ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบรรยายกลไกการเสพย์ติดความคิดและการรับรู้ความรู้สึก
![]() |
อ่อมแซ่บ |
ผู้ป่วยของผมรายหนึ่งท่านเป็นโรคซึมเศร้าที่อยู่ในระหว่างการรักษากับจิตแพทย์มานานร่วมปีแล้ว ท่านได้ทดลองหันเหมาเสาะหาวิธีอื่นดูบ้างโดยมาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat ผมบอกให้ท่านช่วยบรรยายความรู้สึกซึมเศร้าให้ผมฟังอย่างละเอียด ท่านบรรยายว่า
"..ก่อนหน้านี้ผมมีความสุขกับการคิดวิเคราะห์ปัญหาต่างๆด้วยตรรกะความเป็นเหตุเป็นผล เมื่อผลของการคิดชักนำไปสู่ประเด็นปลีกย่อย ผมก็ตั้งเป็นประเด็นใหม่เพื่อวิเคราะห์ต่อไปอีก เช่นนี้ไม่รู้จบ ผมมีความสุขมากกับการคิดแบบนี้ มันทำให้ผมแก้ปัญหาในงานและในชีวิตผมได้ด้วยดีตลอดมา แต่มาตอนนี้ผมไม่สามารถรวบรวมความคิดของผมให้เป็นกระแสที่เป็นสายธารไหลต่อเนื่องทำให้ผมคิดวิเคราะห์อะไรไม่ได้ เลย ผมรู้สึกว่าผมสูญเสียสิ่งซึ่งเคยให้ความสุขในชีวิตของผมไป ในหัวมีแต่ความคิดแบบสับสนอลหม่านจนผมต้องเลิกสนใจความคิดหรือสนใจอะไรทั้งสิ้นอีกต่อไป กลายเป็นคนอย่างที่เห็น.."
นี่เป็นคำบรรยายถึงการอยู่ในกระแสความคิดได้อย่างดีเยียม พูดอีกอย่างหนึ่ง นี่คือกลไกการเสพย์ติดความคิด ซึ่งพวกเราเป็นกันทุกคนมากบ้างน้อยบ้าง แต่สำหรับผู้ป่วยท่านนี้ไม่รู้มีเหตุอะไร อยู่ๆท่านก็ถูกจับโยนออกมาอยู่นอกกระแสของความคิด ทำให้ท่านวิตกทุกข์ร้อนที่กลับเข้าไปอยู่ในกระแสนั้นไม่ได้อีก หมอวินิจฉัยว่าท่านเป็นโรคซึมเศร้า และให้ท่านกินยาต้นซึมเศร้า ยากันชัก และยานอนหลับ
ผมขอให้ท่านบรรยายสิ่งที่เหลืออยู่ในใจท่าน เมื่อท่านเลิกสนใจความคิดที่สับสนอลหม่านเกินกว่าที่จะไปควบคุมให้ไหลลื่นเป็นกระแสได้แล้ว ท่านเล่าว่า
"..มันก็เหลือแต่ความรู้สึกอึมครึมไม่อยากได้ใคร่ดีอะไร"
ผมบอกท่านว่าหากตัดประเด็นการไม่มีความอยากได้ใคร่ดีซึ่งเป็นประเด็นความคิดที่คุ้นเคยออกไปก่อน ผมขอให้ท่านบรรยายความรู้สึกอึมครึมให้ละเอียด ท่านบรรยายว่า
"..มันเป็นเหมือนหมอกที่มองไม่เห็น เมื่อมันแผ่สร้านเข้ามาครอบผม ร่างกายผมเย็นเฉียบ เหมือนร่างกายของผมมันหดตัวลง เหมือนขดงอตัวอยู่ที่มุมห้อง ความคิดถ้าจะมีอยู่บ้างก็เป็นความกลัว กลัวอะไรก็ไม่รู้.."
