คุณจะใช้ชีวิตแบบเสาะหาความสุข หรือแบบแสดงออกถึงความเบิกบานในใจคุณ

(กรณีอ่านจาก fb กรุณาคลิกภาพข้างล่าง)

กราบเรียนคุณหมอสันต์

… นะคะ ยอมรับว่าทุกวันนี้ใช้ชีวิตแบบผ่านไปทีละวันๆ การงานเดิมๆ เปลี่ยนไม่ได้ ไม่มีสิทธิคิดเรื่องความก้าวหน้า สุขภาพพอไปทำงานได้ ต้องพึ่งพายา Zoloft ตลอด สุขภาพจิตไม่ดีเลย ลืมตาตื่นขึ้นมา โลกหม่นหมองมาก

ยิ่งกว่านั้นคือ ลูกสาวคนเดียวก็ป่วย ทำให้ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ตัวเองยังเอาไม่รอด ห่วงลูกอีก ตอนนี้รู้สึกแย่มากๆ แอบคิดว่าทำไมถึงได้กลับมาอีก หลังจากเส้นเลือดสมองแตก มันทรมานค่ะ กราบขอคำแนะนำอาจารย์ด้วยนะคะ

ด้วยความเคารพ

………………………………………………

ตอบครับ

ผมจะไม่ตอบคุณแบบปลอบโยนให้คุณสบายใจแค่ผิวเผินนะ แต่จะพูดกับคุณให้ลึกซึ้ง ให้คุณไปทำการบ้านต่อเอาเอง

ในการใช้ชีวิต มันมีทิศทางหลักสองแบบนะ

แบบที่ 1. To pursue happiness คือแบบ..เสาะหาความสุขในชีวิต

แบบที่ 2. To express joy คือแบบ..แสดงออกถึงความเบิกบานในใจคุณ

แน่นอนว่าหากจะใช้ชีวิตแบบที่สอง เราต้องมีความสุขหรือ joyful ในใจเราก่อน ไม่งั้นเราจะเอาอะไรที่เราไม่มีไปให้ใครได้อย่างไร ทำให้มองเผินๆเหมือนกับว่าเราต้องใช้ชีวิตในแบบแรกก่อน คือเสาะหาความสุขให้เจอก่อน เมื่อเราสุขแล้ว เบิกบานแล้ว เราจึงจะเผื่อแผ่ความสุขนั้นให้คนอื่นได้

แต่พอเราตั้งต้นไปเสาะหาความสุขที่ข้างนอก บางครั้งเราพบ หมายความว่าความอยากของเราได้รับการสนองตอบแม้ว่ามันจะสุขได้เพียงชั่วคราว แต่ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือบ่อยครั้งเราหาแล้วไม่พบ กลับได้พบแต่ความผิดหวัง เพราะเงื่อนไขของสิ่งต่างๆที่ข้างนอกนั้นเราควบคุมไม่ได้ ทำให้การหาความสุขของเรากลายเป็นที่มาของความทุกข์ไปเสียฉิบ

ประเด็นที่ฉิวเฉียดเป็นเส้นผมบังภูเขาก็คือ ความสุขที่เราไปหาที่ข้างนอกนั้น กลไกการเกิดมันเกิดที่ข้างใน คือการสนองตอบของใจเราเมื่อได้สิ่งที่สมอยาก หมายความว่าเมื่อความอยากกลายเป็นหมดความอยาก เราก็สุข

ทั้งนี้อย่าลืมว่าความอยากคือความคิด พูดอีกอย่างก็คือเมื่อหมดความคิด เราก็สุข

นั่นหมายความว่าความสุขหรือความเบิกบาน (joyful) แท้จริงแล้วมันเป็นธรรมชาติของส่วนลึกของใจเราอยู่แล้ว แต่มันถูกบังไว้ด้วยความคิด พอความคิดหมด ความเบิกบานมันก็โผล่ออกมาเอง ถ้าคุณจำได้ ผมเคยพูดบ่อยๆว่าใจส่วนลึกของเรานี้มันมีธรรมชาติสี่อย่าง คือ (1) ความเมตตา – compassion (2) ความสงบ – peace (3) ความเบิกบาน – joy (4) การรับรู้และยอมรับ -acceptance

ดังนั้นแทนที่จะไปวิ่งหาความสุขที่ข้างนอก ลองหันกลับเข้าข้างใน วางความคิด เข้าไปสู่ความรู้ตัว เราก็พบความเบิกบานแล้ว

วิธีทำก็ไม่ได้ยาก คุณก็เรียนไปมากแล้ว เหลือแต่การปฏิบัติ อย่างง่ายๆก็คือแค่หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก ผ่อนลมหายใจออกยาวๆพร้อมกับผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั้งใบหน้าและทั่วตัว ยิ้มเผล่ที่มุมปากนิดๆ ทิ้งความคิดไปให้หมด ทำซ้ำๆสักหลายๆลมหายใจ คุณก็เข้าถึงความเบิกบานในใจแล้ว

ถ้ามาถึงตรงนี้ได้ คุณก็จะเริ่มใช้ชีวิตในแบบที่สองคือให้การใช้ชีวิตแบบเป็นการแสดงออกถึงความเบิกบานในใจคุณได้ แล้วผมรับประกันว่าการใช้ชีวิตในแบบนี้จะไม่มีคำว่าผิดหวัง เพราะในการแสดงออกถึงความเบิกบานในใจคุณ คุณไม่ได้คาดหวังอะไรจากใครทั้งสิ้น แล้วความเบิกบานในใจนี่แหละคือพลังชีวิต ยิ่งแสดงออกมันยิ่งมาหา ชีวิตมันจึงจะมีแต่เบิกบานยิ่งขึ้น สร้างสรรค์ยิ่งขึ้น

อีกอย่างหนึ่ง ชีวิตคนเรา สมบัติที่ทุกคนได้ติดตัวมาแท้จริงแล้วมีสองอย่างเท่านั้น คือ (1) เวลา และ (2) พลังชีวิต เวลาเราได้มาทีละหนึ่งลมหายใจ เพราะปลายของลมหายใจออกแต่ละครั้งเราไม่รู้หรอกว่ามันจะมีลมหายใจเข้าครั้งใหม่หรือเปล่า ส่วนพลังชีวิตนั้นเมื่อหมดความคิด พลังชีวิตก็จะโผล่ออกมาเอง ประเด็นจึงเหลืออยู่แค่ว่าในหนึ่งลมหายใจที่คุณได้สัมปทานมาแน่ๆแล้วนี้ คุณจะใช้พลังชีวิตของคุณไปทำอะไร หรือจะใช้มันไปแบบไหน นี่เป็นโจทย์ที่คุณต้องขบให้แตกเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี