23 กรกฎาคม 2566

เจาะลึกปัญหาคนหนุ่มสาวที่เรียนก็ไม่เรียน ทำงานก็ไม่ทำ (NEETs)

(ภาพวันนี้ / คนซื้อหลอก..เอ๊ย บอกว่าเป็นทารากอน แต่ปลูกตอนมันเป็นโควิด คือไม่มีกลิ่น หิ..หิ)

คุณหมอครับ

ปัญหาที่อยากปรึกษาขณะนี้ คือผมเป็นลูกคนที่ 1 ในบรรดาลูก 3 คน น้องสาวและน้องชายอีก 2 คน อายุ 33 และ 32 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโทและตรี แต่มีอาการของ ฮิคิโคโมริ (ความผิดปกติทางจิต มีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม) มีอาการ OCD ล้างมือบ่อยครั้ง คนนึงเป็นแบบซึม นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละ 16 ชั่วโมง อีกคนนึงเป็นแบบจ่าคลั่ง ทำลายล้าง โดยสรุป ผมเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นคนเดียวที่หาเงินเลี้ยงแม่ ซึ่งผมให้เงินเลี้ยงในระดับสุขสบายตามอัตภาพ แต่แม่ไม่สามารถตัดลูกที่เป็นฮิคิโคโมริ และไซโคพาธได้ และไม่สามารถรักษาอาการของทั้ง 2 คนได้

คัมภีร์สุขภาพดี หนังสือเล่มใหม่ของหมอสันต์ สนใจคลิกที่ตัวภาพ

ผมอยากขอคำแนะนำจากอาจารย์สันต์ครับ

……………………………………………………………………….

ตอบครับ

นีทส์ (NEETs) คืออะไร

ก่อนอื่น เพื่อให้ท่านผู้อ่านทั่วไปตามทัน เรามาทำความรู้จักกับคำว่านีทส์ (NEETs) ก่อน คำนี้ย่อมาจาก Not in Education, Employment or Training ผมแปลว่า “เรียนก็ไม่เรียน ทำงานก็ไม่ทำ ฝึกอบรมก็ไม่ฝึก” เป็นคำที่ใช้เจาะจงเรียกเยาวชนคนหนุ่มคนสาวเป็นหลัก ส่วนผู้สูงวัยอย่างหมอสันต์ถึงแม้จะไม่เรียนไม่ทำไม่ฝึกแล้วเขาก็ไม่นิยมเรียกเป็นนีทส์

ทำไมจึงมีนีทส์

งานวิจัยที่สนับสนุนโดย สสส. พบว่านีทส์ไทยมีอยู่ 13.7% ของเยาวชนทั้งหมด ซึ่งใกล้เคียงกับของฝรั่ง แต่ที่แตกต่างจากฝรั่งคือนีทส์ฝรั่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ขาดโอกาส คือเป็นคนจน มีภาระทางบ้าน เข้าไม่ถึงการศึกษาและตลาดแรงงาน แต่นีทส์ไทยเป็นเยาวชนในครัวเรือนรายได้สูงเสียแยะ ทั้งที่มีโอกาสทางสังคมและการศึกษามากกว่า งานวิจัยนี้พบว่านีทส์ในกลุ่มลูกคนรวยเกิดจาก (1) ขาดแรงจูงใจ ไม่เห็นว่าการศึกษาหรือการทำงานจะให้อะไรแก่เขา ซึ่งความคิดนี้ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการประเมินตัวเองว่าไม่สามารถเรียนได้จึงหันหลังให้ซะเลย (2) ไม่รู้ว่าตนเองต้องการทำงานอะไร (3) ประเมินศักยภาพตัวเองต่ำ มองว่าตนไม่สามารถ (4) ผู้ปกครองไม่เห็นว่าเป็นปัญหา จึงปล่อยไป (5) ส่วนหนึ่งไม่ทำงานเพราะอยากทำงานสมัยใหม่เช่นทำอะไรแบบ “อี” คือทำบนอินเตอร์เน็ท เช่น อยากเป็นนักกีฬา E-Sports (ซึ่งฝึกทักษะผ่านการเล่นเกมคอมพิวเตอร์) แต่คนหัวโบราณมองว่าๆเป็นนีทส์ที่วันๆเอาแต่เล่นเกม

ทัศนคติการทำงานของคนรุ่นใหม่ก็มีส่วนให้เกิดนีทส์ คือคนรุ่นใหม่อยากทำงานที่ได้รับเงินก้อนใหญ่ตูม..ม ยิ่งเงินมาก ยิ่งมองว่าเป็นความมั่นคง และวางแผนจะเกษียณตัวเองเร็ว ไม่สนงานที่ค่อยๆ เลื่อนขั้น ค่อยๆ ได้เงินมากขึ้นๆเหมือนงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ คนรุ่นเก่าภาคภูมิใจเมื่อได้ทำงานที่คนยกย่อง เช่น เป็น ตำรวจ ทหาร หมอ พยาบาล ครู อาจารย์ แต่คนรุ่นใหม่อยากเป็นเจ้านายของตัวเอง เป็นฟรีแลนซ์ เป็นเจ้าของธุรกิจ

งานวิจัยฝรั่งพบว่าถ้าคนคนหนึ่งเป็นนีทส์ มักกลายเป็นคนต๊อแต๊ ประเมินคุณค่าตัวเองต่ำ สมองเชื่องช้าลง และมีโอกาสกลับเข้ามาทำงานอีกครั้งยาก

ในเชิงครอบครัวและการเลี้ยงดู งานวิจัยแบบสอบถามของฝรั่งพบว่าลูกจะเป็นนีทส์มากขึ้น ถ้า (1) มีแต่แม่ไม่มีพ่อ (solo mum) (ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม) (2) การเลี้ยงลูกแบบ over protect หรือทำอะไรแทนลูกหมดจนลูกไม่ได้ฝึกทำอะไรเลย (3) การที่พ่อแม่ตั้งความหวังกับลูกสูง (4) การที่พ่อแม่คอยตำหนิติเตียนว่าลูกไม่เอาไหน ทำให้เด็กไม่มั่นใจในตัวเอง จนไม่กล้าทำอะไร

ส่วนเหตุที่คนเรียนจบสูงๆแล้วยังเป็นนีทส์นั้นผมเดาเอาว่าเป็นเพราะระบบการศึกษาเป็นระบบปิดกั้นออกจากโลกของความเป็นจริง พอเรียนจบมาออกมาอยู่ในโลกคนละใบกับห้องสี่เหลี่ยมในโรงเรียนหรือมหาลัยมันนึกไม่ออกจริงๆว่าจะนำสิ่งที่เรียนมาเชื่อมโยงกับการทำงานจริงได้อย่างไร การศึกษาเน้นการท่องจำ มีกิจกรรมน้อย เมื่อไม่มีกิจกรรมก็ไม่ได้ฝึกทักษะทางสังคมเช่นการทำงานเป็นทีม พอไปทำงานจริงก็ล้มเหลว ลาออกมาเป็นนีทส์ดีกว่า

ทั้งหมดนั้นเป็นข้อมูลความจริงจากผลวิจัยเท่าที่เรามีเกี่ยวกับคนเป็นนีทส์

วิธีแก้ปัญหานีทส์แบบหมอสันต์

ก่อนตอบคำถามนี้ท่านผู้อ่านต้องทำใจก่อนนะว่าความเห็นของผมบางเรื่องก็ขวางโลก ในภาพใหญ่ผมเห็นว่าแนวทางดำเนินชีวิตแบบ default life ที่ทุกคนต้องมีงานทำ มีคนจ้าง ต้อง make money หรือทำเงินได้แยะ เป็นเรื่องไร้สาระ แนวทางเช่นนี้ทำให้มนุษย์เราขย่มโลกและสิ่งมีชีวิตอื่นๆเสียจนจะไม่เหลือชิ้นดีแล้ว อีกประการหนึ่ง การมีงานทำแบบมีองค์กรจ้างหรือมีนายจ้างจะไม่ใช่สิ่งปกติในอนาคต เมื่อหุ่นยนต์ AI ทำอะไรแทนมนุษย์ได้เกือบหมดรวมทั้งเป็นหมอแทนก็ยังได้เลย งานที่คนจำนวนมากทำกันอยู่ตอนนี้ก็จะไม่มีให้ทำแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องทำสิ่งที่เรียกว่า “งาน” อีกต่อไป ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้คนจำนวนมาก ประมาณหนึ่งหมื่นล้านคนทั่วโลก ซึ่งไม่มีอะไรทำ ไม่ให้เกิดอาการ “ง่อมมือ” (เหงามือ) จนฉีกเนื้อคนด้วยกันเอง

