ชีวิตเครียดเพราะถูกโกงจากการไปซื้อที่ดิน

(ภาพวันนี้: ดวงยิหวา)

กราบเรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพยิ่ง
       คุณหมอคะดิฉันกับสามีเกษียณแล้ว  ตอนนี้ชีวิตมีเรื่องเครียดเพราะถูกโกงจากการไปซื้อที่ดินที่ปากช่อง ด้วยเงินที่เก็บหอมรอมริบมาเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับชีวิตหลังเกษียณ เวลานี้ยังอยู่ในขบวนการติดตามทวงถามตามขั้นตอนอยู่ค่ะ และคาดว่าคงจะลากกันยาวอีกนานไม่จบดีแน่แท้แล้ว
        ทุกๆวันดิฉันพยายามทบทวนคำสอนต่างๆของคุณหมอเพื่อให้ดับความเครียดลงบ้าง และปล่อยวางไปบ้าง  แต่ก็ดูแล้วว่าไม่ได้ง่ายเหมือนเรื่องที่เคยทำได้หลายๆเรื่อง จึงอยากรบกวนขอคาถาเด็ดจากคุณหมออีกสักเรื่องนึงนะคะ(ดิฉันกับสามียกให้คุณหมอเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตทั้งด้านกายและใจค่ะ)

กราบขอบพระคุณค่ะ

……………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าถูกเขาโกงเงินที่เก็บมาตลอดชีวิตไปหมด มีคาถาเด็ดจะช่วยได้ไหม ตอบว่าให้แยกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการทำสิ่งที่พึงทำในทางโลก ก็คือการแต่งทนายฟ้อง จ้างตำรวจติดตาม อะไรทำนองนั้น ส่วนนั้นก็ต้องทำไป ส่วนนั้นเรียกว่าสถานะการณ์ในชีวิต ซึ่งคนเราก็ต้องตอบสนองไปตามครรลองของมัน ซึ่งผมเข้าใจว่าคุณก็กำลังทำอยู่แล้ว

ส่วนที่สองคือทำอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น คาถาเด็ดที่คุณถามถึงก็คือคำที่คุณพูดออกมาเองแล้วว่า “ปล่อยวาง” นั่นไง คุณก็รู้เองแล้วและพูดออกมาเองแล้ว แต่คุณทำไม่ได้ นั่นแหละเป็นประเด็น คือ รู้..แต่ทำไม่ได้

2. การจะปล่อยวางให้ได้ในชีวิตจริงมันมีสองระดับนะ คือระดับหลักคิดหรือคอนเซ็พท์ซึ่งเป็นเข็มทิศชี้นำ กับระดับลงมือปฏิบัติซึ่งเป็นเครื่องจักรพารถวิ่งไปตามเข็มทิศ ทั้งสองอันนี้ต้องไปทางเดียวกันมันจึงจะสำเร็จ

3.. ในระดับคอนเซ็พท์ ผมขอแยกออกเป็นสองชั้นนะ

ในระดับคอนเซ็พท์ตื้นๆ คือเราจะสนองตอบต่อสิ่งเร้าภายนอกที่เข้ามาหาเราอย่างไร ผมแชร์จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาจนอายุเจ็ดสิบนะ ว่า.. การสนองตอบด้วยความเกลียดก็ดี ความแค้นก็ดี ความอิจฉาตาร้อนหรืออาฆาตมาดร้ายก็ดี ความอยากเอาชนะคะคานก็ดี ความเสียใจน้อยใจสงสารตัวเองที่เสียเปรียบหรือถูกเอาเปรียบก็ดี หรือแม้แต่ความกลัวก็ดี มันเป็นวิธีใช้ชีวิตที่ลำบากลำบนมาก คนเราเกิดมามันไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องไปลำบากลำบนกับชีวิตถึงขนาดนั้น ขณะที่การสนองตอบแบบให้อภัย เผื่อแผ่ความรักและเมตตาธรรม ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตแล้วว่ามันเกิดขึ้นแล้วอย่างเบิกบาน มันเป็นวิธีใช้ชีวิตที่ง่ายกว่ามาก แล้วสิ่งที่ผมเรียกว่าการสนองตอบหรือการใช้ชีวิตเนี่ย มันเกิดขึ้นที่เดี๋ยวนี้เท่านั้นนะ เดี๋ยวนี้ หรือลมหายใจนี้ คุณมีสิทธิ 100% ที่จะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร คุณเลือกได้นะ จะเอาแบบลำบากลำบน หรือจะเอาแบบง่าย คุณเลือกเองได้

ในระดับคอนเซ็พท์ลึกๆ

ถ้าคุณเป็นชาวพุทธก็เอาตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เลย ผมขออนุญาตถ่ายทอดคำสอนที่มีคนเอามาเขียนไว้ในพระไตรปิฎกนะ ว่ามันมีกลไกขับเคลื่อนสามกลไก คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อนิจจัง ก็คือทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความพยายามที่จะเอาหลักคิดหรือกฎเกณฑ์ใดๆไปครอบนั้นทำได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว นานไปมันก็ครอบไม่อยู่ เพราะมันมีธรรมชาติต้องเปลี่ยนของมันตลอดเวลา

ทุกขัง ก็คือเมื่อคุณพยายามไปตรึงสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ให้เปลี่ยนแปลง หรือไปพยายามทำสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วให้กลับมาอยู่ที่เดิม มันอาจไม่สำเร็จ แล้วคุณก็จะเป็นทุกข์เปล่าๆ

อนัตตา ก็คือความเป็นบุคคลของเราซึ่งผลักดันให้เราอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้นี้มันเป็นแค่เรื่องที่ใจเราสมมุติขึ้น ไม่ใช่ความจริงที่ถาวร แม้ร่างกายของเราก็ไม่ใช่ความจริงที่ถาวร ยิ่งความคิดหรือคอนเซ็พท์ที่ผู้คนพยายามยกเมฆขึ้นมาแล้วยึดถือร่วมกันเช่น กฎหมาย ความซื่อสัตย์ ความเป็นเจ้าของ โฉนดที่ดิน ความเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ มันยิ่งไม่ถาวรใหญ่ หากคุณเผลอไปยึดถือ (attachment) ว่ามันเป็นสิ่งถาวร คุณก็เป็นทุกข์

อีกเรื่องหนึ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้คือเรื่องกลไกการเกิดการดับของความคิด ในบทสวดที่ชื่อปฏิจจสมุปบาท ซึ่งมีสาระโดยย่อตามการตีความของผมเองว่า การที่เราใช้ชีวิตโดยสำคัญผิด (อวิชชา) ว่าความเป็นบุคคลของเราเป็นของจริง มันทำให้เกิดชุดของความคิดหรือคอนเซ็พท์ (สังขาร) ผูกโยงลำดับร้อยเรียงเป็นภาษาเป็นนิยาม เช่น เรื่องราว ชื่อ รูปร่าง (นามรูป) อยู่ในใจหรือในความจำของเรา เมื่อบวกกับธรรมชาติของชีวิตที่มีความตื่นและความสามารถรับรู้ (วิญญาณ) และมีกลไกอวัยวะรับรู้สิ่งเร้า (อายตนะ) ก็ทำให้ชีวิตเรากลายเป็นกลไกสนองตอบต่อสิ่งเร้าจากภายนอกได้แบบอัตโนมัติทันที กล่าวคือ

เมื่อมีสิ่งเร้าผ่านเข้ามาในรูปของ ภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิด ทั้งสามองค์ประกอบที่มีอยู่แล้วข้างต้นก็จะทำงานร่วมกันโดยอัตโนมัติ ทำให้เกิด contact หรือการตกกระทบ (ผัสสะ) ของสิ่งเร้าลงไปบนตัวชีวิตหรือสิ่งที่เราเรียกว่าเป็น “ฉัน” ตัวนี้ แล้วถูกตีความหมายทันทีด้วยความเร็วระดับสายฟ้าแล่บว่าสิ่งนี้คืออะไร ชื่ออะไร รูปร่างอย่างไร มาดีหรือมาร้าย

ติดตามกันมาแทบจะทันที “ฉัน” ก็จะเกิดมี feeling หรือความรู้สึก (เวทนา) ขึ้นบนร่างกายและในใจ เกิดขึ้นบนร่างกายก็เป็นอาการทางร่างกาย เช่นใจสั่น หายใจฟืดฟาด มือเย็นเฉียบ เกิดขึ้นในใจก็เป็นความรู้สึกชอบไม่ชอบในใจ ความรู้สึกจะชักนำให้เกิดความอยาก (ตัณหา) กล่าวคือรู้สึกชอบก็อยากได้ รู้สึกไม่ชอบก็อยากหนี ความอยากนี้จะฟอร์มตัวเป็นชุดของความคิดประจำใจเราต่อเรื่องนั้นๆ (อุปาทาน) ซึ่งก็คือชุดของความคิดในแนวยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่คุณอยากได้อยากหนี เรื่องราวต่อจากนี้คุณก็คาดเดาได้แล้วว่าทุกข์ของคุณมันจะเกิดต่อเนื่องไปได้อย่างไรหากอุปาทานของคุณมันไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

