ดีที่สุดเท่าที่มีงานวิจัยตีพิมพ์ไว้แม้จะกินจนพุงกางก็ตามหรือไม่ออกกำลังกายก็ตาม [14] ในงานวิจัย BROAD Study ผู้ป่วยอ้วนสามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 12 กก. ใน 1 ปี โดยไม่ต้องอดอาหารและไม่ต้องเพิ่มการออกกำลังกายไปจากเดิมที่เคยทำได้

ประเด็นผลในระยะยาว

     คนเป็นโรคเบาหวานไม่ได้ตายเพราะโรคเบาหวาน แต่ตายด้วยภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะปลายทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งนับถึงวันนี้หลักฐานเท่าที่มีอยู่พบว่ามีแต่อาหารแบบกินพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำเท่านั้นที่จะพลิกผันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ [15]

     ปัจจุบันนี้ยังไม่มีผลวิจัยผลของอาหารคีโคต่ออัตราตายในระยะยาว มีแต่ผลระยะสั้นว่าทำให้ไขมันเลวในเลือดซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสูงขึ้น แต่งานวิจัยตามดูผลของการใช้อาหารคีโตเพื่อรักษาโรคลมชักพบว่าผู้ป่วยกินอาหารคีโตเหล่านี้มีตัวชี้วัดความแข็งของหลอดเลือดแดง  (arterial stiffness) มากขึ้น และมีดัชนีวัดการบาดเจ็บของหลอดเลือดสูงขึ้น [16] ทำให้จำเป็นต้องระวังหรือหลีกเลี่ยงการใช้อาหารคีโตนานๆไว้ก่อน

กล่าวโดยสรุป

     หมอสันต์ไม่ได้ต่อต้านอาหารคีโค แต่หมอสันต์เชียร์ให้ลดการกินเนื้อสัตว์ลงมากินพืชให้มากขึ้น ดังนั้นใครจะใช้อาหารคีโตลดน้ำหนักหรือรักษาเบาหวานก็ใช้ได้ แต่ควรใช้เป็นระยะสั้นๆเฉพาะในช่วงที่นิสัยการบริโภคยังติดอยู่กับเนื้อสัตว์มากอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานดีขึ้นแล้ว ควรปรับอาหารจากคีโตมาเป็นอาหารพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำจะดีที่สุด เพราะทั้งรักษาโรคอ้วนและเบาหวานได้ด้วย และทั้งป้องกันและพลิกผันโรคหลอดเลือดหัวใจอันเป็นสาเหตุการตายหลักของเบาหวานได้ด้วย

     แต่ถ้าใครยังรักชอบจะกินคีโตต่อไปอีก หมอสันต์ก็ขอต่อรองว่าเอาคีโตแบบงดหรือลดเนื้อสัตว์และไขมันจากสัตว์ได้ไหม โดยใช้ไขมันในเลือดโดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันเลว (LDL) เป็นตัวชี้วัด ถ้าไขมันในเลือดต่ำก็กินคีโตแบบไหนก็ได้ต่อไปได้ไม่มีกำหนด แต่ถ้าเป็นแบบนักกินคีโตหนุ่มท่านหนึ่งที่เพิ่งเกิดฮอร์ทแอทแทคไปและเขียนมาหาผม เขามีโคเลสเตอรอลรวมในเลือดสามร้อยกว่า ถ้าแบบนี้เปลี่ยนเป็นคีโตแบบไม่กินเนื้อสัตว์และไขมันจากสัตว์ดีกว่านะ ผมตั้งชื่อให้คีโตแบบนี้เสียเองว่าคีโตวีแกน (keto-vegan) นั่นก็คือกินอาหารคล้ายๆอาหารเจแบบไขมันสูงที่กินกันตามเทศกาลเจทั่วไปในเมืองไทยเรานั่นเอง ถ้าไม่อยากได้แคลอรี่จากธัญพืชเพราะรังเกียจว่าเป็นแป้งก็ไปใช้แคลอรี่จากถั่ว งา นัท ซึ่งเป็นไขมันและโปรตีนแทน ชั่วดีถี่ห่างไขมันจากพืชก็ยังมีสัดส่วนของไขมันอิ่มตัวอันเป็นไขมันก่อโรคต่ำกว่าไขมันจากสัตว์ และสิ่งแย่ๆในทางโภชนาการที่วงการแพทย์รู้จักดีแล้วไม่ว่าจะเป็นโคเลสเตอรอล โมเลกุลฮีม (heme iron), trimethylamine, และฮอร์โมน IGF-1 ล้วนมาจากเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทั้งสิ้น ดังนั้นหมอสันต์เชียร์อาหารคีโตนะถ้า..เป็นคีโตวีแกน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Westman, E.C., Yancy, W.S., Mavropoulos, J.C., Marquart, M. & McDuffie, J.R., (2008), The effect of a low-carbohydrate, ketogenic diet versus a low-glycemic index diet on glycemic control in type 2 diabetes mellitus. Nutr Metab.;5:36. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2633336/
2. Kosinski, C. & Jornayvaz, F.R., (2017), Effects of Ketogenic Diets on Cardiovascular Risk Factors: Evidence from Animal and Human Studies. Nutrients.;9(5):517. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5452247/
3. Li, H., Oldenburg, B., Chamberlain, C., O’Neil, A., Xue, B., Jolley, D., Hall, R., Dong, Z. & Guo, Y., (2012), Diabetes prevalence and determinants in adults in China mainland from 2000 to 2010: a systematic review. Diabetes Res Clin Pract.;98(2):226-35. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22658670
4. Guerrero-Romero, F., Rodríguez-Morán, M. & Sandoval-Herrera, F., (1997), Low prevalence of non-insulin-dependent diabetes mellitus in indigenous communities of Durango, Mexico. Arch Med Res.;28(1):137-40. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/9078601
5. Schulz, L.O., Bennett, P.H., Ravussin, E., Kidd, J.R., Kidd, K.K., Esparza, J. & Valencia, M.E., (2006), Effects of traditional and western environments on prevalence of type 2 diabetes in Pima Indians in Mexico and the U.S. Diab Care;29(8):1866-71. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16873794
6. de Koning, L., Fung, T.T., Liao, X., Chiuve, S.E., Rimm, E.B., Willett, W.C., Spiegelman, D., & Hu, F.B., (2011), Low-carbohydrate diet scores and risk of type 2 diabetes in men. Am J Clin Nutr.;93(4):844-50. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21310828
7. Tonstad, S., Butler, T., Yan, R. & Fraser, G.E., (2009), Type of vegetarian diet, body weight, and prevalence of type 2 diabetes. Diab Care.;32(5):791-6. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2671114/
8. Anderson, J.W. & Ward, K., (1979), High-carbohydrate, high-fiber diets for insulin-treated men with diabetes mellitus. Am J Clin Nutr.;32(11):2312-21. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/495550
9. Barnard, N.D., Cohen, J., Jenkins DJ, et al. (2009), A low-fat vegan diet and a conventional diabetes diet in the treatment of type 2 diabetes: a randomized, controlled, 74-wk clinical trial. Am J Clin Nutr. 2009;89(5):1588S-1596S. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2677007/
10. Yokoyama, Y., Barnard, N.D., Levin, S.M. & Watanabe, M. (2014), Vegetarian diets and glycemic control in diabetes: a systematic review and meta-analysis. Cardiovasc Diagn Ther.;4(5):373-82. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4221319/
11. Lichtenstein, A.H. & Schwab, U.S. (2000), Relationship of dietary fat to glucose metabolism. Atherosclerosis;150(2):227-43. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10856515
12. Himsworth, H.P., (1934), Dietetic factors influencing the glucose tolerance and the activity of insulin. J Physiol.;81(1):29-48. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1394223/
13. Kraegen, E.W. & Cooney, G.J., (2008), Free fatty acids and skeletal muscle insulin resistance. Curr Opin Lipidol.;19(3):235-41. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18460913
14. Wright, N., Wilson, L., Smith, M., Duncan, B. & McHugh, P., (2017), The BROAD study: A randomised controlled trial using a whole food plant-based diet in the community for obesity, ischaemic heart disease or diabetes. Nutr Diabetes. 7(3):e256. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/28319109
15. Ornish, D., Scherwitz, L.W., Billings, J.H., Brown, S.E. et al (1998), Intensive lifestyle changes for reversal of coronary heart disease. JAMA;280(23):2001-7. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/9863851
16. Kossof, E., (2014), Danger in the pipeline for the ketogenic diet? Epilepsy Curr.;14(6):343-4. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4325592
[อ่านต่อ...]

25 กรกฎาคม 2562

ทำบอลลูน 2 ครั้ง ผ่าตัดสมองอีก 3 ครั้ง อนาคตไม่อาจรู้ได้ แต่ปัจจุบันอยู่ได้

     เรื่องเล่าจากคู่ชีวิตของสมาชิกแค้มป์ RDBY ท่านหนึ่งซึ่งอ่านสนุกและมีประเด็นความรู้และความบันดาลใจแทรกอยู่เกือบทุกบรรทัด ต้องขอขอบคุณท่านผู้เล่าที่อนุญาตให้นำลงในบล็อกได้

................................................................

     คนไข้ชายอายุ 57 ปี มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน จากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ3เส้น ได้ทำบอลลูนหัวใจ  ใส่ขวดลวดในเส้นเลือดหัวใจสองครั้ง 5 จุด แต่ยังมีเส้นเลือดหัวใจเล็กที่ตีบอีกบางจุดซึ่งไม่สามารถทำบอลลูนได้

จุดเริ่มต้น ของการดิ้นรน เพื่อให้ชีวิตยาวนานขึ้น

       ขณะที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอุดรธานี หลังใส่ขดลวดครั้งที่ 2 คนไข้ปรารภกับเรา (ภรรยา) เบาๆว่า

     “พ่อคงอายุไม่ยืนแล้วนะ เป็นโรคนี้" 

     เรา  (เรียนจบพยาบาลศาสตร์  ทำงานเป็นนักวิชาการสาธารณสุข) เปิดกูเกิ้ล ค้นคำว่า “เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย แล้วหายได้” กับ “เป็นโรค กล้ามเนื้อหัวใจตาย แล้วไม่ตาย “ ผลที่ค้นพบคือ
“นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ “ นับสิบเรื่อง เต็มหน้าจอ ประสบการณ์ “รักษาโรคหัวใจขาดเลือด โดยไม่ได้กินยา” เราเปิดอ่านทีละเรื่องไปเรื่อยๆ จนประมวลได้ว่าหมอสันต์(นพ.สันต์)เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ
มีผลงานรักษาและผ่าตัดผู้ป่วยโรคหัวใจมาก วันหนึ่งเมื่ออายุ 54 ปี. หมอสันต์ ป่วยด้วยโรคหัวใจขาดเลือด หมอสันต์เล่าว่าตอนรู้ว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดนี่เครียดมากเพราะนึกภาพออกว่าการดำเนินของโรคเป็นอย่างไร วันนี้ทำบอลลูน อีกสักพักก็ใส่ขดลวดเส้นเลือดหัวใจ ใส่ขวดลวดไปพักซักระยะก็จะต้องทำ by pass ทำแล้วไม่เกินสิบปี ก็ต้องไปเปิดหน้าอกผ่าตัดหัวใจ (ถ้าไม่ตายก่อน)  หมอสันต์บอกว่า “กระบวนการรักษาปัจจุบันไม่สามารถช่วยให้โรคหายได้ เป็นเพียงทุเลาอาการ เพื่อรอวันเป็นมากขึ้นตามลำดับ"

     “โยนยาทิ้ง”. คือสิ่งที่หมอสันต์ทำ หลังจากค้นคว้าผลการวิจัยนับ 1000 เรื่อง แล้วพบ Key Word 3-4 เรื่อง ที่ผลวิจัยบอกว่าส่งผลต่อการดีขึ้นหรือหายจากอาการหัวใจขาดเลือด. ของคนไข้กลุ่มตัวอย่าง คือ
_อาหาร
_ออกกำลังกาย
_การจัดการความเครียด
_การมีเพื่อนกลุ่มป่วยด้วยกัน
หมอสันต์นำผลที่ค้นคว้าได้มาปฏิบัติกับตนเองแล้วพบว่าอาการต่างๆดีขึ้นได้โดยไม่ต้องกินยาใดๆ วันนี้ หมอสันต์. อายุ 64 ปี หมอบอกว่า หมอไม่มีอาการหัวใจขาดเลือดแล้ว แรงจูงใจจากการอ่านแนวปฏิบัติของหมอสันต์ เราอ่านให้คนไข้ฟังถึงกรณีตัวอย่างคนไข้ที่หมอสันต์นำมาเผยแพร่ คนไข้สนใจมากๆ จึงตัดสินใจไปพบหมอสันต์ ที่รพ ... ได้พบหมอ ได้รับฟังแนวคิดและประสบการณ์ รวมทั้งได้รับการตรวจร่างกายซ้ำจากหมอสันต์ จนตัดสินใจจะไปเข้าแคมป์ เพื่อรับฟังและฝึกปฏิบัติ วิธีการรักษาโรค
ในต้นเดือนมกราคม 2561.@ Wellness we care อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี
         
ระหว่างเดินทางกลับจากพบหมอสันต์

     ไปบ้านพักที่อำเภอเมืองหนองบัวลำภู(โดยรถยนต์). คนไข้ปวดหัวมาก. อาเจียนพุ่ง (พุ่งจริง) โชคดีที่ผ่าน โรงพยาบาลศรีนครินทร์ พอดี   ตอนเลี้ยวรถเข้าโรงพยาบาลยังคุยกันรู้เรื่องว่าปวดหัวมาก แต่สิบห้านาทีหลังเข้าห้องฉุกเฉิน คนไข้ไม่รู้สึกตัว ม่านตาข้างขวาขยายหมดและไม่ตอบสนองต่อแสง. ผลCT scan พบเลือดออกในสมอง ต้องผ่าตัดสมองด่วนที่สุด. ก่อนเข้าห้องผ่าตัดหมอเจ้าของไข้เรียกเราไปคุย เราบอกว่าเป็นพยาบาลพอจะรู้บ้าง ขอให้หมอคุยกับลูกสาว หมอบอกลูกสาวว่า

     “ โอกาสรอดของพ่อมีเพียง10%"

     สรุปคนไข้ต้องผ่าตัดเพื่อDrain เลือดออกจากสมอง 3 ครั้ง ใน1 สัปดาห์
ครั้งที่ 1 วันที่. 24 ธันวาคม 2560.  มีเลือดออกในสมอง 500 cc.
ครั้งที่ 2  วันที่  25 ธันวาคม 2560. มีเลือดออกในสมอง  100 cc.
ครั้งที่ 3  วันที่. 27. ธันวาคม. 2560มีเลือดออกในสมอง. 250 cc.
หมอวินิจฉัยว่า. แพ้ยาต้านเกร็ดเลือด(ที่รักษาโรคหัวใจ) อย่างรุนแรง
ระหว่างที่นอนรักษาตัวที่ โรงพยาบาลศรีนครินท์.  หมอสันต์ โทรหาเพื่อถามอาการคนไข้ “ผมหมอสันต์นะครับ ทราบว่านายอำเภอต้องผ่าตัดสมอง”    หมอบอกว่า “ถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้วไปไหว ไปหาหมอที่มวกเหล็กนะครับ หมออยากเห็นคนไข้"   เราตอบไปว่าคนไข้ก็อยากพบหมอมาก เพราะไม่กล้ากินยาอีกแล้ว หมอสันต์เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งในยามนี้ (ซาบซึ้งในน้ำใจ และความเมตตา ของหมอสันต์ มากๆ รวมทั้งพี่ตู่ พี่พยาบาลเลขาหมอสันต์ ที่ประสานงานให้) หลังจากพบกันแค่ครั้งเดียวที่โรงพยาบาล...

นอนรักษาอยู่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ 21วัน 
   
     มีเรื่องราวมากมายที่ได้ดำเนินการ ทั้งทางวิทยาศาสตร์  พุทธศาสตร์ ไสยศาสตร์  (จริงๆนะ ใครไม่เจอกับตัวเองจะไม่เชื่อ) 22 วัน หลังผ่าตัดสมองครั้งที่ 3 จึงกลับบ้านได้ มานอนพักที่บ้านเพียงวันเดียวเราก็เตรียมการนำคนไข้ไปมวกเหล็ก เพื่อพบหมอสันต์ เดินทางด้วยรถยนต์ที่ขับอย่างประคับประคองที่สุดจากหนองบัวลำภูไปมวกเหล็ก ถึงแคมป์ที่มวกเหล็กตอนเย็น หมอจัดเข้าที่พักแล้วตามไปตรวจถึงเตียงนอนในห้องพัก ตรวจร่างกาย ตรวจความรู้สึกตัว ขอดูยา และแล้ว หมอบอกว่า “หมอแนะนำไม่ให้กินยา (ต้านเกล็ดเลือด) ที่รับมาจากโรงพยาบาล" ความเชื่อมั่นในตัวหมอสันต์ที่มากมายนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากคนไข้ไม่มีทางเลือก กินยา(ต้านเกร็ดเลือด) อีกเลือดก็ออกในสมองอีก หมอสมองบอกไว้ เราและคนไข้จึงตัดสินใจ

     “โยนยาทิ้ง “.

     โดยไม่ได้กินยาที่รับมาจากโรงพยาบาลแม้แต่อย่างเดียว และมุ่งมั่น “พลิกผันโรค( Reverse Disease) “. ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

เข้าแคมป์ครั้งแรกสองวันหนึ่งคืน

     ที่เวลเนสวีแคร์นั้น กลางวันญาติและคนไข้ไปนอนพักอยู่ใต้ร่มไม้ โดยหมอสันต์จัดที่นอนที่นั่งให้อย่างพิเศษ แต่ไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มฟังบรรยายกับคนอื่นๆที่มาแคมป์รุ่นเดียวกัน(RD7) สิ่งที่ได้จากการไปแคมป์ครั้งแรก คือการกินอาหารที่หมอสันต์กินมานับสิบปีเพื่อรักษาโรคครบทุกมื้อ จะไม่มีเนื้อสัตว์และน้ำมันใดๆเลย รวมทั้งไม่มีผงชูรส ไม่มีน้ำตาล กินถั่ว (และนัท ) เป็นหลัก เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารโปรตีน กินผักและผลไม้   กินขนมปังโฮลวีต  กินข้าวไม่ขัดสี  (หมอบอกว่าข้าวขัดสีขาวๆ นอกจากไม่เป็นประโยชน์ แล้วยังมีโทษด้วย) ซึ่งสิ่งที่ผู้ป่วยและญาติรับรู้คือรสชาติอาหารแบบนี้ไม่แย่อย่างที่คิด (ญาติได้วิธีทำอาหารรักษาโรคหัวใจไปเต็มที่)
                     
     เรื่องการออกกำลังกายนั้น เช้าวันแรกมีกิจกรรม” 1 ไมล์ walk test “ เพื่อทดสอบการทำงานของหัวใจ โดยเดินจากแคมป์ไปบ้านพักของหมอสันต์บนเนินเขา ระยะทางประมาณ 1 ไมล์ ทุกคนที่เดินไปถึงจุดหมายจะได้รับการตรวจชีพจร นั่งพักผ่อนกันแล้วเดินกลับ  เนื่องจากคนไข้ไม่หือไม่อือเหมือนหมอบอก
หมอจึงพานั่งรถตามเพื่อนๆไป แต่ขากลับ  ขออนุญาตหมอเดินกลับ โดยมีพยาบาลเดินประกบ  แต่ก็เดินได้แค่เกือบถึงแคมป์ ต้องให้รถไปรับกลับ เพราะเหนื่อยมากเดินไม่ไหว เช้าวันที่สอง หมอสันต์ให้ทุกคนฝึกการออกกำลังแบบ “ไทชิ “ ซึ่งเป็นการออกกำลังกายพร้อมทำสมาธิไปด้วย และฝึกการหายใจ ช่วงกลางวันทั้งสองวันจะเป็นการเข้าห้องเรียน ฟังบรรยายจากหมอสันต์ เรื่องกลไกของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (โรคNCDs) คือเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูงฯลฯ ความเป็นมาของการรักษาตามแนวทาง”พลิกผันโรค” เรื่องคุณค่าของอาหารที่จำเป็นต่อการรักษาโรค การเลือกและการปรุงอาหารหลากหลายเมนู
รวมทั้งฝึกการออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ และโยคะ ช่วงเย็นเป็นพบปะพูดคุยระหว่างหมอกับคนไข้ คนไข้กับคนไข้ ญาติกับญาติคนไข้ พร้อมกินอาหารเย็นด้วยกัน หมอสันต์ร้องเพลงเก่งมาก
ครบกำหนดหมอก็ให้กลับ หมอบอกว่าเนื่องจากมาครั้งนี้ไม่สามารถร่วมกิจกรรมใดๆได้ (เพราะคนไข้หลังผ่าตัดสมอง สามสัปดาห์ ยังซึมทื่อๆ ไม่หือไม่อือ ใดๆเลย เดินตัวแข็งเป็นผีจีนเลย หมอบอกว่าบางคนอาจต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าภาวะทางสมองจะปกติ) สิ่งมีค่าที่สุดที่ได้จากการไปแคมป์พลิกผันโรคของหมอสันต์ครั้งแรกนี้คือ “แรงบันดาลใจ และความหวัง” และที่สำคัญ หมอให้ไปเข้าแคมป์แรกกับรุ่นต่อไป(RD8) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม เป็นการแถมที่มีค่าที่สุด

กลับจากแคมป์ หมอสันต์

     ถึงบ้านพัก เราหาซื้ออุปกรณ์วัตถุดิบต่างๆที่ต้องนำมาประกอบอาหาร อาทิเช่น
_ หม้อทอดไร้น้ำมัน (รุ่นลดราคา ใบละ3500บาท)
_ กะทะไร้น้ำมัน ใบละ 900บาท(ลดราคาเช่นกัน)
_ผัก ปลอดสารเคมีต่างๆ. เน้นมะเขือ เป็นหลักเพราะหมอสันต์บอกว่ามะเขือหนึ่งขีดมีซาลิซเลทเหมือนที่มีอยู่ในยาแอสไพริน มะเขือจึงเป็นอาหารหลักครบมื้อมาตั้งแต่บัดนั้น จนวันนี้
_เต้าเจี้ยวเพื่อปรุงรส.  ตัดน้ำมัน. น้ำตาล. ผงชูรส ออกโดยเด็ดขาด
_ข้าวสาร.  เป็นข้าวกล้องเท่านั้น.  ห้ามกินข้าวขัดสีโดยเด็ดขาด ข้าวขัดสีนอกจากไม่มีประโยชน์แล้วยังเป็นโทษ
_ถั่ว.  สารพัดชนิด. คือถั่วดำ. ถั่วแดง ถั่วขาว ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง ลูกเดือย  แปะก้วย
_ผลไม้ เช่นแตงโม สับปะรด แอปเปิ้ลเขียว
_นัตโตะ (มีพี่ที่นับถือส่งบทความมาให้ ตั้งแต่ยังไม่ผ่าตัดสมอง) นัตโต๊ะคือถั่วหมักของญี่ปุ่น ซึ่งกินทุกวันตอนเช้า วันละกล่อง(50มิลลิกรัม)

จากวันนั้น. จนวันนี้. สิ่งที่ปฏิบัติทุกวันคือ

1.อาหาร

เช้า.
_ดื่มน้ำผักและผลไม้ปั่น ไม่ใส่น้ำตาล มีแต่ความสดและความหวานของผักผลไม้
_กินข้าวต้มสารพัดถั่ว   และมีนัตโตะ 50กรัม. ผสมลงไปด้วย
_กับข้าว เช้า. คือ ผัดมะเขือยาว ผักผักอื่นๆ อีก 2 ชนิด
_ผลไม้ 1 จาน

เที่ยง.
_ข้าวกล้อง จานเดียว. ไม่มีแถม
_กับข้าวที่ปรุงจากปลา.    (ต้ม นึ่ง ย่าง ป่น ลาบฯลฯ)
_ผักสด
_ผลไม้

เย็น
_ข้าวกล้อง. จานเดียวไม่มีแถม
_กับข้าวที่ปรุงจากปลา. ไม่มีน้ำมันไม่มีน้ำตาลไม่มีผงชูรส
_ผลไม้
_ผักสด
โชคดีทีอยู่หนองบัวลำภู. หนองคาย กรรมวิธีปรุงอาหารปลาโดยไม่ใช่น้ำมันมีหลากหลาย ปลาเผา ปลานึ่ง ต้มปลา หมกปลา ย่างปลา ป่นปลา ลาบปลา ยำปลา พล่าปลาฯลฯ อาทิตย์หนึ่งยังเวียนได้ไม่ซ้ำกัน (แถมเมนูน้ำพริกปลาทู อีกอย่าง)

2.ออกกำลังกาย. 

_วิ่งแบบคาร์ดิโอ. ให้หัวใจอยู่ในโซน 2 HR ระหว่าง 90_128 ครั้ง/นาที นาน 30_45นาทีต่อวัน.  อาทิตย์ละ 5วัน หมอ(นพ.อำนาจแพทย์ที่ผ่าตัดสมอง แนะนำการวิ่ง) บอกว่าถ้าวิ่งแล้วชีพจร ไม่ถึง 90ครั้งต่อนาทีร่างกายจะไม่ดึงไขมันมาใช้. ลดไขมันไม่ได้ วิ่งแล้วชีพจรเกิน 128 ครั้ง/นาที ร่างกาย จะดึงแป้งมาใช้
ลดไขมันไม่ได้เช่นกัน จึงต้องหาซื้ออุปกรณ์ประกอบการวิ่ง นอกเหนือจากรองเท้า. คือ นาฬิกา ออกกำลังกาย (หมอสันต์ แนะนำนาฬิกาออกำลังกาย Fitbit ราคา 7000บาท) เพื่อเป็นเครื่องมือบริหารการวิ่งให้ชีพจรอยู่ในโซน 2 ตลอดเวลาที่วิ่ง โดยwarm up 15นาที วิ่งเหยาะ ๆควบคุมชีพจร 30นาที cool down 15 นาทีรวมเวลา 1ชั่วโมง/วัน  อาทิตย์ละอย่างน้อย 5 วัน วันไหนต้องเดินทางไกลไปราชการจะเตรียมชุดวิ่งไปและจอดรถวิ่งตอนเย็น วิ่งเสร็จจึงนั่งรถต่อไปสู่เป้าหมาย วันไหนไปกรุงเทพจุดพักวิ่งคือสหกรณ์โคนม แถวมวกเหล็ก สระบุรี ทั้งนี้การวิ่งแบบคาร์ดิฟโอน ให้หัวใจอยู่ในโซน2 นี้นอกจากช่วยลดไขมันในเลือดแล้ว เป็นการวิ่งที่ช่วยควบคุมน้ำหนักด้วย การคำนวณชีพจร โซน 2 ของแต่ละกลุ่มอายุ จะไม่เท่ากัน. ต้นหาจากกูเกิ้ลได้

3.การจัดการความเครียด.   

. _ เช้า ฝึกไทชิ 18ท่า.
- ค่ำสวดมนต์ก่อนนอน
_หมอสันต์บอกให้ควบคุมความเครียด วันไหนนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานประชุม แล้วรู้สึกเครียด ให้ลุกจากโต๊ะ มอบรองนั่งแทน วันไหนนั่งทำงานแล้วง่วง ให้หาเวลางีบหลับ อย่าฝืน หมอบอกว่าทำอะไรก็ได้ที่ไม่เครียด คนไข้บอกว่า “ตีกอล์ฟ ครับ” หมอบอกว่าดีมาก ดีมาก ไปตีได้ทุกวันเลย เข้าทางคนไข้ซะ
เรื่องจัดการความเครียดหมอสอนเยอะ จำได้ไม่หมด

ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น

     1.น้ำหนัก คงที่ ที่67-68กก ตั้งแต่หลังผ่าตัดสมอง.  (ก่อนป่วย 85 กก) หมอสันต์ให้ควบคุมน้ำหนักไม่เกิน 70 กก. และไม่น้อยกว่า 57 กก.
     2.ผลการตรวจเลือด  ด้วยความกังวลว่าไม่ได้กินยาต้านเกร็ดเลือดจึงวางแผนการตรวจเลือดค่อนข้างบ่อยคือ ตรวจทุก 2 เดือนเพื่อดูค่าการทำงานของตับ ไต และ ไขมันในเลือด ซึ่งค่าการทำงานของตับและไต ปกติ.ผล ไชมันในเลือด ที่ดูเป็นหลัก คือไตรกลีเซอร์ไรด์. ไขมันตัวดี (HDL) และไขมันตัวเลว (LDL)ในที่นี้จะนำมาผลมาเปรียบเทียบเพียงสองครั้ง คือช่วงแรกที่มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (8 พย.2560 เปรียบเทียบกับผลตรวจเลือดครั้งล่าสุด(1 พร.2562)

                     8 พย. 60     1 พค.  62
Triglyceride 126              67
HDL             35               51
LDL.            157             123

     3.ไม่กินยาใดๆเลย (ไขมัน. ความดัน. หัวใจ) ความดันโลหิตปกติ ไม่มีอาการเจ็บหน้าอกอีกเลย
     4.ผลการวิ่งสายพาน ที่รพ.ทรวงอก นนทบุรี. เมื่อวันที่ 30 พค.62 ไม่มีภาวะของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด.  ไม่มีเจ็บหน้าอก. วิ่งได้นานถึง 9 นาที

ปัจจุบัน. ทำงานได้ปกติ. ตีกอล์ฟ ครั้งละ 18 หลุม อาทิตย์ละ3-4ครั้ง
ยามเย็น.    วิ่งทุกวัน ใช้เวลาไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง
กินอาหารสุขภาพทุกวัน.  เป็นคนไข้ที่มีวินัยมากกกกกกก. (นี่คือจุดแข็งที่ทำให้ประสบผลสำเร็จ  บางครั้งไปธุระในพื้นที่ที่หาอาหารสุขภาพ ไม่ได้ ก็ทนหิว แทนการกินอาหารราษฎร์นิยม เช่น หมู ไก่ กุ้งฯลฯ) ร้านข้าวแกงจะถูกหมายตาไว้ในการเดินทางทุกครั้ง เพื่อลงไปกินข้าวกับแกงส้มปลา หรือแกงป่าปลา ) ความดันโลหิต 120|80 มิลลิเมตรปรอท
ความจำดีเยี่ยม
หมอบอกว่า “แพ้ยาหัวใจรุนแรงแบบนี้พบได้น้อยมาก แต่ผ่าตัดสมอง3ครั้งแล้ว ไม่มีความผิดปกติใดๆทางสมองเลยยิ่งพบน้อยมากไปอีก
ลืมบอกค่ะ ก่อนป่วยบวชถวายพ่อหลวง ร.9. หลังป่วยบวชอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
หมอสันต์ แถมคอร์ส เข้าแคมป์พิเศษให้1ครั้ง หลังจากผ่าตัดสมองได้สี่เดือน. (เมษายน 2561) เพื่อเรียนรู้วิชาการที่จำเป็น ตามแนวทางการพลิกผันโรค และไปปิดแคมป์พร้อมเพื่อน(คนไข้)ร่วมรุ่น. เมื่อเดือนเมษายน 2562

อนาคตไม่อาจรู้ได้ แต่ปัจจุบันอยู่ได้ ไม่ต้องกินยา 

     หมอบอกว่ายาต้านเกร็ดเลือดกินอีก เลือดก็ออกในสมองอีก (ผู้ป่วยบอกว่า ไม่กินอีกแล้ว เพราะเลือดออกในสมองน่ากลัวเกิน)
     นี่คือตัวอย่างของHealth literacy process ของคนที่ป่วยด้วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจากเส้นเลือดหัวใจตีบ  อาจเป็นเพราะไร้ทางเลือก จึงต้องเลือกทางนี้ ยืนยันด้วยสุขภาพของตนเองว่า ทางที่เลือกนี้ คือทางที่ดีที่ถูก ทางนี้คือแก้ปัญหาที่สาเหตุ (ของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง)
ลูกชายบอกพ่อตอนเริ่มวิ่งครั้งแรกๆ

     “พ่ออย่าคิดว่าต้องทำเพราะตัวเองป่วย มันจะเครียด พ่อคิดเสียว่านี่คือวิถีชิวิตปกติ"

... (ภรรยาของผู้ป่วย)

...............................................................
ปล. (หมอสันต์)
ในบรรดาอาหารที่มี salicylate (ซึ่งเป็นตัวยาหลักในแอสไพริน) ขมิ้นชันเป็นอาหารที่มีซาลิไซเลทสูงที่สุด จึงแนะนำให้ผู้ที่มีเหตุให้ใช้ยาต้านเกล็ดเลือดไม่ได้ให้กินขมิ้นชันเป็นอาหารประจำวันอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากการกินพืชผักผลไม้ที่หลากหลายและมากๆแล้ว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

24 กรกฎาคม 2562

หมอหนุ่มสนใจงานเวชศาสตร์ครอบครัว

ผมชื่อ ...อายุ 32 ปี  จบแพทยศาสตร์บัณทิต ปี ...   ไม่ได้ต่อเฉพาะทาง  ทำงาน รพ.ชุมชน ในจังหวัด ...  เคยสมัครเรียนต่อด้าน ... ไม่ได้สถาบันเรียน และค้นพบตัวเองว่าไม่อยากเป็น surgeon จึงหันเหเหมา ทำความรู้จักการทำงานเป็นจิตแพทย์ อยากเข้าใจตัวเอง อยากรู้จักตัวเองให้มากขึ้น  ไปค้นเจอ อ.สุกมล เป็นจิตแพทย์ ชำนาญด้านปัญหาชีวิตคู่ เรื่อง sex อาจารย์เล่าเรื่องตลก เฮฮา และผมก็เริ่มสนใจ
สนใจด้านอสังหาริมทรัพย์ กำลังศึกษาหาความรู้ ทั้งหนังสือ และ youtube
      ยุคนี้เป็นยุคของ BIG DATA   เคยฝันเฟื่องอยากทำ Ranking ของแพทย์ เก็บข้อมูลเพื่อตอบโจทย์คนไข้ที่จะมีข้อมูลในการเลือกรักษากับแพทย์ท่านใด มีผลงานประสบการณ์ในอดีตเป็นอย่างไร เช่น คนไข้มีอาการปวดท้องขวาล่าง ไปรพ.วินิจฉัยเป็นไส้ติ่งอักเสบ อยากมีข้อมูลในการตัดสินใจเลือกศัลยแพทย์ผู้ทำการรักษา  การเก็บข้อมูลก็จะเป็นการให้ข้อมูลว่าว่า ศัลยแพทย์ A  เคยผ่าตัดไส้ติ่ง 1000 ราย (ไม่มีโรคร่วม) มีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด 20 ราย  , ศัลยแพทย์ B  เคยผ่าตัดไส้ติ่ง 500 ราย (ไม่มีโรคร่วม) มีภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด 10 ราย    ผลที่จะเกิดขึ้น  ด้านคนไข้ มีข้อมูลของแพทย์ที่ทำการรักษา ตอบโจทย์ pain point ในการทราบผลงานเก่าของแพทย์ได้ สามารถช่วยในการตัดสินใจรักษา    ด้านแพทย์ แพทย์ก็จะพัฒนาการตนเองอย่างสม่ำเสมอ มีการแข่งขันกระตุ้นในเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ข้อจำกัด อาจจะให้แพทย์เลือกคนไข้ เลือกเคสที่จะมีโอกาสสำเร็จ มากกว่า complicated case
     ที่ผมเสนอตัวช่วยอาจารย์สันต์ ผมมีเวลาว่างวันละ 1-2 ชม. เป็นวัยรุ่น  สนใจไอเดียของอาจารย์ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม อยากจะร่วมเป็นจิตอาสา ช่วยติดตามคนไข้ให้อาจารย์ เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยงานอาจารย์บ้าง ถือเป็นการทดลอง ลองแล้วติดใจก็จะทำต่อ

....................................................

