ในชั่วโมงนี้้เราจะคุยกันถึงพลังชีวิต
“พลังชีวิต” ภาษาจีนเรียกว่า “ชี่” ภาษาอินเดียเรียกว่า “ปราณา” ภาษาไทยยังไม่มีศัพท์บัญญัติแต่ก็นิยมใช้คำว่า “พลังชีวิต” กันทั่วไป นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับหลักวิชาแพทย์ ไม่เกี่ยวอะไรกับหลักฐานวิทยาศาสตร์ เพราะทั้งหลักวิชาแพทย์และหลักฐานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่นับว่าพลังชีวิตมีอยู่จริงเนื่องจากมันชั่งตวงวัดไม่ได้ แต่หมอสันต์กำลังบอกว่าพลังชีวิตมีอยู่จริงและเราใช้ประโยชน์จากมันได้ ทั้งนี้จากประสบการณ์ของตัวเอง ท่านอย่าเพิ่งรีบ “ไม่เชื่อ” หรือรีบ “เชื่อ” เพราะแบบนั้นจะเป็นความงมงายทั้งคู่ แต่ให้ท่านจัดมันอยู่ในเรื่องที่ท่านยัง “ไม่รู้” ไว้ก่อน รอจนท่านมีประสบการณ์ด้วยตัวเองแล้วท่านค่อยสรุปว่ามันมีหรือไม่มีอยู่จริงก็ได้
นิยาม “พลังชีวิต”
ของบางอย่างนิยามเป็นภาษาไม่ได้ แต่ก็ต้องนิยามไม่งั้นสื่อกันไม่ได้เลย พลังชีวิตก็คือพลังงานในรูปของคลื่นความสั่นสะเทือนที่ประกอบขึ้นเป็นชั้นหนึ่งของชีวิต ที่แม้ตาจะมองไม่เห็น หูจะฟังไม่ได้ยิน แต่จิตสำนึกรับรู้สามารถรู้สึก (feel) ถึงมันได้ในสองรูปแบบ คือแบบที่หนึ่ง เป็นความรู้สึกทางร่างกาย เช่น ความรู้สึกวูบวาบ ร้อนผ่าว ซู่ๆซ่าๆ จิ๊ดๆจ๊าดๆ เหน็บๆ ชาๆ เจ็บๆคันๆ ใจเต้น เป็นต้น แบบที่สอง เป็นความรู้สึกทางใจ เช่นตื่นเต้น กระดี๊กระด๊า ระริกระรี้ ถูกจริต มหัศจรรย์ อยากรู้อยากเห็น เปิดรับอ้าซ่า
ที่ผมบอกว่าพลังชีวิตเป็นชั้นหนึ่งของชีวิตนี่เป็นการแบ่งชั้นของชีวิตให้แยกย่อยลงไปพ้นหลักวิทยาศาสตร์ที่แบ่งชีวิตออกเป็นแค่สองชั้นคือร่างกายและจิตใจโดยวิทยาศาสตร์เหมาเอา (อย่างไม่มีหลักฐาน) ว่าจิตใจงอกออกมาจากสมอง แต่ทางจิตวิญญาญนิยมแบ่งว่าชีวิตนี้ประกอบด้วยชั้นต่างๆซ้อนทับกันอยู่เหมือนชั้นของหัวหอมหรือกระเทียมหลายชั้น บ้างนิยามว่ามีห้าชั้นบ้าง เจ็ดชั้นบ้าง แล้วแต่ว่าใครเป็นคนนิยาม ผมเองขอนิยามง่ายๆว่าชีวิตแบ่งเป็นสี่ชั้นก็แล้วกัน คือ (1) ร่างกาย (2) พลังชีวิต (3) ความคิด (4)ความรู้ตัว นี่เป็นคอนเซ็พท์หรือสมมุติฐานในภาพรวมเพื่อให้ง่ายต่อการคุยกันเฉยๆนะ เพราะในความเป็นจริงทั้งสี่ชั้นนี้แม้จะเป็นของคนละอย่างกัน แต่ก็ผสามเชื่อมต่อกันอย่างหาขอบเขตแยกจากกันให้เด็ดขาดชัดเจนไม่ได้
พลังชีวิตเป็นพลังงานที่เชื่อมโยงกับพลังงานภายนอกหรือที่นิยมพูดกันว่า “พลังจักรวาล” จุดเชื่อมโยงก็ได้แก่ลมหายใจ น้ำ อาหาร สถานที่ แม้แต่บรรยากาศหรืออวกาศก็เชื่อมโยงพลังงานหากันได้
พลังชีวิตเป็นตัวทำให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างมีชีวิตชีวา ทำให้ร่างกายคงอยู่ เคลื่อนไหวเดินเหินทำอะไรได้ เมื่อพลังชีวิตค่อยๆมอด ชีวิตก็จะเริ่มไร้พลังที่จะทำอะไร เมื่อพลังชีวิตดับ ร่างกายก็ตายเน่าเปื่อยเป็นปุ๋ย ดังนั้นตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่เราก็อยากให้มีพลังชีวิตแยะๆ จะได้มีชีวิตแบบมีชีวิตชีวา ขณะเดียวกันก็สงบเย็น มีเรี่ยวมีแรงทำอะไรสร้างสรรค์ได้มากๆ
วิธีเพิ่มพลังชีวิต
วิธีเพิ่มพลังชีวิตทั้งสิบเอ็ดวิธีที่ผมจะเล่าต่อไปนี้สรุปมาจากประสบการณ์ชีวิตของคนๆเดียวคือตัวผมเองนะ ท่านเอาไปลองปฏิบัติดูได้ แต่จะได้ผลอย่างที่ผมทำแล้วได้ผลหรือไม่ผมไม่ทราบ หิ หิ แต่ถ้าไม่ลองดูเองบ้างแล้วจะมีโอกาสได้รู้ไหมละ
1.. หายใจแบบเพิ่มพลังชีวิต ด้วยการสูดหายใจเข้าไปลึกๆช้าๆ กลั้นลมหายใจไว้สักพัก แล้วผ่อนลมหายใจออกเบายาวๆช้าๆจนหมดลม จะใช้วิธีนับไปด้วยก็ได้ 4-4-8 เข้านับ 1-2-3-4 แล้วกลั้นไว้ขณะนับ 1-2-3-4 แล้วผ่อนลมหายใจออกและนับ 1-2-3-4-5-6-7-8 ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่คิดขึ้นได้ทุกวันทุกที่ทุกเวลา
ก่อนดื่มกาแฟสูดกลิ่นกาแฟลึกๆ แล้วรับรู้พลังที่กลิ่นนั้นนำเข้ามาก่อน สูดกลิ่นหอมที่ชอบ อโรม่า กลิ่นชักนำความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับอายตนะรับกลิ่นแทน หอมสำหรับบางคนอาจเหม็นสำหรับบางคน นี่ไม่ซีเรียส เอาที่เราชอบ สมัยผมเด็กๆชอบไปยุ่งกับยายซึ่งมีน้ำหอมใช้ยี่ห้อเดียวคือน้ำมันมะพร้าว ผมก็เลยติดกลิ่นน้ำมันมะพร้าวว่าหอมดี แต่คนข้างๆดมแล้วทำจมูกฟิตฟิต หิ หิ อันนี้ทศนิยมของใครของมันนะ ใครชอบกลิ่นอะไรก็สูดดมกลิ่นนั้นบ่อยๆ สูดเข้าไปแต่ละทีให้สูดลึกๆ รับเอาพลังงานเข้าไปให้เต็มอิ่มพร้อมกับลมหายใจด้วย
พวกโยคีมีเทคนิคใช้การหายใจเพิ่มพลังชีวิตเยอะแยะมาก ซึ่งมีสององค์ประกอบย่อยที่ใช้ควบคู่กัน คือการหายใจให้มากกว่าปกติสลับกับการกลั้นหายใจ บางทีเรียกว่าการหายใจแบบสูบลม คือแรงและเร็วฟืดฟาดๆ จนร่างกายเป็นด่างได้ที่คือเบลอๆเหมือนจวนเจียนจะหมดสติ แล้วหายใจเข้าเต็มปอดแล้วตามด้วยการกลั้นหายใจที่ปลายการหายใจเข้า กลั้นไว้ให้ยาวที่สุดเท่าที่จะกลั้นได้ ประมาณว่านับหนึ่งถึงร้อยอย่างช้าๆ จนร่างกายกลับเป็นกรดมากเกินไปและสมองเริ่มเบลอๆอีกครั้ง จนกลั้นต่อไม่ไหวก็ปล่อยลมออกจนหมดและแขม่วท้องไล่จนไม่เหลือลมในปอดเลยแล้วกลั้นหายใจในจังหวะปลายการหายใจเข้าต่ออีกครั้ง จนกลั้นไม่ไหวจึงค่อยปล่อยให้หายใจปกติ การทำเช่นนี้จะปลุกตัวเองที่ง่วงๆอยู่หรือปลุกถ่านที่กำลังจะหมดให้ตื่นขึ้นแบบว่างจากความคิดด้วยทันที ทำได้ทุกเวลาโดยเฉพาะขณะง่วงๆเช่นตอนขับรถหรือนั่งสมาธิ บางครั้งอาจกลั้นจนเหงื่อแตก บางครั้งอาจกลั้นมากจนร่างกายชักกระตุกด้วยก็ไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรซีเรียสเพราะกลไกระบบประสาทอัตโนมัติจะไม่ยอมให้ใครกลั้นหายใจจนตายได้ดอก ถึงเราไม่ยอมปล่อย แต่ระบบประสาทอัตโนมัติมีวิธีบังคับให้เราปล่อยจนได้ในที่สุด รับประกันว่าจะไม่มีใครมีอันเป็นไปเพราะฝึกเพิ่มพลังชีวิตด้วยวิธีนี้