สำหรับการแก้ปัญหานีทส์นี้ ผมเห็นว่า

1.. ถ้าคนเป็นนีทส์เขาไม่ไปเดือดร้อนคนอื่น หมายความว่าพ่อแม่เขาเลี้ยงเขาได้ ปล่อยเขาเหอะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เพราะสังคมไทยทุกวันนี้ก็โอบอุ้มเลี้ยงดูคนทุกวัยที่เป็นนีทส์อยู่โดยพฤตินัยในรูปแบบต่างๆอยู่หลายล้านคน ผมขอไม่จาระนัยในขั้นละเอียดนะ แต่ถึงจะมีนีทส์ทุกวัยอยู่หลายล้าน เราคนไทยก็อยู่กันได้เพราะเราไม่ไปยุ่งอะไรพวกนีทส์เขา เห็นแมะ มันมีความลงตัวของมันอยู่

2.. ในกรณีที่คนเป็นนีทส์เขาหมดคนเลี้ยงดู เช่นพ่อแม่ของเขาตาย หรือสมบัติของเขาหมดเกลี้ยง หรือองค์กรใจบุญที่เลี้ยงดูเขาอยู่เกิดเจ๊งไม่มีเงินเลี้ยง เขาจะหายจากการเป็นนีทส์เอง ท่านสาธุชนทั้งหลายอย่ากังวลไปเลย

3.. สำหรับพ่อแม่ของเด็กวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่เป็นนีทส์ ผมแนะนำวิธีแก้ปัญหาว่า

3.1 ยอมรับเขาตามที่เขาเป็นก่อน แทนที่จะบ่นหรือแช่งชักหักกระดูกกันทุกวันแต่ก็ทิ้งลูกไปไหนไม่ลง ยอมรับกันและยิ้มให้กันให้ได้ก่อน ขีวิตในรังนกนีทส์มันจะได้ไม่มีแต่อับเฉาขุ่นเคือง

3.2 กรณีที่เงินที่เราจะเลี้ยงดูเขามีจำกัด ก็บอกเขาตรงๆและให้เขาอย่างจำกัด คือให้แต่สิ่งจำเป็น โชคดีที่คนเป็นนีทส์ตัวจริงเขาหรือเธอมักกินน้อยใช้น้อยตามธรรมชาติของคนแบบนี้อยู่แล้ว อนึ่ง การที่เราให้เขานั้นเราให้ด้วยความรัก ไม่ใช่ให้เพราะจำใจให้ อีกด้านหนึ่งก็คิดเสียว่าเราช่วยแบกรับภาระแทนสังคม เพื่อไม่ให้เจ้านีทส์คนนี้ต้องไปขอทานเกะกะข้างถนน

3.3 เมื่อใดที่เราไม่อยากให้อะไรเขาอีกต่อไปแล้วก็ค่อยใช้ไม้สุดท้าย คือหนีจากลูกไปดื้อๆ ผมเห็นแม่รายหนึ่งใช้วิธีนี้ ทิ้งบ้านไว้ให้ลูกอยู่ แต่ตัวคุณแม่หลบหนีไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่สงบเย็นกว่าในที่อื่นโดยไม่บอกไม่กล่าวให้ลูกรู้ว่าไปอยู่ไหน ข้างลูกก็มาถามเอากับหมอสันต์ยิกๆว่าแม่ตัวเองไปอยู่ไหน แต่หมอสันต์ก็แบ๊ะ แบ๊ะ บอกไม่ได้ แล้วต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือครับ ผมจะเล่าให้ฟัง คุณลูก (ซึ่งพ่อไม่มีมาหลายปีแล้ว) ก็ปล่อยให้หญ้าสูงท่วมบ้าน ผมเผ้ารุงรัง ไม่อาบน้ำอาบท่าอยู่นานราวหกเดือน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมาช่วยตัดหญ้าให้แน่นอนแล้ว ประกอบกับเขาคงจะเซ็งการเป็นนีทส์แล้วด้วย จึงค่อยๆลุกขึ้นมาอาบน้ำตัดผมและตัดหญ้าหน้าบ้าน ค่อยกลายเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาเอง หิ..หิ

3.4 ถ้าพ่อแม่ยังมีพลัง ก็อย่าหยุดที่จะฝึกสอนลูกนีทส์ ด้วยการมอบหมายถ่ายทอดความรับผิดชอบในเรื่องง่ายๆให้ทีละนิดๆอย่างอดทน เหมือนคนฝึกน้องหมาให้ทำนั่นทำนี่ไปทีละอย่าง บางครั้งน้องหมาเหมือนจะพูดรู้ภาษา แต่บางครั้งน้องหมาก็ไม่รู้ภาษาดื้อๆ ให้ทำใจอย่างนี้

4.. สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นพ่อแม่ แต่ต้องมารับภาระเลี้ยงดูคนเป็นนีทส์ เช่น ลูกคนที่ขยันทำมาหากิน เพราะเงินที่หาเอามาเป็นค่าเลี้ยงดูพ่อแม่จะถูกพ่อแม่กระเบียดกระเสียนไปเลี้ยงเจ้าพี่หรือเจ้าน้องที่เป็นนีทส์โดยอัต-ตะ-โม-นัด อัตโนมัติ ในชนบทมีปัญหาแบบนี้มาก มากจริงๆ เพราะบางครอบครัวในชนบทมีลูกเป็นนีทส์หลายคน แต่มีลูกขยันแค่คนเดียว เจ้าลูกขยันนี้ก็จึงแบนแต๊ดแต๋ เจ้าลูกนีทส์อยากได้อะไรก็ออดอ้อนหรือไม่ก็ออกอาการ ดราม่า ทุบบ้านพัง รังควาญเอากับพ่อแม่ พ่อแม่ก็มารีดเอาจากลูกขยัน พอลูกขยันไม่ให้ พ่อแม่ก็น้อยอกน้อยใจ ถึงขั้นฆ่าตัวตายประชดลูกขยันก็มี แล้วท่านผู้อ่านเชื่อไหม ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เด็กที่มาทำงานที่บ้านผมในสี่สิบห้าสิบปีที่ผ่านมามักจะเป็นเด็กลูกขยันที่เกิดมาในรังนกนีทส์เสียเกือบทุกคนไป เวลาฟังพวกเธอเล่าว่าชีวิตของเธอต้องแบกโลกไว้บนบ่าอย่างไร ฟังแล้ว มันน่าเห็นใจจริงๆ ซึ่งสำหรับคนหัวอกลูกขยันนี้ผมแนะนำว่า

4.1 ยอมรับพี่น้องนกนีทส์ตามที่เขาเป็น ยิ้มให้กันให้ได้ทุกวันก่อน

4.2 ถ้ามีกำลัง และยังมีเมตตาธรรมพอ ก็ช่วยๆกันไป คิดเสียว่าชั่วดีถี่ห่างก็เป็นพี่น้องคลานตามกันออกมา สงเคราะห์เขาได้ ก็เป็นการทำบุญอย่างใหญ่

4.3 ถ้าแบกรับไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ใช้วิธีมาตรฐาน คือหนี วิธีหนีมาตรฐานคือหากเป็นหญิงก็หนีไปมี ผ. หรือหนีไปบวชชี หากเป็นชายก็หนีไปมี ม. หรือหนีไปบวชพระ บ้างหนีไปไหนไม่รู้ คือหายตัวไปเลยโดยทิ้งจดหมายไว้ให้พ่อแม่ว่าผมไม่ไหวแล้ว แล้วก็หายตัวแว้บ..บไป เมื่อตัดสินใจหนีแล้วก็ไม่ต้องมาอาลัยอาวรณ์ คิดเสียว่าไม้ท่อนหนึ่งลอยมาพบไม้อีกท่อนหนึ่งกลางมหาสมุทรแล้วจากกันไปฉันใด การมาพบกันของผู้เกิดมาก็ฉันนั้น

นี่เป็นการแก้ปัญหาแบบหมอสันต์ หิ..หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์