โปรดสังเกตว่าสิ่งที่ท่านบรรยายในรอบหลังนี้เนื้อหาส่วนใหญ่ไม่ใช่ความคิด แต่เป็นความรู้สึก (feeling) ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกบนร่างกาย หรือความรู้สึกในใจ ซึ่งก็คล้ายกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเรานั่งเงียบๆ มีลมเย็นมากระทบ มีเสียงเข้าหู มีภาพให้เห็น ในยามที่เราไม่ได้คิดอะไรต่อยอด
ผมบอกท่านว่าการถูกจับโยนออกมาอยู่นอกกระแสความคิดนั่นคือการบรรลุธรรมทางลัดโดยไม่ต้องออกแรงเลยนะ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจตอนนี้คือความรู้สึก (feeling) กับความคิดกลัวอะไรไม่รู้อยู่อีกนิดหน่อย งานที่จะต้องทำต่อไปก็มีแค่สังเกตรับรู้ความรู้สึกอย่างยอมรับมัน ความกลัวถ้าจะแทรกเข้ามาก็เพิกเฉยต่อมันไปเสีย แค่เนี้ยะ แล้วชีวิตก็จะสงบเย็นเบิกบานโดยไม่ต้องใช้ยาอะไร
ประเด็นสำคัญคือความรู้สึก (feeling) ทั้งบนร่างกายและในใจคือสิ่งที่สื่อถึง หรือทำให้เรารับรู้ถึงพลังชีวิต (life energy) ของเราเอง ผมหมายถึงสิ่งเดียวกันกับที่ภาษาแขกเรียกว่า "ปราณ" หรือภาษาจีนเรียกว่า "ชี่" นั่นแหละ พลังชีวิตนี้แหละที่จะเป็นตัวรักษาโรคซึมเศร้าให้เรา ดังนั้นเราต้องขยันเพิ่มพลังชีวิต ซึ่งผมแนะนำวิธีเพิ่มพลังชีวิตไว้ สิบวิธี คือ
1. สนใจให้ความสำคัญพลังชีวิตก่อน ทุกอย่างที่เป็นประสบการณ์ในชีวิตเรานี้ อะไรก็ตามที่เราไปสนใจมัน มันก็จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ แล้วมันก็จะใหญ่ขึ้นมาเอง ดังนั้นให้เพิ่มความสนใจพลังชีวิต ด้วยการเพิ่มความสนใจสังเกตดูความรู้สึก (feeling) ทั้งบนร่างกายและในใจ สังเกตมัน รับรู้มัน และยอมรับมัน
2. หันหลังให้ความคิดใดๆเสีย เพราะความคิดคือตัวบั่นทอนพลังชีวิต ถ้าฝึกสมาธิวางความคิดได้ยิ่งดี
3. หายใจลึกๆ เพราะพลังชีวิตก็คือออกซิเจน ซึ่งเริ่มต้นที่อากาศที่หายใจเข้ามา
4. ผ่อนคลาย ยิ้ม หัวเราะ เพราะการเกร็งกล้ามเนื้อคือการสิ้นเปลืองพลังชีวิต
5. ทำอะไรที่ใจเรารักชอบ หรือมี passion กับมัน เพราะได้ทำแล้วเราจะมีความกระดี๊กระด๊า ถูกจริต นั่นแหละ พลังชีวิต
6. ออกกำลังกาย
7. กินอาหารดีๆ มีพืชที่หลากหลายเป็นหลัก
8. นอนหลับให้ดี หลับให้เด็มอิ่ม
9. เข้าหาธรรมชาติ อากาศดีๆ ต้นไม้ ธารน้ำ แสงแดด
10. เปิดรับเสียงดีๆ เช่น เสียงในธรรมชาติ หรือฟังเพลง ฟังดนตรี
ทำทั้งสิบอย่างนี้เพื่อบ่มพลังชีวิตให้ใหญ่ขึ้นๆมาก่อน ในที่สุดตัวพลังชีวิตจะพาพ้นจากความหดหู่ซึมเศร้าเอง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์