ขอชื่อยาแก้แพ้ดีๆไปซี้อกินเองได้ไหมครับ เอาแบบไม่ง่วง
ขอชื่อยาแก้แพ้ดีๆไปซี้อกินเองได้ไหมครับ เอาแบบไม่ง่วง ไปหมอก็เบื่อ ทำ prick test จนเบื่อก็ไม่หายแพ้สักที
...........................
ตอบครับ
ยาแก้แพ้ ตัวหลักก็คือแอนตี้ฮิสตามีน ซึ่งมีสองรุ่น
1. แอนตี้ฮิสตามีนรุ่นดั้งเดิม ซึ่งทำให้ง่วงสะบัด ได้แก่
Chlopheniramine 4 มก. ทุก 4-6 ชม.
Diphenhydramine (Benadryl) 25-50 มก.ทุก 4-6 ชม.
Hydroxyzine (Atarax) 10-25 มก.ทุก 6-8 ชม.
Pseudoephedrine (Sudafed) 30-60 mg ทุก 4-6 ชม.
2. แอนตี้ฮิสตามีนรุ่นใหม่ (second generation) ซึ่งไม่ง่วง หมายความว่าเทียบกับยาหลอกแล้วง่วงพอๆกัน เพราะการเป็นภูมิแพ้นี้มันก็ง่วงของมันเองอยู่แล้วโดยไม่ต้องกินยาด้วยซ้ำ ยารุ่นใหม่ได้แก่
Cetirizine (Zyrtec) 5-10 มก.วันละเม็ด,
Levocetirizine (Xyzal) 5 มก. ตอนเย็น,
Fexofenadine (Allegra) 60 มก.วันละสองครั้ง
Loratadine (Claritin) 10 มก. วันละครั้ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับ Loratadine + pseudoephedrine (Claritin-D 24 hour)
Montelukast (Singulair) 10 มก. วันละครั้ง อันนี้ไม่ใช่แอนตี้ฮิสตามีนเป็นแอนตี้เลียวโคตรริอีน ซึ่งเป็นสารก่ออาการแพ้ที่ปล่อยออกมาจาก mast cell เช่นกัน
ยาแก้แพ้ซื้อกินเองได้ กินนานๆได้ไม่มีอันตราย ยกเว้นชนิดที่มีส่วนผสมของ pseudoephedrine ซึ่งมีฤทธิ์บีบหลอดเลือด ถ้าใช้มากๆนานๆก็ทำให้ความดันเลือดสูงและหัวใจเต้นเร็วได้เหมือนกัน
ขอให้ความรู้ทั่วไปคุณเพิ่มเติมหน่อยนะ โรคภูมิแพ้คัดจมูกน้ำมูกไหล (allergic rhinitis) มีสาเหตุจากโปรตีนจากภายนอกร่างกายเรียกว่า allergen มาแหย่ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgE ขึ้นมาสู้ สนามรบก็อยู่ในรูจมูกนั่นแหละ ตัว IgE นี้ไม่ได้มาคนเดียว แต่เกาะลูกพี่ซึ่งเป็นเซลชื่อ mast cell มาด้วย พอมันจับ allergen ได้มันก็จะเขย่าลูกพี่ให้ปล่อยสารสาระพัดออกมารวมทั้งสารฮิสตามีนด้วย ทำให้เกิดอาการแพ้คัดจมูกน้ำมูกไหล คันหู ตา คอ จมูก จาม ง่วง ไม่สบาย
อาการคัดจมูกอาจเกิดจากเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการแพ้ก็ได้นะ เช่นเกิดจากยา การถุนโคเคน การตั้งครรภ์ กินยาคุม หรือมีปัญหาในจมูกเช่นเป็นริดสีดวงจมูก (โพลิป) เป็นต้น
หลักการรักษาภูมิแพ้มีสามประเด็นคือ
(1) มาตรการควบคุมสิ่งแวดล้อม เพื่อเลี่ยงสิ่งที่ทำให้แพ้ เช่นเกสรพืช ไรฝุ่น เอาพรมออกไปเสีย หลีกเลี่ยงสัตว์เลี้ยง กำจัดแมลงสาบ หลีกเลี่ยงควัน น้ำหอมที่กลิ่นแรง หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบฮวบฮาบ
(2) การใช้ยา ยาที่ใช้ได้แก่ (1) แอนตี้ฮิสตามีน เช่น (2) ยาแก้คัดจมูก (3) ยาพ่นหรือหยอดจมูกที่ทำจากสะเตียรอยด์หรือจากยาแก้แพ้ตัวอื่น
(3) การสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นการฝึกให้ร่างกายชิน (desensitisation) โดยฉีดสารที่ทำให้แพ้บ่อยๆ ซึ่งต้องทำกันนาน 3-5 ปี และต้องทำอย่างระมัดระวังเพราะอาจแพ้รุนแรงขณะฉีดได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
...........................
ตอบครับ
ยาแก้แพ้ ตัวหลักก็คือแอนตี้ฮิสตามีน ซึ่งมีสองรุ่น
1. แอนตี้ฮิสตามีนรุ่นดั้งเดิม ซึ่งทำให้ง่วงสะบัด ได้แก่
Chlopheniramine 4 มก. ทุก 4-6 ชม.
Diphenhydramine (Benadryl) 25-50 มก.ทุก 4-6 ชม.
Hydroxyzine (Atarax) 10-25 มก.ทุก 6-8 ชม.
Pseudoephedrine (Sudafed) 30-60 mg ทุก 4-6 ชม.
2. แอนตี้ฮิสตามีนรุ่นใหม่ (second generation) ซึ่งไม่ง่วง หมายความว่าเทียบกับยาหลอกแล้วง่วงพอๆกัน เพราะการเป็นภูมิแพ้นี้มันก็ง่วงของมันเองอยู่แล้วโดยไม่ต้องกินยาด้วยซ้ำ ยารุ่นใหม่ได้แก่
Cetirizine (Zyrtec) 5-10 มก.วันละเม็ด,
Levocetirizine (Xyzal) 5 มก. ตอนเย็น,
Fexofenadine (Allegra) 60 มก.วันละสองครั้ง
Loratadine (Claritin) 10 มก. วันละครั้ง ซึ่งเป็นคนละชนิดกับ Loratadine + pseudoephedrine (Claritin-D 24 hour)
Montelukast (Singulair) 10 มก. วันละครั้ง อันนี้ไม่ใช่แอนตี้ฮิสตามีนเป็นแอนตี้เลียวโคตรริอีน ซึ่งเป็นสารก่ออาการแพ้ที่ปล่อยออกมาจาก mast cell เช่นกัน
ยาแก้แพ้ซื้อกินเองได้ กินนานๆได้ไม่มีอันตราย ยกเว้นชนิดที่มีส่วนผสมของ pseudoephedrine ซึ่งมีฤทธิ์บีบหลอดเลือด ถ้าใช้มากๆนานๆก็ทำให้ความดันเลือดสูงและหัวใจเต้นเร็วได้เหมือนกัน
ขอให้ความรู้ทั่วไปคุณเพิ่มเติมหน่อยนะ โรคภูมิแพ้คัดจมูกน้ำมูกไหล (allergic rhinitis) มีสาเหตุจากโปรตีนจากภายนอกร่างกายเรียกว่า allergen มาแหย่ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgE ขึ้นมาสู้ สนามรบก็อยู่ในรูจมูกนั่นแหละ ตัว IgE นี้ไม่ได้มาคนเดียว แต่เกาะลูกพี่ซึ่งเป็นเซลชื่อ mast cell มาด้วย พอมันจับ allergen ได้มันก็จะเขย่าลูกพี่ให้ปล่อยสารสาระพัดออกมารวมทั้งสารฮิสตามีนด้วย ทำให้เกิดอาการแพ้คัดจมูกน้ำมูกไหล คันหู ตา คอ จมูก จาม ง่วง ไม่สบาย
อาการคัดจมูกอาจเกิดจากเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการแพ้ก็ได้นะ เช่นเกิดจากยา การถุนโคเคน การตั้งครรภ์ กินยาคุม หรือมีปัญหาในจมูกเช่นเป็นริดสีดวงจมูก (โพลิป) เป็นต้น
หลักการรักษาภูมิแพ้มีสามประเด็นคือ
(1) มาตรการควบคุมสิ่งแวดล้อม เพื่อเลี่ยงสิ่งที่ทำให้แพ้ เช่นเกสรพืช ไรฝุ่น เอาพรมออกไปเสีย หลีกเลี่ยงสัตว์เลี้ยง กำจัดแมลงสาบ หลีกเลี่ยงควัน น้ำหอมที่กลิ่นแรง หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบฮวบฮาบ
(2) การใช้ยา ยาที่ใช้ได้แก่ (1) แอนตี้ฮิสตามีน เช่น (2) ยาแก้คัดจมูก (3) ยาพ่นหรือหยอดจมูกที่ทำจากสะเตียรอยด์หรือจากยาแก้แพ้ตัวอื่น
(3) การสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นการฝึกให้ร่างกายชิน (desensitisation) โดยฉีดสารที่ทำให้แพ้บ่อยๆ ซึ่งต้องทำกันนาน 3-5 ปี และต้องทำอย่างระมัดระวังเพราะอาจแพ้รุนแรงขณะฉีดได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์