ลมหายใจนี้มีความละเอียดอ่อนลึกลงไปได้อีกหลายชั้น
(หมอสันต์พูดกับสมาชิก Spiritual Retreat)
เราได้ทดลองใช้เครื่องมือช่วยวางความคิดไปสามตัวแล้ว คือการผ่อนคลายร่างกาย, ลมหายใจ, และความรู้สึกบนร่างกาย
เท่าที่ผมแอบประเมินดู พวกเราไม่มีปัญหากับลมหายใจเพราะล้วนเป็นของที่ทุกคนฝึกมาก่อนหน้านี้ช้านานแล้ว ไม่มีปัญหากับการผ่อนคลายร่างกาย เพราะถึงจะเป็นของใหม่แต่ก็ฝึกได้รับรู้ได้ใช้ประโยชน์ได้ไม่ยาก แต่พวกเราส่วนใหญ่ยังมีปัญหากับความรู้สึกบนร่างกายหรือที่ผมใช้คำว่า body scan ชนิดที่หลายคนทดลองเอาความสนใจไปรับรู้ความรู้สึกบนร่างกายแล้วพบว่ามันไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย จึงท้อถอย สมัครใจที่จะกลับไปอยู่กับลมหายใจที่คุ้นเคยดีกว่า
ในด้านหนึ่งเครื่องมือแต่ละชิ้นที่แนะนำในแค้มป์นี้ลำพังตัวมันเองชิ้นเดียวก็มากเกินพอที่จะใช้วางความคิดได้สำเร็จแล้ว ไม่ชอบตัวไหนไม่ถูกจริตกับตัวไหนก็ไม่ต้องใช้มันก็ไม่เป็นไร
แต่ในอีกด้านหนึ่ง แท้จริงแล้วตัว "ความรู้สึก" บนร่างกายที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "feeling" และภาษาบาลีเรียกว่า "เวทนา" นี้มันเป็นการรับรู้ถึงสิ่งหนึ่งที่ทับซ้อนอยู่กับร่างกายที่เป็นเนื้อหนังนี้ สิ่งนั้นภาษาอังกฤษเรียกว่า "life energy" ภาษาสันสกฤตเรียกว่า "ปราณา" ภาษาจีนเรียกว่า "ชี่" แต่ภาษาไทยไม่มีคำเรียกผมจึงจะขอตั้งชื่อเรียกว่า "พลังชีวิต" ไปพลางก่อนก็แล้วกัน
ประเด็นสำคัญก็คือพลังชีวิตที่เรารับรู้ได้ในรูปของความรู้สึกหรือเวทนานี้แท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งเดียวกับลมหายใจ เพียงแต่มันเป็นส่วนของลมหายใจที่ละเอียดลงไป ดังนั้นที่เราไปปักใจว่าฉันไม่ชอบเวทนาไม่ขอยุ่งด้วยขอเอาแต่ลมหายใจอย่างเดียว นั่นเรากำลังพูดว่าจะเอาและจะไม่เอาสิ่งเดียวกันด้วยความไม่รู้จักมันจริง
เพื่อความง่ายผมจะอธิบายความละเอียดของลมหายใจว่ามันพอจะแบ่งได้เป็นชั้นๆนับได้ประมาณห้าชั้น ดังนี้
ชั้นที่ 1. เป็นชั้นหยาบที่สุด ซึ่งเรารับรู้ได้ว่ามันเป็นลมพัดไปพัดมา กล่าวคือรับรู้ได้ที่ระดับจมูก ปาก ลำคอ ว่าหายใจเข้ามีลมพัดเข้า หายใจออกมีลมพัดออก
ชั้นที่ 2. เป็นชั้นที่เริ่มละเอียดลงไป คือลมที่พัดลึกกว่าระดับลำคอเข้าไปในร่างกาย ในชั้นนี้เราไม่สามารถรับรู้ได้จากลักษณะของการเป็นลมพัดไปพัดมาแล้ว แต่เรารับรู้ได้ในลักษณะของพลังงานที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ในร่างกาย เช่นเมื่อหายใจเข้ามีพลังงานเข้าไปกองอยู่ในตัว หายใจออกพลังงานนั้นกระจายออกไปทั่วตัว ซึ่งเรารับรู้ได้ในรูปของความรู้สึกบนร่างกายเช่นความวูบวาบ ซู่ซ่า ความสั่นสะเทือนเล็กๆ หรือความอุ่นที่แผ่สร้านออกไป เหล่านี้แหละที่เราเรียกว่า "ความรู้สึก" หรือ "feeling" หรือ "เวทนา"
อุปมาในเชิงวิทยาศาสตร์ลมหายใจในส่วนนี้มันไม่ใช่ลม (air) แล้ว แต่มันเป็นออกซิเจน (oxygen) ซึ่งเป็นโมเลกุลก้าซที่เกาะตามเม็ดเลือดไปทั่วตัวแล้วกระจายเข้าไปอยู่ในเซลล์ร่างกายทุกเซลล์ แล้วถูกเซลล์ใช้เป็นเชื้อเพลิงเผาผลาญให้เกิดพลังงานขึ้น ส่วนหนึ่งของพลังงานนี้เป็นความร้อนที่แผ่สร้านออกไปสู่ภายนอกผ่านทุกรูขุมขน ซึ่งเรารับรู้ความรู้สึกของการเคลื่อนไหวของพลังงานนี้ได้ในรูปของความวูบวาบซู่ซ่า
ชั้นที่ 3. คือลมหายใจที่ลึกละเอีอดลงไปอีก จนความเป็นพลังงานที่เคลื่อนไหวไม่มีแล้ว เหลือแต่ความเป็นพลังงานที่บ่มอยู่นิ่งๆอยู่ในร่างกายซึ่งเรารับรู้ได้จากความรู้สึกอบอุ่นที่กรุ่นขึ้นมาในร่างกาย ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมๆกับความรู้สึกตื่นตัวของเรา ความตื่นตัวนี้ก็เป็นผลจากพลังงานหรือพลังชีวิตนี้เช่นกัน ยิ่งเราหายใจลึก กลั้นไว้นาน ความตื่นตัวที่เกิดขึ้นก็ยิ่งมาก
ขั้นที่ 4. คือพลังงานที่บ่มนิ่งๆอุ่นๆอยู่ในร่างกายนั้น ในชั้นที่ละเอียดลงไปกว่านั้นอีก เราจะรับรู้มันได้ในรูปของความสว่างเรื่อๆเรืองๆขึ้นมาในตัวเรา เรารับรู้ความสว่างเรื่อๆเรืองๆนั้นได้แม้จะหลับตาอยู่ ความสว่างนี้จะสว่างน้อยแบบมัวซัวหรือจ้าจนต้องหยีตา จะสว่างกว้างหรือจะสว่างแคบ จะเป็นสีม่วงหรือสีเทาหรือสีขาวหรือสีอื่นๆ จะสว่างแบบนิ่งๆหรือแบบเคลื่อนย้ายไปมา ก็ขึ้นอยู่กับว่าความสนใจหรือสติของเราจับความสว่างนี้ลงไปได้ลึกละเอียดแค่ไหน
ในชั้นนี้ ความคิดทั้งหลายจะหมดหรือถูกหันหลังให้ไปนานแล้ว แม้ลมหายใจชนิดเป็นลมพัดเข้าพัดออกที่เราคุ้นเคยก็หายไปสนิทแล้ว แต่ที่แน่ๆยังมีสองอย่างที่คงเหลืออยู่ คือความสว่างเรื่อๆเรืองๆซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกเราสังเกตเห็น (the observed) กับความรู้ตัวหรือสติของเราซึ่งเป็นผู้เฝ้าสังเกตมันอยู่ (the observer) คือเป็นสภาวะที่มีสองอย่างคุมเชิงกันอยู่ (duality)
ชั้นที่ 5. ซึ่งเป็นพลังงานชั้นละเอียดที่สุดนั้น มันเป็นความละเอียดระดับที่ภาษาอธิบายไม่ได้ แค่พูดได้ว่ามันละเอียดมาก จนพลังงานในรูปของแสงเรื่อๆที่เราเฝ้ามองอยู่นั้นหายไป มองไม่เห็นแล้ว เหลือแต่ความรู้ตัวหรือสติของเราโดดเด่นอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าไม่มีอะไรอย่างอื่นเหลือให้สังเกตเห็นได้เลย หรือจะพูดอีกอย่างว่าในชั้นนี้ สติของเราที่เคยอยู่ในฐานะผู้เฝ้าดู (the observer) ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานที่เป็นเป้าหมายของการเฝ้าดู (the observed) ไปเสียแล้ว กลายเป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่สอง (non-duality)
ในชั้นลึกที่สุดนี้ นอกจากจะเป็นพลังงานที่มีความละเอียดขั้นพรรณาด้วยภาษาไม่ได้แล้ว ยังจะมีพลังงานในรูปแบบความคิดสร้างสรรค์และความสามารถพิเศษต่างๆโผล่ขึ้นมาเองจากเบื้องลึกแบบไม่ทราบที่มาที่ไป ซึ่งเรียกรวมๆว่าปัญญาญาณ (intuition) บ้าง เรียกว่าญาณทัศนะ (insight) บ้าง ซึ่งนอกจากจะช่วยตอบคำถามทำลายข้อสงสัยต่างๆแล้ว ยังจะนำมาซึ่งการเพิ่มศักยภาพให้คนผู้นั้นสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างสร้างสรรค์ได้มากจนเต็มศักยภาพที่ตนในฐานะคนคนหนึ่งจะพึงมี หรือพูดได้ว่าการถอยเข้ามาได้ถึงตรงนี้ เราจะกลายเป็นตัวเราในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของเราได้
ดังนั้นแม้เริ่มแรกไม่ประสบความสำเร็จในการรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย แต่ก็อย่าเพิ่งท้อถอยหรือสาปส่งหันไปหาแต่ลมหายใจที่คุ้นเคย เพราะลมหายใจก็ดี ความรู้สึกบนร่างกายซึ่งสื่อถึงพลังชีวิตนี้ก็ดี แท้จริงแล้วล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน ต่างกันแต่ระดับชั้นของความละเอียด ยิ่งเรารับรู้ชั้นที่ละเอียดได้มาก เราก็ยิ่งได้ประโยชน์มาก
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์