ไม่เก็ทที่คุณหมอสอนถึงการย้ายตัวตนไปเป็นความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่

(ภาพวันนี้ / ผึ้งกับเทียนหยด เห็นผึ้งมั้ย?)

ใน SR คุณหมอสอนถึงการย้ายตัวตนจากการเป็นบุคคลคนหนึ่งมีร่างกายมีความคิดของมันเองอยู่นี้ ไปเป็นความว่างเปล่าที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยที่คุณหมอเรียกว่าความรู้ตัวและยังบอกด้วยว่ามันมีความรู้ตัวอันเดียวที่ทุกคนใช้ร่วมกัน เปรียบเหมือนความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ที่ทุกอย่างที่เห็นที่ได้ยินรวมทั้งร่างกายและความคิดของเราและของคนอื่นด้วยก็ล้วนอยู่ในความรู้ตัวนี้ ตรงนี้ดิฉันเอากลับมาคิดต่อแล้วไม่เก็ท คือไม่เก็ทว่าร่างกายและความคิดของคนอื่นจะมาเป็นส่วนหนึ่งของเราได้อย่างไร และยิ่งคุณหมอบอกว่าเมื่อมาอยู่ที่ตรงนี้เมตตาธรรมอย่างไม่มีขอบเขตมันจะเกิดขึ้นมาเอง ยิ่งไม่เก็ทใหญ่ ช่วยอธิบายด้วยค่ะ แล้วถ้าย้ายตัวตนได้แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าย้ายได้แล้ว

………………………………………………….

ตอบครับ

โห..คุณเป็นนักเรียนที่เอาถ่านดีมากนะเนี่ย ผมจะตอบคำถามคุณอย่างตั้งใจเลยนะ

1.. ประเด็นเมื่อเราย้ายตัวตนจากการเป็นคนคนนี้ไปเป็นความว่างเปล่าที่โอบล้อมเอาทุกชีวิตไว้ในนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร อะแฮ่ม ผมจะอธิบายนะ   ก่อนอื่นให้คุณลืมชีวิตในขณะตื่นไปก่อนนะ ติ๊งต่างว่าคืนหนึ่งคุณนอนหลับแล้วฝันไป คุณฝันว่าคุณไปงานปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อน มีบ้าน มีสระว่ายน้ำ มีเพื่อนๆหลายคนมาร่วมงาน คุยกันไปคุยกันมาสนุกสนาน จับภาพตรงนี้ให้นิ่งไว้เหมือนฟรีซเฟรมวิดิโอไว้ก่อนนะ ในความฝันนั้น ทั้งบ้าน ทั้งสระว่ายน้ำ ทั้งผู้คนที่มาปาร์ตี้กันในงาน รวมทั้งตัวคุณด้วย พวกเขามาจากไหน มาจากบ้านใครบ้านมันหรือเปล่า แล้วบ้านและสระว่ายน้ำที่ใช้ปาร์ตี้กันนั้น ใครสร้างขึ้น เพื่อนคุณที่เป็นเจ้าของบ้านเขาสร้างขึ้นหรือเปล่า เปล่าทั้งเพ ทั้งหมดนั้นคุณคนเดียวที่นอนหลับอยู่บนเตียงสร้างทั้งหมดนั้นขึ้นมาเองทั้งสถานที่บุคคลและเรื่องราว คุณสร้างขึ้นมาในห้วงความคิดคำนึงของคุณ และผู้รับรู้เรื่องราวความฝันทั้งหมดนั้นก็คือความสามารถรับรู้หรือความรู้ตัวของคุณล้วนๆ ความรู้ตัวของคุณใส่ทั้งบ้าน ทั้งสระว่ายน้ำ ทั้งผู้คน ทั้งเรื่องราวในงานปาร์ตี้ ไว้ในความรู้ตัวได้ทั้งหมด แล้วเวลาเพื่อนคุณในฝันพูดยั่วยวนคุณ ใครละที่เป็นคนใส่ความคิดหรือคำพูดให้เขา เขาคิดขึ้นมาที่เตียงนอนที่บ้านของเขาแล้วส่งเป็นกระแสจิตมาเข้าฝันคุณรึก็เปล่า เปล่าเลย คุณเป็นคนใส่เนื้อหาทั้งหมดเข้าไปเองทั้งนั้น

พูดง่ายๆว่าในความฝัน จักรวาลทั้งมวลนี้ล้วนสร้างขึ้นและรับรู้โดยคุณ พอคุณตื่น ทั้งหมดนั้นก็หายแว้บไปง่ายๆ บ้านก็ไม่ต้องจ้างผู้รับเหมามารื้อ มันหายแว้บไปซะงั้น

อุปมา อุปไมย ฉันใด ก็ฉันเพล ในความตื่น ทั้งหลายทั้งปวงที่คุณรับรู้ได้ทั้งตัวและใจของคุณเอง รวมไปถึงตัวและใจของคนอื่น บ้าน ตึก เครื่องบิน รถไฟ และเรื่องราวประกอบ ทั้งหมดนั้นมันเกิดขึ้นในความรู้ตัวของคุณคนเดียวทั้งสิ้น และเมื่อคุณตาย ทั้งหมดนั้นก็จะหายแว้บไปเหมือนเมื่อคุณตื่นจากความฝัน

ติ๊งต่างว่ามีเหตุอะไรสักอย่างที่ทำให้ใจของคุณตายไปจากการเป็นตัวตนคนนี้แล้ว แต่เผอิญร่างกายของคุณยังไม่ตาย คุณยามนี้ก็จะเหมือนเป็นผู้กำกับหนังคนหนึ่งที่มีความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตซึ่งเป็นฉากหนังเป็นตัวตนใหม่หรือเป็นความรู้ตัวของเธอ มีตึกรามบ้านช่อง มีผู้คนรวมทั้งร่างกายของคุณเองด้วยกำลังเดินเหินพูดจากันไปมาอยู่ในหนังเรื่องนั้น ถูกแมะ นี่แหละ คือการย้ายตัวตนจากการเป็นบุคคลคนนี้ไปเป็นความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ที่โอบรับทุกชีวิตไว้ภายในหมด โดยที่ชีวิตก็ยังดำเนินไปอย่างปกติ

แน่นอนในฐานะนักแสดงคุณยังได้เป็นนางเอกหนังเรื่องนี้อยู่เพราะร่างกายคุณยังไม่ตาย แต่คุณในอีกฐานะหนึ่งคุณที่เป็นผู้กำกับหนังคนนั้น จะรังเกียจเดียดฉันท์ชิงชังคนอื่นที่เล่นบทอื่นอยู่ในหนังของเธอไหมละ นี่แหละคือคำอธิบายกำเนิดของเมตตาธรรมไร้ขอบเขตเมื่อได้หลุดพ้นจากความยึดถือจากการเป็นตัวตนคนเดิมแล้ว

คุณอาจจะโต้แย้งว่า

“..หมอสันต์ซี้ซั้วต่า ฝันมันจะเอามาเปรียบกับตื่นได้ไง เพราะฝันเป็นของปลอม ตื่นเป็นของจริง”

            หิ..หิ หมอสันต์ไม่เถียงนะ แต่จะขอยกขี้ปากของใครผมก็จำไม่ได้แต่จำเนื้อหาได้เลาๆว่า

“..โลกซึ่งเต็มไปด้วยความยึดถือเกี่ยวพันและการต่อสู้ทำลายล้างต่างๆนาๆนี้ มันเป็นเหมือนความฝัน ซึ่งจะดูเป็นจริงเป็นจังเฉพาะสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองติดอยู่ในความฝันนั้น แต่จะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับผู้ที่ตื่นแล้ว”

            2.. ถามว่า เมื่อย้ายตัวตนแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าย้ายตัวตนสำเร็จ ตอบว่า เมื่อใดก็ตามที่ใจนี้เหลือแต่สี่อย่างคือ (1) ความตื่น (2) ความสามารถรับรู้ (3) ความสงบเย็น และ (4) ความเบิกบาน เมื่อนั้นแปลว่าย้ายตัวตนได้สำเร็จแล้ว

            ถามว่าหมอสันต์รู้ได้อย่างไรว่าสี่อย่างที่ว่ามานี้เป็นหมุดหมายว่าเปลี่ยนตัวตนสำเร็จแล้วจริง ตอบว่าผมก็เดาเอาสิครับ

            พูดถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อย สมัยเด็กๆผมกับเพื่อนพากันเดินเท้าไปยังตำบลป่าอ้อเพื่อไปหาซื้อไก่ชน เพราะสมัยนั้นผู้คนมีสโลแกนว่า “ไก่ชนดีตีดุตำบลป่าอ้อ” เดินกันไปจนเกือบสุดขอบโลกจวนเจียนจะหมดแรงจากแดดร้อนก็มาถึงหมู่บ้านหนึ่ง มีไก่ชนตัวเล็กตัวน้อยคุ้ยเขี่ยดินอยู่ตั้งแต่ชายหมู่บ้าน จึงตกลงกันเป็นเอกฉันท์ว่าตรงนี้แหละคือ ตำบลป่าอ้อ หิ หิ

            ผมยอมรับว่าคำถามของคุณบางคำผมก็ตอบไม่ได้ อุปมาอุปไมย คุณรู้หรือเปล่าละว่าทำไมไฟจึงร้อน ทำไมน้ำจึงเย็น ตัวผมเองไม่รู้หรอก ผมรู้แค่ว่าเนี่ย..อย่างเงี้ยะ คือเย็น

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ท่านจะเก็ท จะไม่เก็ท ไม่ซีเรียส ฮิ..ฮิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี