26 ตุลาคม 2558

กลุ่มอาการร้านเสริมสวย (BPS หรือ Vertebro-basilar insufficiency)

เรียนคุณหมอที่เคารพ  

ดิฉันอายุ 69 ปี 9 มีอาการทุกครั้งที่ไปนอนสระผมหรือหาหมอฟัน ตอนลุกจากเก้าอี้นอน จะหน้ามืด โครงเครง ต้องนั่งอยู่สักพัก จึงจะลุกเดินได้ตามปกติ แต่เมื่อวันที่ 17 กันยายน 58 ไปหาหมอฟัน เวลาลุกขึ้นต้องนั่งนานกว่าปกติ เวลาเดินเหมือนตัวลอยๆ เท้าไม่ติดพื้น  และเดินเซนิดๆ เป็นอยู่ราวๆ2_3ชั่วโมง  (ถ้าลุกขึ้นเดิน) ตอนนี้ไม่เป็นแล้วค่ะ ปกติความดันไม่สูงมากประมาณ110-130  เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 58. ไปเช็คเลือด ได้ค่า cholesterol 210 triglyceride  124 HDI 73 LDL 101  และวัดน้ำตาล เมื่อเดือน มิถุนายน 58. ได้ค่า 111 น้ำตาลจะวัดได้เกิน100ทุกครั้งแต่หมอยังไม่ให้ทานยาค่ะ อยากปรึกษาคุณหมอค่ะว่าจำเป็นต้องไปหาคุณหมอทางสมองไหมคะ จำเป็นต้องทำ MRI ไหม กังวลค่ะ  เพราะอ่านข้อมูลทางวิชาการบอกว่าการเดินเซเป็นอาการหนึ่งของสมองตีบ        
คุณหมอคะขอถามเพิ่มอีกนิ๊ดนะคะอยากทราบจริงๆค่ะ เปิดดูในเนตก็ให้ข้อมูลไม่ตรงกันบางทีตรงข้ามกันเลยค่ะเลยไม่แน่ใจว่าจริงเท็จแค่ไหนอยากเรียนถามว่าการกินน้ำกระชาย (ที่เอาใส่แกง) และการกินเสาวรสที่ตักกินจากผลเลย มีอันตรายกับ ตับ และไตหรือเปล่าคะ ถ้าทานได้ไม่อันตรายควรมีอัตราการกินอย่างไรคะ
อยากทราบจริงๆค่ะ ขอบคุณค่ะ คอยคำตอบคุณหมอนะคะ

…………………………………..

ตอบครับ

     1.. อาการไปนอนสระผมพอลุกแล้วเวียนหัวบ้านหมุน ภาษาหมอเรียกว่ากลุ่มอาการร้านเสริมสวย (beauty palour syndrome - BPS) ซึ่งเป็นคำเรียกเพื่อสื่อไปถึงโรคเลือดเข้าไปเลี้ยงสมองส่วนหลังไม่ถนัด (vertebro-basilar insufficiency – VBI) ที่เลือดเข้าไปเลี้ยงไม่ถนัดนี้จะเป็นเพราะการเงยหรือเอี้ยวคอบิดคอก็เป็นได้ หรือจะเป็นเพราะหลอดเลือดส่วนนั้นตีบหรือมีลิ่มเลือดปลิวไปอุดก็เป็นได้เช่นกัน ในกรณีของคุณนี้เป็นอยู่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็หายไป ก็น่าจะเดาไว้ก่อนว่าคงเป็นแค่การเงยการบิดคอมากกว่าจะเป็นโรคของหลอดเลือด

     2.. ถามว่าจะต้องไปตรวจ MRI สมองต้วยตนเองไหม ตอบว่ามันก็แล้วแต่คุณมีเงินไหม..เอ๊ย ไม่ใช่ แล้วแต่ว่าคุณวิตกจริตมากไหม

     อาการเวียนหัวเดินเซตีนลอยๆในทางการแพทย์ถือว่าเป็นอาการทางสมอง สิ่งที่ควรทำมากที่สุดเมื่อมีอาการทางสมองคือต้องรีบไปให้หมอประสาทวิทยา (neurologist) ให้เขาตรวจร่างกายดูให้ละเอียดว่ามีอะไรในกอไผ่หรือเปล่า ถ้าหมอทางด้านประสาทวิทยาตรวจการทำงานของระบบประสาทและสมองแล้วสงสัยว่าจะมีอะไรเขาจะเป็นผู้แนะนำให้ตรวจ MRI เอง ถ้าเขาไม่แนะนำให้ตรวจก็แสดงว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ก็ไม่ต้องตรวจ

     แต่ถ้าหมอเขาไม่แนะนำให้ตรวจ แต่คุณเป็นผู้ป่วยชนิดประสาทแบบมีเงิน คุณก็อาจไปขอตรวจ MRI เอาเองตามรพ.เอกชนได้ ผมไม่ต่อต้านการตรวจ MRI แบบตะพึด เพราะสมัยนี้เป็นมันกิจกรรมบันเทิงอย่างหนึ่งในชีวิตของผู้สูงวัยไปเสียแล้ว  แต่ผมต้องขอบอกก่อนว่าโอกาสที่ผล MRI จะนำไปสู่การรักษาอื่นที่มากไปกว่าการอยู่เฉยในกรณีของคุณนี้มีน้อยมาก ถามว่าน้อยกี่เปอร์เซ็นต์ผมก็ไม่ทราบเพราะไม่สถิติรองรับ

     3. ถามว่ากินน้ำกระชายและกินเสาวรสที่ตักกินจากผลเลย จะมีอันตรายกับ ตับ และไตหรือเปล่า ตอบว่าไม่มีอันตรายอะไรอย่างนั้นหรอกครับ คุณพี่อย่าไปบ้าจี้ตามอินเตอร์เน็ทเลย ประเมินจากสามัญสำนึก อาหารธรรมชาติที่คนเขากินกันทุกเมื่อเชื่อวันจะไปมีผลร้ายต่อตับต่อไตขนาดนั้นได้อย่างไร ประเมินตามหลักฐานวิทยาศาสตร์ นับถึงวันนี้ ยังไม่เคยมีรายงานทางการแพทย์ ไม่ว่าในระบบเฝ้าระวังโรคของสาธารณสุขหรือรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสารมาตรฐานแม้แต่ชิ้นเดียวว่ากระชายกับเสาวรสทำให้ตับหรือไตของท่านผู้ใดชำรุด ขอให้คุณพี่สบายใจได้ ถ้าคุณพี่มีเวลาผมแนะนำให้อ่านบทความของผมเรื่องวิธีประเมินความเชื่อถือได้ของหลักฐานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ตามลิ้งค์นี้เพื่อจะได้ใช้ประเมินสิ่งต่างๆที่อ่านพบจากเน็ทด้วยตัวเองได้ครับ http://visitdrsant.blogspot.com/2015/06/fish-oil.html

    4. เพื่อเป็นความรู้สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไปที่เป็นผู้สูงอายุแล้ว ผมขอเล่าเรื่องโรคเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหลังไม่พอ (vertebro basilar insufficiency หรือ VBI) ไว้เป็นสังเขปดังนี้

ชื่อโรค
โรคเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหลังไม่พอ (Vertebro-basilar insufficiency หรือ vertebrobasilar atherothrombotic disease (VBATD)

นิยาม
คือภาวะที่มีโรคหลอดเลือดที่เลี้ยงสมองส่วนหลัง (หลอดเลือด vertebral และ basilar artery) ตีบแข็งหรือมีตุ่มอุดกั้นหรือมีลิ่มเลือดอุดตันการไหลของเลือด ทำให้เนื้อสมองส่วนดังกล่าวขาดเลือด และมีอาการที่เกิดจากการสูญเสียการทำงานของสมองส่วนนั้นเช่น เวียนหัวบ้านหมุน ยืนทรงตัวไม่ได้ เห็นภาพซ้อนหรือตาพร่า เป็นต้น

สาเหตุ
โรคหลอดเลือดแดงแข็งของหลอดเลือด vertebral และ basilar artery ทำให้เกิดการตีบของรูหลอดเลือด หรือทำให้มีการก่อตัวของลิ่มเลือดอุดกันการไหลของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนหลัง

อุบัติการณ์
เกิดขึ้นประมาณ 25% ของการเกิดอัมพฤกษ์ และอัมพาต ทั้งหมด

อาการ
อาการพบบ่อยที่สุดคือเวียนหัวบ้านหมุน อาจมีอาการอื่นร่วมเช่น เห็นภาพซ้อน เห็นภาพครึ่งเดียว หูดับ ชาหรือรู้สึกหนาที่หน้า กลืนลำบาก เสียงแหบ เป็นลมหมดสติแบบทรุดล้มทั้งยืนหรือเดินแล้วฟื้นมาเป็นปกติทันที (drop attacks) อาการชาหน้าควบกับแขนขาคนละซีก

โรคที่มีอาการคล้ายกัน
1. ภาวะร่างกายขาดน้ำ
2. ความดันเลือดตกจากการเปลี่ยนท่าร่าง
       3. โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (BPPV)
4. อัมพาต หรืออัมพฤกษ์ (stroke or TIA)
      5. โรคไมเกรนสมองส่วนหลัง (basilar artery migraine)
6. หูชั้นในอักเสบ (labyrinthitis)
7. ปลายประสาทในหูอักเสบ (vestibular neuronitis)
8. หลอดเลือดสมองส่วนหลังปริฉีก (Vertebral artery dissection)
9. หลอดเลือดสมองส่วนหลังโป่งพอง (vertebrobasilar aneurysm)
10. เนื้องอกสมอง (posterior fossa tumor)
11. หลอดเลือดอักเสบ (vasculitis) ที่สมองส่วนหลัง
12. กลุ่มอาการเลือดถูกดึงไปเลี้ยงแขน (subclavian steal syndrome)
13. โรค Multiple sclerosis
14. กลุ่มอาการเมลาส (MELAS syndrome)

การวินิจฉัย
วินิจฉัยขั้นต้นจากการตรวจทางประสาทวิทยา
วินิจฉัยยืนยันด้วยการตรวจคลื่นแม่เหล็กสมอง (MRI)

การรักษา
1. ป้องกันและแก้ไขไม่ให้ร่างกายขาดน้ำก่อน
2. ปรับลดความเร็วและวิธีการเคลื่อนไหวกรณีที่อาการเกิดจากการเคลื่อนไหว ค่อยๆลุกนั่งจากท่านอน ค่อยๆลุกยืนจากท่านั่ง
3. ออกกำลังกายด้วยวิธีที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เลือดไปกองอยู่ที่ส่วนล่างของร่างกาย
4. จัดการปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือด เช่น หยุดสูบบุหรี่ ปรับอาหารเพื่อลดไขมันในเลือด รักษาเบาหวานและความดันเลือดสูงถ้าเป็นอยู่
5. ในกรณีที่เคยหมดสติแบบล้มทั้งยืน ควรสอนให้รีบนั่งลงกับพื้นเมื่อมีเริ่มอาการ ไม่ว่าจะอยู่ในศูนย์การค้าหรืออยู่ที่ไหน ไม่ต้องเขินอายใคร
6. ใช้ยาต้านเกล็ดเลือด เช่นแอสไพริน หรือยากันเลือดแข็งในกรณีที่มีข้อบ่งชี้
7. ปัจจุบันได้มีการทดลองรักษาด้วยวิธีใช้บอลลูนขยายหลอดเลือดเข้าไปขยายหลอดเลือดที่เลี้ยงสมองส่วนหลัง แต่ยังไม่มีงานวิจัยสุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบว่าได้ผลดีกว่าอยู่เฉยๆหรือไม่

การพยากรณ์โรค

โรคนี้มีหลายระดับความรุนแรงตั้งแต่น้อยจนไม่มีผลต่ออัตราการรอดชีวิตเลย ไปจนถึงรุนแรงมากเทียบเท่าการเป็นอัมพาตทั่วไป

การป้องกันโรค
จัดการปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือด ได้แก่
- การปรับโภชนาการให้มีผักผลไม้มาก กากมาก แคลอรี่ต่ำ เพื่อลดไขมันในเลือดและป้องกันเบาหวาน
- กรณีเป็นความดันเลือดสูงหรือเบาหวานแล้ว ให้รักษาอย่างต่อเนื่อง
 - การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
 - การเลิกบุหรี่กรณีสูบบุหรี่

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Adams HP Jr, del Zoppo G, Alberts MJ, Bhatt DL, Brass L, Furlan A, et al. Guidelines for the early management of adults with ischemic stroke: a guideline from the American Heart Association/American Stroke Association Stroke Council, Clinical Cardiology Council, Cardiovascular Radiology and Intervention Council, and the Atherosclerotic Peripheral Vascular Disease and Quality of Care Outcomes in Research Interdisciplinary Working Groups: the American Academy of Neurology affirms the value of this guideline as an educational tool for neurologists. Stroke. 2007 May. 38(5):1655-711.
2. Coull BM, Williams LB, Goldstein LS. Anticoagulants and antiplatelet agents in acute ischemic stroke. Report of the Joint Stroke Guideline Development Committee of the American Academy of Neurology and the American Stroke Association (a Division of the American Heart Association). Neurology. 2002. 59 (1):13-22.
3. Brandt T, von Kummer R, Muller-Kuppers M. Thrombolytic therapy of acute basilar artery occlusion. Variables affecting recanalization and outcome. Stroke. 1996 May. 27(5):875-81..
4. Whisnant JP, Cartlidge NE, Elveback LR. Carotid and vertebral-basilar transient ischemic attacks: effect of anticoagulants, hypertension, and cardiac disorders on survival and stroke occurrence--a population study.Ann Neurol. 1978 Feb. 3(2):107-15.
5. Macleod MR, Davis SM, Mitchell PJ. Results of a multicentre, randomised controlled trial of intra-arterial urokinase in the treatment of acute posterior circulation ischaemic stroke. Cerebrovasc Dis. 2005. 20(1):12-7.
6. Culebras A, Kase CS, Masdeu JC. Practice guidelines for the use of imaging in transient ischemic attacks and acute stroke. A report of the Stroke Council, American Heart Association. Stroke. 1997 Jul. 28(7):1480-97..
7. Feinberg WM, Albers GW, Barnett HJ. Guidelines for the management of transient ischemic attacks. From the Ad Hoc Committee on Guidelines for the Management of Transient Ischemic Attacks of the Stroke Council of the American Heart Association. Circulation. 1994 Jun. 89(6):2950-65..
8. Piechowski-Jozwiak B, Bogousslavsky J. Basilar occlusive disease: the descent of the feared foe?. Arch Neurol. 2004 Apr. 61(4):471-2. [Medline].
9. Markus HS, Bart van der Worp H, Rothwell PM. Posterior circulation ischaemic stroke and transient ischaemic attack: diagnosis, investigation, and secondary prevention. Lancet Neurology. 2013. 12:990.[Medline].
10. Sarikaya H, Arnold M, Engelter ST, Lyrer PA, Mattle HP, Georgiadis D, et al. Outcomes of intravenous thrombolysis in posterior versus anterior circulation stroke. Stroke. 2011. 42(9):2498-502.
[อ่านต่อ...]

22 ตุลาคม 2558

พยาธิตัวตืดขึ้นสมองเรียบร้อยแล้ว (neurocysticercosis)

คือผมเป็นคนลาวครับ
คือผมเป็นลมชักหมอให้ยาทาน
ปวดไม่ใช่ปวดแต่มันตึงที่หน้าผากแล้วเหมือนระบายความร้อนออกที่หัวครับ
เกิดจากยาหรือไม่ครับคือผมทานอยู่ dexamethasone, phenytoin ,albendazole, diazepam, amoxicilin
อันตลายใหมครับ

....................................................

     ฮู้ว.. วันนี้รับแขกต่างชาติเชียวนะเนี่ย

     พูดถึงผู้อ่านบล็อกหมอสันต์นี้ คนต่างชาติก็พอมีอยู่นะ ผมไม่ได้หมายถึงคนไทยที่ตาม ผ. ไปอยู่เมืองนอกนะ แบบนั้นนะมีเพียบ แต่ผมหมายถึงคนต่างชาติจริงๆชนิดที่ว่าอ่านภาษาไทยไม่ออกเลย

     มีอยู่รายหนึ่ง เป็นชาวเวียดนาม เขียนมาถามเรื่องการเจ็บป่วยของลูกสาวโดยเขียนมาเป็นภาษาอังกฤษ บอกว่าอ่านบล็อกของผมเป็นประจำ ผมถามเธอว่าคุณอ่านภาษาไทยออกหรือ เธอบอกว่า
“อ่านเอาจาก Google translation”

     เรื่องที่เธอถามมาก็เป็นเรื่องยากซะไม่มี จนป่านนี้ผมยังไม่กล้าตอบเลย และเข้าใจว่าคงจะไม่กล้าตอบไปตลอดกาล เพราะผมไม่ไว้ใจ Google translation เดี๋ยวผมบอกว่าเอายานี้ให้ลูกสาวเหน็บทวาร แต่ Google แปลว่าให้เอาใส่ทางปาก ก็จะเป็นบาปกับผมเปล่าๆ

     พูดถึง Google translation ไม่นานมานี้ผมตอบจดหมายซึ่งท่านผู้อ่านเขียนมาถามเรื่องเต้าหู้ทำให้สมองเสื่อมจริงหรือ ผมอยากรู้ฝีมือการแปลของกูเกิ้ล จึงลองให้แปลดู คนไข้เขียนว่า

     “คุณหมอสันต์ที่เคารพ” กูเกิ้ลแปลว่า

     “Dr. Andrew Thompson that respect” ฮู้ว์ เท่ซะไม่มี แล้วตอนหนึ่งคนไข้เขียนว่า

     “ผมอยากให้ท่านทานเต้าหู้เยอะเพราะมีโปรตีนและเคี้ยวง่ายและแม่ก็ชอบ แต่น้องสาวห้ามแม่ทานเต้าหู้โดยอ้างว่าจะทำให้แม่ซึ่งอายุมากแล้วสมองเสื่อม โดยอ้างงานวิจัยอะไรไม่รู้จากเน็ท ผมจนปัญญาไม่รู้จะช่วยแม่อย่างไร เพราะน้องสาวเธอ hard core เหลือเกิน ” กูเกิ้ลแปลว่า

       “ I want you to eat tofu because it has protein and easy to chew and I love it. Sister, mother, do not eat tofu, but by claiming to be the mother of elderly dementia. What do by citing research from the Internet. Renegades, I do not know how to help her. Because her sister so hard core..”

     ผมชอบตรงที่อากู๋แปลว่า

     “ ..Because her sister so hard core!”

     อะจ๊าก..ก ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

     พูดถึงเวียดนาม ตอนที่เขาเปิดประเทศใหม่ๆ ประมาณปีคศ. 1990 ครูของผมท่านหนึ่งได้รับเชิญให้ไปพูดเรื่องการผ่าตัดหัวใจให้หมอเวียดนามฟัง ครูเล่าให้ผมฟังว่าหมอเวียดนามแทบไม่มีใครรู้ภาษาอังกฤษเลย เพราะเรียนมาจากทางฝรั่งเศสเหมือนกันหมด เวลาครูของผมบรรยายเป็นภาษาอังกฤษต้องมีล่ามแปล แบบว่า อาจารย์พูดว่า

     “สวัสดีครับท่านผู้ฟัง” ล่ามแปลว่า

     “ด๊อก แด๊ก เหงียน หวั่น ท่า ทู่ ที่ ดู่ เด่ เด่ ดู่ ทู่ ที่ เหงียน แด๊ก ด๊อก เหงียน หวั่น แด๊ก ทู่ หวั่น ท่า ที่”

     คือประมาณว่าวิทยากรพูดสั้นนิดเดียว แปลซะยืดยาว แต่พอครูของผมบรรยายปัญหาการผ่าตัดอย่างยืดยาว ล่ามกลับแปลแค่สั้นจุ๊ดจู๋ แบบว่า

     “หงอย จ๋อย แด่ว ด๊อก แด๊ก จบละ”

     ฮะ ฮะ ฮ่า แคว่ก แคว่ก แคว่ก ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

     ขอโทษ นอกเรื่อง มาตอบคำถามของท่านผู้อ่านชาวต่างชาติที่เขียนภาษาไทยได้เก่งท่านนี้กันดีกว่า

     ประเด็นที่ 1. เรื่องอาการตึงที่หน้าผากแล้วมีความร้อนระบายออกที่หัว คุณไม่ต้องไปกังวล เพราะหมอสันต์เองก็มีอาการแบบนี้บ่อยเหมือนกันเวลาผู้ช่วยที่คลินิกทำอะไรไม่ถูกใจ (หิ หิ พูดจริ๊ง) ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นอาการไม่จำเพาะเจาะจง ไม่บ่งบอกอะไรทั้งสิ้น และไม่เกี่ยวกับยาที่ใช้ด้วย

     ประเด็นที่ 2. ดูจากยาที่คุณได้ โรคลมชักของคุณเกิดจากพยาธิตัวตืดเข้าไปสิงอยู่ในเนื้อสมอง การวินิจฉ้ยอย่างเป็นทางการเรียกว่า neurocysticercosis หรือโรคตัวอ่อนพยาธิฝังอยู่ในระบบประสาท

     เพื่อให้คุณเข้าใจโรคของคุณได้ถ่องแท้ยิ่งขึ้น ผมขอขยายความเรื่องวงจรชีวิตของพยาธิตัวตืดหมูให้ฟังนิดหนึ่ง คือพยาธิตัวตืด (cystodes) เป็นพยาธิที่ต้องมีผู้ให้ที่พักพิง (host) สองเจ้า คือผู้ให้ที่พักพิงชั่วคราว อันได้แก่สัตว์ เช่น หมู วัว สุนัข ปลา เป็นต้น กับผู้ให้ที่พักพิงถาวร คือคน วงจรชีวิตของพยาธิตัวตืดเริ่มจากตัวแม่ที่อยู่ในลำไส้ของผู้ให้ที่พักพิงถาวร (คือคน) แตกตัวเป็นปล้องๆแต่ละปล้องมีไข่อยู่เต็มแล้วปล้องแก่ๆก็จะหลุดออกมาพร้อมกับอุจจาระของคน แล้วผู้ให้ที่พักพิงชั่วคราวเช่นหมู วัว สุนัข ปลา มากินอุจจาระของคนเข้าไป เมื่อไข่ไปถึงกระเพาะอาหารของหมูวัวสุนัขปลาก็จะกลายเป็นตัวอ่อนไชเข้าไปทางผนังสำไส้ ไปตามกระแสเลือด แล้วไปสิงสถิตอยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆของผู้ให้ที่พักพิงชั่วคราว เช่นเป็นเม็ดสาคู (cysticercus) ในเนื้อหมูเนื้อวัวหรือเนื้อปลา เมื่อคนซึ่งเป็นผู้ให้ที่พักพิงถาวรมากินเนื้อหมูหรือเนื้อวัวหรือเนื้อปลาที่ดิบๆเข้าไปในกระเพาะอาหาร เม็ดสาคูนี้ก็จะถูกย่อยออกมาเป็นพยาธิตัวแม่ ซึ่งจะเลื้อยลงไปเอาหัวฝังเกาะอยู่ที่ผนังลำไส้แย่งอาหารผู้ให้ที่พักพิงแล้วแตกปล้องออกไข่ต่อไปอีกนานชั่วกัลปาวสาน นี่เป็นวงจรชีวิตแบบคลาสสิกสำหรับพยาธิตัวตืดทุกชนิด

     แต่พยาธิตืดหมูมันมีความพิเศษตรงที่นอกจากจะใช้คนเป็นที่พักพิงแบบถาวรได้แล้ว มันยังสามารถใช้คนเป็นที่พักพิงแบบชั่วคราวได้ด้วย ดังนั้นสำหรับตืดหมูจึงมีวิธีติดต่ออีกแบบหนึ่งคือแบบ autoinfection พูดง่ายๆว่าแบบ “คนกินอึคน” หมายความว่าอุจจาระของคนที่มีไข่พยาธิปนเปื้อนอยู่ในอาหารเช่นผักผลไม้บ้าง หรือปนเปื้อนอยู่ตามมือไม้ของคนบ้าง แล้วคนกินไข่พวกนี้เข้าไป มันก็จะไปกลายเป็นตัวอ่อนในกระเพาะแล้วไชเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ตามเนื้อเยื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อเยื่อสมอง ทำให้ชักแด๊กๆเป็นครั้งคราวได้

     ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมอยากถือโอกาสนี้ย้ำเตือนให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องตระหนักว่าความสกปรกระดับเอาอึเลี้ยงสัตว์ เอาอึรดผัก และคนกินอึคน ในเมืองไทยนี้ยังมีอยู่ เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของผู้เลี้ยงสุกร ผู้ปลูกผักขาย ผู้ปรุงอาหารขายที่ไม่ใส่ใจล้างมือตัวเอง ผู้ทำอาหารสำเร็จรูปสูตรสุกๆดิบๆขายเอาใจลูกค้าโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้า และผู้บริโภคเองที่มีนิสัยชอบทานเนื้อหมูสุกๆดิบๆแบบแก้อย่างไรก็ไม่หาย จะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้พยาธิตัวตืดหมดไปจากสิ่งแวดล้อมของเรา

     ประเด็นที่ 3. การรักษาโรคพยาธิตัวตืดฝังในเนื้อสมองสมัยนี้มียาเพียงสองตัว (Praziquantel กับ Albendazole) ซึ่งในกรณีของคุณนี้หมอเขาใช้ยา Albendazole อยู่ รักษาไปแล้วก็ต้องตามดูภาพของสมองไป หากยารักษาได้ผลจำนวนซีสต์ในเนื้อสมองจะลดลงไปได้ถึง 75% ระยะเวลาที่ใช้ยาก็ประมาณ 3 สัปดาห์ หากตัวหนึ่งไม่ได้ผลก็เปลี่ยนไปเป็นอีกตัวหนึ่ง หากลองสองตัวแล้วยังไม่ได้ผลก็ตัวใครตัวมันแล้วครับ แหะ แหะ พูดเล่น ก็ต้องไปเข้าสูตรพยาธิดื้อยา ซึ่งตัวผมเองก็ไม่รู้จะแนะนำอย่างไรต่อแล้ว ต้องไปรักษากับโรงพยาบาลที่เขาเล่นแต่เรื่องนี้อย่างเช่นรพ.อายุรศาสตร์เขตร้อนที่ถนนราชวิถีเป็นต้น

     ประเด็นที่ 4. ที่พูดไปแล้วนั้นเป็นการรักษาพยาธิในสมอง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับพยาธิในลำไส้ สำหรับคนทั่วไปที่ป่วยเป็นพยาธิในลำไส้ (ทราบได้จากการเอาอุจจาระไปตรวจพบไข่พยาธิตัวตืดหรือมีปล้องตัวตืดสีขาวๆขนาดกว้างเท่าเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ความยาวประมาณ 1 นิ้วคลานกระดึ๊บออกมาจากทวารหนักหรืออยู่ในอุจจาระ การรักษามาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลกมีสองวิธี คือ

     4.1 กินยา niclosamide (Yomesan) 2 กรัม กินครั้งเดียวหลังอาหารเช้า แล้วกินยาระบายตามหลังจากนั้น 2 ชั่วโมง

     4.2 กินยา praziquantel ขนาด 5-10 มก./กก. กินครั้งเดียว

     ส่วนยายอดนิยมที่วัยรุ่นชอบซื้อมาถ่ายพยาธิที่ชื่อยา “เบนด้า” (mebendazole) นั้นมันไม่ใช่วิธีถ่ายพยาธิตัวตืดนะครับ แม้ว่ากินแล้วพยาธิจะหลุดออกมาให้เห็นเป็นวา แต่หัว (scolex) ของมันยังห้อยต่องแต่งอยู่ในลำไส้ และอีกไม่กี่วันก็จะงอกปล้องยาวเป็นวาได้ใหม่เหมือนเดิม

     ถามว่าถ้าพยาธิดื้อยาทั้ง niclosamide และยา praziquantel จะทำอย่างไร ตอบว่าผมยังไม่เคยเห็นรายงานทางการแพทย์ว่าเมืองไทยนี้พยาธิตัวตืดจะดื้อยาสองตัวนี้นะครับ เคยอ่านพบแต่ว่าในอินเดียมีพยาธิตัวแบนดื้อยาสองตัวนี้ คือดื้อทั้ง niclosamide และ praziquantel ผมเคยอ่านงานวิจัยที่หมออินเดียรักษาพยาธิดื้อยามาตรฐานด้วยวิธีเอายานอกตำราชื่อ nitazoxanide ขนาด 20 มก/กก./วัน แบ่งกินวันละ 2 ครั้งนาน 3 วัน  เขาทดลองกับคนไข้ที่มีพยาธิดื้อยา 52 คน แล้วพบว่าได้ผล 98.1% แต่อยู่เมืองไทยถ้าใครคิดว่าตัวเองมีพยาธิดื้อยาขอให้ไปรักษาที่รพ.อายุรศาตร์เขตร้อนลูกเดียวเลยครับ เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ที่จะมีผลต่อคนทั้งชาติ สมควรได้รับการรักษาอย่างจังๆโดยผู้ที่รู้จริงๆเท่านั้น

     ประเด็นที่ 5. อันนี้ไม่ได้พูดกับคุณคนเดียว แต่พูดกับท่านผู้อ่านทุกคน คือการป้องกันพยาธิตัวตืดสำหรับสาธุชนทั่วไปที่ยังไม่มีพยาธิอยู่ในท้อง ขอพูดสองสามข้อ

     1. ความปลอดภัยจากพยาธิที่จะติดมากับผัก (จากการเอา “อึคน” มาทำปุ๋ยรดผัก) การเลือกแหล่งที่มาของผัก หมายถึงผักที่ปลูกโดยเกษตรกรที่มีความรับผิดชอบไม่เอาขี้รดผักเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง การล้างผักด้วยตนเองจนผักมองเห็นด้วยตาว่าสะอาดแล้วเป็นสิ่งสำคัญอันดับสอง ส่วนการใช้น้ำยาแช่ผักที่นิยมกันเช่นโซเดียมไบคาร์บอเนตที่ใช้จับสารเคมีตกค้างนั้น ไม่สามารถฆ่าไข่พยาธิตัวตืดได้ การจะฆ่าไข่พยาธิด้วยน้ำยาเคมีนั้นต้องใช้น้ำยาโซเดียมไฮโปคลอไรท์  (1% sodium hypochlorite) และหรือไม่ก็กลูตาราลดีไฮด์ (2% glutaraldehyde) ซึ่งเป็นสารเคมีกลิ่นแรงที่เหมาะจะใช้ล้างพื้นห้องน้ำมากกว่านำมาล้างผัก ดังนั้นอย่าหวังพึ่งการล้างผักด้วยสารเคมี ให้ไปพิถีถิถันที่การเลือกแหล่งผลิตและการล้างผักด้วยมือตัวเองดีกว่า หรือไม่ก็หลบไปหาผักที่ขึ้นบนรั้วที่ไม่มีใครเอาขี้รดให้รู้แล้วรู้รอด

      2. การทำลายพยาธิในรูปแบบของเม็ดสาคู (cysticerci) ในเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อปลา ไม่สามารถทำลายด้วยการใส่ตู้เย็นธรรมดา (4 องศาซี) เพราะแม้เย็นขนาดนั้นพยาธิเม็ดสาคูก็ยังมีชีวิตอยู่ได้นานเท่านาน การจะทำลายต้องแช่เนื้อไว้ในห้องเย็นแช่แข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า -10 องศาซี. เป็นเวลานาน 4 วัน หรือไม่ก็เอาเนื้อนั้นมาฉายรังสีแกมม่า หรือไม่ก็เอาเนื้อนั้นมาต้มหรือให้ความร้อนจนอุณหภูมิสูงเกิน 60 องศาซี.ขึ้นไป
   
     ดังนั้น อยู่เมืองไทย หากนิยมกินลาบดิบ ก้อย ปลาส้ม แหนม โดยไม่ทำให้สุกด้วยตัวเองก่อน อย่างไรก็เสี่ยงที่จะได้พยาธิตัวตืดแหงๆ เพราะเนื้อที่ขายในเมืองไทยนี้ ใครใคร่ขายเนื้อก็ขายกันไป ไม่มีการตรวจสอบควบคุม หากไม่ใช่เนื้อที่เตรียมส่งออกไปยังต่างประเทศที่เข้มงวดแล้ว อย่าไปหวังว่าเขาจะเอาเนื้อนั้นเข้าห้องเย็นจนครบกำหนดก่อนเอาออกมาขายให้คุณ เพราะที่นี่ประเทศไทย ใครๆก็สามารถขายเนื้อยัดตัวตืดเม็ดสาคูแบบตัวเป็นๆให้ผู้บริโภคได้

     3. ในแง่ของการตรวจคัดกรองโรคพยาธิตัวตืด การวินิจฉัยด้วยการตรวจอุจจาระมักไม่เวอร์ค เพราะผลตรวจมักเป็นลบแม้จะมีพยาธิอยู่ ทั้งนี้เนื่องจากพยาธิไม่ได้ไข่ออกมาในอุจจาระทุกวัน บางวันก็ตรวจพบ บางวันก็ตรวจไม่พบ การตรวจคัดกรองที่ดีอีกวิธีหนึ่งคือวิธีตรวจเลือดหรือตรวจน้ำไขสันหลัง (กรณีเม็ดสาคูขึ้นหัว) เพื่อดูภูมิคุ้มกันต่อพยาธิชนิดนี้ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า enzyme-linked immunoeclectrotransfer blot (EITB) ซึ่งเป็นเทคนิคที่โรงพยาบาลทั่วไปทำไม่ได้ ต้องส่งไปทำที่รพ.ขนาดใหญ่เช่น รพ.อายุรศาสตร์เขตร้อน

     4. ในแง่การป้องกันพยาธิตืดหมู (taenia solium) ซึ่งมาสู่เราได้สองรูปแบบ คือแบบที่หนึ่ง เราไปทานเนื้อหมูดิบ เช่นลาบดิบ แหนมแบบชาวเหนือ (หมูส้ม) ก็จะได้เม็ดสาคูจากเนื้อหมูดิบมาเติบโตเป็นพยาธิตัวแม่ในลำไส้ให้เราเลี้ยงไว้เป็นภาระ แบบที่สองคือเราไปกินอึของชาวบ้านคนอื่น ซึ่งปนเปื้อนมากับอาหารโดยเฉพาะผักและผลม้าสกปรกที่เราทานสดๆ หรือแม่ครัวมีพยาธิอยู่ เข้าห้องน้ำล้างตัวเองแล้วไม่ล้างมือให้ดีก่อนปรุงอาหาร เราก็จะได้ตัวอ่อนที่ชอนไชไปสิงสถิตในสมองของเราแบบที่เรียกว่าเป็นโรค neurocysicercosis ซึ่งจะมีอาการทางสมองเช่นชักไม่รู้จบรู้สิ้น ดังนั้นการป้องกันพยาธิตัวตืดหมูจึงต้องทานเนื้อหมูที่สุกแล้วเสมอ และต้องล้างผักผลไม้ที่จะทานสดๆให้สะอาดปราศจากอึของชาวบ้านทุกครั้งก่อนที่จะเอามาทาน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1.  Keiser J, Utzinger J. Efficacy of current drugs against soil-transmitted helminth infections: systematic review and meta-aounalysis. JAMA. 2008 Apr 23;299(16):1937-48.
2. Rajshekhar V; Purging the worm: management of Taenia solium taeniasis. Lancet. 2004 Mar 20;363(9413):912.
3.     Cestodes. (2007). In L. S. Garcia, J. A. Jimenez & H. Escalante (Eds.), Manual of Clinical Microbiology (9th ed., pp. 2166). Washington, D.C.: ASM Press.
4.     Craig, P., & Ito, A. (2007). Intestinal cestodes. Current Opinion in Infectious Diseases, 20(5), 524-532. doi:10.1097/QCO.0b013e3282ef579e
6.     Block, S. S. (Ed.). (2001). Disinfection, Sterilization, and Preservation (5th ed.). Philidelphia: Lippincott Williams & Wilkins.
7.     Gajadhar, A. A., Scandrett, W. B., & Forbes, L. B. (2006). Overview of food- and water-borne zoonotic parasites at the farm level. Revue Scientifique Et Technique (International Office of Epizootics), 25(2), 595-606.
8.     Krauss, H., Weber, A., Appel, M., Enders, B., Isenberg, H. D., Schiefer, H. G., Slenczka, W., von Graevenitz, A., & Zahner, H. (2003). Parasitic Zoonoses.Zoonoses: Infectious Diseases Transmissible from Animals to Humans. (3rd ed., pp. 261-403). Washington, DC.: ASM press.
9.     Fan, P. C., Ma, Y. X., Kuo, C. H., & Chung, W. C. (1998). Survival of Taenia solium cysticerci in carcasses of pigs kept at 4 C. The Journal of Parasitology, 84(1), 174-175.
10.     Deckers, N., & Dorny, P. (2010). Immunodiagnosis of Taenia solium taeniosis/cysticercosis. Trends in Parasitology, 26(3), 137-144. doi:10.1016/j.pt.2009.12.008
11.  Lateef M, Zargar SA, Khan AR, Nazir M, Shoukat A. Successful treatment of niclosamide- and praziquantel-resistant beef tapeworm infection with nitazoxanide.Int J Infect Dis. 2008 Jan;12(1):80-2. Epub 2007 Oct 24.
12. Sotelo J, Escobedo F, Penagos P. Albendazole vs praziquantel for therapy for neurocysticercosis. A controlled trial. Arch Neurol. May 1988;45(5):532-4.
By DrSant at 10:26  



[อ่านต่อ...]

20 ตุลาคม 2558

ลูกทูนหัวประกาศอยากจะฆ่าตัวตาย

(จดหมายฉบับนี้่ต่อเนื่องมาจากจดหมายฉบับก่อนเรื่อง "ลูกสาวอายุสิบห้าจะต้องไปกรุงเทบ..บ ให้ได้" ท่านที่ไม่เคยอ่านมาก่อนอาจเปิดอ่านได้จากตรงนี้
http://visitdrsant.blogspot.com/2015/10/blog-post_11.html )

อาจารย์หมอที่เคารพ
     ดิฉันได้คุยกับลูก บอกถึงเหตุผลต่างๆ ตามที่คุณหมอแนะนำ แต่เค้าก็ยังยืนกราน จะไปๆ ตอนนี้ ลูกพูดบอกว่าไม่อยากอยู่แล้ว!
     คิดอีกแง่มุมนึง มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือน ว่าลูกอาจจะหนีออกจากบ้าน ไม่อยากให้ลูกคิดแบบนี้เลย
     เหมือนที่อาจารย์ยกตัวอย่าง ให้เลือกพนักงานไปทำงานที่ค่อนข้างยาก และเราประเมินแล้วว่า ตอนนี้ลูกเรายังไม่เหมาะสมกับงานชิ้นนั้น
     เค้าคิดจะทำร้ายตัวเอง ทำร้ายแม่ โดยการหนีออกจากบ้าน.....,,,เพราะไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ลูกบอกว่า " แม่รู้มั้ย หนู อยากตายมา5ครั้งละ!
     เราก็ถาม "เพราะอะไรทำไมถึงคิดอย่างนั้น?  ลูกบอกว่า เพราะแม่ ตา-ยาย รักมากไป !
หนูขออนุญาตอะไร ก็ห้ามไปหมด เพราะกลัว หนูจะมีอันตราย!"
     ดิฉันก็บอกถึงการประเมินผลของเราเกี่ยวกับตัวเขา ลูกก็จะตอบกลับมาว่าแม่ไม่ไว้ใจหนู อย่างเรื่องระเบียบวินัย ลูกก็บอก "หนูมี แต่แม่ มองไม่เห็น" ซึ่งแม่ก็มองไม่เห็นจริงๆ
     บางเรื่องที่ลูกมาบอกมาเล่าแล้วเราไม่สามารถทำให้ได้ เรื่องเค้าได้ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศแต่แม่ไม่ให้ไป ความเป็นจริงคือที่เรียกกันว่า ทุน แต่จริงๆแล้ว เราต้องส่งค่าใช้จ่ายทุกเดือน....รู้สึกเสียใจนะคะ ที่เราไม่ความสามารถให้เค้าได้
     หรืออย่างที่เขาอยากได้โทรศัพท์ไอโฟนรุ่นใหม่  ราคาแพง เราก็บอกเค้าว่า มันแพง เกินความจำเป็น แต่ ก็ซื้อ เครื่องละ 6-7 พัน ให้เค้า แล้วเราก็บอกลูกว่า 6-7 พันนี่อาจจะเป็นเงินเดือนของใครบางคน เลยนะ แต่เค้าก็ยังไม่พอใจ

     จริงๆแล้วเค้าเป็นเด็กดีนะคะ

     อาจารย์หมอคะ  เราให้ในสิ่งที่เค้าต้องการไม่ได้ เมื่อเป็นแบบนี้ เราควร ทำยังไง คะ

...............................................

ตอบครับ (ครั้งที่ 2)

     ประเด็นสำคัญคือตอนนี้เป็นตอนที่เราจำเป็นต้องให้เธออยู่ความเป็นจริงในชีวิต ความเป็นจริงที่ว่าแม่ไม่ได้ร่ำรวยมีเงินมีทองส่งไปเรียนหรือไปฝึกงานเมืองนอก ไม่มีเงินซื้อไอโฟนรุ่นใหม่ให้ ถ้าเธอรับมือกับความเป็นจริงในชีวิตของเธอเองได้เสียแต่ตอนนี้ เมื่อถึงเวลาตาย เราก็จะตายตาหลับ ถ้าเราไปพยายามสร้างโลกเสมือนเพื่อให้เธอสุขใจแค่วันนี้แบบซื้อเวลาไปก่อน เธอจะไม่มีวันรู้ว่าการที่ต้องรับมือกับความผิดหวังด้วยตัวเองนั้นทำอย่างไร เรียกว่าเธอจะไม่มีโอกาสได้ฝึก coping skill เธอจะปรับตัวยอมรับความเป็นจริงในชีวิตไม่ได้เลยเพราะไม่เคยฝึกแล้วจะทำได้อย่างไร ทักษะจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ฝึกทำเท่านั้น เป็นอย่างนี้แล้วเราก็จึงกังวลจนตายไม่ลง

     การจะบอกลูกว่าเราไม่มีเงิน ด้านหนึ่งเหมือนจะทำให้ลูกปฏิเสธเรา หรือเกลียดเรา แต่ความจริงไม่ใช่นะ ถ้าทำให้ดี ให้เนียนๆ อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเอาลูกมาเป็นพวกกับเรา เป็นการฉวยโอกาสสร้างการเรียนรู้ทักษะการรับมือกับชีวิต เช่นสมมุติว่าลูกอยากได้ไอโฟน แม่จะต้องหาเงินพิเศษซื้อให้นะลูก ลูกต้องมาช่วยแม่ทำงานพิเศษนี้นะ แล้วเราจึงจะมีเงินซื้อไอโฟนกัน เป็นต้น บนแนวทางนี้เด็กจะได้เรียนรู้ความสุขจากการทำงาน เรียนรู้คุณค่าของเงิน และท้ายที่สุดก็อาจจะเลิกแผนจะซื้อไอโฟนด้วยตัวเธอเองด้วยซ้ำ

     การจะสร้างวินัยตนเองให้แก่เด็ก เราต้องบังคับเขาก่อน นี่มันเป็นสัจจะธรรมและเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องวางแผนทำมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ลูกยังเด็ก วิธีทำคือต้องบังคับเรื่องสำคัญแบบกฎเหล็ก แต่ชี้แจงเหตุผลประกอบอย่างนุ่มนวล และหากถึงคราวจำเป็นจะต้องกลั้นน้ำตาลงโทษลูกก็ต้องทำ เมื่อเขาถูกบังคับได้สำเร็จ ต่อไปเขาจึงจะบังคับตัวเขาเองได้ คือเราบังคับเขา เพื่อสอนให้เขาบังคับตัวเองเป็น (discipline them, so that they can discipline themselves) มันเหมือนกับการจะเอาม้าป่ามาฝึกเป็นม้าบ้าน หากไม่สร้างคอกขังมันไว้เสียก่อน ย่อมจะไม่มีทางฝึกให้มันเป็นม้าบ้านได้เลย ปัญหาทุกวันนี้คือพ่อแม่รุ่น X จำนวนมากได้เลี้ยงลูกมาแบบลูกทูนหัวโดยไม่กล้าสร้างคอกกั้นหรือบังคับใช้วินัยใดๆกับลูกเลยจนลูกโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ลูกจึงบังคับใจตัวเองไม่เป็น คือสร้าง self discipline ไม่ได้ แม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะสายมาจนถึงปานนี้แล้ว เราก็ยังต้องเริ่มต้นเสมือนหนึ่งว่าเขายังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ดี คือเริ่มกั้นคอกบังคับเขาให้ได้ก่อน ให้เขาเรียนรู้ความผิดหวังและปรับตัวกับมันให้เป็น แม้มาทำเอาตอนลูกโตย่อมจะทำยากกว่าตอนลูกยังเล็ก แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้โดยไม่มีเรา วิธีอื่นที่ง่ายกว่านี้ดูจะมีทางเดียว..คือคุณแม่หนีไปบวชเป็นชีแล้วปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรต่อจากนี้ทั้งสิ้น

     เขียนมาถึงตอนนี้ผมอยากจะถือโอกาสนี้เตือนท่านผู้อ่านท่านอื่นๆที่กำลังคิดอ่านจะเป็นพ่อแม่คน ว่าให้ชั่งน้ำหนักตัวเราเองเสียก่อนว่าเราพร้อมที่เป็นพ่อแม่คนได้จริงๆแล้วหรือยัง เราพร้อมที่จะสละเวลา อารมณ์ ความเหนื่อยยาก ฝึกสอนให้ลูกเป็นคนมีระเบียบวินัยหรือยัง ถ้าเรายังไม่พร้อมก็อย่ามีลูก ถ้าเรามีลูกด้วยเจตนาที่จะให้เขามาเป็นสีสันความบันเทิงในชีวิตของเรา โดยเราให้ความรักเป็นการแลกเปลี่ยนแบบชิวๆไม่มีการบังคับขับไสอะไรกัน ฟังดูก็น่าจะเป็นชีวิตที่ดี แต่ว่าในชีวิตจริง ไม่ใช่ จุดจบมันมักจะเป็นแบบนี้ คือเป็นแบบ..ความเกิดเป็นทุกข์

     การที่ลูกประท้วงว่าจะฆ่าตัวตายนี้เป็นสูตรสำเร็จของเด็กจักรพรรดิ์ที่ได้เรียนรู้ความความสุขของการได้เป็นอิสระชนคิดอ่านอยากได้อะไรก็ได้อย่างใจปรารถนามากขึ้นๆ แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะการรับมือกับปัญหาชีวิตที่ควบคู่มากับความอยากได้ หมายความว่าไม่เคยฝึกทักษะการรับมือกับความผิดหวังเลย พอผิดหวังก็จะยอมรับชีวิตไม่ได้ ซึ่งบางรายก็ฆ่าตัวตายให้พ่อแม่เห็นจริงๆเสียด้วย แต่การที่พ่อแม่ไปตกอกตกใจกับคำประกาศว่าจะฆ่าตัวตายก็จะยิ่งทำให้เด็กจบลงด้วยการฆ่าตัวตายแน่นอนมากขึ้น เพราะยิ่งเห็นคำเรียกร้องของเธอศักดิ์สิทธิ์ เธอก็ยิ่งจะพัฒนาตัวเองไปในทิศทางตรงข้ามกับการพัฒนาทักษะการรับมือกับปัญหาชีวิต เธอจะปรารถนาจากพ่อแม่มากขึ้นๆเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งพ่อแม่ก็ให้ไม่ได้ ณ จุดนั้นเธอก็จะฆ่าตัวตายจริงๆ เพราะเธอเองก็ไม่มีทักษะที่จะพาตัวเองออกจากตาอับตรงนั้น ยกตัวอย่างสิ่งที่เด็กขอแล้วพ่อแม่ไม่มีทางจะให้ได้ไม่ว่าพ่อแม่จะรวยแค่ไหนก็ เช่น เด็กอดอาหารแบบกินแล้วล้วงคออ๊วก กินแล้วล้วงคออ๊วก ๆจนผอมโกรก แล้วร้องขอให้พ่อแม่ช่วยเธอ พ่อแม่จะไปช่วยอะไรได้ เพราะเธอไม่ยอมกิน ใช่ไหมครับ

     คำประกาศว่าจะฆ่าตัวตาย แม้ดูเผินๆจะเป็นแค่การประท้วงเรียกร้องความสนใจ แต่ทางการแพทย์ถือว่าเป็นอาการนำของความผิดปกติทางจิตไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสสูงกว่าธรรมดาที่จะตามมาด้วยการฆ่าตัวตายจริงๆ วิธีรับมือกับคำประกาศจะฆ่าตัวตายของลูกที่เป็นเด็กจักรพรรดิ์ก็คือพ่อแม่ควรมีท่าทีที่รับฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ พยายามจะเข้าใจ แต่ไม่ตกอกตกใจ พ่อแม่ต้องรักษาจิตของตัวเองให้ปกติ ไม่ไปกระต๊ากหรือก่ออารมณ์รุนแรงซ้อนอารมณ์ที่รุนแรงอยู่แล้วของลูก แบบนั้นก็จะพากันเข้าป่าไป ให้พ่อแม่เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง ทำทุกอย่างไปด้วยความรักลูก แต่อะไรจะเกิดก็ให้ทำใจยอมรับว่าให้มันเกิด ไม่ลนลานสนองตอบในสิ่งที่เธอเรียกร้องต้องการแบบไม่มีเหตุผลซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อเธอเองในอนาคต แต่ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็ควรหันไปเสาะหาความช่วยเหลือจากมืออาชีพ เช่น จิตแพทย์ หรือพาเข้าหาธรรมะ หาพระ หาเจ้า หรือหาอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นความช่วยเหลือจากภายนอกที่พ่อแม่เห็นว่าจะพึ่งได้

      ช่วงเวลาดังกล่าวเช่นนี้เป็นเหมือนทางโค้ง มันจะเครียดอยู่ช่วงเวลาหนึ่งเท่่านั้นเอง เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไปได้แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาโอเค. ขอให้คุณมองไปทางบวก ว่าวันหนึ่งคุณก็จะผ่านทางโค้งนี้ไปได้

     ผมรักคุณนะ และเอาใจช่วยคุณครับ

    นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์

.....................................................................

จดหมายจากผู้อ่าน1
หนูก็สาวGen Y ที่ถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ อยากได้อะไรต้องได้ ไม่เคยอดทนรออะไร พ่อแม่ไม่มีเงินก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาให้หนูจนได้ ชีวิตหนูเหมือนที่อาจารย์พูดไม่มีผิดค่ะ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ใช่ เคยสอบติดมหาลัยคณะทางสายศิลป์(ทั้งๆที่ตัวเองเรียนสายวิทย์) ตอนนั้นใครห้ามก็ไม่ฟังจะเรียนให้ได้เพราะเป็นคณะดัง พอได้ไปเรียนเทอมเดียวก็ไม่ไหว บอกพ่อว่ามันไม่ใช่ ก็ขอซิ่ว ซิ่วมาเรียนที่ใหม่คราวนี้เป็นสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ ก็ยังไม่ใช่อีก ตอนนั้นคิดว่าถ้าซิ่วอีกรอบก็คงไม่ได้แล้ว พ่อแม่ก็คงไม่มีเงินส่ง เพื่อนฝูงก็จะขึ้นปี3กันแล้ว อายเพื่อนนะ ก็ทนเรียนจนจบ พอจบก็งอแงไม่ยอมทำงานเพราะไม่ชอบ มันไม่ใช่ ก็ขอไปทำงานอื่นที่ไม่เกี่ยวกับที่เรียนมาคือตัวแทนขายเครื่องมือแพทย์ พอไปทำได้สักพักก็ไม่ใช่อีก ก็ดิ้นรนไปเรียนต่อโทบริหาร จนสอบติดได้เรียนที่ดังๆ เรียนได้เทอมเดียวก็บอกว่ามันไม่ใช่ มันไม่ไหว ก็เปลี่ยนใจไปเป็นครูสอนหนังสือเพราะชอบสอน เหมือนจะไปได้ด้วยดีเพราะชอบเด็กและสนุกกับการสอน แต่รายได้ก็ไม่พอใช้จ่าย จนสุดท้ายก็ต้องกลับไปทำวิชาชีพที่ตัวเองจบมา ทำได้สักพักจึงตัดสินใจมาสอบเรียนแพทย์เป็นปริญญาตรีใบที่2 ตอนนี้ใกล้จะเรียนจบแพทย์แล้วค่ะ แต่มองดูชีวิตเพื่อนๆเค้าแต่งงานมีครอบครัว มีลูก ได้เลี้ยงลูก ดูแลสามี ได้ทำงานที่ตัวเองรักแบบพอเพียง หนูเห็นแล้วรู้สึกอิจฉามากค่ะ ย้อนมองดูตัวเองว่าที่ผ่านมาทำไมเราถึงเสียเวลากับเรื่องไร้สาระแบบนั้นได้ตั้งหลายปี เพื่อนๆอิจฉาหนูเพราะชีวิตหนูเหมือนจะดีกว่าตรงที่กำลังจะได้เป็นหมอแต่เพื่อนยังทำวิชาชีพเดิมที่จบมา แต่ในใจหนูรู้สึกอิจฉาเพื่อนมากกว่า หนูเหมือนกับมาแก้ไขอดีตและนับ1ใหม่ ในขณะที่เพื่อนเค้าไปกันไกลแล้วค่ะ ถ้าย้อนเวลาได้หนูคงเลือกที่จะอยู่กับสิ่งที่มีให้มีความสุขมากกว่าค่ะ ชีวิตหนูมีดีอย่างเดียวคือเรียนค่อยข้างดี ไม่เกเร ไม่เที่ยว ไม่ข้องเกี่ยวกับยาเสพติด นอกนั้นคือไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง เงินเก็บไม่มี บ้านไม่มี รถไม่มี และยังต้องพึ่งพาคนอื่นให้ส่งเรียนอยู่จนกระทั่งตอนนี้ค่ะ ตอนนี้ก็คิดว่า น่าจะใช่แล้วกับกานเป็นหมอ แต่ในใจก็อยากแต่งงานมีครอบครัว เลี้ยงลูก ดูแลสามี และทำงานที่ไม่เหนื่อยจนเกินไปมากกว่าค่ะ ....... รอเรียนจบแล้ว ไม่รู้ความติดหนูจะเปลี่ยนอีกมั้ย (ตอนนี้มีแฟน คบมา5ปี แฟนก็ตามใจอีกแล้วค่ะ หนูกลัวใจตัวเองเหลือเกินค่ะอาจารย์)

อ่านที่อาจารย์ตอบคำถามคุณแม่น้องจักรพรรดิ์แล้ว รับรู้ได้เลยว่าอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ที่มีความเมตตาสูงมาก หนูรู้สึกอิจฉาคนใกล้ตัวอาจารย์มากๆค่ะ ถ้าได้อยู่ใกล้ๆและได้พูดคุยกับอาจารย์คงได้มุมมองดีๆ และพลังดีๆด้านบวกมาจากตัวอาจารย์อีกเยอะเลยค่ะ
............................................


[อ่านต่อ...]

17 ตุลาคม 2558

จากทันตแพทย์ผู้ขี้กังวลและวิตกจริต

กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ

            หนูมีอาชีพเป็นทันตแพทย์ค่ะ หนูจบทันตแพทย์มาเจ็ดปีแล้วค่ะ เรียนต่อเฉพาะทางแล้ว ตอนเรียนผลการเรียนอยู่ในระดับเกียรตินิยม ตอนทำงานหนูคิดว่าทำได้ค่อนข้างดี เนื่องจากนอกจากปฏิบัติหน้าที่รักษาผู้ป่วยแล้วยังเป็นที่ไว้วางใจให้รับหน้าที่สำคัญต่างๆของโรงพยาบาลอยู่เสมอ
             หนูรักอาชีพนี้มากนะคะอาจารย์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ที่มักรบกวนจิตใจคือ  หนูเป็นคนช่างวิตกกังวลค่ะ หนูมักกังวลเกี่ยวกับเรื่องงานค่ะ ชีวิตหนูไม่กังวลเรื่องอื่นใดนอกจาก ตอนเด็กๆกังวลเรื่องการเรียน การสอบ ตอนโตกังวลเรื่องงาน กังวลแล้วชอบนำมาคิดซ้ำซาก เกือบทุกวันจะต้องนำเคสที่ทำกลับมาคิด ทั้งๆที่ตอนทำได้ใช้ความรู้ความสามารถและตั้งใจอย่างเต็มที่แล้ว แต่จะต้องกลับมาคิดซ้ำ กลัวว่าจะทำไม่ดี กลัวผลการรักษาไม่เป็นที่น่าพอใจ กลัวผู้ป่วยไม่พึงพอใจ บางครั้งกังวลเป็นหลายสัปดาห์ บางเคสที่ต้องติดตามผลนานหลายเดือนก็กังวลเป็นเดือน หนูรู้สึกว่าความกังวลของหนูส่งผลต่อคนในครอบครัวด้วยค่ะเพราะพวกเขารับรู้ได้ว่าหนูมีความวิตกกังวล
             นอกจากนั้นหนูยังกลัวติดเชื้อโรค ซึ่งอันนี้หนูเป็นบ่อยมากและรบกวนจิตใจอย่างมากค่ะ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสามสัปดาห์ที่แล้วหนูถอนฟันผู้ป่วย ถอนเสร็จพบว่าถุงมือขาด เลือดเปื้อนปลายนิ้วหัวแม่มือ แต่บริเวณที่เปื้อนเลือดไม่มีแผล  ตอนนั้นก็รีบล้างมือ แต่หลังจากนั้นก็กลับมากังวลอีก ว่า เอ๊ะ ! ตอนนั้นจมูกเล็บมีแผลไหมนะ มานั่งพิจารณาจมูกเล็บตนเองทุกๆนิ้ว เหมือนคนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ พอล้างมือทีไรก็นึกถึงแต่เหตุการณ์นั้นและจะจ้องเพ่งพินิจพิจารณาแต่นิ้วและจมูกเล็บอยู่ทุกครั้งไป เป็นอยู่นานหลายสัปดาห์แม้กระทั่งในขณะนี้ ทั้งๆที่ทราบว่าไม่ควรจะกังวล เพราะถึงจมูกเล็บมีแผล ความเสี่ยงก็ต่ำมากๆ  สรุปคือกังวลจนความรู้ที่เรียนมา มันก็ยังไม่สามารถทำให้คลายกังวลได้เลย... หนูรู้สึกควบคุมความคิดตัวเองไม่ให้กังวลได้ยากค่ะ
              หนูรู้ตัวว่าถ้าปล่อยเป็นแบบนี้หนูมีโอกาสเป็น Obsessive - Compulsive  Disorder ค่ะ( หรือตอนนี้หนูกำลังเป็นอยู่คะอาจารย์) หนูจึงพยายามบำบัดด้วยการใช้ธรรมะ และพฤติกรรมบำบัดโดยศึกษาและปฏิบัติเองค่ะ หนูรู้สึกเป็นทุกข์เพราะความกังวลนี้บั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ของหนู หนูเคยถึงขนาดคิดว่า...หรือหนูจะไม่เหมาะกับอาชีพนี้ ทั้งๆที่หนูก็รักอาชีพนี้มากจริงๆ
              อาจารย์พอจะมีข้อคิดหรือคำแนะนำไหมคะ หนูไม่อยากกังวลไปทั้งชีวิตการทำงานค่ะ หนูอยากทำงานอย่างมีความสุข ใช้ความรู้ความสามารถรักษาผู้ป่วยอย่างเต็มที่ค่ะ

ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

..............................................................

ตอบครับ

     ถามว่าแบบนี้หนูมีโอกาสเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive - Compulsive  Disorder – OSD) ไหม ตอบว่าโรคทางจิตเวชวินิจฉัยกันตามนิยามหรือ criteria ไม่มีแล็บหรือเอ็กซเรย์ให้ตรวจยืนยัน หากวิเคราะห์ตามนิยาม โรคนี้มีองค์ประกอบสองอย่าง คือ
     1. การย้ำคิด (obsession) ซึ่งนิยามว่าคือความคิดหรือความอยากที่โผล่ขึ้นมาซ้ำๆแม้จะไม่ต้องการคิด จนเป็นเหตุให้วิตกกังวล และ
     2. การย้ำทำ (compulsion) ซึ่งนิยามว่าคือพฤติกรรมซ้ำซากที่ทำลงไปเพราะฝืนแรงขับดันหรือกระตุ้นจากการย้ำคิดไม่ไหว ที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานมากกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อวัน ทำให้เครียด และมีผลเสียต่อการสังคม หรือต่องานอาชีพ

     ในกรณีของคุณนี้ หากวินิจฉัยตามเกณฑ์นี้ คุณก็เป็นโรคนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

     นอกจากนี้ ตามมาตรฐานการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชฉบับใหม่ (DSM-V) ในการวินิจฉัยโรคนี้เขายังต้องบอกดีกรีของความบ้าห้อยท้ายคำวินิจฉัยไว้ด้วย ซึ่งแบ่งดีกรีห้อยท้ายเป็นสามดีกรีคือ
     (1) บ้าแน่นอน (with absent insight) หมายความว่าเชื่อสนิทว่าสิ่งที่ตัวเองย้ำคิดย้ำทำอยู่นั้นเป็นความจริง หรือ
     (2) ท่าจะบ้า (with poor insight) หมายความว่า มีความเชื่ออยู่บ้างเหมือนกันว่าสิ่งที่ตัวเองย้ำคิดย้ำทำเนี่ยน่าจะเป็นความจริง
     (3) ใกล้บ้า (with good insight) หมายความว่ารู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งที่ตัวเองย้ำคิดย้ำทำอยู่เนี่ยมันไม่เป็นความจริง แต่มันก็ห้ามใจไม่ให้คิดห้ามมือไม่ให้ทำไม่ได้

     ในกรณีของคุณ คุณยังสามารถเอาหลักฐานที่เรียนมาแล้วมาเปรียบเทียบและวินิจฉัยได้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง ผมจึงวินิจฉัยว่าคุณมีดีกรีห้อยท้ายในระดับ “ใกล้บ้า” เท่านั้น ยังไม่ได้เป็นบ้าจริงๆ

     2.. ถามว่าเป็นโรคนี้แล้วควรจะรักษากันอย่างไรต่อไป คำแนะนำก็คือต้องไปหาจิตแพทย์ ที่ผมแนะนำอย่างนี้เพราะผมสงสารจิตแพทย์ อยากจะให้เขาเห็นคนไข้ตอนที่ยังอยู่ในระยะใกล้บ้าอย่างคุณนี้มากกว่าที่จะได้เห็นแต่คนไข้ที่บ้าสนิทแน่นอนแล้ว เพราะถ้าเขาเห็นแต่คนไข้แบบบ้าสนิทวันแล้ววันเล่า สักวันหนึ่งตัวจิตแพทย์เองก็คงไม่แคล้ว หึ..หึ

     3. ถามว่าถ้าไปหาจิตแพทย์เขาจะรักษาคุณอย่างไร ตอบว่าผมพนันร้อยเอาขี้หมาก้อนเดียวว่าหมอท่านจะให้คุณกินยาต้านซึมเศร้า (SSRI) ควบกับการทำจิตบำบัดพฤติกรรมบำบัด (CBT) ซึ่งเป็นมาตรฐานการรักษาโรคนี้

     ในแง่ของการทำพฤติกรรมบำบัด วิธียอดนิยมสำหรับโรคนี้คือวิธี ERP ย่อมาจาก expose and response prevention แปลว่าการให้เจอของที่กลัวแล้วให้จงใจห้ามตัวเองไม่ให้ทำกิจใดๆเพื่อลดความกลัวนั้น เช่นพูดถึงเชื้อโรคที่อาจจะติดจมูกเล็บให้เกิดความกลัวแล้วอยากไปล้างมือ แต่ให้ห้ามใจตัวเองไม่ให้ไปล้างมือให้ได้ เป็นต้น

     ในแง่ของการกินยา ต้องกินนาน 6-12 สัปดาห์จึงจะสรุปได้ว่ายามันเวิร์คหรือไม่ โอกาสที่ยาจะเวิร์คมีเพียง 30-50% พูดง่ายๆว่าโรค OCD นี้รักษาให้หายด้วยยายากกว่าโรคซึมเศร้าเสียอีก ถามว่า อ้าว.. ถ้าใช้ยาแล้วไม่หายจะทำไงดีงะ ตอบว่าก็ต้องตะบันใช้ยากันต่อไป ยาแถวแรกไม่ได้ผลก็ลงไปใช้ยาแถวสอง ยาแถวสองไม่ได้ผลก็ลงไปใช้ยาแถวสาม ถ้าทำยังไงก็ไม่ได้ผลก็จับผ่าตัดสมองซะเลย หิ หิ พูดเล่น เอ๊ย ไม่ใช่ พูดจริง มีหมอพันธุ์ห้าวอยู่จำนวนหนึ่งชอบทำผ่าตัดสมองคนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ และแม้ในพ.ศ.นี้แล้ววิธีผ่าตัดก็ยังถือเป็นวิธีรักษามาตรฐานสำหรับโรคนี้อยู่ แม้ว่ามันจะได้ผลน้อยมาก อย่างเช่นวิธีผ่าตัดที่ถือว่าเจ๋งสุดเรียกว่าวิธี cingulotomy ได้ผลแค่ 28% เท่านั้นเอง หมอที่ห้าวน้อยหน่อยก็ใช้คลื่นแม่เหล็กยิงทะลุหัว (transcranial magnetic stimulation) ทำแล้วไม่รู้ว่าได้ผลหรือเปล่า เพราะถือเป็นวิธีรักษาที่อยู่ในระหว่างการวิจัย

     3.. ถามว่าโรคของคุณนี้มันซีเรียสมากไหม ตอบว่าคนที่ย้ำคิดย้ำทำระดับใกล้บ้าแบบคุณนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก คือมีความชุกถึงประมาณ 4% ของประชากรทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เดินไปเดินมาอยู่ในโรงพยาบาลนี้เผลอๆจะมีมากกว่าที่เดินกันอยู่ในตลาดเสียอีก ในหมู่พวกเราซึ่งเป็นหมอและคนทำงานในโรงพยาบาล ที่เห็นล้างมือบ่อยจนมือบางหรือใส่หน้ากากป้องกันตัวเองตลอดชีพจนไม่มีใครเคยเห็นจมูกเธอเลยนั้นถือว่าเป็นขั้นประถม แต่บางคนเป็นมากจนถึงขั้นต้องเลิกอาชีพไปอย่างน่าเสียดายเพราะทนความกลัวเชื้อโรคไม่ไหว ดังนั้นขอให้คุณเข้าใจว่าโรคที่คุณเป็นนี้มันเป็นโรค ธรรมด๊า ธรรมดาอย่างหนึ่งในบรรดาความบ้าห้าร้อยจำพวก คุณจึงไม่ควรซีเรียสกับมันมากเกินไป

     4.. ถามว่านอกจากแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์แล้ว ในแง่ของการดูแลตัวเองหมอสันต์มีคำนำอะไรบ้าง ตอบว่าในมุมมองของผม ความย้ำคิด (obsession) ก็เหมือนการก่อตัวของความคิดทั่วๆไปนั่นแหละ คือมันตั้งต้นจากความจำของเราเองโผล่ขึ้นมาก่อตัวขึ้นเป็นความคิด (thought formation) ถ้าเราใจเย็นพอและสังเกตให้ดี ยังไม่ทันคล้อยหลังความคิดเลย ก็จะมีแรงขับ (drive) หรือความอยาก (impulse) ที่เกี่ยวข้องกับความคิดนั้นตามแนบชิดติดกันมาแบบผีกับโลง

     เช่นพอความทรงจำเรื่องเลือดหกใส่จมูกเล็บโผล่ขึ้นมาเป็นความคิด แรงขับให้ไปล้างมือก็จะแนบติดตามกันมาเลย พอความคิดมาแบบ “ย้ำคิด” คือแบบเบิ้ล เบิ้ล เบิ้ล แรงขับหรือความอยากก็ตามแนบชิดมาแบบเบิ้ล เบิ้ล เบิ้ล จนคุณทนไม่ได้ต้องลุกไปล้างมือ

     วิธีของผมไม่เหมือนกับพฤติกรรมบำบัดแบบ ERP นะ คือแทนที่จะแหย่ให้ความคิดเกิดขึ้น ให้ความอยากทำเกิดขึ้น แล้วไปหัดหักห้ามใจไม่ให้ไปทำ ของผมไม่แนะนำอย่างนั้น

      แต่ผมแนะนำให้ทำแบบนี้ คือแนะนำให้คุณฝึกสติและสมาธิก่อน พอคุณฝึกได้ระดับหนึ่งแล้ว คราวนี้ให้คุณฝึกใช้สติเฝ้าดูความคิด ไม่ต้องไปสนใจแรงขับหรือความอยากทำ ให้สนใจที่ความคิด เมื่อมันมีความคิดก่อตัวขึ้น ให้ตั้งสติดู ดูเฉยๆ แบบว่าพอความคิดเรื่องเลือดหกใส่จมูกเล็บกลับโผล่ขึ้นมาอีก คุณก็ต้องรีบบอกว่า อ้อ หนังเรื่องเลือดหกใส่จมูกเล็บกลับมาฉายอีกแล้วเหรอ เดี๋ยวนะ เดี๋ยวนะ อย่าเพิ่งไปไหน ขอทำความรู้จักกันก่อน ขอมองดูหน้าตาให้ชัดๆหน่อย คือให้คุณทำตัวเป็นคนนอกอีกคนหนึ่ง มาจ้องมองความคิดของคุณเอง จ้องมองเฉยๆนะ อย่าไปผสมโรงคิดต่อยอด มองอย่างมีสติ มองโดยเอาเจ้าตัวความคิดนั้นเป็นจุดให้คุณจดจ่อสมาธิ มองอย่างนี้แล้วคุณจะค่อยๆเห็นเจ้าความย้ำคิดนั้นค่อยๆฝ่อหายไป แล้วถ้าคุณนิ่งๆ ตั้งใจสังเกตให้ดีๆ คุณจะเห็นว่าเจ้าแรงขับหรือความอยากที่กดดันให้คุณลุกไปล้างมือมันก็จะค่อยๆฝ่อหายตามลูกพี่ไปด้วย โดยที่คุณไม่ต้องไปวุ่นวายหักห้ามจิตใจ หรือเอาก้นนั่งทับมือไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองล้างมือเลย

     สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นโรค OCD ก็เอาเทคนิคของผมนี้ไปใช้ได้นะครับ เพราะกลไกที่ความคิดมาก่อนโดยหนีบเอาความอยากหรือแรงขับซ่อนมาข้างหลังนี้ มันเป็นกับทุกๆคน ถ้าเราจับไต๋มันได้ คือเฝ้าดูความคิดซึ่งเป็นตัวพี่ให้หมอบ ความอยากซึ่งเป็นตัวน้องมันก็จะหง๋อยจ๋อยแด่วไปเอง โดยที่เราไม่ต้องไปเปลืองแรงรบกับความอยากเลย

     วิธีของผมนี้มันจะได้ผลถ้าคุณมีสติสมาธิที่แข็งแรงระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นผมขอใช้เวลาคุยกับคุณถึงภาพใหญ่ว่าทำอย่างไรจึงจะมีสติที่แข็งแรงก่อนนะ คือผมแนะนำให้ทำเป็นขั้นตอน รวมทั้งหมด 11 ขั้นตอนดังนี้ ผมเรียกมันว่า MBT ย่อมาจาก mindfulness based treatment เพื่อไม่ให้ตรงกับคำว่า MBSR ซึ่งมาจาก mindfulness based stress reduction เพราะมันไม่เหมือน MBSR เสียทีเดียว ทั้ง 11 ขั้นตอนมีดังนี้

     ขั้นที่ 1. การมีวินัยต่อตนเอง (self discipline) ในขั้นนี้คือการตั้งกฎประจำตัวในเรื่องสำคัญไม่กี่เรื่องขึ้นมาบังคับใช้กับตนเองอย่างจริงจัง อย่างน้อยต้องมีวินัยพื้นฐานในสามเรื่อง คือ

(1) ต้องแปรงฟันทุกเช้า
(2) ต้องจัดเวลาออกกำลังกายทุกวัน
(3) ต้องจัดเวลาเฉพาะเพื่อการฝึกสติอย่างเป็นกิจจะลักษณะวันละ 20-30 นาที ทุกวัน

บางคนก็อาจจะสร้างวินัยตนเองในเรื่องอื่นๆบางเรื่องเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของตนเอง วินัยตนเองจะเป็นรั้วที่แข็งแรงไม่ให้ความคิดเตลิด เหมือนคอกม้าที่กั้นม้าป่าไม่ให้วิ่งเตลิดขณะเริ่มการฝึก คนที่ได้รับการฝึกสอนวินัยตนเองมาตั้งแต่เด็กก็ย่อมจะได้เปรียบมากในขั้นตอนนี้ คนที่ไม่สามารถทำขั้นตอนนี้ได้สำเร็จ เช่นตื่นมาฟันฟางไม่แปรง ชุดนอนไม่เปลี่ยน เวลากินลืมกิน เวลานอนลืมนอน โอกาสที่จะข้ามไปฝึกสติขั้นตอนอื่นๆได้สำเร็จนั้น..ไม่มีเลย

     ขั้นที่ 2. การมีวินัยสังคม (social discipline) เช่นการแต่งกายสะอาด วาจาสุภาพ แสดงความเห็นใจผู้อื่นตามโอกาส ยิ้มในเวลาที่ควรยิ้ม เป็นต้น
คุณค่าของวินัยสังคมก็คล้ายกับวินัยตนเอง คือเป็นคอกขังความคิดไม่ให้เตลิดเมื่อเราเข้าสังคม ไม่ไปทะเลาะทำร้ายชาวบ้าน ไม่ไปทำผิดกฎหมาย เพราะถ้าชีวิตไปเสียเวลากับเรื่องแบบนั้น การจะฝึกสติได้สำเร็จนั้นลืมไปได้เลย

     ขั้นที่ 3. การเป็นผู้พยายามมีสติอยู่กับการหายใจ (breathing) คือค่อยๆหัดตามรู้การหายใจของตัวเองอยู่เสมอ อย่างน้อยเมื่อคิดขึ้นได้เมื่อไหร่ก็ต้องรีบตั้งสติดูว่า ณ ขณะนั้นตัวเองกำลังหายใจเข้า หรือกำลังหายใจออก เมื่อใดที่ว่างจากที่ต้องรับรู้สนใจเรื่องอื่นใดก็ต้องรีบกลับมาสนใจหรือมาอยู่กับลมหายใจของตัวเองทันที

     ขั้นที่ 4. การเป็นผู้มีสติอยู่กับท่วงท่าของร่างกาย (posture) และการเคลื่อนไหวของตัวเองอยู่เสมอ คือเมื่อคิดขึ้นได้เมื่อใดก็ต้องตั้งร่างกายให้ตรงขึ้นเสมอ เงยหน้าขึ้น ยืดหน้าอกขึ้น แขม่วพุงเล็กน้อยให้ตัวตรง หรือปรับให้ตรงทุกครั้งที่รู้ตัว ทุกครั้งที่ขยับเคลื่อนไหว หรือไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหน ยืน เดิน นั่ง นอน หรือทำกิจต่างๆ ก็ต้องมีสติกำกับ รู้ตัวอยู่ตลอดว่าตัวเรากำลังยืน กำลังเดิน กำลังนั่ง กำลังนอน

     ในการเดินก็ต้องตั้งกายให้ตรง ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างมีสติ ลงส้นเท้าอย่างมีสติ และผสานจังหวะการหายใจให้เข้ากับการเดิน เท่ากับว่าต้องรู้ทั้งว่ากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก และต้องรู้ทั้งว่ากำลังอยู่ในจังหวะไหนของการเดิน กำลังก้าวหรือกำลังวางขาไหน

     ขั้นที่ 5. การอยู่กับอายาตนะ (sensation) เป็นการฝึกตนเองให้รับรู้ข้อมูลจากอายาตนะของร่างกาย (ตา หู จมูก ลิ้น ผิวหนัง) อยู่เนืองๆ หมายความว่าพอคิดขึ้นได้ก็ตรวจสอบหรือลาดตระเวณไปตามอายาตนะของร่างกายอันได้แก่ตาหูจมูกลิ้นผิวหนัง ว่า ณ ขณะนี้เราเห็นอะไรบ้าง ได้ยินอะไรบ้าง ได้กลิ่นอะไรบ้าง รับรู้รสอะไรบ้าง มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นตามตัวบ้างเช่น เย็น ร้อน ปวด เมื่อย เป็นต้น รับรู้ข้อมูลเท่านั้นนะ รับรู้แล้วเฉยๆ ไม่ต้องไปคิดตีความต่อยอดหรือวิพากษ์วิจารณ์หรือตีความหมาย รับรู้เหมือนกับว่าเราเป็นอีกคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหลังสังเกตร่างกายของเราเอง รับรู้ราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเรานี้มันไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเรา

     ขั้นที่ 6. การเป็นผู้กินอย่างมีสติ (mindful eating) คือกินโดยมีสติอยู่ที่อาหาร อยู่ที่การรับรู้รสที่ลิ้น การรับรู้กลิ่นอาหารที่จมูก อยู่ที่การเคี้ยว อยู่ที่การกลืน รับรู้เฉยๆนะ ไม่ต้องไปใส่สีตีไข่หรือพิพากษาว่าชอบหรือไม่ชอบอาหาร

     การกินอย่างมีสตินี้หมายถึงการเลือกกินสิ่งที่จะทำให้สุขภาพกายดีด้วย กินเพื่อบำบัดความหิว ไม่ใช่กินเพื่อสนองความเอร็ดอร่อยโดยไม่คำนึงถึงผลเสียต่อร่างกาย

     การกินอย่างมีสตินี้หมายความรวมถึงกินแค่พอประมาณด้วย คือสมมุติว่าถ้าจะกินให้อิ่มต้องกิน 100% หากจะกินอย่างมีสติก็คือกินไปสัก 80% ของที่จะอิ่มก็หยุดกินได้ ที่เหลืออีก 20% ไม่ต้องใส่เข้าไป เดี๋ยวมันก็จะอิ่มเอง ถ้าใส่เข้าไป 100% จะกลายเป็นว่ากินแล้วอิ่มเสียจนแน่นอึดอัด กลายเป็นว่าไม่ใช่แค่บำบัดความหิวแล้ว แต่เป็นการสร้างความทรมานแบบใหม่คือความแน่นอึดอัดให้ตนเองขึ้นมาอีกต่างหาก

     ขั้นที่ 7. การฝึกหยุดดูปัจจุบัน (STOP) แม้ได้ฝึกปฏิบัติวินัยตนเอง วินัยสังคม การตามรู้การหายใจ การตามรู้ท่าร่าง การรับรู้อายาตนะของร่างกาย และการกินอย่างมีสติแล้ว เราก็ยังพบว่าบางช่วงบางเวลาของวัน ชีวิตของเราได้ดำเนินไปโดยไม่ได้มีสติกำกับเลย คือเป็นการเผลอยาว ในขั้นนี้จึงเป็นการฝึกหยุดดูปัจจุบัน หมายความว่า เช่น ตั้งนาฬิกาให้หยุดดูปัจจุบันทุกหนึ่งชั่วโมง หรือทุกสองชั่วโมง หรือกำหนดเวลาที่จะต้องหยุดดูปัจจุบันไว้ล่วงหน้าเลย เช่นหยุดทุกครั้งที่เปลี่ยนงานอย่างหนึ่งไปทำงานอีกอย่างหนึ่ง หรือหยุดทุกครั้งที่เปลี่ยนสถานที่แห่งหนึ่งไปอยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เป็นต้น

     เมื่อถึงเวลาหยุดดูปัจจุบัน ให้เราไล่เช็คลิสต์ไปตามอักษรของคำว่า STOP กล่าวคือ

S = หยุดตั้งหลัก
T = take breath ดูลมหายใจ
O = observe ดูความคิด ความรู้สึก และร่างกาย
P = Proceed เดินหน้าชีวิตในขณะต่อไปอย่างมีสติ

     ขั้นที่ 8. ฝึกรับมือกับความคิดด้วยเทคนิค RAIN เรน ที่แปลว่าฝนตกนั่นแหละ เขาตั้งให้เป็นชื่อของเทคนิคนี้ คือแม้เราจะตั้งนาฬิกาหยุดดูปัจจุบันเป็นช่วงๆแล้ว เราก็ยังพบว่าในระหว่างที่ไม่มีนาฬิกาสั่งให้หยุดดูปัจจุบันนั้น ใจเราเกิดความคิดสารพัดขึ้น หรือใจลอยโดยที่เราแทบจะไม่รู้ตัวเลย กว่าจะมารู้ตัวก็เมื่อปวดหัวได้ที่แล้ว หรือเครียดได้ที่แล้ว หรือโกรธได้ที่แล้ว เมื่อใดที่รู้ตัวว่ามีความคิดหรือความรู้สึกอะไรแรงๆเกิดขึ้นมา เมื่อนั้นเป็นเวลาที่จะใช้เทคนิคเรน เทคนิคนี้เขาเอาคำว่า RAIN มาอักษรเป็นหัวข้อที่ต้องทำตามลำดับสี่ข้อ คือ

     R หมายถึง recognize แปลว่าจำให้ได้ก่อนว่าความคิดนั้นคืออะไร รู้ซะก่อนว่าเขาเป็นใคร หมายความทวนความจำให้ได้ก่อนว่าเมื่อตะกี้นี้เกิดอะไรขึ้น อ้อ เกิดความโกรธขึ้น หรืออ้อ เกิดความกลัวขึ้น หรืออ้อ เกิดความคิดฟุ้งสร้านเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้น
เนื่องจากความคิดเจ้าปัญหาที่เกิดขึ้นในสมองเรานี้มันมักเป็นหน้าเก่าๆ วิธีที่จะทำให้จำมันได้ง่ายๆก็คือการตั้งชื่อตีทะเบียนความคิดที่มาบ่อยไว้เสียให้หมด เช่นสมมุติว่าเราชอบคิดใจลอยเพ้อฝันว่าถ้าตัวเองเป็นมหาเศรษฐีจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ตั้งชื่อความคิดแบบนี้ว่าเจ้าความคิดเศรษฐีปลอม พอมันมา เราก็ อ้อ เจ้าเศรษฐีปลอมมาอีกละ

     A หมายถึง allow แปลว่าอนุญาต หรือปล่อยให้ความคิดหรือความรู้สึกมันมาได้ ไม่ต้องไปขับไล่ ไม่ต้องไประงับ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องไปผสมโรงคิดต่อยอด ไม่ต้องไปวิเคราะห์สาเหตุว่าทำไมความคิดแบบนี้จึงเกิดขึ้นมาได้ ทำเพียงแค่รับรู้ว่ามันเกิดขึ้นหรือมันมาแล้วเฉยๆก็พอ

     I หมายถึง investigate แปลว่าสำรวจ คือสำรวจดูความคิดหรือความรู้สึกนั้น อ้อ กำลังโกรธอยู่หรือ เดี๋ยวนะ เดี๋ยวนะ เจ้าความโกรธจ๋า อย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่คุยกันก่อน ขอทำความรู้จักกันหน่อย แล้วเราก็เฝ้ามองความโกรธนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ในการสำรวจดูความคิดหรือความรู้สึกนี้ เราทำตัวเหมือนเป็นคนอื่นอีกคนหนึ่งมายืนข้างหลังเรา มองความคิดหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นแบบ “ผู้ชม” โดยไม่ใส่อารมณ์หรือใส่สีตีไข่ต่อยอดบนความคิดนั้น เอาแค่เฝ้าดูมัน จนมันฝ่อหายไปเอง ธรรมชาติของความคิดหรือความรู้สึกเมื่อถูกสติเฝ้าดู มันจะฝ่อหายไปเอง

     N หมายถึง non-self แปลว่าไม่ใส่ตัวตน เมื่อเราสังเกตความคิดหรือความรู้สึก เราอย่าใส่อีโก้ หรือตัวตน หรือองค์ ของเราเข้าไปผสมโรง เป็นการสังเกตรับรู้แบบรู้แล้วเฉย รู้แล้ววางเฉย

     ขั้นที่ 9. การฝึกออกกำลังกายแบบมีสติประกอบการเคลื่อนไหว (mindful movement) วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปฝึกโยคะ หรือฝึกมวยจีน (tai chi) โดยในขณะที่ทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้ ต้องเคลื่อนไหวมือ เท้า แขน ขา และทุกส่วนของร่างกายอย่างมีสติ และเคลื่อนไหวให้เข้ากับจังหวะการหายใจ ในกรณีที่เป็นการฝึกแบบมีดนตรีประกอบด้วย ก็เคลื่อนไหวให้เข้ากับเสียงดนตรี จดจ่ออยู่ที่การเคลื่อนไหว การหายใจ และเสียงดนตรี จนไม่มีช่องให้เกิดความคิดฟุ้งสร้านใจลอยแทรกเข้ามาได้เลยตั้งแต่ต้นเริ่มจนจบการออกกำลังกาย หลักอันนี้เอาไปขยายผลใช้กับการออกกำลังกายทั่วไปได้ด้วย เช่นการว่ายน้ำ การเดินเร็ว การวิ่งจ๊อกกิ้ง ใช้ได้หมด

     ขั้นที่ 10. การฝึกนั่งสมาธิตามดูลมหายใจ (breathing meditation) ในขั้นนี้เป็นการจัดเวลาเป็นการเฉพาะวันละประมาณ 20-60 นาที เพื่อนั่งทำสมาธิตามดูลมหายใจ ซึ่งมีเทคนิค 16 เทคนิค ผมเคยเขียนเล่าถึงเทคนิคทั้ง 16 เทคนิคนี้ไว้บทความชื่อ MBSR คุณหาอ่านดูได้

     ขั้นที่ 11. การฝึกรับรู้ความเจ็บปวด (dealing with pain) เมื่อได้ฝึกนั่งสมาธิตามดูลมหายใจจนจิตเป็นสมาธิดีระดับหนึ่งแล้ว ก็ใช้จิตที่ฝึกจนมีสมาธิดีแล้ว ค่อยๆเข้าไปรับรู้ความเจ็บปวดของร่างกายแบบรับรู้เฉยๆไม่ปฏิเสธผลักไส จนเข้าไปอยู่กลางความเจ็บปวดได้โดยไม่มีความรู้สึกทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดนี้อาจเป็นความเจ็บปวดที่เราจงใจสร้างขึ้นมาโดยการแกล้งนั่งอยู่ในท่าเดิมเช่นนั่งขัดสมาธินานๆ หรืออาจเป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ ขอให้เป็นความเจ็บปวดเถอะ สามารถใช้เป็นสื่อฝึกเรียนการรับรู้ความเจ็บปวดได้เหมือนกันหมด

     เมื่อฝึกจนรับรู้ความเจ็บปวดแบบรับรู้แล้วเฉยๆได้ กล่าวคือรู้ว่าปวดแต่ไม่ก่อความรู้สึกทุกข์ทรมาน ไม่หนี ไม่สู้ ได้แต่ดูเฉยๆ การรับมือกับอาการป่วยทางร่างกายและจิตใจทุกชนิดก็เป็นเรื่องง่ายดายและไม่น่ากลัวแต่อย่างใด ณ จุดนี้ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของการฝึกสติเพื่อรักษาโรคของคุณแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

......................................................

จดหมายจากท่านผู้อ่าน (2)

กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ

หนูได้พยายามฝึกปฏิบัติตามเทคนิค MBT ( Mindfulness - based treatment ) ที่อาจารย์แนะนำค่ะ พบว่ายังปฏิบัติได้บ้างไม่ได้บ้าง บางวันทำไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (เป้าหมาย คือ ต้องฝึกสติอย่างน้อยวันละ 10 นาที)  ทำดีบ้างบกพร่องบ้าง (ปัจจุบันก็ยังมีเรื่องให้กังวลอยู่ ซึ่งตอนนี้ความกังวลของหนูเป็นซีรีย์หลายตอนเรื่อง... กลัวติดเชื้อโรค)  แต่ก็จะพยายามปฏิบัติต่อไปให้ดียิ่งขึ้นในทุกๆวันค่ะ

หนูได้พยายามใช้เทคนิค RAIN ( Recognize/ Allow/ Investigate /Non- self ) เพื่อเฝ้าดูจิตค่ะ แต่หนูสงสัยว่า investigate คือทำอย่างไรคะอาจารย์ หมายถึงการสอบสวน สอบทวนความคิดหรือเหตุการณ์อย่างนั้นหรือปล่าคะ หนูทำข้อนี้ทีไร รู้สึกความคิดมันตกหลุมอยู่ในขั้นตอนนี้อยู่นานค่ะ ยกตัวอย่าง เช่น เรื่องเลือดหยดใส่จมูกเล็บ หนูจะ investigate  ....ว่าเหตุการณ์ที่เกิดไม่มีแผลนี่  เลือดปริมาณน้อยนี่ ปัจจัยการติดเชื่อมันขึ้นอยู่กับหลายอย่างนี่ ได้แก่ 1)...2)...3)....4)....อย่างนี้น่ะค่ะ หนูเลยติดอยู่ตรง investigate นานจนความคิดไม่ผ่านไปง่ายๆเสียทีค่ะ

อีกสิ่งหนึ่งที่หนูสังเกตดูธรรมชาติของความคิดของหนูคือ ความกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งของหนูจะถูกกลบเกลื่อนด้วยสิ่งเร้าที่รุนแรงกว่าทุกครั้ง เช่น หนูกังวลเรื่องเรื่องหนึ่ง (สมมุติตีทะเบียนว่า เรื่อง A ) อีกสามสี่วันเกิดเหตุการณ์เรื่อง B ขึ้นมา หนูก็จะมากังวลเรื่อง B แทน และที่แย่กว่านั้นคือ เรื่อง B นี่บางครั้งเกิดจากการคิดคำนึงถึงและกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตซึ่งผ่านไปนานแล้ว ดังที่เคยมีพระนักเทศน์ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า  สัตว์เคี้ยวเอื้องขย้อนเอาอาหารในกระเพาะออกมาเคี้ยวฉันใด การคิดถึงเรื่องในอดีตที่ไม่มีทางแก้ไขก็ฉันนั้น.... ซึ่งแปลว่า สติหนูยังไม่แข็งแรงเพียงพอ เรื่องหนึ่งดับแต่อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นมาแทน ซึ่งแสดงว่าหนูต้องเพียรพยายามฝึกต่อไปให้ดียิ่งขึ้นอีกค่ะ ก่อนที่มันจะรบกวนการประกอบอาชีพที่หนูรักมากไปกว่านี้

หากอาจารย์มีข้อแนะนำในการฝึกปฏิบัติเพิ่มเติม จะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ
ด้วยความเคารพ

.................................................

ตอบครับ (2)

คุณใช้เทคนิค Investigate ผิดโผของเขาไปเสียแล้ว วิธีที่คุณใช้คือคุณไปผสมโรงคิดต่อยอดความคิดที่เป็นตัวปัญหา กลายเป็นการพากันเข้าป่าไปแบบไร้สติ เละเทะไปเลย ทำแบบนี้เดี๋ยวก็ได้เป็นบ้าหรอก

คำเต็มของมันคือ Investigate kindly หมายถึงการถอยออกมานั่งสังเกตดูความคิดนั้นอย่างเข้าใจและไม่ตำหนิตัวเอง เช่นไม่ตำหนิตัวเองว่าทำไมเธอโง่สอนไม่จำว่าอย่าคิดแบบนี้ แต่เข้าใจว่าเป็นเพราะในอดีตเราเคยคิดแบบนี้คราวนี้ก็เลยเผลอคิดแบบเดิมอีก แต่คราวนี้มันมาแล้วเราไม่ต่อต้านดุด่า แต่เราเฝ้าสังเกตดูอย่างเข้าใจว่าทำไมเจ้าความคิดนี้มันจึงมาอีก มาแล้วเราก็ดูมันอยู่เฉยๆ สมมุติว่ามันเป็นความคิดกลัว ก็ดูว่าอ้อ ความกลัวมันเป็นอย่างนี้นะ แต่ไม่ไปคิดต่อยอดหาเหตุผลอธิบายแง่มุมใดๆ แค่เฝ้าสังเกตดูอย่างเข้าใจและอย่างไม่ตำหนิตัวเองด้วย ไม่เอาอีโก้หรือตัวตนของเราเข้าไปเล่นด้วย ไม่หาทางปกป้องอีโก้ของตัวเองด้วย คำว่า Non self ก็คือเสมือนว่าเจ้าคนที่มีความกลัวอยู่นี้ไม่ใช่ตัวเรา เราเฝ้าดูและทำความรู้จักกับความกลัวของเธอเท่านั้น ไม่ไปปลอบโยน ปกป้อง หรือดุด่าตัวเธอเลย

เปรียบเสมือนสมัยที่ผมยังเด็กๆอยู่บ้านนอกคอกนา เวลามีลมบ้าหมูเกิดขึ้น (ลมที่หมุนเป็นวงกล้มติ้วและพัดเอาเศษใบไม้และขี้ฝุ่นปลิ้วว่อนวนขึ้นไปบนท้องฟ้า) ถ้ามีเพื่อนอยู่ด้วย ผมและเพื่อนๆก็จะกระโจนเข้าไปกลางวงลมหมุน หมุนตัวเองตามลมไปด้วยหวังว่าลมจะพาตัวเองลอยขึ้นไปด้วย จนเมื่อลมสงบลงแล้วตัวพวกเราก็จะเปื้อนขี้ฝุ่นมอมแมม

แต่เวลาที่ลมหมุนเกิดขึ้นโดยที่ผมอยู่คนเดียว ผมชอบที่จะวิ่งตามลมหมุนไปแบบรักษาระยะห่างอยู่ที่ขอบนอกของลมที่กำลังหมุน ถ้าลมหยุดหมุนติ๊วอยู่กับที่ผมก็หยุดนิ่งดูอยู่นอกวง จ้องมองดูพวกขี้ฝุ่นและใบไม้ที่กำลังถูกลมพาหมุนเป็นวงกลมสูงขึ้นๆ ดูไปจนในที่สุดเมื่อลมแผ่วกำลังลงก็จะเห็นพวกขี้ฝุ่นใบไม้วิ่งวนช้าลงๆแล้วก็กลับลงมาเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น

เปรียบลมบ้าหมูเป็นความคิด วิธี investigate ของคุณคือกระโจนเข้าไปเล่นกับขี้ฝุ่นและใบไม้ที่กลางวงของลมบ้าหมู แต่วิธี investigate ที่ถูกต้องคือต้องอยู่นอกวงลมบ้าหมูเฝ้าดูอาการวิ่งของขี้ฝุ่นและใบไม้อย่างเข้าใจว่าลมพามันหมุนขึ้นไป เมื่อลมหมดแรงมันก็ค่อยๆหล่นลงมาสงบนิ่งอยุ่ที่เดิม

ธรรมชาติของความคิด รวมทั้งความกลัว เมื่อเราเฝ้าดูมันจากภายนอก มันจะค่อยๆสงบลงเหมือนใบไม้ที่ถูกลมบ้าหมูพัดขึ้นไปแล้วค่อยๆร่วงลงมานั่นแหละ

สันต์  

บรรณานุกรม

1. Karno M, Golding JM, Sorenson SB, Burnam MA. The epidemiology of obsessive-compulsive disorder in five US communities. Arch Gen Psychiatry. 1988 Dec. 45(12):1094-9. [Medline].
2. American Psychiatric Association: Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, Fifth Edition. Arlington, VA: American Psychiatric Association; 2013.
3. Jung HH, Kim CH, Chang JH, Park YG, Chung SS, Chang JW. Bilateral anterior cingulotomy for refractory obsessive-compulsive disorder: Long-term follow-up results. Stereotact Funct Neurosurg. 2006. 84(4):184-9.[Medline].
4. American Psychiatric Association Work Group on Obsessive-Compulsive Disorder. Practice guideline for the treatment of patients with obsessive-compulsive disorder. Am J Psychiatry. July 2007. 164(suppl):1-56.
5. Grayson J. Freedom From Obsessive Compulsive Disorder: A Personalized Recovery Program for Living With Uncertainty. New York: Berkley Publishing Group; 2004.
6. Komossa K, Depping AM, Meyer M, Kissling W, Leucht S. Second-generation antipsychotics for obsessive compulsive disorder. Cochrane Database Syst Rev. 2010 Dec 8.
7. Dell'Osso B, Altamura AC, Allen A, Marazziti D, Hollander E. Epidemiologic and clinical updates on impulse control disorders: a critical review. Eur Arch Psychiatry Clin Neurosci. 2006 Dec. 256(8):464-75.

[อ่านต่อ...]

11 ตุลาคม 2558

ลูกสาวอายุสิบห้า จะต้องไปกรุงเทบ..บ ให้ได้

สวัสดีค่ะ อาจารย์หมอ
     ลูกสาวของดิฉัน กำลังเรียนอยู่ชั้นมอ4 ที่ต่างจังหวัด เค้าคิดว่าเค้า อยากเป็นพยาบาลหรือหมอ เค้าก็เลยเลือกเรียนสายวิทย์ ผลการสอบของแต่ละวิชาออกไม่พร้อมกัน ทราบมาบ้างจากลูก ศิลปะและชีวะ เค้าได้เกรด 4  อังกฤษ รองลงมา และวิชาที่ทำแทบไม่ได้เลยคือ คณิต วิทย์ และเคมี ขออนุญาตพูดเลยคะว่า หัวอก ตอนนี้เต็มไปด้วยความกังวลและกลุ้มใจเกี่ยวกับความต้องการของลูก ประเด็นของเรื่อง คือ คณิต เคมี ฟิสิก ยาก ไม่อยากเรียน เค้าบอกว่า "มันไม่ใช่ หนู" ไม่สนุกกับการเรียน ลูกต้องการหยุด และเปลี่ยนสายการเรียน เป็นศิลปภาษาต่างประเทศ พอเรียนใกล้สอบเทอมแรก เค้าบอกว่า เค้าอยากเปลี่ยนสายการเรียนและที่เรียน โรงเรียนที่อยากจะเข้าใหม่คือ เตรียมอุดมในกรุงเทพ เค้าบอกว่าการเรียนการสอนแตกต่างจากที่ต่างจังหวัด (ที่ต่างจังหวัดถ้าเรียนสายวิทย์ก็คือตั้งแต่มอ 4-6 เน้นวิชาหลักๆอย่างเดียว) แต่ถ้าเป็นเตรียมอุดมที่กรุงเทพจะมีสายการเรียนให้เลือกมากกว่าที่ต่างจังหวัด อย่างถ้าอยากเป็นหมอ วิศวะ พยาบาล ก็เลือก วิทย์ คณิต-คุณภาพชีวิต และสายศิลปภาษาก็มีให้เลือกมากกว่าต่างจังหวัด
ลูกขอหยุดเรียนมอ 4 ช่วงเทอมที่ 2 เค้าจะขอไปเรียนพิเศษ เรียกง่ายๆว่าติวในกรุงเทพ เพื่อที่ปีหน้าจะสอบแข่งขันเข้ามอ 4 ใหม่ ที่โรงเรียนเตรียมอุดมในกรุงเทพ และจะเปลี่ยนสายเรียนเป็นสายศิลป ภาษาญี่ปุ่น แทน
    ดิฉันกลุ้มใจมาก ไม่อยากให้ลูกหยุดการเรียนมอ4 กลัวเค้าสอบไม่ติด กลัวที่จะต้องเสียเวลา และเป็นห่วงที่ต้องเข้าไปอยู่ในกรุงเทพ ดิฉันไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเค้าเลย กลัวว่าเค้าจะเปลี่ยนใจอีก เรื่องนี้ ดิฉันก็ได้ปรึกษาคุณครูประจำชั้นด้วย สายวิทย์ที่ลูกเรียนอยู่ขณะนี้คุณครูอธิบายว่า สามารถเอนทรานซ์ เข้าคณะ ที่ชอบได้ อาจจะเรียนภาษาที่ 3 เพิ่มเติม แต่ลูกก็ไม่เอา เค้าบอกว่าเรียนหลายอย่าง มันหนักเกินไป ยังไงๆก็จะขอหยุด เพื่อไปติวแล้วสอบเข้าโรงเรียนและสายการเรียนที่ตัวเองวาดฝัน และอีกอย่างโรงเรียนเตรียมที่กรุงเทพส่วนใหญ่ การเรียนการสอนแตกต่างกับที่ในต่างจังหวัด
     ต้องขอใช้คำว่า  ยอม!  ถ้าดิฉัน ยอมให้ลูกไป บอกตรงๆว่า รู้สึกไม่มั่นใจในตัวลูกเลย กลัวว่าจะมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีก 4-5 ปีมานี้ งานของดิฉันต้องเดินทาง จึงไม่ค่อยได้อยู่กับลูก เค้าอยู่กับคุณตา-ยายและพี่ชาย (ตอนนี้พี่ชายของเค้าได้เข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ... ที่กรุงเทพ) เมื่อช่วงต้นปี ตั้งแต่ มีนาคม-สิงหาคม ดิฉันได้มีโอกาสอยู่บ้านกับลูกประมาณ 6 เดือน จึงได้เห็นว่าลูกไม่มีระเบียบ ทุกอย่างคุณตา-ยายทำให้หมด คุณยายบอกว่า "อย่าตำหนิลูก ยายมีความสุขที่ทำให้หลาน เพราะอีกหน่อยถ้าหลานต้องไปเรียนที่อื่น เค้าก็ต้องจัดการตัวเอง" มีอยู่ 3 ครั้ง (ในช่วง 6 เดือนที่ดิฉันอยู่ด้วย) เค้าทำผิดแล้วเราจับได้ เค้าไม่ยอมรับผิด.. ถ้าลูกทำผิดแล้วยอมรับผิด จะรู้สึกดีกว่า ถึงแม้ว่าความผิดนั้นจะร้ายแรงบ้างก็ตาม (# ตรงนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กังวลถ้าลูกต้องไปอยู่ ที่อื่น)
     แต่ถึงอย่างไร ดิฉันก็คิดว่าตัวเอง ยังโชคดี ที่ถึงแม้ไม่ค่อยได้อยู่ด้วย แต่เค้าก็ไปเรียนหนังสือและกลับบ้านทุกวัน จะออกไปไหน หรือกลับช้า- เร็ว กับใคร ลูกก็บอก คุณตาจะเป็นคนไปรับ-ส่ง เพราะลูกขี่รถไม่เป็น (# แต่ในความคิดของตัวเองแล้ว ลูกอยากไปเองมากกว่า) ด้วยความที่ลูกไม่มีระเบียบวินัย นี่หรือเปล่าคะที่ทำให้เค้าไม่มีความพยายาม ขาดความอดทน เมื่อดิฉันหยิบยกเรื่องระเบียบวินัยความรับผิดชอบมาพูด ลูกจะบอกว่า "หนู  มี  นะ  แต่  แม่  มองไม่เห็น" ดิฉันพยายามพูดเพื่อให้ลูกเรียนต่อที่บ้าน ให้จบมอ 6  แต่ลูกก็ยังดึงดัน อยากจะไป ร้องห่ม ร้องไห้ "แม่จะให้หนูเรียนกับสิ่งที่ไม่ชอบตั้ง3ปีเลยนะ!

ดิฉันควรทำอย่างไรคะ

............................................................

ตอบครับ

วันนี้ผมกลายมาเป็นครูแนะแนวซะแล้ว ใบประกอบวิชาชีพก็ไม่มี ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำของครูแนะแนวเถื่อน คุณจะเชื่อไม่เชื่อผมก็ไม่ว่าหรอกนะครับ

ข้อเท็จจริง

     1. ลูกสาวอายุประมาณ 15 ปี ได้รับการเลี้ยงดูแบบไม่เคยต้องรับผิดชอบงานบ้าน แม้แต่งานของตัวเองก็ไม่ต้องทำอะไร คุณตาคุณยายทำให้หมด เมื่อคุณแม่ตำหนิลูกสาว คุณยายก็ออกมาปกป้องว่าทุกอย่างคุณยายอยากทำให้หลานเอง

     2. คุณแม่ประเมินว่าลูกสาวเป็นคนไม่รู้บทบาทหน้าที่ ไม่มีวินัยต่อตนเอง ไม่มีความพยายาม ขาดความอดทน

     3. คุณแม่กังวลว่าลูกสาวกำลังจะกลายเป็นคนขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำผิดแล้วมักไม่ยอมรับผิด

     4. ลูกสาวขอเลิกเรียนที่รร.ปัจจุบัน ด้วยเหตุผลว่าสายนี้ไม่ใช่ตัวตนของเธอ ไม่เหมาะกับเธอ

     5. ลูกสาวขอไปอยู่กรุงเทพเพื่อไปเรียนแบบติวเข้ม เพื่อที่จะไปสอบเข้าเรียนมัธยมใหม่อีกครั้งในปีหน้าที่กรุงเทพ เพื่อจะได้เรียนที่กรุงเทพ

ข้อพิจารณา

     สิ่งที่คุณได้มาอยู่ในมือตอนนี้คือเด็กจักรพรรดิซึ่งยังขาดวุฒิภาวะ ยังขาดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เหมาะสมกับวัย และไม่เคยแสดงฝีมือว่าได้ตั้งอกตั้งใจทำอะไรสำเร็จด้วยตัวเองแม้แต่ชิ้นเดียวเลย แต่ว่ามีเส้นใหญ่เหลือเกิน ทั้งหมดนี้เป็นผลิตผลจากระบบการเลี้ยงดูแบบ over-protect ที่มีคุณตาคุณยายคอยเป็นข้าทาสบริวารรับใช้ให้ เป็นมาตรฐานการผลิตพลเมืองรุ่น GenY ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเมื่อพ่อแม่ของคนรุ่นนี้ตายไปแล้ว พวกเขาจะอยู่กันอย่างไร แต่ทั้งหมดนั้นมันก็ผ่านไปแล้ว ช่างมันเถอะ มาคุยกันเรื่องจากตรงนี้ไปดีกว่า

     สมมุติว่าคุณเป็นผู้จัดการบริษัทอะไรสักอย่าง ลูกสาวคนนี้ไม่ใช่ลูกสาวของคุณดอก แต่เป็นพนักงานลูกน้องในบริษัทของคุณเอง มีงานจ๊อบหนึ่งที่บริษัทจำเป็นต้องเลือกส่งพนักงานคนใดคนหนึ่งไปทำให้สำเร็จ จ๊อบนั้นต้องไปทำไกลและเป็นงานยาก ต้องไปทำในสิ่งแวดล้อมที่ extreme หมายความว่ามีอันตรายและมีอุปสรรคสาระพัด ต้องใช้ความสามารถขยันอดทนสูง และที่สำคัญต้องมีความเชื่อถือได้  เมื่อเธอรายงานปัญหาอุปสรรคอะไรกลับเข้ามา หรือของบประมาณไปทำอะไร คุณมั่นใจว่าเป็นของจริงหมด คุณจะเลือกส่งพนักงานแบบลูกสาวคุณไปหรือเลือกพนักงานคนอื่นไปละครับ

     ถ้าคำตอบคือคุณจะไม่เลือกพนักงานอย่างลูกสาวของคุณไปทำ เพราะคุณกลัวว่าพนักงานนอกจากจะทำภาระกิจไม่สำเร็จแล้ว ยังจะทำรายงานเท็จเบิกเงินบริษัทออกไปใช้อ่วมอรทัยอีกต่างหาก คุณก็ไม่ควรส่งลูกสาวของคุณไปกรุงเทพ อย่างน้อยก็ ณ ตอนนี้ นั่นเป็นคำแนะนำประการแรกของผม

     อาการแบบที่ว่าแบบนี้ก็ไม่ใช่คอนเซ็พท์ของหนู แบบนั้นก็ไม่ใช่ตัวตนของหนู แบบโน้นก็ไม่เข้ากับชีวิตของหนู เป็นอาการของผู้ใหญ่วัยต้นที่ขาดทักษะในการรับมือ (coping skill) ทำให้พอขึ้นสังเวียนแล้วไม่กล้าชกเพราะกลัวความล้มเหลว เป็นตำหนิในตัวสินค้าที่จะต้องรีบแก้ไข หาไม่แล้วทั้งชีวิตจะไม่ทันได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้วก็จะตายเสียก่อน เพราะทุกเวลานาทีในชีวิตที่ผ่านไปมีแต่ของที่ไม่ใช่ คนที่ไม่ใช่ เธอจะเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตของเธอไปทุกๆไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปี ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน ครู เพื่อนร่วมห้อง สาขาที่เรียน งานอาชีพ เจ้านาย แม้กระทั่งสามีในอนาคตของเธอก็ไม่มีข้อยกเว้น

     คำแนะนำของผมก็คือคุณจะต้องช่วยแก้ไขจุดอ่อนนี้ให้เธอก่อน คือคุณจะต้องฝึกสอนให้เธอมีทักษะในการรับมือ (coping skill) กับปัญหาใดๆในชีวิตให้ได้ด้วยตัวเธอเองก่อน ซึ่งผมแนะนำให้คุณทำดังนี้

     1. สิ่งแรกที่ผมจะทำถ้าผมเป็นคุณก็คือกลับมาอยู่กับลูก คุณเหลือนาทีทองอยู่อีกไม่กี่ปีเท่านั้น ถ้าคุณได้ใช้นาทีทองนี้อยู่กับเธอ เป็นแม่แบบให้เธอ เป็นเพื่อนสอนเธอรับมือกับปัญหาชีวิตไปทีละบททีละช็อต โอกาสที่จะสำเร็จก็ง่ายขึ้น

     2. ในประเด็นที่เธอเรียกร้องว่าเรียนวิทย์เยอะเกินไปสู้ไม่ไหวขอกลับไปตั้งต้นใหม่เพื่อไปเรียนศิลป์นั้น บอกเธอว่าชีวิตคนเราการทบทวนสิ่งที่ทำไปแล้วเมื่อเห็นว่าไม่ดีแล้วกลับไปตั้งต้นใหม่นั้น แม่เห็นด้วย แต่ไหนๆจะทบทวนชีวิตแล้วก็ควรทบทวนให้รอบด้านและรอบคอบ ซึ่งตัวคุณแม่ควรจะมีส่วนร่วมให้ข้อมูลและข้อเสนอแนะด้วย แบบว่าแม่กับลูกหาจังหวะเหมาะๆดีๆจับเข่าคุยกัน ประเด็นสำคัญในการทบทวนชีวิตครั้งนี้ก็คือ

     2.1 ความเป็นจริงก็คือแม่จะไม่ได้อยู่เลี้ยงดูลูกไปจนลูกตาย เพราะแม่จะต้องตายก่อน และแม่ก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังจะทิ้งไว้ให้ลูกถลุง เงินแม่มีจำกัด เวลาแม่ก็มีจำกัด ภายในเงินและเวลาที่จำกัดนี้การลงทุนด้านการศึกษาสำหรับลูก แม่มีวาระสามอย่างเท่านั้น คือ

     (1) เพื่อให้ลูกเรียนรู้ว่าคนเราควรใช้ชีวิตอย่างไรชีวิตจึงจะมีความสุข
   
     (2) เพื่อให้ลูกได้มีงานทำ เลี้ยงตัวเองได้

     (3) เพื่อให้ลูกเป็นคนดี เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ถ้าเก่งถึงขั้นช่วยเหลือคนอื่นได้ก็ยิ่งดี แต่ถ้าไม่เก่งถึงขนาดนั้น แค่ดูแลตัวเองได้โดยไม่ไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนแม่ก็พอใจแล้ว

     อะไรที่เยอะเกินกว่าวัตถุประสงค์ทั้งสามข้อนี้แม่จะไม่ทำ เพราะแม่ไม่ได้มีเงินและมีเวลามากมาถึงขนาดที่จะทำอะไรก็ได้ และลูกไม่ต้องอ้างหรือเปรียบเทียบแข่งขันประกวดประชันกับลูกคนอื่นด้วยว่าทำไมพ่อแม่คนโน้นเขาให้ลูกของเขาทำอย่างนี้ เพราะการเปรียบเทียบแข่งขันเป็นศัตรูของวัตถุประสงค์ข้อที่ (1) ของเราคือการมีความสุขในชีวิตนั่นเลยทีเดียว เราจะไม่ทำอะไรที่เป็นปฏิปักษ์กับวัตถุประสงค์ในชีวิตของเราเสียเองแน่นอน

     2.2 บทเรียนจากคนอื่นในการเลือกทางเดินชีวิตก็คือการจบปริญญา ตรี โท เอก หรือซูเปอร์ด๊อกไม่ว่าจบเมืองไทย จบเมืองนอกนั้น ไม่มีความหมาย ผมเห็นตัวอย่างลูกหลานคนไข้ของผมเองมาแยะและยืนยันได้ว่าปริญญาไม่สำคัญ สำคัญที่ลูกดูแลตัวเองได้หรือยัง เลี้ยงดูตัวเองได้หรือยัง ถ้าดูแลตัวเองได้แล้ว เลี้ยงดูตัวเองได้แล้ว หากยังคิดจะมีปริญญาติดฝาบ้านเหมือนคนอื่นเขา จะหาปริญญากี่ใบมาประดับฝาบ้านในภายหลังก็ได้ คือพูดง่ายๆว่าวาระด่วนตอนนี้คือการรู้จักมีความสุขกับปัจจุบันและการมีงานทำ วาระด่วนไม่ใช่ปริญญา ดังนั้นทางเลือกในชีวิต ณ จุดที่จบ ม.3 แล้วนี้ คุณแม่ต้องกางทางเลือกแผ่หราให้เห็นชัดทุกทาง ซึ่งทางเลือกที่ผมเองเห็นว่าควรจะเลือกตั้งแต่มากไปหาน้อยคือ

     2.2.1 ทางเลือกที่ผมสนับสนุนมากที่สุดคือ ถ้าการเรียนม. 4 มันเยอะนัก เรียนแค่ ม. 3 นี้ก็พอแล้ว หยุดการเรียนในระบบโรงเรียนไว้แค่นี้ก่อน แล้วออกจากโรงเรียนมาทำงาน ซึ่งแน่นอนว่าทางเลือกนี้คุณแม่จะต้องช่วยเธอ จะทำแบบเช้าไปเย็นกลับ หรือเอาไปฝากให้ทำงานกึ่งฝึกงานในสถานที่ที่ปลอดภัยก็ได้ อาจจะเป็นงานง่ายๆอย่างรับจ้างทำความสะอาดงานบ้านหรือเลี้ยงเด็กก็ได้ เป้าหมายหลักของการทำงานตอนนี้คือการสอนให้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และเห็นคุณค่าของเงิน การทำงานนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับการใฝ่ฝันจะได้ทำอะไรที่รักชอบนะ ถ้าชอบภาษาญี่ปุ่นก็เรียนภาษาญี่ปุ่นไปด้วยได้ เรียนทางอินเตอร์เน็ทอยู่ที่บ้านนั่นแหละ

     2.2.2 ไปเรียนอาชีวะ ผมหมายถึงหลักสูตร ปวช. อะไรสักอย่างที่ต่างจังหวัดที่บ้านตัวเอง เพราะในแง่ของการหางานทำหลังจากจบแล้ว คนจบปวช.หางานง่ายกว่าคนจบปริญญาโดยที่รายได้แทบไม่แตกต่างกัน แล้วจะไปเรียนปริญญาทำไมละครับ การเรียนปริญญาจำเป็นสำหรับอาชีพที่เป็นวิชาชีพเช่นพยาบาล แต่ถ้าไปถึงตรงนั้นไม่ไหวก็ต้องเปลี่ยนมาเรียนอะไรชนิดที่เพื่อจะมาทำอะไรก็ได้ ซึ่งในกรณีหลังนี้ ปวช.ดีที่สุด ปริญญาแย่ที่สุด และเมื่อเรียนปวช. จบปวช.แล้วต้องออกมาทำงานนะ ไม่ใช่ต่อปวส. ป.ตรี แบบนั้นก็จะไปเข้าสูตรบ้าปริญญาอีกเหมือนกัน ทุกวันนี้คนยิ่งมีปริญญามากยิ่งหางานยาก นายจ้างจะมองหาคนความรู้น้อยที่หน่วยก้านดีมีความรับผิดชอบ แล้วเอามาฟูมฟักฝึกฝนให้ทำงานเป็น มากกว่าที่จะเอาคนที่มีปริญญามากทำอะไรไม่เป็นและสอนอะไรไม่ได้มาเป็นภาระ

     2.2.3 การเรียนม.ปลายสายศิลป์ด้วยหวังจะเข้าเรียนศิลปศาสตร์หรือภาษาอะไรสักอย่างในมหาวิทยาลัยนั้น ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ผมไม่เห็นด้วยเลย ไม่ว่าจะมองในแง่การเตรียมตัวทำมาหากิน หรือในแง่การจะอบร่ำให้มีสุนทรียะที่จะหาความสุขกับสิ่งสวยๆงามๆในชีวิตให้เป็น มหาวิทยาลัยไม่ได้ให้อะไรเลยในทั้งสองแง่ ผลิตผลที่ออกมากลับจะให้ผลตรงข้ามกับวัตถุประสงค์ คือจบแล้วหางานทำก็ไม่ได้ และกลายเป็นคนเยอะและยากที่ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะมีความสุข ถ้าผมเป็นแม่ ผมจะบอกว่าแม่ไม่ต้องการลงทุนในสิ่งที่แม่มองไม่เห็นผลตอบแทน ถ้าลูกดึงดันจะไปเรียน ต้องทำงานหาเงินไปเรียนเอง

     3. ติ๊งต่างว่าเธอเรียกร้องที่จะเปลี่ยนมาเรียนสายศิลป์จริงจังแบบว่าดิ้นปั๊ด ปั๊ด จะเอาให้ได้ ถ้าผมเป็นแม่ผมก็โอเค. แต่ต้องเรียนที่ข้างบ้านนะ มีอะไรแค่ไหนก็เรียนแค่นั้น จะมาอ้างว่ามีทางให้เลือกน้อย เดี๋ยวได้ไปกรุงเทพฯแล้วก็ต้องเรียกร้องไปเมืองนอก เพราะที่เมืองนอกมีสาขาย่อยให้เลือกเรียนมากกว่าที่กรุงเทพฯ แล้วมันจะไปจบที่ไหนละครับ

     อีกอย่างหนึ่งที่ว่าโรงเรียนใหญ่ๆดีๆเขามีวิชาให้เลือกเรียนเยอะกว่านั้นก็จริงอยู่ แต่เขาให้คนที่เรียนเก่งเลือกก่อนนะ คนที่เรียนไม่เก่งก็จะถูกมัดมือชกให้เรียนวิชาขี้หมาอยู่ดี ลูกของคนไข้ผมคนหนึ่งเป็นหนุ่มรูปหล่อไปเรียนที่ญี่ปุ่น ความที่เรียนไม่ค่อยทันเขาจึงเลือกสิ่งที่อยากเรียนไม่ได้เพราะเขาให้คนได้คะแนนสูงเลือกก่อน สุดท้ายก็ต้องไปเรียนวิชาที่ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าในชีวิตจะต้องมาเรียน อย่างเช่นวิชาชงน้ำชาเป็นต้น แต่ก็ต้องเรียนเพื่อให้มีหน่วยกิตครบจะได้จบปริญญากับเขาบ้าง

     ความเป็นจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือเนื้อหาความรู้ทางศิลปะศาสตร์ทุกสาขามีให้เรียนหมดบนอินเตอร์เน็ท ความรู้พวกนี้มหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นแหล่งความรู้อีกต่อไปแล้ว โรงเรียนและมหาวิทยาลัยให้ได้เฉพาะการสังคม แต่ว่าการสังคมที่มหาวิทยาลัย,โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในเมืองไทย, ให้มานั้น มันไม่สอดคล้องกับชีวิตจริงดอก ชีวิตแบบว่าสวยๆเท่ๆ พักกลางวันก็พากันสาดกระเป๋าหลุยส์วิตตองกองบนโต๊ะอาหารนั้นมันไม่สอดคล้องกับชีวิตจริง ไม่งั้นเราจะมีคนจบปริญญาแต่ไม่มีใครกล้าจ้างทำงานอยู่เต็มเมืองหรือ การไปเป็นเด็กปั๊มยังจะได้เรียนการสังคมที่สอดคล้องกับชีวิตจริงมากกว่า ดังนั้นถ้าเธอยืนยันขอเรียนต่อม.4 ศิลป์ โอเค. แต่ต้องเรียนที่ข้างบ้านเท่านั้น

     4. ในประเด็นคำเรียกร้องที่จะไปเรียนที่โรงเรียนเตรียม ด้วยเหตุว่าโรงเรียนเตรียมดีอย่างโน้นอย่างนี้นั้น ถ้าผมเป็นแม่ผมจะตอบว่าโอเค. แต่ต้องสอบเข้าเองให้ได้นะ โดยไม่ต้องไปกวดวิชาที่กรุงเทพฯด้วย เหตุผลที่ไม่ยอมให้ไปกินนอนอยู่กรุงเทพเพื่อกวดวิชามีอย่างเดียว คือความปลอดภัย..จบข่าว เพราะขึ้นชื่อว่ากรุงเทพ โดยเฉพาะดงวัยรุ่นแถวๆหน้าโรงเรียนกวดวิชาและหอพักหญิงซึ่งเป็นที่ๆเด็กผู้หญิงใฝ่ฝันจะได้ไปเตร็ดเตร่กันนั้น มันมีทั้งมนุษย์พันธ์ตะกวด ตะเข้ และคุณองอาจ (คำที่เพื่อนบ้านของผมใช้เรียกตัวมังกรทอง)

     ถ้าเธอบอกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเธอ เพื่อนๆเขาได้กวดวิชาเธอไม่ได้กวดเธอก็เสียเปรียบ ก็ตอบเธอไปว่าชีวิตคือจุดที่ลงตัวระหว่างหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ทั้งความยุติธรรม ความปลอดภัย ความเป็นไปได้ทางการเงิน ฯลฯ เพราะที่ชีวิตเราต้องมาอยู่ ณ ที่ตรงนี้ในวันนี้ มันเป็นผลจากการประชุมแห่งเหตุ ไม่ได้เกิดจากเหตุใดเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว  เราผู้เป็นแม่อาศัยประสบการณ์กำหนดลงไปว่าจุดลงตัวที่พอรับได้อยู่ที่ประมาณไหน บอกเธอไปว่าเธอจะมีสิทธิเสรีภาพที่จะตัดสินใจชีวิตของเธอแน่นอน แต่ต้องเมื่อเธออายุ 18 หรือบรรลุนิติภาวะแล้ว ตอนนี้มันเป็นทั้งกฎหมายบังคับ เป็นทั้งความรับผิดชอบของแม่ที่จะต้องคุ้มครองดูแลเธอ ถ้าลูกไม่เห็นด้วยกับเหตุผลนี้ก็ให้รอจนอายุ 18 ปี แล้วเธอจะไปไหนก็ไปได้ แต่ด้วยเงินที่ตัวเองหามาได้นะ

     5. ลูกเพิ่งอายุสิบห้า ยังไม่ถึงกับเป็นไม้แก่ อิทธิพลของแม่ยังมีอยู่บ้าง อย่างน้อยแม่ก็เป็นคนคุมสายน้ำเลี้ยง คือเงิน แม่ควรจะใช้เวลาที่เหลืออันน้อยนิดนี้ชักชวนลูกไปสู่สิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้ลูกได้มีโอกาสฝึกสติ ฝึกสมาธิ เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับการได้จดจ่อกับอะไรสักอย่างในปัจจุบันขณะอย่างจริงจังแทนที่จะบ้าเห่อวิ่งตามเพื่อนเขาไปด้วยหลงผิดว่านั่นคือทิศทางของการจะมีความสุขในชีวิต ผมเองผ่านชีวิตมาปูนนี้แล้ว เลี้ยงลูกจนพ้นอกไปแล้ว เมื่อนึกย้อนว่ามีอะไรที่คนในฐานะพ่อควรให้กับลูกแต่ผมไม่ได้ให้ พบว่ามีอยู่อย่างเดียว คือผมไม่ได้ชักจูงเขาเข้าสู่บรรยากาศหรือสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เขาฝึกสติ สมาธิ และฝึกที่จะมีความสุขอยู่กับปัจจุบันขณะเสียตั้งแต่เยาว์วัย เพราะว่าตอนนั้นผมไม่รู้ความสำคัญของสิ่งนี้ แต่ตอนนี้คุณรู้แล้ว และคุณยังมีโอกาส ทำเสียสิครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

....................................................

จดหมายจากผู้อ่าน 1

อ่านแล้วนึกถึงลูกเพื่อนเลยค่ะ สาวน้อยไม่เคยมีความตั้งใจจริงในการจะทำสิ่งใดๆในชีวิตด้วยตัวเอง ตลอดมามีแต่คุณปู่คุณย่าคอยตามใจ แม่ไม่เคยมีสิทธิ์มีเสียงอะไรในการดูแลลูก เมื่อปีกลาย เธอขอไปติวที่กรุงเทพเพื่อสอบเข้าเตรียมอุดม สุดท้ายต้องกลายมาเป็นแม่วัยรุ่น หยุดเรียนมาอยู่บ้านเลี้ยงลูก อนาคตคุณปู่คุณย่าคงจะส่งไปเรียนเมืองนอก ดิฉันรู้สึกสงสารเพื่อนเป็นที่สุด

จดหมายจากผู้อ่าน 2

อาจารย์ตอบ ถูกใจพระเดชพระคุณเป็นที่สุด ดิฉันเห็นลูกๆของเพื่อนในลักษณะที่ว่านี้หลายราย จะปริ้นท์คำแนะนำของคุณหมอแนะแนว (อิอิ) ให้เหล่าคุณแม่ใจอ่อนทั้งหลายได้ตาสว่าง ได้กล้าๆก่อนจะสิ้นเนื้อ ประดาตัว (เพราะเธอทั้งกู้ฉุกเฉิน กู้สหกรณ์และอีกหลายอย่างเพื่อเอาใจลูกจักรพรรดิ เรียนปีหนึ่งมาสามสถาบัน เปลี่ยนรถให้ขับมาสามคันแล้ว และในที่สุดก็ยังปีหนึ่งเหมือนเดิม นี่นะ อนาคตของชาติไทย!)

ดิฉันปราถนาให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งกายและใจ เพื่อตอบปัญหากายใจให้กับคนทั้งมวลต่อไป
ขอบพระคุณมากค่ะ

จดหมายจากผู้อ่าน 3

น่าอ่าน น่านำไปใช้สำหรับผู้ปกครองสารพัดท่าน ...อ่านจบแล้ว เหมือนขี่จักรยานที่มีลูกๆซ้อนมาทั้งหน้าทั้งหลัง ถีบจักรยานผ่านทางแคบๆริมหน้าผา พ้นมาแล้ว มานั่งปาดเหงื่อ ระทึกใจถึงเส้นทางที่รอดผ่านมา ทั้งลูกสาว ลูกชาย ลงเดินหายลับตาไปตามทางที่ถูกที่ควรของเขาไปหมดแล้ว...ผมโชคดีครับ 25 % เป็นโชคแท้ๆที่ตัวเองไม่ได้กำหนด เรื่องราวรอบกายกำหนดให้ เรียกว่าโชค pure ๆ... 25 % เป็นโชคที่กำหนดโดยตัวลูกๆเอง อีก 50 % เป็นโชคดีในการที่มีสติกำหนดเรื่องดีๆให้ลูกๆ...ชีวิตไม่ง่ายครับ แต่ก็ไม่ยากจนตั้งสติกันไม่ได้.... อย่างไรก็ตาม อ่านคำตอบท้ายๆของคุณหมอสันต์ แล้ว ต้องนั่งปาดเหงื่อระทึกใจจริงๆ..เออ มันผ่านไปแล้วเนาะ

จดหมายจากผู้อ่าน 4

หนูอาจจะเป็นผลผลิต Gen Y รุ่นแรกๆ แม้ว่าหนูจบมาทำงานวิชาชีพ หาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว และมีความสุขในชีวิตพอสมควร แต่จนถึงตอนนี้ ไม่ว่าหนูคิดจะเริ่มทำบางอย่าง ก็จะเกิดอาการไม่กล้าลงมือทำ กลัวความล้มเหลว กลัวความผิดพลาด จนไม่ได้เริ่มอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที

ฝากถึงคุณพ่อ คุณแม่ ว่าให้พวกเขามีทักษะการรับมือกับปัญหาชีวิตที่เข้ามาด้วยตัวของพวกเขาเอง ให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะมีความสุขที่ได้จดจ่อกับอะไรที่พวกเขาอยากจะทำ เมื่อถึงจุดนึงพวกเขาจะกล้าทำอะไรใหม่ๆที่อยากจะทำและมีความสุขกับสิ่งนั้นค่ะ

.........................................

จดหมายจากผู้อ่าน 5

อาจารย์หมอที่เคารพ
ดิฉันได้คุยกับลูก บอกถึงเหตุผลต่างๆ ตามที่คุณหมอแนะนำ แต่เค้าก็ยังยืนกราน จะไปๆ ตอนนี้ ลูกพูดบอกว่าไม่อยากอยู่แล้ว!
คิดอีกแง่มุมนึง มันอาจจะเป็นสัญญาณเตือน ว่าลูกอาจจะหนีออกจากบ้าน ไม่อยากให้ลูกคิดแบบนี้เลย
เหมือนที่อาจารย์ยกตัวอย่าง ให้เลือกพนักงานไปทำงานที่ค่อนข้างยาก และเราประเมินแล้วว่า ตอนนี้ลูกเรายังไม่เหมาะสมกับงานชิ้นนั้น
เค้าคิดจะทำร้ายตัวเอง ทำร้ายแม่ โดยการหนีออกจากบ้าน.....,,,เพราะไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ลูกบอกว่า " แม่รู้มั้ย หนู อยากตายมา5ครั้งละ!
เราก็ถาม "เพราะอะไรทำไมถึงคิดอย่างนั้น?  ลูกบอกว่า เพราะแม่ ตา-ยาย รักมากไป !
หนูขออนุญาติอะไร ก็ห้ามไปหมด เพราะกลัว หนูจะมีอันตราย!
ดิฉันก็บอกถึงการประเมินผลของเราเกี่ยวกับตัวเขา ลูกก็จะตอบกลับมาว่าแม่ไม่ไว้ใจหนู อย่างเรื่องระเบียบวินัย ลูกก็บอก "หนูมี แต่แม่ มองไม่เห็น" ซึ่งแม่ก็มองไม่เห็นจริงๆ
บางเรื่องที่ลูกมาบอกมาเล่าแล้วเราไม่สามารถทำให้ได้ เรื่อง เค้า ได้ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศ เรียกกันว่า ทุน แต่จริงๆแล้ว เราต้องส่งค่าใช้จ่ายทุกเดือน....รู้สึกเสียใจนะคะ ที่เราไม่ความสามารถให้เค้าได้
หรือ อยากได้โทรศัพท์ไอโฟน  ราคาแพง เราก็บอกเค้าว่า มันแพง เกินความจำเป็น แต่ ก็ซื้อ เครื่องละ6-7พัน ให้เค้า แล้วเราก็บอกลูกว่า 6-7พันนี่อาจจะเป็นเงินเดือนของใครบางคน เลยนะ
จริงๆแล้วเค้าเป็นเด็กดีนะคะ
อาจารย์หมอคะ
เราให้ในสิ่งที่เค้าต้องการไม่ได้ เมื่อเป็นแบบนี้ เราควร ทำยังไง คะ 

...............................................

ตอบครับ (ครั้งที่ 2) 

     ประเด็นสำคัญคือตอนนี้เป็นตอนที่เราต้องให้เธออยู่ความเป็นจริงในชีวิต ความเป็นจริงที่ว่าพ่อแม่ไม่มีเงินส่งไปเมืองนอก ไม่มีเงินซื้อไอโฟนให้ ถ้าเธออยู่กับความเป็นจริงในชีวิตตอนนี้ได้ เมื่อถึงเวลาตาย เราก็จะตายตาหลับ ถ้าเราไปพยายามสร้างโลกเสมือนเพื่อให้เธอสุขใจ เธอจะไม่มีวันรู้ว่าการที่ต้องรับมือกับความผิดหวังด้วยตัวเองนั้นทำอย่างไร เธอปรับตัวยอมรับความเป็นจริงในชีวิตไม่ได้เลย แล้วเมื่อถึงเวลาตาย เราก็จะตายไม่หลับท

     การจะบอกลูกว่าเราไม่มีเงิน ด้านหนึ่งเหมือนจะทำให้ลูกปฏิเสธเรา แต่ถ้ทำให้ดี ให้เนียนๆ อีกด้านหนึ่งก็เป็นการเอาลูกมาเป็นพวกกับเรา เช่นสมมุติว่าลูกอยากได้ไอโฟน แม่จะต้องหาเงินพิเศษซื้อให้นะ ลูกต้องมาช่วยแม่ทำงานพิเศษนี้นะ แล้วเราจึงจะมีเงินซื้อไอโฟน เป็นต้น บนแนวทางนี้เด็กจะได้เรียนรู้ความสุขจากการทำงาน เรียนรู้คุณค่าของเงิน และท้ายที่สุดก็อาจจะเลิกแผนจะซื้อไอโฟนด้วยตัวเธอเองด้วยซ้ำ

     การจะสร้างวินัยตนเองให้แก่เด็ก เราต้องบังคับเขาก่อน ซึ่งต้องวางแผนทำมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งทำตอนโตยิ่งทำยาก วิธีทำคือต้องบังคับเรื่องสำคัญแบบกฎเหล็ก แต่ชี้แจงเหตุผลประกอบอย่างนุ่มนวล เมื่อเขาถูกบังคับได้ ต่อไปเขาจึงจะบังคับตัวเองได้ มันเหมือนกับจะเอาม้าป่ามาฝึกเป็นม้าบ้าน หากไม่สร้างคอกขังมันไว้เสียก่อน ย่อมจะไม่มีทางฝึกให้มันเป็นม้าบ้านได้เลย

     การที่เด็กประท้วงว่าจะฆ่าตัวตายนี้เป็นสูตรสำเร็จของเด็กจักรพรรดิ์ที่เรียนรู้ความความสุขของการได้เป็นอิสระชนคิดอ่านอะไรก็ได้อย่างใจนึก แต่ไม่มีทักษะการรับมือกับปัญหาชีวิตที่ควบคู่มากับความอยากได้ ซึ่งบางรายก็ฆ่าตัวตายให้พ่อแม่เห็นจริงๆเสียด้วย แต่การที่พ่อแม่ไปตกอกตกใจกับคำประกาศว่าจะฆ๋าตัวตายจะยิ่งทำให้เด็กจบลงด้วยการฆ่าตัวตายแน่นอนมากขึ้น เพราะยิ่งเห็นคำเรียกร้องของเธอยังได้ผล เธอก็ยิ่งจะพัฒนาตัวเองไปในทิศทางตรงข้ามกับการพัฒนาทักษะการรับมือกับปัญหาชีวิต เธอจะปรารถนาจากเรามากขึ้นๆเรื่อยๆจนถึงจุดหนึ่งเราก็ให้ไม่ได้ ณ จุดนั้นเธอก็จะฆ่าตัวตาย ยกตัวอย่างสิ่งที่เด็กขอแล้วพ่อแม่ไม่มีทางจะให้ได้ไม่ว่าพ่อแม่จะรวยแค่ไหนก็เช่น เด็กอดอาหารแบบกินแล้วล้วงคออ๊วก กินแล้วล้วงคออ๊วก ๆจนผอมโกรก แล้วร้องขอให้พ่อแม่ช่วยเธอ พ่อแม่จะไปช่วยอะไรได้ เพราะเธอไม่ยอมกิน ใช่ไหมครับ

     ในทางการแพทย์ คำประกาศว่าจะฆ่าตัวตาย แม้ดูเผินๆจะเป็นการประท้วงเรียกร้องความสนใจ แต่ทางการแพทย์ถือว่าเป็นอาการนำของความผิดปกติทางจิตไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสสูงกว่าธรรมดาที่จะตามมาด้วยการฆ่าตัวตายจริงๆ วิธีรับมือกับคำประกาศจะฆ่าตัวตายของลูกที่เป็นเด็กจักรพรรดิ์ก็คือพ่อแม่ควรมีท่าทีที่รับทราบอย่างเห็นอกเห็นใจพยายามจะเข้าใจแต่ไม่ตกอกตกใจ พ่อแม่ต้องเอาธรรมะเป็นที่ตั้ง ทำทุกอย่างไปด้วยความรักลูก อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ไม่สนองตอบในสิ่งที่เธอเรียกร้องต้องการแบบไม่มีเหตุผลซึ่งจะเป็นผลร้ายต่อเธอเองในอนาคต แต่พ่อแม่ควรหันไปเสาะหาความช่วยเหลือจากมืออาชีพ เช่น จิตแพทย์ หรือพาเข้าหาธรรมะ พระ เจ้า ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นเหมือนทางโค้ง มันจะเครียดอยู่ช่วงเวลาหนึ่งเท่่านั้นเอง เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไปได้แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาโอเค. ขอให้คุณมองไปทางบวก ว่าวันหนึ่งคุณก็จะผ่านทางโค้งนี้ไปได้

นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

08 ตุลาคม 2558

รายละเอียด โปรแกรมพลิกผันโรคด้วยตัวเอง (RDฺํ - Reversing Disease, by yourself)

คอนเซ็พท์ของโปรแกรม RD Camp

เพื่อเปิดทางเลือกให้ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน ไขมัน อ้วน อัมพาต) สามารถเปลี่ยนแนวทางการรักษาโรคจากแนวเดิมที่ต้องพึ่งการทำผ่าตัด บอลลูน หรือใช้ยา มาใช้แนวทางดูแลตนเองในเรื่องการปรับอาหาร การเริ่มต้นออกกำลังกาย การจัดการความเครียด และการมีกลุ่มเพื่อนหัวอกเดียวกันเกื้อกูลกันและกัน จนสามารถมีชีวิตปกติอยู่ได้โดยไม่ต้องบอลลูนหรือผ่าตัด และสามารถเลิกหรือลดยาลงจนเหลือน้อยที่สุด โดยใน 1 ปีแรกของการเปลี่ยนแนวทางนี้จะมี นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เป็นทั้งแพทย์ประจำตัว และเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาแนะนำ ผ่านการฝึกทักษะเข้มข้นแบบเข้าค่ายกินนอน และการติดตามผลต่อเนื่องผ่านโทรศัพท์ อีเมล และการประชุม "กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน" หลังจากครบหนึ่งปีแล้วก็ยังจะติดตามดูตัวชี้วัดและช่วยเหลือกันต่อไปแบบห่างๆ พร้อมไปกับการเก็บข้อมูลตีพิมพ์เผยแพร่เป็นผลวิจัยวิทยาศาสตร์ให้คนป่วยคนอื่นๆนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองในวงกว้างต่อไป

     ใช้วิธีการแพทย์แบบอิงหลักฐาน (Evidence Based Medicine)

     วิธีการที่ใช้ในการพลิกผันโรคด้วยตัวเอง เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบัน ที่กลั่นเอามาเฉพาะหลักฐานระดับเชื่อถือได้สูงตามหลักการจัดชั้นของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยสาระหลักของวิธีการมี 5 ประเด็น คือ

     1. การเปลี่ยนอาหารมาเป็นอาหารแบบพืชเป็นหลัก ที่ไขมันต่ำและไม่ขัดสี (plant based, low fat, whole food)
   
     2. การออกกำลังกายให้ถึงระดับมาตรฐานแนะนำสากล ทั้งแบบแอโรบิก แบบฝึกกล้ามเนื้อ และแบบเสริมการทรงตัว

     3. การจัดการความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะกับวัยและความถนัด เช่น การฝึกสติเพื่อลดความเครียด (MBSR) การรำมวยจีน (Tai Chi) การฝึกโยคะ เป็นต้น

     4. การร่วมกลุ่มเพื่อนหัวอกเดียวกันเกื้อกูลกัน

     5. กระบวนการปรับเปลี่ยนตนเอง (self management) หรือ Good Health By Yourself

     ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงตนเอง

     โครงการนี้ประยุกต์ใช้ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงตนเอง (Stage of Change Model) ซึ่งมีลำดับดังนี้

     1. ขั้นตอนการรับทราบข้อมูลความจริง เป็นการเรียนรู้วิธีวิเคราะห์ชั้นและความน่าเชื่อถือของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เผยแพร่อยู่มากมายดกดื่น แล้วนำทักษะการวิเคราะห์หลักฐานนั้นมารับทราบความจริงในแง่มุมต่างๆเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อ

     2. ขั้นตอนการตัดสินใจเลือกเอง เป็นการเปิดช่วง (spectrum) ของการปรับพฤติกรรมสุขภาพไว้ให้กว้าง ผู้ป่วยสามารถเลือกได้ตั้งแต่จะค่อยๆปรับตัวไปทีละนิด หรือจะปรับตัวแบบมากๆทันที โดยผู้ป่วยเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเองหลังจากรับรู้ความจริงทางวิทยาศาสตร์ว่าทำแบบไหนผลจะเป็นอย่างไรแล้ว

     3. ขั้นตอนสร้างทักษะ เป็นการเรียนรู้ด้วยวิธีลงมือทำ เพื่อให้เกิดทักษะที่จะเอาไปทำต่อเองได้ ทั้งในเรื่องการกินอาหาร การทำอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การปฏิสัมพันธ์กันเชิงเพื่อนช่วยเพื่อน

     4. ขั้นตอนติดตาม เป็นระยะหลังจากที่ทุกคนมีทักษะที่จะดูแลตนเองได้แล้ว และกลับไปใช้ชีวิตปกติที่บ้านแล้ว เป็นการติดตามกระตุ้นไม่ให้หมดแรงกลางคัน ผ่านกลไกการสื่อสารกันทางโทรศัพท์ อีเมลทุกเดือน โดยมีแพทย์ประจำตัวและพยาบาลประจำตัวเป็นศูนย์กลาง มีระบบเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นกลไกเสริม มีระบบฐานข้อมูลติดตามตัวชี้วัดรายบุคคลที่เข้าถึงได้ทางอินเตอร์เน็ทเป็นเครื่องมือ โดยขั้นตอนนี้จะทำไปอย่างต่อเนื่องตลอดไป แม้จะครบกำหนดโปรแกรมหนึ่งปีแล้ว

     แผนกิจกรรมและตารางเวลา

1. การลงทะเบียนเข้าโปรแกรม (Registration) แค้มป์ RD2 (เข้าแค้มป์ครั้งแรก 5-7 สค. 59)

     ผู้สนใจเข้าร่วมโปรแกรม สมัครลงทะเบียนไว้ได้ที่คุณหมอสมวงศ์ (086 8882521) หรือที่คุณตู่ (086 9858628) หรือสมัครทางอีเมลที่ somwong10@gmail.com หรือ chaiyodsilp@gmail.com การรับเข้าโปรแกรมใช้หลักจองก่อนได้ก่อน เต็ม (20 คน) แล้วปิด

     กรณีสมัครมาช้าและรุ่นที่ 2 เต็มเสียก่อน หากยังสนใจเข้าโปรแกรมอาจลงชื่อไว้จองเข้าโปรแกรมรุ่นถัดไปได้ ทั้งนี้ยังไม่ได้กำหนดว่ารุ่นต่อไปจะเปิดเมื่อใด

     โปรแกรมนี้รับเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน ไขมัน อ้วน อัมพาต โดยรับทุกระยะความหนักเบาของโรค กรณีที่อายุมากหรือมีอาการมากที่ตามปกติต้องมีผู้ดูแลประจำตัวอยู่แล้ว ต้องให้ผู้ดูแลมาลงทะเบียนเข้าคอร์สด้วย

     แม้ว่าผู้สมัครเข้าร่วมโปรแกรมนี้จะมี นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ เป็นแพทย์ประจำตัว แต่ผู้ป่วยไม่ต้องเลิกจากแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลกันมาแต่เดิม เพราะนพ.สันต์จะทำหน้าที่เป็นแพทย์ประจำครอบครัว (family physician) และจะประสานเชื่อมโยงกับแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลผู้สมัครมาแต่เดิมให้ดูแลต่อไปในลักษณะการดูแลร่วมกัน

     ผู้สมัครเข้าร่วมโปรแกรมนี้ไม่จำเป็นต้องยกเลิกยาหรือการรักษาที่ตนเองได้มาแต่เดิมโดยทันทีในขณะที่ทดลองรักษาด้วยวิธีดูแลตนเอง เพราะการรักษาโรคตามโปรแกรมนี้ใช้หลักวิชาการแพทย์แผนปัจจุบันเช่นเดียวกันการรักษาในโรงพยาบาล เพียงแต่มุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย จึงสามารถทำคู่ขนานไปกับการรักษาในโรงพยาบาลได้ เมื่อผู้ป่วยดูแลตนเองได้ดีขึ้น ตัวชี้วัดสุขภาพจะค่อยๆบ่งชี้ว่าความจำเป็นที่จะต้องพึ่งการรักษาด้วยยาในโรงพยาบาลจะลดลงไปเองโดยอัตโนมัติจนสามารถเลิกยาได้ในที่สุด
  
     ผู้สมัครจะต้องชำระค่าลงทะเบียนสำหรับตลอดคอร์ส (หนึ่งปี) คนละ 25,000 บาท ค่าลงทะเบียนนี้รวมถึงใช้จ่ายในการเข้าแค้มป์กินนอนรวม 3 ครั้งตลอดหนึ่งปี แต่ละครั้งครอบคลุมถึงค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าวิทยากร ค่าอุปกรณ์การฝึกทักษะ ค่าตรวจร่างกาย ค่าใช้จ่ายในการติดตามโดยแพทย์และพยาบาลเมื่อออกจากแค้มป์กลับไปอยู่บ้าน ค่าบริการฐานข้อมูลติดตามตัวชี้วัดทางอินเตอร์เน็ท เป็นต้น แต่ไม่ครอบคลุมถึงค่าเดินทางไปและกลับระหว่างบ้านกับแค้มป์ (ผู้ป่วยไปเองกลับเอง) ไม่ครอบคลุมค่ายาและค่ารักษาพยาบาลส่วนบุคคลใดๆทั้งสิ้น

     กรณีเป็นผู้ดูแลหรือ caregiver ก็ต้องลงทะเบียนเรียนเหมือนผู้ป่วยทุกอย่างแต่ได้ส่วนลด 20% เพราะไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนการติดตามดูหลังเข้าแค้มป์

2. ระยะก่อนเริ่มโปรแกรม (Pre-program preparation) 

     ผู้ป่วยทุกท่านที่ได้รับเข้าโปรแกรมแล้ว จะต้องจัดส่งข้อมูลโรคของตนมาให้แพทย์วิเคราะห์ทางอีเมล chaiyodsilp@gmail.com (ที่เดียวเท่านั้น) ก่อนที่จะเริ่มเปิดแค้มป์ โดยอย่างน้อยต้องส่งข้อมูลพื้นฐานซึ่งจะใช้เป็นตัวชี้วัดในโปรแกรมต่อไปนี้มาด้วย คือ

2.1 วันเดือนปีเกิด
2.2 เพศ
2.3 ส่วนสูง
2.4 น้ำหนัก
2.5 ความดันเลือด
2.6 น้ำตาลในเลือด (FBS) หรือน้ำตาลสะสม (HbA1C)
2.7 โคเลสเตอรอลรวม
2.8 ไตรกลีเซอไรด์
2.9 ไขมันดี (HDL)
2.10 ไขมันเลว (LDL)
2.11 ตัวชี้วัดการทำงานของไต (eGFR หรือ Cr)
2.12 เอ็นไซม์แสดงการทำงานของตับ (SGPT)
2.13 การวินิจฉัย (ชื่อ) โรคทุกโรคที่รักษาอยู่ในปัจจบัน และอาการป่วยทุกอาการที่มีในปัจจุบัน
2.14 ยาทุกตัวที่กินอยู่ในปัจจุบัน พร้อมทั้งขนาด และวิธีกิน
2.15 ผลการตรวจจำเพาะต่างๆ ถ้ามี เช่น ผลการตรวจเลือดอื่นๆ ภาพเอ็กซเรย์ปอด ผลตรวจสมรรถนะหัวใจ (EST) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ผลการตรวจหลอดเลือดหัวใจด้วยคอมพิวเตอร์ (CTA) ผลการตรวจสวนหัวใจ (CAG) ผลการตรวจผลการตรวจ CT สมอง โดยกรณีเป็นภาพหากส่งเป็นไฟล์ดิจิตอลได้ก็จะเป็นพระคุณ แต่หากส่งไม่ได้จะเอาโทรศัพท์ถ่ายแล้วส่งไฟล์รูปมาก็ได้ กรณีเป็นใบรายงานผลให้เอาโทรศัพท์ถ่ายใบรายงานแล้วส่งไฟล์มาก็ได้
2.16 คำบอกเล่าลักษณะการใช้ชีวิตประจำวัน เน้นที่
(1) การบรรยายลักษณะอาหารที่กินแต่ละมื้อทุกมื้อ
(2) การออกกำลังกายที่ทำในแต่ละวัน
(3) วิธีจัดการความเครียดที่ใช้อยู่ประจำ
(4) ความกังวล (concern) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ หากมีอยู่ในใจก็ให้แจ้งมาให้หมอสันต์ทราบด้วย
 
3. วิธีลงทะเบียนเข้าเรียน

1. แจ้งสำรองที่เรียน

     1.1 ทางโทรศัพท์ที่ พญ.สมวงศ์ ใจยอดศิลป์ โทร. 086 8882521 หรือคุณตู่ (ฐานวีร์ พีรกุล) โทร. 081 900 8321 หรือ 086 985 8628
     1.2 ทางอีเมล somwong10@gmail.com หรือ thannawee_pur@phyathai.com

2. ชำระเงินค่าลงทะเบียน

     โอนเงินเข้าบัญชี ธนาคารกรุงเทพ สาขาเมืองทองธานี เลขบัญชี 931 0 06792 2 ชื่อบัญชี นายสันต์ ใจยอดศิลป์

3. ยืนยันการรับลงทะเบียน

     ส่งภาพถ่ายสลิปใบโอนเงินที่เขียนชื่อของท่านด้วยปากกาทับไว้อย่างชัดเจนบนใบสลิปนั้นด้วย ส่งไปยังพญ.สมวงศ์ทางอีเมล somwong10@gmail.com  ในกรณีไม่สะดวกในการส่งภาพถ่าย จะโทรศัพท์บอกกับพญ.สมวงศ์ที่หมายเลข 086 8882521 โดยตรงด้วยตนเองก็ได้

     ขอความกรุณาอย่าส่งใบสลิปมาโดยไม่เขียนชื่อว่าเป็นเงินของใคร เพราะทางเวลเนสวีแคร์ได้รับใบสลิปแล้วก็ยังไม่รู้จะลงทะเบียนในชื่อใครอยู่ดี

     การลงทะเบียนจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อทางเวลเนสวีแคร์ได้รับทั้งเงินและชื่อผู้ส่งเงินแล้วเท่านั้น

4. การคืนเงินค่าลงทะเบียนกรณีไปเข้าคอร์สไม่ได้

     ในกรณีที่คอร์สนั้นเปิดสอนแบบขาดทุน จะไม่คืนค่าลงทะเบียนที่ชำระแล้วให้เลย (0%)

     ในกรณีที่คอร์สนั้นเปิดสอนโดยมีกำไร จะคืนเงินให้บางส่วนโดยหักค่าใช้จ่ายที่จ่ายล่วงหน้าในการเตรียมคอร์สก่อน ทั้งนี้ทางเวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์สงวนสิทธิ์ที่จะกำหนดยอดเงินที่จะต้องคืนแต่เพียงข้างเดียว

4. แค้มป์เปิดโปรแกรม (Kick-off camping) (3 วัน 2 คืน)

สถานที่และแผนที่เดินทางไป ..(รีสอร์ทในมวกเหล็ก-เขาใหญ๋ กำลังคัดเลือก ยังไม่ทราบชื่อ จะแจ้งภายหลัง)

หลักสูตร (Course Syllabus)
หลักสูตร: แค้มป์เปิดโปรแกรมพลิกผันโรคด้วยตัวคุณ

: Reversing Disease By Yourself (RD1)

คอนเซ็พท์ของแค้มป์
Self management for NCDs
ตัวผู้ป่วยคือผู้ที่สำคัญที่สุดที่จะจัดการโรคเรื้อรังของตนเองให้หายได้

วัตถุประสงค์
1.       ในด้านความรู้ คาดหวังให้ผู้ป่วยรู้สิ่งต่อไปนี้
a.       รู้เรื่องโรคของตัวเอง ทั้งพยาธิกำเนิด พยาธิวิทยา การรักษา
b.       รู้จักตัวชี้วัดที่ใช้เฝ้าระวังการดำเนินของโรค
c.       รู้จักยาทุกตัวที่ตนเองได้รับ ทั้งชื่อ ขนาด วิธีกิน กลุ่มยา ฤทธิ์ยา และผลข้างเคียง
d.       รู้ว่าตนเองสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ตนเองหายจากโรค
                                                               i.      ในแง่ของโภชนาการ รู้ประโยชน์ของอาหารพืชที่ไม่ผ่านการสกัดขัดสี (plant based, whole food) รู้โทษของเนื้อแดงและเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการถนอม
                                                             ii.      ในแง่ของการออกกำลังกาย รู้ประโยชน์และวิธีออกกำลังกายทั้งสามแบบ
                                                            iii.      ในแง่ของการจัดการความเครียด รู้ประโยชน์และวิธีจัดการความเครียดด้วยเทคนิค MBT
                                                           iv.      ในแง่ของการร่วมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน รู้ประโยชน์และพลังของกลุ่มและรู้วิธีทำกิจกรรมในกลุ่ม
2.       ในด้านทักษะ คาดหวังให้ผู้ป่วยสามารถทำสิ่งต่อไปนี้ด้วยตนเอง
a.       บริหารจัดการโรคของตนเองได้โดยใช้ตัวชี้วัดพื้นฐานเจ็ดตัว (1) น้ำหนัก (2) ความดันเลือด (3) ไขมัน LDL (4) น้ำตาลในเลือด (5) ปริมาณผักผลไม้ (6) เวลาออกกำลังกาย (7) อาการผิดปกติ (สามอย่างคือ เจ็บหน้าอก เปลี้ยล้า หน้ามืด)
b.       เลือกอาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปในตลาดที่เป็นอาหารพืชแบบไม่สกัดไม่ขัดสีได้
c.       ผัดทอดอาหารโดยใช้น้ำหรือใช้ลมร้อนแทนน้ำมันได้
d.       อบถั่วและนัทไว้เป็นอาหารว่างเองได้
e.       ทำเครื่องดื่มจากผักผลไม้โดยไม่ทิ้งกากด้วยตนเองได้
f.        ประเมินสมรรถนะร่างกายของตนเองด้วยการสังเกตอัตราการหายใจ การนับชีพจรจากเครื่องช่วยนับ และการทำ One milk walk test ให้ตัวเองได้
g.       ออกกำลังกายแบบแอโรบิกได้ด้วยตนเอง อย่างน้อย 1 วิธี (เดินเร็ว)
h.       ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยใช้ท่ากายบริหาร ดัมเบล สายยืด และกระบอง ได้ด้วยตนเอง
i.         ออกกำลังกายแบบเสริมการทรงตัวได้ด้วยตนเอง
j.         สามารถกำกับดูแลท่าร่าง (posture) ในชีวิตประจำวันของตนเองได้
k.       ผ่อนคลายความเครียดเฉียบพลันด้วยเทคนิค relax breathing ได้
l.         จัดการความเครียดในชีวิตประจำวันด้วยการฝึกสติแบบ MBSR ได้
m.     สามารถร่วมกิจกรรมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน ทั้งในเชิงเป็นผู้เปิดแชร์ความรู้สึกและเป็นผู้ให้การพยุงได้

3.       ในด้านเจตคติ คาดหวังให้ผู้ป่วยเกิดเจตคติต่อไปนี้
a.       มีความมั่นใจว่าตนเองมีอำนาจ (empowered) ที่จะดลบันดาลให้โรคของตัวเองหายได้
b.       มีความมุ่งมั่นในพันธะสัญญา (commitment) ที่จะเป็นผู้ดูแลตนเองไม่ให้เป็นภาระแก่คนอื่น
c.       มีความอยาก (motivated) ที่จะมีชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีความสุข

Learning Experience Time Table
ตารางการจัดประสบการณ์เรียนรู้

วันแรก ศุกร์

9.00-10.00
Registration
- ลงทะเบียนเข้าแค้มป์ เช็คอินเข้าห้องพัก
- วัดดัชนีมวลกาย
- วัดความดันเลือด
- ตรวจร่างกายโดยแพทย์
- อาหารว่าง

10.00 - 12.00
Workshop1: Disease management planning
- เรียนรู้การจัดการโรค จากแผนจัดการโรคของสมาชิกทีละคน

12.00 - 13.00
Lunch 
- พักรับประทานอาหารกลางวัน

13.00 13.15
Workshop2Camp planning
- สรุปภาพรวมของ 3 วันในแค้มป์ให้สมาชิกปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดปลีกย่อยของกิจกรรมการเรียนรู้ในแค้มป์ร่วมกัน

13.15-13.45
Workshop3 Roadmap to mindfulness
เรียนรู้หลักฝึกสติลดความเครียดในชีวิตประจำวันแบบสิบขั้นตอน และทดลองปฏิบัติ


13.45 - 14.15
Workshop4 - Muscle relaxation
- ฝึกปฏิบัติการจัดการความเครียดด้วยเทคนิคผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

14.15-15.15
Classroom1 Artherosclerosis, pathophysiology, symptomatology
-เรียนรู้โรคหลอดเลือด, พยาธิ-สรีรวิทยา, อาการวิทยา, ทางเลือกในการรักษา

15.15 - 15.30
Tea break
- พักดื่มน้ำชา

15.30 - 16.00
Workshop4 - Blood pressure measurement 
- ฝึกปฏิบัติ วิธีวัด บันทึก และวิเคราะห์ความดันเลือดอย่างถูกต้อง

16.00 - 16.30
Classroom2 Self management for hypertension
- เรียนรู้วิธีจัดการโรคความดันเลือดสูงในส่วนที่ทำได้ด้วยตนเอง

16.30 - 17.15
Workshop5 - Group support dynamic
ฝึกปฏิบัติการสร้างพลังขับเคลื่อนกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน โดยฝึกใช้กลไก (1) การแบ่งปันความรู้สึกเฉพาะ (2) การสร้างความบันดาลใจให้กัน ผ่านการเป็นแม่แบบและการแผ่เมตตา (3) การเรียนความรู้และทักษะใหม่ (4) การปลูกสำนึกว่าตัวเองมีอำนาจดูแลตัวเอง (5) การเป็นสถาบันทางใจหรือเป็น “พวกเดียวกัน” (pact instinct)

17.15 - 18.15
Workshop6 Aerobic exercise by brisk walking 
- เดินชมทิวทัศน์ยามเย็นด้วยกัน ฝึกใช้หลักท่าร่างและหลักการหายใจ แล้วฝึกปฏิบัติการออกกำลังกายแบบแอโรบิกด้วยวิธีเดินเร็ว

18.15 - 20.00
Dinner 
- รับประทานอาหารเย็น

20.00 - 06.00
Personal time
- พักผ่อนตามอัธยาศัย


วันที่สอง (เสาร์)

6.30 - 7.15
Workshop7 Fitness assessment with one mile walk test and self- monitored exercise.
- ฝึกประเมินสมรรถนะร่างกายตนเองด้วยวิธี One mile walk test ควบกับการฝึกทดสอบสรรถนะของหัวใจด้วยตนเอง
7.15 8.00
Workshop8. Strength training using steps.
ฝึกออกกำลังกายแบบสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
8.00 - 9.30
Breakfast and personal time
- รับประทานอาหารเช้า อาบน้ำ และพักผ่อนส่วนตัว
9.30- 10.45
Classroom3 Plant-based, whole food
บรรยายเรื่องโภชนาการที่มีพืชเป็นหลัก ไม่สกัด ไม่ขัดสี
10.45-11.00
Tea break & Workshop9: Mindful eating
พักรับประทานน้ำชา อาหารว่าง และฝึกปฏิบัติวิธีกินอย่างมีสติ
11.00 13.00
Workshop10 Plant-based, no oil cooking class
ชั้นเรียนลงมือทำอาหารด้วยตนเองแบบพืชเป็นหลัก โดยไม่ใช้น้ำมัน และรับประทานอาหารกลางวันที่ตนเองทำ
13.00 - 14.00
Workshop11 - Supermarket shopping 
- ฝึกปฏิบัติการเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปในตลาด
14.00  - 14.30
Classroom4 ANS and cardiac arrythmia 
บรรยายเรื่องระบบประสาทอัตโนมัติและความผิดปกติของการเต้นของหัวใจ 
14.30 - 16.00
Workshop12Hands only CPR & AED 
- ฝึกปฏิบัติการช่วยชีวิตด้วยมืออย่างเดียว และการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าอัตโนมัติ โดยพักดื่มน้ำชาและรับประทานผลไม้ไปด้วยในขณะปฏิบัติ
16.00 - 17.00
Workshop13 - Mindfulness based stress reduction (MBSR)
- ฝึกสติเพื่อลดความเครียดด้วยวิธีนั่งทำสมาธิตามแบบ BMSR
17.00 - 18.00
Workshop14 - Muscle strength training using dumbbell and elastic band
- ฝึกปฏิบัติการออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยใช้ดัมเบลและสายยืด
18.00 - 20.00
Dinner 
- รับประทานอาหารเย็น
20.00 - 06.00
Personal time
- พักผ่อนตามอัธยาศัย

วันที่สาม  (อาทิตย์ )


6.30 - 7.00
Workshop15 Mindfulness movement exercise (Tai Chi)
- ฝึกสติด้วยวิธีตามรู้การเคลื่อนไหวแบบ Tai Chi
7.00 - 7.30
Workshop16 Core muscle training
- ฝึกปฏิบัติการออกกำลังกายสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อพยุงกระดูกสันหลัง
7.30 8.00
Workshop17Balance exercise
- ฝึกปฏิบัติการออกกำลังกายเพื่อเสริมการทรงตัว
8.00 - 9.30
Breakfast and personal time
- รับประทานอาหารเช้าและทำกิจส่วนตัว
9.3010.00
Classroom5 Heart failure
โรคหัวใจล้มเหลว และการจัดการโรคด้วยตนเอง
10.00-10.30
Classroom6 Diabetes
โรคเบาหวานและการจัดการโรคด้วยตนเอง
10.30-10.45
Tea break
พักรับประทานน้ำชาและผลไม้
10.45 11.30
Classroom7 Weight loss
ประเด็นปฏิบัติสำหรับการลดน้ำหนักด้วยอาหารพืชเป็นหลักไม่สกัดไม่ข้ดสี
11.30 12.30
Workshop18: RD1 Group Support meeting
การประชุมกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน RD1 ครั้งแรก แชร์ความรู้สึก ข้อเสนอ จากทุกคน เลือกผู้ประสานงาน วางแผนสื่อสาร และลงวันนัดหมายพบกันอีกสองครั้งในปี 2559
12.30 - 13.30
Lunch 
- พักรับประทานอาหารกลางวันที่ตนเองทำ
- เข้าชื่อจองเวลาปรึกษาปัญหาสุขภาพส่วนบุคคลก่อนกลับบ้าน
13.30 - 13.15
Camp Closure
- ถ่ายรูป ปิดแค้มป์อย่างเป็นทางการ
13.15 - 17.00
Personal medical Consultation
- เวลาสำรองเผื่อไว้สำหรับการปรึกษาปัญหาสุขภาพรายคน (เพื่อนร่วมแค้มป์ที่ไม่รีบกลับ อยู่ฟังคำแนะนำด้วยได้)
-สำหรับปัญหาที่เป็นความลับ ให้รอปรึกษาหลังจบการปรึกษาในห้อง


4. การติดตามผลที่บ้านระหว่างอยู่ในโปรแกรม (In program home call)(11 มค. 59 - 6 มค. 60)

     4.1 แพทย์หรือพยาบาลประจำตัวผู้ป่วย จะโทรศัพท์หรืออีเมลติดตามรับทราบดัชนีสุขภาพกับผู้ป่่วยแต่ละคนโดยตรงเดือนละ 1 ครั้งตามตารางนัดหมายล่วงหน้าตลอดปี
     ในกรณีที่มีปัญหาเฉพาะเร่งด่วน อาจมีการนัดหมายให้เข้ามาฝึกฝนทักษะเพิ่มเติมพิเศษเฉพาะคนเป็นกรณีไป กรณีที่เป็นปัญหาไม่เร่งด่วน จะเก็บรวบรวมไว้เพื่อเรียนรู้และฝึกปฏิบัติเพิ่มเติมในแค้มป์ติดตามผล
     4.2 ผู้ป่วยแต่ละคนจะติดต่อสื่อสารกันเองในกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนผ่านทางไลน์ โทรศัพท์ และอีเมล

5. แค้มป์ติดตามผลกลางปี (Mid year camp) (2 วัน 1 คืน)

     ผู้ป่วยทุกคนจะต้องกลับมาเข้าแค้มป์ติดตามกลางปี (สองวันหนึ่งคืน) เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูทักษะที่ยังบกพร่องและปรับแก้สาเหตุที่ยังทำให้จัดการโรคของตนเองไม่สำเร็จ รายละเอียดของแค้มติดตามกลางปีจะออกแบบหลังจากที่ได้ประเมินผลการติดตามที่บ้านได้อย่างน้อย 4 เดือนแล้ว

6. แค้มป์ก่อนปิดโปรแกรม (Final camp)(2 วัน 1 คืน)

     ผู้ป่วยทุกคนจะต้องกลับมาเข้าแค้มป์ก่อนปิดโปรแกรม (สองวันหนึ่งคืน) เพื่อประเมินตัวชี้วัดเป็นครั้งสุดท้ายว่ายังมีใครที่ยังจัดการโรคของตนเองไม่สำเร็จเพื่อจะได้ออกแบบวิธีจัดการโรคเฉพาะคนหลังปิดโปรแกรมไปแล้ว และเพื่อให้ทุกคนได้ทบทวนและฝึกฝนทักษะที่สำคัญซ้ำอีกก่อนปิดโปรแกรม


7. ความปลอดภัยขณะเข้าแค้มป์

     ผู้ป่วยที่มาเข้าโปรแกรมนี้ส่วนหนึ่งเป็นผู้ป่วยหนัก บ้างทำผ่าตัดบายพาสมาแล้ว บ้างทำบอลลูนมาแล้วคนละครั้งสองครั้ง บ้างแค่เดินสองสามก้าวก็หอบหรือเจ็บหน้าอกแล้ว ความกังวลเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องธรรมดา ตัวหมอสันต์เองเป็นหมอผ่าตัดหัวใจมาก่อน จึงละเอียดรอบคอบและไม่ประมาทในเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วย การเตรียมการด้านความปลอดภัยขณะเข้าแค้มป์ทุกครั้งรวมไปถึงการมีอุปกรณ์เครื่องมือเพื่อรับมือกับภาวะฉุกเฉินได้เทียบเท่ากับห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทั่วไป รวมทั้งขีดความสามารถที่จะเปิดหลอดเลือดให้น้ำเกลือหรือยาทางหลอดเลือดดำได้ทันที ขีดความสามารถที่จะใส่ท่อช่วยหายใจและช่วยการหายใจในภาวะฉุกเฉิน นอกจากนั้นยังมีขีดความสามารถที่จะช็อกไฟฟ้าหัวใจในกรณีฉุกเฉิน โดยมีแพทย์เวชบำบัดวิกฤติ (emergency medical physician) และพยาบาลดูแลผู้ป่วยวิกฤติอยู่ประจำตลอดการฝึกอบรมอยู่ในแค้มป์

     ที่เล่าทั้งหมดนี้ให้ฟังอาจจะมีผลเสียทำให้เข้าใจผิดว่าการจะปรับวิถีชีวิตเพื่อพลิกผันโรคให้ตัวเองนั้นเป็นเรื่องอันตราย ความเป็นจริงไม่ใช่เลย การปรับการใช้ชีวิตทั้งอาหารและการออกกำลังกายเพื่อดูแลตัวเองให้ได้นั้นเป็นกลไกรักษาโรคตามธรรมชาติ มีอันตรายน้อยกว่าการรักษาด้วยยา บอลลูน หรือผ่าตัดในโรงพยาบาลอย่างเทียบกันไม่ได้ แต่หมอสันต์จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยในแค้มป์ให้มากเกินความจำเป็นไว้สักหน่อย เพียงเพื่อให้ผู้ป่วยหนัก ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการเข้าแค้มป์ กล้ามาเข้าแค้มป์เท่านั้นเอง

8. วันสิ้นสุดโปรแกรมคือวันที่ 21 มค. 60

9. การติดตามหลังปิดโปรแกรม (Post program follow up)

     8.1 เมื่อปิดโปรแกรมไปแล้ว ศิษย์เก่าทุกคนจะยังคงเป็นสมาชิกกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนซึ่งจะยังติดต่อสื่อสารและนัดหมายพบปะช่วยเหลือกัน และพบกันตามอัธยาศัย
     8.2 ศิษย์เก่าแต่ละคนจะส่งผลดัชนีสุขภาพมาเข้าฐานข้อมูลของโปรแกรมปีละครั้ง
     8.3 แพทย์หรือพยาบาลประจำตัวผู้ป่วยจะติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์หรืออีเมลกับศิษย์เก่าปีละครั้ง
     8.4 ศิษย๋เก่าสามารถรับข่าวสารของโปรแกรมได้จากจดหมายข่าว ซึ่งจะส่งไปให้ศิษย์เก่าเดือนละครั้ง
     8.5 ในกรณีที่มีปัญหา ศิษย์เก่าสามารถโทรศัพท์หรือเขียนอีเมลมาหาแพทย์หรือพยาบาลประจำตัวได้ทันที
     8.5 หลังปิดโปรแกรมไปแล้ว ศิษย์เก่าไม่ต้องชำระค่าลงทะเบียนใดๆอีก ยกเว้นกรณีที่สมัครมาเข้าแค้มป์ทบทวนทักษะซ้ำ หรือเข้าแค้มป์กิจกรรมต่างๆที่ศูนย์เวลเนสวีแคร์จัดขึ้น ซึ่งต้องจ่ายค่าลงทะเบียนในอัตราที่กำหนดไว้สำหรับศิษย์เก่า



นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]