เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา
![]() |
ในความรกรุงรัง ใครสักคนแอบบ่มเพาะชีวิตใหม่ |
สวัสดีคะคุณหมอ
จากอีเมล์ปีที่แล้ว เรื่องที่คุณหมอแนะนำให้ดูแลเรื่ องท้องผูกเพราะการใช้ชีวิตที่ ไม่ลงตัว ดิชั้นคิดและไตร่ตรองมาตลอด เพราะนอกจากท้องผูกมาหลายปี ยังมีอาการกรดไหลย้อนที่เป็ นๆหายๆร่วมด้วยมากว่า5 ปี ล่าสุดคือเดือนตุลาคม 2024 อาการกรดไกลย้อนกลับมาหนักมาก กินยาก็ไม่ช่วย ส่องกล้องทั้งข้างบนข้างล่างก็ ปกติ จนในที่สุดเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ดิชั้นตัดสินใจขายธุรกิจร้ านอาหารที่ ...ที่เปิดมา10 ปี หลังจากตัดสินใจได้ อาการกรดไหลย้อนดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่หายขาด และโชคดีที่ขายได้ภายใน1 สัปดาห์นับตั้งแต่เพิ่งปิดขาย โอนร้านเรียบร้อยเมื่อ 25 เมษายนทึ่ผ่านมา
ตลอดเวลาที่ผ่านมาติดตามเพจคุ ณหมอเรื่องสุขภาพและการใช้ชีวิตและจิตวิญญาณมาตลอด เอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เปลี่ยนอาหารการกินเป็นพืช ผัก ถั่ว มากขึ้น ออกกำลังกาย เดิน ทำโยคะ ปั่นจักรยานในบ้ านตามเวลาและแรงที่เหลื อจากงานประจำ
เมื่อ 2 -3 ปีที่แล้ว เครียดมากมาย ปัญหาธุรกิจที่เริ่มเป็นขาลง ปัญหาคนงานที่ร้าน ปัญหาลูกค้าต่างๆเยอะแยะมากมาย เหนื่อยมากๆ แต่ก็กัดฟันสู้คะ ดิชั่นกับสามีจับมือกันแน่น ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่เคยบอกครอบครัวทางเมืองไทยว่ าเรากำลังเจอปัญหาอะไรเพราะคิ ดว่าเค้าคงไม่เข้าใจ กอดคอกันร้องไห้ในบางวัน ชีวิตไม่มีความสุข ดิชั้นเคยพยายามใช้การนั่งสมาธิ ในการแก้ไขปัญหา แต่ทำให้เครียดมากยิ่งขึ้ นเพราะทำไม่ได้ ยิ่งกดดันยิ่งเครียด สุดท้ายดิชั้นเลือกเปลี่ยนไปนั บถือพระเจ้า ใช้วิธีอธิษฐาน ซึ่งช่วยให้ใจเบาได้ระดับนึง แต่ทำไป 2 ปี เริ่มรู้สึกว่า ใช่เหรอ แน่ใจนะ เพราะรู้สึกว่าประเด็นสำคัญไม่ ใช่ศาสนาไหนที่เรานับถือ ... “ใจ” นี่แหละที่เราต้องจัดการ แต่ก็ยังสะเปะสะปะ ขึ้นๆลงๆ บางวันดี บางวันเครียด บางวันสับสน งงใจกับตัวเองมาก ตอนนี้เลยนับถือทั้ง 2 อย่าง เลือกเอาแนวคิดและวิธีปฎิบัติทึ่ ตัวเองสะดวกและสบายใจมาใช้ แต่ใจก็ยังไม่สงบ วุ่นวาย
อ้อ อีกอย่างคือ เริ่มลงทุนในคริปโตบ้างตามที่คุ ณหมอแนะนำคะ
อีก 2 วันชีวิตการทำงานในฐานะเจ้ าของร้านอาหารก็จะจบลงอย่างเสร็ จสมบูรณ์ ต่อจากนี้ยังไม่ทราบว่ าจะทำอะไรต่อ รู้แต่ว่าเพลีย เหนื่อย และหมดแรง สมองล้า คิดอะไรไม่ออก แต่ต้องหางานหรือธุรกิจใหม่ทำ เพราะยังมีภาระลูก2 คนที่ยังอยู่ high school มีเงินจาการขายร้าน 1 ก้อน ไม่เยอะมาก ถ้าใช้ประหยัดน่าจะอยู่ได้ 1-1.5 ปี
เขียนมายืดยาว จะรบกวนขอคำแนะนำจากคุณหมอว่าต่ อจากนี้ไปดิชั้นจะจัดการความคิ ดของตัวเองอย่างไรให้มีความสุข สงบ ผ่อนคลาย ไม่อยากกลับไปเครียด กังวล เหมือนตอนทำร้านอาหารอีก และเปิดรับทุกคำแนะนำจากคุ ณหมอในเรื่องการใช้ชีวิตคะ แต่ไม่คิดจะทำร้านอาหารอีกแล้ วคะเพราะมันกินเวลามาก แทบไม่มีเวลาอยู่กับลูกสาว2 คนเลยคะ อีก 1 ปี ลูกคนโตก็จะเข้ามหาวิทยาลัย อีก 3 ปีก็ถึงคราวคนเล็กที่จะโบยบิน
ขอบพระคุณคะ

Sent from my iPhone
...........................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าทู๊ก..ก..ทุกข์..ทุกข์..ทุกข์ มันจะทุกข์อะไรกันนักหนาเนี่ย ตอบว่า ลองมองไปรอบๆตัวคุณหน่อยสิ ไม่ใช่คุณคนเดียวนะที่ต้องเป็นทุกนั่งกอด ผ. ร้องไห้เพราะเศรษฐกิจตะสะเก็ด ทำธุรกิจอะไรก็มีแต่เจ๊ง คนที่เจ๊งน้อยที่สุดคือคนที่ไม่ทำธุรกิจอะไรเลย ก่อนจะตีอกชกหัวมากไปกว่านี้ ให้มองไปรอบๆตัวก่อน มันไม่ใช่ปัญหาของคุณคนเดียว มันเป็นปัญหาของมนุษยชาติ ถ้าคุณนิยามทุกข์นี้ว่ามันกระทบตัวตนของคุณคนเดียว คุณก็ยิ่งทุกข์หนัก แต่หากมองว่าทุกข์นี้มันเป็นทุกข์ของมนุษยชาติ คนร่วมทุกข์กับคุณมีอีกตั้งแยะ ใจก็จะสบายขึ้น พูดง่ายๆว่าผมแนะนำกลยุทธ์ Acceptance ยอมรับสิ่งที่คุณเรียกว่าความทุกข์ให้มันผ่านเข้ามา ให้มันผ่านออกไป ปล่อยมัน (let go) ไป ทุกอย่างให้มันไหลไปตามครรลองของมัน เพราะไม่ใช่คุณคนเดียวที่ต้องมาพบกับความเจ็บปวดทรมานอย่างนี้ คนอื่นเขาก็โดนเหมือนกัน
2. ถามว่าเลิกร้านอาหารแล้วจะทำอะไรต่อดี ตอบว่าเลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา ลองใช้ชีวิตแบบที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรต่อคิวดูบ้างได้ไหม คุณเองก็บอกว่าเงินทองก็มีกินมีใช้ไปได้เป็นปี ปีนี้ลองใช้ชีวิตแบบใหม่ดูได้ไหม แบบ living ไม่ใช่แบบอยู่ใน life situation คือใส่ใจว่าตนกำลังมีชีวิตอยู่ที่นี่ กำลังหายใจเข้าหายใจออกอยู่ตรงนี้ แล้วเรียนรู้ที่จะรับมือกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในใจที่ที่นี่ตรงนี้อย่างไรให้ชีวิตมันเป็นไปแบบ joyfully ไม่ใช่แบบ miserably เลิกใช้ชีวิตอยู่ในอนาคตเสียที ซึ่งอนาคตที่ว่านั้นแท้จริงแล้วก็เป็นอนาคตเก๊ คือเป็นแค่ความคิดจินตนาการเชิงลบในหัวของคุณเท่านั้นเอง
3. ถามว่าต่อแต่นี้ไปจะจัดการกับความคิดของตัวเองอย่างไรดี ตอบว่าอย่าไปยุ่งกับความคิดเชียวนะ เดี๋ยวคุณจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ความคิดมันจะมาก็ปล่อยให้มันมา แค่อย่าไปอวยอะไรกับมันมาก หันหลังให้มันได้ยิ่งดี และอย่างน้อยให้หันเหเอาความสนใจไปง่วนทำสามอย่างต่อไปนี้ คือ
3.1 โยกความสนใจจากความคิดมาสนใจผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกาย หัดผ่อนคลายใบหน้า ยิ้มที่มุมปากนิดๆ ผ่อนคลายคอ บ่า ไหล่ ผ่อนคลาย ยิ้มหัวเราะบ่อยๆ ผ่อนคลาย relax..x ทำแบบนี้บ่อยๆ ทั้งวัน
2.2 โยกความสนใจจากความคิดมาสนใจลมหายใจ ไม่ต้องไปตั้งเป้าหมายแบบที่คุณเคยนั่งสมาธิชนิดจะต้องสะกดความคิดได้จนอยู่หมัด เอาแค่เมื่อใดก็ตามที่รู้ตัวหรือได้คิดก็ให้สังเกตว่าตอนนี้กำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออก จับเอาส่วนหยาบๆแค่ว่าลมมันกำลังพัดเข้า ลมมันกำลังพัดออก
2.3 หาเวลาวันละสัก 15 นาที นั่งสมาธิในที่เงียบๆหรือในบรรยากาศธรรมชาติ หลับตา คราวนี้ติดตามรับรู้ลมหายใจในระดับที่มันลึกละเอียดลงไป คือระดับที่มันลงลึกพ้นคอเข้าไปในอก ตอนนี้มันไม่ใช่ลมพัดเข้าพัดออกแล้ว แต่มันกลายเป็นพลังงาน ก็คือออกซิเจนนั่นแหละ หายใจเข้าลึกๆ ให้ลมมันอัดอยู่เต็มอก กลั้นหายใจไว้สักพัก รับรู้ว่ามันกองอยู่เต็มหน้าอก แล้วหายใจออกแบบช้าๆยาวๆ ลมที่อัดอยู่เต็มอกจะกลายเป็นพลังงานกระจายไปทั่วตัว ไปถึงเซลล์ทุกเซลล์ ถูกเซลล์เผาผลาญเป็นพลังงานความร้อน ซึ่งเรารับรู้ได้ในรูปแบบของความรู้สึกอุ่นวูบวาบทั่วร่างกาย เมื่อความสนใจของคุณแหลมคมถึงขั้นรู้สึกได้ว่าร่างกายมันอุ่นกระจายไปแล้ว ต่อจากนั้นคุณก็จะสามารถรับรู้พลังงานจากลมหายใจระดับที่มันละเอียดอ่อนลงไปกว่านั้นได้อีก คือพลังงานของร่างกายมันจะเริ่มปรากฎต่อหน้าคุณเป็นแสงสว่างเรื่อๆ คุณก็แค่สังเกตมันไป มาถึงตอนนี้ความคิดจะเหลือน้อยมาก ในใจจะมีแต่ความ ตื่น รู้ตัว และสงบเย็น ตรงนี้มันเป็นเขตปลอดความคิด ให้ขยันฝึกไปวันละ 15 นาที แล้วก็ค่อยๆโยกทั้งหมดไปทำต่อในชีวิตประจำวันทั้งวัน แล้วชีวิตของคุณก็จะสงบเย็นทั้งวัน
4. ถามว่าการวางความคิดลบๆทั้งหลายนี่จะเอาแบบศาสนาไหนดี ตอบว่าคุณจะเอาแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น เอาแบบที่คุณชอบ เพราะที่เราเรียกกันว่าจิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งเป็นแก่นของทุกศาสนานั้นมันหมายถึงสิ่งเดียวกันหมด คือการวางความคิดที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ทิ้งไปเสียแล้วเข้าไปอยู่กับพลังความรู้ตัวที่ปลอดความคิดและสงบเย็น ตรงความรู้ตัวที่สงบเย็นนี้มันถูกเรียกชื่อกันหลายอย่าง คุณไปอธิษฐานกับพระเจ้า นั่นแหละ คือการปอกความคิดลบๆทั้งหลายออกทิ้งไปแล้วเข้าไปอยู่ในความรู้ตัวที่สงบเย็น มันต่างกันแค่ชื่อเรียกและวิธีทำ บางคนบอกว่าเขากำลังเชื่อมต่อตัวเองเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ (connecting to the Divine) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือความตื่น ความรู้ตัวความสงบเย็นนั่นแหละ ซึ่งตรงนี้นอกจากมันจะเป็นพลังงานที่ลึกละเอียดที่สุดในชีวิตของคุณแล้ว มันยังเป็นพลังงานที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานที่ลึกละเอียดที่สุดของชีวิตอื่นๆทุกชีวิตอีกด้วย คือพลังงานของทุกชีวิตไหลไปมาหากันได้ผ่านสิ่งนี้ ผมรับประกันว่าที่ตรงนี้ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน เมื่อเข้าถึงแล้วให้คุณฝึกจุ่มแช่อยู่ตรงนี้ให้นานเป็นอาจิณ เมื่อความขุ่นอันเกิดจากความคิดเริ่มตกตะกอนจนกลายเป็นความใส คุณก็จะเริ่มรู้จะเห็นสิ่งที่เคยถูกความคิดปิดบังเอาไว้ แล้วศักยภาพของคุณที่จะดลบันดาลสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นแก้ชีวิตของคุณและแก่โลกจากนี้ไปก็จะเพิ่มขึ้นมาเองตามการรู้เห็นนั้น โดยที่คุณไม่ต้องไปนั่งจินตนาการว่าเลิกร้านแล้วจะทำอะไรกิน
4. ข้อนี้ผมแถมให้นะ สืบเนื่องจากคำตอบข้อ 1 คือชีวิตนี้คุณจะลำบากมากถ้ามองออกไปจากมุมว่าเราเป็น some body ที่มีเรื่องต้องปกป้องคุ้มครองดูแล แต่ถ้าเราเปลี่ยนมองจากมุมว่าเราเป็น no body ที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตอื่นทุกชีวิต ความเหนื่อยที่จะต้องปกป้องคุ้มครองดูแลอะไรก็บางลงไป ทุกชีวิตมันมีธรรมชาติไหลหนุนเนื่องกันไป เราก็แค่ตาม flow ของการไหลไป ไม่ต้องไปพะวงปกป้องคุ้มครองอะไรทั้งสิ้น อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ลูกๆของคุณก็โตหมดแล้วให้คุณยอมรับพวกเขาตามที่เขาเป็น เขาทำอะไรได้แค่ไหนก็ยอมรับแค่เท่าที่เขาทำได้ อย่าไปตั้งความคาดหวังอะไรบนตัวลูกอันจะทำให้ทั้งแม่และลูกต่างมีความทุกข์มากขึ้น ให้คุณหัดอยู่นิ่งๆตรงกลาง อย่าแกว่งไปกอดรัดสิ่งที่อยากได้ อย่าแกว่งหนีสิ่งที่ไม่อยากได้ หรือข้อนี้หากจะพูดแบบบ้านๆก็คืออย่าเอาแต่คิดถึงตัวเอง เป็นห่วงตัว เองตั้งท่าแต่จะทำอะไรให้ตัวเอง คิดอย่างนั้นจะไม่พ้นทุกข์ หัดคิดถึงชีวิตอื่นหรือทำอะไรก็ทำเพื่อชีวิตอื่นหรือเพื่อโลกบ้าง หัดคิดว่าชีวิตทั้งโลกนี้ล้วนกำเนิดมาจากเบ้าเดียวกันและเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วความทุกข์จากการต้องพยายามปกป้องตัวเองจะหายไปแบบปลิดทิ้ง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์