คำว่า "ปัจจุบัน" หรือ "Now" นี้มันถูกใช้ในสองความหมาย ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นยาก

(ภาพวันนี้ / โนรี)

สวัสดีคะอาจารย์
หนูพึ่งเดินทางกลับมาเมื่อวาน ไปขับรถเที่ยว route north coast 500 ทางตอนเหนือสกอตแลนด์คะ
ไปหนนี้สิ่งหนึ่งซึ่งได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมาอีกคือการอยู่กับปัจจุบันคะ จริงๆถ้าโดยคำพูดว่า อยู่กับปัจจุบัน พูดแล้วก็เหมือนเราเข้าใจดีนะคะ แต่เทียบไม่ได้กับเวลาที่เรา “รู้” ขึ้นมาเองนั้น เข้าใจลึกซึ้งเลยคะ ว่าหมายความว่าอะไร แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ตามคะ
ช่วงนี้ย่อหย่อนกับการนั่งสมาธิไปคะ ไม่ได้ทำทุกเช้าเหมือนเคย แต่ในระหว่างวันจะมีช่วงเวลาที่หยุดหายใจลึกๆและรู้สึกตัวขึ้นมาคะ สำหรับหนูจะท่องคำว่าพุทโธ และดูลมหายใจ จะช่วยดึงความรู้สึกตัวกลับมาคะ รู้สึกถึงความสงบของตนเองมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วนะคะ
เมื่อคอยดูความคิดตนเองอยู่บ่อยๆ สิ่งหนึ่งที่ที่รู้สึกก็คือ เหมือนกับยิ่งวันหนูจะยิ่งเหมือนจะรู้จักตนเองน้อยลงไปทุกที  เหมือนความคิดที่เกิดขึ้นที่มีทั้งดีและไม่ดีนั้น พอเราเริ่มจับดูความคิดได้บ่อยๆขึ้น ไอ้ความคิดที่ไม่ดีนี่แหละคะ ทำให้หนูรู้สึกเหมือนเป็นใครก็ไม่รู้ เป็นคนที่เหมือนเราไม่คุ้นเคย (จริงๆเข้าใจเองว่าคงเป็นมานานแล้วแต่ หนูไม่เคยมีสติกับความคิดของตนเองแบบนี้ เลยไม่รู้) ปัญหาคือบางครั้งหนูจะไปคิดวนเวียนกับความคิดไม่ดีนั้นๆ คิดว่าทำไมตัวเองเป็นคนคิดไม่ดี เป็นต้น จนบางครั้งไม่ชอบตนเองเลยคะ แต่ก็พยายามทำแบบอาจารย์สอนนะคะ ไม่ให้คิดจนกลายเป็นซีรีส์เกาหลีไป

เขียนมายาวเหยียด ไม่รู้อาจารย์จะเข้าใจไหม หนูไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยคะ เพราะไม่รู้จะเล่าอย่างไร แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าใจไหม บางทีก็อยากจะปรึกษาเหมือนกันคะว่า ควรจะทำอะไรอย่างไรต่อไป ตอนนี้รู้สึกวนเวียนกับความคิดของตนเองมากคะ

เรื่องสุขภาพ ดูแลตัวเองอยู่คะ กิน plant based เป็นหลัก เดินออกกำลังกายวันละ 1 ชม ทำ strengthening exercise, taichi , เหลือแต่เรื่องนอน ที่ยังหลับไม่ค่อยดีคะ

นึกถึงอาจารย์เสมอคะ จริงๆลง course SR เดือน July ไว้ แต่ติดธุระเลยไม่ได้ไป แต่ก็ดีคะ เลยได้ส่งลูกน้องไปแทน 2 คน  ดีใจที่เขาจะได้เรียนรู้สิ่งหนูเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในชีวิตเขาคะ

เคารพ

…………………………………………………………

ตอบครับ

1.. คุณเอ่ยคำว่า “ปัจจุบัน” ขึ้นมาก็ดีแล้ว คำนี้มันถูกใช้ในสองความหมาย ทำให้คนสับสนนึกว่ามันเป็นคำที่มีความหมายเดียว ทำให้สิ่งที่ความพยายามจะสื่อกันด้วยคำนี้ไร้ผล

ในความหมายที่เราคุ้นเคย คำว่าปัจจุบันมันเป็นจุดหนึ่งบนคอนเซ็พท์ของเวลา จากอดีต มาสู่ปัจจุบัน ไปสู่อนาคต ในความหมายนี้เมื่อเราคิดถึง Now จะทำให้เราคิดถึงอดีตและอนาคตพ่วงมาด้วยโดยอัตโนมัติ