ตอบครับ

    คุณหมอ ... ครับ ขอบคุณมากที่เล่าเรื่องมา และขอบคุณที่มีจิตอาสาจะมาช่วยทำงานให้ฟรีๆ

     การเข้ามาร่วมดูแลคนไข้ในลักษณะแพทย์ประจำครอบครัว การตั้งต้นด้วยการนั่งดูผู้ป่วยผ่านอินเตอร์เน็ทจากบ้านวันละ 1-2 ชั่วโมงคงไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพราะการจะดูแลผู้ป่วยแบบเวชศาสตร์ครอบครัวร่วมกับผม ผมแนะนำให้คุณหมอกับผม

     1. มาจูนความรู้หลักวิชา Family Medicine และการจับประเด็นว่าจะหยิบหลักฐานวิทยาศาสตร์ส่วนไหนมาเน้นใช้ให้ตรงกันก่อน เพราะทั้งหมดมันอยู่ในวิชาแพทย์แผนปัจจุบันที่ล้วนต้องอาศัยหลักฐานวิจัยเหมือนกันหมดก็จริง แต่แพทย์บางสาขาก็เลือกหยิบหลักฐานส่วนหนึ่งมาใช้ ขณะที่บางสาขาไปเลือกใช้หลักฐานอีกส่วนหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นเมื่อคนไข้ไขมันในเลือดสูง หลักวิชามีอยู่สามประการว่าผู้ป่วยต้อง (1) ปรับอาหาร (2) ออกกำลังกาย และ(3) หากลดไขมันยังไม่สำเร็จก็ใช้ยาลดไขมันช่วย แต่ว่าแพทย์แต่ละสาขาจะใช้หลักวิชาเดียวกันนี้โดยมุ่งเน้นคนละที่กันตามความถนัดของตน เช่นถ้าเป็นอายุรแพทย์ก็จะมุ่งเน้นที่การใช้ยาปรับยาให้ได้ขนาดที่ีมากพอที่จะทำให้ไขมันลดลงถึงเกณฑ์ที่กำหนดให้ได้ แต่ถ้าเป็นแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวจะไปมุ่งเน้นให้ผู้ป่วยปรับอาหารและการใช้ชีวิตให้สำเร็จ ครั้งแรกไม่สำเร็จก็ประเมินว่าทำไมไม่สำเร็จ จับข้อบกพร่องให้ได้ แก้ไขใหม่แล้วลองใหม่เป็นครั้งที่สองครั้งที่สาม นอกจากจะบอกว่าควรกินอะไรแล้ว อาจจะต้องลงไปถึงว่าหาของที่ว่ากินได้หรือเปล่า มีทักษะที่จะทำกินเองได้ไหม กินแล้วทำไมถึงเบื่อหรือเลิกกิิน ทำอย่างไรจึงจะกินอาหารแบบใหม่ได้ตลอดรอดฝั่ง คือหลักวิชาเดียวกัน แต่จุดที่โฟกัสจะไม่เหมือนกัน

     2. มาฝึกทักษะในการดูแลตัวเอง ทั้งการกิน การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด จนใช้ทักษะเหล่านั้นเป็น แล้วนำทักษะนั้นลงใช้กับตัวเองให้ได้ผลก่อน เมื่อใช้ไปเองได้สักพัก จึงค่อยประเมินว่าตัวเองเห็นดีเห็นงามกับวิธีดูแลตัวเองแบบนี้ไหม ถ้าเห็นดีด้วยก็ค่อยเดินหน้าที่จะเอาวิธีนี้ไปสอนให้คนไข้ดูแลตัวเขาด้วยตัวเขาเองต่อไป

     3. มารู้จักคนไข้แบบ face to face ก่อนที่จะเริ่มดูแลกัน อย่างน้อยต้องได้พบหน้า ตรวจร่างกาย รับฟังคำบอกเล่าข้อมูลจากปากของเขาหรือเธอ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นอัตวิสัย เช่น ความเชื่อ ความกังวล ความคาดหวังของเขาหรือเธอเป็นต้น เพราะข้อมูลอัตวิสัยนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้คนไข้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตได้สำเร็จ

     4. มาประเมินปัญหาของคนไข้แต่ละคนร่วมกับทีมอย่างละเอียด เพื่อให้ list problems ได้ตรงกันก่อน ว่าอะไรควรลงมือแก้ก่อน อะไรทีหลัง ต่อแต่ละปัญหาจะใช้กลวิธีอะไรเป็นหลักในการแก้ไข

     5. หลังจากนั้นจึงค่อยติดตามคนไข้จากบ้านผ่านเครื่องมือ Health Dashboard ทางอินเตอร์เน็ทได้

     ถ้าคุณหมอสนใจจะลองทำจริง ปลายสัปดาห์นี้ (27-28 กค.) จะมีแค้มป์สุขภาพดีด้วยตนเอง (GHBY-47) ที่เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ที่มวกเหล็ก ให้คุณหมอเดินทางมาเข้าแค้มป์ มานอนค้างตั้งแต่เย็นวันที่ 26 กค. ก็ได้ ทั้งหมดนี้มีคนออกทุนให้ฟรีหมดทั้งกิน อยู่ เรียน แต่คุณหมอต้องเดินทางมาเอง เรียนแล้วลองเอาไปปฏิบัติกับตัวเองดูก่อนว่าเวอร์คไหม ถ้าทำเองแล้วยังไม่เวอร์คก็จะได้ไม่ต้องเอาไปสอนคนไข้ เพราะถ้าเราทำเองแล้วมันไม่เวอร์คเราเอาไปสอนคนอื่นมันจะเวอร์คได้อย่างไร ถ้ามันเวอร์ค คุณหมอค่อยมาคิดต่อว่าจะทำงานทางนี้เป็นงานหลักไหม เพราะงานเวชศาสตร์ครอบครัวแม้จะได้เงินน้อยแต่ก็เป็นงานใหญ่และยาก หากจะเอาดีทางนี้ต้องทำงานนี้แบบเป็นอาชีพหลักของเรา หากทำเป็นงานอดิเรกหรือเป็นอาชีพเสริมผมเห็นว่าจะไม่ได้ผล ส่วนการจะได้เรียนจบบอร์ด Family Medicine หรือไม่เมื่อไหร่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ การที่คุณหมอสามารถดูแลตัวเองด้วยหลักวิชา Family Medicine ได้สำเร็จหรือไม่ก่อนเป็นเรื่องสำคัญกว่า

     จะมาเข้าแค้มป์ได้หรือไม่ได้คุณหมอช่วยบอกผมด้วยนะครับ

นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

23 กรกฎาคม 2562

แค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDBY-14) แค้มป์สุดท้ายของปีนี้

     ขอแจ้งการปรับปรุงแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตนเอง (Reverse Disease By Yourself - RDBY) ครั้งสุดท้ายของปีนี้ (RDBY-14 (วันที่ 5-9 ธค. 62) ดังนี้

     1. ประเด็นสำคัญของการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

     1.1 ขยายเวลาเป็น 5 วัน 4 คืน
     1.2 ลดจำนวนครั้งการมาเข้าแค้มป์เหลือครั้งเดียว แล้วติดตามอย่างต่อเนื่องผ่าน Dashboard บนอินเตอร์เน็ท
     1.3 แยกลงทะเบียนระหว่างผู้ป่วยกับผู้ดูแล โดยผู้ดูแลจะได้ที่พัก กิน นอน เรียน ทำกิจกรรมเช่นเดียวกับผู้ป่วย แต่จะไม่ได้เวลาเข้าพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและประเมินปัญหาสุขภาพ และจะไม่มีคำสรุปสุขภาพของแพทย์ในเฮลท์แดชบอร์ด

     2. ความเป็นมาของ RDBY

        มันเริ่มจากตัวผมเองเคยป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ความที่อยากหนีจากแนวทางการรักษาแบบโรงพยาบาล (กินยา สวนหัวใจ บอลลูน ผ่าตัดบายพาส) จึงทบทวนงานวิจัยเพื่อหาทางออกอื่นและได้พบว่าการจัดการปัจจัยเสี่ยงของโรคโดยตัวผู้ป่วยเอง ทั้งในเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ทำให้โรคดีขึ้นกว่าการรักษาในโรงพยาบาลเสียอีก จึงลงมือทำกับตัวเอง เมื่อเห็นว่าได้ผลดีจนสามารถพลิกผันโรคให้หายจากเจ็บหน้าอกและเลิกกินยาความดันไขมันได้หมด จึงตัดสินใจเลิกอาชีพหมอผ่าตัดหัวใจเปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอส่งเสริมสุขภาพ แต่เมื่อได้นั่งตรวจและสอนคนไข้ทีละคนอยู่ที่โรงพยาบาลก็พบว่ามันใช้เวลามากและช่วยคนไข้เป็นจำนวนน้อย และวิธีนั่งตรวจมันยังแก้ปัญหาสำคัญที่คนไข้ต้องการไม่ได้ นั่นคือการขาดทักษะปฏิบัติการและความบันดาลใจ ผมจึงเปลี่ยนแนวทางมาให้ความรู้กับคนป่วยคราวละหลายๆคน ทั้งในรูปแบบเขียนบล็อกตอบคำถาม และในรูปแบบแค้มป์กินนอนเพื่อเรียนรู้ทักษะและสร้างแรงบันดาลใจในการป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตัวเอง (RDBY) ซึ่งก็ทำมาได้เกือบสี่ปี ทำไปสิบกว่ารุ่นแล้ว

     3. แค้มป์ RDBY เหมาะสำหรับใครบ้าง

     แค้มป์ RDBY จัดขึ้นสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทุกโรค โดยเน้นที่ (1) โรคหัวใจขาดเลือด (2) โรคหลอดเลือดสมอง (อัมพาต) (3) โรคเบาหวาน (4) โรคความดันสูง (5) โรคไขมันในเลือดสูง (6) โรคอ้วน รวมทั้งโรคที่เป็นผลสืบเนื่องจากโรคเรื้อรังเหล่านี้เช่นโรคไตเรื้อรังเป็นต้น
 
     แต่ในกรณีที่เป็นโรคมะเร็ง แนะนำให้ไปเข้ารีทรีตฟื้นฟูผู้ป่วยมะเร็ง (CR) จะได้ประโยชน์มากกว่า

         4. ภาพรวมของแค้มป์ RDBY

     4.1 หลักสูตรนี้เป็นการใช้วิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน (modern medicine) ในรูปแบบการแพทย์แบบอิงหลักฐาน (evidence based medicine) โดยมองปัญหาของผู้ป่วยแบบองค์รวม (holistic care)

    4.2 หลักสูตรนี้จัดสำหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เน้นที่โรคหัวใจ อัมพาต เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน

    4.3 ในกรณีที่ผู้สมัครเข้าร่วมโปรแกรมนี้มีแพทย์เฉพาะทางเจ้าประจำอยู่แล้ว ป่วยไม่ต้องเลิกจากแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลกันมาแต่เดิม เพราะแพทย์ประจำตัวของท่านที่เวลเนสวีแคร์จัดทำหน้าที่เป็นแพทย์ประจำครอบครัว (family physician) ของท่านและเป็นพี่เลี้ยงให้ท่านดูแลตัวเองเป็น ส่วนการปรึกษาและใช้บริการของแพทย์เฉพาะทางเฉพาะโรคที่ทำมาแต่เดิมนั้นก็ยังทำต่อไปเหมือนเดิม

    4.4 ผู้สมัครเข้าร่วมโปรแกรมนี้ไม่จำเป็นต้องยกเลิกยาหรือการรักษาที่ตนเองได้มาแต่เดิมในขณะที่เริ่มหันมารักษาด้วยวิธีดูแลตนเอง เพราะการรักษาโรคตามโปรแกรมนี้ใช้หลักวิชาการแพทย์แผนปัจจุบันเช่นเดียวกันกับการรักษาในโรงพยาบาล เพียงแต่มุ่งโฟกัสที่การเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วยในเรื่องการกินการออกกำลังกายและการใช้ชีวิตจนถึงระดับที่ผู้ป่วยดูแลตัวเองได้ด้วยตนเอง จึงสามารถทำคู่ขนานไปกับการรักษาในโรงพยาบาลได้ เมื่อผู้ป่วยดูแลตนเองได้ดีขึ้นแล้ว ตัวชี้วัดสุขภาพต่างๆจะค่อยๆบ่งชี้ว่าความจำเป็นที่จะต้องพึ่งการรักษาด้วยยาในโรงพยาบาลจะค่อยๆลดลงไปเองโดยอัตโนมัติจนสามารถเลิกยาได้ในที่สุด

    4.4 ผู้ป่วยจะต้องมาเข้าแค้มป์ หนึ่งครั้ง นาน 5 วัน 4 คืน

    4.5 ในวันแรก ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจร่างกายโดยแพทย์ของเวลเนสวีแคร์ จัดทำฐานข้อมูลสุขภาพ วางแผนสุขภาพ และเก็บรวมรวมผลการตรวจร่างกายและตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษต่างๆไว้บนเฮลท์แดชบอร์ด (Health Dashboard) ซึ่งทั้งทีมแพทย์, ผู้ช่วยแพทย์ของเวลเนสวีแคร์ และตัวผู้ป่วยเองสามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้ตลอดเวลา

     4.6 ในระหว่างที่อยู่ในแค้มป์ ผู้ป่วยจะได้เรียนความรู้สำคัญเกี่ยวกับโรคของตน ได้ฝึกทักษะที่จำเป็นในการจัดการโรคของตน การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง การโภชนาการ ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องทำอาหารแบบกินพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ โดยไม่ใช้น้ำมัน (low fat PBWF) ด้วยตนเองทุกมื้อ อย่างไรก็ตาม ทางเวลเนสวีแคร์จะจัดทำอาหารสำรองไว้หนึ่งรายการในแต่ละมื้อ สำหรับผู้ที่ไม่สามารถทำอาหารด้วยตนเองได้เลย

     4.7 เมื่อสิ้นสุดแค้มป์ 5 วันแล้ว ผู้ป่วยจะกลับไปอยู่บ้านโดยนำสิ่งที่เรียนรู้จากแค้มป์ไปปฏิบัติที่บ้าน โดยสื่อสารกับทีมแพทย์และพยาบาลของเวลเนสวีแคร์ผ่านเฮลท์ แดชบอร์ด ทางอินเตอร์เน็ท ผู้ป่วยสามารถติดต่อสอบถามเรื่องต่างๆรวมทั้งการปรับลดขนาดเมื่อตัวชี้วัดเปลี่ยนไปด้วย โดยคาดหมายว่าภายในหนึ่งปีผู้ป่วยจะสามารถดูแลตัวเองต่อไปได้ด้วยตัวเอง

     สมาชิกสามารถใช้เฮลท์ แดชบอร์ด นี้เป็นที่เก็บข้อมูลผลแล็บใหม่ๆ รวมทั้งภาพและวิดิโอ.ทางการแพทย์ ของตนได้ต่อเนื่อง สมาชิกสามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง แก้ไข ข้อมูลสุขภาพของตนได้ทุกรายการ ยกเว้น Patient Summary ซึ่งต้องสรุปให้โดยแพทย์เท่านั้น

     อนึ่ง อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง สมาชิกมีหน้าที่ปรับปรุงข้อมูลดัชนีสุขภาพสำคัญเจ็ดตัวของตนคือ (1) น้ำหนัก (2) ความดัน (3) น้ำตาล (4) ไขมัน (5) จำนวนผักผลไม้ที่กินต่อวัน (6) เวลาที่ใช้ในการออกกำลังกายต่อสัปดาห์ และ (7) การสูบบุหรี่ เพื่อให้แพทย์ประจำตัวหรือทีมงานผู้ช่วยแพทย์ทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงสุขภาพและวางแผนสุขภาพให้และบันทึกไว้บนแดชบอร์ด

     สมาชิกสามารถขอรับคำปรึกษาปัญหาจากแพทย์ประจำตัวของหรือทีมงานผู้ช่วยแพทย์โดยเขียนคำถามผ่านมาทางแดชบอร์ด คำถามของสมาชิกจะได้รับการสนองตอบโดยผู้ช่วยแพทย์ที่เฝ้า แดชบอร์ดอยู่ ซึ่งจะปรึกษาแพทย์ประจำตัวของสมาชิกในกรณีที่เป็นปัญหาที่ต้องแนะนำโดยแพทย์ การตอบคำถามนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเพราะขณะตอบแพทย์หรือทีมงานมีข้อมูลสุขภาพของสมาชิกอยู่ตรงหน้าอยู่แล้ว

     สมาชิกสามารถสั่งพิมพ์ใบสรุปข้อมูลสุขภาพ (Patient Summary) แบบหน้าเดียวซึ่งเขียนโดยแพทย์ประจำตัวของตน ไปใช้เพื่อเวลาไปรับการตรวจรักษาในสถานพยาบาลต่างๆได้ทุกเมื่อ

     4.8 เมื่อพ้นหนึ่งปีไปแล้ว หากผู้ป่วยอยากจะกลับมาทบทวนทักษะและติดตามความรู้ใหม่ๆที่เรียนไปก็สามารถทำได้โดยสมัครมาเข้าแค้มป์ติดตาม (revisit) หรือ RDR ซึ่งจัดให้ปีละครั้งสำหรับผู้เคยผ่านแค้มป์ RDBY มาแล้ว โดยจัดแบบรวมหลายรุ่นมาเข้าแค้มป์ติดตามด้วยกัน

     4.9 ในกรณีที่เป็นผู้ทุพลภาพหรือช่วยเหลือตนเองไม่ได้ซึ่งตามปกติต้องมีผู้ดูแลประจำตัวอยู่แล้ว ต้องนำผู้ดูแลมาด้วย โดยผู้ดูแลต้องลงทะเบียนเป็นผู้ดูแล ทั้งนี้นอกจากอาหารและที่พักแล้ว ผู้ดูแลยังสามารถเข้าร่วมเรียนรู้และฝึกทักษะต่างๆเพื่อประโยชน์ในการติดตามดูแลผู้ป่วย แต่ผู้ดูแลจะไม่ได้พบแพทย์เพื่อตรวจประเมินปัญหาสุขภาพของตนเอง และจะไม่มีบทสรุปสุขภาพของแพทย์ในแดชบอร์ด ในกรณีที่ประสงค์จะได้รับการตรวจสุขภาพและประเมินปัญหาโดยแพทย์ด้วย ผู้ดูแลจะต้องลงทะเบียนเป็นผู้ป่วยอีกคนหนึ่งแยกจากตัวผู้ป่วยที่ตนดูแล เพื่อให้ได้คิวเวลาที่จะเข้าพบแพทย์ซึ่งจำกัดสิทธิ์ไว้เฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น

     5. หลักสูตร (Course Syllabus) 

     5.1 วัตถุประสงค์

     5.1.1 วัตถุประสงค์ในด้านความรู้
คาดหวังให้ผู้ป่วยรู้สิ่งต่อไปนี้
a. รู้เรื่องโรคของตัวเอง ทั้งพยาธิกำเนิด พยาธิวิทยา อาการวิทยา
b. รู้จักตัวชี้วัดที่ใช้เฝ้าระวังการดำเนินของโรค
c. รู้ทางเลือกวิธีรักษาทุกวิธี และรู้ประโยชน์และความเสี่ยงของแต่ละทางเลือกอย่างละเอียด
d. รู้จักยาทุกตัวที่ตนเองได้รับ ทั้งชื่อ ขนาด วิธีกิน กลุ่มยา ฤทธิ์ยา และผลข้างเคียง
e . รู้ว่าตนเองสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ตนเองหายจากโรค
     - ในแง่ของโภชนาการ รู้ประโยชน์ของอาหารพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ (low fat, plant based, whole food) รู้โทษของเนื้อแดงและเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการปรับแต่งหรือถนอม
     - ในแง่ของการออกกำลังกาย รู้ประโยชน์และวิธีออกกำลังกายทั้งสามแบบ คือแบบแอโรบิก (aerobic exercise) แบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (strength training) และแบบเสริมการทรงตัว (balance exercise)
     - ในแง่ของการจัดการความเครียด รู้ประโยชน์และวิธีจัดการความเครียดด้วยเทคนิคต่างๆซึ่งรวมศูนย์อยู่ที่การฝึกวางความคิด
     - ในแง่ของแรงบันดาลใจ รู้จักพลังงานของร่างกาย (internal body) และการใช้พลังงานของร่างกายเป็นแหล่งบ่มเพาะแรงบันดาลใจให้ต่อเนื่อง
     - ในแง่ของการร่วมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน รู้ประโยชน์และพลังของกลุ่มและรู้วิธีทำกิจกรรมในกลุ่ม
f. รู้วิธีใช้ Health Dashboard ในการป้องกันและพลิกผันโรคด้วยตนเอง

     5.1.2. วัตถุประสงค์ในด้านทักษะ
คาดหวังให้ผู้ป่วยสามารถทำสิ่งต่อไปนี้ด้วยตนเอง
a.       บริหารจัดการโรคของตนเองได้โดยใช้ตัวชี้วัดพื้นฐาน 7 ตัว (1) น้ำหนัก (2) ความดันเลือด (3) ไขมันในเลือด (4) น้ำตาลในเลือด (5) ปริมาณผักผลไม้ที่กินต่อวัน (6) เวลาออกกำลังกายต่อสัปดาห์ (7) การสูบบุหรี่
b.       เลือกอาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปในตลาดที่เป็นอาหารพืชแบบไม่สกัดไม่ขัดสีได้
c.       ทำอาหารทานเองที่บ้านได้ เช่น ผัดทอดอาหารโดยใช้น้ำหรือใช้ลมร้อนแทนน้ำมันได้ อบถั่วและนัทไว้เป็นอาหารว่างเองได้ ทำเครื่องดื่มจากผักผลไม้โดยไม่ทิ้งกากด้วยตนเองได้
f.        ประเมินสมรรถนะร่างกายของตนเองด้วยการสังเกตอัตราการหายใจ การนับชีพจรจากเครื่องช่วยนับ และการทำ One milk walk test ให้ตัวเองได้
g.       ออกกำลังกายแบบแอโรบิกได้ด้วยตนเองได้
h.       ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยใช้ท่ากายบริหาร ดัมเบล สายยืด และกระบอง ได้ด้วยตนเอง
i.         ออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัวได้ด้วยตนเอง
j.         สามารถกำกับดูแลท่าร่าง (posture) ในชีวิตประจำวันของตนเองได้
k.       ผ่อนคลายความเครียดเฉียบพลันด้วยเทคนิค relax breathing ได้
l.         จัดการความเครียดในชีวิตประจำวันด้วยการฝึกวางความคิดผ่านเทคนิคต่างๆเช่น นั่งสมาธิ ไทชิ โยคะ ได้
m.     สามารถร่วมกิจกรรมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน ทั้งในเชิงเป็นผู้เปิดแชร์ความรู้สึกและเป็นผู้ให้การพยุงได้
n. สามารถใช้ Health Dashboard ในการดูแลตนเองต่อเนื่องได้ด้วยตนเอง

5.1.3    วัตถุประสงค์ในด้านเจตคติ
คาดหวังให้ผู้ป่วยเกิดเจตคติต่อไปนี้
a.       มีความมั่นใจว่าตนเองมีอำนาจ (empowered) ที่จะดลบันดาลให้โรคของตัวเองหายได้
b.       มีความมุ่งมั่นในพันธะสัญญา (commitment) ที่จะเป็นผู้ดูแลตนเองไม่ให้เป็นภาระแก่คนอื่น
c.       มีความอยาก (motivated) ที่จะมีชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีความสุข

     6. ตารางกิจกรรมขณะอยู่ในแค้มป์ 

วันที่ 1 (ของ 5 วัน)

8.00-15.00 Registration & Meet with doctors
ลงทะเบียนเข้าแค้มป์ เช็คอินเข้าห้องพัก วัดดัชนีมวลกาย วัดความดันเลือด ตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จัดทำเวชระเบียนส่วนบุคคล พบกับแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและจัดทำสรุปปัญหาสุขภาพเก็บไว้ในเวชระเบียน พักรับประทานอาหารว่างและอาหารกลางวันในขณะผลัดกันเข้าพบแพทย์ตามตารางเวลาที่จัดไว้
16.30-17.00 น. Sprouting กิจกรรมเพาะเมล็ดงอกไว้ทำสลัด
17.00 - 19.00 น. Kitchen tour สาธิตสอนแสดงวิธีทำอาหารแบบ PBWF และเริ่มทำอาหารด้วยตนเองทานเอง

19.00 - 20.00 น. ชั่วโมงสันทนาการภายในกลุ่ม

วันที่ 2. (ของ 5 วัน)

6.30 - 8.00 น.
Morning health activities กิจกรรมสุขภาพยามเช้า (in-bed strength training exercise, meditation, sun salutation, Tai Chi.)

8.00 - 9.30
อาหารเช้าและเวลาส่วนตัว

9.30 - 12.00
Getting to know each other and learn from each other ทำความรู้จักกันและเรียนรู้จากโรคของกันและกัน
Tea break included

12.00 -14.00
อาหารกลางวันและเวลาส่วนตัว

14.00 – 15.00
Briefing. Plant-based, whole food บรรยายเรื่องโภชนาการที่มีพืชเป็นหลัก ไม่สกัด ไม่ขัดสี

15.00-17.00
Food shopping activities เรียนรู้จากกิจกรรมจ่ายตลาดฉลาดซื้อ
ชา และทำเวอร์คชอพจ่ายตลาดฉลาดซื้อ
Tea break included

17.00 - 19.00 น.
อาหารเย็นแบบ PBWF

19.00 - 20.00 น. ชั่วโมงสันทนาการภายในกลุ่ม

วันที่ 3. (ของ 5 วัน)

6.30 - 8.00 น.
Morning health activities กิจกรรมสุขภาพยามเช้า (in-bed strength training exercise, meditation, sun salutation, Tai Chi.)

8.00 - 9.30
อาหารเช้าและเวลาส่วนตัว

9.30 - 10.30
Self management for heart disease จัดการโรคหัวใจขาดเลือดด้วยตนเอง

10.30 -10.45
Tea break พักดื่มน้ำชา

10.45-11.30
- Workshop: Blood pressure measurement ฝึกปฏิบัติ วิธีวัด บันทึก และวิเคราะห์ความดันเลือด
- Self management for hypertension จัดการโรคความดันเลือดสูงด้วยตนเอง

11.30 - 12.00
Dyslipidemia and Obesity การพลิกผันโรคไขมันในเลือดสูงและโรคอ้วน

12.00 -14.00
ทำอาหารกลางวันทานเองและเวลาส่วนตัว

14.00 – 15.00
Workshop: Strength training การออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (เล่นกล้าม)

15.00-16.00
Workshop: Balance exercise การออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัว

16.00 - 16.30
Tea break พักรับประทานน้ำชา

16.30-17.30
Moderate intensity exercise เรียนการออกกำลังกายแอโรบิกระดับหนักปานกลาง

17.30 - 19.00 น.
อาหารเย็นแบบ PBWF

19.00 - 20.00 น. ชั่วโมงสันทนาการภายในกลุ่ม

วันที่ 4. (ของ 5 วัน)

6.30 - 8.00 น.
Morning health activities กิจกรรมสุขภาพยามเช้า (in-bed strength training exercise, meditation, sun salutation, Tai Chi.)

8.00 - 9.30
อาหารเช้าและเวลาส่วนตัว

9.30 - 10.30
Self management for diabetese จัดการโรคเบาหวานด้วยตนเอง

10.30 -10.45
Tea break พักดื่มน้ำชา

10.45 -11.30
Self management for CKD จัดการโรคไตเรื้อรังด้วยตนเอง

11.30 -12.00
Self motivation การสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเองอย่างต่อเนื่อง

12.00 -14.00
ทำอาหารกลางวันทานเองและเวลาส่วนตัว

14.00 – 15.00
ฺBriefing: Prevention of dementia การป้องกันสมองเสื่อม
Briefing: Neurocognitive assessment การตรวจประเมินสมองเสื่อม

15.00-16.00
Workshop: Neurocognitive game กิจกรรมเกมฝึกสมอง
Tea break included

16.00-17.00
Relaxing yoga กิจกรรมยืดเหยียดและผ่อนคลายด้วยโยคะ

17.00 - 19.00 น.
อาหารเย็นแบบ PBWF

19.00 - 20.00 น. ชั่วโมงสันทนาการภายในกลุ่ม

วันที่ 5. (ของ 5 วัน)

6.30 - 8.00 น.
Morning health activities กิจกรรมสุขภาพยามเช้า (in-bed strength training exercise, meditation, sun salutation, Tai Chi.)

8.00 - 9.30
อาหารเช้าและเวลาส่วนตัว

9.30 - 10.45
Workshop: Simple seven health risks management การจัดการโรคด้วยดัชนีง่ายๆเจ็ดตัว

10.45 -11.00
Tea break พักดื่มน้ำชา

11.00-12.00
Workshop: Health Dashboard การใช้แดชบอร์ดบนอินเตอรเน็ทเพื่อการติดตามต่อเนื่อง

12.00 -14.00
อาหารกลางวันและเวลาส่วนตัว

14.00 - 16.00

เวลาสำรองสำหรับผู้ที่ต้องการปรึกษาปัญหาส่วนตัว

     7. การเตรียมรับภาวะฉุกเฉินขณะเข้าแค้มป์

     ผู้ป่วยที่มาเข้าโปรแกรมนี้ส่วนหนึ่งเป็นผู้ป่วยหนัก บ้างทำผ่าตัดบายพาสมาแล้ว บ้างทำบอลลูนมาแล้วคนละครั้งสองครั้ง บ้างมีหัวใจล้มเหลวแค่เดินสองสามก้าวก็หอบหรือเจ็บหน้าอกแล้ว บ้างเพิ่งเป็นอัมพาตมา ความเสี่ยงที่จะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันหรือหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันหรืออัมพาตเฉียบพลันมีอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งขณะนั่งหรือนอนอยู่เฉยๆ ตัวหมอสันต์เองเป็นหมอผ่าตัดหัวใจมาก่อน จึงไม่ประมาทในเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วย ได้เตรียมการด้านความปลอดภัยขณะเข้าแค้มป์ทุกครั้งรวมไปถึงการมีอุปกรณ์เครื่องมือเพื่อรับมือกับภาวะฉุกเฉินได้เทียบเท่ากับห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทั่วไป รวมทั้งขีดความสามารถที่จะเปิดหลอดเลือดให้น้ำเกลือหรือยาทางหลอดเลือดดำได้ทันที ขีดความสามารถที่จะใส่ท่อช่วยหายใจและช่วยการหายใจในภาวะฉุกเฉิน นอกจากนั้นยังมีขีดความสามารถที่จะช็อกไฟฟ้าหัวใจในกรณีฉุกเฉิน การประสานงานกับระบบรถฉุกเฉินและโรงพยาบาลใกล้เคียง และการมีแพทย์หรือพยาบาลผู้ป่วยวิกฤติอยู่ประจำในแค้มป์ 24 ชั่วโมง ตลอดการฝึกอบรม

     ทั้งนี้อย่าได้เข้าใจผิดว่าการจะปรับวิถีชีวิตเพื่อพลิกผันโรคให้ตัวเองนั้นเป็นเรื่องอันตราย ความเป็นจริงไม่ใช่เลย การปรับการใช้ชีวิตทั้งอาหารและการออกกำลังกายเพื่อดูแลตัวเองให้ได้นั้นเป็นกลไกรักษาโรคตามธรรมชาติ มีอันตรายน้อยกว่าการรักษาด้วยยา บอลลูน หรือผ่าตัดในโรงพยาบาลอย่างเทียบกันไม่ได้ แต่ทางแค้มป์เตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยในแค้มป์ให้มากเพื่อให้ผู้ป่วยหนักซึ่งเป็นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการเข้าแค้มป์ มาเข้าแค้มป์ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ปลอดภัยเท่านั้นเอง

     8. การลงทะเบียนเข้าแค้มป์ RDBY

 วิธีลงทะเบียนเข้าเรียน

    1. โทรศัพท์ลงทะเบียนกับเวลเนสวีแคร์ที่คุณเชิญขวัญ (เอ๋ย) หมายเลข  0636394003
    2. ลงทะเบียนทางไลน์ @wellnesswecare
    3. ลงทะเบียนทางอีเมล host@wellnesswecare.com
    4. (ปิดการใช้งานชั่วคราว) ลงทะเบียนผ่านเว็บไซท์และจ่ายเงินทางออนไลน์ได้ที่ https://www.wellnesswecare.com/th/program/good-health-by-yourself-th/13

     ในทุกกรณีเมื่อได้ที่นั่งแล้ว จะต้องโอนเงินค่าลงทะเบียนเข้าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย สาขาสมุทรปราการ ชื่อบัญชี  บริษัท เมก้า วี แคร์ จำกัด เลขที่บัญชี 007-368-5478 ภายใน 24 ชั่วโมงหลังได้สำรองที่เรียนแล้ว หากพ้น 24 ชั่วโมงไปแล้วถือว่าสละสิทธิ์ ที่นั่งที่สำรองไว้ให้ท่านจะถูกจัดสรรไปให้ผู้อื่นโดยอัตโนม้ติ

     9. การตรวจสอบตารางแค้มป์

สามารถตรวจสอบตารางแค้มป์ล่วงหน้าได้ทางคอลัมน์ทางขวามือของบล็อกหมอสันต์นี้ (visitdrsant.blogspot.com) หรือที่เว็บไซท์ https://www.wellnesswecare.com/th/static/program-calendar

     10. ราคาค่าลงทะเบียน

     ค่าลงทะเบียนสำหรับตลอดคอร์ส (เข้าแค้มป์ 5 วัน 4 คืน ติดตามทางเฮลท์แดชบอร์ด อย่างน้อยหนึ่งปี แล้วต่อเนื่องไม่กำหนดวันจบ) คนละ 25,000 บาท ค่าลงทะเบียนนี้รวมถึงใช้จ่ายในการเข้าแค้มป์กินนอน 5 วัน 4 คืน การติดตามทางเฮลท์ แดชบอร์ด นานหนึ่งปี ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าวิทยากร ค่าอุปกรณ์การฝึกทักษะ ค่าตรวจร่างกาย เจาะเลือด ค่าใช้จ่ายในการติดตามโดยแพทย์และพยาบาลทางเฮลท์แดชบอร์ดหลังจากออกจากแค้มป์กลับไปอยู่บ้านแล้ว
     แต่ราคานี้ไม่ครอบคลุมถึงค่าเดินทางไปและกลับระหว่างบ้านของท่านกับเวลเนสวีแคร์ (ผู้ป่วยไปเองกลับเอง) ไม่ครอบคลุมค่ายาและค่ารักษาพยาบาลส่วนบุคคลของท่าน

     กรณีเป็นผู้ติดตาม ผู้ดูแลหรือ caregiver จะต้องลงทะเบียนเป็นผู้ติดตามซึ่งมีค่าลงทะเบียนคนละ 15,000 บาท ราคานี้รวมค่ากิน ค่าอยู่ ค่าที่พักห้องเดียวกับผู้ป่วยของคน ค่าเข้าร่วมเรียนและร่วมทำกิจกรรมทุกอย่างในแค้มป์ แต่ไม่ได้เข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจร่างกายและไม่ได้ร้บการประเมินปัญหาสุขภาพของตนโดยแพทย์ และไม่มีรายงานสรุปปัญหาสุขภาพโดยแพทย์ในเฮลท์แดชบอร์ด

     11. ระยะก่อนเข้าแค้มป์ (Pre-camping preparation) 

     ผู้ป่วยทุกท่านที่ได้รับเข้าโปรแกรมแล้ว จะต้องจัดส่งข้อมูลโรคของตนมาให้แพทย์วิเคราะห์ล่วงหน้าก่อนวันมาแค้มป์ โดยส่งข้อมูลมาทางคุณสายชล (โอ๋) พยาบาลประจำแค้มป์ ที่อีเมล totenmophph@gmail.com โดยอย่างน้อยต้องส่งข้อมูลพื้นฐานซึ่งจำเป็นต้องใช้ต่อไปนี้มา คือ

(1) ชื่อ นามสกุล
(2) วันเดือนปีเกิด
(3) เพศ
(4) เบอร์โทรศัพท์มือถือ
(5) อีเมลแอดเดรส
(6) เลขบัตรประจำตัวประชาชน
(7) ส่วนสูง
(8) น้ำหนัก
(9) ความดันเลือด
(10) น้ำตาลในเลือด (FBS) หรือน้ำตาลสะสม (HbA1C)
(11) ไขมันเลว (LDL)
(12) ตัวชี้วัดการทำงานของไต (eGFR หรือ Cr)
(13) เอ็นไซม์แสดงการทำงานของตับ (SGPT)
(14) การวินิจฉัย (ชื่อ) โรคทุกโรคที่รักษาอยู่ในปัจจบัน
(15) อาการป่วยทุกอาการที่มีในปัจจุบัน
(16) ยาทุกตัวที่กินอยู่ในปัจจุบัน พร้อมทั้งขนาด และวิธีกิน
(17) ผลการตรวจจำเพาะต่างๆ ถ้ามี เช่น ผลการตรวจเลือดอื่นๆ ภาพเอ็กซเรย์ปอด ผลตรวจสมรรถนะหัวใจ (EST) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ผลการตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยคอมพิวเตอร์ (CTA) ผลการตรวจสวนหัวใจ (CAG) ผลการตรวจผลการตรวจ CT สมอง โดยกรณีเป็นภาพหากส่งเป็นไฟล์ดิจิตอลได้ก็จะเป็นพระคุณ แต่หากส่งไม่ได้จะเอาโทรศัพท์ถ่ายแล้วส่งไฟล์รูปมาก็ได้ กรณีเป็นใบรายงานผลให้เอาโทรศัพท์ถ่ายใบรายงานแล้วส่งไฟล์มาก็ได้
(18) คำบอกเล่าลักษณะการใช้ชีวิตประจำวัน เน้นที่
- การบรรยายลักษณะอาหารที่กินแต่ละมื้อทุกมื้อ
- การออกกำลังกายที่ทำในแต่ละวัน
- วิธีจัดการความเครียดที่ใช้อยู่ประจำ
- ความกังวล (concern) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ หากมีอยู่ในใจก็ให้แจ้งมาให้หมอสันต์ทราบด้วย

     12. สถานที่เรียน

     คือ เวลเนสวีแคร์เซ็นตเตอร์ (มวกเหล็ก-เขาใหญ่) ตามแผนที่ข้างล่างนี้

(รายละเอียดอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความจำเป็นและความต้องการของผู้เรียนแต่ละแค้มป์)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]

22 กรกฎาคม 2562

หมอสันต์ไปเข้าโรงเรียนวาดภาพสีน้ำครั้งแรกในชีวิต

     สองสามวันก่อน หมอสมวงศ์จัดสอนวาดภาพสีน้ำที่เวลเนสวีแคร์ เชิญอาจารย์ตัวจริงมืออาชีพมาสอน เธอบอกว่าให้ผมเข้าเรียนด้วยนะ เธออ้างว่าเป็นการให้เกียรติอาจารย์ที่เขามาช่วยสอนให้โดยไม่คิดค่าสอน ผมรับปากว่าจะเข้าเรียนเพราะเห็นใจว่าเธอกลัวจะหานักเรียนไม่ได้ งานนี้ใช้เวลาเรียนทั้งหมดหกชั่วโมง บ่ายวันเสาร์ กับเช้าวันอาทิตย์

     พอไปถึงเวลเนสอาจารย์มานั่งกินข้าวอยู่ท่ามกลางนักเรียน ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าท่านใดเป็นอาจารย์เพราะท่านแต่งกายโดดเด่นแบบศิลปิน โดยเฉพาะผมของท่านนั้น พอท่านหันหลังให้จึงได้เห็นว่าผมที่ท่านมัดรวบไว้ข้างหลังนั้นยาวลงไปถึงระดับขาของท่านเลยทีเดียว ผมได้มีโอกาสนั่งกินข้าวคุยกับท่านจึงถือโอกาสถามคำถามไร้เดียงสา

     "เวลาอาจารย์สอนศิลปะ อาจารย์สอนอะไรเป็นเรื่องสำคัญที่สุด" ท่านตอบว่า

     "สุนทรียะ (aesthetic) เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องสอนกันก่อน ให้รู้จักสุนทรียะ มุมมองว่าอะไรงาม งามแบบไหนมันมีสรุปไว้เป็นแนวทางเป็นหลักวิชาไว้หมดแล้ว แยกออกเป็นเรื่องศิลปะแขนงต่างๆ การถ่ายภาพ การวาดภาพ ป็นต้น แล้วยังมีแยกออกตามยุค ตามวัฒนธรรม ตามสมัยนิยม ตามประเภทของงานศิลป์ เช่นศิลปะแบบเรียลลิสม์ แบบอิมเพรชชั่นนิสม์ แบบแอ็บสแตรค แบบโมเดิร์น ซึ่งแต่ละแบบก็ยังแยกแยะไปได้อีกหลายมุมมองหลายหมวดย่อย แต่อย่างน้อยศิลปะต้องเริ่มด้วยการรู้จักสุนทรียะก่อน"

     ผมคิดขยายความแบบเดาเอาเองในใจว่าการเข้าถึงสุนทรียะหรือความงามนี้ มันคงหมายถึงการเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบเมื่อได้สัมผัสรับรู้สิ่งที่สวยงาม ถูกตา ต้องใจ หรือถูกจริต คงไม่ได้หมายถึงอยู่แค่การรับรู้คอนเซ็พท์หรือท่องจำเอาหลักวิชาเช่นว่ากันตามคอนเซ็พท์แบบโมเดิร์นแบบนี้เรียกว่าสวยแบบนี้เรียกว่าไม่สวย คงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะการเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบมันเป็นความรู้สึก (feeling) แต่การรับรู้จากหนังสือว่าถ้าเป็นศิลปะโมเดิร์นแบบนี้เรียกว่าสวยนั้นเป็นความรู้หรือความคิด (thought) ผมเดาเอาว่าปลายทางของการรู้จักสุนทรียะคือการเกิด feeling ดีๆที่ทำให้อยู่กับเดี๋ยวนั้นได้และลืมความคิดไปได้ชั่วคราวอันส่งผลให้เกิดความสงบเย็น คงไม่ใช่การสะสมความรู้หรือความคิดให้เกิดการยึดถือไว้อวดเบ่งทับถมกันมากเรื่องเข้าไปอีก คิดในใจแล้วขยับจะถามครูว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่าแต่ก็ไม่ได้จังหวะถาม คุยกันไปคุยกันมา เลยลืมไปเลย 

บทนำ. ช่วยตัวเอง เพราะไม่มีใครจะช่วยทำให้ท่านได้ 

     นักเรียนเข้ายืนประจำที่ คือมุงรอบโต๊ะครูแล้ว ครูก็สอนให้รู้จักเครื่องมือหากินอันได้แก่พู่กัน สี จานผสมสี กระป๋องน้ำ ฟองน้ำ กระดาษ กระดานไม้อัด เทปกาว และมีดคัทเตอร์ ไม่เห็นครูพูดถึงดินสอสักคำ เข้าใจว่านี่เป็นชั้นเรียนสีน้ำ ดินสอจึงไม่มีบทบาท แล้วครูก็สอนให้รู้จักชนิดกระดาษและวิธีใช้ ด้านที่สากๆคือหน้าที่จะใช้ ประมาณว่ายิ่งสากยิ่งแพง ด้านที่เรียบๆคือหน้าหลังซึ่งไม่ได้ใช้งาน แล้วสอนวิธีแปะกระดาษลงบนไม้กระดาน คว่ำหน้าที่จะใช้งานลง เอาฟองน้ำชุบน้ำให้โชกแล้วลูบไปบนหน้ากระดาษจนเปียกทั่วทั้งแผ่น แล้วพลิกกระดาษหงายหน้าขึ้น เอาฟองน้ำชุบน้ำลูบจนเปียกทั้งแผ่นอีก แล้วฉีกเทปกาวออกมาทีละสองชิ้น จะเอาด้านยาวก่อนก็ยาวทั้งคู่ อย่ากว้างบ้างยาวบ้างเดี๋ยวหยิบผิดหยิบถูกปิดลงไปแล้วลอกออกไม่ได้ วิธีปิดเทปก็คือเอาฟองน้ำชุบน้ำลูบด้านที่เป็นกาวของเทปให้ทั่วก่อน ดึงหัวท้ายเทปด้วยหัวแม่มือซ้ายขวา ทาบเทปกับขอบกระดาษให้ได้ที่เพะ แล้วกดหัวแม่มือทั้งสองข้างลงเพื่อตรึงกระดาษให้ติดกับแผ่นไม้อัด จากนั้นเอานิ้วนางมากดแทนหัวแม่โป้ง คืบหัวแม่โป้งจากสองข้างมาอยู่จุดกึ่งกลางของขอบกระดาษ แล้วคืบนิ้วชี้ทั้งสองข้างตามมากดแทนหัวแม่โป้ง เท่ากับว่าตอนนี้นิ้วชี้สองนิ้วทาบคู่ขนานกันอยู่บนเทปกาวกึ่งกลางของขอบกระดาษ แล้วค่อยๆบรรจงรีดเทปกาวให้แนบติดกับกระดาษและกระดานจากตอนกลางไปหามุมทั้งสองข้าง กระดาษจะได้แนบติดกับกระดานไม้อัดอย่างแนบแน่นไม่มีรอยย่น ทำอย่างนี้จนครบสี่ด้าน เอากระดานไม้อัดนี้ไปผึ่งลมให้กระดาษแห้ง มันก็จะหดตัวเรียบราบพร้อมที่จะใช้ระบายสี

บทเรียนที่ 1. Flat washing ทาสีเรียบเสมอกัน
ฝึกเทคนิคพื้นฐาน ทาเรียบ ทาไล่เงา และเปียกบนเปียก

     ครูสาธิตวิธีทาสีบนกระดาษโดยให้สีเสมอกัน วางกระดาษราบบนพื้นโต๊ะ ผสมสีที่ต้องการเอาพู่กันจุ่มสีให้โชกแล้วป้ายเป็นแถบสีจากซ้ายไปขวา ยกพู่กันขึ้น ทาบพู่กันลงพื้นที่ว่างถัดจากแถบสีแรกที่ทาสีไปแล้ว แล้วก็ทาสีจากซ้ายไปขวาอีก ทำอย่างนี้จนหมดพื้นที่ที่จะทา เอ้า ให้นักเรียนแยกย้ายกันไปทาตามของใครของมัน ผลปรากฎว่าออกมาเป็นรูปฝากระดานบ้านเป็นแผ่นๆ เพราะสีแต่ละแถบเกยกันเป็นรอย ครูบอกว่าใช้ไม่ได้ให้ทาใหม่ ก็ยังมีรอยต่อระหว่างแถบอีก ครูบอกว่าให้จุ่มสีให้โชกพูกัน บรรจงแตะพู่กันลงบนกระดาษแค่เฉียดฉิวจนปลายพู่กันแทบไม่ได้สัมผัสกระดาษเลย แล้วบรรจงลากพู่กันป้ายไปจากซ้ายไปขวาแบบนุ่มนวลไม่ให้ขนพูกันขีดลงไปบนกระดาษให้เห็นรอยแค่อาศัยน้ำสีพาพู่กันไป พอจะทาแถบถัดลงมาก็บรรจงจรดพู่กันต่อจากแถบสีแรก ปล่อยให้สีน้ำจากแถบแรกไหลลงมาปนกับสีในพู่กัน แล้วลากพู่กันไปโดยให้น้ำเป็นตัวพาสีไป ไม่ใช่ให้พูกันเป็นตัวพาสีไป ในที่สุดนักเรียนก็สามารถทาสีแบบ flat washing ได้สำเร็จ บทเรียนนี้ทำให้เริ่มรู้จักการ "แผ่วเบา" กับการจรดปลายพู่กันลงบนผิวกระดาษ หนุกดีเหมือนกัน

บทเรียนที่ 2. Graded washing ทาสีแบบไล่เงาเข้มไปจาง

ฝึกวาดกระป๋องและลูกกลม แบบไล่เงา
   ครูสาธิตวิธีทาสีแบบไล่เงา (shade) จากเข้มไปจาง คราวนี้ต้องหนุนกระดานกระดาษขึ้นสักยี่สิบองศา เอาพู่กันจุ่มสีให้โชกแล้วป้ายจากซ้ายไปขวา  พอสีทำท่าจะไหลย้อยลงมาตามความลาดเอียงก็รีบเอาพู่กันจุ่มสีที่เจือจางน้ำมากกว่าเดิมไปตั้งรับแล้วป้ายจากซ้ายไปขวาอีก ทำเช่นนี้ไปทีละแถวสีที่ป้ายแต่ละครั้งก็จะค่อยๆจางลงๆ ใหม่ๆก็ยังไม่วายได้ภาพไม้ฝากระดานเป็นแผ่นๆ แต่พอละเมียดละไมมากขึ้นก็จะได้สีที่คอยๆจางลงทั้งแผ่นโดยหารอยต่อพู่กันไม่เจอ

     คราวนี้ครูให้เอาหลักการทาไล่เงามาวาดรูปกระป๋องและรูปกลมอย่างง่าย โดยให้ทำความเข้าใจว่าแสงมาทางไหน เงาตกทางไหน แล้ววาดรูปกระป๋องและลูกกลมตามครู บ้างก็งงว่าแสงมาทางขวาแล้วทำไมฝากระป๋องไปมืดทางซ้าย ครูบอกว่าไม่ใช่ นี่เป็นข้างในกระป๋อง แสงมาทางขวา ข้างในกระป๋องจะมืดทางขวาเพราะผนังกระป๋องมันทึบแสง

บทเรียนที่ 3. Wet Into Wet เปียกบนเปียก

     เมื่อตะกี้วาดกระป๋องและลูกกลมยังต้องใช้ความละเมียดบ้าง แต่เทคนิคใหม่นี่ถูกใจโก๋มากเพราะไม่ต้องใช้ฝีมือเลย เล่นหนุกๆอย่างเดียว
จุ่มสีชมพู จิ้มสีม่วง จิ้มปลาย แล้วกดโคนพู่กัน
 วิธีการคือครูให้เอาน้ำละเลงลงไปบนกระดาษเป็นรูปหัวใจหรือวงกลม แล้วเอาพู่กันจุ่มสีอะไรก็ได้ สีนั้นที สีนี้ที หยดแหมะลงไปตรงโน้นทีภายในพื้นที่ที่ละเลงน้ำไว้ สีมันก็จะเยิ้มเข้าไปหากันเอง ถ้าอยากสนุกกว่านั้นก็เอียงกระดาษไปมา สีก็จะวิ่งไปปนกันเป็นลวดลายอะไรก็สุดจะคาดเดา

     แล้วครูให้วาดรูปดอกไม้โดยใช้เทคนิคเปียกบนเปียก เอาพู่กันจุ่มสีชมพูให้โชก แล้วเอาปลายแหลมของพู่กันแตะสีม่วงนิดเดียว เอาปลายพู่กันแตะกระดาษให้สีม่วงลงไปก่อนเป็นก้านดอก ทำเส้นโค้งนิดหนึ่งแล้วกดตัวพู่กันลงไปให้สีชมพูลงไปเป็นส่วนใบของดอก สีม่วงกับสีชมพูจะเจือกันเองโดยเราไม่ต้องใช้ฝีมืออะไร เขียนใบเขียนก้านใส่เสียหน่อย ครูทำตัวอย่างให้ดูเป็นกล้วยไม้ช่อบะเริ่ม ผมทำได้ดอกกล้วยไม้สองดอกก็พอใจแล้ว

เว้นกระดาษขาวไว้เป็นแก้ว แล้วใส่สีฉากหลัง

บทเรียนที่ 4. White sparing เว้นกระดาษขาวไว้ 

     คราวนี้ครูให้เอาเทคนิคเปียกบนเปียกสร้างฉากหลังโดยให้ฉากหลังนั้นเว้นกระดาษขาวไว้เป็นรูปแก้วไวน์ วิธีทำคือเอาน้ำละเลงบนกระดาษก่อนแต่เว้นกระดาษขาวไว้เป็นรูปแก้วไวน์โดยจินตนาการเอาเพราะไม่มีดินสอร่าง ไม่ให้ส่วนแก้วไวน์นี้โดนน้ำ แล้วเอาสีลงหยดบนฉากหลัง ก็จะได้รูปแก้วไวน์สีขาวโดดเด่นขึ้นมาตรงหน้าฉากหลังหลากสีนั้น เป็นการอาศัยกระดาษขาวๆสร้างส่วนหนึ่งของภาพขึ้นมาโดยไม่ต้องไปทำอะไรเลย แค่เว้นไว้เฉยๆ

     คราวนี้ครูให้เอาเทคนิกเปียกบนเปียกกับเทคนิคเว้นกระดาษขาวไว้ให้นักเรียนไปใช้วาดรูปปลาคาร์พ ครูทำตัวอย่างให้ดู โดยการเอาน้ำเปล่าวาดเป็นรูปปลาคาร์พแต่เว้นส่วนหัวไว้ รอให้น้ำหมาดๆ แล้วเอาสีจ๊าบๆเช่นสีชมพู สีม่วง หยดลงไปในตัวปลาที่เปียกน้ำหมาดๆอยู่นั้น หยดน้ำก็จะกระจายเป็นสีบนตัวปลาแบบอะเมซซิ่ง แล้วก็ให้นักเรียนไปวาดปลาของใครของมัน บ้างก็ได้ปลาคาร์พ บ้างก็ได้ปลาดุก บ้างได้ตัวพยูนแทนปลา สนุกสนานดี จากนั้นก็มาแต้มสีใส่ครีบ ใส่หาง และไฮไลท์ที่ใส่ตาและจมูกซึ่งหลายคนไม่รู้ว่าจะใส่ตรงไหนดีเพราะตรงหัวมันเป็นแค่กระดาษว่างๆสีขาว
ปลาคาร์พตัวแรกในชีวิตของหมอสันต์ ด้วยเทคนิคเปียกบนเปียก

     ครูบอกว่าให้ใช้จินตนาการ บางคนจินตนาการก็ช่วยไม่ได้ จึงเอาจมูกกับตาไปไว้ด้วยกันได้หน้าตาปลาเหมือนคิงคอง     














บทเรียนที่ 5. ทาสีเปียกทับสีแห้ง (Glazing)

หัดทาสีเปียกทับบนสีแห้งแบบเคลือบกัน

     คราวนี้เรามาเรียนเทคนิคใหม่อีกอันหนึ่ง คือการทำสีหลายสีซ้อนกันโดยไม่ให้มันเยิ้มไปหากัน ทำรูปอะไรก็ได้ด้วยสีหนึ่ง รอให้แห้ง แล้วเอาอีกสีหนึ่งทำอีกรูปหนึ่งทับลงไป ทำอย่างนี้กับหลายๆสี หลายๆรูป บางครั้งครูก็ให้ลองทาทับเป็นปื้นเลย ซึ่งเป็นเทคนิคย้อมสีภาพเก่าทั้งภาพให้เกิดสีใหม่ที่มอๆหรือดูเก่ากว่าเดิม













ต้นไผ่ เปียกบนแห้ง (glazing)
     พอมีความเข้าใจเรื่อง glazing ดีแล้ว ครูก็ให้หัดวาดต้นไผ่และใบไผ่โดยใช้หลัก glazing หรือเปียกบนแห้ง วิธีการก็คือทาสีฉากหลังตามต้องการก่อน ปล่อยให้แห้ง แล้วเริ่มวาดใบไผ่ทับลงไป วิธีวาดใบไผ่ก็ไม่ยาก เอาพู่กันจุ่มสีให้โชก แตะปลายแหลมๆของพู่กันบนกระดาษ ขยับขึ้นนิดหนึ่งให้เกิดโคนของใบ แล้วกดส่วนที่อ้วนๆของพู่กันลงให้แถบสีใหญ่ขึ้น พร้อมกับลากพู่กันยาวไปบนกระดาษ แล้วยกพู่กันขึ้นตอนท้าย ก็จะได้ใบไผ่ง่ายๆแบบอะเมซซิ่ง ครูให้วาดใบไผ่ซ้อนกันหลายชั้นแบบสร้างภาพให้มีความลึก ผมวาดซ้อนกันแค่สองชั้นพอให้ได้ไอเดีย แล้วก็วาดต้นไผ่เลย แต่ต้นไผ่ของผมเส็งเคร็งกว่าของเพื่อนๆ เข้าใจว่าผมเลือกสีทึบเกินไปและสีของผมมีน้ำน้อยเกินไปต้นไผ่ของผมจึงกลายเป็นไผ่ถูกมอดกิน








แค่ใช้สีเข้มตัดเส้นหรือเขียนอักษรบนพื้นแห้ง
บทเรียนที่ 6. Dry on dry แห้งบนแห้ง

     บทนี้เป็นอะไรที่เข้าใจง่ายที่สุด คือเป็นการใช้สีเข้มตัดขอบภาพหรือเขียนตัวอักษรแค่นั้นเอง พื้นภาพต้องแห้ง สีที่ใช้ตัดขอบซึ่งปกติเป็นสีทึบก็ควรออกไปทางแห้งด้วย เทคนิคก็คืออย่าใช่สีดำ เอาแค่ให้ทึบกว่าภาพที่จะตัดหน่อยก็พอ

     เป็นอันว่าจบหกชั่วโมง อันเป็นคอร์สที่สั้นกระชับได้ใจความดีมาก นักเรียนส่วนใหญ่ล้วนเป็นมือใหม่หัดขับ ต่างก็ได้หลักพื้นฐานหกอย่างไปวาดรูปเอง โดยครูพูดดักคอไว้ล่วงหน้าว่าแค่มีหลักทั้งหกอย่างนี้ก็วาดรูปสีน้ำได้ไม่สิ้นสุดแล้วด้วยความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของตัวเอง อย่าคอยแต่จะวาดรูปตามครู ทีละสะเต็พๆไม่รู้จักโตสักที และว่าถ้านักเรียนเอะอะก็..แล้วไงต่อละคะคุณครู ครูก็เก็กซิมเพราะแสดงว่าสอนไปแล้วนักเรียนไม่เก็ท พอโดนครูพูดดักคอนักเรียนก็ทำท่าเก็ทกันถ้วนหน้า ไม่กล้าถามอะไรครูอีกเลย แล้วมันก็เลยเวลามาครึ่งชั่วโมงแล้วด้วย หลายคนอุทานว่า "หา..เที่ยงแล้วหรือ" ทำไมเวลามันผ่านไปเร็วจัง นี่เป็นข้อดีของการวาดภาพสีน้ำ คือมันทำให้จดจ่อและลืมความคิดลืมเวลาได้ดีนัก

     ก่อนจะถูกหมอสมวงศ์บังคับให้มาเรียนวาดรูปสีน้ำ ผมไม่คิดว่าเรียนแล้วชีวิตผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก เพราะชีวิตทุกวันนี้มันแน่นจนไม่มีเวลาจะทำอะไรใหม่ๆแล้ว แต่พอเรียนไปแล้วก็รู้สึกว่าเออ..เขียนภาพสีน้ำนี่ก็ใช้เวลาไม่มากนะ ถ้าไม่โลภมากจะเอาภาพใหญ่ๆอย่างชาวบ้านเขา ถ้าผมเขียนแค่ภาพโปสการ์ดก็ใช้เวลาแค่สิบห้านาที หรือยี่สิบนาที ก็ได้ภาพหนึ่งแล้ว ผมจึงบอกหมอสมวงศ์ให้หาซื้อสมุดกระดาษวาดเขียนเล่มเล็กๆกว้างสักหนึ่งคืบทิ้งไว้ให้ผมหน่อย เอาไว้เผื่อมีเวลาว่างๆหรือเวลาพบเห็นอะไรที่เป็นมุมมองที่ "สุนทรียะ" ผมจะได้สื่อมันออกมาเป็นภาพเล็กๆได้ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เกิดสมาธิและความผ่อนคลายในขณะทำ เพราะงานแบบนี้มันไม่ใช่งานหวังผลอยู่แล้ว ไม่แน่นะสมาธิแบบชั่วคราว สั้นๆ สบายๆ ไม่มีพิธีอะไรมากอย่างนี้ อาจเป็นช่องทางให้ปัญญาญาณจ๊าบๆที่ผมกำลังต้องการโผล่ขึ้นมานำทางชีวิตได้พอดิบพอดีก็ได้

     ก่อนจบ ขอขอบพระคุณอาจารย์ผู้สอนที่ได้กรุณาอาสามาสอนให้โดยไม่คิดค่าเหนื่อย ความสุขใดๆที่ผมในฐานะนักเรียนจะได้เพิ่มขึ้นมาในชีวิตจากการรู้วิธีวาดภาพสีน้ำนี้ ยกให้อาจารย์หมด..หิ หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์     
[อ่านต่อ...]