สวัสดีคะ อาจารย์
หนูเป็นหมอดมยา แต่ทำงานเครียดง่ายมากจนผมขาวเลยคะ. อยากเลิกแต่ก็ไม่รู้จะหาเงินจากไหนแทน ถ้าเป็นอาจารย์จะทำไงดีคะ ทุกวันนี้ทนๆๆทำไปมา9ปีแล้วคะ. แต่รู้ตัวว่าอายุสั้นแน่นอนคะ
......................................................
ตอบครับ
ถามว่าถ้าเป็นหมอสันต์ทำงานเครียดจนผมขาวแล้วจะทำไง ตอบว่าก็ย้อมผมสิครับ (หิ หิ ขอโทษ พูดเล่น)
sincerely เลยก็คือผมเข้าใจคุณนะ
แต่ผมยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคุณเครียดจากอะไร คุณต้องการลาออกจากอะไร การเป็นหมอดมยานั้นลาออกไม่ยากดอก แม้การเป็นภรรยาของผู้ชายบื้อๆสักคนก็ยังลาออกไม่ยาก แต่การเป็นอย่างอื่นบางอย่างเช่นการเป็นแม่ หรือการเป็นลูก มันลาออกยากนิดหน่อย ผมไม่รู้ว่าคุณเครียดจากอะไรกันแน่ จึงได้แต่เดาเอาว่าความเครียดของคุณเป็นผลจากการประชุมแห่งเหตุ คือทุกๆอย่าง ทุกๆบทบาท ทุกๆ personality ในชีวิตของคุณ รวมกันแล้วทำให้คุณเครียด หรือพูดอีกอย่างว่าการที่คุณแบกโลกไว้ ทำให้คุณเครียด
คำว่า personality หรือ person ที่แปลว่าความเป็นบุคคลนี้มาจากคำภาษาละตินว่า persona ซึ่งแปลว่า "หน้ากาก" ที่ใช้แสดงละครกลางแจ้งในกรีกสมัยโบราณ มันเป็นหน้ากากแบบปากกว้างๆ เพราะต้องทำหน้าที่เป็นโทรโข่งขยายเสียงที่ตัวละครพูดออกมาด้วย เนื่องจากสมัยโน้นไม่มีเครื่องขยายเสียง หน้ากากแบบนี้คุณยังเห็นได้ในมิวเซียมบางแห่งในยุโรป ในเรื่องเดียวนักแสดงคนหนึ่งใส่หน้ากากได้สี่ห้าแบบ หยิบหน้ากากหนึ่งขึ้นมาแปะหน้าตัวเองก็ทำเสียงแบบหนึ่งเล่นบทบาทแบบหนึ่ง จบละครแล้วก็วางหน้ากากทั้งหมดกลับไปสู่ชีวิตจริงที่บ้าน
ความเป็นบุคคลของคนเรานี้ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะความเป็นหมอ เป็นภรรยา เป็นแม่ เป็นลูก มันไม่ใช่ของจริงนะ มันเป็นเพียงหน้ากากที่ใช้ใส่ตอนเล่นละคร จบละครแล้วก็กลับไปสู่ความเป็นตัวจริงของเรา คือ "ความรู้ตัว" หรือ awareness ที่ไม่มีผลประโยชน์ได้เสียกับหน้ากากอันไหนทั้งสิ้น
ปัญหาชีวิตมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราใส่หน้ากากเล่นละครแล้วเราอินกับละครมากเกินไป นึกว่ามันเป็นเรื่องได้เสียกันจริงๆ เราก็เลยเครียดจนผมหงอก นั่นเป็นเพราะเราเล่นละครไม่เป็น ผมเข้าใจคุณเพราะผมเองก็เคยเป็นแบบคุณ สมัยที่ผมยังทำผ่าตัดหัวใจอยู่ ตื่นเช้าเข้ามาในห้องผ่าตัดหากมีอะไรผิดเพื้ยนจากโผไปนิดเดียวแม้แต่เรื่องขี้ๆอย่างเช่นเห็นหมอดมยาคุยเล่นกับพยาบาลแทนที่จะงุดๆทำหน้าเคร่งๆอยู่กับชาร์ตหรือคนไข้ผมจะหงุดหงิดทันที ผมมักจะบอกตัวเองเพื่อให้เครียดๆไว้เสมอว่า
"มันเกี่ยวกับความเป็นความตายของคนไข้"
ขณะที่หมอผ่าตัดรุ่นน้องอีกคนหนึ่งซึ่งผมแอบมองว่าเขาเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ คือ ติ๊งๆต๊องๆ ด๊อกๆแด๊กๆ ไม่ทำอะไรอย่างจริงจัง มีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นก็ทำตาใสไร้เดียงสา แต่เมื่อทำงานด้วยกันนานไป ผมแอบดูสถิติอัตราตายของคนไข้ที่เขาทำผ่าดัด มันก็ไม่เห็นจะสูงกว่าสถิติของผมเลย แสดงว่าผมเครียดฟรี งานนี้ทำแบบไม่ต้องเครียดก็ได้ผลดีเท่ากัน แต่ผมทำไม่เป็น เจ้าน้องคนนั้นเขาทำเป็น
มาตอบคำถามของคุณที่ว่าจะทำไงดีคะดีกว่า ตอบว่าผมมีทางเลือกให้คุณสามทาง
ทางเลือกที่ 1. ทำงานใส่หน้ากากในทุกบทบาทต่อไป แต่เปลี่ยนนโยบายการทำงาน คือทิ้งระยะระหว่างตัวเราที่แท้จริง กับความเป็นบุคคลสมมุติของแต่ละบทบาทไว้นิดๆ ไม่อินมากเกินไป โฟกัสที่เดี๋ยวนี้ อย่าไปสนใจอนาคต อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด สนใจเดี๋ยวนี้ดีกว่า อีกหนึ่งวินาทีข้างหน้าอะไรจะมาไม่มีใครรู้ นี่แหละคือความมหัศจรรย์ของชีวิต อยู่กับเดี๋ยวนี้ไปอย่างตื่นเต้นมหัศจรรย์ เมื่ออะไรโผล่มา ให้ท่องคาถา acceptance เข้าไว้ คืออะไรจะโผล่มาก็รับได้หมด โอเค.หมด เพราะมันโผล่มาแล้วจะไม่โอได้ไงละถูกแมะ
ทางเลือกที่ 2. ทิ้งงานไปเลย สองปี ทิ้งแบบทิ้งให้สะเด็ดน้ำเลยนะ ลาออก ไม่ต้องวางแผนอะไรมาก มีเงินน้อยก็ใช้น้อย ไม่มีก็ไม่ใช้ อีกสองปีค่อยกลับมาทำใหม่ สองปีข้างหน้าทิ้งไว้ให้เป็นความไม่รู้ยังงั้นแหละ คือยอมรับความเป็นไปได้ทุกแบบที่จะเกิดขึ้น ใครถามว่าจะไปทำอะไร ตอบว่าไม่รู้ อย่างที่เพลงเพราะๆเพลงหนึ่งบอกว่า
"ต่อไปจะเป็นฉันใด...ไม่..รู้..."
สองปีผ่านไป ถ้าอยากกลับ ก็กลับมา ผมเคยเห็นหมอผ่าตัดคนหนึ่งมีปัญหาชีวิตแล้วทำแบบนี้ ไปทำเรื่องขี้ๆไร้สาระเสียสองปี แล้วกลับมาเป็นหมอผ่าตัดใหม่ ผมเห็นว่าเขามีความสุขมากกว่าเดิม
ทางเลือกที่ 3. ทิ้งทุกอย่างไปอย่างถาวร for good สวีวี่วี เลิกทุกบทบาทหน้าที่แม้บทบาทที่ไม่มีใครคิดว่าจะเลิกได้ก็เลิก เพราะรู้ๆอยู่ว่ามันไม่ใช่ของจริงทั้งนั้นแหละ เกิดมาทั้งที นี่เป็นโอกาสทองแล้ว ที่ผ่านมาเจนจบพบแล้วว่าไม่ใช่ ทิ้งทุกอย่างไปลองชีวิตใหม่ที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย นี่เป็นทางเลือกที่หมอสันต์สรรเสริญที่สุด และที่คุณถามว่าถ้าหมอสันต์เป็นคุณจะทำอย่างไร ตอบว่าผมจะเลือกทางที่สามนี้ คุณกล้าหรือเปล่าละ เพราะตัวหมอสันต์เองในอดีตเคยเดินมาถึงทางสามแพร่งแบบนี้ก็ยังไม่กล้าเลย หิ หิ แต่ตอนนี้กล้าแล้วนะ เพราะตอนนี้ไม่มีทางหลายแพร่งให้เลือกอีกแล้ว จึงกล้า
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
[อ่านต่อ...]