ในอีกความหมายหนึ่ง มันหมายถึงการหลุดออกไปจากคอนเซ็พท์ของเวลา เข้าไปอยู่ในภาวะนิรันดร ที่มีแต่การดำรงอยู่ ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีที่สิ้นสุด อุปมาเหมือนเดิมเมื่อตอนเรานั่งอยู่บนผิวโลก โลกหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เรารับรู้กลางวันกลางคืน วานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ พศ.นี้ แต่ครั้นสมมุติว่าเราเหาะออกไปอยู่นอกระบบสุริยะได้ แล้วมองกลับเข้ามาเห็นโลกหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์อยู่ เรามองเห็นคอนเซ็พท์ของเวลากำลังดำเนินไปอยู่ตรงหน้าไกลโพ้นออกไป แต่ที่ที่เราอยู่ไม่ได้มีเวลา มันเป็นแค่การดำรงอยู่ (just living) ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นชีวิตนิรันดร์ และเราเป็นแค่ผู้สังเกตความเป็นไปต่างๆ โดยไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งสิ้น ตรงนี้แหละคือ “ปัจจุบัน” หรือ “Now” ในเซ้นส์ที่ผู้แสวงหาความสงบเย็นทางใจเขาหมายถึงกัน

2.. การที่คุณสังเกตเห็นความคิดบางความคิดที่เป็นความคิดไม่เข้าท่า แล้วคุณเกิดอาการ “ไม่ยอมรับ” ขึ้น นั่นเป็นเพราะคุณในฐานะผู้สังเกตเป็นเพียงอีกความคิดหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างว่าคุณมีสองตัวตน คุณเคยดูหนังเรื่อง Dr. Jekyll and Sister Hyde ไหม ตัวหมอเจคิลมีสองตัวตนอยู่ในคนคนเดียว คือตัวหมอเองกับน้องสาวชื่อไฮด์ น้องสาวเที่ยวออกไปฆ่าคนตอนกลางคืนซึ่งหมอเจคิลรับไม่ได้เลยจึงทะเลาะกันรุนแรง คุณตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น เมื่อคุณใช้ตัวตนที่เป็น “คนดี” สังเกตความคิด การไม่ยอมรับความคิดที่ไม่ดีก็เกิดขึ้น นี่เป็นเรื่องธรรมดา วิธีแก้ไขก็ไม่ยาก คุณต้องถอยให้ลึกเข้าไปอีก เป็นผู้สังเกต-2 ที่สังเกตเห็นความคิดทั้งสองแบบ ถ้าไม่แน่ใจก็ถอยลึกเข้าไปอีก เป็นผู้สังเกต-3..ผู้สังเกต-4 ถ้าจำเป็น เอาจนคุณแน่ใจว่าคุณสังเกตออกไปจากมุมของผู้สังเกตสุดท้ายที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง
คือเมื่อใดก็ตามที่คุณยอมรับสิ่งที่คุณสังเกตเห็นได้หมด ไม่ว่าดี ชั่ว ถูก ผิด คุณรับรู้ตามที่มันเป็นได้หมด
นั่นคุณเป็นผู้สังเกตคนสุดท้าย หรือคุณไปถึง
Now อย่างแท้จริงแล้ว

3.. คุณอย่าไปเอาอะไรมากกับการนอนไม่หลับ การนอนอยู่บนเตียง ไม่ว่าตื่นตาค้างอยู่ หรือหลับแล้วฝันไป ทั้งหมดนั้นคือการใช้ชีวิต การใช้ชีวิตคือการเล่นละคร ตื่นก็เป็นละครเรื่องหนึ่ง ฝันก็เป็นละครอีกเรื่องหนึ่ง ต่างกันแค่ความสั้นยาวแค่นั้น ขณะนอนอยู่บนเตียงไม่ว่าตื่นอยู่หรือกำลังฝันอยู่ ให้ฝึกหัดถอยออกไปเป็นผู้สังเกต ถอยออกไปอยู่ที่ Now แล้วชีวิตช่วงที่อยู่บนเตียงนอนจะไม่เป็นปัญหาอะไรกับคุณ

4.. ความอยากลึกๆที่ฝังแฝงอยู่ เช่นอยากทำร้านอาหารเช้าเล็กๆที่น่ารัก มันเป็นแรงขับดันของพลังชีวิตที่จะพาคุณไปสู่ความเบิกบาน
ตอนนี้คุณได้ถอยไปสู่
Now ได้สำเร็จแล้วอย่างน้อยก็แป๊บๆ ที่นั่นคุณได้รับความสงบเย็น (Peace) เพราะมันสงัดจากตัวตนงี่เง่าที่ครอบคุณมาตลอด แต่ความเบิกบาน (Joy) นั้นมันเป็นพลังงานที่จะแผ่สร้านขึ้นมาเมื่อคุณได้ออกไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตอื่นๆ
พูดง่ายๆว่าเมื่อคุณได้ทิ้งตัวตนเก่าออกไปควบรวมหรือเผื่อแผ่ให้อะไรกับชีวิตอื่น คุณจึงจะเกิดความปลื้ม นั่นแหละคือ
Joy ดังนั้นเมื่อมีความฝันลึกๆที่ไม่เคยจางไปแม้คุณจะกลบมันไว้นานแค่ไหนก็ตามมันก็คอยแง้มประตูมาทักคุณอยู่ ให้คุณทำตามความฝันนั้นไปได้ตราบใดที่มันไม่ใช่ฝันปลอมๆของตัวตนที่มุ่งปกป้องและเชิดชูอัตตางี่เง่าตัวเดิมตัวนั้นไว้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี