อาการวิทยาของหัวใจขาดเลือดสำหรับคนวัยหนุ่ม
![]() |
กล้วยไม้จิ๋ว |
เรียนคุณหมอสันต์ ที่เคารพ
ผมขอเล่าอาการและเส้นทางการตรวจวินิจฉัยเกี่ยวกับหัวใจของผมอย่างละเอียดเพิ่มเติมตามลําดับเวลาดังนี้ครับ
1. เดือนเมษายน 2024 (ช่วงสงกรานต์) ผมเริ่มมีอาการผิดปกติครั้งแรก โดยมีอาการ ปวดไหล่ซ้าย เหนื่อยง่าย และแน่นหน้าอกแบบตื้อๆ เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้วหายไปเอง เพื่อนๆ แนะนําว่าอาจเป็นกรดไหลย้อน แต่ลึกๆ แล้วผมเริ่มสงสัยว่า ตนเองอาจมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ
2. วันที่ 28 เมษายน 2024 ในช่วงที่พักผ่อนน้อยและงานหนัก ผมเดินทางโดยรถยนต์ไป จ.อุบลราชธานี ระหว่างทางเกิดอาการ แน่นหน้าอก หายใจลําบาก เหมือนจะเป็นลม ต้องแวะโรงพยาบาลกลางทาง ความดันโลหิตวัดได้ 160 mmHg อาการร่วม: เวียนหัว อาเจียน ปวดศีรษะ หนาวสั่น แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น กรดไหลย้อน และฉีดยาให้หนึ่งเข็ม เมื่อถึงอําเภอพิบูลมังสาหาร ผมยังคงมีอาการ หายใจไม่อิ่มและรู้สึกกลัวคล้ายอาการแพนิค จึงไปพบแพทย์อีกครั้ง ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ผลปกติ ได้รับยาฉีดเพิ่มเติม และยังคงวินิจฉัยว่าเป็นกรดไหลย้อน
3. เดือนพฤษภาคม 2024 กลับมากรุงเทพฯ ผมเริ่มมีอาการ กลัว แพนิค เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม แม้แต่ เดินขึ้นบันไดเพียงชั้นเดียวก็เหนื่อยหอบ แต่ไม่มีอาการแน่นหน้าอก พบแพทย์ที่ รพ. ... ตรวจพบว่าค่าตับไม่ดีเนื่องจากช่วงนั้นมีประชุมสังสรรค์บ่อยมาก ไม่พบโรคหัวใจ ให้ยาควบคุมความดันกลับมาทาน แต่โดยรวมผมยังรู้สึกไม่ดี ไม่สบายกายไม่สบายใจอยู่ตลอด
4. เดือนมิถุนายน 2024 ผมไปพบแพทย์จิตเวชเพื่อตรวจรักษาอาการแพนิค แพทย์ประเมินว่าสุขภาพจิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่สงสัยเรื่องอาการเหนื่อยง่ายและหายใจไม่อิ่มจึงส่งต่อไปแผนกหัวใจ ตรวจ Echo CE และพบข้อสงสัยว่า อาจมีภาวะเส้นเลือดหัวใจตีบ แพทย์จึงนัดทํา การฉีดสีสวนหัวใจ (Coronary Angiogram) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการวินิจฉัยที่ชัดเจนว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ หลังการทําสวนหัวใจและพักฟื้นอาการทางร่างกายของผมดีขึ้นอย่างชัดเจน ผมพักฟื้นทางร่างกายและจิตใจประมาณ 1 เดือน ผ่านไป 2 เดือน อาการแพนิคหายไป ผ่านไป 6 เดือน สามารถ เดินขึ้นบันได 4 ชั้นได้โดยไม่เหนื่อย ไม่หอบ ปัจจุบันสามารถใช้ชีวิตปกติสุข ทํางานได้ เดินทางไปต่างจังหวัดประจํา วิ่งได้ ปีนต้นไม้ได้ บางครั้งหรือนานๆทีจะมีอาการ “จี๊ด” เล็กน้อยบริเวณหัวใจในบางครั้งเวลาออกแรงเร็วๆ ผมเริ่มปรับพฤติกรรม:
o ออกกําลังกายสม่ําเสมอ เช่น เดินเร็ว โยคะ
o เลิกสังสรรค์ เลิกดื่มเบียร์ (แต่ยังดื่มไวน์แบบจิบๆเพราะต้องประกอบศาสนกิจ)พักผ่อนมากขึ้น
ลดอาหารหวาน มัน เค็ม ลดแป้งขัดขาว ดื่มน้ํามากขึ้น
o น้ําหนักลดลงจาก 85 กก. เหลือ 68 กก. รวมลดได้ราว 15-18 กก.
6. การติดตามผลและความรู้สึกปัจจุบัน ผมพยายาม กินยาตามที่แพทย์สั่ง และไปตามนัดวิ่งสายพาน (Exercise Stress Test) ผลวิ่งสายพาน “ผลยังไม่ดีนัก” แพทย์จึง เพิ่มยาไขมัน ปัจจุบันร่างกายรู้สึกแข็งแรงขึ้น แต่ปวดไหล่ซ้ายตรงสะบักหลัง ร้าวไปตามเส้นที่แขนซ้าย (เฉพาะด้านหลัง) สงสัยว่าเกิดจากอุบัติเหตุปีนต้นไม้เก็บมะม่วงบ่อยๆหรืออย่างอื่นอีกครั้ง จิตใจยังไม่ค่อยดี เพราะกังวลจากผลการวิ่งสายพาน หมอนัดฉีดสีใหม่ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2025
7. ข้อกังวลและความสับสนในแนวทางการรักษา ผมได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แต่รู้สึกว่า มีการเปลี่ยนแพทย์ผู้ดูแลบ่อย ซึ่งส่งผลต่อความต่อเนื่องในการรักษา แพทย์คนแรกบอกว่าอาการรุนแรงและควรทําการรักษาอย่างเร่งด่วน แพทย์คนที่สองบอกว่าอาการไม่รุนแรง เป็นเพียงเล็กน้อย แพทย์คนที่สามกลับบอกว่าผลยังไม่ดีขึ้น ต้องรักษาแบบเชิงรุกมากขึ้นอีก ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเกิดความ สับสนว่าจะเชื่อหรือเดินตามแนวทางใดต่อไปดีและมีหลายท่านแนะนําให้ผมลองไปขอความเห็นจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพิ่มเติม เช่น คุณหมอสันต์ ซึ่งผมเองก็ติดตามผลงานของคุณหมออยู่และให้ความเคารพเป็นอย่างมาก จึงอยากเรียนปรึกษาคุณหมอในฐานะ “เอฟซี” คนหนึ่งครับ
.........................................
ตอบครับ
ขอบคุณมากที่ส่งข้อมูลมาเพิ่มเติมซึ่งจะทำให้การวินิจฉัยโรคแม่นยำขึ้น ก่อนหน้านี้ผมได้ตอบจดหมายของคุณไปครั้งหนึ่งแล้วโดยเน้นอธิบายความหมายของ ST-depression แบบ upsloping ในคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ในวันนี้ผมจะตอบอีกครั้งในประเด็นอาการวิทยา ว่าอะไรด่วนอะไรไม่ด่วนในเรื่องโรคหัวใจ ซึ่งจะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านท่านอื่นที่ป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือดตั้งแต่อายุยังน้อยแบบเดียวกับคุณด้วย
ก่อนตอบคำถามผมขอเรียงปัญหาของคุณ (problems list) ตามลำดับความสำคัญ ว่ามีดังนี้
(1) มีความกังวลเรื่องผลตรวจ EKG ว่ามี ST-depression แบบ upsloping หลังการทำ EST ใหม่ๆ
(2) เป็นโรคหัวใจขาดเลือดแบบไม่ด่วนที่ได้รับการรักษาแบบรุกล้ำด้วยการใส่ขดลวดที่หลอดเลือด LAD มาแล้ว
(3) เป็นโรคความดันเลือดสูง
(4) เป็นโรคไขมันในเลือดสูง
(5) มีความลังเลว่าควรไปตรวจสวนหัวใจครั้งที่ 2 ตามแพทย์ที่รพ. ... แนะนำหรือไม่
(6) มีความลังเลว่าควรจะไปรักษากับแพทย์คนไหนที่ไหนดี
เอาละ คราวนี้มาตอบคำถามของคุณ
1. ถามว่าจากผลการตรวจวิ่งสายพาน (EST) หลังที่บอลลูนใส่ขดลวดแล้วพบมี upsloping ST-depression หลังจบการวิ่ง ควรถือเป็นเหตุให้ตัดสินใจตรวจสวนหัวใจครั้งที่ 2 หรือไม่ ตอบว่าไม่ควรครับ เพราะ
(1) การพบ upsloping ST-depression หลังการวิ่งสายพานไม่ถือเป็นผลบวกที่มีนัยสำคัญเหมือน horizontal หรือ downsloping ST depression จริงๆแล้วถือกันว่า upsloping เป็นอะไรที่เอานิยายไม่ได้ (equivocal) หากไปเอานิยายกับตรงนี้ก็จะเป็นหั่นลดความแม่นยำของการตรวจ EST ลงอย่างมาก และเป็นช่องทางชักนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิด แล้วทำให้คนไข้ถูกตรวจสวนหัวใจโดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจชักนำไปสู่การใส่ขดลวดเพิ่มโดยไม่จำเป็น หรือการผ่าตัดบายพาสเพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อนโดยไม่จำเป็น upsloping นี้มันจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมีอาการบ่งชี้ชัดๆ (เช่นเจ็บหน้าอก ณ ขณะนั้นเลย) ร่วมด้วยเท่านั้น
(2) กรณีของคุณซึ่งอาการหลังทำบอลลูนดีขึ้น ออกกำลังกายได้มากขึ้นโดยไม่มีอาการเลย การพบ upsloping ST-depression หลังการทำ EST จึงทิ้งไปได้เลย ไม่ควรเอามาเป็นเหตุให้ต้องตรวจสวนหัวใจซ้ำ เพราะโอกาสที่จะพบเห็นอะไรบนหลอดเลือดหัวใจที่แตกต่างไปจากเดิมไม่มีเลย การตรวจซ้ำจึงจะไม่เปลี่ยนการจัดการโรคไปจากเดิม มีแต่จะเพิ่มความเสี่ยงของการตรวจ
2. ถามว่าโรคหัวใจที่คุณเป็นอยู่นี้เป็นโรคระดับเร่งด่วนหรือไม่ใช่ ตอบว่าไม่ใช่โรคระดับเร่งด่วนครับ เป็นโรคที่ภาษาแพทย์เรียกว่า stable angina แปลว่าเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือดแบบไม่ด่วน กลไกการเกิดคือเลือดเข้าไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้เลือดที่เพิ่มขึ้น มักเกิดจากหลอดเลือดตีบแคบร่วมกับมีการเพิ่มความต้องการเลือดเช่นกำลังออกกำลังกายหรือกลัวกระวนกระวาย พอพักสักครู่ (ไม่เกิน 20 นาที) อาการก็หายไป การวินิจฉัยโรคหัวใจระดับนี้วินิจฉัยจากอาการร่วมกับการพบปัจจัยเสี่ยงร่วม (ความดัน ไขมัน เบาหวาน บุหรี่) แค่นี้ก็วินิจฉัยได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปสืบค้นอะไรเพิ่มเติมอีก แต่สิ่งที่พึงทำคือลงมือจัดการโรคด้วยการเปลี่ยนอาหารเพื่อลดไขมันในเลือด ลดน้ำหนักถ้าอ้วน ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด ทันที ซึ่งจะมีแต่ได้ประโยชน์ไม่มีเสีย การตระเวณไปรับการตรวจวินิจฉัยต่างๆเพิ่มเติมรังแต่จะเสียเวลาที่จะได้จัดการโรค และเพิ่มความวิตกกังวลซึ่งจะยิ่งทำให้โรคจัดการยากขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง โรคหัวใจแบบด่วนหรือรุนแรงนั้นทางการแพทย์หมายถึงโรค acute MI แปลว่ากล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันซึ่งมีอาการเจ็บหน้าอกทันทีและรุนแรงแม้จะพักนานเกิน 20 นาทีก็ยังไม่หายกลับเจ็บเพิ่มขึ้น ร่วมกันมีคลื่นหัวใจเปลี่ยนไปเป็นแบบ ST-elevation กลไกการเกิดคือมีลิ่มเลือดไปอุดหลอดเลือดหัวใจแบบเฉียบพลัน ต้องรักษาโดยไปโรงพยาบาลทันทีเพื่อทำการตรวจสวนหัวใจฉุกเฉินล้วงเอาลิ่มเลือดออก
3. ถามว่าควรจะย้ายหมอย้ายโรงพยาบาลดีไหมเพราะการดูแลไม่ต่อเนื่องและหมอพูดไม่เหมือนกัน ตอบว่าไม่จำเป็นดอกครับ เพราะในประเด็นความต่อเนื่อง การรักษาโรคเรื้อรังทุกวันนี้ผู้ที่จะทำให้กระบวนการรักษาโรคเป็นไปอย่างต่อเนื่องได้มีคนเดียวคือตัวผู้ป่วยเอง ส่วนในประเด็นหมอพูดไม่เหมือนกันนั้นมันเป็นธรรมดาเพราะหมอแต่ละคนมีความรู้ไม่เท่า และมีกันเจตนาไม่เหมือนกัน แล้วจะให้เขาพูดเหมือนกันได้อย่างไร เป็นหน้าที่ของผู้ป่วยที่จะต้องใช้ดุลพินิจกลั่นกรองคำพูดของแพทย์เอาเอง กรณีที่สงสัยก็เสาะหาความเห็นที่ 2 3 4 ก็ได้ แหล่งให้ความเห็นที่ดีมากแหล่งหนึ่งก็คือ chatGPT หรือ AI ซึ่งงานวิจัยเรื่องนี้ 83 ชิ้นสรุปภาพรวมได้ว่าไปหาหมอตัวจริงกับใช้บริการ chatGPT ได้ความแม่นยำในการวินิจฉัยและรักษาเท่ากัน
4. ถามว่าต่อจากนี้ควรทำอย่างไรต่อไป ตอบว่าการจะทำให้โรคถอยกลับก็ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบที่คุณได้ทำมาแล้วนั่นแหละครับ ผมขอฉายซ้ำอีกที ว่าควร (1) เปลี่ยนมากินอาหารแบบกินพืชเป็นหลักจนไขมันในเลือดลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ต่ำน่าพอใจ (2) ถ้าอ้วนลดน้ำหนักลง (3) ออกกำลังกายระดับหนักพอควรทุกวัน (4) จัดการความเครียดให้ดี (5) ดูแลการนอนหลับให้ดี
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Takita, H., Kabata, D., Walston, S.L. et al. A systematic review and meta-analysis of diagnostic performance comparison between generative AI and physicians. npj Digit. Med. 8, 175 (2025). https://doi.org/10.1038/s41746-025-01543-z
3. Ornish D, et. al. Intensive lifestyle changes for reversal of coronary heart disease. JAMA 1998; 280(23): 2001-2007 1998
4. Esselstyn CB Jr, Ellis SG, Medendorp SV, Crowe TD. A strategy to arrest and reverse coronary artery disease: a 5-year longitudinal study of a single physician’s practice. J Fam Pract 1995;41:560 –568.
5. Esselstyn CB Jr. Updating a 12-year experience with arrest and reversal therapy for coronary heart disease (an overdue requiem for palliative cardiology). Am J Cardiol 1999;84:339 –341.
6. Esselstyn CB Jr. Resolving the coronary artery disease epidemic through plant-based nutrition. Prev Cardiol 2001;4:171–177.