หมอใหม่ถามว่าหมอสันต์ตอบคำถามสุขภาพอย่างไร

 

เสจรัสเซีย ที่หน้าบ้าน

เรียนอาจารย์สันต์ที่เคารพ

    ผม นพ. ... ครับ ตอนนี้จบการฝึกอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทาง ... แล้ว ผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เริ่มเรียนแพทย์ ยึดถืออาจารย์เป็น idol มีความตั้งใจว่าจบแล้วจะเขียนอะไรให้ความรู้ผู้ป่วยทางอินเตอร์เน็ทอย่างอาจารย์บ้าง ตั้งใจจะเขียนให้ผู้ป่วยโดยไม่หาเงินโฆษณาตอบแทน ต้นทุกก็จะควักกระเป๋าตัวเอง ผมอยากปรึกษาวิธีตอบคำถามของอาจารย์ (ถ้าไม่เป็นความลับ) ว่าอาจารย์มีหลักในการตอบคำถามอย่างไรที่ผมจะลอกเลียนไปใช้ได้บ้างครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

.............................................................


ตอบครับ 

วิธีตอบคำถามทางบล็อกของผมไม่ได้เป็นความลับอะไร โถ ปูนนี้แล้วจะมีความลับอะไรกันนักหนาละครับ อีกอย่างหนึ่ง อนาคตของโลกใบนี้ ข้อมูลทุกอย่างต่อไปจะถูกแบไต๋แก่ทุกคนด้วยความปากโป้งของหุ่นยนต์ AI ดังนั้น ทุกวันนี้ใครที่ประกอบอาชีพกั๊กข้อมูลไว้ขายอย่างเช่น อาชีพแพทย์ อาชีพครูอาจารย์ ให้เตรียมตัวไว้ด้วยว่าในอนาคตจะต้องเปลี่ยนอาชีพไปขายเต้าฮวยแทน เพราะอาชีพกั๊กข้อมูลไว้ขายจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว หิ..หิ

เอากันตรงๆก็คือขั้นตอนการตอบคำถามของหมอสันต์มีดังนี้

ขั้นที่ 1. จับประเด็นคำถามก่อน เริ่มที่ประเด็นสุขภาพ ตามลำดับ

               1.1 ผู้ถามมีอาการสำคัญ (chief complaint) อะไร

               1.2 มีข้อมูลประกอบการเจ็บป่วยอื่นๆ (เช่น เพศ อายุ น้ำหนักตัว โรคเก่า ผลแล็บ) อะไรบ้าง

               1.3 ผู้ถามมีความกังวล (concern) เรื่องอะไรตามลำดับจากมากไปหาน้อย

2.              ขั้นที่ 2. ก่อนที่จะตอบ ก็ทำการการวินิจฉัยเบื้องต้น (presumptive diagnosis) และการวินิจฉัยแยกโรค (differential diagnosis) อย่างน้อยสองสามโรคไว้ในใจก่อน เพื่อใช้เป็นบริบท (context) ของการตอบคำถาม  

3.             ขั้นที่ 3. ให้ความรู้โดยสรุปในเรื่องโรคที่ผู้ถามถามมาพร้อมทั้งวิธีรักษาในขอบเขตของวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน (modern medicine)

4.              ขั้นที่ 4. พูดถึงผลวิจัยสำคัญที่เกี่ยวข้อง โดยที่หากเป็นประเด็นที่เข้าใจยากหรือที่คนทั่วไปอาจคิดไม่ถึง หรือที่เป็นเรื่องใหม่ ก็อาจจะเล่าถึงงานวิจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยสังเขป และวงเล็บตัวเลขที่เชื่อมโยงถึงหลักฐานวิจัยในรูปของเอกสารอ้างอิง (reference) ที่แนบไว้ท้ายบทความด้วย

5.              ขั้นที่ 5. แนะนำวิธีรักษาอย่างสั้นๆ โดย

                    5.1 เน้นแนะนำสิ่งที่ผู้ถามเอาไปปฏิบัติเองได้ด้วยตนเอง ซึ่งก็คือการเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การเปลี่ยนอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว โดยปรับรายละเอียดให้เข้ากับบริบทของคำถาม

