14 พฤษภาคม 2567

จดหมายถามเรื่องกัญชาทะยอยเข้ามาอีกแล้ว

(ภาพวันนี้ / แล้งจัด กระรอกยกทัพกัดท่อน้ำฝนเพื่อเข้าไปหาน้ำดื่มในถัง แล้วพากันตายอยู่ในนั้นห้าตัว ทำให้หมอสันต์ต้องมาคิดออกแบบที่ให้น้ำกระรอก ใครมีไอเดียเจ๋งก็ช่วยบอกด้วย)

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่าง)

อยู่ๆก็มีจดหมายถามเรื่องกัญชาทะยอยเข้ามาอีกแล้ว ผมได้เคยตอบเรื่องกัญชาอย่างละเอียดไปแล้วทุกแง่ทุกมุมถึงสามครั้ง ครั้งแรก เมื่อพค. 2562 ครั้งที่สอง เมื่อพย. 2563 ครั้งที่สาม เมื่อมิย. 2565 ท่านที่สนใจเนื้อหาเชิงลึกกรุณาตามไปอ่านเอาเอง วันนี้ผมจะไม่ตอบอะไรเพิ่มอีก แต่จะคัดลอกตอนหนึ่งของการตอบครั้งก่อนๆมาไว้ข้างล่างนี้เพื่อย้ำให้เห็นเจตนาของผมในเรื่องนี้

……………………………..

“..การที่คนเราอยากจะหนีความคิดของตัวเองไปสู่ความสงบเย็นที่ปลอดอิทธิพลความคิดนั้นมันเป็นธรรมชาติที่ฝังลึกอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคน สุดแล้วแต่ว่ามันจะโผล่ขึ้นมาช้าหรือเร็ว ทุกคนก็ล้วนอยากไปตรงนั้น ไปอยู่ในสภาวะที่ตื่นรู้ ปลอดความคิด มีแต่ความสงบเย็นและเบิกบาน ในบรรดาทางไปซึ่งมีหลายทาง ยาเสพย์ติดเป็นทางหนีที่ง่ายทางหนึ่ง แต่กฎหมายปิดกั้นทางนี้เอาไว้ หากเปิดสิ่งปิดกั้นนี้ออก คนที่หนีความคิดของตัวเองด้วยวิธีอื่นที่เขาคิดหรือเชื่อว่ามันยาก (เช่นการฝึกวางความคิด) ก็จะเฮโลมาหาทางนี้เพราะเห็นว่ามันง่ายกว่า งานวิจัยการติดยาเสพย์ติดในกลุ่มอนุพันธ์ของฝิ่นในหมู่แพทย์อเมริกันพบว่าวิสัญญีแพทย์หรือหมอดมยามีอัตราการติดยาสูงสุด เพราะหมอดมยาใช้ยาพวกนี้มากที่สุด พอมันง่ายที่จะเอามาลองกับตัวเอง ก็เลยติดเสียเอง

     มามองผลเสียระดับบุคคลก่อนนะ สมมุติว่ากัญชาเป็นของถูกกฎหมาย ผมทำงานเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ สมมุติว่าเนื่องจากกัญชาถูกกฎหมายแล้ว ทุกวันๆๆๆผมก็พี้กัญชามาจนเมาตาหวานได้ที่ก่อนมาทำงาน คุณเป็นคนไข้ คุณจะกล้าให้ผมทำผ่าตัดหัวใจให้คุณไหม

     ในระดับชาติ การปล่อยให้ประชาชนหันเข้าหายาเสพย์ติดเพื่อหนีทุกข์จากความคิดของตัวเองเป็นวิธีลัดสั้นตรงที่สุดที่จะทำให้ชาติฉิบหาย (ขอโทษ) ถ้าคุณสนใจประวัติศาสตร์สักหน่อย นี่เป็นวิธีที่อังกฤษใช้ทำลายจีนในช่วงราวๆปีค.ศ. 1860 อังกฤษซึ่งครอบครองอินเดียอยู่ และชายขอบของอินเดียสมัยนั้นก็คือย่านอัฟกานิสถานปัจจุบันซึ่งเป็นแหล่งผลิตฝิ่นแหล่งใหญ่ของโลก อังกฤษซึ่งมีความโลภจะเอาแต่เงินลูกเดียวก็ทำการค้าฝิ่น แล้วใช้กำลังบีบบังคับให้จีนเลิกกฎหมายห้ามสูบฝิ่นเพื่อจะสร้างขี้ยากลุ่มใหญ่ไว้เป็นตลาดฝิ่นของตน จนกลายเป็นสงครามฝิ่น ซึ่งสงครามนั้นจีนรบแพ้ ต้องยอมเปิดให้ประชาชนสูบฝิ่น คนอังกฤษก็ทำมาค้าขายฝิ่นจนร่ำรวยกันระเบิดระเบ้อ เพื่อนผมที่เป็นหมออินเดียบอกว่าคนอินเดียที่เป็นสมุนร่วมค้าขายฝิ่นกับคนอังกฤษช่วยขนฝิ่นจากอัฟกานิสถานผ่านอินเดียไปจีนก็พลอยร่ำรวยมหาศาลจนทุกวันนี้ลูกหลานของพวกนั้นก็ยังรวยกันอยู่ไม่เลิก แต่จีนเป็นไง ประชาชนจีนติดฝิ่น ชาติจีนถูกทำลายย่อยยับ ประชาชนส่วนใหญ่ที่ด้อยโอกาสถูกทิ้งให้ทุกข์ยากติดดินติดหญ้า กว่าจะปลดแอกฝิ่นที่อังกฤษสวมให้และฟื้นตัวเองขึ้นมายืนบนขาตัวเองจนทุกคนมีข้าวกินได้เหมือนเดิมอีกครั้งอย่างทุกวันนี้ จีนต้องทำสงครามภายในอันเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม พ่อแม่ลูกต้องฆ่ากันเองเพราะอยู่คนละข้าง ผู้คนล้มตายไปหลายสิบล้านคน ดังนั้น ก่อนที่เราจะแก้กฎหมาย “ปล่อยผี” ยาเสพย์ติด ผมขอให้เข้าใจมุมนี้ให้ดีก่อน ไม่ใช่จะเอาแต่ค้าฝิ่น..เอ๊ย ไม่ใช่ ค้ากัญชากันท่าเดียว

     ทำไมเราไม่ใช้วิธีที่มันดีกว่าทุกประตู ถ้าไม่นับคนขี้โลภที่อยากได้เงินจากการค้าขายกัญชา ผู้สนับสนุนการแก้กฎหมายกัญชาคือผู้ป่วยและหมอหรือผู้เห็นอกเห็นใจผู้ป่วยที่เป็นโรคที่ทุกข์ทรมานกับอาการปวด นอนไม่หลับ กังวล และซึมเศร้า จะมียกเว้นก็คือหมอจิตแพทย์ที่ไม่สนับสนุนกัญชาเพราะกลัวคนที่มีเชื้อบ้าอยู่แล้วจะบ้าหนักขึ้น ผมเข้าใจทุกๆคนนะครับ แต่แทนที่จะมาดันทุรังเอาที่กัญชา ทำไมไม่ลองทางอื่นที่มันมีแต่ดีทุกประตูก่อนละครับ

     หลักฐานวิทยาศาสตร์ก็ชัดเจนแน่นอนอยู่แล้ว ว่าถ้าเราปรับอาหารการกินให้มันเป็นอาหารสดๆที่มีส่วนประกอบเป็นพืชผักผลไม้มากขึ้น ถ้าเราออกกำลังกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น โอกาสที่เราจะเป็นโรคที่ต้องมาทุกข์ทรมานกับการปวดรวมทั้งโรคมะเร็งก็ลดลง 

     แล้วทำไมเรานอนไม่หลับ ทุกข์กังวล หรือซึมเศร้าละ ก็เพราะเราเสพย์ติดความคิดของเราเองแล้วพยายามจะหนีสิ่งที่เราเสพย์ติดเองนั้นแต่หนีไปไม่พ้น จึงพยายามไปหาสิ่งเสพย์ติดตัวใหม่มาไล่ ผมบอกล่วงหน้าเลยว่ามันไล่ได้ก็แค่ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วมันก็จะกลับมาอีกเพราะความคิดมันเป็นร่องบากไว้ในหัวของคุณมันจะหมดไปด้วยยาเสพย์ติดได้อย่างไร ทำไมไม่แก้ตรงๆด้วยการฝึกวางความคิด ซึ่งมันเป็นวิธีที่มีแต่ดีไม่มีผลเสียข้างเคียงใดๆ ส่วนวิธีที่ว่าการวางความคิดจะทำอย่างไรนั้นก็หาอ่านเอาได้ไม่ยาก ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าก็สอนแต่เรื่องนี้แทบไม่ได้สอนเรื่องอื่นเลย ถ้าจะเอาแบบง่ายๆบ้านๆ หาอ่านในบล็อกของผมนี้ก็ได้ ผมเขียนเรื่องนี้ไปบ่อยมากจนนับครั้งไม่ถ้วน ถ้านอนไม่หลับก็ฝึกปฏิบัติตามสุขศาสตร์ของการนอนหลับ แล้วก็ค่อยๆเลิกยานอนหลับเสีย      

     ผมไม่ได้ต่อต้านแค่กัญชา แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้สารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางทุกชนิดมาแก้ปัญหาการเสพย์ติดความคิดของผู้คน นอกจากยาเสพย์ติดที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังรวมถึงบุหรี่ แอลกอฮอล และยาออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางในชื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นยาต้านซึมเศร้า ยากล่อมประสาท ยาคลายกังวล ยานอนหลับ ยาแก้ปวดที่เป็นอนุพันธ์ของฝิ่น ยารักษาสมาธิสั้น ที่แพทย์เรามักจ่ายให้ผู้ป่วยแบบตั้งใจจะให้เขากินชนิดไม่มีวันให้เลิกราด้วย ผมต่อต้านหมดเพราะเห็นอัตราเพิ่มของการใช้ยาในกลุ่มนี้แล้วผมกลัวว่าลูกหลานของเราในวันหน้าจะไม่มีใครรอดจากการถูกแพทย์สั่งให้กินยาในกลุ่มนี้แม้แต่คนเดียว

ร่างกายของคนเรานี้ธรรมชาติออกแบบให้ดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องกินยาหรือเสพย์สารเสพย์ติดใดๆ แค่กินอาหารที่ธรรมชาติให้มา ดื่มน้ำ หายใจเอาอากาศดีๆเข้าไป ตากแดด และเหยียบดินอันเป็นรากกำเนิดของร่างกายนี้บ้าง ร่างกายนี้ก็จะอยู่ได้ของมันเองแล้ว ไม่ต้องอาศัยยาหรือสารเสพย์ติดใดๆคอยค้ำจุนเลย 

     ถ้าหมอสันต์ล่วงเกินก็ขออภัย ผมตอบคำถามนี้อาจจะทำให้หลายคนที่สนับสนุนกัญชาหงุดหงิด ในจำนวนนี้บางคนก็เป็นแพทย์ที่ผู้คนเคารพนับถือ บางคนก็เป็นนักการเมืองใหญ่ที่ตั้งใจดีซึ่งผมก็รู้จักมักคุ้นอยู่ ผมกราบขออภัย ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านเกิดความทุกข์ แต่ผมตอบจดหมายนี้เพื่อเปิดให้สาธารณชนเห็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญ ซึ่งทุกเหรียญมันมีสองด้านเสมอ ส่วนเมื่อเห็นแล้ว คนส่วนใหญ่เขาจะเอายังไงกันต่อไปนั้นผมก็โอเคทั้งนั้น..”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์