หนูเป็นหมอดมยา แต่ทำงานเครียดง่ายมากจนผมขาวเลยคะ. อยากเลิกแต่ก็ไม่รู้จะหาเงินจากไหนแทน ถ้าเป็นอาจารย์จะทำไงดีคะ ทุกวันนี้ทนๆๆทำไปมา9ปีแล้วคะ. แต่รู้ตัวว่าอายุสั้นแน่นอนคะ
......................................................
ตอบครับ
ถามว่าถ้าเป็นหมอสันต์ทำงานเครียดจนผมขาวแล้วจะทำไง ตอบว่าก็ย้อมผมสิครับ (หิ หิ ขอโทษ พูดเล่น)
sincerely เลยก็คือผมเข้าใจคุณนะ
แต่ผมยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วคุณเครียดจากอะไร คุณต้องการลาออกจากอะไร การเป็นหมอดมยานั้นลาออกไม่ยากดอก แม้การเป็นภรรยาของผู้ชายบื้อๆสักคนก็ยังลาออกไม่ยาก แต่การเป็นอย่างอื่นบางอย่างเช่นการเป็นแม่ หรือการเป็นลูก มันลาออกยากนิดหน่อย ผมไม่รู้ว่าคุณเครียดจากอะไรกันแน่ จึงได้แต่เดาเอาว่าความเครียดของคุณเป็นผลจากการประชุมแห่งเหตุ คือทุกๆอย่าง ทุกๆบทบาท ทุกๆ personality ในชีวิตของคุณ รวมกันแล้วทำให้คุณเครียด หรือพูดอีกอย่างว่าการที่คุณแบกโลกไว้ ทำให้คุณเครียด
คำว่า personality หรือ person ที่แปลว่าความเป็นบุคคลนี้มาจากคำภาษาละตินว่า persona ซึ่งแปลว่า "หน้ากาก" ที่ใช้แสดงละครกลางแจ้งในกรีกสมัยโบราณ มันเป็นหน้ากากแบบปากกว้างๆ เพราะต้องทำหน้าที่เป็นโทรโข่งขยายเสียงที่ตัวละครพูดออกมาด้วย เนื่องจากสมัยโน้นไม่มีเครื่องขยายเสียง หน้ากากแบบนี้คุณยังเห็นได้ในมิวเซียมบางแห่งในยุโรป ในเรื่องเดียวนักแสดงคนหนึ่งใส่หน้ากากได้สี่ห้าแบบ หยิบหน้ากากหนึ่งขึ้นมาแปะหน้าตัวเองก็ทำเสียงแบบหนึ่งเล่นบทบาทแบบหนึ่ง จบละครแล้วก็วางหน้ากากทั้งหมดกลับไปสู่ชีวิตจริงที่บ้าน
ความเป็นบุคคลของคนเรานี้ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะความเป็นหมอ เป็นภรรยา เป็นแม่ เป็นลูก มันไม่ใช่ของจริงนะ มันเป็นเพียงหน้ากากที่ใช้ใส่ตอนเล่นละคร จบละครแล้วก็กลับไปสู่ความเป็นตัวจริงของเรา คือ "ความรู้ตัว" หรือ awareness ที่ไม่มีผลประโยชน์ได้เสียกับหน้ากากอันไหนทั้งสิ้น
ปัญหาชีวิตมักจะเกิดขึ้นเมื่อเราใส่หน้ากากเล่นละครแล้วเราอินกับละครมากเกินไป นึกว่ามันเป็นเรื่องได้เสียกันจริงๆ เราก็เลยเครียดจนผมหงอก นั่นเป็นเพราะเราเล่นละครไม่เป็น ผมเข้าใจคุณเพราะผมเองก็เคยเป็นแบบคุณ สมัยที่ผมยังทำผ่าตัดหัวใจอยู่ ตื่นเช้าเข้ามาในห้องผ่าตัดหากมีอะไรผิดเพื้ยนจากโผไปนิดเดียวแม้แต่เรื่องขี้ๆอย่างเช่นเห็นหมอดมยาคุยเล่นกับพยาบาลแทนที่จะงุดๆทำหน้าเคร่งๆอยู่กับชาร์ตหรือคนไข้ผมจะหงุดหงิดทันที ผมมักจะบอกตัวเองเพื่อให้เครียดๆไว้เสมอว่า
"มันเกี่ยวกับความเป็นความตายของคนไข้"
ขณะที่หมอผ่าตัดรุ่นน้องอีกคนหนึ่งซึ่งผมแอบมองว่าเขาเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ คือ ติ๊งๆต๊องๆ ด๊อกๆแด๊กๆ ไม่ทำอะไรอย่างจริงจัง มีความผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นก็ทำตาใสไร้เดียงสา แต่เมื่อทำงานด้วยกันนานไป ผมแอบดูสถิติอัตราตายของคนไข้ที่เขาทำผ่าดัด มันก็ไม่เห็นจะสูงกว่าสถิติของผมเลย แสดงว่าผมเครียดฟรี งานนี้ทำแบบไม่ต้องเครียดก็ได้ผลดีเท่ากัน แต่ผมทำไม่เป็น เจ้าน้องคนนั้นเขาทำเป็น
มาตอบคำถามของคุณที่ว่าจะทำไงดีคะดีกว่า ตอบว่าผมมีทางเลือกให้คุณสามทาง
ทางเลือกที่ 1. ทำงานใส่หน้ากากในทุกบทบาทต่อไป แต่เปลี่ยนนโยบายการทำงาน คือทิ้งระยะระหว่างตัวเราที่แท้จริง กับความเป็นบุคคลสมมุติของแต่ละบทบาทไว้นิดๆ ไม่อินมากเกินไป โฟกัสที่เดี๋ยวนี้ อย่าไปสนใจอนาคต อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด สนใจเดี๋ยวนี้ดีกว่า อีกหนึ่งวินาทีข้างหน้าอะไรจะมาไม่มีใครรู้ นี่แหละคือความมหัศจรรย์ของชีวิต อยู่กับเดี๋ยวนี้ไปอย่างตื่นเต้นมหัศจรรย์ เมื่ออะไรโผล่มา ให้ท่องคาถา acceptance เข้าไว้ คืออะไรจะโผล่มาก็รับได้หมด โอเค.หมด เพราะมันโผล่มาแล้วจะไม่โอได้ไงละถูกแมะ
ทางเลือกที่ 2. ทิ้งงานไปเลย สองปี ทิ้งแบบทิ้งให้สะเด็ดน้ำเลยนะ ลาออก ไม่ต้องวางแผนอะไรมาก มีเงินน้อยก็ใช้น้อย ไม่มีก็ไม่ใช้ อีกสองปีค่อยกลับมาทำใหม่ สองปีข้างหน้าทิ้งไว้ให้เป็นความไม่รู้ยังงั้นแหละ คือยอมรับความเป็นไปได้ทุกแบบที่จะเกิดขึ้น ใครถามว่าจะไปทำอะไร ตอบว่าไม่รู้ อย่างที่เพลงเพราะๆเพลงหนึ่งบอกว่า
"ต่อไปจะเป็นฉันใด...ไม่..รู้..."
สองปีผ่านไป ถ้าอยากกลับ ก็กลับมา ผมเคยเห็นหมอผ่าตัดคนหนึ่งมีปัญหาชีวิตแล้วทำแบบนี้ ไปทำเรื่องขี้ๆไร้สาระเสียสองปี แล้วกลับมาเป็นหมอผ่าตัดใหม่ ผมเห็นว่าเขามีความสุขมากกว่าเดิม
ทางเลือกที่ 3. ทิ้งทุกอย่างไปอย่างถาวร for good สวีวี่วี เลิกทุกบทบาทหน้าที่แม้บทบาทที่ไม่มีใครคิดว่าจะเลิกได้ก็เลิก เพราะรู้ๆอยู่ว่ามันไม่ใช่ของจริงทั้งนั้นแหละ เกิดมาทั้งที นี่เป็นโอกาสทองแล้ว ที่ผ่านมาเจนจบพบแล้วว่าไม่ใช่ ทิ้งทุกอย่างไปลองชีวิตใหม่ที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย นี่เป็นทางเลือกที่หมอสันต์สรรเสริญที่สุด และที่คุณถามว่าถ้าหมอสันต์เป็นคุณจะทำอย่างไร ตอบว่าผมจะเลือกทางที่สามนี้ คุณกล้าหรือเปล่าละ เพราะตัวหมอสันต์เองในอดีตเคยเดินมาถึงทางสามแพร่งแบบนี้ก็ยังไม่กล้าเลย หิ หิ แต่ตอนนี้กล้าแล้วนะ เพราะตอนนี้ไม่มีทางหลายแพร่งให้เลือกอีกแล้ว จึงกล้า
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์