พวกโยคีใช้เทคนิคการควบคุมลมหายใจเป็นเครื่องมือในการไล่ความคิดและหันความสนใจให้กลับหลังจากนอกเข้าในเหมือนเต่าหดแขนขาหางและหัวเข้าในกระดอง หมายความว่าภาพเสียงกลิ่นรสสัมผัสและความคิดนั้นเป็นข้างนอก ส่วนความว่างดำดิ่งลึกลงๆนั้นเป็นข้างใน การดำดิ่งลึกลงๆนี้เป็นการนำความสนใจฝ่าข้าม (transcendent) จากชีวิตในมิติที่มีการแปลงสิ่งเร้าทุกอย่างออกมาเป็นภาษา ไปสู่มิติที่ไม่มีภาษา ไม่มีอีโก้ ไม่มีตัวตนสมมุติใดๆ ทุกอย่างปรากฎเป็นแค่คลื่นความสั่นสะเทือน ตรงนั้นที่เป็นที่ที่ปัญญาญาณหรือญาณทัศนะจะเกิดขึ้น
2.. ผ่อนคลายร่างกาย ยิ้มหัวเราะ การผ่อนคลายทำง่ายๆโดยหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก ผ่อนลมหายใจออกมาแบบสบายๆแล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่างกาย ยิ้มไปด้วย ขณะมีความคิดกล้ามเนื้อจะเกร็งตัวและมีไฟฟ้าวิ่งในเส้นประสาทมากจนกลบพลังชีวิตซึ่งเป็นไฟฟ้าระดับแผ่วเบาไปหมด เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวไฟฟ้าในเส้นประสาทสงบลง จะรับรู้พลังชีวิตได้ง่าย
การผ่อนคลายเริ่มที่การยิ้ม หัวเราะ ดังนั้นยิ้มและหัวเราะให้เป็นกิจวัตร ชีวิตนี้ในวันหนึ่งๆไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่เป็นไร เพราะอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันนั้นมันเป็นเรื่องของอีโก้หรือความคิดอย่าไปให้ราคามันเลย วันๆหนึ่งๆขอให้ได้ยิ้ม ได้หัวเราะก็พอแล้ว หรืออย่างน้อยยิ้มทั้งวัน เพราะนั่นหมายความว่าเราได้พลังชีวิตเพิ่มขึ้นตลอดวัน
3.. ถอยความสนใจออกมาจากความคิด มาสนใจพลังชีวิตแทน สนใจรับรู้ความรู้สึกวูบวาบซู่ซ่าบนผิวกายให้บ่อยๆหรือเกือบจะตลอดเวลา เรียกว่าขยันทำ body scan ขยันทำกิจกรรมที่ทำให้ได้รับรู้พลังชีวิตผ่านความรู้สึกบนร่างกาย เช่นรำมวยจีน เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะทำได้ดีหากผ่อนคลายร่างกายไปด้วย เพราะในชีวิตนี้ความสนใจคือที่มาของอำนาจ อะไรที่ความสนใจไปจดจ่อสิ่งนั้นจะยิ่งใหญ่และสำคัญ ทุกวันนี้ความคิดช่างยิ่งใหญ่และสำคัญเสียเหลือเกิน เพราะเราปล่อยให้ความสนใจของเราไปขลุกอยู่ในความคิดตลอดเวลา ถ้าย้ายความสนใจมาจดจ่อที่พลังชีวิต พลังชีวิตก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นมาบ้าง
4.. ถ้าจะคิดให้คิดบวก การไม่ยุ่งกับความคิดดีที่สุด แต่สำหรับคนที่ยังติดข้องอยู่ในความคิด เลิกยังไม่ได้ ถอนตัวยังไม่ขึ้น ก็ให้ใช้ประโยชน์จากความคิดเสียเลย คือให้มุ่งไปทางคิดบวก หนีความคิดลบ เพราะความคิดบวกจะบ่มเพาะพลังชีวิตให้เป็นปึกแผ่นขึ้น เนื่องจากพลังงานที่แผ่คลุมไปทั่วที่เราเรียกว่าพลังจักรวาลนั้นในแง่ของความคิดมันก็คือเมตตาธรรมนั่นเอง โลกในทางจิตวิญญาณพื้นฐานของมันมีอย่างเดียวคือเมตตาธรรม ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ใครจะเข้าถึงเข้าไม่ถึงนั่นเป็นความแตกต่างในตัวแต่ละปัจเจกบุคคล หมายความว่าความเมตตา ให้อภัย ขอโทษ ขอบคุณ นี่เป็นความคิดบวกที่จะเพิ่มพลังชีวิตให้เราได้ ความอิจฉาหรือทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นมีความสุข การหรือกลัวนั่นกลัวนี่ กลัวอนาคต กลัวอีโก้ของตัวเองจะอับเฉา นี่เป็นความคิดลบ การพิพากษาตัดสินว่าคนนั้นไม่ดียังงั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ ประเทศนั้นไม่ดีอย่างนี้ ประเทศนี้ไม่ดีอย่างนั้น นี่ก็เป็นความคิดลบซึ่งชงขึ้นมาจากอีโก้ของเรา การหัดคิดบวกอาจเริ่มด้วยการหัดเขียนอะไรที่บวกๆในชีวิตเช่น “รายการขอบคุณ” คือเขียนว่าวันนี้เรามีเรื่องดีๆในชีวิตอะไรที่ควรขอบคุณบ้าง ขณะขับรถ หากจะใจลอยทั้งทีให้คิดถึงอะไรที่ทำให้ตื่นเต้นมีพลัง เช่น โอ้..สีรถคันนั้นเจ๋งนะ ฮ้า..ดูแม่กุมมือลูกน้อยที่ข้างถนนนั่นสิ..น่ารัก จะดูหนัง ดูคลิป อ่านหนังสือ ฟังปอดแคสท์ ก็ขอให้เลือกเอาแต่เรื่องที่บวกๆชักจูงให้เกิดความรู้สึกมหัศจรรย์ในชีวิต
ไหนๆหากเป็นคนชอบยุ่งกับความคิดอยู่แล้ว ก็ให้พัฒนาตัวเองไปอีกขั้น คือให้หัดสอบสวนความคิดของตัวเอง ทุกความคิดที่โผล่ขึ้นมาสอบสวนหมด ความคิดนี้ใครชงขึ้นมา เพื่ออะไร ความคิดไหนที่จับไต๋ได้ว่าชงขึ้นมาโดยอีโก้ก็ตีทะเบียนไว้ว่าเป็นความคิดไร้สาระจากอีโก้ โผล่อีกทีจะได้ดีดทิ้งทันที่โดยไม่ต้องเสียเวลาไปขลุกด้วย สอบสวนความคิดเรื่อยไป ดีดทิ้งเรื่อยไป จนความคิดหมด ก็จะบรรลุธรรม หิ หิ
5.. จงใจทำอะไรใหม่ ๆ อะไรใหม่ๆที่นำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แค่จงใจตั้งใจทำอะไรใหม่พลังชีวิตก็จะบู้ม..ม ขึ้นมาทันที เพราะในการทำอะไรใหม่ๆมันเปิดให้เราได้พบกับความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์ก็คือด้านหนึ่งของพลังชีวิต ทั้งนี้มีประเด็นย่อยสี่ประเด็นคือ
5.1 ต้องเลือกอะไรที่ท่านชอบ (passion) คืออะไรที่ถูกจริต ทำให้ท่านกระดี๊กระด๊า ดลบันดาลความตื่นเต้นให้ท่านได้จะจะเห็นๆ อาศัยความรู้สึกถึงพลังงานในร่างกายเป็นตัวตัดสิน ไม่ใช่อาศัยเหตุผล ตรงนี้ต้องระวังนิดหนึ่ง ว่าสัญชาติญาณของสัตว์ที่มีอยู่ในตัวเราเช่นความอยากมีเซ็กซ์ก็เป็นพลังงานเหมือนกัน เมื่อเราฟังพลังงานในร่างกายเราต้องระวังสัญชาติญาณของสัตว์ปลอมมาด้วย มันก็เป็นพลังชีวิตในรูปแบบหนึ่งแต่เป็นพลังในระดับที่ฝังแฝงมากับเซลร่างกาย จมอยู่กับมันได้พอให้รู้จักมัน แล้วพาชีวิตให้ขึ้นมาสู่พลังชีวิตที่ละเอียดอ่อนกว่านั้น อย่าไปจมอยู่กับเซ็กซ์ตลอดกาล
5.2 เมื่อลงมือทำ ต้องทำอย่างสุดจิตสุดใจ ทำอย่างสุดฝีมือ จดจ่ออยู่ที่การกระทำ นิ่ง แน่วแน่ จริงจัง ภาษาเหนือเรียกว่า “หนิมพิ่ว” คือดำเนินไปอย่างรวดเร็วถูกจังหวะจะโคนแต่แนบเนียนละเอียดมากจนมองจากภายนอกเหมือนหยุดนิ่งเหมือนลูกข่างที่หมุนเร็วจี๋แต่มองเหมือนตั่งปักอยู่อย่างนิ่งสนิท วิธีทำงานแบบนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า focus on process
5.3 อย่าไปพะวงถึงผลลัพธ์ว่าจะได้ จะเสีย จะสำเร็จหรือล้มเหลวอย่างไร เรียกว่า zero result คือทำโดยยอมรับว่าผลมันอาจจะเป็นศูนย์ไว้ก่อน ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ขอให้ได้ทำ ผมเคยไปเยี่ยมเนอร์สซิ่งโฮมของฝรั่ง ที่ห้องกิจกรรมเขาเขียนม็อตโต้แปะไว้ข้างฝาว่า
“Focus on enjoyment, not achievement”
นั่นแหละ วิธีทำงานที่จะเพิ่มพลังชีวิต
5.4 ทำเสร็จแล้วเฉลิมฉลองทุกครั้ง เช่นสมมุติตั้งใจว่าเมื่อเสร็จกิจจากโถส้วมแล้วจะซ้อมท่านั่งยอง (squat) หนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องจิ๊บมาก แต่พอทำเสร็จแล้วอย่าลืมเฉลิมฉลอง ฮ่า.. ทำได้ละ การเฉลิมฉลองทำให้พลังชีวิตเดินทางครบรอบวงของมัน ซึ่งจะทำให้มันแกร่งขึ้นๆ ไม่รู้จบ นี่เป็นกลเม็ดที่จะใช้สร้างนิสัยใหม่ให้สำเร็จที่แรงกว่าการไปหวังพึ่งความบันดาลใจซึ่งเป็นความคิดที่มักมีลักษณะเป็นไฟไหม้ฟางซึ่งมักจะมอดดับเร็วไปหน่อย
ทุกเช้าตื่นขึ้นมา ให้ถามตัวเองว่าวันนี้ตื่นมาทำไม วันนี้จะทำอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำสักอย่างได้ไหม อาจะเป็นอะไรเล็กๆเช่นรดน้ำต้นไม้ที่ไม่เคยรดมันเลยมานานแล้วสักครั้ง ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ทำให้ครบสี่องค์ประกอบข้างต้น จบด้วยการเฉลิมฉลอง
6.. ออกกำลังกาย นี่เป็นการเพิ่มพลังชีวิตโดยตรง ทำให้เราหายใจเอาอากาศเข้าไปมากขึ้น ไปสร้างเป็นพลังงานให้เซลร่างกายมากขึ้น
7.. กินอาหารที่เพิ่มพลังชีวิต สำหรับพวกโยคีก็คืออาหารพืชผักผลไม้ถั่วนัท ยิ่งอยู่ในสภาพสดยิ่งดี เพราะโยคีไม่กินเนื้อสัตว์ สำหรับคนที่กินเนื้อสัตว์ไม่ควรกินเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพราะมันใกล้เคียงกับเรามากเกินไป นอกจากจะย่อยยากแล้วพวกโยคียังถือว่ามันมีความเสี่ยงที่จะก่อความสับสนต่อระบบร่างกาย
8.. อยู่กับธรรมชาติ ธรรมชาติเช่นป่าไม้ ที่โล่งกว้าง ท้องฟ้า แสงแดด ลมพัด อยู่กลางฝนโปรยปราย ธรรมชาติเป็นสถานที่ดีที่สุดที่จะออกจากความคิดไปอยู่กับพลังชีวิต เพราะธรรมชาติเป็นสนามพลังงานในรูปของคลื่นความสั่นสะเทือนอยู่แล้ว หาเวลาปลีกตัวออกไปจากผู้คน ไปอยู่กับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด เวลาอยู่ในธรรมชาติ แค่เปิดรับเอาพลังงานเข้ามา กางมือออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย ยิ้ม สังเกตทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาสู่การรับรู้ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง สัมผัส และรับรู้มันโดยไม่พิพากษาหรือคิดตัดสินหรือคิดต่อยอดใดๆ
9.. อยู่กับน้ำ อยู่ใกล้น้ำ คลุกคลีกับน้ำ จุ่มน้ำ แช่น้ำ เที่ยวน้ำตก เพราะน้ำนั้นกระเพื่อมไหวไปตามคลื่นพลังงานภายนอกตลอดเวลา มันจึงเป็นตัวกลางส่งผ่านพลังงานที่ดี ในตัวเราก็มีน้ำเสียตั้ง 70% เวลาอาบน้ำให้อาบน้ำที่เย็นกว่าอุณหภูมิร่างกายเรา เพื่อให้เราได้สัมผัสพลังชีวิตซึ่งเป็นความอุ่นจากภายในได้ง่าย เวลาผมรู้สึกว่าพลังของผมลดลง ผมจะไปเดินคลองมวกเหล็กซึ่งมีน้ำตกเล็กๆลดหลั่นกันอยู่ทั่วไป นั่งสมาธิอยู่ตามโขดหินกลางธารน้ำตกสักห้านาที ก็จะกลับกระดี๊กระด๊าขึ้นมาได้
10.. อยู่กับดนตรี เสียงเพลง เสียงดนตรีเป็นคลื่นความถี่ของพลังงานที่เป็นระเบียบทรงพลังซึ่งถือว่าดีกว่าคลื่นความคิดหรืออีโก้ของมนุษย์ซึ่งเป็นคลื่นสับสนเป็นลบมากกว่าเป็นบวกและไร้พลัง ข้อดีของดนตรีอีกอย่างหนึ่งก็คือความคิดหรืออีโก้ไม่ค่อยต่อต้านเพราะอีโก้มันไม่ค่อยกลัวว่าดนตรีจะมาทำให้ตัวมันเองไม่ปลอดภัย มันมัวพะวงแต่จะไปต่อต้านความคิดของคนอื่นที่คุกคามตัวตนของมันมากกว่า เวลาใช้ประโยชน์จากดนตรีและเสียงเพลงอย่าไปเอาเนื้อหาที่เป็นภาษาพูดของเพลงมาเป็นสื่อกระตุ้นความคิดนะ นั่นเป็นการเลือกใช้ส่วนที่ไม่ดี การอยู่กับดนตรีนี้ ทำไประดับหนึ่งเสียงอะไรก็กลายเป็นเสียงดนตรีหมด
11.. พาตัวเองเข้าไปใกล้ๆแหล่งพลังดีๆ ไม่ว่าจะเป็นคนบางคน หรือสถานที่บางแห่ง หรืออยู่ใกล้สัตว์บางตัว หรือสิ่งของบางชิ้น คืออะไรก็ตามที่เราอยู่ใกล้แล้วเรารู้สึกได้รับพลังงานดีๆ
หากจำเป็นต้องไปอยู่ในสถานที่หรืออยู่ใกล้คนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ถูกจริตหรือรู้สึกแย่ ก็พยายามนั่งหรือยืนอยู่ห่างๆ พูดกับเขาให้น้อยที่สุด อย่าไปมองหน้าเขามาก เพราะเวลาเรามองหน้าใครเรามักจะเผลอเลียนสีหน้าเขา แล้วอารมณ์ลบๆของเขาก็จะย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในตัวเราโดยอัตโนมัติ ยิ่งเราตั้งใจไม่เอามันยิ่งมาเร็ว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์