                    5.2 ในกรณีที่ควรใช้ยาในการรักษา หากเป็นยาที่ไม่ใช่ยาควบคุมพิเศษ ก็บอกชื่อ generic name ของยา ขนาด (dose) และวิธีกิน ถ้ามีข้อพึงระวังก็บอกด้วย หากเป็นยาควบคุมพิเศษก็แนะนำให้ไปพบอายุรแพทย์ในสาขาที่เกี่ยวข้อง

                    5.3 ในกรณีที่ควรรักษาด้วยใช้หัตถการแบบรุกล้ำ (invasive procedure) เช่นการผ่าตัด ก็แนะนำไปปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านที่เกี่ยวข้อง

                    5.4 ในกรณีที่ควรลดหรือเลิกยาก็แนะนำให้ลดหรือเลิกยาด้วยตนเองโดยใช้ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง (เช่น ความดันเลือด ไขมันในเลือด น้ำตาลในเลือด) เป็นตัวปรับขนาดและช่วงเวลาของการลดหรือเลิกยา และบอกประเด็นต้องระวังขณะลดยาหรือเปลี่ยนพฤติกรรม (เช่นน้ำตาลในเลือดต่ำขณะเปลี่ยนอาหารในผู้กินยาเบาหวาน เป็นต้น) 

            ขั้นที่ 6. ให้การพยุงทางจิตวิทยา (psychological support) โดยเน้นจิตวิทยาเชิงบวก (positive psychology) เพื่อมุ่งลดความกังวลของผู้ถาม โดยใช้ท่าทีที่เข้าใจ เห็นใจ และประกอบด้วยเมตตาธรรม

            ขั้นที่ 7. สอดแทรกอารมณ์ขัน เช่นเล่าเรื่องนอกประเด็นประกอบเพื่อการผ่อนคลาย สอดแทรกการหัวเราะ เป็นต้น

            ที่คุณหมอมีแนวคิดจะสละเวลามาให้ข้อมูลความรู้แก่ผู้ป่วยทางอินเตอร์เน็ทนั้น ผมสนับสนุนสุดลิ่ม เพราะรูปแบบของการให้ข้อมูลความรู้ที่คลินิกตรวจโรคมันไม่มีประสิทธิภาพ หมายความว่าทำแทบตายได้ประโยชน์นิดเดียว คือมีคนได้ประโยชน์คนเดียว แต่เรื่องเดียวกัน คำพูดแบบเดียวกัน เราเอามาพูดทางอินเตอร์เน็ทแทน พูดทีเดียวมีคนได้ประโยชน์หลายคน อย่างในกรณีของหมอสันต์ หนึ่งคำตอบหรือหนึ่งบทความ มีคนอ่านเฉลี่ยมากกว่า 1,000 คน เราจะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งออกโอพีดี.เพื่อพูดเรืองหนึ่งกับคนไข้ 1,000 คน การจะพูดให้รู้เรื่องครอบคลุมเท่าที่เขียนคงต้องใช้เวลา 30 นาทีต่อคน ชีวิตหมอนั่งโอพีดีวันละ 6 ชม. สัปดาห์ละ 5 วัน ก็ต้องใช้เวลาออกโอพีดี.ถึง 500 ชั่วโมง หรือ 83 วัน แล้วหมอสันต์พูดไปแล้วเกือบ 3000 เรื่อง มันก็ต้องนั่งโอพีดีถึง 249,000 วันจึงจะได้เท่านี้ โห..มันคุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีกนะ และที่คุณหมอคิดจะทำโดยเอาเงินตัวเองมาทำโดยไม่หวังได้เงินอะไรก็ยิ่งเป็นความคิดที่เข้าท่า เพราะปลายทางของการใช้ชีวิตนี้สุดยอดปรารถนาของทุกคนคือความสุข ที่คนต่างหาเงินกันงกๆก็เพราะคนอยากได้ความสุข แต่แบบที่คุณหมอคิดจะทำนี้เขาเรียกว่า labor of love คือเป็นการใช้แรงงานที่ดลบันดาลด้วยความรักหรือเมตตาธรรม นี่มันเป็นการใช้แรงงานที่ให้ความสุขแบบตรงๆลัดๆโดยไม่ต้องใช้เงินเป็นตัวกลางเลยนะจะบอกให้ 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

"ลู่ความสุข" กับ "ลู่เงิน"