VSED การตายอย่างพญาราชสีห์
(ภาพวันนี้: 6.00 น. 1 มค. 2566 อุณหภูมิ 14.0 องศาซี.)
เรียนคุณหมอสันต์
ผมอายุ ๙๐ ปี พื้นฐานการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์และบริหารธุรกิจ ประสบการทหารและบริษัทเอกชน ร่างกายและจิตใจอยู่ในเกณฑ์ดี (ทอป ๓) ทำพินัยกรรมและพินัยกรรมชีวิตเรียบร้อยแล้ว ผมสนใจเรื่อง VSED (Voluntary Stop Eating and Drinking) และ Hospice Care เพราะใคร่ที่จะเตรียมไว้ในกรณีที่ผมป่วยหนัก หรือเป็นอัลไซเมอร์ หรือเบื่อโลก ผมเสาะหาในไทยก็ยังไม่เจอของจริง จึงใคร่เรียนถามคุณหมอ ขอบพระคุณ
…………………………………………………………………………
ตอบครับ
หิ หิ ขอขึ้นต้นปีใหม่ด้วยการตอบจดหมายแนวๆ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มยุคสังคมผู้สูงวัย
ก่อนตอบคำถามนี้ขอนิยามศัพท์ให้ท่านผู้อ่านรู้จัก Voluntary Stop Eating and Drinking (VSED) ซึ่งแปลว่า “การสมัครใจตายเองแบบไม่กินข้าวไม่กินน้ำ” ซึ่งถือว่าเป็นความรื่นรมย์ขั้นสุดๆอย่างหนึ่งของชีวิต แบบที่ภาษาเหนือกล่าวไว้เป็นสำนวนว่า “ม่วนเหมือนต๋าย” แปลว่า “สนุกยังกับตาย” ซึ่งสื่อถึงโมเมนต์ของการตายว่ามันมีความรื่นรมย์ระดับสูงอยู่ในนั้น
สำหรับคนที่ไม่เคยตาย ผมในฐานะคนที่อยู่ใกล้คนตายมาแยะและเยี่ยมฮอสปิสบ่อยสมัยทำงานอยู่เมืองนอก จะเล่าให้ฟังเป็นฉากๆนะว่าเมื่อสมัครใจอดข้าวอดน้ำแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร คือมันจะไปเป็น 3 ระยะ
ระยะต้น ใช้เวลาราว 1-4 วัน วันแรกอาจผ่านไปเหมือนวันคืนปกติ อย่างมากก็เพลียและง่วง
ระยะกลาง จะเริ่ม “เมาหัว” หมายถึงหัวเบา มึนๆงงๆ (บางคนเป็นตั้งแต่ยังไม่ได้สมัครใจแล้ว หิ หิ) จนอาจต้องมีผู้ช่วยพยุงหากยังนิยมลุกนั่งยืนเดินอยู่ ดังนั้นหากคิดจะตายด้วยวิธีนี้แต่ยังอยากเดินไปเดินมาจนวันสุดท้ายต้องจ้างคนคอยประกบดูแล เพราะระยะนี้นานกี่วันเอาแน่ไม่ได้
ระยะปลาย (3) ใช้เวลา 1-4 วัน จะเปลี่ยนจากตื่นมากไปเป็นหลับมากขึ้นๆจนหลับไม่ตื่นเลย ภาวะอดอาหารจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินให้เกิดความชื่นมื่นไม่เจ็บไม่ปวด ภาวะขาดน้ำจะทำให้อวัยวะสำคัญทยอยปิดการทำงานไป การหายใจสั้นลงๆและไม่สม่ำเสมอ มีเสียงครางหรือกรนซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับอาการปวด อุณหภูมิร่างกายค่อยๆลดลง สีผิวซีดคล้ำหรือเหลืองหรือมีจ้ำม่วงตามมือเท้า
ถามว่าโหลงโจ้งแล้วกี่วันจึงจะตาย ตอบว่า โห..ต้องไปถามพระพรหม อย่างเร็วก็ไม่กี่วัน อย่างช้าก็หลายสัปดาห์ การจะตายช้าตายเร็วขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและอวัยวะสำคัญ หยูกยาที่กิน โรคที่เป็น ถ้าจิบน้ำบ่อยก็ยิ่งตายช้า อีกอย่างหนึ่งที่ตำราแพทย์ไม่ได้เขียนไว้แต่ผมพบว่าเป็นความจริงในผู้ป่วยจำนวนมากคือถ้ายังรอใครหรือรออะไรอยู่ก็จะไม่ตายสักที สำหรับคนที่ตายช้า หากมีผู้ดูแลคอยเอาโลชั่นลูบผิวให้เบาๆบ่อยๆก็จะสบายขึ้นและไม่แห้งเกินไป ผู้ดูแลช่วยได้มากอีกอย่างก็คือการช่วยบำบัดอาการปากแห้งด้วยการทำความสอาดปากด้วยเสปรย์ สวอบกลีเซอรีน เช็ดฟัน น้ำมันมะพร้าวทาแทนลิป ทุกวัน
ถามว่าแล้วคนที่ตายเขารู้สึกอย่างไรตอนตาย ตอบว่า เออ ผมจะรู้ไหมเนี่ยเพราะผมเองก็ยังไม่เคยตาย แต่ดูจากอาการข้างนอกส่วนใหญ่จะไปอย่างสงบชื่นมื่น แต่ก็มีบางรายแสดงอาการปากแห้งกระหายน้ำและหิว บ้างก็กระวนกระวาย มีน้อยมากที่จะละเมอเพ้อพก
ผมมีรุ่นพี่เป็นศิลปินใหญ่ระดับโลกคนหนึ่ง ก่อนตายราวหนึ่งปีเขาบอกผมว่าเวลาเขาตายเขาจะหลบไปตายเองไม่ให้ใครมาเยี่ยมมาหา ผมว่าแล้วพวกลูกศิษย์ของพี่เขาจะไม่มีปัญหากันหรือ เขาตอบว่า
“เวลาพญาราชสีห์จะตาย มันจะทิ้งฝูงที่มันคุมหลบออกไปตัวเดียวไมให้ใครตาม ไปอยู่ในถ้ำเงียบๆ งดออกล่าสัตว์ งดน้ำงดอาหาร แล้วตายอยู่ตัวเดียวในถ้ำอย่างสมศักดิ์ศรี ผิดจากหัวหน้าฝูงบางตัวที่บ้าอำนาจไม่เลิก จนราชสีห์หนุ่มทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นขับไล่ ตัวเองแก่แล้วสู้ไม่ได้ก็ได้แผลหนีกระเซอะกระเซิง แล้วจบชีวิตด้วยการถูกล้อมกรอบรุมกินโต๊ะโดยฝูงหมาป่าไฮน่า”
แล้วถึงเวลาที่พี่เขาตาย พี่เขาก็ทำอย่างที่ว่าไว้จริงๆ คือห้ามส่งข่าว ใครที่แอบรู้ข่าวก็ห้ามมาเยี่ยม ปิดประตูเลย พวกลูกศิษย์โวยวายด้วยความไม่เข้าใจ แต่ผมเข้าใจ เพราะฉนั้น หากถือตามนิยามของรุ่นพี่ผมคนนี้ การตายแบบ VSED นี้เป็นการตายแบบพญาราชสีห์เลยเชียว
เอาละคราวนี้มาตอบคำถามของแฟนบล็อกวัยเลขมงคล ท่านนี้
1.. ถามว่าถ้าจะตายแบบ VSED จะไปตายที่ไหนดี ตอบว่าก็ในบ้านของท่านนั่นแหละครับดีที่สุด จ้างผู้ดูแลมาหนึ่งคนมาอยู่ด้วยสักพักให้คุ้นกันก่อน อบรมสั่งสอนเธอให้เข้าใจดีว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ อบรมลูกหลานด้วย วิธีพูดก็ใช้วิธีดักคอเลย คือดักคอว่าการพยายามทำอะไรให้ผู้สูงอายุก่อนตายมากเกินไปนั้นลูกหลานได้สนองอัตตาตัวเองให้เกิดความรู้สึกเป็นปลื้มหรือเพื่อนบ้านยกย่องว่าตัวเองเป็นลูกหลานกตัญญู แต่ผู้เสียหายคือพ่อแม่ผู้สูงอายุ แค่เขาไม่ทำอะไรก็ควรเป็นปลื้มว่าได้ทำตามเจตนาเราแล้ว อย่าไประแวงขี้ปากเพื่อนบ้านเลย แต่หากพูดอย่างนี้แล้วท่าทางจะยังไม่ได้ผลก็ใช้วิธีแช่งว่าลูกหลานคนไหนทำแบบนี้กับตัวฉันเองขอให้ลูกหลานคนนั้นฉิบหายตายโหง ซึ่งมีคนเล่าให้ผมฟังว่าเพื่อนเขาคนหนึ่งใช้วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด เพราะพอเขาเกิดสโตร๊คครั้งสุดท้ายไม่มีลูกคนไหนกล้าพาไปโรงพยาบาลเลย กลัวฉิบหายตายโหง..หิ หิ
2.. ถามว่าในเมืองไทยมีที่ให้ตายแบบ Hospice ไหม ตอบว่าแบบที่ทำกันชัดเจนโต้งๆยังไม่มีครับ เพราะเมืองไทยเราถึงจะเป็นเมืองพุทธแต่เราไม่ยอมรับการตายกันอย่างออกหน้าออกตาดอก ถ้าอยู่ในโรงพยาบาลหมอก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้ด้วยคอนเซ็พท์ไม่ให้ใครมาว่าเอาว่าดูแลน้อยเกินไป ถ้าอยู่ที่บ้านลูกหลานก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้ด้วยคอนเซ็พท์เดียวกัน รวมไปถึงการเอาช้อนง้างปากเมื่อผู้สูงวันเม้มปากไม่ยอมรับอาหาร (ผมเคยเห็นมากับตาสมัยเป็นหมอบ้านนอก) แม้ใน nursing home ที่คนตั้งใจจะไปตายด้วยวิธีนี้ก็ไม่ได้ดังหวังดอก พออาการแย่เขาก็ต้องเรียกรถหวอนำส่งห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลให้มีพิธีกรรมปั๊มหัวใจกันพอเป็นสังเขป ไม่งั้นญาติจะไม่พอใจและกล่าวหาว่าดูแลไม่ถึงกึ๋น
แต่ในอนาคตมันต้องมีที่ที่คุณถามหา เพราะที่ไหนมีลูกค้า ที่นั่นจะมีคนขาย อย่างน้อยก็มีอยู่ที่หนึ่งกำลังสร้างอยู่ ผมรู้เพราะผมเป็นที่ปรึกษาให้เขาเอง เขาสร้างเป็นหมู่บ้านผู้สูงอายุที่มีคอนเซ็พท์ว่า “Age in place” แปลว่า “แก่ที่นั่น ตายที่นั่น” การจะตายแบบไหนก็เลือกได้เอาแบบที่ชอบ ที่ชอบ แล้วสถานที่แบบนี้ไม่ใช่ว่ามันจะสลดหดหู่นะ ผมเอารูปบรรยากาศของจริง (เขาสร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่เปิด) มาให้ดูสองสามรูป คือมันเป็นสถานที่แบบมีชีวิตชีวา ใครมาอยู่ที่แก่ก็แก่กันไปสรวลเสเฮฮากันไป ที่ตายก็ตายกันไป แบบเป็นธรรมดาของชีวิตประจำวัน ไม่ต้องมีพิธีกรรมหรือเล่นลิเกส่งท้ายใดๆทั้งสิ้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์