การจะหลุดพ้นไปจากความคิดของคุณเองก็ต้องตัดตอนแก้ต้นทาง เพื่อไม่ให้ความคิดที่ปลายทางเกิดขึ้น หากไปแก้ถึงต้นรากของมันโน่นได้ยิ่งดี รากของมันก็คือความไม่รู้ว่าความเป็นบุคคลหรืออัตตาของเรานี้แท้จริงมันเป็นสิ่งที่เราสมมุติขึ้น หรือพูดง่ายๆว่าต้องไปทุบอัตตาทิ้ง วิธีทุบอัตตาทิ้งในทางปฏิบัติก็คือวางความคิดทั้งหลายที่อัตตาชงขึ้นมาลงไปให้หมด ซึ่งจะทำได้คุณต้องฝึกใช้เครื่องมือวางความคิด

อนึ่ง ในการใช้ประโยชน์จากคำสอนไม่ว่าของศาสนาใดคุณอย่าใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงหรือใช้เป็น reference เพราะคำสอนเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบทอดกันมามันใช้เป็น reference ไม่ได้ดอกมีแต่จะทำให้เกิดการทะเลาะถกเถียงกันหรือทำสงครามกันเปล่าๆ ผมแนะนำให้คุณใช้คำสอนศาสนาเป็นเครื่องมือทดลองนำมาปฏิบัติ ดีก็เก็บไว้ ไม่ดีก็ทิ้งไป ดังนั้นหัวใจของการใช้คำสอนทางศาสนาคือการทดลองปฏิบัติตาม

4.. ในระดับลงมือปฏิบัติ คุณก็แยกสถานะการณ์ในชีวิตก็คือการที่ถูกเขาโกงออกจากการใช้ชีวิตซึ่งก็คือการหายใจเข้าออกทีละโมเมนต์ตรงนี้ แยกออกจากกันก่อน ส่วนสถานะการณ์ในชีวิตนั้นคุณก็ทำเท่าที่คนธรรมดาคนหนึ่งควรทำ แจ้งความตำรวจ แต่งทนายไปฟ้อง ส่วนนั้นก็ทำไป แต่ไม่โฟกัสตรงนั้น ให้หันมาโฟกัสที่การใช้ชีวิตในทีละโมเมนต์ มันถึงจะเริ่มต้นได้

เมื่อแยกสถานะการณ์ในชีวิตออกจากการใช้ชีวิตแล้ว คุณก็มาโฟกัสที่การใช้ชีวิต ซึ่งก็คือเดี๋ยวนี้ ลมหายใจนี้ ที่คุณกำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออกอยู่นี่ ให้คุณลงมือใช้เครื่องมือวางความคิด ซึ่งผมเขียนไปแล้วบ่อยมาก บ่อยจนผมกลายเป็นมิสเตอร์ซ้ำซากไปแล้ว คุณไปหาอ่านเอาเองนะครับ มีเครื่องมือที่ผมพูดถึงบ่อยอยู่ 6-7 ชิ้น คือ ลมหายใจ (breathing) การผ่อนคลายร่างกาย (relaxation) การรับรู้ถึงพลังชีวิตบนร่างกาย (body scan) การสังเกตความคิด (observation) การจดจ่อสมาธิ (concentration) การกระตุ้นตัวเองให้ตื่น (alertness) เป็นต้น อ่านแล้วก็ทดลองเอามาใช้ที่เดี๋ยวนี้ ใช้ทุกขณะที่คุณตื่นอยู่ ถ้าคุณไม่เอามาฝึกใช้ เอาแต่อ่านบล็อกหมอสันต์ มันก็เหมือนคุณอ่านวิธีว่ายน้ำ อ่านให้ตายคุณก็ยังว่ายน้ำไม่ได้อยู่ดี

ตอนที่กำลังมีความคิดวกวนซ้ำซากเรื่องถูกเขาโกงนี่แหละเป็นเวลาที่เหมาะที่จะฝึกใช้เครื่องมือวางความคิดดีนัก เพราะความย้ำคิดที่คุณอยากจะวางลงมันกำลังวนเวียนอยู่ในหัวรอให้คุณวางมันอยู่แล้ว ให้ลงมือฝึกปฏิบัติตอนนี้เลย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี